สวัสดีครับ ท่านสมาชิกทุกท่าน ผมอ่านเรื่องบทความเรื่อง วัฒนธรรมเภท ของอาจารย์แล้วเกิดความคิดหลายอย่าง คิดไปคิดมา ลองเขียนบทความสักอันหนึ่งก็แล้วกัน ลองดูครับ
ผมจะเริ่มอย่างนี้ สมมุติเวลาเจอกับพี่น้องสมาชิกท่านอื่น เอ้ย รู้ไหม โซรอสมีวัยเด็กที่ไม่เหมือนบัฟเฟตก็จริงนะ แต่ผมว่าพวกเขาสองคนมีคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่คล้ายกันมาก อันที่จริงหลายท่านที่ลงทุนเก่งๆ มักจะมีคุณสมบัตินี้ติดตัวและถึงขั้นจะเรียกว่าติดใจพวกเขา คำเฉลยของผมคือ ท่านสองคนชอบที่จะเสียงในช่วงเวลาที่คนอื่นกลัว ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ผมคิดเดามั่วว่าสาเหตุล้วนมาจากวัยเด็ก
เอ้านี่พอมีที่มาที่ไปบ้าง
อย่างเรื่องของบัฟเฟตนี่ พ่อบัฟเฟตทำงานเป้นโบรกเกอร์ วันที่ 30 พฤศจิกายน 1929 ตลาดหุ้นตกหนัก พ่อตัดสินใจอยู๋บ้านไม่ไปทำงาน ก็นอนทำการบ้านกับแม่บัฟเฟต วันนั้นกลายเป้นประวัติศาสตร์ด้านการเงินไม่พอแต่เป้นวันประวัติศาสตร์ที่บัฟเฟตปฎิสนธิเป้นวันแรก เห้นไหมครับ ถ้าตลาดหุ้นไม่ตก พ่อบัฟเฟตก็ไม่อยู๋บ้านและบัฟเฟตก็ไม่เกิด บัฟเฟตจึงเกิดความรู้สึกที่ดีเสมอเวลาหุ้นตกหนักๆ
ส่วนโซรอสนั้น ตอนสงคราม ก็เป็นช่วงวิกฤตของครอบครัวชาวยิวในฮังการี แต่พ่อโซรอสแทนที่จะทำเหมือนคนยิวคนอื่นคือไปขึ้นทะเบียนกับนาซี กลับทำตรงข้าม พาโซรอสไปขึ้นทะเบียนปลอมเป้นคนเยอรมัน ทำบัตรประชาชนปลอม แล้วพาโซรอสไปฝากทำงานไว้กับเพื่อนชาวเยอรมันอีกที แทนที่จะหาที่หลบเหมือนชาวยิวคนอื่น พ่อโซรอสกลับให้โซรอสออกไปใช้ชีวิตบนถนนกับทหารนาซี และโซรอสก็ทำได้โดยไม่เผยความจริงออกมาว่าเขาเ้ปฯชาวยิว ที่เขาทำได้ เพราะหน้าตาเขาเหมือนแม่ที่มีตาสีฟ้าและหน้าไม่เหมือนคนยิว เหตุการณ์ครั้งหนั้น พ่อโซรอสยังได้ช่วยชาวยิวคนอื่นๆ รอดชีวิตอีกหลายครอบครัวด้วยการทำประชาชนปลอมในครั้งนั้นอีกด้วย ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้โซรอสฝังใจเป้นอย่างมากว่าพ่อของเขานั้นเขาไปเสี่ยงกับความตายแล้วยังช่วยคนอื่นได้อีกด้วย ประสบการณ์วัยเด็กในครั้งนั้นติดตัวเป้นคุณสมบัติติดตัว เวลาเขาเจอวิกฤต เขาจะเข้าไปเสี่ยงและการเสี่ยงทุกครั้งเขาจะคิดเสมอว่าเขาสามารถช่วยคนอื่นได้อีกด้วย
ส่วยนนิสัยความขัดแย้่งในตัวของโซรอสนั้น คล้ายคุณสมบัติอย่างหนึ่งของลีโอนาโด ดาวินซี
ทั้งสองท่านมองสิ่งต่างๆ ว่าไม่มีความแน่นอน และคิดว่าความไม่แน่นอนต่างหากที่คือสาระของชีวิต
สำหรับผม ผมคิดอย่างนั้นเช่นกัน ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า ไม่มีอะไรแน่นอนและอย่าประมาท
ความไม่แน่นอนนี้ ผมคิดว่าได้หลอมความคิดทำให้โซรอสมีคุณสมบัติลักษณะที่พิเศษอย่างหนึ่งคือ
ความคลุมเครือ หรือ ความขัดแย้งในตัวเอง
ผมอ่านบทความของอาจารย์ ในความคิดผมที่ผมตีความนั้น ผมอาจผิดนะครับต้องขอกรอบอภัยอาจารย์ถ้าผมแปลความหมายของอาจารย์ผิด อาจารย์อาจมองว่านั้นคือจดอ่อนของโซรอส แต่ผมว่ามันน่าจะเป็นจุดแข็งของเขาที่มองว่าความไม่แน่นอนนั้นสำคัญกว่าความแน่นอน
สำหรับผมแล้ว มันไม่ง่ายเลยครับ ที่คุณจะเป้นคนคลุมเครืออย่างนั้นได้ ไม่เชื่อผมลองไปทำดูครับ ลองคิดไตร่ตรองถึงด้านตรงข้ามกับความคิดของตัวเองก่อนอื่น ตั้งคำถามอย่างไม่จบสิ้นว่าสิ่งที่เรา เราทำมันผิดตรงไหนบ้าง คิดเยอะๆ อย่าหยุดคิด มันอยู่ที่ว่าคุณรู้ตัวหรือปล่าวว่ากำลังคิดเรื่องอะไร การจับอารมณ์ตัวเองนั้นมีหลายวิธีครับ คนอินเดียคิดมาก่อน คนยิวก็ทราบ คนชาติอื่น จีน ญึ่ปุ่นก็ทราบ พระพุทธจ้าท่านก็รับมาดัดแปลงแล้วมาโฟกัสที่ลมหายใจ ได้ผลอย่างไรนั้น พระป่าหลายท่านฝึกกันมานานแล้ว
