ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
- Linzhi
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1522
- ผู้ติดตาม: 1
ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 1
สิ่งที่ผมมาคิดตลอดคือ เราก็ลงทุนหุ้นไทยดีอยู่แล้ว เราได้เปรียบในตลาดหุ้นไทย หุ้นไทยยังเป็นหนึ่งในไม่กี่หุ้นในโลกด้วยที่มี ROE สูงมาก สาเหตุคือการแข่งขันในไทยค่อนข้างเป็น "กึ่งผูกขาด" และเป็นประเทศที่บริษัทต่างชาติไม่กล้าเข้ามาแข่งขัน เช่นหุ้นค้าปลีกไทย อาจจะเป็นเพราะห้างญี่ปุ่นเคยเข้ามาแล้วไม่ประสบความสำเร็จ และเมื่อถึงจุด ๆ หนึ่งหุ้นไทยก็เข้มแข็งเกินกว่าที่ต่างประเทศจะเข้ามาได้แล้ว
theme ค้าปลีก โรงพยาบาล สร้างความมั่งคั่งให้ผม และ VI ไทย แบบไม่ต้องยากลำบากมากนัก
หลังจากนั้นช่วงปี 2013 ที่ดัชนีหุ้นไทยขึ้นไปจุดสูงสุดแถว ๆ 1650 จุด ตลาดหุ้นไทยก็ประสบปัญหาการเติบโต และราคาหุ้นก็ขึ้นมาเทรดในระดับที่แพงเต็มมูลค่าไปแล้ว หนังสือ "หุ้นเปลี่ยนชีวิต 1" ผมขายดิบขายดีติดระดับประเทศแบบมหัศจรรย์ ทำให้รู้สึกว่านี่คือสัญญาณของยุคทองที่กำลังจะผ่านไป และแต่ละปีที่ผ่านไปหลังจากนั้น คือตลาด Sideway ที่ยาวนานที่สุดช่วงหนึ่งของตลาดหุ้นไทย
ระยะเวลานั้นเอง ก็เกิดกระแสการลงทุนต่างประเทศขึ้น โดยประเทศแรกที่นักลงทุน VI เดินทางไปมากที่สุด คือ "ตลาดหุ้นเวียดนาม" ซึ่งผู้บุกเบิกคือท่านอาจารย์นิเวศน์ของพวกเรานั่นเอง
ในเวลานั้นผมก็เป็นหนึ่งที่เข้าไปในตลาดเวียดนามด้วย อาจจะไม่ถึงบุกเบิกแต่เป็นไม้สอง ซึ่งช่วงแรกนักลงทุนไทยได้ผลตอบแทนค่อนข้างดี เนื่องจากเราสามารถจองหุ้น IPO ดี ๆ ได้ในราคาไม่แพง ผมประทับใจมาก เช่นผมได้พบกับผบห. board Vietjet แบบตัวเป็น ๆ และได้จองหุ้นแบบไม่ต้องมีเส้นเหมือนเมืองไทย ซึ่งให้ผลตอบแทนที่ดีมาก ตอนนั้นเราอยู่ในฐานะ "Foreign investor" ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจ ดูมีเกียรติมาก 5555 นอกจากนั้น ยังมีหุ้นต่ำมูลค่าอยู่เต็มตลาด PE ต่ำกว่า 10 เท่า ให้เลือกเต็มไปหมด
สมาคมได้จัดโครงการ THAIVI GO VIETNAM รวมถึงมีกลุ่ม Vietnam VI จัดกิจกรรมเดินทางไปดูเวียดนามปีละหลายครั้ง ตัวผมเองก็เดินทางไปเวียดนามตั้งแต่เหนือจรดใต้ ยอมรับว่าเป็นประเทศที่ค่าครองชีพถูก เที่ยวสนุกประเทศหนึ่ง ตลาดหุ้นดูเหมือนมีความหวัง ตัวเลขเศรษฐกิจมหภาคในทุกมิติเติบโตเต็มกำลัง
และนั่นก็เป็นช่วงที่บูมสุดขีดของนักลงทุนไทยในเวียดนาม .....
แต่หลังจากนั้นหนังก็เริ่มกลับเป็นคนละม้วน หุ้นจำนวนมากมีปัญหาทั้งเรื่องธรรมภิบาล การดำเนินธุรกิจที่ยังไม่มืออาชีพ เนื่องจากเป็นบริษัทกึ่ง ๆ รัฐวิสาหกิจที่มีรัฐบาลคุ้มครองมาเป็นเวลานาน และยังมีเรื่องกฎระเบียบภาครัฐที่เปลี่ยนแปลงทำให้นักลงทุนไทยติดตามได้ค่อนข้างยาก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหุ้นติด "Foreign Limit" ที่ทำให้เราไม่สามารถเข้าถึงหุ้นคุณภาพดี ๆ ได้ เพราะว่าหุ้นถูกถือครองจากต่างชาติจนเต็มไปแล้ว
การซื้อหุ้นกลุ่มนี้จำเป็นต้องจ่าย "Premium" ซึ่งนั่นเป็นจุดที่กระอักกระอ่วนมากสำหรับผม
หลังจากนั้นตลาดเวียดนามก็ Sideway รอวันที่จะผงาดอีกครั้ง (เหมือนหุ้นไทย อิอิ) และตลาดหุ้นที่รับไม้ต่อคือตลาดหุ้นที่ขึ้นมาดีตลอดอย่างสหรัฐอเมริกา
S&P500, NASDAQ เริ่มอยู่ในกระแส อันที่จริง ประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่ไกลกว่าเวียดนามเป็นสิบ ๆ เท่า แต่ความเข้าใจในสหรัฐอเมริกาของคนไทยนั้นสูงกว่าความเข้าใจในตลาดเวียดนามมาก เรากินแฮมเบอร์เกอร์ตั้งแต่เด็ก แต่เพิ่งมากินเฝอไม่นาน ดูหนังฮอลลีวู๊ด แต่ไม่เคยดูหนังเวียดนาม ผลิตภัณฑ์อเมริกาเราก็เข้าใจได้ง่าย ดังนั้นก็เป็นที่มาของโครงการ THAIVI GO USA และแน่นอนที่ ๆ เราจะเข้าไปสัมผัสคือ Silicon Valley แหล่งกำเนิด "หุ้นเทค" ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงที่สุดตั้งแต่โลกเข้าสู่ยุคศตวรรษที่ 21 ผมบอกได้เลยว่า พอไปเห็น Headquarter ของ "อาณาจักรเทค" ก็รู้สึกเลยว่านี่คือ "ฮอกวอตส์" แห่งโลกทุนนิยมโดยแท้
ก่อนหน้านั้น หุ้นตัวแรกของอเมริกาของผมคือ Berkshire Hathaway ของปู่บัฟเฟตต์ ผมซื้อในปี 2014 เพราะอยากไปสัมผัสปู่ตัวเป็น ๆ ในประชุมประจำปีที่ Omaha นั่นเป็นจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ของการลงทุนอเมริกาของผม การเดินทางของทีม VI สายดำ ชายหนุ่ม 4 คนในอเมริกา น่าประทับใจจนผมก็ยังจดจำได้ถึงทุกวันนี้ ผมสามารถพาพี่น้องพอร์ตร้อยล้านพันล้านไปนอนโรงแรมโมเตลรูหนูในนิวยอร์ค 5555
หลังจากนั้น ประเทศมหัศจรรย์ที่ดูเหมือนจะเติบโตขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น คือ ประเทศจีน ก็เข้ามาในกระแส
ถ้าถามคนรุ่นพ่อแม่ก็คงไม่คิดว่าประเทศจีนจะมาถึงวันนี้ .....
