คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

[chatchai]

หลายคนชมผมเกินไปแล้วครับ ทุกวันนี้เวลานอนต้องผูกขาไว้ครับ กลัวตัวลอยเพราะคำชม แต่ถ้ามีปัญหางบการเงินที่ผมพอช่วยได้ก็ลองถามดูนะครับ จะช่วยแกะช่วยเกาให้สุดความสามารถครับ ของแบบนี้ต้องฝึกบ่อยๆครับ

[บุคคลทั่วไป]

ตอบคุณ Guest (แขกรับเชิญของเรา)
เรื่องการถือหุ้นบริษัทแบบที่ผมทำอยู่มันทำร้ายผมอย่างไรบ้าง บอกจริงๆว่าผมลืมคำถามนี้ไปแล้วทั้งๆที่ถามเอง ขอบคุณมากครับที่เตือนกันมา

การลงทุนแบบที่เราถือว่าเราเป็นเจ้าของบริษัทและจะถือหุ้นเฉพาะบริษัทที่เราเข้าใจในราคาที่ทำผลตอบแทนในระยะยาวให้เราได้ตามที่เราต้องการโดยถือไว้นานๆ นั้นมีทั้งข้อดีข้อเสียครับ ผมจะพูดถึงข้อเสียแล้วกัน

1) อย่างที่คุณพี่ CK บอกไว้ว่าหุ้นบริษัทเกรดเอมีจำกัด ยิ่งผมมี Criteria ในการเลือกหุ้นมากเท่าไหร่ ตัวเลือกผมก็น้อยลงไปเท่านั้น ทำให้เรามีข้อจำกัดในการลงทุนหนึ่งแล้วนะครับ

2) บางครั้งผมปล่อยให้โอกาสในการลงทุนหลุดลอยผ่านหน้าไปอย่างน่าเสียดาย เพียงเพราะผม Question อะไรบางอย่างในบริษัทนั้น เช่นอาจจะสงสัยงบการเงิน ผู้บริหาร หรือ อะไรก็ตามที่นึกขึ้นได้ แล้วมันก็เป็นแค่หมอกควัน กว่าจะรู้ตัวก็สายเสียแล้วครับ มีบริษัทดีๆที่ผมอยากเป็นเจ้าของแต่ตอนนี้เป็นไม่ได้เพราะราคาสูงเกินไป ต้องร้องเพลงรอให้ฝุ่นในตลาดหุ้นตอนนี้หายตลบก่อน

3) บางทีผมเห็นโอกาสแต่คว้าไม่ได้เพราะเงินหมด ผมไม่ขายบริษัทที่มีอนาคตดีของผมเพียงเพื่อเปลี่ยนไปซบ-อกบริษัทใหม่ การที่ผมจะทำอย่างนั้นได้ผมจะต้องมีความมั่นใจในบริษัทใหม่ของผมมากกว่าบริษัทเดิมที่ถืออยู่หลายเท่าครับ เพราะการที่เราเปลี่ยนบริษัทคือความเสี่ยงอย่างหนึ่ง เราต้องมั่นใจจึงจะควบคุมมันได้

4) ผมต้องมีความอดทนมากกว่าปกติครับในการที่เราจะถือบริษัทนี้ไปตลอด ในขณะที่หุ้นบริษัทของเราอาจจะกำลังดิ่งเหวด้วยการเทขายตามอารมณ์ของรายใหญ่ (อย่าบอกว่ากองทุนไม่ใช้อารมณ์ในการ"เล่น"หุ้น ผมไม่เชื่อครับ) หรือ ราคาหุ้นของบริษัทกำลังขึ้นจนเรากลัวตกกระไดขาหักตาย ผมต้องอดทนครับ ต้องทำใจให้สงบ (ผมแนะนำให้นักลงทุนฝึกสมาธิทุกวันครับ จะได้ไม่สติแตกเวลาตลาดหุ้นดิ่งนรก.......(เป็นนักลงทุนอย่าลืมเพลงดัง "สักวันฉันจะกลับมา"))

5) เอาข้อสุดท้ายแล้วกันเดี๋ยวจะมีคนหาว่าผมเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน ผมต้องมีความอดทนมากกว่าปกติครับ เวลาที่ผมเห็นราคาหุ้นตัวอื่นๆพุ่งกระฉูดแซงหน้าราคาหุ้นของบริษัท (ที่ยอดเยี่ยม) ของผมไปอย่างสวยงาม ผมได้แต่ท่องนะโม นะโม หลายๆจบครับ แล้วบอกกับตัวเองหลายๆครั้งต่อวันว่า "อาจารย์ Buffet บอกว่า ราคาหุ้นระยะสั้นไม่ได้เป็นตัวบอกมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท ให้ดูผลประกอบการของบริษัท เข้าใจมั๊ย ห่ะ ไอ้ลูกหมา" ผมก็ตอบกับตัวเองว่า "เข้าใจแล้วครับอาจารย์ ผมจะต้องดู Longterm Underlying Business Economic เป็นสาระสำคัญครับ" แล้วผมก็ล้มตัวลงนอนหลับสบายถึงเช้าเลยครับ โดยเฉพาะตอนนี้ผมต้องท่องคาถานี้แทบทุกวัน

แล้วท่านอื่นๆหละครับ มีประสบการณ์อย่างไรบ้าง?

[VIB007]

เมื่อกี้ลืมล๊อคอิน ผมวิบูลย์-007 โพสเองครับ......เฮ้อ ทำไมมันยุ่งยากยังงี้น่ะ ลืมล๊อคอินทุกที.....