การรับมือกับความขัดแย้งนั้น ทำให้โซรอสได้พัฒนาเทคติคที่เรีัยกว่า INVEST FIRST INVESTIGATE Later
การใช้ประสาทสัมผัสของเขาในการสำรวจสมมุติฐานต่างๆ นำเขาไปสู่ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและค้นพบโอกาสในการทำเงินที่ยิ่งใหญ่มากมาย ผมคิดว่าอย่างหนึ่งที่เขาไม่เคยบอกต่อสาธารณะชน แต่เราพอมองกันออกคือ เขามีสามารถที่พิเศษมากกว่าคนปกติในการจัดการกับความเครียดอันเกิดจากความขัดแย้ง เขาไม่เพียงการยอมรับความไม่แน่นอนและความกำกวมต่างๆ เขาเล่นกับความกำกวมต่างหาก
โซรอสและนักลงทุนเก่งๆ ทุกท่านมีความอดทนต่อความไม่แน่นอนสูง โลกการเงินทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมาก สภาวะความคลุมเครือทบต้นทวีขึ้นเรื่อยๆ เขาก็ยอมรับว่าเขาไม่สามารถมองทะลุภาพลวงตาของความไม่แน่นอนไว้ได้ตลอดเวลา ถ้าไปอ่านประวัติการลงทุนของโซรอส เราจะเห็นว่าเขาปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เข้ากับสภาวะความคลุมเครือที่เกิดขึ้นในตลาดตลอดเวลา เขาปรับสมมุติฐานสิ่งต่างๆ ให้เข้ากันได้กับความคิดที่ขัดแย้งทั้งจากของตัวเขาเอง และ ของนักลงทุนส่วนใหญ่ การมี paradox อย่างนั้น ผมคิดว่ามันสำคัญทั้งต่อประสิทธิผลของกองทุนและต่อความปกติในจิตใจของเขาภายใต้สภาวการณ์ของโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอีกด้วย
คุณสมบัติอย่างอื่นที่เห็นได้ชัดในตัวโซรอสนั้น คือ Self Actualization
ความสามารถของเขาในการหยั่งรู้ภายในตัวตน ซึ่ง STEVEN COHEN พูดถึง แล้วก็ PUAL TUDOR JONES
ครับ สำหรับพวกเขา ผมคิดว่าเขาถือเป็นพันธกรณีตลอดชีวิตที่ต้องคิดไตร่ตรองความรูสึกนึกคิดของตนเอง คุณก็ทำได้เหมือนพวกเขา
ถามคนรอบข้างในสิ่งที่เราคิด เราพูด เราทำ ลองถามจุดด้อยและจุดแข็งของเรา สิ่งที่เราต้องปรับปรุง ฟังอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะสิ่งที่เราไม่อยากฟัง หรือ ไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน อย่าชี้แจง อย่าตัดสินโต้แย้ง อย่าออกความเห็น shut up ฟังอย่างเดียวครับ อย่าลืมพกสมุดติดตัว คุณต้องใช้มันเพื่อจดบันทึกความคิดของคนอื่นที่มีต่อเรา มองอย่างรอบครอบว่าเขาโจมตีความคิดเราด้วยเหตุผลหรืออารมณ์
อันที่จริงก่อนไปถามคนอื่น คนลองนั่งจัดอันดับความอดทนต่อสภาวะความคลุมเครือของตัวเองว่าอยู่ระดับไหน
ผมจัดระดับล่างสุด คือ ความต้องการความแน่นอนอยู่ตลอดเวลา ลองสังเกตดูครับ ลองดูว่าตัวเราวันหนึ่งๆ พูดคำที่แสดงความเด็ดขาดทั้งหมดกี่ครั้ง ตัวอย่างเช่น มั่นใจ แน่ใจ อย่างแน่นอน ต้องทำอย่างนั้น ไม่เคยผิดพลาด ถูกเสมอ โดยเด็ดขาด ต้องใช่แน่ๆ ผมว่าไม่ผิดหรอก แสดงว่า เพราะว่าอย่างนั้น สังเกตว่าเวลาคุณจบการสนทนากับคนอื่นๆ คุณมักจบการพูดคุยด้วยคำบอกเล่า ประโยคคำสั่ง หรือ การตั้งคำถาม
ถ้าคุณชอบด่วนสรุปในประเด้นต่างๆ ผมคิดว่าคุณอาจมีปัญหากับความคิดเรื่องความสัมพันธ์เชิงภาพสะท้อนซึ่งอยู่บนรากฐานว่าโลกนี้เป้นสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้และความไม่แน่นอนคือสิ่งที่ต้องให้ความสนใจกับมันมากที่สุด คุณจำที่สิ่งที่โซรอสพูดไดไหมครับ วิธีหาเงินคือมองสิ่งความไร้เสถียรภาพจากสิ่งที่ไม่คาดหวัง
ระดับสอง
เราเห็นความสำคัญของความขัดแย้งมากแค่ไหน คุณเห็นมันสำคัญต่อชีวิตคุณไหมครับ?
