ตามรอยบัฟเฟตต์/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
- little wing
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 187
- ผู้ติดตาม: 0
ตามรอยบัฟเฟตต์/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 1
โลกในมุมมองของ Value Investor 3 มีนาคม 55
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
การเคลื่อนไหวหรือการซื้อหุ้นของ วอเร็น บัฟเฟตต์ นั้น ตกเป็นข่าวใหญ่เสมอ เหตุผลคงเป็นเพราะนักลงทุนต่างก็สนใจและเชื่อว่าหุ้นที่บัฟเฟตต์ซื้อจะต้องเป็นหุ้นที่มีคุณค่ามากและราคาถูกคุ้มค่า ดังนั้น พวกเขาจึงอาจจะมีโอกาส “ซื้อหุ้นตามเซียน” และทำกำไรจากมันได้ง่าย ๆ ผมเองก็สนใจติดตามข่าวการลงทุนของบัฟเฟตต์อยู่เหมือนกัน ไม่ใช่เพื่อที่จะซื้อหุ้นตาม แต่อยากรู้ว่าทำไมเขาถึงซื้อหุ้นตัวนั้น ความหมายของมันคืออะไร เพื่อที่ว่าผมจะได้เรียนรู้และนำมาปรับใช้กับการลงทุนของตนเอง ผมคิดว่า การเรียนรู้จากคนระดับบัฟเฟตต์ ซึ่งแม้จะอยู่ห่างไกลกันคนระดับในแง่ของการลงทุน จะช่วยให้ผมไม่ต้องลองผิดลองถูกได้ในระดับหนึ่ง และต่อไปนี้คือสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นแนวทางของบัฟเฟตต์ในช่วงหลัง ๆ นี้
ข้อแรก การลงทุนของบัฟเฟตต์ก็ยังเกาะติดอยู่กับธุรกิจหลัก ๆ ที่เขาทำมายาวนาน นั่นก็คือ เขาชอบลงทุนในกิจการที่มีการเปลี่ยนแปลงช้า ๆ เป็นกิจการที่เทคโนโลยีใหม่ ๆ ไม่สามารถทำลายมันได้ง่าย ๆ เช่น อาหารการกินซึ่งถึงยังไงคนก็ยังต้องกินและต้องการกินอาหารที่อร่อยมียี่ห้อระดับโลก ตัวอย่างของหุ้นก็เช่น บริษัทคราฟท์ฟูด กลุ่มต่อมาก็คือกลุ่มของใช้ประจำวันเช่นสบู่ ยาสีฟัน แชมพูสระผม และเครื่องประทินผิว ที่ไม่ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์อะไรนักยกเว้นการโฆษณาและการทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างของหุ้นก็เช่น หุ้นของพร็อกเตอร์แอนด์แกมเบิลและหุ้นจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน และกลุ่มสุดท้ายก็คือ หุ้นของบริษัทค้าปลีกที่บัฟเฟตต์เพิ่งจะลงทุนไม่นานมากนักทั้ง ๆ ที่มันน่าจะเป็นหุ้นที่อยู่ในเกณฑ์ที่เขาสนใจลงทุน แต่เขาอาจจะเคยเกี่ยงว่ามันเป็นหุ้นที่ “ไม่เคยถูก” ตัวอย่างเช่นหุ้นของวอลมาร์ท เป็นต้น
ข้อสอง หุ้นกลุ่มที่บัฟเฟตต์ลงทุนมากที่สุดกลุ่มหนึ่งตั้งแต่อดีตและก็ยังลงทุนอยู่เรื่อย ๆ เมื่อมีโอกาสก็คือ หุ้นในกลุ่มสถาบันการเงินโดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นของบริษัทประกันภัยและธนาคารพาณิชย์และบริษัทหลักทรัพย์ นี่คือหุ้นที่บัฟเฟตต์ลงทุนมาตลอดขณะที่ VI เมืองไทย รวมถึงตัวผมเองไม่ใคร่สนใจลงทุนเลยทั้ง ๆ ที่บางครั้งก็ดูเหมือนกับว่าเป็นหุ้นที่ “ไม่แพง” และหลาย ๆ ครั้งอาจจะเป็นหุ้น “VI” ได้ ตัวอย่างหุ้นการเงินที่บัฟเฟตต์ลงทุนเมื่อเร็ว ๆ นี้ก็เช่นหุ้นของแบงค์อเมริกาและบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำอีกหลายแห่งที่ประสบกับปัญหาทางการเงินอันเนื่องมาจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจที่ทำให้ราคาหุ้นตกลงมาต่ำมาก อย่างไรก็ตาม หุ้นหรือตราสารการเงินเหล่านี้บัฟเฟตต์มักจะลงทุนในเวลาสั้น ๆ อาจจะเพียง 2-3 ปีก็จะถอนออก ยกเว้นหุ้นสถาบันการเงินที่เน้นรายย่อยหรือเน้นลูกค้ามากรายที่สามารถกระจายความเสี่ยงได้ดี เช่นหุ้นประกันภัย หุ้นอเมริกันเอ็กเพรส และหุ้นแบงค์ที่บริหารได้ดีอย่างเวลฟาร์โก้เท่านั้นที่เขาจะถือหุ้นยาวนาน
