เจาะประเด็นร้อน หุ้น CPALL "ถือ" หรือ "ขาย"
-
- Verified User
- โพสต์: 15
- ผู้ติดตาม: 0
เจาะประเด็นร้อน หุ้น CPALL "ถือ" หรือ "ขาย"
โพสต์ที่ 1
นับเป็น Talk of the town เลยก็ว่าได้สำหรับประเด็นเรื่องราคาที่ผันผวนของหุ้นพื้นฐานดีชื่อดัง CPALL
สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นว่าเป็นปัจจัยที่น่ากลัวก็คือการเห็นคนจำนวนมากพูดถึงเกี่ยวกับหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ซึ่งมันเกิดขึ้นกับหุ้น CPALL ในระยะหลังๆมานี้ สาเหตหนึ่งที่มีการตั้งกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับหุ้นก็คือ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตนเอง โดยการถามความเห็นจากนักเก็งกำไรคนอื่นๆ หรือเพื่อหาผู้ร่วมอุดมการณ์นั่นเอง เป็นเรื่องธรรมชาติที่คนเราจะรู้สึกอุ่นใจเมื่อรู้ว่าเราไม่ผิดปกติไปจากคนอื่น ไม่หลงซื้ออยู่คนเดียว (ดีใจที่เป็นหนึ่งในคนหมู่มาก)
ผมคิดว่าทฤษฏีผลประโยชน์ ของคุณ พิชัย จาวลา นั้นเป็นเรื่องที่น่าสนใจ และเนื้อหาใจความบางส่วนก็คล้ายกับสิ่งที่ถูกเขียนไว้ในหนังสือของเซียนหุ้นระดับโลก ผมขออนุญาติหยิบยกมาพูดสักประเด็นหนึ่ง
แท้จริงแล้วการเป็นหนึ่งในคนหมู่มาก (Mass) นั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าประทับใจนักในตลาดทุน เป็นที่รู้กันอยู่ว่าทุกๆครั้งที่มีการซื้อ ก็ต้องมีอีกฝั่งขาย ในเมื่อเราๆ (ที่ตั้งกระทู้) ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนรายย่อย การที่เราหลายๆคนซื้อหุ้นตัวใดตัวหนึ่งพร้อมๆกันเป็นจำนวนมากๆ ก็หมายความว่ามีผู้ถือหุ้นอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งอาจจะเป็นรายย่อยด้วยกันเอง สถาบัน หลักทรัพย์ หรือ นักลงทุนต่างชาติกำลังเทขายกันอยู่อย่างเมามันส์ แต่ไม่ว่าจะเป็นใครที่ขายอยู่ สุดท้ายผลที่ออกมาก็คือ "รายย่อย ซื้อสุทธิ"
ประโยคหนึ่งที่ทำให้ผมฉุกใจคิดขึ้นมาได้ก็คือ "เป็นไปได้จริงๆหรือ ที่ว่านักเก็งกำไรรายย่อยทุกคนจะเป็นฝ่ายที่ได้กำไรจากการซื้อขายหุ้น โดยที่อีกสามฝ่าย (สถาบัน บล. ต่างชาติ) ขาดทุนกันถ้วนหน้า ทั้งๆที่ฝ่ายตรงข้ามมีเม็ดเงินต่อคนหนากว่า มีข้อมูลวงใน และมีอำนาจในการควบคุมข่าวจากสื่อต่างๆ"
อย่างไรก็ตาม เรื่องของทฤษฏีผลประโยชน์นั้นก็ใช้ได้เฉพาะกับการ "เก็งกำไร" ซึ่่งน่ากลัวมากสำหรับคนที่เข้าซื้อหุ้นเก็งกำไรในช่วงที่ผ่านมา แต่หากมองถึงการลงทุนระยะยาวแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ พื้นฐาน ของหุ้น ซึ่งผมให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกเสมอ
อย่างที่ผมเคยกล่าวไว้ในบทความ [หลักเกณฑ์การเลือกหุ้นในแบบของผม] สิ่งที่ทำให้หุ้น CPALL มีค่า P/E ที่สูงมาก ประกอบไปด้วย อัตราการเติบโตที่สูง ผู้บริหารที่เก่ง และ Competitive Advantage โดยผมมองว่าค่า P/E นี้มีความหมายโดยนัยว่า "ขณะนี้ ตลาดยอมซื้อขายหุ้นกันที่ราคากี่เท่าของกำไรต่อหุ้น"
ลองมาดูข้อมูลในอดีตย้อนหลังของหุ้นตัวนี้กันครับ (CPALL)
ปี 2552 กำไรต่อหุ้นเติบโต 50% ตลาดซื้อขายกันที่ P/E 25.29 เท่า
ปี 2553 กำไรต่อหุ้นเติบโต 33% ตลาดซื้อขายกันที่ P/E 28.4เท่า
ปี 2554 กำไรต่อหุ้นเติบโต 20% ตลาดซื้อขายกันที่ P/E 29.16เท่า
ปี 2555 (คาดการณ์ว่า) กำไรต่อหุ้นเติบโต 20% และหากสิ้นปีราคาหุ้นปิดที่ตรงนี้ (37.25บาท) จะเทียบเท่ากับค่า P/E 34.88 เท่า
จากข้อมูลชุดนี้ จะเห็นได้ว่า
1. หุ้น CPALL มีอัตราการเติบโตที่สูง แต่มีแนวโน้มลดลง
2. หุ้น CPALL มีแนวโน้มค่า P/E ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งที่นักลงทุนควรให้ความสนใจก็คือ กลยุทธ์การลงทุน และการเปลี่ยนแปลงของบริษัท โดยหาก CPALL ไม่มีกลยุทธ์สร้างสรรค์ใหม่ๆเพิ่มขึ้นมา อย่างที่เคยทำในอดีต และหันมาขยายเปิดสาขาเพิ่มเพียงอย่างเดียว ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่อัตราการเติบโตของกำไรจะมีแนวโน้มลดลงไป จนวันหนึ่ง CPALL จะเปลี่ยนจากหุ้นโตเร็ว กลายเป็น หุ้นแข็งแกร่ง ก็เป็นได้ และเมื่อถึงจุดๆนั้น ค่า P/E ที่เคยสูงอย่างทุกวันนี้อาจจะไม่ได้รับการยอมรับ และส่งผลทำให้ราคาของหุ้นตกลงอย่างรวดเร็ว และรุนแรง อย่างไรก็ตาม ผมมีความเชื่อมั่นในตัวของผู้บริหารของบริษัทว่าจะไม่ปล่อยให้เป็นเช่นนั้นในเร็ววันนี้ แต่อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนครับ
การเติบโตที่สูงกว่า 20% ในตลอด 4ปีที่ผ่านมานี้ ก็แสดงให้เห็นส่วนหนึ่งแล้วว่า "บริษัทนี้ไม่ธรรมดา" โดยหากเพียงแค่บริษัทรักษาอัตราการเติบโตนี้ไปเรื่อยๆได้ในระยะยาว (ทำยากมากๆ) ทฤษฏีของเลขยกกำลังจะจัดการให้ทุกอย่างดีขึ้นเอง เพราะการเติบโตนั้นมันทบต้น ลองดูกันครับว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับราคาหุ้น ผมจะคำนวณให้ดูเล่นๆ โดยสมมุติว่ากำไรต่อหุ้นของบริษัทจะเติบโตขึ้น 20% เท่ากันทุกปีเป็นเวลา 10ปีต่อจากนี้
2012 กำไรต่อหุ้น 1.07
2013 กำไรต่อหุ้น 1.28
2014 กำไรต่อหุ้น 1.54
2015 กำไรต่อหุ้น 1.84
2016 กำไรต่อหุ้น 2.21
2017 กำไรต่อหุ้น 2.66
2018 กำไรต่อหุ้น 3.19
2019 กำไรต่อหุ้น 3.83
2020 กำไรต่อหุ้น 4.59
2021 กำไรต่อหุ้น 5.51
2022 กำไรต่อหุ้น 6.61
แน่นอนว่าแนวโน้มค่า P/E จะสูงขึ้นไปเรื่อยๆหากกำไรเติบโตเช่นนี้
คำนวณแบบ Conservative ที่ P/E 40 เท่า จะได้ราคาของหุ้น CPALL ในปีที่ 2012 อยู่ที่ประมาณ 265 บาท (โต 611.4% จากราคาปัจจุบัน เฉลี่ยปีละ 61.14%)
ประเด็นสำคัญเดียวที่คุณต้องขบคิดก็คือ บริษัทมีแนวโน้มจะโตอย่างน้อย 20% แบบนี้ต่อไปทุกปีหรือเปล่า ซึ่งถ้าหากคำตอบคือ "ใช่" คุณก็ไปคิดต่อว่าผลตอบแทน 61.14% ต่อปี (ยังไม่รวมเงินปันผลที่ได้รับในแต่ละปี) นั้นคุ่มค้ากับความเสี่ยงที่เหตุการณ์จะพลิกไม่เป็นตามแผนหรือไม่ ซึ่งถ้าหากคำตอบเป็น "คุ้ม" อีก ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณจะต้องขายหุ้นที่ถืออยู่นี้ออกไปแต่อย่างใด (สำหรับคนซื้อลงทุนระยะยาวที่ซื้อมาแล้วเท่านั้นนะครับ คนที่ยังไม่ซื้อ ไม่ได้หมายความว่าซื้อตรงนี้แล้วจะดี ซื้อเก็งกำไรนี่อีกเรื่องนึงครับ ซื้อเก็งกำไรต้องมีเรื่องของสัญญาณเทคนิคมาช่วย ซึ่งถ้าดูกราฟตอนนี้ก็ต้องบอกว่าไม่สวยนักครับ)
ปล. ปัจจุบันผมไม่มีหุ้นตัวนี้อยู่ใน port ครับ
ติดตามอ่านบทความของผมได้ที่ Blog : http://jo-of-glue.bloggang.com
หรือใน Facebook : http://www.facebook.com/JoOfGlueInvestmentTalk
ขอบคุณครับ
สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นว่าเป็นปัจจัยที่น่ากลัวก็คือการเห็นคนจำนวนมากพูดถึงเกี่ยวกับหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ซึ่งมันเกิดขึ้นกับหุ้น CPALL ในระยะหลังๆมานี้ สาเหตหนึ่งที่มีการตั้งกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับหุ้นก็คือ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตนเอง โดยการถามความเห็นจากนักเก็งกำไรคนอื่นๆ หรือเพื่อหาผู้ร่วมอุดมการณ์นั่นเอง เป็นเรื่องธรรมชาติที่คนเราจะรู้สึกอุ่นใจเมื่อรู้ว่าเราไม่ผิดปกติไปจากคนอื่น ไม่หลงซื้ออยู่คนเดียว (ดีใจที่เป็นหนึ่งในคนหมู่มาก)
ผมคิดว่าทฤษฏีผลประโยชน์ ของคุณ พิชัย จาวลา นั้นเป็นเรื่องที่น่าสนใจ และเนื้อหาใจความบางส่วนก็คล้ายกับสิ่งที่ถูกเขียนไว้ในหนังสือของเซียนหุ้นระดับโลก ผมขออนุญาติหยิบยกมาพูดสักประเด็นหนึ่ง
แท้จริงแล้วการเป็นหนึ่งในคนหมู่มาก (Mass) นั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าประทับใจนักในตลาดทุน เป็นที่รู้กันอยู่ว่าทุกๆครั้งที่มีการซื้อ ก็ต้องมีอีกฝั่งขาย ในเมื่อเราๆ (ที่ตั้งกระทู้) ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนรายย่อย การที่เราหลายๆคนซื้อหุ้นตัวใดตัวหนึ่งพร้อมๆกันเป็นจำนวนมากๆ ก็หมายความว่ามีผู้ถือหุ้นอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งอาจจะเป็นรายย่อยด้วยกันเอง สถาบัน หลักทรัพย์ หรือ นักลงทุนต่างชาติกำลังเทขายกันอยู่อย่างเมามันส์ แต่ไม่ว่าจะเป็นใครที่ขายอยู่ สุดท้ายผลที่ออกมาก็คือ "รายย่อย ซื้อสุทธิ"
ประโยคหนึ่งที่ทำให้ผมฉุกใจคิดขึ้นมาได้ก็คือ "เป็นไปได้จริงๆหรือ ที่ว่านักเก็งกำไรรายย่อยทุกคนจะเป็นฝ่ายที่ได้กำไรจากการซื้อขายหุ้น โดยที่อีกสามฝ่าย (สถาบัน บล. ต่างชาติ) ขาดทุนกันถ้วนหน้า ทั้งๆที่ฝ่ายตรงข้ามมีเม็ดเงินต่อคนหนากว่า มีข้อมูลวงใน และมีอำนาจในการควบคุมข่าวจากสื่อต่างๆ"
อย่างไรก็ตาม เรื่องของทฤษฏีผลประโยชน์นั้นก็ใช้ได้เฉพาะกับการ "เก็งกำไร" ซึ่่งน่ากลัวมากสำหรับคนที่เข้าซื้อหุ้นเก็งกำไรในช่วงที่ผ่านมา แต่หากมองถึงการลงทุนระยะยาวแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ พื้นฐาน ของหุ้น ซึ่งผมให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกเสมอ
อย่างที่ผมเคยกล่าวไว้ในบทความ [หลักเกณฑ์การเลือกหุ้นในแบบของผม] สิ่งที่ทำให้หุ้น CPALL มีค่า P/E ที่สูงมาก ประกอบไปด้วย อัตราการเติบโตที่สูง ผู้บริหารที่เก่ง และ Competitive Advantage โดยผมมองว่าค่า P/E นี้มีความหมายโดยนัยว่า "ขณะนี้ ตลาดยอมซื้อขายหุ้นกันที่ราคากี่เท่าของกำไรต่อหุ้น"
ลองมาดูข้อมูลในอดีตย้อนหลังของหุ้นตัวนี้กันครับ (CPALL)
ปี 2552 กำไรต่อหุ้นเติบโต 50% ตลาดซื้อขายกันที่ P/E 25.29 เท่า
ปี 2553 กำไรต่อหุ้นเติบโต 33% ตลาดซื้อขายกันที่ P/E 28.4เท่า
ปี 2554 กำไรต่อหุ้นเติบโต 20% ตลาดซื้อขายกันที่ P/E 29.16เท่า
ปี 2555 (คาดการณ์ว่า) กำไรต่อหุ้นเติบโต 20% และหากสิ้นปีราคาหุ้นปิดที่ตรงนี้ (37.25บาท) จะเทียบเท่ากับค่า P/E 34.88 เท่า
จากข้อมูลชุดนี้ จะเห็นได้ว่า
1. หุ้น CPALL มีอัตราการเติบโตที่สูง แต่มีแนวโน้มลดลง
2. หุ้น CPALL มีแนวโน้มค่า P/E ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งที่นักลงทุนควรให้ความสนใจก็คือ กลยุทธ์การลงทุน และการเปลี่ยนแปลงของบริษัท โดยหาก CPALL ไม่มีกลยุทธ์สร้างสรรค์ใหม่ๆเพิ่มขึ้นมา อย่างที่เคยทำในอดีต และหันมาขยายเปิดสาขาเพิ่มเพียงอย่างเดียว ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่อัตราการเติบโตของกำไรจะมีแนวโน้มลดลงไป จนวันหนึ่ง CPALL จะเปลี่ยนจากหุ้นโตเร็ว กลายเป็น หุ้นแข็งแกร่ง ก็เป็นได้ และเมื่อถึงจุดๆนั้น ค่า P/E ที่เคยสูงอย่างทุกวันนี้อาจจะไม่ได้รับการยอมรับ และส่งผลทำให้ราคาของหุ้นตกลงอย่างรวดเร็ว และรุนแรง อย่างไรก็ตาม ผมมีความเชื่อมั่นในตัวของผู้บริหารของบริษัทว่าจะไม่ปล่อยให้เป็นเช่นนั้นในเร็ววันนี้ แต่อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนครับ
การเติบโตที่สูงกว่า 20% ในตลอด 4ปีที่ผ่านมานี้ ก็แสดงให้เห็นส่วนหนึ่งแล้วว่า "บริษัทนี้ไม่ธรรมดา" โดยหากเพียงแค่บริษัทรักษาอัตราการเติบโตนี้ไปเรื่อยๆได้ในระยะยาว (ทำยากมากๆ) ทฤษฏีของเลขยกกำลังจะจัดการให้ทุกอย่างดีขึ้นเอง เพราะการเติบโตนั้นมันทบต้น ลองดูกันครับว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับราคาหุ้น ผมจะคำนวณให้ดูเล่นๆ โดยสมมุติว่ากำไรต่อหุ้นของบริษัทจะเติบโตขึ้น 20% เท่ากันทุกปีเป็นเวลา 10ปีต่อจากนี้
2012 กำไรต่อหุ้น 1.07
2013 กำไรต่อหุ้น 1.28
2014 กำไรต่อหุ้น 1.54
2015 กำไรต่อหุ้น 1.84
2016 กำไรต่อหุ้น 2.21
2017 กำไรต่อหุ้น 2.66
2018 กำไรต่อหุ้น 3.19
2019 กำไรต่อหุ้น 3.83
2020 กำไรต่อหุ้น 4.59
2021 กำไรต่อหุ้น 5.51
2022 กำไรต่อหุ้น 6.61
แน่นอนว่าแนวโน้มค่า P/E จะสูงขึ้นไปเรื่อยๆหากกำไรเติบโตเช่นนี้
คำนวณแบบ Conservative ที่ P/E 40 เท่า จะได้ราคาของหุ้น CPALL ในปีที่ 2012 อยู่ที่ประมาณ 265 บาท (โต 611.4% จากราคาปัจจุบัน เฉลี่ยปีละ 61.14%)
ประเด็นสำคัญเดียวที่คุณต้องขบคิดก็คือ บริษัทมีแนวโน้มจะโตอย่างน้อย 20% แบบนี้ต่อไปทุกปีหรือเปล่า ซึ่งถ้าหากคำตอบคือ "ใช่" คุณก็ไปคิดต่อว่าผลตอบแทน 61.14% ต่อปี (ยังไม่รวมเงินปันผลที่ได้รับในแต่ละปี) นั้นคุ่มค้ากับความเสี่ยงที่เหตุการณ์จะพลิกไม่เป็นตามแผนหรือไม่ ซึ่งถ้าหากคำตอบเป็น "คุ้ม" อีก ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณจะต้องขายหุ้นที่ถืออยู่นี้ออกไปแต่อย่างใด (สำหรับคนซื้อลงทุนระยะยาวที่ซื้อมาแล้วเท่านั้นนะครับ คนที่ยังไม่ซื้อ ไม่ได้หมายความว่าซื้อตรงนี้แล้วจะดี ซื้อเก็งกำไรนี่อีกเรื่องนึงครับ ซื้อเก็งกำไรต้องมีเรื่องของสัญญาณเทคนิคมาช่วย ซึ่งถ้าดูกราฟตอนนี้ก็ต้องบอกว่าไม่สวยนักครับ)
ปล. ปัจจุบันผมไม่มีหุ้นตัวนี้อยู่ใน port ครับ
ติดตามอ่านบทความของผมได้ที่ Blog : http://jo-of-glue.bloggang.com
หรือใน Facebook : http://www.facebook.com/JoOfGlueInvestmentTalk
ขอบคุณครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1123
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เจาะประเด็นร้อน หุ้น CPALL "ถือ" หรือ "ขาย"
โพสต์ที่ 3
กระทู้CPALLเยอะจริงๆช่วงนี้Poet เขียน: แน่นอนว่าแนวโน้มค่า P/E จะสูงขึ้นไปเรื่อยๆหากกำไรเติบโตเช่นนี้
คำนวณแบบ Conservative ที่ P/E 40 เท่า จะได้ราคาของหุ้น CPALL ในปีที่ 2012 อยู่ที่ประมาณ 265 บาท (โต 611.4% จากราคาปัจจุบัน เฉลี่ยปีละ 61.14%)
คุณpoet คุณคิดแบบ CONSERVATIVE ที่ PE40เท่า แน่ใจนะว่าคุณไม่ได้พิมผิด?????????