อันที่จริงถามผมเองซึ่งผมเคยทำธุรกิจกับคนจีนมาตั้งแต่ปี 2004 ผมเคยเป็น Mr. China ของบริษัทไทยที่สร้างธุรกิจการค้านับพันล้านตอนช่วงที่ผมทำงานอยู่ เคยโดนโกงแบบจริง ๆ จัง ๆ เคยได้ "เพื่อน" ที่น่ารักมาก ๆ เดินทางไปชนบทจีน ไปดูโรงงานสมัยยุคสงครามเย็นที่มีภาษารัสเซียอยู่ ไป่จิ๋ว หงจิ่ว ผีจิ่ว เหล้าจีนทุกอย่างซัดมาหมด เพื่อกวนซีทางธุรกิจ หลังจากลาออกก็ไปเรียนปริญญาโท MBA ที่มหาวิทยาลัยชิงหัวจีนในปี 2007-2009 ที่ปักกิ่งมีโอลิมปิก
คนไทยเนิร์ด ๆ อย่างผมได้ท๊อปของคลาสด้วยนะ คนไทยไม่แพ้ใครหรอกครับ เพราะวัน ๆ ไม่ทำอะไรอ่านหนังสือ ดูหุ้น ส่วน connection แบบ MBA อะไรไม่ค่อยสนใจ 55555 แต่กลับมาก็ได้เพื่อนดี ๆ มาหลายคนทีเดียว เสียดายอยู่อย่างเดียว ถ้าซื้อหุ้นจีนถูกตัวในเวลานั้นอย่าง Tencent คงเป็นหุ้นที่โครตเปลี่ยนชีวิตทีเดียว 500 เด้งครับ
ผมที่เจาะลึกประเทศนี้ขนาดนั้น ก็ยังแทบไม่เชื่อว่าสายตาตัวเองว่าจีนจะก้าวมาถึงทุกวันนี้ได้ เรียกได้ว่าเป็น Great Leap Forward ของประวัติศาสตร์มนุษย์ชาติที่หาการเติบโตของรัฐชาติแบบนี้ไม่ได้เลย แม้แต่ในห้วงเวลาไหน ๆ ตั้งแต่ลิงกลายมาเป็นโฮโมเซเปียน
การเดินทางไปเซินเจิ้น หรือ "Greater Bay Area of China" หรือ "Silicon Valley of China" จึงกำเนิดขึ้น โครงการ ThaiVI GO CHINA ก็ทำให้พวกเราเปิดหูเปิดตากว้างงงงงงมาก คือยิ่งทึ่งกว่าที่ได้ยิน สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ เอ่อออ จริง ๆ ไม่ได้คลำนะครับ 55555
แต่ถึงกระนั้นผมที่อ่านหนังสือลงทุนต่างประเทศตั้งแต่ปี 2010 เดินทางไปรอบโลก ผมก็ยังแทบไม่กล้าไปต่างประเทศอยู่ดี
อันที่จริงไม่ใช่เรื่องความกล้าไม่กล้า มันเป็นเรื่องความ "ขี้เกียจ" ของผมเอง เป็น Status Quo Bias ของผม คืออยู่ที่เดิมก็ดีอยู่แล้ว จะไปดิ้นรนทำไม ไปเวียดนามก็อ้วกมารอบนึงแล้ว อีกเหตุผลนึงคือ "หุ้นเมกา" ขึ้นไปเยอะขนาดนั้นแล้ว รอ crash ดีกว่า ๆๆๆ
ซึ่งคงเป็นเหตุผลเดียวกับนักลงทุนหลาย ๆ คนที่อยากจะเข้าตลาดหุ้นไทยแต่ไม่เข้าซักที เพราะรอ crash รอจับจังหวะตลาด
วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม 2563 คือวันที่ตลาดหุ้นไทยถึงจุดต่ำสุดของวิกฤตโควิท 19 และหลังจากนั้นก็เกิดความทุลักทุเลพอควร ช่วง 2 สัปดาห์นั้น ผมได้ปรับพอร์ตค่อนข้างมาก และสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตผมเลยคือ คืนวันที่ 23 มีนาคม ที่ FED ประกาศ unlimited QE ผมเลยได้เริ่มพยายามเริ่มคิดนอกกรอบ
คืนนั้นผมได้ตกผลึกว่าการออกไปต่างประเทศน่าจะเป็นทางรอดหนึ่งในวิกฤต COVID19 ผมไม่ได้หวังรวย แต่แค่อยากรอด ผมเลยสมัคร The Economists สมัคร Bloomberg.com สมัคร Seeking Alpha สมัคร Fools.com เรียกได้ว่าฟาดทีเดียวหลายหมื่นบาทแก้บ้าไปเลย ถ้ายังไม่ยอมอ่านอีกนะ ไม่ยอมเริ่มอีกนะ ก็ไม่รู้พูดยังไงแล้ว ตั้งแต่วันนั้นมา ผมเลยต้องมีกิจวัตรตอนสองทุ่มครึ่งเปิดดูหุ้นนิดหน่อยก่อนจะอ่านนิทานให้ลูกเข้านอน
นั่นคือเรื่องราวการลงทุนต่างประเทศของผม ซึ่งเรียกได้ว่าเพิ่งเป็นก้าวแรก นักลงทุนต่างประเทศที่เก่งมาก ๆ และไปมานานแล้วในไทยมีหลายคน เช่น อ.ตี่ Picatos หรือรุ่นน้องหลาย ๆ คนที่ active มาก จริง ๆ มีอาจารย์ VI อีกหลายท่านไปตปท.นานแล้ว เพียงแค่เค้าทำเงียบ ๆ ไม่ป่าวประกาศเท่านั้น
แต่หลังจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทย 16 ปี ผมก็ได้เริ่มเสียที แต่ส่วนตัว ณ วันนี้ ผมก็ยังไม่คิดว่าทุกคนควรจะลงทุนหุ้นต่างประเทศ หรือควรจะลงในสัดส่วนที่เยอะ เพราะตลาดต่างประเทศคนไทยเสียเปรียบแน่นอน เราจะ "Seeking Alpha" หรือชนะตลาดได้ไม่ง่ายเท่าตลาดหุ้นไทย แต่ข้อดีมีหลายอย่างทีเดียวเช่น
1. ได้เปิดโลก ได้ดูหุ้นต่างประเทศได้ความรู้เยอะมาก ยิ่งกว่าเรียน MBA อีก
2. สามารถศึกษา นำมาเปรียบเทียบกับหุ้นไทยได้ ทำให้เราลงทุนหุ้นไทยได้ดีขึ้น
3. กระจายความเสี่ยง ที่หุ้นไทยอย่างเดียวให้เราไม่ได้
4. ช่วยให้ชีวิตตื่นเต้นขึ้น ผมอ่านหุ้นไทยจนเบื่อ ให้ผมดู oppday บริษัทเดิม ๆ ทุกไตรมาส เพื่อจะหาความผิดปกติและเข้าไปซื้อหุ้น ส่วนตัวผมไม่ชอบครับพูดจริง ๆ
แต่อย่างไรก็ตามผมยืนยันอีกครั้งว่าเราเกิดมาเป็นคนไทย ความมั่งคั่งที่เราจะทำได้ยังคงขึ้นกับอนาคตประเทศไทย อันนี้เป็นโชคชะตาที่เปลี่ยนไม่ได้ นักลงทุนระดับโลกนั้น สร้างตำนานจากการลงทุนในประเทศตัวเองทั้งสิ้น และหุ้นไทยที่ดี ๆ ที่ควรจะได้ "reward" จากเงินทุนนักลงทุนไทย และถ้าเราเลือกถูกก็ยังมีหุ้นดี ๆ ที่เปลี่ยนชีวิตได้ไม่น้อยในไทย
แต่นั่นไม่ควรเป็นเหตุผลที่เราปิดตาจากตลาดหุ้นต่างประเทศ
ผมเล่าคนเดียวมาตั้งนาน ใครมีเหตุผลที่ไปลงต่างประเทศ หรือลงไปแล้วเป็นยังไงบ้าง แชร์ ๆ ให้ฟังกันครับ เราไปด้วยกัน หลายหัวดีกว่าหัวเดียวแน่นอนครับ
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 377
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ทำไมเราทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 3