ผมยอมรับว่าความไม่แน่นอนก็คือสิ่งที่แน่นอนที่สุด แต่ผมก็ไม่ได้ซีเรียสกับประโยคนี้อย่างจริงจังมากนัก มันสำคัญมากใช่ไหมครับ? สำหรับนักลงทุนที่ติดตามสิ่งที่โซรอสสอน มันสำคัญมากครับ คุณจะไม่ทางเข้าใจทฤษฎีการสะท้อนได้อย่างลึกซึ่ง มันหยุดอยู่ตรงนั้น
ระดับสามละครับ ?
คุณอ่อนไหวกับสิ่งที่ขัดแย้งต่างๆ และ สถานการณ์ตรงกันข้ามกับการคาดหวังของตัวเอง แต่นั่นยังไม่เปลี่ยนบุคคลิกภาพบางอย่างในตัวคุณ คุณต้องไประดับสี่ ถึงระดับนี้ คุณไม่น่ามีปัญหากับความคิดที่ขัดแย้งต่างๆ ที่เกิดรอบตัว คุณจะชอบความขัดแย้ง มันทำให้คุณเรียนรู้จากเคสที่เป้นประสบการณ์จริงจากตัวคุณเอง คุณจะกลายเป็นคนสงบนิ่งแม้อยู่ในสภาวะที่มีอารมณ์
คุณต้องฝึกจับความขัดแย้งที่เกิดในความคิดคุณเองจนเกิดความเชี่ยวชาญ ถึงระดับนี้แล้วคุณต้องฝึกอย่างหนักด้วยความวิริยะอุตสาหะที่จะจับผิดตัวเองอย่างยาวนานพอ แล้ววันหนึ่งจะมาถึงเมื่อคุณทราบวาคุณได้พัฒนาไปอีกขั้นที่สูงกว่าขึ้นไป
เราจะจมลงไปกับความรู้สึกของตัวเองเมือเกิดความกังวลใจในสภาวการณ์ที่ขัดแย้ง เมื่อถึงระดับนี้คุณน่าจะอธิบายความรู้สึกของความกำกวมของตัวเองได้
อธิบายความรู้สึกกำกวมอย่างไร?
ถ้าความกำกวมมี รูปร่าง สี เสียง รส กลิ่น สัมผัส มันจะเป้นอย่างไร? ใช้ประสามสัมผัสของตัวเอง ถ้าคุณนึกมันเป้นตัวตนได้ คุณน่าจะตอบสนองต่อความรู้สึกถึงมันอย่างไรได้เวลาที่มันเข้ามาใกล้คุณ ที่สำคัญ มันทำให้คุณกังวลใจอย่างไรได้บ้าง
กำกวม กับ กังวลใจ เหมือนกันหรือปล่าวครับ?
นักลงทุนส่วนมากมักไม่รู้เมื่อเกิดความกังวลใจ นอกเสียจากว่าจะได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวดจากการฝึกสมาธิ หรือ ไม่ก็ได้รับการบำบัดจากจิตแพทย์ด้านการลงทุน คนส่วนใหญ่มีปฎิกริยาต่อความกังวลโดยอัติโนมัติ ถ้าหุ้นที่ซื้อไม่แป้นอย่างที่คิด เกิดปรับตัวลง ลองสังเกตว่าเราทำอะไรก่อนอย่างแรก เสยผมหรือปล่าว หรือว่า หยิบบุหรี่ ไม่ก็หมุนปากกา เริ่มพูดมาก กินเหล้า ดูหนังโป๊ หรือไม่ก็เริ่มโพสลงใน webboard
อย่างน้อยรู้ตัวก่อนอื่นเมื่อใดที่เรามีความกังวลใจเกิดขึ้น?
เมื่อความไม่แน่นอนเกิด ถ้าเราตะหนักรู้ถึงความกังวลใจแล้ว คุณต้องอย่าหนีมัน อ้าแขนยอมรับมัน สัมผัสมัน ออกไปกอดมันเหมือนโฆษณาที่ชวนให้ไปกอดเมื่องไทย และปลดปล่อยตัวเองให้เป้นอิสระจากแรงกดดันภายใต้ขอบข่ายความคิดและการกะทำที่เป้นตัวกหนดพฤติกรรมของคุณมานาน เราจะไม่มีวันได้พบกับความไม่แน่นอนอย่างแท้จริง การพบและเป็นหนึ่งเดียวกับความไม่แน่นอนเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ คุณเริ่มยอมรับมันอย่างเต็มใจและเผชิญหน้ากับมันด้วยขีดจำกัดของตัวเอง
สิ่งที่เปลี่ยนไปในบุคคลิกภาพ ระดับนี้เห้นอะไรที่ชัดเจนบ้าง ?
คุณปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้ดี สนุกกับการทายปัญหา เกมปริศนา และการเล่นคำ ผมสังเกตเห้นบางอย่าง ว่า เราปรับตัวเข้ากับจังหวะการรับรู้ต่างๆ โดยใช้สัญชาติญานของตัวเองมากขึ้น แต่ผมยังไม่เคยรู้สึกว่าสามารถร้องเพลงพี่เบิรดให้ความไม่แน่นอนฟังได้
เพลงพี่เบริด?
สบายๆ หากเราจะคบกันไป….
ผมไม่เคยรู้สึกสบายๆ กับ สภาวะความคลุมเครือเลยสักครั้ง
ระดับสูงสุดที่กำลังก้าวไปถึงคืออะไร?