ความยากจนในจิตใจ คือความยากจนที่แท้จริง
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เจาะประเด็นร้อน หุ้น CPALL "ถือ" หรือ "ขาย"
โพสต์ที่ 4
น่าจะเป็นราคาปี 2022 มากกว่าครับsakkaphan เขียน:กระทู้CPALLเยอะจริงๆช่วงนี้Poet เขียน: แน่นอนว่าแนวโน้มค่า P/E จะสูงขึ้นไปเรื่อยๆหากกำไรเติบโตเช่นนี้
คำนวณแบบ Conservative ที่ P/E 40 เท่า จะได้ราคาของหุ้น CPALL ในปีที่ 2012 อยู่ที่ประมาณ 265 บาท (โต 611.4% จากราคาปัจจุบัน เฉลี่ยปีละ 61.14%)
คุณpoet คุณคิดแบบ CONSERVATIVE ที่ PE40เท่า แน่ใจนะว่าคุณไม่ได้พิมผิด?????????
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
- ส.สลึง
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3750
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เจาะประเด็นร้อน หุ้น CPALL "ถือ" หรือ "ขาย"
โพสต์ที่ 5
ประเด็นคือ conservative คิด pe=40 เท่า
ในปี 2022 มัน conservative ได้ยังไง ?
ผมคิดว่าเป็นไปได้ ถ้านักลงทุนรู้ว่า cpall
จะโตต่อไปเรื่อยๆ ไปจนถึงปี 2032
แต่ผมไม่เก่งขนาดนั้น แค่ภาพ 5 ปี
ผมก็มองไม่ค่อยจะออกแล้ว
ในปี 2022 มัน conservative ได้ยังไง ?
ผมคิดว่าเป็นไปได้ ถ้านักลงทุนรู้ว่า cpall
จะโตต่อไปเรื่อยๆ ไปจนถึงปี 2032
แต่ผมไม่เก่งขนาดนั้น แค่ภาพ 5 ปี
ผมก็มองไม่ค่อยจะออกแล้ว
"วิถีรักษ์โลก บ้าน 1 หลัง รถ 1 คัน สาว 1 คน กางเกงใน 1 ตัว" <( ̄︶ ̄)> ...
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3352
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เจาะประเด็นร้อน หุ้น CPALL "ถือ" หรือ "ขาย"
โพสต์ที่ 6
คำตอบมันชัดเจนอยู่แล้วว่า CPALLไม่มีทางเติบโตได้ 20% ตลอดไป และอนาคตเป็นที่แน่นอนว่าวันใดวันหนึ่ง CPALL จะกลายเป็นหุ้นแข็งแกร่ง เป็นหุ้นที่อิ่มตัว โตได้ตาม GDP ตาม Consumption ของประเทศ
แต่คำถาม คือ วันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่มากกว่า
แต่ก่อนที่จะไปถามคำถามนั้น ลองย้อนกลับมาดูก่อนไหมครับว่าที่ผ่านมา CPALL เติบโตในอัตราที่สูงกว่า GDP เพราะ อะไร ปัจจัยนั้นยังคงอยู่ไหม และ เมื่อไหร่ที่ปัจจัยนั้นจะหมดไป เช่น EoS จากการมีสาขา จากการต่อรอง Supplier จากการไปกินแชร์ของ Traditional Trade จากการขยายสาขาแบบแฟรนไชซ์ จากการทำ House Brand จากการขอค่าการตลาด จากการใช้พื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ ฯลฯ
แล้วก็มาดูอนาคตว่าจะรีดไขมันได้จากตรงไหนอีก จะรีดเลือดจากปูตัวไหนได้อีก แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างมีขีดจำกัดของมัน สีกวันหนึ่ง CPALL จะไม่ใช่ Growth Stock อีกต่อไปอย่างแน่นอน
คำถามคือ คุณรู้ไหมว่าพวกนักลงทุนที่ชาญฉลาด เค้า track indicator ตัวไหน เพื่อดูว่าสถานะของหุ้นกำลังเปลี่ยนไป ถ้าคุณรู้ คุณก็จะปลอดภัยมากขึ้นอีกนิดหนึ่ง เรียกว่ามีโอกาสออกจากงานเลี้ยงได้ก่อนคนอื่นอีกหน่อยนึง จะได้ไม่ต้องอยู่ล้างจาน
แต่คำถาม คือ วันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่มากกว่า
แต่ก่อนที่จะไปถามคำถามนั้น ลองย้อนกลับมาดูก่อนไหมครับว่าที่ผ่านมา CPALL เติบโตในอัตราที่สูงกว่า GDP เพราะ อะไร ปัจจัยนั้นยังคงอยู่ไหม และ เมื่อไหร่ที่ปัจจัยนั้นจะหมดไป เช่น EoS จากการมีสาขา จากการต่อรอง Supplier จากการไปกินแชร์ของ Traditional Trade จากการขยายสาขาแบบแฟรนไชซ์ จากการทำ House Brand จากการขอค่าการตลาด จากการใช้พื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ ฯลฯ
แล้วก็มาดูอนาคตว่าจะรีดไขมันได้จากตรงไหนอีก จะรีดเลือดจากปูตัวไหนได้อีก แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างมีขีดจำกัดของมัน สีกวันหนึ่ง CPALL จะไม่ใช่ Growth Stock อีกต่อไปอย่างแน่นอน
คำถามคือ คุณรู้ไหมว่าพวกนักลงทุนที่ชาญฉลาด เค้า track indicator ตัวไหน เพื่อดูว่าสถานะของหุ้นกำลังเปลี่ยนไป ถ้าคุณรู้ คุณก็จะปลอดภัยมากขึ้นอีกนิดหนึ่ง เรียกว่ามีโอกาสออกจากงานเลี้ยงได้ก่อนคนอื่นอีกหน่อยนึง จะได้ไม่ต้องอยู่ล้างจาน
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1139
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เจาะประเด็นร้อน หุ้น CPALL "ถือ" หรือ "ขาย"
โพสต์ที่ 7
การตัดสินใจซื้อขายหุ้นทุกครั้ง เราจะมีสมมติฐานของเราอยู่
ถูกบ้างผิดบ้าง สมเหตุผลบ้าง ไม่สมเหตุผลบ้าง