ผมลงทุนต่างประเทศในUS,HKเช่นกัน หลักๆUS เมื่อก่อนเคยคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวแต่ก็โชคดีที่สุดท้ายได้ตัดสินใจไปลงทุนต่างประเทศ ตอนนี้รวมๆก็เกือบ2ปีแล้วครับ ตอนนั้นแค่รุ้สึกว่าการลงทุนแต่ในไทยเราจะชอบได้ยินบ่อยๆว่า ต้องระวังธุรกิจที่ไม่โดนdisruptionในอนาคตนะ ทั้งๆที่ไอพวกที่มาdisruptเนี่ย อยุ่ตปททั้งนั้น คิดได้ดังนั้นเลยไปเปิดซะดีกว่า ปล. ประกอบกับตอนนั้นvaluationของหุ้นtech USมันยังไม่สูงมากเท่าทุกวันนี้นะครับ ยกตัวอย่างตอนช่วงแรกที่ผมเริ่มลงทุนตปท facebookมีปัญหาcambridge analytica scandal P/Eตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดลงไปต่ำสุดแค่20ต้นๆเท่านั้น, GOOG P/E ลงไปต่ำรุ้สึกจะเคยต่ำแถว25เท่าเลย, tesla ตอนที่ยังscaleรถmodel 3ไม่ได้ มีปัญหาproduction hell คนแช่งให้เจ๊งกันทุกวัน ก็ P/Sไม่ถึง2เท่าเอง
สิ่งที่การลงทุนในหุ้นต่างประเทศให้ผมมากที่สุดเลยคือ เปิดโอกาสให้ตัวเองได้เข้าใจในธุรกิจที่disruptอุตสาหกรรม ธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงโลก และมีpotentialจะชนะได้ในระยะยาวมากกว่าไทยครับ (ไม่ได้หมายความว่าธุรกิจในไทยไม่มีสิ่งเหล่านี้นะครับ แต่ต้องยอมรับว่าตปทมันมากกว่ามากกกก) หลายๆหุ้นเอาง่ายๆแค่FAANG stockนั้นเราสามารถเข้าใจbusiness modelและcompetitive advantageของมันได้ง่ายกว่าหลายบริษัทในไทยอีกครับ เห็นด้วยกับคุณจขกทมากครับว่า การลงทุนหุ้นตปทช่วยให้เปิดโลกได้มากมายและได้ความรู้มากๆเลยครับ
แม้แต่ตลาดHK ส่วนตัวผมแล้วก็คิดว่าตอนนี้เริ่มมีหุ้นที่น่าสนใจและvaluationยังไม่ไปไกลเท่าUS techหลายตัวเหมือนกันนะครับ meituan dianping, tencent, alibaba(ตอนนี้listทั้งUSและHKแล้วนะครับ ),ping an good doctor เป็นต้น ธุรกิจที่เปลี่ยนโลกพวกนี้ผมว่าศึกษาไว้ไม่เสียหายครับ
สิ่งที่การลงทุนในหุ้นต่างประเทศให้ผมมากที่สุดเลยคือ เปิดโอกาสให้ตัวเองได้เข้าใจในธุรกิจที่disruptอุตสาหกรรม ธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงโลก และมีpotentialจะชนะได้ในระยะยาวมากกว่าไทยครับ (ไม่ได้หมายความว่าธุรกิจในไทยไม่มีสิ่งเหล่านี้นะครับ แต่ต้องยอมรับว่าตปทมันมากกว่ามากกกก) หลายๆหุ้นเอาง่ายๆแค่FAANG stockนั้นเราสามารถเข้าใจbusiness modelและcompetitive advantageของมันได้ง่ายกว่าหลายบริษัทในไทยอีกครับ เห็นด้วยกับคุณจขกทมากครับว่า การลงทุนหุ้นตปทช่วยให้เปิดโลกได้มากมายและได้ความรู้มากๆเลยครับ
แม้แต่ตลาดHK ส่วนตัวผมแล้วก็คิดว่าตอนนี้เริ่มมีหุ้นที่น่าสนใจและvaluationยังไม่ไปไกลเท่าUS techหลายตัวเหมือนกันนะครับ meituan dianping, tencent, alibaba(ตอนนี้listทั้งUSและHKแล้วนะครับ ),ping an good doctor เป็นต้น ธุรกิจที่เปลี่ยนโลกพวกนี้ผมว่าศึกษาไว้ไม่เสียหายครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 133
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ทำไมเราทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 4
ตลาดหุ้นต่างประเทศนี่เปิดหูเปิดตาจริงๆครับ มีหุ้นหลากหลายtheme ให้เลือกมากมาย โดยเฉพาะหุ้น tech หุ้น biotech หุ้น genetics ทั้งหลาย อย่างหุ้นตลาดอเมริกานี่ผมว่าข้อมูลหาไม่ยากเลย บทความนักวิเคราะห์ดีๆเต็มไปหมด ผมเองบางทีก็อาศัยหา idea จากพวก youtuber หรือตาม reddit ... สนุกมากครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 126
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ทำไมเราทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 5
เพราะมันเป็นเรื่องจำเป็นครับ
หลายปีก่อนประเทศไทยได้ประโยชน์จาก Industrial Revolution + Globalization ต่างชาติลงทุนในไทยเพราะต้องการ แรงงานไทยและแผ่นดินไทยในการตั้งโรงงาน คนไทยยุคนั้นสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้จากการเป็นเจ้าของโรงงาน เป็นฐานการผลิตอะไรบางอย่าง ผู้คนไหลจากภาคเกษตรมาสู่ภาคอุตสหกรรม ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยเป็นอย่างมากและยาวนาน
แต่ยุครุ่งเรื่องนั้นได้ผ่านไปแล้ว ความสำคัญของประเทศไทยในฐานะฐานการผลิตที่สำคัญถูกลดทอน การผันตัวจากผู้ผลิตไปสู่ผู้ให้บริการยังไม่เกิดขึ้น จะมีแต่การท่องเที่ยวไทยเท่านั้นที่แข่งขันได้
ในวันนี้ Mega trend ที่สำคัญของโลกที่มาแทนที่ Industrial Revolution ได้กลายเป็นธุรกิจ Software/Platform
แต่ประเทศไทยกลับไม่ได้ประโยชน์จากการลงทุนของต่างชาติ เพราะธุรกิจเหล่านี้ ต้องการแค่หน้าเว็บไซท์ การทำการตลาดทำผ่าน Digital Marketing รวมทั้งอุปกรณ์ Smartphone/PC ก็นำเข้าจากต่างประเทศ
แม้ว่าต่างชาติลงทุนสร้าง Platform ส่งอาหาร จองโรงแรมในไทย แต่บริษัทแม่จดทะเบียนต่างประเทศ ภาษีที่ต้องจ่ายให้ไทยแทบไม่มี พนักงานคนไทยที่บริษัทเหล่านี้จ้าง ก็แทบจะไม่ต้องเสียภาษีบุคคลให้ประเทศไทยเช่นกัน
รวมถึงในปัจจุบันความสามารถและเงินทุนของคนไทยเองที่จะพัฒนา Software/Platform เหล่านี้ให้เท่าเทียมต่างชาติแทบจะไม่มี