[thanez]

พี่วิบูลย์ครับ ด้วยความที่ผมเพิ่งจะเข้าวงการนี้นะครับ แล้วผมก้อกลัวว่า
ในวัน tvi meeting ผมจะฟังไม่รู้เรื่อง หรือรู้เรื่องแต่ตามไม่ทัน ผมก้อเลยอยากจะเตรียมตัวก่อนนครับ พี่วิบูลย์ช่วยแนะนำหนังสือสักเล่ม
ที่เกี่ยวกับการคำนวณ การหาค่าต่างๆของงบการเงิน ที่มันเกี่ยวข้องกับที่พี่ๆจะต้องพูดพาดพิงถึงนะครับ ไทยก้อได้อังกฤษก้อได้ครับ จะได้บรรลุได้เร็วขึ้นนะครับ ขอบคุณครับ

[นักดูดาว]

ตอบคุณ Guest (แขกรับเชิญของเรา)
เรื่องการถือหุ้นบริษัทแบบที่ผมทำอยู่มันทำร้ายผมอย่างไรบ้าง บอกจริงๆว่าผมลืมคำถามนี้ไปแล้วทั้งๆที่ถามเอง ขอบคุณมากครับที่เตือนกันมา

2) บางครั้งผมปล่อยให้โอกาสในการลงทุนหลุดลอยผ่านหน้าไปอย่างน่าเสียดาย เพียงเพราะผม Question อะไรบางอย่างในบริษัทนั้น เช่นอาจจะสงสัยงบการเงิน ผู้บริหาร หรือ อะไรก็ตามที่นึกขึ้นได้ แล้วมันก็เป็นแค่หมอกควัน กว่าจะรู้ตัวก็สายเสียแล้วครับ มีบริษัทดีๆที่ผมอยากเป็นเจ้าของแต่ตอนนี้เป็นไม่ได้เพราะราคาสูงเกินไป ต้องร้องเพลงรอให้ฝุ่นในตลาดหุ้นตอนนี้หายตลบก่อน

ข้อนี้ผมเจอกับตัวเยอะมากครับ หุ้นมากมายผมไม่กล้าซื้อ หรือไม่กล้าถือยาว ..หลายบริษัทที่ผมไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับงบการเงิน หรือหมายเหตุประหลาดๆ บางประเด็น ..ไฝฝ้า ราคีอะไรพวกนั้น ..ทำให้ผมไม่ได้มองภาพรวมทั้งบริษัท พลาดโอกาสดีๆไปไม่น้อยครับ

เสียดายที่ผมไม่ได้ไปร่วมประชุมกับชาว TVI อยากเรียนรู้จากพี่วิบูลย์จริงๆครับ

ขอคารวะ

[chatchai]

ผมว่าเราลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ อย่าคิดว่าเราต้องได้กำไรสูงสุดเลยครับ คิดตั้งเป้าผลตอบแทนปานกลางก็พอ ที่สำคัญคุณต้องได้กำไรทุกปี โดยไม่ขาดทุน แค่นี้คุณก็จะมีอิสระภาพทางการเงินแน่นอนครับ ถ้าคิดอย่างนี้คุณจะไม่เครียดเวลาหุ้นตัวอื่นขึ้น และคุณจะไม่ประมาทในการลงทุนเพราะหวังผลตอบแทนที่รวดเร็ว อย่าลืมกฎทั้งสองข้อของ Buffett ครับ 1. อย่าขาดทุน 2. อย่าลืมข้อแรก ผมลงทุนค่อนข้าง Conservative พอสมควร จนบางทีก็พลาดหุ้นดีๆหลายบริษัทเช่นกัน แต่ตลอดเวลาที่ลงทุนแบบ VI ไม่เคยมีปีไหนที่มีผลตอบแทนขาดทุนเลย

[CK]

คุณ chatchai ครับ กำไรอย่างเดียวไม่พอครับ ควรจะตั้งเป้าให้
มากกว่าผลตอบแทนที่ความเสี่ยงต่ำมากๆเช่นฝากธนาคารหรือ
debt instrument ด้วยครับ

[ปรัชญา1]

พี่ปรัชญาครับ
ผมไม่เก่งวิเคราะห์เท่าคุณฉัตรชัยหรอกครับ (ขอเฉลย-ผมเป็นรุ่นน้องคุณฉัตรชัยครับ แก Personal Message มาคุยนับญาติกับผมแล้วครับ) ถ้าถามผมผมก็จะบอกว่า พี่แกเล่นแกะชนิดที่ฝรั่งเรียกว่า Scrutinize จนพรุนไปหมดเลยครับ ส่วนของผมเป็นแค่การ Investigate ครับตัวสมุดบัญชีเลยยังไม่ขาด ผมคงสู้พี่เขาไม่ได้ในเรื่องนี้

ต้องขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านครับ ผมชักตัวสั่นแล้ว กลัวชาวบ้านจับได้ว่าปล่อยไก่ไปหลายตัว ใครอยากรู้อะไรส่งคำถามมาได้ครับ ตอนนี้ขอไปประชุมก่อน

----------------------------------------------------------------------------
วิบูลย์-007

คุณวิบูลย์ คนเก่งวิเคราะห์ ก็ถ่มตัวเองเก่งอีก
จริงครับ คุณฉัตรชัยแกะงบบริษัทต่างๆเก่งแบบสับจนละเอียด
แต่มองมุมภาพกว้างๆ ผมยกให้คุณวิบูลย์ครับ
ช่วงกลางวันผมทำมาค้าขาย ไม่ได้เข้ามาคุย
เลยขอเข้ามาอ่านตอนเย็น ก่อนนอนครับ
ขอขอบคุณทุกความเห็น

เอ่อที่คุณฉัตรชัยว่า ได้กำไรทุกปี เรื่องจริงครับ
ผมก็ได้กำไรจากเงินปันผลทุกปีเหมือนกัน
พี่ครรชิต ไพศาล ก็ได้กำไรทุกปี จริงไหมครับคนสงขลาที่นับถือ

[THiNK]