เราคงต้องมาประเมินสมมติฐานของตัวเองว่า
มันสมเหตุสมผลและมีโอกาสถูกต้องแค่ไหน
แต่จากที่โพสมา การที่เราจะให้ค่า p/e กับ cpall ในปี 2022 ที่ 40 เท่า
ตั้งแต่ในปี 2012 เราต้องมองออกยาวมากๆ อย่างในกรณีนี้คือคิดว่าหลังปี 2022
บริษัทก็จะยังโตเร็วไปอีกนานหลายปี คงต้องถามตัวเองว่ามองออกอย่างนั้นจริงหรือเปล่า
หรือเป็น anchoring คือก็ใช้ตัวเลขที่ใกล้เคียงกับปัจจุบันเป็นหลักเหมือนอย่างที่
Mary Buffett เขียนใน Buffettology
ตอน cpall มี 3000 สาขาเมื่อปี 2549 มันก็มองการเติบโตง่ายกว่าตอนนี้ที่มี 6000 กว่าสาขา
ตอนปี 2022 บริษัทคงจะมีสาขาเกิน 10000 แล้ว มันก็ยิ่งมองการเติบโตยากขึ้นไปอีก ผมไม่ได้บอกว่า
บริษัทจะโตได้หรือไม่ได้ แต่คิดว่า การที่จะบอกว่าบริษัทจะโตได้หรือโตไม่ได้ ต้องอาศัย
สมมติฐานที่สมเหตุสมผล ไม่ใช่แค่การอิงกับตัวเลขปัจจุบันหรือความสามารถของผู้บริหาร
ถูกบ้างผิดบ้าง สมเหตุผลบ้าง ไม่สมเหตุผลบ้าง
เราคงต้องมาประเมินสมมติฐานของตัวเองว่า
มันสมเหตุสมผลและมีโอกาสถูกต้องแค่ไหน
แต่จากที่โพสมา การที่เราจะให้ค่า p/e กับ cpall ในปี 2022 ที่ 40 เท่า
ตั้งแต่ในปี 2012 เราต้องมองออกยาวมากๆ อย่างในกรณีนี้คือคิดว่าหลังปี 2022
บริษัทก็จะยังโตเร็วไปอีกนานหลายปี คงต้องถามตัวเองว่ามองออกอย่างนั้นจริงหรือเปล่า
หรือเป็น anchoring คือก็ใช้ตัวเลขที่ใกล้เคียงกับปัจจุบันเป็นหลักเหมือนอย่างที่
Mary Buffett เขียนใน Buffettology
ตอน cpall มี 3000 สาขาเมื่อปี 2549 มันก็มองการเติบโตง่ายกว่าตอนนี้ที่มี 6000 กว่าสาขา
ตอนปี 2022 บริษัทคงจะมีสาขาเกิน 10000 แล้ว มันก็ยิ่งมองการเติบโตยากขึ้นไปอีก ผมไม่ได้บอกว่า
บริษัทจะโตได้หรือไม่ได้ แต่คิดว่า การที่จะบอกว่าบริษัทจะโตได้หรือโตไม่ได้ ต้องอาศัย
สมมติฐานที่สมเหตุสมผล ไม่ใช่แค่การอิงกับตัวเลขปัจจุบันหรือความสามารถของผู้บริหาร
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1139
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เจาะประเด็นร้อน หุ้น CPALL "ถือ" หรือ "ขาย"
โพสต์ที่ 8
และถ้าเราให้ p/e เท่าเดิม ราคาหุ้นก็จะเพิ่มขึ้นเท่ากับการเติบโตของกำไรต่อหุ้น
-
- Verified User
- โพสต์: 15
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เจาะประเด็นร้อน หุ้น CPALL "ถือ" หรือ "ขาย"
โพสต์ที่ 9
@ คุณ MYBIZ
หากคิดแบบนั้นคือ อัตราผลตอบแทนแบบทบต้นครับ
@คุณ sakkaphan , chatchai
ผมหมายถึงปี 2022 ครับ แก้ไขแล้ว ขอบคุณมาก ซึ่งนั่นอยู่ภายใต้สมมุติฐานว่าหุ้นตัวนี้จะคงอัตราการเติบโตไว้ได้ที่ 20% ครับ ซึ่งแน่นอนว่ายากมาก
@ คุณ picatos
ถูกต้องครับ นั่นคือประเด็นเลยก็ว่าได้ เสริมได้ยอดเยี่ยมมากครับ
@คุณ WEB
ใช่ครับ ยิ่งมีขนาดกิจการใหญ่ขึ้นก็ยิ่งทำให้โตยากขึ้น แต่ผมต้องยอมรับว่า 3-4 ปีที่ผ่านมาขนาดของกิจการก็ไม่ได้เล็ก แต่ผู้บริหารก็ยังทำให้โตได้ขนาดนี้ นับว่าไม่เลวครับ
หากคิดแบบนั้นคือ อัตราผลตอบแทนแบบทบต้นครับ
@คุณ sakkaphan , chatchai
ผมหมายถึงปี 2022 ครับ แก้ไขแล้ว ขอบคุณมาก ซึ่งนั่นอยู่ภายใต้สมมุติฐานว่าหุ้นตัวนี้จะคงอัตราการเติบโตไว้ได้ที่ 20% ครับ ซึ่งแน่นอนว่ายากมาก
@ คุณ picatos
ถูกต้องครับ นั่นคือประเด็นเลยก็ว่าได้ เสริมได้ยอดเยี่ยมมากครับ
@คุณ WEB
ใช่ครับ ยิ่งมีขนาดกิจการใหญ่ขึ้นก็ยิ่งทำให้โตยากขึ้น แต่ผมต้องยอมรับว่า 3-4 ปีที่ผ่านมาขนาดของกิจการก็ไม่ได้เล็ก แต่ผู้บริหารก็ยังทำให้โตได้ขนาดนี้ นับว่าไม่เลวครับ
- Linzhi
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1522
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เจาะประเด็นร้อน หุ้น CPALL "ถือ" หรือ "ขาย"
โพสต์ที่ 11
การเติบโตของค้าปลีกสมัยใหม่ในไทยจะจบลงตรงไหน น่าติดตามจริง ๆ
http://www.pwc.com/en_in/in/assets/pdfs ... nefits.pdf
จุดดีอีกอย่างของพวกค้าปลีกคือ ประเทศเศรษฐกิจใหม่จะถูก drive ด้วย domestic consumption ก็เป็นจุดที่ธุรกิจพวกนี้จะเก็บเกี่ยวต่อไปได้อีก แต่แบบว่า 20% ไปอีก 10 ปีก็หินสุดๆ สำหรับบริษัทๆนึง
http://www.pwc.com/en_in/in/assets/pdfs ... nefits.pdf
จุดดีอีกอย่างของพวกค้าปลีกคือ ประเทศเศรษฐกิจใหม่จะถูก drive ด้วย domestic consumption ก็เป็นจุดที่ธุรกิจพวกนี้จะเก็บเกี่ยวต่อไปได้อีก แต่แบบว่า 20% ไปอีก 10 ปีก็หินสุดๆ สำหรับบริษัทๆนึง
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.