ผมอยากหัวเราะกับมันได้ อยากรู้สึกถึงความตลกขบขันในแต่ละวันเมื่อเจอกับความไม่แน่นอนในชีวิตได้
ไปละครับทุกท่าน ขอบคุณและสวัสดีครับ
วัยเด็กของโซรอส
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
วัยเด็กของโซรอส
โพสต์ที่ 1
-
- Verified User
- โพสต์: 28
- ผู้ติดตาม: 0
Re: วัยเด็กของโซรอส
โพสต์ที่ 2
ข อบคุณ ที่เขียนบท ความดีๆให้อ่านนะครับ
noname
- ซุนเซ็ก
- Verified User
- โพสต์: 1104
- ผู้ติดตาม: 0
Re: วัยเด็กของโซรอส
โพสต์ที่ 5
เป็นบทความที่ยอดเยี่ยมครับ
ผมไม่ได้อยู่ในเว็บนี้แล้ว, มีอะไรติดต่อได้ทาง FB - 27/9/2555
"วิธีการที่ถูกต้อง มีได้มากกว่าหนึ่งวิธี"
สมุดบันทึกของผม http://suntse.wordpress.com
Facebook https://www.facebook.com/giggswalk
"วิธีการที่ถูกต้อง มีได้มากกว่าหนึ่งวิธี"
สมุดบันทึกของผม http://suntse.wordpress.com
Facebook https://www.facebook.com/giggswalk
- Tibular
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 531
- ผู้ติดตาม: 0
Re: วัยเด็กของโซรอส
โพสต์ที่ 8
ผมว่าบัฟเฟต ณ.ตอนเกิดคงไม่รู้หรอกคับว่าวันที่เค้าเกิดเป็นวันที่ตลาดหุ้นตก
และคงไม่ใช่เหตุให้เค้ารู้สึกดีกับตอนตลาดหุ้นตก แต่เป็นความชอบและ
การเรียนรู้หลังจากนั้นต่างหากที่ทำให้เค้าเห็นโอกาสการลงทุนในตลาด
ส่วนโซรอส การกระทำของป๋าเค้าอาจเป็นแรงบันดาลใจให้ในการดำเนินชีวิต
และการลงทุนก็เป็นได้ รวมถึงความสนใจของเค้าต่อสิ่งต่างๆในโลกโดยเฉพาะพฤติกรรมมนุษย์
ผมคิดว่าทั้งบัฟเฟต และโซรอส ไม่ได้มองสิ่งต่างๆว่ามันแน่นอน หรือไม่แน่นอนเท่านั้น
แต่น่าจะมองไปถึงกระบวนการปฏิสัมพันธ์ของมันมากกว่า บัฟเฟตกับโซรอสเองเป็นนักคิด
นักประเมิน และนักปฏิบัติ มาตลอดชีวิต มันคือกระบวนความคิดของเค้าซึ่ง
ทำให้พวกเค้ามองถึงสิ่งต่างๆตามความเป็นจริง มีเหตุมีผล และด้วยเหตุนี้ อารมณ์ ความคิด
ความอยาก จึงไม่ส่งอิทธิพลต่อความคิด และไม่อาจทำให้เค้าหวั่นไหวได้
แทบไม่ต้องฝึกหรือปฏิบัติ เพราะเค้าได้ฝึกมาตั้งแต่เด็กๆแล้วในการดำรงชีวิตจนเติบโตขึ้น
เป็นที่น่าสังเกตุว่าองค์ความรู้ของมนุษย์เราที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เกิดจากความสงสัย ความต้องการหาข้อเท็จจริง แล้วทำการเฝ้าดู ทำการการทดลอง จดบันทึกผล
แล้วส่งต่อๆกันมาเพื่อพิสูจน์ ปรับปรุง พัฒนา บางอย่างก็ต้องล้มไป บางอย่าง
เกิดขึ้นมา เพราะถูกต้องกว่า ผ่านหน้าประวัติศาสตร์มากมาย ทั้งดีและไม่ดี จนเกิดเป็นองค์ความรู้ต่างๆ
นักปราชญ์ทางตะวันตกเองก็มีแนวคิดเรื่องของร่างกายและจิตใจเหมือนกันกับทางตะวันออก
แต่เกิดจากการศึกษาใคร่ครวญว่าจิตใจความคิดมาจากไหน ตอนแรกคิดว่าอยู่ในอวัยวะ หรือในเลือด
จนต่อเนื่องมาถึงในสมอง จนเป็นองค์ความรู้ว่าร่างกาย และจิตใจทำงานอย่างไรในปัจจุบัน
เป็นที่น่าสังเกตุว่าคุณธรรมความคิดในการดำรงชีวิต ความดีงามต่างๆทางนักปราชญ์ตะวันตกก็พูดเหมือนกับทางตะวันออก
สิ่งเหล่านี้ต่างเหมือนกัน นั่นแสดงว่า มนุษย์ทุกคนในโลก โดยความคิดจิตใจแล้วไม่ต่างกันเลย คือมีความมุ่งหวังในการดำเนินชีวิตที่ดีเหมือนกัน
การฝึกปฏิบัติตามแนวพุทธ เป็นการชี้ให้เห็นถึงความทุกข์ ต้นเหตุของทุกข์ ความดับไปของทุกข์ และหนทางไปสู่ความดับทุกข์
การฝึกใช้ลมหายใจ ก็เป็นเพียงอุบายให้ใจเราอยู่กับสติในปัจจุบัน เมื่ออยู่ในปัจจุบันขณะแล้ว