พี่วิบูลย์ช่วยแนะนำหนังสือสักเล่ม

เห็นว่าจะถกกันโดยใช้หนังสือ Buffettology ครับ แต่ถ้าความรู้พื้นฐานเลย ขอแนะนำให้โหลดเอกสารของคุณมนมาอ่าน ได้เนื้อหากว้างๆของบัฟเฟทเลยผมว่า


ว่าแล้วก็ถามคุณวิบูลย์หนึ่งข้อ อ่านแล้วเห็นคุณวิบูลย์พูดถึง ROTC (Return on Total Capital) Total Capital นี่หมายถึง รวมหนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น ใช่หรือไม่ครับ
ROTC ควรใช้แทน ROE ในกรณีที่บริษัทมีหนี้มากๆใช่หรือไม่


ไหนๆก็ไหนๆ ฝากคุณมนอีกคน (กำลังทำการบ้านอยู่) ตอนท้ายๆเอกสารคุณมนพูดถึงตัวอย่างการวิเคราะห์
กำไรของเจ้าของที่คุณมนพูดถึง มันคือ FCF (Free Cash Flow) หรือเปล่าครับ เพราะมันดูเหมือนกับสูตรที่ Yoyo เขียนไว้ใน
http://www.thaivalueinvestor.com/webboa ... php?t=1186

ถ้าใช่ เงินทุนหมุนเวียนลดลง(เพิ่มขึ้น) ของคุณมน ก็คือ diff (เงินทุนหมุนเวียนจากการดำเนินงานสุทธิ) ของ Yoyo

ผมลองหาๆดูในงบการเงิน เขาไม่มีค่านี้ตรงๆ อันนี้หมายความว่า เราต้องหาเองใช่หรือเปล่าครับ ถ้าใช่

diff (เงินทุนหมุนเวียนจากการดำเนินงานสุทธิ) = (การเปลี่ยนแปลงในทรัพย์สินหมุนเวียน) - (การเปลี่ยนแปลงในหนี้สินหมุนเวียนที่ไม่ต้องเสียดอกเบี้ย)

การเปลี่ยนแปลง นี่คือเราเอาของปีก่อนมาลบกับของปีปัจจุบันใช่หรือเปล่าครับ

... เบื่อยังครับ เบื่อแล้วบอกด้วยนะครับ

(ใครสับสนอยู่ แนะนำให้เอางบการเงินบริษัทของจริงมากอ่านคู่กันกับตัวอย่างของคุณมน จะเข้าใจที่มาที่ไปดีขึ้นครับ)

[Jeng]

thanez ครับ ผมก็กลัวเหมือนกันว่าจะฟังไม่รู้เรื่อง

แต่มาคิดดูอีกที ไม่รู้เรื่องก็ยังดีกว่าไม่ได้ฟัง อย่างน้อยก็ได้รู้จักกัน และโทรคุยกันได้ครับ ผมเองก็โทรคุยกับคุณมน บ่อยๆ ส่วนวิบูลย์ เคยไปบ้านมา 2 ครั้ง แต่ยังไม่กล้าโทรไปคุย เพราะดูแล้ว น่าจะรู้อะไรลึกซึ้ง กะว่าเก่งก่อนค่อยโทรไป เผลอแป๊ปเดียว 8 เดือนแล้ว ที่ไม่ได้โทรไป

เวลาเดินเร็วครับ

โชคยังดีที่ซื้อหุ้นพื้นฐานดีไว้ ปล่อยให้เงินบางส่วน ทำงานแทนเรา

เวลาเดินเร็ว หมายถึง การประกาศงบ ไตรมาส 3 กำลังใกล้เข้ามา

เร็วจริงๆ

[PP]

ตอบคุณ Guest (แขกรับเชิญของเรา)

ที่จริงผมเองครับ แต่เพราะลืม login เลยทำให้กลายเป็นแขกมีหนวดไปตรับ ขอบคุณสำหรับข้อคิดที่ดีของการเป็น VI สุดๆ แต่ตามความเห็นจากการที่ได้ซึมซับหลักการจากการอ่านจากหนังสือ 2-3 เล่มอาจารย์ทั้ง 3 ท่านมา ผมว่าระยะยาวดีแน่ๆถ้าไม่หวอกแหวกจับจดเปลี่ยนแนวการลงทุน เช่น จาก VI ไปเป็น VS หรือ S พอเจ็บตัว ได้สติก็กลับมาเป็น VI แล้วกลับไปเป็น VS วนไปวนมา อันนี้ผมสังเกตดูจากกราฟผลงานของ Berkshire Hathaway ในหนังสือ "Buffet - The Making of an American Capitalist" (ไม่ทราบคุณวิบูลย์อ่านเล่มนี้ด้วยหรือเปล่าครับ ? ผมเพิ่งอ่านจบ 1 รอบ ...แกะแทบตายเหมือนกัน เป็นการเจาะลึกแบบ scrutinize ชีวิตของ อาจารย์ Buffet เข้าทีดี) จากปี 1965 -88 (23 ปี) ดูจะเป็นช่วงสะสมพลังของ Compounding Effect อืดเป็นเรือเกลือเลยล่ะ คือ แม้จะชนะ the Dow Industrials แต่ก็เป็นแบบรางรถไฟคู่ขนาน แต่พอหลังจากปี 1988 ปรากฏ Compounding Effect มันออกฤทธิ์เต็มที่ คราวนี้ไม่เป็นรางคู่ขนานแล้วครับ ผมว่าแรงCompounding Effect เหมือนกับแรงขับเคลื่อนที่อัดอั้นถูกสะสมมานานจนพ้นแรงโน้มถ่วงของโลกเลยพุ่งพรวดชนะแบบก้าวกระโดดแบบไม่ขนานอีกต่อไปจนถึงปัจจุบัน