แผ่นดินไทยก็ไม่ต้องใช้ แรงงานก็ต้องการเฉพาะ White Collar ภาษีก็ไม่ต้องจ่าย คนไทยจะสร้างธุรกิจมาแข่งต่างชาติก็ทำไม่ได้ แล้วจะคาดหวังให้เงินทุนต่างชาติไหลเข้าประเทศเหมือนเดิมได้อย่างไร
ผมจึงคิดว่าเราได้ "เสียอธิปไตยด้านเทคโนโลยี" ของประเทศไปแล้ว
จุดเริ่มต้นการเดินทางลงทุนในต่างประเทศของผมจึง "จำเป็น" ต้องเริ่มต้นขึ้น และอย่างที่ชาร์ลี มังเก้อกล่าวไว้ว่า "กฏข้อแรกในการตกปลา คือตกปลาในที่ๆมีปลา"
หลายปีก่อนประเทศไทยได้ประโยชน์จาก Industrial Revolution + Globalization ต่างชาติลงทุนในไทยเพราะต้องการ แรงงานไทยและแผ่นดินไทยในการตั้งโรงงาน คนไทยยุคนั้นสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้จากการเป็นเจ้าของโรงงาน เป็นฐานการผลิตอะไรบางอย่าง ผู้คนไหลจากภาคเกษตรมาสู่ภาคอุตสหกรรม ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยเป็นอย่างมากและยาวนาน
แต่ยุครุ่งเรื่องนั้นได้ผ่านไปแล้ว ความสำคัญของประเทศไทยในฐานะฐานการผลิตที่สำคัญถูกลดทอน การผันตัวจากผู้ผลิตไปสู่ผู้ให้บริการยังไม่เกิดขึ้น จะมีแต่การท่องเที่ยวไทยเท่านั้นที่แข่งขันได้
ในวันนี้ Mega trend ที่สำคัญของโลกที่มาแทนที่ Industrial Revolution ได้กลายเป็นธุรกิจ Software/Platform
แต่ประเทศไทยกลับไม่ได้ประโยชน์จากการลงทุนของต่างชาติ เพราะธุรกิจเหล่านี้ ต้องการแค่หน้าเว็บไซท์ การทำการตลาดทำผ่าน Digital Marketing รวมทั้งอุปกรณ์ Smartphone/PC ก็นำเข้าจากต่างประเทศ
แม้ว่าต่างชาติลงทุนสร้าง Platform ส่งอาหาร จองโรงแรมในไทย แต่บริษัทแม่จดทะเบียนต่างประเทศ ภาษีที่ต้องจ่ายให้ไทยแทบไม่มี พนักงานคนไทยที่บริษัทเหล่านี้จ้าง ก็แทบจะไม่ต้องเสียภาษีบุคคลให้ประเทศไทยเช่นกัน
รวมถึงในปัจจุบันความสามารถและเงินทุนของคนไทยเองที่จะพัฒนา Software/Platform เหล่านี้ให้เท่าเทียมต่างชาติแทบจะไม่มี
แผ่นดินไทยก็ไม่ต้องใช้ แรงงานก็ต้องการเฉพาะ White Collar ภาษีก็ไม่ต้องจ่าย คนไทยจะสร้างธุรกิจมาแข่งต่างชาติก็ทำไม่ได้ แล้วจะคาดหวังให้เงินทุนต่างชาติไหลเข้าประเทศเหมือนเดิมได้อย่างไร
ผมจึงคิดว่าเราได้ "เสียอธิปไตยด้านเทคโนโลยี" ของประเทศไปแล้ว
จุดเริ่มต้นการเดินทางลงทุนในต่างประเทศของผมจึง "จำเป็น" ต้องเริ่มต้นขึ้น และอย่างที่ชาร์ลี มังเก้อกล่าวไว้ว่า "กฏข้อแรกในการตกปลา คือตกปลาในที่ๆมีปลา"
Greed, fear, ignorance, and hope
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 126
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ทำไมเราทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 7
สำหรับหุ้นไทยความเห็นผมว่าโอกาสมีอยู่เสมอนะครับ สำหรับหุ้นที่ดี เติบโต มี Moat Valuation พอได้ เราต้องเลือกรายตัวมากๆ (ความเห็นผมมองเป็นอุตสหกรรมยังกว้างไปเลย) + มองหาโอกาสทำกำไรกับหุ้น Cycle ซึ่งต้องคาดการณ์และวิเคราะห์งบกันรายไตรมาส และซื้อๆขายๆ ให้ทันตลาด
แต่ถือยาวตาม Mega Trend ส่วนตัวผมยังหาไม่เจอเลยครับ
ซึ่งข้อเสียของการไม่ซื้อตาม Mega Trend คือจะทำให้ เรามีโอกาสผิดพลาดได้น้อยลงมากๆ เทียบกับการซื้อหุ้นในอุตสหกรรมที่เป็นขาขึ้นชัดเจน (ซื้ออะไรมันก็ขึ้น พลาดก็ขายขาดทุนไม่เยอะ)
เป็นเพียงความเห็นนะครับ ผิดถูกแนะนำได้เลย
Greed, fear, ignorance, and hope
- Linzhi
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1522
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ทำไมเราทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 8
เห็นด้วยกับคุณ punmew ตอนนี้ไปหาปลาที่ไหนหรอครับ
หุ้นไทยถ้าดูภาพใหญ่ๆ ผมว่าไม่ต่างจาก FTSE100 ของอังกฤษ CAC40 ฝรั่งเศส NIKKEI225 ของญี่ปุ่นเลยครับ
คือเริ่มไม่ไปไหนมายาวนาน
ของเราดีกว่าด้วยซ้ำแค่ 8 ปี ของบางประเทศ 4 decades of sideway แล้วครับ
แต่แน่นอนว่าแต่ละประเทศนั้น มี champion ไม่เหมือนกัน
ร้าน Jd sport หรือบริษัท chip ARM (ก่อนถูก softbank ซื้อ) ของอังกฤษ ได้หลายสิบเด้งครับ
Fast fashion เจ้าของ Uniqlo หรือ LVMH ฝรั่งเศส ก็ขึ้นมาเยอะมาก
ของไทยก็มีเช่นเดียวกัน ดังนั้นจะดูภาพใหญ่แล้วตัดสินหุ้นรายตัวคงไม่ได้
และการดูดัชนีรวมมีประโยชน์น้อยลงมาก
ไทยน่าจะเข้า s curve ใหม่แล้ว จะเกิดหรือดับ เป็นอะไรคงต้องติดตามดูต่อไปครับ
คุยต่างประเทศต่อๆ ใครลงมานานๆแชร์ให้ฟังหน่อยครับ
หุ้นไทยถ้าดูภาพใหญ่ๆ ผมว่าไม่ต่างจาก FTSE100 ของอังกฤษ CAC40 ฝรั่งเศส NIKKEI225 ของญี่ปุ่นเลยครับ
คือเริ่มไม่ไปไหนมายาวนาน
ของเราดีกว่าด้วยซ้ำแค่ 8 ปี ของบางประเทศ 4 decades of sideway แล้วครับ
แต่แน่นอนว่าแต่ละประเทศนั้น มี champion ไม่เหมือนกัน
ร้าน Jd sport หรือบริษัท chip ARM (ก่อนถูก softbank ซื้อ) ของอังกฤษ ได้หลายสิบเด้งครับ
Fast fashion เจ้าของ Uniqlo หรือ LVMH ฝรั่งเศส ก็ขึ้นมาเยอะมาก
ของไทยก็มีเช่นเดียวกัน ดังนั้นจะดูภาพใหญ่แล้วตัดสินหุ้นรายตัวคงไม่ได้
และการดูดัชนีรวมมีประโยชน์น้อยลงมาก
ไทยน่าจะเข้า s curve ใหม่แล้ว จะเกิดหรือดับ เป็นอะไรคงต้องติดตามดูต่อไปครับ
คุยต่างประเทศต่อๆ ใครลงมานานๆแชร์ให้ฟังหน่อยครับ
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.