ข้อสาม หุ้นไฮเท็คนั้น บัฟเฟตต์ยังคงหลีกเลี่ยงเป็นส่วนใหญ่โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับอินเตอร์เน็ตที่เขามองว่ามีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ดังนั้น เขาก็ยังไม่ซื้อหุ้นทั้งแอปเปิล กูเกิล ไมโครซอฟท์ หรือ เฟซบุค อย่างไรก็ตาม เขาได้เข้าซื้อหุ้นของไอบีเอ็ม จำนวนมากเมื่อเร็ว ๆ นี้ เหตุผลก็คือ ไอบีเอ็มในตอนหลังได้ปรับตัวเองกลายเป็น “ผู้ให้บริการ” เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และการจัดการข้อมูลแก่บริษัทต่าง ๆ เช่น ไอบีเอ็มจะเข้าไปทำหน้าที่คล้าย ๆ “แผนกคอมพิวเตอร์และการจัดการข้อมูล” ของธนาคารต่าง ๆ ทำให้ไอบีเอ็มมีรายได้ที่แน่นอน ในขณะที่แบงค์ก็ประหยัดรายจ่ายที่ไม่ต้องทำระบบต่าง ๆ เช่นระบบสำรองและการดูแลให้คอมพิวเตอร์ให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลาเป็นต้น นอกจากนั้น บัฟเฟตต์เองดูเหมือนว่าจะลงทุนในหุ้น “ไฮเท็ค” ประเภทที่เป็นผู้ผลิตที่เป็นผู้นำที่โดดเด่นที่คู่แข่งตามได้ยาก ตัวอย่างเช่น หุ้นอินเทล หุ้นของบริษัทผลิตเครื่องมือของอิสราเอล หุ้นบริษัทผลิตยาซาโนฟี เหล่านี้เป็นต้น อย่างไรก็ตาม หุ้นไฮเท็คเหล่านี้ บัฟเฟตต์ซื้อในปริมาณไม่มากนัก
ข้อสี่ หุ้นกลุ่มที่บัฟเฟตต์ลงทุนค่อนข้างมากเมื่อเร็ว ๆ นี้ก็คือ หุ้นที่เกี่ยวกับพลังงานและการขนส่ง นี่เป็นกลุ่มที่ในอดีตบัฟเฟตต์แทบไม่สนใจเลยเพราะภาพที่ออกมาดูเหมือนว่าจะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่บัฟเฟตต์ไม่ชอบ หุ้นในกลุ่มนี้ที่บัฟเฟตต์ลงทุนไปมากที่สุดตัวหนึ่งก็คือ หุ้นของบริษัทรถไฟในอเมริกาซึ่งบัฟเฟตต์มองว่าจะเริ่มได้เปรียบเมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้นมาก นอกจากนี้ บัฟเฟตต์ได้เข้าไปซื้อหุ้นบริษัทน้ำมันหลายบริษัทรวมถึงปิโตรไชน่าของจีน อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่เป็นโภคภัณฑ์ล้วน ๆ เช่นน้ำมันนั้น ก็ดูเหมือนว่าบัฟเฟตต์อาจจะเข้ามาซื้อขายแบบเก็งกำไรมากกว่าจะเป็นการถือยาว
ข้อห้า หุ้น “ตะวันตกดิน” หรือหุ้นที่ดูเหมือนว่าจะไม่โตเท่าไรนักแต่บริษัทเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งและมีเงินสดเหลือเฟือนั้น ถ้าดูกันจริง ๆ เป็นหุ้นที่บัฟเฟตต์ลงทุนอยู่เหมือนกันในอดีต นี่อาจจะเรียกว่าหุ้นแนวก้นบุหรี่หรือแนวของเกรแฮม บัฟเฟตต์ห่างเหินจากหุ้นแนวนี้มานาน อาจจะตั้งแต่หุ้นเบอร์กไชร์และหุ้นประเภทขายรองเท้าหรือทำเฟอร์นิเจอร์ แต่ที่น่าแปลกก็คือ บัฟเฟตต์เองก็เพิ่งไปซื้อกิจการหนังสือพิมพ์ที่ดูเหมือนว่ากิจการกำลังตกลงมาอย่างช้า ๆ แต่แน่นอน เนื่องจากการเข้ามาของสื่อทางอินเตอร์เน็ตทั้งหลาย เขาคงมองว่า ยังไงซะ Content หรือเนื้อหาที่เป็นข่าวสารก็ยังมีค่า และถึงวันหนึ่ง ผู้ผลิตข่าวสารก็อาจจะไม่ยอมให้คนอื่นเอาข่าวไปใช้แบบฟรี ๆ ในอินเตอร์เน็ต