[PP]

ขอโทษที่กดผิดแทนที่จะกด preview แต่กลับไปกด submit เลยทำให้ขาดตอนไปครับ

....ผมว่าต้องอาศัยเวลานานมาก (อดเปรี้ยวกินไว้กินหวาน ไม่ชิงสุกก่อนห่าม) คือ ต้องอึดต้องทนกับสิ่งที่คุณวิบูลย์ประสบมาและถ่ายทอดเป็นคำตอบที่ดีไว้ในกระทู้นี้นั่นแหละครับ ผมเองก็ขอร่วมขบวนการ VI เดียวกับคุณวิบูลย์ด้วยสักคน ขอทนอึด ทนอด ทนรอ ทนแดด ทนฝนไปเรื่อยๆครับ (แม้จะเพิ่งหัดตั้งไข่เป็น VI)

"..แต่ถ้ามีปัญหางบการเงินที่ผมพอช่วยได้ก็ลองถามดูนะครับ จะช่วยแกะช่วยเกาให้สุดความสามารถครับ ของแบบนี้ต้องฝึกบ่อยๆครับ"

ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้คุณฉัตรชัยกรุณาสรุปประเด็นสำคัญเมื่อต้องทำการวิเคราะห์ รายการงบดุล รายกการกำไรขาดทุน ว่ามีอะไรบ้าง แยกเป็นข้อๆเพื่อเป็นแนวทาง (ผมกำลังเริ่มพื้นฐานอ่านศึกษาจากหนังสือของ ดร.ภาพร และ ของตลาดหลักทรัพย์อยู่ครับ ยังจับประเด็นไม่ค่อยถูกครับ) หากจะยกตัวอย่างประกอบได้ยิ่งดีครับ เอาของ ไวท์กรุป ที่คุณฉัตรชัยเป็นเจ้าบ้านยิ่งดีครับ

เท่าที่อ่านบทความเกี่ยวกับเรื่องบัญชีในบางกอกโพสต์มา พบว่า ถ้าจำไม่ผิดนะครับ ราว 45% ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เชื่อถือได้ อีก 55% มีความไม่โปร่งใส่เล่นกลโกงบัญชีอยู่ (หรือกลับกันนั่นแหละครับ) อันนี้ผมไม่ทราบว่าเท็จจริงแค่ไหนอย่างไรตามประสบการณ์ที่ผ่านมาของคุณฉัตรชัย ช่วยเล่าให้ฟังด้วยก็จะดีมากครับ และในบางกอกโพสต์ฉบับ 8 ก.ย.46 หน้า Your Money เห็นเขาลงเรื่อง EVA (economic value added) - "มูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ" ของบริษัทจะน่าเชื่อถือกว่าการวิเคราะห์ระบบบัญชี เพราะประสบการณ์ในอเมริการเกี่ยวกับการตกแต่งบัญชีของ Enron และ World Com ทำให้ผู้ถือหุ้นบริษัทดังกล่าวเจ่งกันเป็นแถบๆ เลยทำให้กำเนิดวิธีนี้มา เห็นมีหนังสืออก ขื่อ EVA Challenge โดย Joel Stern, John Shiely และ Irwin Ross และในบ้านเรามีบริษัท Stern Stewart Thailand เป็นตัวแทน โดยมีคุณ Chieanchuang กัลยานมิตร เป็น director และมีบริษัท AIS ของท่านนายกฯใช้บริการมา 6 ปีแล้ว(เห็นบอกว่ายึดถือเป็นศาสนาประจำบริษัทเลยนะครับ) นอกจากนี้ก็มีบริษัทในตลาดหลักทรัพย์อื่นคือ PTT และ EGCOMP เพิ่งเริ่มทำเรื่องนี้ และที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์คือ น้ำตาลมิตรผล Coca - Cola ของอาจารย์ Buffet ก็ใช้ระบบนี้อยู่เหมือนกัน เห็นเขาบอกว่าระบบ EVA จะทำให้ผู้บริหารไม่เอาแต่ใจตัวเอง ไม่ใสใจผู้ถือหุ้น เพราะค่า EVA จะเป็นตัวบ่งชี้จี้ให้ผู้บริหารต้องมาใส่ใจกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในบริษัททุกกลุ่ม (ผู้บริหาร - พนักงาน - ผู้ถือหุ้น) รายละเอียดผมไม่ทราบนะครับ หากจะซักผมคงหมดปัญญาตอบ

หากเป็นไปได้ผมอยากให้คุณฉัตรชัยวิเคราะห์งบดุล กำไรขาดทุน ของบริษัท AIS(ใช้บริการเขามา 6 ปี) PTT และ EGCOMP เพื่อเทียบดูว่าเขาใช้ระบบ EVA แล้วทำอะไรให้บริษัทพัฒนาการไปในทางที่ดีขึ้นมากน้อยเพียงไรในแง่ของงบดุลกำไรขาดทุน โดยเฉพะ AIS (อันนี้ไม่ได้ชี้นำนะครับคุณ genie เพียงแต่ผมอยากให้เป็นกรณีศึกษาเท่านั้นเองแหละ)

ขอบคุณล่วงหน้าครับ

[Mon money]

จริงๆแล้วเราไม่ได้จำกัดอยู่ที่หนังสือ The Buffettology ครับ คำว่าBuffettology จะหมายถึงวิธีการของ Warren Buffett ครับ กว้างกว่าในหนังสือมาก

ไม่ต้องกลัวว่าจะฟังไม่รู้เรื่องครับ Buffettology เป็นวิธีการแบบง่ายๆ เข้าใจง่าย แต่มักไม่มีคนคิดให้ลึกซึ้งต่างหากครับ การเสวนาครั้งนี้จะเป็นการเปิดแนวคิดให้เห็นอย่างชัดเจนครับ