Re: ทำไมเราทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 9
แล้วคนที่ลงทุนในตลาดUSตอนนี้ มองเรื่องvaluationยังไงบ้างครับ หรือคิดว่า unlimit qeหุ้นเลยจะขึ้นแบบunlimitเหมือนกัน
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 126
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ทำไมเราทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 10
2-3 ปีที่ผ่านมาเน้นลงทุนหุ้นเทคโนโลยีครับ แต่ตอนนี้ก็เริ่มทยอยออกมาเยอะครับ เพราะสู้ความร้อนแรงของ Sector ไม่ไหวจริงๆ
หลายปีก่อนคุยหุ้นเทคกับใครถ้าไม่ใช่หุ้น FANG จะคุยกันไม่รู้เรื่องเลย วันนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปมาก นักลงทุนสามารถติดตามหุ้น Emerging Tech ได้เอง วิเคราะห์ Operating Metrics (ARR, CAC, Net expansion rate, etc.) ได้อย่างชำนาญ กลุ่มไลน์ กลุ่มเฟสบุค คอร์สเรียนลงทุนหุ้นเทคตอนนี้มีมากมาย
เมื่อก่อนผมจะหาหนังสือลงทุนหุ้นเทคซักเล่มนี้เหนื่อยเลยครับ ต้องใช้วิธีเอาหนังสือ Tech Startup มาอ่านแทน
เรื่อง Valuation หุ้น US มี chart ตามด้านล่างลองพิจารณาดูครับ
หลายปีก่อนคุยหุ้นเทคกับใครถ้าไม่ใช่หุ้น FANG จะคุยกันไม่รู้เรื่องเลย วันนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปมาก นักลงทุนสามารถติดตามหุ้น Emerging Tech ได้เอง วิเคราะห์ Operating Metrics (ARR, CAC, Net expansion rate, etc.) ได้อย่างชำนาญ กลุ่มไลน์ กลุ่มเฟสบุค คอร์สเรียนลงทุนหุ้นเทคตอนนี้มีมากมาย
เมื่อก่อนผมจะหาหนังสือลงทุนหุ้นเทคซักเล่มนี้เหนื่อยเลยครับ ต้องใช้วิธีเอาหนังสือ Tech Startup มาอ่านแทน
เรื่อง Valuation หุ้น US มี chart ตามด้านล่างลองพิจารณาดูครับ
แนบไฟล์
Greed, fear, ignorance, and hope
- Linzhi
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1522
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 11
ผมช่วยโพสต์เรื่อง valuation
แต่นี่คือ relative valuation ครับ หุ้นแพงเพราะทุกอย่างแพงหมด
เพราะเงินล้นโลก ไม่รู้จะจบกันยังไงครับ
แต่นี่คือ relative valuation ครับ หุ้นแพงเพราะทุกอย่างแพงหมด
เพราะเงินล้นโลก ไม่รู้จะจบกันยังไงครับ
แนบไฟล์
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 554
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 12
อยากฟังพี่ๆ VI ที่เป็น venture capital ด้วย มาแชร๋ mindset และ ประสบการณ์ให้ฟังครับ
"A lot of times the question is harder than the answer. If you can properly phrase the question, then the answer is the easy part." Elon Musk
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 381
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 13
ผมเห็นด้วยในเรื่องที่ คนไทยเราคุ้นเคยกับสินค้าของ USA มาเป็นเวลานานแล้ว ถึงแม้ว่าจะไกลกันคนละซีกโลกเลย
ต่างจากเวียดนามที่ถึงแม้จะอยู่ใกล้ แต่กลับรู้เรื่องของเค้าน้อยมาก
ยิ่งในอนาคต Tech จะไม่ได้ Tech อีกต่อไป มันคือ consumer product ที่อยู่ในชีวิตประจำวันของเรา ผมว่า ตลาดหุ้นที่จะโตได้ในระยะยาวต้องมีส่วนผสมของหุ้นกลุ่มนี้แบบมีนัยยะ ซึ่งก็คือ จีนกับอเมริกาครับ
ต่างจากเวียดนามที่ถึงแม้จะอยู่ใกล้ แต่กลับรู้เรื่องของเค้าน้อยมาก
ยิ่งในอนาคต Tech จะไม่ได้ Tech อีกต่อไป มันคือ consumer product ที่อยู่ในชีวิตประจำวันของเรา ผมว่า ตลาดหุ้นที่จะโตได้ในระยะยาวต้องมีส่วนผสมของหุ้นกลุ่มนี้แบบมีนัยยะ ซึ่งก็คือ จีนกับอเมริกาครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 126
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 14
เงินล้นจริงๆครับ แต่อาจจะเป็นเพียงแค่เรื่องชั่วคราวที่ธนาคารกลางพยายามทำ เพื่อรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจไว้ก็ได้ครับ
source:
Total Public Debt: https://fred.stlouisfed.org/series/GFDEBTN
US GDP: https://fred.stlouisfed.org/series/GDP
Chart: @silvan_frank
source:
Total Public Debt: https://fred.stlouisfed.org/series/GFDEBTN
US GDP: https://fred.stlouisfed.org/series/GDP
Chart: @silvan_frank
แนบไฟล์
Greed, fear, ignorance, and hope
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 15
อยากออกไปลงทุนต่างประเทศเช่นกันครับ แต่เพิ่งเข้าลงทุนในตลาดหุ้นได้ไม่นาน ฟังความเห็นจากนักลงทุนมาจากหลายๆที่ คือ ควรมีประสบการณ์การลงทุนในประเทศตัวเองอย่างน้อย 5 ปีก่อนไปลงทุนต่างประเทศ ซึ่งถ้าทำตามนั้นก็เป็นการใช้เวลาที่พอสมควร แล้วหลังจากนั้นถ้าเริ่มไปลงทุนต่างประเทศก็ต้องเริ่มศึกษาข้อมูลใหม่ทั้งหมด ไม่แน่ใจว่าควรตัดสินใจอย่างไร รบกวนแนะนำด้วยครับ
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 16
ใครแนะนำแบบนั้นหว่า สำหรับผมข้อกำจัดเดียวของมือใหม่และเงินลงทุนเริ่มต้นไม่เยอะในการลงทุนตปท.คือค่าคอมซึ่งเดี๋ยวนี้ก้อน่าจะถูกลงเยอะแล้ว อ้อ อีกเรื่องคือเรื่องเอาเงินกลับต้องข้ามปีไปก่อนซึ่งถ้าต้องกินต้องใช้จากเงินก่อนนี้ก้อจะเป็นข้อจำกัดเหมือนกัน นอกนั้นไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่เริ่มตั้งแต่วันนี้นะA66747 เขียน: ↑จันทร์ ส.ค. 17, 2020 11:46 amอยากออกไปลงทุนต่างประเทศเช่นกันครับ แต่เพิ่งเข้าลงทุนในตลาดหุ้นได้ไม่นาน ฟังความเห็นจากนักลงทุนมาจากหลายๆที่ คือ ควรมีประสบการณ์การลงทุนในประเทศตัวเองอย่างน้อย 5 ปีก่อนไปลงทุนต่างประเทศ ซึ่งถ้าทำตามนั้นก็เป็นการใช้เวลาที่พอสมควร แล้วหลังจากนั้นถ้าเริ่มไปลงทุนต่างประเทศก็ต้องเริ่มศึกษาข้อมูลใหม่ทั้งหมด ไม่แน่ใจว่าควรตัดสินใจอย่างไร รบกวนแนะนำด้วยครับ