เราจะรู้อดีตว่าเป็นอตีดจริงๆ ทำให้มองเห็นเหตุผลในอดีตตามที่เป็นจริง ไม่เอนเอียงไปตามอารมณ์ในอดีต ทำให้ไม่หลงไปกับสิ่งที่เป็นอดีต
และทำให้เราวางแผนในอนาคตได้ เข้าใจเหตุผลที่อาจจะเกิดในอนาคตได้ แต่ไม่หลงไปกับอนาคตตามอารมณ์ให้เป็นอย่างที่เราต้องการให้เป็น
ทำให้เราเห็นสิ่งต่างๆอยู่ในปัจจุบัน คือชีวิตเราอยู่ตรงนี้ ตอนนี้จริงๆ ไม่ติดไปกับสิ่งที่เกิดในอดีต หรือสิ่งที่จะเกิดในอนาคต
และทำให้เราใคร่ครวญสิ่งต่างๆได้อย่างเข้าใจว่าอดีตเป็นเพราะเหตุนี้ อนาคตน่าจะเป็นเพราะเหตุนี้ได้ตามเหตุผล
ความเป็นจริง โดยไม่มีอคติรบกวนจากความคิดปรุงแต่งต่างๆ นั่นคือเราอยู่ในปัจจุบันขณะจริงๆ
(จากการศึกษาพบว่าสมองของเรา จะปรับความคิด และเหตุผลให้เป็นไปอย่างที่เราเชื่อ
จึงต้องระวังความคิดตัวเองให้มาก เช่น ถ้าเราทำเรื่องอะไรก็ตามที่ขัดกับความรู้สึก หรือเหตุผล
สมองเราจะพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงนั้นเพื่อทำให้เราสบายใจ หรือถ้าเราพอใจอะไร
สมองก็จะพยายามหาเหตุผลว่าสิ่งนั้นมันดีอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งอันตรายมากในการลงทุน)
ผลอีกอย่างในการที่เรามีสติอยู่กับลมหายใจ ทำให้เรารู้ตัวว่าเรากำลังทำอะไร คิดอะไรอยู่
เราจะเห็นถึงอารมณ์พอใจไม่พอใจ ชอบไม่ชอบ ความคิด กำลังคิด หลงคิด ความโลภ ความกลัว ความโกรธ วิตก กังวล
ฟุ้งซ่าน ง่วง ท้อแท้ ขี้เกียจ ฯลฯ แต่เราจะไม่ติดกับมัน เราจะไม่หลงไปกับมัน พอไม่หลงไปกับสิ่งเหล่านี้
การตัดสินใจ ความเป็นเหตุเป็นผล ความมุ่งมั่น ความคิด ของเราจะแจ่มใส ทำการงานต่างๆได้ดีเต็มความสามารถของเรา
ทำให้เราเข้าใจความแน่นอน และไม่แน่นอน จนไม่กังวลไปกับมัน ในขณะเดียวกันก็ไม่ปล่อยปะละเลยกับมัน
เตรียมพร้อมอยู่ เข้าใจอยู่ เตรียมแก้ปัญหาอยู่ อย่างสม่ำเสมอ
ทำให้เราเป็นนายของตัวเอง และเป็นที่พึ่งของตัวเองได้อย่างแท้จริง
และคงไม่ใช่เหตุให้เค้ารู้สึกดีกับตอนตลาดหุ้นตก แต่เป็นความชอบและ
การเรียนรู้หลังจากนั้นต่างหากที่ทำให้เค้าเห็นโอกาสการลงทุนในตลาด
ส่วนโซรอส การกระทำของป๋าเค้าอาจเป็นแรงบันดาลใจให้ในการดำเนินชีวิต
และการลงทุนก็เป็นได้ รวมถึงความสนใจของเค้าต่อสิ่งต่างๆในโลกโดยเฉพาะพฤติกรรมมนุษย์
ผมคิดว่าทั้งบัฟเฟต และโซรอส ไม่ได้มองสิ่งต่างๆว่ามันแน่นอน หรือไม่แน่นอนเท่านั้น
แต่น่าจะมองไปถึงกระบวนการปฏิสัมพันธ์ของมันมากกว่า บัฟเฟตกับโซรอสเองเป็นนักคิด
นักประเมิน และนักปฏิบัติ มาตลอดชีวิต มันคือกระบวนความคิดของเค้าซึ่ง
ทำให้พวกเค้ามองถึงสิ่งต่างๆตามความเป็นจริง มีเหตุมีผล และด้วยเหตุนี้ อารมณ์ ความคิด
ความอยาก จึงไม่ส่งอิทธิพลต่อความคิด และไม่อาจทำให้เค้าหวั่นไหวได้
แทบไม่ต้องฝึกหรือปฏิบัติ เพราะเค้าได้ฝึกมาตั้งแต่เด็กๆแล้วในการดำรงชีวิตจนเติบโตขึ้น
เป็นที่น่าสังเกตุว่าองค์ความรู้ของมนุษย์เราที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เกิดจากความสงสัย ความต้องการหาข้อเท็จจริง แล้วทำการเฝ้าดู ทำการการทดลอง จดบันทึกผล
แล้วส่งต่อๆกันมาเพื่อพิสูจน์ ปรับปรุง พัฒนา บางอย่างก็ต้องล้มไป บางอย่าง
เกิดขึ้นมา เพราะถูกต้องกว่า ผ่านหน้าประวัติศาสตร์มากมาย ทั้งดีและไม่ดี จนเกิดเป็นองค์ความรู้ต่างๆ
นักปราชญ์ทางตะวันตกเองก็มีแนวคิดเรื่องของร่างกายและจิตใจเหมือนกันกับทางตะวันออก