เรื่อง Ower's Earning นั้นก็คือ FCFแบบง่ายๆครับ add. Working cap. ต้องคำนวณเองจากงบการเงินครับ

การฟังเสวนาให้ได้ประโยชน์ควรทำการบ้านไปด้วยครับ จะได้มีคำถามที่ดีๆ ได้ประโยชน์อย่างเต็มที่

แล้วพบกันวันงานนะครับ

[chatchai]

ต้องขอโทษคุณ PP ด้วยครับ ผมคงไม่มีความสามารถที่จะเขียนสรุปเป็นข้อๆได้ครับ แต่ถ้าถามมาตอบไปคงจะดีกว่าครับ ส่วนตัวผมแล้วชอบบริษัทที่ไม่มีการถือหุ้นโยงใยกันมากนะครับ เพราะสามารถซุกซ่อนได้ง่าย

[PP]

"ต้องขอโทษคุณ PP ด้วยครับ ผมคงไม่มีความสามารถที่จะเขียนสรุปเป็นข้อๆได้ครับ..."

ไม่เป็นไรครับคุณฉัตรชัย หากมีจุดที่ต้องการค้นหาคำตอบในเรื่องงบดุล กำไรแบบถามมาตอบไป ผมต้องรบกวนคุณฉัตรชัยแน่ๆครับในโอกาสต่อไป

ท่านอื่นหากจะช่วยให้หลักการในทางปฏิบัติขั้นตอนในการตรวจสอบดูงบดุลกำไรขาดทุนของบริษัทที่เราสนใจ ตามที่ผมขอให้คุณฉัตรชัยชี้แนะแต่แรกเพื่อเป็นวิทยาทานไว้ในกระทู้นี้ จะขอบคุณยิ่งครับ

[VIB007]

สวัสดีทุกท่านครับ
พอดีเมื่อวานไปปฏิบัติภารกิจที่เมืองเหนือมาเลยไม่ได้เข้าเนต แต่กลับมาแล้วชื่นใจที่เห็นพี่ๆเพื่อนๆช่วยกันแชร์ประสบการณ์ดีๆให้น้องๆได้รับทราบเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต (ต้องขอโทษคุณพีพี ที่ไม่ได้ไปเยี่ยม)

ตอบคุณ Thanez เรื่องเตรียมตัวไปฟัง ขอบอกว่าเตรียมใจไปอย่างเดียวครับ ขอแค่หัวใจเป็น VI อย่างเดียว เรื่องอื่นสบายไปแปดอย่าง เรื่องฟังไม่รู้เรื่องไม่ต้องห่วง พี่พูดเป็นภาษาไทยครับ ไม่เข้าใจถามได้ทันที (ถ้าผมตอบไม่ได้ ยังมีอีกหลายท่านตอบได้ครับ)

เรื่องหนังสือยังไม่ต้องไปซื้อตอนนี้ รอดูก่อนในวันงานว่าเล่มไหนเหมาะกับเราค่อยไปลงทุนซื้อ ผมถือว่าการซื้อหนังสือคือการลงทุนอย่างหนึ่ง ดังนั้นเราควรตัดสินใจก่อนควักกระเป๋า และผมไม่ชอบก๊อปปี้ครับเพราะหนังสือเล่มนึงอยู่กับเราไปได้หลายสิบปี ซื้อใหม่แพงหน่อยแต่คุ้ม คิดง่ายๆ หนังสือเล่มที่แพงที่สุดที่ผมเคยซื้อคือ ราคา 2,750 บาทแต่มันทำเงินให้ผมมากกว่านั้นหลายเท่าครับ ซื้อหนังสือใหม่เถอะครับ เวลาอ่านจะได้รู้สึกเหมือนอ่านหนังสือเล่มเดียวกับอาจารย์ Buffet (มันได้ Feeling อย่างบอกไม่ถูก)

----------------------------------------------------------------------------------
วิบูลย์-007

[VIB007]

ผมขอเริ่มรายการศิราณีเลยนะครับ

ที่คุณนักดูดาวไม่ได้ไปงานคราวนี้ ไม่ต้องตกใจครับ ไม่ได้ไปไม่เป็นไร เพียรศึกษา ค้นคว้า ทดลอง ไม่เข้าใจถามพี่ๆที่เวปนี้ได้ ผมว่าทุกคนหวังดีกับน้องๆทั้งนั้นหละครับ (จริงมั๊ยครับ พวกพี่ๆทั้งหลาย) ส่วนตัวผมก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรหรอกครับ พอร์ตยังเล็กกระจิ๋วสู้พี่ฉัตรชัยก็ยังไม่ได้ แต่อาศัยจำๆอาจารย์มาแล้วทดลองทำดู แล้วก็เก็บมาเล่าความเปิ่นให้เพื่อนๆฟัง

ผมชอบคำว่า "Learning by Doing" ครับ ผมคิดว่าไม่มีประโยชน์ที่จะอ่านแล้วไม่ลองทำดู เราก็เรียนรู้ประสบการณ์จากตัวเราเองและผู้อื่น (ถ้าผิดเองจะจำได้ง่ายกว่านะ จริงมั๊ย) แล้วก็ค่อยๆแก้ไขยุทธฝีมือไปเรื่อยๆ ไม่มีใครเกิดมาแล้ววิ่งได้ครับ (นอกจากม้าและวัว ที่ผมยังไม่เคยเห็นม้าและวัวเป็นเศรษฐีเงินล้านสักตัว) เราต้องค่อยๆ คลาน ตั้งไข่ เดิน แล้วค่อยวิ่ง ครับ ส่วนผมตอนนี้คิดว่ากำลังกระตอกระแตอยู่ครับ แต่มั่นใจว่ามาถูกทาง เลยมาแชร์ประสบการณ์ให้ฟังกัน