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 17
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับA44950 เขียน: ↑จันทร์ ส.ค. 17, 2020 12:24 pmใครแนะนำแบบนั้นหว่า สำหรับผมข้อกำจัดเดียวของมือใหม่และเงินลงทุนเริ่มต้นไม่เยอะในการลงทุนตปท.คือค่าคอมซึ่งเดี๋ยวนี้ก้อน่าจะถูกลงเยอะแล้ว อ้อ อีกเรื่องคือเรื่องเอาเงินกลับต้องข้ามปีไปก่อนซึ่งถ้าต้องกินต้องใช้จากเงินก่อนนี้ก้อจะเป็นข้อจำกัดเหมือนกัน นอกนั้นไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่เริ่มตั้งแต่วันนี้นะ
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3352
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 18
ผมไปลงทุนต่างประเทศ เพราะ หุ้นไทยช่วงหลังปี 2012 มันเริ่มแพงครับ พอไปดูหุ้น Tech ที่สหรัฐฯ ดู Forward P/E Google หรือ FB อยู่ที่ 10 เท่า ทั้งๆ ที่หุ้นไทย P/E เกือบ 20 ผมก็เลยเริ่มไป ตอนแรกก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตอนที่ผมไป Present หุ้น Google ชวนนักลงทุนไทยด้วยกันไปต่างประเทศ ถึงไม่มีใครสนใจไปด้วยแม้แต่คนเดียว คิดย้อนกลับไปก็คงจะเป็นอย่างที่ LinZhi ว่า คือ Status Quo Bias คนที่ฟัง Present คงจะรู้สึกว่าจะเหนื่อยไปทำไม ทั้งๆ ที่ไอ้ที่ทำอยู่ในไทยกำลังออกดอกออกผล วิธีการเดิมๆ ก็รวยดีอยู่แล้ว ในขณะที่โดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่ได้แคร์เรื่องความรวยอะไรมากมาย ผมแคร์เรื่องวิธีการมากกว่าผลลัพธ์ ผมรู้สึกชอบและปรารถนาความไม่มีตัวตน การที่พอร์ตเริ่มใหญ่ในไทย ทำให้ความมีตัวมีตนเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นภาระที่รู้สึกอยากสลัดมันทิ้ง การไปต่างประเทศ ไปเป็น nobody น่าจะมีความสุขมากกว่า แถมธุรกิจที่ต่างประเทศก็ศึกษาสนุกกว่า ว้าวกว่าเยอะ แถมไม่มีเรื่องที่น่าตะขิดตะขวงใจอย่างเรื่อง Governace และ Coruption แบบเมืองไทย
ตอนปี 2014 ผมลองศึกษาและลงทุนหุ้นจีนดู แต่สุดท้ายก็รู้สึกว่าไปไม่รอด เพราะ รู้สึกว่าติดตามยาก แถมช่วงนั้นอยากใช้เวลากับการปฏิบัติธรรมมากกว่า เลยขายหมูหุ้นตกรถกันไปหลายเด้ง ปี 2020 รอบนี้ผมกลับมาลงทุนจีนใหม่ ด้วยมุมมองใหม่ๆ ว่ากิจการอะไรที่จะสร้าง Positive Impact ได้แรงๆ ให้กับคนจีนสังคมจีน และมีแนวโน้มที่จะแพร่ขยายไปสู่ประเทศอื่นๆ
ช่วงปี 2018 พอผมเห็นปัญหาเรื่อง Deglobalization ช่วงต้นปี Valuation หุ้นไทยก็แพง ผมเลยล้างพอร์ตไทยที่เหลือไปต่างประเทศทั้งหมด
ผมสังเหตุว่าในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนไทยเริ่มที่จะสนใจหุ้นต่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ จนช่วงปีนี้รู้สึกว่ากระแสจะแรงมาก ซึ่งเท่าที่เห็นกระแสมันก็เป็นแบบนี้กันทั้งโลกไม่ใช่แค่ในประเทศไทย และผมเชื่อว่ากระแสแบบนี้แหละที่มันจะก่อให้เกิดฟองสบู่ลูกที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
ตอนที่ผมเริ่มเอาเงินออกไปต่างประเทศตอนปี 2012-2013 ผมก็คิดมาตลอดว่า วันหนึ่งผมคงต้องเอาเงินกลับเข้ามาในไทยเพื่อเอามาใช้จ่าย โดยตั้งใจจะหามาหุ้นที่ปลอดภัยเน้นถือกินปันผลในระยะยาว ผมรอเวลาที่ตลาดหุ้นไทยจะอยู่ใน Valuation ที่พอที่จะเหมาะสมกับการลงทุน ก็มอง SET เอาไว้ที่ประมาณ 1,000 จุด พอมันลงมาแตะ ช่วง COVID ผมเลยลองปรึกษาพี่ที่นับถือคนหนึ่งว่าถ้าอยากจะเอาเงินกลับไทยบางส่วน ควรจะเอาไปลงทุนอะไร แต่คำตอบกลับเป็นเรื่องที่ผมแปลกใจมาก พี่เค้าบอกผมว่า ผมควรที่จะเอาเงินเอาไว้ที่ต่างประเทศ แทนที่จะเอากลับไทย
ไม่รู้สิ ผมคิดว่าถ้าผมได้รับคำแนะนำแบบนี้ สมมติฐานที่คิดเอาไว้ว่า จะเกิดฟองสบู่ลูกที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ คงจะจริง เพราะ ถ้าการลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะ หุ้น Tech เป็นทางเลือกเดียวที่เหลือในการลงทุน (There Is No Alternative - TINA) ก็ไม่แปลกที่ราคาหุ้น Tech จะแพงขนาดนี้
ตอนนี้ผมหาไม่เจอแล้วว่ามีหุ้น Tech อะไรถูกๆ หุ้นต่างประเทศที่ผมถืออยู่ทุกวันนี้ คือ หุ้นที่ถือโดยอาศัยความเชื่อล้วนๆ เชื่อในตัวสินค้า เชื่อในตัวบริการ เชื่อว่านี่คือกิจการที่จะทำให้โลกนี้ดีขึ้น เชื่อว่าในตัวผู้ก่อตั้ง เชื่อในทีมบริหาร แต่ไม่มีความเชื่อเลยแม้แต่น้อยว่า Valuation ณ ขณะนี้จะเป็น Valuation ที่เรามั่นใจว่าจะได้กำไร ตามหลักการการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ไม่เหมือนกันลงทุนในช่วงก่อนๆ หน้าที่ทุกครั้งที่ซื้อ ผมซื้อด้วยความมั่นใจพอสมควรว่าน่าจะกำไร หากกิจการพัฒนาการไปตามทิศทางที่ควรจะเป็น
ด้วยเหตุนี้ การลงทุนในช่วงนี้ ผมเลยทำใจเอาไว้เลยว่า ผมจะขาดทุนแน่ๆ ในระยะสั้น ผมจึงต้องอาศัยความเชื่ออีกชุดหนึ่งที่เข้ามาประกอบการลงทุน เพื่อที่จะสามารถถือลงทุนในระยะยาวได้ โดยพยายามที่จะเชื่อให้ได้ว่า ถึงแม้ว่าผมจะขาดทุน อย่างน้อยกิจการนี้ก็ทำให้ชีวิตของคน ชีวิตของผู้บริโภคดีขึ้น เป็นธุรกิจมีผู้บริหารมี Passion เป็นองค์กรที่ถูกผลักดันด้วยเจตนาที่ดีที่พยายามจะสร้างผลกระทบในเชิงบวกให้กับสังคม เป็นเงินส่วนที่ผมตั้งใจว่าจะบริจาคให้กับการกุศลทั้งหมดตอนตาย แต่ตอนนี้อยากจะเอามาลงทุนสนับสนุนคนที่ทำสิ่งดีๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม
และนี่ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกถึงความจำเป็นในการเอาเงินบางส่วนกลับประเทศไทย เอามาลงทุนอะไรบางอย่างที่ปลอดภัย เพราะถ้าฟองสบู่แตกสักวัน อย่างน้อยเราก็ยังมีเงินเหลือเอาไว้ใช้จ่ายบ้าง เงินที่อยู่ต่างประเทศก็เป็นเงินที่ตั้งใจที่เอาไว้ใช้บริจาคอยู่แล้ว คิดแบบนี้อาจจะพอทำให้ลงทุนได้โดยสงบ และไม่รบกวนกับการศึกษาธรรม และปฏิบัติธรรมของผม