ข้อหก สิ่งที่เปลี่ยนไปค่อนข้างชัดเจนก็คือ บัฟเฟตต์ซึ่งในอดีตไม่ใคร่สนใจลงทุนหุ้นในต่างประเทศเลยเพราะเขาอาจจะคิดว่าเขาสามารถเข้าถึงตลาดและลูกค้าต่างประเทศได้ผ่านการส่งออกของบริษัทที่เขาลงทุนในอเมริกา บัดนี้ บัฟเฟตต์ได้ออกไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้นและน่าจะมากขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มต้นจากจีนที่เขาได้เดินทางไปเยี่ยมเป็นประเทศแรก ๆ ยุโรป ต่อมาเข้าใจว่ามีเกาหลี ไม่ต้องพูดถึงอิสราเอลที่เขาดูว่ามีบริษัทที่สุดยอดระดับโลกทางด้านไฮเท็คอยู่ เขาคงมองเห็นแล้วว่าโลกกำลังเปลี่ยนไป อเมริกาอาจจะยังโดดเด่นอยู่ แต่ประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศโดยเฉพาะในเอเชียนั้นโตเร็วมาก
ข้อสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ บัฟเฟตต์ยังคงรักษาคุณสมบัติของการเป็นนักลงทุนที่ผมอยากเรียกว่า “กล้าและเย็นที่สุดในโลก” นั่นคือ เขาพร้อมที่จะเข้าซื้อหุ้นหรือลงทุนในกิจการที่ยอดเยี่ยมในภาวะวิกฤติที่สุดที่ราคาหุ้นตกลงมาอย่างหนัก เขาเพิ่งเข้าไปซื้อหุ้นที่ “ดีที่สุด” 8-9 บริษัทในยุโรปในยามที่ยุโรปกำลังอยู่ในภาวะที่จะ “ตายหรือจะรอด” นี่ก็เหมือนกับช่วงที่เขาเข้าซื้อหุ้นจำนวนมากรวมถึงหุ้นสถาบันการเงินในอเมริกาในช่วงซับไพร์มที่ทำให้เขาได้กำไรมหาศาล
ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงบางส่วนที่แสดงให้เห็นว่าบัฟเฟตต์เองนั้น แม่ว่าจะมีอายุกว่า 80 ปีแล้ว ก็ยังมี “วิวัฒนาการ” เขาอาจจะเป็นคน “โลว์เท็ค” ที่ไม่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในหลาย ๆ เรื่อง แต่ความคิดหรือจิตใจของเขานั้นผมเชื่อว่ายังทันสมัยอยู่เสมอ เขาไม่ลงทุนในหุ้น “ไฮเท็ค” ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะเขาไม่เข้าใจเท็คโนโลยี เขาอาจจะใช้มันไม่เป็นแต่เขารู้ว่าธุรกิจมัน “หากินยังไง” ผมเองเชื่อว่า ถ้าบริษัท “ไฮเท็ค” ตัวไหนที่สามารถรักษากำไรของตนเองได้ในระยะยาว ด้วยความเสี่ยงต่ำที่จะมีสิ่งอื่นมาทดแทน และด้วยราคาหุ้นที่ยุติธรรม บัฟเฟตต์ก็คงจะสนใจ เพียงแต่ว่า ในโลกของข้อมูลข่าวสารและอินเตอร์เน็ต หุ้นแบบนั้นอาจจะยังไม่มีในสายตาของบัฟเฟตต์
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
การเคลื่อนไหวหรือการซื้อหุ้นของ วอเร็น บัฟเฟตต์ นั้น ตกเป็นข่าวใหญ่เสมอ เหตุผลคงเป็นเพราะนักลงทุนต่างก็สนใจและเชื่อว่าหุ้นที่บัฟเฟตต์ซื้อจะต้องเป็นหุ้นที่มีคุณค่ามากและราคาถูกคุ้มค่า ดังนั้น พวกเขาจึงอาจจะมีโอกาส “ซื้อหุ้นตามเซียน” และทำกำไรจากมันได้ง่าย ๆ ผมเองก็สนใจติดตามข่าวการลงทุนของบัฟเฟตต์อยู่เหมือนกัน ไม่ใช่เพื่อที่จะซื้อหุ้นตาม แต่อยากรู้ว่าทำไมเขาถึงซื้อหุ้นตัวนั้น ความหมายของมันคืออะไร เพื่อที่ว่าผมจะได้เรียนรู้และนำมาปรับใช้กับการลงทุนของตนเอง ผมคิดว่า การเรียนรู้จากคนระดับบัฟเฟตต์ ซึ่งแม้จะอยู่ห่างไกลกันคนระดับในแง่ของการลงทุน จะช่วยให้ผมไม่ต้องลองผิดลองถูกได้ในระดับหนึ่ง และต่อไปนี้คือสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นแนวทางของบัฟเฟตต์ในช่วงหลัง ๆ นี้