ผมเห็นด้วยกับพี่ฉัตรชัยครับ ที่ว่าเราคงไม่สามารถทำกำไรได้สูงสุด ส่วนตัวผม พอร์ตผมทำผลตอบแทนได้ในระยะยาวเฉลี่ยปีละ 15-20% ผมก็พอใจแล้วครับ (ถึงแม้ว่าตอนนี้ผมจะได้มากกว่าหลายเท่า แต่โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน....... สาธุ) แม้แต่เซียนหุ้นอย่างอาจารย์ Buffet ของผมยังทำได้แค่เฉลี่ยปีละ 24% แต่ทำได้มาตลอด สักวันก็รวยเอง อย่างที่คุณพีพีอ่านเจอ (หนังสือเล่มของคุณพีพี ผมไม่มีครับ ตอนนี้มีค้างสต๊อคอยู่อีกหลายเล่ม ยังอ่านไม่ทัน) Compund Effect ต้องใช้เวลาครับ ตอนนี้เรายังจนๆอยู่ พอถึงวันนึงเพื่อนๆจะงงเองว่าไอ้นี่ได้มรดกมาจากไหน

แต่ก่อนผมก็"เล่น"หุ้นเหมือนคนทั่วไปหละครับ ได้กำไรมาหุ้นละบาท สองบาทก็ดีใจแล้ว ได้กำไรมา 5000 บาทดีใจมาก นึกว่าตัวเองเป็นเซียนกลับชาติมาเกิด พอตลาดไม่เป็นใจก็ขาดทุนย่อยยับ จนเข็ดขยาด สาบส่งตลาดหุ้นไป

คราวนี้ผมกลับมาใหม่พร้อมกับความรู้ที่อัดมาเต็มกระสอบ พร้อมกับพกคาถาที่อาจารย์ผมทั้งสามให้มาติดตัว ตั้งแต่ลงทุนตามแนว VI ผมก็ไม่เคยขาดทุนอีกเลย (แต่บางทีราคาหุ้นอาจจะลงในระยะสั้น แต่ในระยะยาว ราคาหุ้นจะสะท้อนปัจจัยพื้นฐานของบริษัทแน่นอน ถ้าพื้นฐานบริษัทเราดีไม่ต้องกังวล ซื้อเพิ่มก็ยังได้ เรียกว่า Dollar Cost Average Down)

ผมชอบคำพูดของหมอยรรยงค์ พันธุ์วงศ์กล่อมครับ (ถึงแม้ว่าจะคนละแนวกับผม หมอแกวิ่งตอนตลาดตก ผมไปวิ่งตอนตลาดขึ้น) ที่บอกว่า ถ้าจะเข้ามาในตลาดหุ้นคุณต้องมีความรู้ ไม่งั้นคุณก็กลายเป็นเหยื่อ

แล้วเพื่อนๆละครับ เป็นเหยื่อมากี่ครั้งแล้วครับ

-------------------------------------------------------
วิบูลย์-007

[Num]

ผมมีข้อสงสัยครับ อยากถามคุณวิบูลย์ หรือใครก็ได้เกี่ยวกับ DCF ว่ากระแสเงินสดที่หาได้นั้นควรย้อนหลังเฉลี่ยสักกี่ปีถึงจะดี โดยข้อมูลงบการเงินที่หาได้ก็มีข้อจำกัดเรื่องเวลาย้อนหลังซะด้วยเห็นอย่างมากก็ย้อนให้ 5 ปี รบกวนช่วยตอบด้วยครับ

[Jeng]

สมัครกิมเอ็ง ซิ ข้อมูลงบ การเงิน งบดุล งบกำไรขาดทุน งบกระแสเงินสด ดูย้อนหลังได้ประมาณ 10 ปีครับ

[VIB007]

สำหรับที่พี่ CK บอกว่าให้พอร์ตมีผลตอบแทนมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากนั้น สำหรับ VI พันธุ์แท้ไม่ต้องห่วงครับ ตอนนี้สบายมาก แค่ปันผลอย่างเดียว ไม่นับ Capital Gain ก็เกินแล้ว

สำหรับตัวผมเองมองว่าฝากแบงค์กินดอกมีความเสี่ยงมากกว่าซื้อหุ้นบริษัทครับ เพราะบางครั้งเราคิดว่าเงินต้นเราไม่หายก็จริงอยู่ แต่อำนาจการซื้อ (Purchasing Power) ของเราลดลงเพราะเงินเฝ้อทำให้ราคาสินค้ามันเพิ่มขึ้นทุกๆปี เงินเราก็มีค่าลดลง ถ้าผลตอบแทนของเราน้อยกว่าอัตราเงินเฝ้อ เงินที่เรามีอยู่ก็จะมีค่าน้อยลงครับ ใครที่มีเงินฝากมากอยู่ตอนนี้อย่าลำพองใจ ถ้าท่านไม่สามารถสร้างผลตอบแทนของเงินให้มากกว่าเงินเฝ้อละก็ เงินของท่านอาจจะกลายเป็นเศษกระดาษสักวัน

ส่วนที่พี่ปรัชญาชมผมนั้น ผมขอรับไว้ใส่กระหม่อมน้อยๆครับ ผมก็ตอบคำถามต่างๆได้เท่าที่สมองส่วนหน้าอันน้อยนิดจะจดจำมาเล่าให้เพื่อนๆฟังได้ แค่นั้นเองครับ

ที่คุณ Think ถามเรื่อง ROTC ถูกแล้วครับ Total Cpaital = Equity + Longterm Liability ครับ จริงๆแล้วต้องใช้สำหรับวิเคราะห์ทุกบริษัทหละครับ Bottomline ก็คือ ถ้าเป็นบริษัทปกติ ROTC เกิน 15% ก็เยี่ยม ถ้าเป็น Financial Institution, ROTC เกิน 3% ก็ถือว่ายอดครับ