ดังนั้นสำหรับคนที่จะคิดไปต่างประเทศช่วงนี้ ผมขอเตือนไว้เลยนะครับ ว่าไม่ง่าย แถมหุ้นราคาแพง แต่หุ้นแพงไม่ได้หมายความว่าจะไม่แพงขึ้นไปอีก ไม่ได้หมายความว่าจะมีโอกาสได้กำไร จริงๆ แล้วช่วงฟองสบู่นี่ คนเล่นหุ้นจะรวยกันเร็วมาก กำไรง่ายกันซะจนคิดว่าเราเป็นเซียนหุ้นอัจฉริยะ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วคนเล่นทุกคนก็ได้กันหมด ฝีมือจะวัดกันจริงๆ ต้องไปวัดกันตอนฟองสบู่แตก ว่าจะเอาตัวรอดกันยังไง
แต่การที่หุ้นในช่วงนี้แพง ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีพื้นฐาน ไม่มีทฤษฎีรองรับนะครับ เพราะ ถ้าเราลองใช้หลักการ First Principle ดู ย้อนกลับไปที่รากฐานหลักที่สุดของระบบเศรษฐศาสตร์ ระบบเศรษฐศาสตร์ในอดีตที่ใช้มาถึงปัจจุบัน เป็นหลักที่พยายามทำความเข้าใจ และพยายามหาแนวทางที่ทำให้ Economic Agent (มนุษย์โดยรวม) มีความสุข (Maximize Utility)
แต่ปัญหา คือ ข้อจำกัดของระบบเศรษฐศาสตร์ดั้งเดิมที่ถูกสร้างขึ้นมาจากเงื่อนไขที่ว่าทรัพยากรต่างๆ ที่มีอยู่อย่างจำกัด (Scarcity) เลยทำให้ได้ข้อสรุปว่าตัวเลขการบริโภคหรือการผลิต จะเป็นตัวแทนของความสุขของมนุษยชาติ จึงทำให้เกิดตัวเลข GDP การจ้างงาน และ Inflation ตามมา ทั้งๆ ที่ข้อสมติฐานเรื่อง Scarcity กำลังถูกทำลายลงด้วย Technology Innovation
Technology Breakthru ที่เกิดขึ้นในระดับ Exponential ที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันในช่วงนี้และกำลังจะเกิดขึ้นต่อไป ทำให้ระบบเศรษฐกิจของเราที่เดินทางจากยุค Scarcity ในอดีต มาสู่ยุค Post-Scarcity อย่างในปัจจุบัน และกำลังเดินหน้าไปสู่ยุค Abundance Economy ซึ่งสุดท้ายแล้วหากเทคโนโลยีของเราสามารถเปลี่ยนแปลงพลังงานจากดวงอาทิตย์ที่มีมากมายมหาศาลมาเป็นทรัพยากร (มวล) และ พลังงานได้ ยุคยูโธเปียที่จะมาถึงในอนาคต จะทำให้ระบบเศรษฐกิจเปลี่ยนรูปแบบไปอย่างสิ้นเชิง
อย่างล่าสุดเทคโนโลยีพลังงาน Solar ก็ได้เดินทางมาถึงจุด Inflection Point เมื่อกลางปี 2019 ที่ผ่านมา เมื่อค่าใช้จ่ายในการผลิตไฟฟ้าจาก Solar ถูกกว่าต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าจากโรงงานถ่านหินแล้ว ถูกในระดับที่ว่า ถ้าเราปิดโรงงานไฟฟ้าถ่านหินทั้งหมด แล้วสร้างโรงไฟฟ้าจากพลังงาน Solar ก็คุ้มกว่าที่จะทำแล้ว เลยทำให้หุ้น Solar วิ่งอย่างรุนแรงตลอดช่วงที่ผ่านมา
ลองจินตนาการดูว่าชีวิตของคุณที่ทุกอย่างเป็นของฟรี กับ มีเทียบกับชีวิตที่ต้องเสียเงินซื้อของ ชีวิตแบบไหนดีกว่ากัน ในมุมของผู้บริโภคแล้ว ของฟรีย่อมดีกว่าของที่เสียเงิน แต่ถ้าดูตัวเลขทางเศรษฐศาสตร์แล้ว ถ้าทุกอย่างเป็นของฟรี GDP จะเท่ากับศูนย์ ในขณะที่ถ้าทุกอย่างเสียเงิน GDP จะมีค่ามากกว่าศูนย์ จะเห็นได้ว่าตัวเลขทางเศรษฐศาสตร์ในยุค Scarcity มันเอามาใช้ในยุค Abundance ไม่ได้อีกต่อไป (จริงๆ แล้ว ในทางเศรษฐศาตร์ เราต้องไปดูที่ Consumer Surplus มากกว่า แต่ Consumer Surplus เป็นสิ่งที่วัดค่าได้ยากมาก)
ในยุค Abundance หมายความว่า คนจะไม่มีปัญหาเรื่องอาหารการกิน ไม่มีปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย และยารักษาโรคอีกต่อไป หากเราจะ Maximize Utility หรือ Maximize Happiness แล้ว ความสุขของคนในบันได Maslow จะไปอยู่ที่ 3 ขั้นสุดท้าย และการจะ Maximize Utility ของคน ก็คือการเล่นกับเคมีในสมองของคน
COVID-19 ทำให้เกิด Digital Transformation ในระดับก้าวกระโดด และนั่นทำให้ต้นทุนที่ทำให้เกิดเคมีในสมองหลายๆ อย่างหายไป เมื่อข้อจำกัดในการเคลื่อนย้ายสิ่งที่เป็น Physical เกิดขึ้น การเดินทาง ขนบธรรมเนียม เดิมๆ ก็หายไป หากพิจารณาในแง่มุมนี้แล้ว Digital Transformation ที่เกิดขึ้นในช่วง COVID-19 ทำให้เกิด Quantum Leap ของปฏิกิริยาทางเคมีในสมองของคน
ยกตัวอย่างเช่น ในอดีตการจะเข้าไปฟัง เข้าไปพูดคุยกับคนเก่งๆ คุณต้องได้รับเชิญ จอง เดินทางไปฟังสัมมนา แต่ COVID-19 ได้เปิดโอกาสใหม่ๆ อย่างที่ไม่เห็นเป็นมาก่อน อย่างในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนกระเหรี่ยงๆ จากประเทศด้อยพัฒนาอย่างผม ได้รับโอกาสฟังคนเก่งๆ ระดับโลก ออกมาพูดนู้นพูดนี่ แชร์นู้น แชร์นี่เยอะแยะเต็มไปหมด ผ่านทาง Webinar ทาง Zoom ทาง YouTube อย่างที่ไม่มีโอกาสตอนก่อนเกิด COVID-19 ความพยายามในการติดต่อ สื่อสาร แชร์ข้อมูลในช่วงที่ผ่านมามากเป็นประวัติการณ์ และทำให้เคมีในสมองของผมเกิดขึ้นมากมายมหาศาล ซึ่งผมเชื่อว่าคนหลายๆ คนในโลกอาจจะได้มีโอกาสเปลี่ยนชีวิตตัวเองจริงๆ ในช่วงที่ผ่านมา
และถ้าหากเรานับกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามจำนวน Connection และ Activity ทางข้อมูลที่เกิดขึ้นผ่านทาง Connection แล้ว จะพบว่าการสื่อสารทางข้อมูลที่มีคุณภาพในช่วงที่ผ่านมาก้าวกระโดดอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งผมเชื่ออย่างแรงกล้าว่า ตัวเลขจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่พัฒนามาจากทฤษฎีทางเศรษฐศาตร์แบบดั้งเดิม มันไม่สะท้อนต่อพัฒนาการของมวลมนุษยชาติ ณ ขณะนี้
ตอนนี้เราอยู่ในขอบเขต พื้นที่ ที่ทฤษฎีดั้งเดิมต่างๆ ใช้ไม่ได้อีกต่อไป และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่อาจจะเข้ามารองรับว่า ทำไมกิจการหลายๆ ตัว Valuation ถึงแพงหูฉี่ เพราะ จริงๆ แล้วปริมาณและคุณภาพของ Connection ที่เกิด Activity ทาง Digital ไม่สะท้อนมาที่ตัวเลขทางการเงินอะไรเลย เป็นผลที่ทำให้ Valuation ดูอะไรไม่ได้อีกต่อไป