ข้อแรก การลงทุนของบัฟเฟตต์ก็ยังเกาะติดอยู่กับธุรกิจหลัก ๆ ที่เขาทำมายาวนาน นั่นก็คือ เขาชอบลงทุนในกิจการที่มีการเปลี่ยนแปลงช้า ๆ เป็นกิจการที่เทคโนโลยีใหม่ ๆ ไม่สามารถทำลายมันได้ง่าย ๆ เช่น อาหารการกินซึ่งถึงยังไงคนก็ยังต้องกินและต้องการกินอาหารที่อร่อยมียี่ห้อระดับโลก ตัวอย่างของหุ้นก็เช่น บริษัทคราฟท์ฟูด กลุ่มต่อมาก็คือกลุ่มของใช้ประจำวันเช่นสบู่ ยาสีฟัน แชมพูสระผม และเครื่องประทินผิว ที่ไม่ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์อะไรนักยกเว้นการโฆษณาและการทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างของหุ้นก็เช่น หุ้นของพร็อกเตอร์แอนด์แกมเบิลและหุ้นจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน และกลุ่มสุดท้ายก็คือ หุ้นของบริษัทค้าปลีกที่บัฟเฟตต์เพิ่งจะลงทุนไม่นานมากนักทั้ง ๆ ที่มันน่าจะเป็นหุ้นที่อยู่ในเกณฑ์ที่เขาสนใจลงทุน แต่เขาอาจจะเคยเกี่ยงว่ามันเป็นหุ้นที่ “ไม่เคยถูก” ตัวอย่างเช่นหุ้นของวอลมาร์ท เป็นต้น
ข้อสอง หุ้นกลุ่มที่บัฟเฟตต์ลงทุนมากที่สุดกลุ่มหนึ่งตั้งแต่อดีตและก็ยังลงทุนอยู่เรื่อย ๆ เมื่อมีโอกาสก็คือ หุ้นในกลุ่มสถาบันการเงินโดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นของบริษัทประกันภัยและธนาคารพาณิชย์และบริษัทหลักทรัพย์ นี่คือหุ้นที่บัฟเฟตต์ลงทุนมาตลอดขณะที่ VI เมืองไทย รวมถึงตัวผมเองไม่ใคร่สนใจลงทุนเลยทั้ง ๆ ที่บางครั้งก็ดูเหมือนกับว่าเป็นหุ้นที่ “ไม่แพง” และหลาย ๆ ครั้งอาจจะเป็นหุ้น “VI” ได้ ตัวอย่างหุ้นการเงินที่บัฟเฟตต์ลงทุนเมื่อเร็ว ๆ นี้ก็เช่นหุ้นของแบงค์อเมริกาและบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำอีกหลายแห่งที่ประสบกับปัญหาทางการเงินอันเนื่องมาจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจที่ทำให้ราคาหุ้นตกลงมาต่ำมาก อย่างไรก็ตาม หุ้นหรือตราสารการเงินเหล่านี้บัฟเฟตต์มักจะลงทุนในเวลาสั้น ๆ อาจจะเพียง 2-3 ปีก็จะถอนออก ยกเว้นหุ้นสถาบันการเงินที่เน้นรายย่อยหรือเน้นลูกค้ามากรายที่สามารถกระจายความเสี่ยงได้ดี เช่นหุ้นประกันภัย หุ้นอเมริกันเอ็กเพรส และหุ้นแบงค์ที่บริหารได้ดีอย่างเวลฟาร์โก้เท่านั้นที่เขาจะถือหุ้นยาวนาน
ข้อสาม หุ้นไฮเท็คนั้น บัฟเฟตต์ยังคงหลีกเลี่ยงเป็นส่วนใหญ่โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับอินเตอร์เน็ตที่เขามองว่ามีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ดังนั้น เขาก็ยังไม่ซื้อหุ้นทั้งแอปเปิล กูเกิล ไมโครซอฟท์ หรือ เฟซบุค อย่างไรก็ตาม เขาได้เข้าซื้อหุ้นของไอบีเอ็ม จำนวนมากเมื่อเร็ว ๆ นี้ เหตุผลก็คือ ไอบีเอ็มในตอนหลังได้ปรับตัวเองกลายเป็น “ผู้ให้บริการ” เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และการจัดการข้อมูลแก่บริษัทต่าง ๆ เช่น ไอบีเอ็มจะเข้าไปทำหน้าที่คล้าย ๆ “แผนกคอมพิวเตอร์และการจัดการข้อมูล” ของธนาคารต่าง ๆ ทำให้ไอบีเอ็มมีรายได้ที่แน่นอน ในขณะที่แบงค์ก็ประหยัดรายจ่ายที่ไม่ต้องทำระบบต่าง ๆ เช่นระบบสำรองและการดูแลให้คอมพิวเตอร์ให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลาเป็นต้น นอกจากนั้น บัฟเฟตต์เองดูเหมือนว่าจะลงทุนในหุ้น “ไฮเท็ค” ประเภทที่เป็นผู้ผลิตที่เป็นผู้นำที่โดดเด่นที่คู่แข่งตามได้ยาก ตัวอย่างเช่น หุ้นอินเทล หุ้นของบริษัทผลิตเครื่องมือของอิสราเอล หุ้นบริษัทผลิตยาซาโนฟี เหล่านี้เป็นต้น อย่างไรก็ตาม หุ้นไฮเท็คเหล่านี้ บัฟเฟตต์ซื้อในปริมาณไม่มากนัก