แต่เกิดจากการศึกษาใคร่ครวญว่าจิตใจความคิดมาจากไหน ตอนแรกคิดว่าอยู่ในอวัยวะ หรือในเลือด
จนต่อเนื่องมาถึงในสมอง จนเป็นองค์ความรู้ว่าร่างกาย และจิตใจทำงานอย่างไรในปัจจุบัน
เป็นที่น่าสังเกตุว่าคุณธรรมความคิดในการดำรงชีวิต ความดีงามต่างๆทางนักปราชญ์ตะวันตกก็พูดเหมือนกับทางตะวันออก
สิ่งเหล่านี้ต่างเหมือนกัน นั่นแสดงว่า มนุษย์ทุกคนในโลก โดยความคิดจิตใจแล้วไม่ต่างกันเลย คือมีความมุ่งหวังในการดำเนินชีวิตที่ดีเหมือนกัน
การฝึกปฏิบัติตามแนวพุทธ เป็นการชี้ให้เห็นถึงความทุกข์ ต้นเหตุของทุกข์ ความดับไปของทุกข์ และหนทางไปสู่ความดับทุกข์
การฝึกใช้ลมหายใจ ก็เป็นเพียงอุบายให้ใจเราอยู่กับสติในปัจจุบัน เมื่ออยู่ในปัจจุบันขณะแล้ว
เราจะรู้อดีตว่าเป็นอตีดจริงๆ ทำให้มองเห็นเหตุผลในอดีตตามที่เป็นจริง ไม่เอนเอียงไปตามอารมณ์ในอดีต ทำให้ไม่หลงไปกับสิ่งที่เป็นอดีต
และทำให้เราวางแผนในอนาคตได้ เข้าใจเหตุผลที่อาจจะเกิดในอนาคตได้ แต่ไม่หลงไปกับอนาคตตามอารมณ์ให้เป็นอย่างที่เราต้องการให้เป็น
ทำให้เราเห็นสิ่งต่างๆอยู่ในปัจจุบัน คือชีวิตเราอยู่ตรงนี้ ตอนนี้จริงๆ ไม่ติดไปกับสิ่งที่เกิดในอดีต หรือสิ่งที่จะเกิดในอนาคต
และทำให้เราใคร่ครวญสิ่งต่างๆได้อย่างเข้าใจว่าอดีตเป็นเพราะเหตุนี้ อนาคตน่าจะเป็นเพราะเหตุนี้ได้ตามเหตุผล
ความเป็นจริง โดยไม่มีอคติรบกวนจากความคิดปรุงแต่งต่างๆ นั่นคือเราอยู่ในปัจจุบันขณะจริงๆ
(จากการศึกษาพบว่าสมองของเรา จะปรับความคิด และเหตุผลให้เป็นไปอย่างที่เราเชื่อ
จึงต้องระวังความคิดตัวเองให้มาก เช่น ถ้าเราทำเรื่องอะไรก็ตามที่ขัดกับความรู้สึก หรือเหตุผล
สมองเราจะพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงนั้นเพื่อทำให้เราสบายใจ หรือถ้าเราพอใจอะไร
สมองก็จะพยายามหาเหตุผลว่าสิ่งนั้นมันดีอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งอันตรายมากในการลงทุน)
ผลอีกอย่างในการที่เรามีสติอยู่กับลมหายใจ ทำให้เรารู้ตัวว่าเรากำลังทำอะไร คิดอะไรอยู่
เราจะเห็นถึงอารมณ์พอใจไม่พอใจ ชอบไม่ชอบ ความคิด กำลังคิด หลงคิด ความโลภ ความกลัว ความโกรธ วิตก กังวล
ฟุ้งซ่าน ง่วง ท้อแท้ ขี้เกียจ ฯลฯ แต่เราจะไม่ติดกับมัน เราจะไม่หลงไปกับมัน พอไม่หลงไปกับสิ่งเหล่านี้
การตัดสินใจ ความเป็นเหตุเป็นผล ความมุ่งมั่น ความคิด ของเราจะแจ่มใส ทำการงานต่างๆได้ดีเต็มความสามารถของเรา
ทำให้เราเข้าใจความแน่นอน และไม่แน่นอน จนไม่กังวลไปกับมัน ในขณะเดียวกันก็ไม่ปล่อยปะละเลยกับมัน
เตรียมพร้อมอยู่ เข้าใจอยู่ เตรียมแก้ปัญหาอยู่ อย่างสม่ำเสมอ
ทำให้เราเป็นนายของตัวเอง และเป็นที่พึ่งของตัวเองได้อย่างแท้จริง
- peacedev
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
Re: วัยเด็กของโซรอส
โพสต์ที่ 9
ถามพี่หน่อยครับว่าการมองสิ่งต่าง ๆ ด้วยความไม่แน่นอนจะทำให้คนอื่นมองเราเป็นคนไม่หนักแน่นได้หรือเปล่าครับ
มีครั้งหนึ่งผมกับเพื่อนร่วมงานอีกคนต้องไปทำ OT ในวันหยุดด้วยกัน
พอผมไปถึงที่ทำงานก็เจอเจ้านายรออยู่ก่อนแล้ว แล้วเจ้านายก็เดินเข้ามาถามผม
เจ้านาย: "Where is Beer?"
ผม: "May be he is not arrive yet"
เจ้านาย: "No, he IS not arrive yet, Certainly"
มีครั้งหนึ่งผมกับเพื่อนร่วมงานอีกคนต้องไปทำ OT ในวันหยุดด้วยกัน
พอผมไปถึงที่ทำงานก็เจอเจ้านายรออยู่ก่อนแล้ว แล้วเจ้านายก็เดินเข้ามาถามผม
เจ้านาย: "Where is Beer?"