ส่วนพี่เจ๋งนี่ แกเป็นก๊วนเดียวกับผมครับ เจอกันมาหลายที ก็พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์เป็นที่สนุกสนาน แต่พวกพี่เขาชอบมาถามผมว่าหุ้นตัวไหนดีน่าซื้อ ผมก็ไม่เคยบอกสักที (ยกเว้นหลังจากซื้อจนหนำใจแล้ว หรือราคาขึ้นไปแล้วถึงบอก ที่ไม่บอกนี่เพราะผมกลัวคาถาจะเสื่อมครับ กลัวคาถาสี่ข้อของผมไม่ขลังแล้วจะโดนพี่ๆเพื่อนๆหัวเราะเยาะเอา) สงสัยไม่ได้หุ้นเด็ดเลยไม่มาหากันอีกเลย 5555

เท่าที่ผมสังเกตผมว่าพี่เจ๋ง แกไปในแนว VS ซะเยอะ ผมเคยซื้อหุ้นบริษัทเดียวกับพี่เขาในเวลาไล่ๆกัน ตอนนี้พี่เขาขายไปแล้วครับ ส่วนผมยังถืออยู่ ขอบอกพี่เจ๋งว่าหุ้นตัวนั้นตอนนี้กำไร 70 กว่า% แล้วครับ (ขอบอก ฮิ ฮิ)

ส่วนเรื่อง EVA ของคุณพีพี เท่าที่ผมเคยใช้มาในตอนวิเคราะห์ผลประกอบการของบริษัทที่ทำงานอยู่ ฝรั่งมันบินมาสอนสูตรไว้ดังนี้ครับ
EVA=Cash Generated-Opportunity Cost of Capital
โดยคิดคร่าวๆดังนี้ครับว่าถ้าเราเอาเงินลงทุนของเราแทนที่จะมาลงทุนในปัจจุบัน แต่นำไปฝากแบงค์หรือทำอย่างอื่นจะได้ผลตอบแทนเท่าไหร่ เรียกว่า Opportunity Cost of Capital และปัจจุบันการลงทุนหรือ Business Unit ของเราสามารถ Generate Cash ออกมาได้เท่าไหร่

นำสองค่ามาลบกัน ถ้า EVA เป็นลบ ก็หมายความว่าเราเอาเงินลงทุนที่มีอยู่ไปทำอย่างอื่นดีกว่า อย่ามาเสียเวลากับสื่งที่ทำอยู่ในปัจจุบันเลย เขาเรียกว่าขาดทุนทางโอกาสเปล่าๆ

ข้อดีของ EVA คือเราจะมองการลงทุนของบริษัทเป็นการเสียโอกาสที่จะนำเงินก้อนเดียวกันไปทำอย่างอื่น เราจะพิจารณาตัวเลือกอื่นๆด้วยในการลงทุน

ข้อเสียของ EVA คือจะเป็นการมองแบบ Snap Short โดยไม่ได้พิจารณาถึง Marketing Startegy หรือ Brand Image มาประกอบ นอกเหนือจาก Financial Data ล้วนๆ และไม่ได้คิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นข้างหน้ามากพอ เช่น Business Unit นั้นมีความเจริญก้าวหน้าได้ในอนาคตก็ไม่ได้คะแนนเพิ่มแต่อย่างใด

หวังว่าคงเข้าใจความหมายของ EVA นะครับ แต่ผมก็ไม่รู้ว่าบริษัทอื่นๆจะเอาไปใช้ยังไงเหมือนกัน

--------------------------------------------------------------------------------------
วิบูลย์-007

[Jeng]

จริงๆแล้วก็อยากเป็น VI แต่จิตใจยังเข้าไม่ถึง

กำลังพยายามอยู่ครับวิบูลย์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

เท่าที่ผมสังเกตผมว่าพี่เจ๋ง แกไปในแนว VS ซะเยอะ 

[Jeng]

โค้ด: เลือกทั้งหมด

ส่วนผมยังถืออยู่ ขอบอกพี่เจ๋งว่าหุ้นตัวนั้นตอนนี้กำไร 70 กว่า% แล้วครับ (ขอบอก ฮิ ฮิ) 

อิอิ พี่ก็ได้กำไร 55 % เหมือนกัน แล้วเอาไปซื้อ SPI ตอนนี้ SPI กำไร 37 %

55 + 37 = 92 % แต่จริงๆแล้วได้ มากว่า 92 เพราะได้ 112.35 เปอร์เซ็นต์ครับ เอากำไรมาทำกำไร

คุยข่มเล่นๆ ตามประสาพี่น้อง ไม่มีอะไร

พอดีที่ขายเพราะคิดว่าไม่เข้าแนววอเรน แต่คุณมนบอกว่าตัวนี้แหละเข้าแนววอเรนแน่นอน

พี่ก็เลยต้องกลับมาทำการบ้านใหม่

[Num]

ขอโทษครับ ลืมถามอีกข้อ คือถ้าคำนวณได้มูลค่ากิจการแล้วต้องหักหนี้สินออกด้วยมั๊ยครับ เพราะกิจการแบ่งเป็นส่วนของเจ้าของและส่วนหนี้สิน

[VIB007]

สงสัยเป็น VS จะรุ่งกว่า VI แฮะ

แต่ยังไงผมก็ไม่เปลี่ยนแนวครับ เราต้องมั่นใจและศรัทธากับแนวคิดที่อาจารย์ทำมาแล้วสำเร็จ รวยช้าหน่อยแต่รวยอย่างมั่นคง ไม่เหนื่อย ไม่เพลีย (เพลียหัวใจเวลาหุ้นตก) ผมถือคติโบราณครับ "ช้าๆได้พร้าเล่มงาม" ใครจะว่าเชยก็ช่าง ผมก็จะเดินตามทางของผมครับ ใครจะตามมาไม่ตามก็แล้วแต่สะดวกครับ