ข้อสี่ หุ้นกลุ่มที่บัฟเฟตต์ลงทุนค่อนข้างมากเมื่อเร็ว ๆ นี้ก็คือ หุ้นที่เกี่ยวกับพลังงานและการขนส่ง นี่เป็นกลุ่มที่ในอดีตบัฟเฟตต์แทบไม่สนใจเลยเพราะภาพที่ออกมาดูเหมือนว่าจะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่บัฟเฟตต์ไม่ชอบ หุ้นในกลุ่มนี้ที่บัฟเฟตต์ลงทุนไปมากที่สุดตัวหนึ่งก็คือ หุ้นของบริษัทรถไฟในอเมริกาซึ่งบัฟเฟตต์มองว่าจะเริ่มได้เปรียบเมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้นมาก นอกจากนี้ บัฟเฟตต์ได้เข้าไปซื้อหุ้นบริษัทน้ำมันหลายบริษัทรวมถึงปิโตรไชน่าของจีน อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่เป็นโภคภัณฑ์ล้วน ๆ เช่นน้ำมันนั้น ก็ดูเหมือนว่าบัฟเฟตต์อาจจะเข้ามาซื้อขายแบบเก็งกำไรมากกว่าจะเป็นการถือยาว
ข้อห้า หุ้น “ตะวันตกดิน” หรือหุ้นที่ดูเหมือนว่าจะไม่โตเท่าไรนักแต่บริษัทเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งและมีเงินสดเหลือเฟือนั้น ถ้าดูกันจริง ๆ เป็นหุ้นที่บัฟเฟตต์ลงทุนอยู่เหมือนกันในอดีต นี่อาจจะเรียกว่าหุ้นแนวก้นบุหรี่หรือแนวของเกรแฮม บัฟเฟตต์ห่างเหินจากหุ้นแนวนี้มานาน อาจจะตั้งแต่หุ้นเบอร์กไชร์และหุ้นประเภทขายรองเท้าหรือทำเฟอร์นิเจอร์ แต่ที่น่าแปลกก็คือ บัฟเฟตต์เองก็เพิ่งไปซื้อกิจการหนังสือพิมพ์ที่ดูเหมือนว่ากิจการกำลังตกลงมาอย่างช้า ๆ แต่แน่นอน เนื่องจากการเข้ามาของสื่อทางอินเตอร์เน็ตทั้งหลาย เขาคงมองว่า ยังไงซะ Content หรือเนื้อหาที่เป็นข่าวสารก็ยังมีค่า และถึงวันหนึ่ง ผู้ผลิตข่าวสารก็อาจจะไม่ยอมให้คนอื่นเอาข่าวไปใช้แบบฟรี ๆ ในอินเตอร์เน็ต
ข้อหก สิ่งที่เปลี่ยนไปค่อนข้างชัดเจนก็คือ บัฟเฟตต์ซึ่งในอดีตไม่ใคร่สนใจลงทุนหุ้นในต่างประเทศเลยเพราะเขาอาจจะคิดว่าเขาสามารถเข้าถึงตลาดและลูกค้าต่างประเทศได้ผ่านการส่งออกของบริษัทที่เขาลงทุนในอเมริกา บัดนี้ บัฟเฟตต์ได้ออกไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้นและน่าจะมากขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มต้นจากจีนที่เขาได้เดินทางไปเยี่ยมเป็นประเทศแรก ๆ ยุโรป ต่อมาเข้าใจว่ามีเกาหลี ไม่ต้องพูดถึงอิสราเอลที่เขาดูว่ามีบริษัทที่สุดยอดระดับโลกทางด้านไฮเท็คอยู่ เขาคงมองเห็นแล้วว่าโลกกำลังเปลี่ยนไป อเมริกาอาจจะยังโดดเด่นอยู่ แต่ประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศโดยเฉพาะในเอเชียนั้นโตเร็วมาก
ข้อสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ บัฟเฟตต์ยังคงรักษาคุณสมบัติของการเป็นนักลงทุนที่ผมอยากเรียกว่า “กล้าและเย็นที่สุดในโลก” นั่นคือ เขาพร้อมที่จะเข้าซื้อหุ้นหรือลงทุนในกิจการที่ยอดเยี่ยมในภาวะวิกฤติที่สุดที่ราคาหุ้นตกลงมาอย่างหนัก เขาเพิ่งเข้าไปซื้อหุ้นที่ “ดีที่สุด” 8-9 บริษัทในยุโรปในยามที่ยุโรปกำลังอยู่ในภาวะที่จะ “ตายหรือจะรอด” นี่ก็เหมือนกับช่วงที่เขาเข้าซื้อหุ้นจำนวนมากรวมถึงหุ้นสถาบันการเงินในอเมริกาในช่วงซับไพร์มที่ทำให้เขาได้กำไรมหาศาล
ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงบางส่วนที่แสดงให้เห็นว่าบัฟเฟตต์เองนั้น แม่ว่าจะมีอายุกว่า 80 ปีแล้ว ก็ยังมี “วิวัฒนาการ” เขาอาจจะเป็นคน “โลว์เท็ค” ที่ไม่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในหลาย ๆ เรื่อง แต่ความคิดหรือจิตใจของเขานั้นผมเชื่อว่ายังทันสมัยอยู่เสมอ เขาไม่ลงทุนในหุ้น “ไฮเท็ค” ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะเขาไม่เข้าใจเท็คโนโลยี เขาอาจจะใช้มันไม่เป็นแต่เขารู้ว่าธุรกิจมัน “หากินยังไง” ผมเองเชื่อว่า ถ้าบริษัท “ไฮเท็ค” ตัวไหนที่สามารถรักษากำไรของตนเองได้ในระยะยาว ด้วยความเสี่ยงต่ำที่จะมีสิ่งอื่นมาทดแทน และด้วยราคาหุ้นที่ยุติธรรม บัฟเฟตต์ก็คงจะสนใจ เพียงแต่ว่า ในโลกของข้อมูลข่าวสารและอินเตอร์เน็ต หุ้นแบบนั้นอาจจะยังไม่มีในสายตาของบัฟเฟตต์
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2603
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ตามรอยบัฟเฟตต์/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 3
ขอบคุณครับ
คนเราจะมีความสุข มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีเท่าไร เเต่ขึ้นกับว่า เราพอเมื่อไร
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
-
- Verified User
- โพสต์: 368
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตามรอยบัฟเฟตต์/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 7
ล่าสุดบัฟเฟตเพิ่งซื้อหุ้นยุโรปตัวไหนบ้างครับ มีใครรู้บ้างครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 760
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตามรอยบัฟเฟตต์/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 9
ข้าน้อยขอคาระวะครับ
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 2690
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตามรอยบัฟเฟตต์/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 10
worapot_ta เขียน:ล่าสุดบัฟเฟตเพิ่งซื้อหุ้นยุโรปตัวไหนบ้างครับ มีใครรู้บ้างครับ
tesco 3.6% cost 1.7b
munich re 11.3% cost 2.9b
source:
http://www.berkshirehathaway.com/letters/2011ltr.pdf
-
- Verified User
- โพสต์: 2690
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตามรอยบัฟเฟตต์/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 11
เขาเพิ่งเข้าไปซื้อหุ้นที่ “ดีที่สุด” 8-9 บริษัทในยุโรปในยามที่ยุโรปกำลังอยู่ในภาวะที่จะ “ตายหรือจะรอด”
http://www.forbes.com/sites/steveschaef ... in-europe/
..
Buffett told CNBC Monday morning that he has purchased €175 million (about $235 million) stakes in eight European companies for Berkshire Hathaway‘s portfolio late last year, marking some of his biggest overseas bets.