ผม: "May be he is not arrive yet"
เจ้านาย: "No, he IS not arrive yet, Certainly"
http://peacedev.wordpress.com
"The Quant"
"The Quant"
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
Re: วัยเด็กของโซรอส
โพสต์ที่ 11
ความไม่แน่นอน อันนี้ น่าจะหมายถึงความไม่แน่นอนที่ไม่ได้เกิดจากตัวเรา
เป็นความไม่แน่นอนที่มาจากภายนอก ซึ่งมามีผลกระทบต่อตัวเรา
พวกมีความสามารถทั้งหลาย ย่อมมีความแน่นอนในตัวเอง ใจตัวเอง และการกระทำของตัวเองอยู่ระดับหนึ่ง ซึ่งถ้าจะเรียกว่ามีความสามารถ ความแน่นอนก็น่าจะอยู่ในระดับที่เรียกว่าดี
แต่ความไม่แน่นอนจากภายนอก ทั้งที่มาจากมนุษย์ และ ไม่ใช่มนุษย์ บางทีมันก็เกิดขึ้นรวดเร็วมาก ยากจะปรับตัวได้ทันตามความสามารถแห่งคนธรรมดา จึงต้องได้รับผลกระทบ พร้อมสภาพจิตใจแห่งผู้รับผลกระทบ เช่น ถ้าการเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ดี ก็ทุกข์ ถ้าการเปลี่ยนแปลงนั้นดี ก็ดีใจ แม้อาจจะไม่รู้ว่าควรทำอะไรหรือต้องทำอะไร
แต่ผู้ที่สามารถ รับได้ ปรับตัวได้ แก้ไขได้ แม้ความไม่แน่นอนเกิดขึ้น ก็มีสติ หาเหตุ หาผล และเมื่อนิ่งแล้ว ก็น่าจะปรับสภาพจิตใจให้เข้าใจ เข้มแข็ง และรับสภาพจิตใจนั้นๆได้ดีขึ้น และมองเห็นสิ่งที่จะเป็นไป
มีใครเล่าไม่อยากได้ความแน่นอน แต่ถ้าใครอยู่ได้แบบสบายและถูกต้องแม้กับความไม่แน่นอน จิตใจเขาคงเยี่ยมจริงๆ
เป็นความไม่แน่นอนที่มาจากภายนอก ซึ่งมามีผลกระทบต่อตัวเรา
พวกมีความสามารถทั้งหลาย ย่อมมีความแน่นอนในตัวเอง ใจตัวเอง และการกระทำของตัวเองอยู่ระดับหนึ่ง ซึ่งถ้าจะเรียกว่ามีความสามารถ ความแน่นอนก็น่าจะอยู่ในระดับที่เรียกว่าดี
แต่ความไม่แน่นอนจากภายนอก ทั้งที่มาจากมนุษย์ และ ไม่ใช่มนุษย์ บางทีมันก็เกิดขึ้นรวดเร็วมาก ยากจะปรับตัวได้ทันตามความสามารถแห่งคนธรรมดา จึงต้องได้รับผลกระทบ พร้อมสภาพจิตใจแห่งผู้รับผลกระทบ เช่น ถ้าการเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ดี ก็ทุกข์ ถ้าการเปลี่ยนแปลงนั้นดี ก็ดีใจ แม้อาจจะไม่รู้ว่าควรทำอะไรหรือต้องทำอะไร
แต่ผู้ที่สามารถ รับได้ ปรับตัวได้ แก้ไขได้ แม้ความไม่แน่นอนเกิดขึ้น ก็มีสติ หาเหตุ หาผล และเมื่อนิ่งแล้ว ก็น่าจะปรับสภาพจิตใจให้เข้าใจ เข้มแข็ง และรับสภาพจิตใจนั้นๆได้ดีขึ้น และมองเห็นสิ่งที่จะเป็นไป
มีใครเล่าไม่อยากได้ความแน่นอน แต่ถ้าใครอยู่ได้แบบสบายและถูกต้องแม้กับความไม่แน่นอน จิตใจเขาคงเยี่ยมจริงๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
Re: วัยเด็กของโซรอส
โพสต์ที่ 12
ทำ ot
ตามความเห็น เจ้านาย มั่นใจ ว่าจะต้องมีงานบางอย่างให้พนักงาน 2 สอง ทำเพื่อให้ภาระกิจลุล่วงอย่างแน่นอน
เจ้านาย: "Where is Beer?"
เจ้านายได้มั่นใจว่าพนักงานน่าจะมาตามนัดหมายอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ที่ไม่เห็น beer แปลว่ามีความไม่แน่นอนหรือแน่ใจบางอย่างเกิดขึ้นแล้วกับเจ้านาย แล้วขณะนี้สภาวะจิตใจเจ้านายของผม ผม และ เพื่อน เป็นอย่างไร
ผม: "May be he is not arrive yet"
บางทีเขาอาจจะยังมาไม่ถึง คิดว่าคงกำลังมามั้ง ความไม่แน่นอนมาเกิดกับผมด้วย เพราะผมไม่รู้ แล้วขณะนี้สภาวะจิตใจเจ้านายของผม ผม และ เพื่อน เป็นอย่างไร
ถ้า ผม เริ่มกลัว เริ่มร้อนรน และไม่เข้าใจอะไรเลย สภาวะจิตใจปั่นป่วน ก็ไม่แปลกที่จะเรียกว่าไม่หนักแน่น
แต่ถ้าผม รู้นิสัยว่าเดี๋ยวเพื่อนก็มา มันสายประจำ และทำงานอื่นไปพลาง น่าจะไม่ได้แปลว่าไม่หนักแน่น
สภาวะจิตเรา จะบอกเราเองว่าเราเป็นอย่างไรรู้ถ้าเรามองเห็น
เจ้านาย: "No, he IS not arrive yet, Certainly"
ไม่ แปลว่าเขายังมาไม่ถึงแน่นอน ความแน่นอนคือเพื่อนยังมาไม่ถึง เจ้านายเริ่มต้องคิดแล้วว่าถ้าเพื่อนไม่มาซึ่งเป็นความแน่นอนขณะนี้ เขาต้องทำยังไง แล้วขณะนี้สภาวะจิตใจเจ้านายของผม ผม และ เพื่อน เป็นอย่างไร
ซึ่งสภาวะจิตใจของแต่ละคน ไม่ใช่สิ่งที่มองเห็นง่ายๆ แต่มันจะมีผลต่อความคิด การกระทำ และอื่นๆ ของคนนั้นๆต่อไป
ตามความเห็น เจ้านาย มั่นใจ ว่าจะต้องมีงานบางอย่างให้พนักงาน 2 สอง ทำเพื่อให้ภาระกิจลุล่วงอย่างแน่นอน
เจ้านาย: "Where is Beer?"