- PRO_BABY
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1584
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เจาะประเด็นร้อน หุ้น CPALL "ถือ" หรือ "ขาย"
โพสต์ที่ 12
ถ้าราคา 265 บาท/หุ้น มูลค่าตลาด เกิน 2 ล้านล้านเลยนะครับ กำไร 70000 ล.ก็พีอี30เท่า ผมว่าอาจเป็นไปได้ครับ แต่น่าจะยากพอควร เกือบถึง 1 แสนล้านเหรียญ
-
- Verified User
- โพสต์: 2236
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เจาะประเด็นร้อน หุ้น CPALL "ถือ" หรือ "ขาย"
โพสต์ที่ 14
PE 40!!!ปี2022... สำหรับผมตอนนี้PE40ก็แพงโคตรๆแล้ว อีก10ข้างหน้าซึ่งไม่รู้ว่าgrowthจะเหลือเท่าไหร่มันไม่โคตรๆๆๆๆๆๆแพงเหรอครับ ส่วนตัวคิดว่า ณ ราคาระดับนี้บริษัทจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอะไรซักอย่างที่ช่วยยกระดับชึ้นไปอีกขั้น เช่น ลงทุนในต่างประเทศ (จะเข้าไปทำเองเลยแต่ต้นหรือเข้าไปซื้อกิจการอย่างไรก็แล้วแต่) ผมถึงจะเห็นว่าราคานี้พอที่จะยอมรับได้ ส่วนตอนนี้ขอนั่งดูเฉยๆดีกว่า
ปล.จริงๆตอนนี้ราคาเท่ากับเป้าที่ผมคำนวนไว้ว่าจะซื้อเลย แต่เป็นราคาก่อนแจกหุ้นปันผลนะ
ปล.จริงๆตอนนี้ราคาเท่ากับเป้าที่ผมคำนวนไว้ว่าจะซื้อเลย แต่เป็นราคาก่อนแจกหุ้นปันผลนะ
นักเลงคีย์บอร์ด4.0
- simplelife
- Verified User
- โพสต์: 756
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เจาะประเด็นร้อน หุ้น CPALL "ถือ" หรือ "ขาย"
โพสต์ที่ 15
cough โลตัสที่จีน ?? cough coughharikung เขียน:ส่วนตัวคิดว่า ณ ราคาระดับนี้บริษัทจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอะไรซักอย่างที่ช่วยยกระดับชึ้นไปอีกขั้น เช่น ลงทุนในต่างประเทศ (จะเข้าไปทำเองเลยแต่ต้นหรือเข้าไปซื้อกิจการอย่างไรก็แล้วแต่)
"I believe what I said yesterday. I don't know what I said, but I know what I think... and I assume it's what I said." -- Donald Rumsfeld
-
- Verified User
- โพสต์: 332
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เจาะประเด็นร้อน หุ้น CPALL "ถือ" หรือ "ขาย"
โพสต์ที่ 16
นักลงทุนระยะยาวผมบอกได้เลยว่า ราคาที่สูงนำกำไรอย่างนี้ p/e 40!!
ควรจะหลีกเลี่ยงหุ้นตัวนี้ หากบริษัทมีการเติบโตที่อ่อนลงนั่นอาจเป็นสัญญาณการเลิกงานเลี้ยง
ควรจะหลีกเลี่ยงหุ้นตัวนี้ หากบริษัทมีการเติบโตที่อ่อนลงนั่นอาจเป็นสัญญาณการเลิกงานเลี้ยง
- leaderinshadow
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1765
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เจาะประเด็นร้อน หุ้น CPALL "ถือ" หรือ "ขาย"
โพสต์ที่ 17
ถ้าคิดจะซื้อหุ้น PE 40 เท่า ก็ควรคาดหวังการเติบโตของกำไรเฉลี่ยปีละ 40%
ต่อเนื่องไปอีก 5-10 ปี ข้างหน้าครับ ถึงจะดูสมเหตุสมผล (จะได้ PEG ประมาณ1)
ถ้าทำไม่ได้ ก็...
ตลาดอาจจะปรับ PE ลงได้ครับ
แต่ถ้าเป็นภาวะฟองสบู่ PE ก็อาจจะสูงอยู่อย่างนั้น จนกว่าฟองสบู่จะแตก...
ต่อเนื่องไปอีก 5-10 ปี ข้างหน้าครับ ถึงจะดูสมเหตุสมผล (จะได้ PEG ประมาณ1)
ถ้าทำไม่ได้ ก็...
ตลาดอาจจะปรับ PE ลงได้ครับ
แต่ถ้าเป็นภาวะฟองสบู่ PE ก็อาจจะสูงอยู่อย่างนั้น จนกว่าฟองสบู่จะแตก...
-
- Verified User
- โพสต์: 520
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เจาะประเด็นร้อน หุ้น CPALL "ถือ" หรือ "ขาย"
โพสต์ที่ 18
น่าจะมีปุ่มให้กด like มุกนี้นะเนี่ยะsimplelife เขียน:cough โลตัสที่จีน ?? cough coughharikung เขียน:ส่วนตัวคิดว่า ณ ราคาระดับนี้บริษัทจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอะไรซักอย่างที่ช่วยยกระดับชึ้นไปอีกขั้น เช่น ลงทุนในต่างประเทศ (จะเข้าไปทำเองเลยแต่ต้นหรือเข้าไปซื้อกิจการอย่างไรก็แล้วแต่)
In the long run, We are all dead.