SEC filings show that Buffett had three small European holdings as of the end of 2011: U.K. drugmaker GlaxoSmithKline (a stake worth $67.4 million at current prices), Ireland-based industrial products company Ingersoll-Rand ($25.7 million) and French healthcare firm Sanofi ($152.6 million).
As for the companies he added, Buffett said:
"I just thought these eight companies were cheap. And they obviously were affected by the European crisis. And in the end those eight companies I bought are going to be there five, 10, 20, 50 years from now.
.. And there may be something else that’s bothering the world 10 years or 20 years from now. There’s always going to be something that’s bothering the world. These companies will do fine regardless of what happens in Europe and there will probably be plenty that happens in Europe."
- crazyrisk
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 4562
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตามรอยบัฟเฟตต์/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 12
imerlot เขียน: tesco 3.6% cost 1.7b
munich re 11.3% cost 2.9b
source:
http://www.berkshirehathaway.com/letters/2011ltr.pdf
ท่าน imerlot ครับ ที่โชว์ในภาพ นี่คือ หุ้นทั้งหมดที่มีล่าสุด
แล้วที่ เขียนต่อท้าย นี่คือ หุ้นที่เพิ่ม add เข้าพอร์ต หรือเปล่าครับ
"Champions aren't made in gyms. Champions are made from something they have deep inside them: A desire, a dream, a vision.
-
- Verified User
- โพสต์: 2690
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตามรอยบัฟเฟตต์/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 13
ตอบคุณหมอK..
ท่าน imerlot ครับ ที่โชว์ในภาพ นี่คือ หุ้นทั้งหมดที่มีล่าสุด
แล้วที่ เขียนต่อท้าย นี่คือ หุ้นที่เพิ่ม add เข้าพอร์ต หรือเปล่าครับ
1. ถาม..โชว์ในภาพ นี่คือ หุ้นทั้งหมดที่มีล่าสุด ..(ตอบ..เฉพาะที่เกิน1billion จาก chairman letter ประจำปี2011 ออกล่าสุด 25/2/2012)
2. ถาม..ที่ เขียนต่อท้าย นี่คือ หุ้นที่เพิ่ม add เข้าพอร์ต หรือเปล่าครับ (ตอบ..buffet 27/2/2012 2 วันหลังจากนั้น
ให้สัมภาษณ์ 3 ช.ม. his annual "Ask Warren" CNBC full transcript ..ว่าได้ซื้อ 8 บ. ใน europe
http://www.cnbc.com/id/46541258/
BUFFETT: Yeah, I— but I look at stocks all over the world. But, sure, the big market is here. I mean— and I know the companies better here. But we— well, at year-end for example, we have a insurance subsidiary— reinsurance subsidiary in Germany. I bought seven international stocks then. In fact, I may have bought— I put— I put 175 million euros in each, I guess, of eight stocks, and they were all European stocks.
BECKY: When was this, at the— at year-end?
เ่ป็นหุ้นที่ ต่ำกว่า พันล้าน ประมาณ 175million euros ที่เพิ่ง เพิ่มตอนสิ้นปี 2011.
-
- Verified User
- โพสต์: 2690
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตามรอยบัฟเฟตต์/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 16
ถ้าขยันอ่าน ไปที่
http://quicktake.morningstar.com/stockn ... mbol=brk.a
http://quicktake.morningstar.com/stockn ... mbol=brk.a
- crazyrisk
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 4562
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตามรอยบัฟเฟตต์/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 17
imerlot เขียน:ถ้าขยันอ่าน ไปที่
http://quicktake.morningstar.com/stockn ... mbol=brk.a
เจ๋งมากเลยครับ พี่ imerlot
สงสัยต้องขอวิชาอีกเยอะๆครับ...
"Champions aren't made in gyms. Champions are made from something they have deep inside them: A desire, a dream, a vision.
-
- Verified User
- โพสต์: 2690
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตามรอยบัฟเฟตต์/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 18
-
- Verified User
- โพสต์: 2690
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตามรอยบัฟเฟตต์/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 19
อยากรู้ว่าทำไมเขาถึงซื้อหุ้น IBM..5.5% cost 10.9bอยากรู้ว่าทำไมเขาถึงซื้อหุ้นตัวนั้น ความหมายของมันคืออะไร เพื่อที่ว่าผมจะได้เรียนรู้และนำมาปรับใช้กับการลงทุนของตนเอง
พื้นฐาน..
"We view these holdings as partnership interests in wonderful businesses, not as marketable securities to
be bought or sold based on their near-term prospects. "
"Indeed, I can think of no major company that has had better financial management, a
skill that has materially increased the gains enjoyed by IBM shareholders. The company has used debt wisely, made
value-adding acquisitions almost exclusively for cash and aggressively repurchased its own stock."