เจ้านายได้มั่นใจว่าพนักงานน่าจะมาตามนัดหมายอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ที่ไม่เห็น beer แปลว่ามีความไม่แน่นอนหรือแน่ใจบางอย่างเกิดขึ้นแล้วกับเจ้านาย แล้วขณะนี้สภาวะจิตใจเจ้านายของผม ผม และ เพื่อน เป็นอย่างไร
ผม: "May be he is not arrive yet"
บางทีเขาอาจจะยังมาไม่ถึง คิดว่าคงกำลังมามั้ง ความไม่แน่นอนมาเกิดกับผมด้วย เพราะผมไม่รู้ แล้วขณะนี้สภาวะจิตใจเจ้านายของผม ผม และ เพื่อน เป็นอย่างไร
ถ้า ผม เริ่มกลัว เริ่มร้อนรน และไม่เข้าใจอะไรเลย สภาวะจิตใจปั่นป่วน ก็ไม่แปลกที่จะเรียกว่าไม่หนักแน่น
แต่ถ้าผม รู้นิสัยว่าเดี๋ยวเพื่อนก็มา มันสายประจำ และทำงานอื่นไปพลาง น่าจะไม่ได้แปลว่าไม่หนักแน่น
สภาวะจิตเรา จะบอกเราเองว่าเราเป็นอย่างไรรู้ถ้าเรามองเห็น
เจ้านาย: "No, he IS not arrive yet, Certainly"
ไม่ แปลว่าเขายังมาไม่ถึงแน่นอน ความแน่นอนคือเพื่อนยังมาไม่ถึง เจ้านายเริ่มต้องคิดแล้วว่าถ้าเพื่อนไม่มาซึ่งเป็นความแน่นอนขณะนี้ เขาต้องทำยังไง แล้วขณะนี้สภาวะจิตใจเจ้านายของผม ผม และ เพื่อน เป็นอย่างไร
ซึ่งสภาวะจิตใจของแต่ละคน ไม่ใช่สิ่งที่มองเห็นง่ายๆ แต่มันจะมีผลต่อความคิด การกระทำ และอื่นๆ ของคนนั้นๆต่อไป
- thaloengsak
- Verified User
- โพสต์: 2716
- ผู้ติดตาม: 1
Re: วัยเด็กของโซรอส
โพสต์ที่ 13
ขอบคุณมากครับพี่
-
- Verified User
- โพสต์: 1904
- ผู้ติดตาม: 0
Re: วัยเด็กของโซรอส
โพสต์ที่ 14
ลืมไปแล้วเหรอครับว่าใครทุบค่าบาทจนรัฐบาลมีหนี้1.14ล้านล้าน. นั่นแค่ภาครัฐนะ เอกชนที่ต้องเสียเงินทองทรัพย์สินที่สร้างมาตลอดชีวิตอีกนับไม่ถ้วน บางคนต้องฆ่าตัวตายเพราะไม่มีเงินใช้หนี้ บัฟเฟตน่าเอาอย่างเพราะเค้าชอบพูดให้คนได้คิดเวลาเกิดแตกตื่น. แต่โซรอสผมว่าแกสมแล้วที่เป็นยิว. เห็นแก่ตัวชะมัด เอาแต่เงินโดยไม่แคร์ว่าเงินที่ได้ไปมันมาจากคราบน้ำตาของคนไทยทั้งประเทศ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 66
- ผู้ติดตาม: 0
Re: วัยเด็กของโซรอส
โพสต์ที่ 15
[quote="patongpa"]ลืมไปแล้วเหรอครับว่าใครทุบค่าบาทจนรัฐบาลมีหนี้1.14ล้านล้าน. นั่นแค่ภาครัฐนะ เอกชนที่ต้องเสียเงินทองทรัพย์สินที่สร้างมาตลอดชีวิตอีกนับไม่ถ้วน บางคนต้องฆ่าตัวตายเพราะไม่มีเงินใช้หนี้ บัฟเฟตน่าเอาอย่างเพราะเค้าชอบพูดให้คนได้คิดเวลาเกิดแตกตื่น. แต่โซรอสผมว่าแกสมแล้วที่เป็นยิว. เห็นแก่ตัวชะมัด เอาแต่เงินโดยไม่แคร์ว่าเงินที่ได้ไปมันมาจากคราบน้ำตาของคนไทยทั้งประเทศ[/quote]
ผมว่า ถ้าโซรอสไม่ทำ คนอื่นก็ทำอยู่ดีครับ
ผมว่า ถ้าโซรอสไม่ทำ คนอื่นก็ทำอยู่ดีครับ