- KGYF
- Verified User
- โพสต์: 399
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เจาะประเด็นร้อน หุ้น CPALL "ถือ" หรือ "ขาย"
โพสต์ที่ 19
ผมนึกถึงบทความที่ ดร.นิเวศน์ ที่เคยเขียนไว้เกี่ยวกับ หุ้นกลุ่มสื่อสาร สมัยแรก ๆ ที่โต ปีละ 50-100 %
แล้วนลท. ก็มีความคาดหวังที่มันจะโตอย่างนั้นตลอดไป ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้
ผมเทียบกับตัว cpall แล้ว ผมก็ว่าคนคงคิดว่า cpall จะโตแบบนี้ตลอดไป ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้
เมื่อทุก ๆ ที่ ก็มี 7-11 แล้ว(เหมือนทุกคนมีโทรศัพท์กันหมด) ซึ่งการเติบโตของรายได้
คงไม่ได้มาจากการขยายสาขาแล้ว คงต้องหารายได้จากทางอื่นแทน เหมือนค่ายมือถือในปัจจุบัน
ซึ่งการเติบโต ผมว่าคงหวังให้เป็นแบบในอดีตไม่ได้ ยิ่งตัวโต ก็ยิ่งอุ้ยอ้าย
หุ้นตัวนี้ ผมไม่กล้าซื้อตอนที่เหลือบมองพีอี ที่ตลาดให้(โอ้ แม่เจ้า)
และยอมรับว่าตกรถ ในวันนี้ ผมก็ยังไม่กล้า ซื้อหุ้นแพงเรื้อรัง ตัวนี้ ต่อไป
Mr. Market คงจะเป็นเหมือนรักมั้งครับ (คือ รักไม่มีเหตุผล)
สำหรับผมแล้ว จะถามว่า ถือ หรือ ขาย คงตอบไม่ได้ เพราะแม้แต่ซื้อ ยังไม่กล้า
แล้วนลท. ก็มีความคาดหวังที่มันจะโตอย่างนั้นตลอดไป ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้
ผมเทียบกับตัว cpall แล้ว ผมก็ว่าคนคงคิดว่า cpall จะโตแบบนี้ตลอดไป ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้
เมื่อทุก ๆ ที่ ก็มี 7-11 แล้ว(เหมือนทุกคนมีโทรศัพท์กันหมด) ซึ่งการเติบโตของรายได้
คงไม่ได้มาจากการขยายสาขาแล้ว คงต้องหารายได้จากทางอื่นแทน เหมือนค่ายมือถือในปัจจุบัน
ซึ่งการเติบโต ผมว่าคงหวังให้เป็นแบบในอดีตไม่ได้ ยิ่งตัวโต ก็ยิ่งอุ้ยอ้าย
หุ้นตัวนี้ ผมไม่กล้าซื้อตอนที่เหลือบมองพีอี ที่ตลาดให้(โอ้ แม่เจ้า)
และยอมรับว่าตกรถ ในวันนี้ ผมก็ยังไม่กล้า ซื้อหุ้นแพงเรื้อรัง ตัวนี้ ต่อไป
Mr. Market คงจะเป็นเหมือนรักมั้งครับ (คือ รักไม่มีเหตุผล)
สำหรับผมแล้ว จะถามว่า ถือ หรือ ขาย คงตอบไม่ได้ เพราะแม้แต่ซื้อ ยังไม่กล้า
" สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ = การให้ธรรมะเป็นทาน ย่อมชนะการให้ทั้งปวง "
" ทุกข์มี เพราะยึด ทุกข์ยืด เพราะอยาก ทุกข์มาก เพราะพลอย ทุกข์น้อย เพราะหยุด ทุกข์หลุด เพราะปล่อย"
" ทุกข์มี เพราะยึด ทุกข์ยืด เพราะอยาก ทุกข์มาก เพราะพลอย ทุกข์น้อย เพราะหยุด ทุกข์หลุด เพราะปล่อย"
-
- Verified User
- โพสต์: 872
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เจาะประเด็นร้อน หุ้น CPALL "ถือ" หรือ "ขาย"
โพสต์ที่ 23
คิดง่ายๆครับ
ณ ปัจจุบัน
Market Cap. CPALL 330,000 ล้านบาท
สมมติว่า CPALL อิ่มตัวแล้ว แค่โตตามเงินเฟ้อ Dividend payout rate = 100%
ถ้าเราต้องการ return 10% ต่อปี = 33,000 ล้านบาท
เป็นไปได้หรือไม่ครับที่คนไทย 65 ล้านคน แต่ละคนจะ provide กำไรให้ CPALL คนละ 500 บาทต่อปี
NPM ตีว่า 5% แปลว่าเราต้องจ่ายเงินให้ CPALL คนละ 10000 บาทต่อปี --> 30 บาทต่อวัน
แปลว่าคนไทย 65 ล้านคน ทุกคน ต้องเข้าเซเว่นทุกวัน และเสียเงิน 30 บาท โดยเฉลี่ยทุกๆคน
ถ้าต้องการหุ้น Cap Gain 1 เด้ง ก็เป็น 60 บาทต่อวันต่อคน
เป็นไปได้รึเปล่าครับ? แน่นอนว่าคนไทยคงไม่ได้ใช้บริการเซเว่นทุกคน และแต่ละคนคงไม่ได้เข้าทุกวันด้วย
ณ ปัจจุบัน
Market Cap. CPALL 330,000 ล้านบาท
สมมติว่า CPALL อิ่มตัวแล้ว แค่โตตามเงินเฟ้อ Dividend payout rate = 100%
ถ้าเราต้องการ return 10% ต่อปี = 33,000 ล้านบาท
เป็นไปได้หรือไม่ครับที่คนไทย 65 ล้านคน แต่ละคนจะ provide กำไรให้ CPALL คนละ 500 บาทต่อปี
NPM ตีว่า 5% แปลว่าเราต้องจ่ายเงินให้ CPALL คนละ 10000 บาทต่อปี --> 30 บาทต่อวัน
แปลว่าคนไทย 65 ล้านคน ทุกคน ต้องเข้าเซเว่นทุกวัน และเสียเงิน 30 บาท โดยเฉลี่ยทุกๆคน
ถ้าต้องการหุ้น Cap Gain 1 เด้ง ก็เป็น 60 บาทต่อวันต่อคน
เป็นไปได้รึเปล่าครับ? แน่นอนว่าคนไทยคงไม่ได้ใช้บริการเซเว่นทุกคน และแต่ละคนคงไม่ได้เข้าทุกวันด้วย
-
- Verified User
- โพสต์: 58
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เจาะประเด็นร้อน หุ้น CPALL "ถือ" หรือ "ขาย"
โพสต์ที่ 24
ถ้ามองว่าโลกนี้ ขนาดเท่าประเทศไทย CPALL คงใกล้เต็มขวดเล็กๆใบนี้
ถ้ามองว่าโลกนี้ยังมีเนื้อที่อีกกว้างใหญ่ CPALL ยังมีขนาดแค่เม็ดทรายเม็ดเดียว
คุณมองเห็นโอกาสนี้หรือไม่ ?
ไม่สำคัญเท่าเจ้าของบริษัทเขาเห็นโอกาสนี้แล้ว
ถ้ามองว่าโลกนี้ยังมีเนื้อที่อีกกว้างใหญ่ CPALL ยังมีขนาดแค่เม็ดทรายเม็ดเดียว
คุณมองเห็นโอกาสนี้หรือไม่ ?
ไม่สำคัญเท่าเจ้าของบริษัทเขาเห็นโอกาสนี้แล้ว
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เจาะประเด็นร้อน หุ้น CPALL "ถือ" หรือ "ขาย"
โพสต์ที่ 25
7 eleven ทำในประเทศอื่น ไม่ใช่ของ CPALL นะครับac322628 เขียน:ถ้ามองว่าโลกนี้ ขนาดเท่าประเทศไทย CPALL คงใกล้เต็มขวดเล็กๆใบนี้
ถ้ามองว่าโลกนี้ยังมีเนื้อที่อีกกว้างใหญ่ CPALL ยังมีขนาดแค่เม็ดทรายเม็ดเดียว
คุณมองเห็นโอกาสนี้หรือไม่ ?