คำตอบ..
"Today, IBM has 1.16 billion shares outstanding, of which we own about 63.9 million or 5.5%.
Naturally, what happens to the company’s earnings over the next five years is of enormous importance to us.
Beyond that, the company will likely spend $50 billion or so in those years to repurchase shares.
Our quiz for the
day: What should a long-term shareholder, such as Berkshire, cheer for during that period?
-
- Verified User
- โพสต์: 2690
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตามรอยบัฟเฟตต์/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 20
เดือน 3 ปีก่อน 2011As was the case with Coca-Cola in 1988 and the railroads in 2006, I was late to the IBM party. I have
been reading the company’s annual report for more than 50 years, but it wasn’t until a Saturday in March last
year that my thinking crystallized.
As Thoreau said, “It’s not what you look at that matters, it’s what you see.”
annual report ก็น่าจะเป็น 2010..คงจะเป็นอันนี้ ที่ทำให้ .. thinking crystallized
http://www.ibm.com/annualreport/2010/
ftp://public.dhe.ibm.com/annualreport/2 ... annual.pdf
-
- Verified User
- โพสต์: 2690
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตามรอยบัฟเฟตต์/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 21
...
buffet คงเห็น ความน่าจะเป็น มีความแน่นอนสูง..ที่จะออกมาแบบที่เขา เขียนไว้..จึงกล้าลง ไป10b
much like a Bridge player checking the probabilities of his opponents' hands...ในฐานะนักเล่นBridgeBuffett suggests that investors focus on the economics of the companies they own (in other words the underlying businesses), and then try to weigh the probability that certain events will or will not transpire, much like a Bridge player checking the probabilities of his opponents' hands. He adds that by focusing on the economic aspect of the equation and not the stock price, an investor will be more accurate in his or her ability to judge probability.
http://www.investopedia.com/articles/st ... z1is6xhYPa
buffet คงเห็น ความน่าจะเป็น มีความแน่นอนสูง..ที่จะออกมาแบบที่เขา เขียนไว้..จึงกล้าลง ไป10b
-
- Verified User
- โพสต์: 2690
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตามรอยบัฟเฟตต์/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 22
Charlie [Warren Buffett's partner] and I favor repurchases when two conditions are met:
(1) first, a company has ample funds to take care of the operational and liquidity needs of its business;
(2)second, its stock is selling at a material discount to the company’s intrinsic business value, conservatively calculated.
..
source:http://www.forbes.com/sites/investor/20 ... e-matters/
-
- Verified User
- โพสต์: 2690
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตามรอยบัฟเฟตต์/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 23
But during his big reveal of the IBM investment on CNBC, Buffett laid out at least three reasons why the investment shouldn't be a head-scratcher after all.
1. Great business. If there's something that Buffett loves, it's a company that's sticky -- that is, its customers pay it for goods or services over, and over, and over again. The classic example is razor blades, which consumers need to keep replacing as they wear out. Berkshire currently owns a 2.8% stake in Procter & Gamble (NYSE: PG ) , and that stems from P&G's takeover of Gillette, which Berkshire had a major stake in. Of IBM, Buffett said, "I just came away with a different view of the position that IBM holds within IT departments and why they hold it and the stickiness."
2. Management. Without a micromanager bone in his body, Buffett is a stickler for good management. In Buffett's view, IBM's management has been particularly effective, telling shareholders what they're going to do and then -- surprise! -- doing it.
3. Reverence for shareholders. Unfortunately, it's frightfully easy to track down companies that don't treat their shareholders right. They dilute the share count, misallocate capital, and hand executives huge pay packages for doing it. Not so with IBM, which Buffett believes makes sure to treat shareholders right.
...source:http://www.fool.com/investing/general/2 ... ffett.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 149
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตามรอยบัฟเฟตต์/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 26
IBMลดสัดส่วนจากHardware มาทำพวกServiceมากขึ้น
software as a service จะเป็นเทรนด์ในอนาคต
ล่าสุด ใช้Watson supercomputerที่โด่งดังชนะเกมส์โชว์ มาเอาใช้วิเคราะห์จัดportลงทุนให้ลูกค้าแล้ว
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=14&t=51457
ต่อไปคงใช้แทนคนได้แล้วหละ ไม่เกิน10ปี
software as a service จะเป็นเทรนด์ในอนาคต
ล่าสุด ใช้Watson supercomputerที่โด่งดังชนะเกมส์โชว์ มาเอาใช้วิเคราะห์จัดportลงทุนให้ลูกค้าแล้ว
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=14&t=51457
ต่อไปคงใช้แทนคนได้แล้วหละ ไม่เกิน10ปี