ขอให้โชคดีทุกท่านครับ

[Jeng]

แหม ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ

พี่ว่า VI รุ่งกว่าอยู่แล้ว พี่ก็กำลังเดินตามวิบูลย์อยู่นะ

เดี๋ยววันสัมนา ขอฟังอย่างเดียวเลย

[VIB007]

ผมขอเป็นคนฟังด้วยได้มั๊ยครับ อยากได้ยินประสบการณ์จากพี่ๆทั้งหลายน่ะ จนถึงวันนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าจะพูดเรื่องอะไรดี มีใครอยากรู้เรื่องอะไรบ้าง ช่วยบอกทีจะได้เตรียมเรื่องไปคุยกันให้ได้ตามที่อยากจะรู้นะครับ แต่ขอบอกก่อนว่าบางคำถามผมอาจจะตอบไม่ได้ครับ ต้องขอแรงผู้รู้ท่านอื่นๆด้วย (ชักหวั่นๆยังไงไม่รู้ คุณ Mon ครับผมขอถอนตัวได้มั๊ยครับ)

ตอบคุณ Num
ถ้าหามูลค่าด้วย DCF ก็ต้องหักหนี้สินระยะยาวออกด้วยครับ

[Jeng]

ข่าวเรื่องวิบูลย์ ดังมากตอนนี้ แซวเล่น นะ ปรากกฎว่า TVI มีคนจอง 70 คนแล้ว และปิดรับสมัครแล้ว

เรื่องความรู้รับประกันเลยว่า วิบูลย์มีพอตัวครับ ยังไงก็ช่วยเหลือเพื่อนๆ ที่อาจจะกลายเป็นแมลงเม่าได้ หากไม่ได้ปรัชญา ในการลงทุนที่ถูกต้องครับ

ขอบคุณครับ

[VIB007]

ผมจะพยายามครับ พบกันวันอาทิตย์ครับ วันนี้กลับบ้านก่อนละครับ ศุกร์เย็น ฝนตกรถติด

โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ

[บุคคลทั่วไป]

"...(ต้องขอโทษคุณพีพี ที่ไม่ได้ไปเยี่ยม)"

ครับคุณวิบูลย์ เที่ยวหน้าถ้าขึ้นไปเชียงใหม่อีก กรุณาแวะเวียนไปเยี่ยมเยียนก็แล้วกัน ได้โอกาสจะขอให้ติวแนวทางการเป็น VI ที่ถูกต้องเป็นการส่วนตัวให้ผมสักนิดหน่อย แล้วผมจะเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารตอบแทนให้เป็นค่าวิชาก็แล้วกัน ถ้ายังไงก็ อีเมล์ให้ผมทราบที่[email protected]

" ......ฝรั่งมันบินมาสอนสูตรไว้ดังนี้ครับ EVA=Cash Generated-Opportunity Cost of Capital"

พอเข้าใจบ้างเล็กน้อยตามสูตรข้างต้น ส่วนสูตรที่ลงไว้ในบางกอกโพสต์ฉบับดังกล่าว จะเป็นอย่างนี้ครับ
EVA= Net operating profit after Tax (NOPT) - Capital Charge
ไม่ทราบหลักมันเหมือนกันหรือ เปล่า ต้องหาผู้รู้ทั้งหลายใน TVI ช่วยๆตีความกันหน่อยครับ สำหรับผมความรู้เรื่องเกี่ยวกับธุรกิจเท่าหางอึ๋ง แต่ก็พยายามหาความรู้จากการคลำอ่านตำรับตำราเอา เไม่มีเวลาและโอกาสไปเรียน MBA อย่างที่คุณฉัตรชัยเคยแนะนำไว้ในกระทู้อะไรจำไม่ได้แล้ว และอีกอย่างก็คืออายุเริ่มเป็นผู้สูงอายุแล้วตามเด็กไม่ค่อยทัน ผมก็รุ่นราวคราวเดียวกับคุณครรชิต ไพศาลนั่นแหละครับ แต่ใจยังหนุ่มอยู่นะ ผมเองยังคิดเสียดายตัวเองไม่รู้หลักการของอาจารย์แต่อายุน้อยๆ แล้วลงทุนแบบ VI จะได้มีโอกาสเห็นผลงานที่เป็นกอบเป็นกำเพราะมันต้องอาศัยเวลานานมากๆตามที่อ่านมานะครับ

[PP]

ว้า ขอโทษทีลืม login ครับ เป็นแขกมีหนวดไปอีกแล้ว ผมเองครับที่เขียนกระทู้ข้างบน

"สมัครกิมเอ็ง ซิ ข้อมูลงบ การเงิน งบดุล งบกำไรขาดทุน งบกระแสเงินสด ดูย้อนหลังได้ประมาณ 10 ปีครับ"

ผมก็สมัครที่ กิมเอ็ง ครับ ซื้อไปแล้ว 2-3 ตัวตั้งแต่ปลายเดือนที่แล้วไม่รู้ว่าหมู่หรือจ่า แต่ยังไม่ขาดทุนครับ กำไรเล็กน้อยเกือบ 10%

ผมอยากทราบว่าข้อมูลงบดุลนี้อยู่ใน website กิมเอ็งในส่วนไหนครับ ช่วยชี้แนะหน่อยก็แล้วกัน ถามมาร์เก็ตติ่งไม่ค่อยรู้จริงเพราะเพิ่งจบมาใหม่ด้านเศรษฐศาสตร์ ที่ผ่านๆมาผมไปโหลดมาจาก set.or.th เอา Form 56-1 ซึ่งข้อมูลย้อนหลังไม่กี่ปีเอง

ขอบคุณล่วงหน้านะครับ