ไม่สำคัญเท่าเจ้าของบริษัทเขาเห็นโอกาสนี้แล้ว
คนละเรื่องกับวิสัยทัศน์ครัวโลก ที่เป็นของ CPF อย่างเดียว
เป็นแฟนไชส์เชนจากอเมริกา โดยผถห.รายใหญ่คนญี่ปุ่น
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80% ... 8%E0%B8%99
-
- Verified User
- โพสต์: 320
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เจาะประเด็นร้อน หุ้น CPALL "ถือ" หรือ "ขาย"
โพสต์ที่ 26
ตามอำเภอบ้านนอกยังเหลือที่ว่างอีกเยอะตามความเจริญที่เข้าไปเรื่อยๆ
ไม่ต้องบินให้สูงอย่างใครเขา…
จงบินเอาเท่าที่เราจะบินไหว
ท่าที่บินไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร
แค่บินไปให้ถึงฝัน เท่านั้นพอ
จงบินเอาเท่าที่เราจะบินไหว
ท่าที่บินไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร
แค่บินไปให้ถึงฝัน เท่านั้นพอ
-
- Verified User
- โพสต์: 430
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เจาะประเด็นร้อน หุ้น CPALL "ถือ" หรือ "ขาย"
โพสต์ที่ 27
Market Cap. CPALL 330,000 ล้านบาท
ด้วยจำนวนสาขาที่มีตอนนี้ไม่รู้มีเท่าไหร่ น่าจะ 7000 สาขา(เดา)
จากสิ้นปี54ที่ 6407 สาขา (จำนวนสาขาจากjobthai.com)
นำมาหารกัน 330,000,000,000/7000 = 47,142,857 บาท ต่อสาขา
เข้าไปดู และประเมินทรัพย์สินในร้าน แบบสุด ๆ แล้วเห็นว่า...
แต่ 47ล้าน อุแม่เจ้า...
ด้วยจำนวนสาขาที่มีตอนนี้ไม่รู้มีเท่าไหร่ น่าจะ 7000 สาขา(เดา)
จากสิ้นปี54ที่ 6407 สาขา (จำนวนสาขาจากjobthai.com)
นำมาหารกัน 330,000,000,000/7000 = 47,142,857 บาท ต่อสาขา
เข้าไปดู และประเมินทรัพย์สินในร้าน แบบสุด ๆ แล้วเห็นว่า...
แต่ 47ล้าน อุแม่เจ้า...
คำว่า listen นั้นใช้ตัวอักษรชุดเดียวกับคำว่า silent
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 98
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เจาะประเด็นร้อน หุ้น CPALL "ถือ" หรือ "ขาย"
โพสต์ที่ 28
คุณ marble ผมว่าเอา 330,000,000,000/7000 แล้วมาเทียบกับตัวร้านมันออกจะสุดโต่งไปนิดนึง
อย่างลืมว่าใน 330,000,000,000 มีทั้ง CDC, บริษัทในเครือทั้งหลาย, อาคารที่ดิน, Brand และอีกหลายๆ อย่าง แล้ว 7000 สาขาที่หารประมาณครึ่งหนึ่งก็เป็นเฟรนไชน์อีก
แต่ผมก็เห็นด้วยว่า mkt.cap ขนาดนี้ ไม่ได้ถูกเลย เต็มไปด้วยความคาดหวัง แต่จะขึ้นไปต่อหรือลง ก็ยากที่จะคาดเดา
ปล. มีหุ้นครับ
อย่างลืมว่าใน 330,000,000,000 มีทั้ง CDC, บริษัทในเครือทั้งหลาย, อาคารที่ดิน, Brand และอีกหลายๆ อย่าง แล้ว 7000 สาขาที่หารประมาณครึ่งหนึ่งก็เป็นเฟรนไชน์อีก
แต่ผมก็เห็นด้วยว่า mkt.cap ขนาดนี้ ไม่ได้ถูกเลย เต็มไปด้วยความคาดหวัง แต่จะขึ้นไปต่อหรือลง ก็ยากที่จะคาดเดา
ปล. มีหุ้นครับ
ความไม่แน่นอน คือความแน่นอน
-
- Verified User
- โพสต์: 150
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เจาะประเด็นร้อน หุ้น CPALL "ถือ" หรือ "ขาย"
โพสต์ที่ 29
มันกำลังเปลี่ยนจาก Star เป็น Cash cow
ลองนึกถึงหุ้น มาม่า หรือ pb แล้วลองเทียบเคียงกันกับ cpall
ผมว่าถึงจะทำธุรกิจคนละอย่าง แต่มันมีอะไรเริ่มคล้ายๆกันมาก
ประเด็นคือ ถ้าเราเน้น Growth ตอนนี้ cpall นั้น Growth ไม่ชัดเจนไม่แน่ใจแล้ว
แต่ถ้าเราจะเน้น แน่นอน มั่นคง มันก็ถือว่าไม่ได้คาดหวังผิดๆกับ Cpall เพราะพื้นฐานดีจริง
แต่อย่างที่มันมักจะเป็น เมื่อมันเปลี่ยนจากหุ้นพื้นฐานดี หุ้น Growth เป็นหุ้นเก็งกำไรมากขึ้นๆ ผมขออยู่ห่างๆดีกว่า เพราะมันชัดเจนว่าคุณคิดช้าไปหลายปีแล้ว เว้นเสียแต่ว่า
มันจะมีกรณีพิเศษอะไรที่ทำให้ราคาตกลงมากๆๆ แบบไม่มีเหตุผล ผมว่าคงเป็นกรณีเดียว
ที่หุ้นตัวนี้จะน่าสนใจสำหรับผม
ลองนึกถึงหุ้น มาม่า หรือ pb แล้วลองเทียบเคียงกันกับ cpall
ผมว่าถึงจะทำธุรกิจคนละอย่าง แต่มันมีอะไรเริ่มคล้ายๆกันมาก
ประเด็นคือ ถ้าเราเน้น Growth ตอนนี้ cpall นั้น Growth ไม่ชัดเจนไม่แน่ใจแล้ว
แต่ถ้าเราจะเน้น แน่นอน มั่นคง มันก็ถือว่าไม่ได้คาดหวังผิดๆกับ Cpall เพราะพื้นฐานดีจริง
แต่อย่างที่มันมักจะเป็น เมื่อมันเปลี่ยนจากหุ้นพื้นฐานดี หุ้น Growth เป็นหุ้นเก็งกำไรมากขึ้นๆ ผมขออยู่ห่างๆดีกว่า เพราะมันชัดเจนว่าคุณคิดช้าไปหลายปีแล้ว เว้นเสียแต่ว่า
มันจะมีกรณีพิเศษอะไรที่ทำให้ราคาตกลงมากๆๆ แบบไม่มีเหตุผล ผมว่าคงเป็นกรณีเดียว
ที่หุ้นตัวนี้จะน่าสนใจสำหรับผม