อย่างไรก็ตามตลาดที่คึกคักแบบนี้ ของปลอมมันจะปนเข้ามาเยอะมาก และถือแม้จะเป็นของจริง แต่ความรุนแรงจากการแข่งขันในอนาคตก็ทำให้อนาคตมีความไม่แน่นอนสูงมาก และเมื่อคนยอมรับใน Valuation แบบ P/S ได้ Focus ไปที่ TAM ที่ผู้บริหารและนักวิเคราะห์มโนขึ้น ซึ่งมันอาจจะเป็นจริงหรือไม่จริงก็ได้ การที่เข้ามาลงทุนในช่วงนี้ โดยไม่รู้และไม่เข้าใจกิจการนั้นจริงๆ มีวิธีการในการติดตามกิจการนั้นๆ อย่างถูกต้อง มันอาจจะเป็นหนทางแห่งความตายของคุณได้เลย
คำถามที่คุณควรถาม คือ ทำไมคุณถึงได้เปรียบที่เหนือกว่าคนอื่น และถ้าคุณคิดว่าคุณไม่ได้มีข้อได้เปรียบที่มากกว่าคนอื่นเค้า คุณต้องถามตัวเองต่อว่าคุณมี Money Management และ Risk Management อย่างไร แต่ถ้าคุณมั่นใจว่ามีข้อได้เปรียบคนอื่น คุณเก่งกว่าคนอื่น ก็เล่นไปเถอะครับ อัดไปเถอะครับ ถือตัวเดียวสัดส่วนเยอะๆ แบบสมัยที่คุณเล่นหุ้นไทยเถอะครับ ถ้าคุณเก่งจริง ถ้าคุณเหนือว่าจริง คุณรวยแน่นอนกับตลาดแบบนี้
------------------------------------------------------------------------------------
จากประสบการณ์ที่ไปลงทุนต่างประเทศมาประมาณ 8 ปี แม้ว่าผมจะรู้สึกว่าผมไม่ค่อยรู้อะไรเท่าไร ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้ว่าตัวเองรู้น้อยขนาดไหน แต่ผมก็ขออนุญาตแชร์ข้อมูลอะไรสักเล็กน้อยเผื่อจะเป็นประโยชน์นะครับ (ขออภัยหากสิ่งที่แชร์ไม่เป็นประโยชน์ และทำให้เสียเวลาในการอ่าน)
1) ในการเอาเงินออกไปลงทุนต่างประเทศ ถ้าคุณมีสินทรัพย์เกิน 100 ล้านบาท ผมแนะนำว่าเปิดพอร์ตกับ Interactive Broker (IBKR) แล้วเอาเงินออกทางช่อง QI (Qualified Investor) ที่ ธปท เปิดเอาไว้ดีกว่าครับ เพราะ ที่ IBKR เป็น Broker เดียวที่ผมศึกษามาว่านักลงทุนไทยสามารถเปิดพอร์ตได้โดยตรง และ เปิดง่าย สัปดาห์เดียวก็เรียบร้อย ค่าธรรมเนียมถูก Access Product ได้เยอะมาก จะเล่น Futures Option จะกู้ Margin ดอกก็ถูกเหลือเกิน จะ Short หุ้นก็ทำได้สบายมาก หรือจะเขียนโปรแกรมให้ Trade อัตโนมัติก็ทำได้
2) นักวิเคราะห์ที่ต่างประเทศเค้าเก่งกันมากครับ ที่มีให้อ่านฟรี หรือเสียเงินเล็กน้อยให้อ่านจากเน็ต ผมคิดว่าคุณภาพยังสู้บทวิเคราะห์จาก House ใหญ่ๆ อย่าง BOAS, GS, MS, CITI ไกลอยู่ครับ (ผมว่า Broke ฝั่ง US ดีกว่าทางฝั่งยุโรปเยอะครับ) เวลาพวกนี้เค้าวิเคราะห์กัน นักวิเคราะห์ที่ตามอุตสาหกรรมหนึ่งๆ คือ เค้าทุ่มเทชีวิตและเวลาในการติดตาม Sector นั้นๆ ทำ Paper ที่ดีที่สุด เพื่อให้กองทุนระดับโลกอ่าน ดังนั้นเวลาผมจะศึกษาอุตสาหกรรมอะไรใหม่ๆ อย่างล่าสุด ผมศึกษาพวก Health Tech ผมจะเริ่มจาก Paper ของ House พวกนี้ เวลาเค้าเล่าเกี่ยวกับอุตสาหกรรมนี้ มันเป็นภาพที่ทั้งกว้างและลึก Paper บทวิเคราะห์อันหนึ่งความยาวเป็นร้อยหน้าครับ หนังสือที่เราคิดว่าอ่านกันเยอะแล้ว มาเจอบทวิเคราะห์ของ House ใหญ่ๆ เค้าทำนี่มันสุดๆ จริงๆ มันจะช่วยให้เราประหยัดเวลาทำการบ้านของเราไปเยอะมาก
3) ดังนั้นถ้าไม่ได้เน้นเรื่องซื้อขายค่าธรรมเนียมถูกๆ ผมแนะนำว่าให้เอาเงินออกทาง QI ไปเปิดพอร์ตกับ Broker ใหญ่ๆ ที่สิงคโปร์เลยครับ Access ที่เข้าถึง Paper พวกนี้นี่ คุ้มค่า คุ้มความพยายามมากๆ ถ้าคุณเน้นเรื่องการวิเคราะห์ในเชิงลึก ที่แนะนำว่าควรเปิดพอร์ต Access System ของเค้าเลย เพราะว่า มันจะมี Paper Thematic หรือ Paper Industry แปลกๆ ที่คุณควรเข้าไปขุดขึ้นมาอ่านเอง ถ้าคุณไปขอ Paper เป็นหุ้นรายตัว สุดท้ายสิ่งที่คุณได้มันจบแค่นั้น แต่ถ้าคุณได้ไปอย่าง Paper ที่เขียนในเชิงวิเคราะห์ Theme วิเคราะห์ Industry มันจะขยายความเข้าใจ และ Investment Universe ของคุณ ที่คุ้มค่าความพยายามในการเปิดพอร์ต และค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้นมากๆ
4) เมื่อคุณได้ Access ไปที่ Paper ดีๆ และถ้ามีโอกาสได้ Conference Call ดู Presentation ของนักวิเคราะห์ ได้ฟังคนเก่งๆ มากเข้าๆ คุณจะยิ่งรู้สึกว่าตัวว่าเราเล็กลงยิ่งกว่าเดิม ความรู้สึกของผมทุกวันนี้ คือ ยิ่งได้รู้ ยิ่งได้อ่าน ยิ่งได้ฟัง ตัวตนของผมทุกวันนี้ แทบจะกลายเป็นผุยผงไปแล้วครับ ความมั่นใจที่มีมากถูกทำลายหมดจนสิ้นซาก ได้กลายเป็นคนที่ไร้ตัวตน เป็น Nobody สมความตั้งใจ พยายามเอาชิ้นส่วน ผุยผงที่กองอยู่ตามพื้นมาเขี่ยๆ ดู ว่ายังพอเหลืออะไรที่จะเอามาใช้ในการลงทุนได้บ้าง ดังนั้น นี่คือ คำเตือนนะครับ ว่าถ้าอยากที่จะรักษาอัตตาอันยิ่งใหญ่คับฟ้าของตัวเองเอาไว้ อย่าอ่านมากหรือศึกษามากจนเกินไป ยิ่งรู้ว่าคนระดับโลกเค้าเก่งกันขนาดไหน ยิ่งเสีย Self ครับ ถ้าอยากรักษาอัตตาตัวเองเอาไว้ รู้ไม่ต้องมาก แต่ให้รู้มากกว่าคนไทยอื่น แล้วพูดให้มากๆ เผยแพร่ให้มากๆ โดยหลักทางพุทธแล้ว การพูดมากๆ จะเป็นการพอกพูนอัตตา (อัตตวาทุปาทาน) การอ่าน การฟังมากๆ จะเป็นการทำลายอัตตา พยายาม Balance การพูดกับฟังเพื่อรักษาอัตตา รักษาความมั่นใจ เพื่อการอยู่รอดของตัวเองในระยะยาว
5) กำไรและความสำเร็จในการลงทุนไม่ได้หมายความว่า คุณต้องเก่งกว่าคนอื่น คุณต้องรู้มากกว่าคนอื่น คุณรู้ไม่ต้องมาก คุณแค่รู้ในสิ่งที่สมควรรู้ และโชคดีบ้าง แค่นี้ก็พอแล้วครับ อย่างที่พี่ WEB เคยพูดๆ ติดขำๆ ให้ผมฟังว่า เราต้องรู้จักทำบุญ ไหว้พระ สวดมนต์เอาไว้บ้าง เพราะ เรื่องที่เราไม่รู้มันยังมีอยู่อีกเยอะจริงๆ
6) เครื่องมือ เครื่องไม้ แนวคิดที่มืออาชีพต่างประเทศเค้าใช้กันมันสุดๆ จริงๆ ครับ เค้าใส่ Assumption เอาไว้เลยว่างบแต่บรรทัด ตัวเลขไหน เค้าให้ความสำคัญ พองบออก Feed เข้าระบบอัตโนมัติ ระบบทำการโยนซื้อขายอัตโนมัติตอนงบออก ดังนั้น เกมส์ๆ นี้ คำถาม คือ คุณจะเอาตัวรอดให้ได้อย่างไร ในเมื่อคุณแพ้เรื่องความเร็วและความสามารถในการวิเคราะห์งบแน่ๆ แถม Valuation ไม่ใช่เพื่อนของเราอีกไปแล้ว
7) เพื่อนของเราบางทีเค้าก็อาจจะหลงทางเหมือนเรา หรือหลงทางยิ่งกว่าเรา เวลาคนหลงทางเจอกัน คุยกันก็นึกว่าอีกคนรู้ทาง คุยกันไปคุยกันมาก็ยิ่งคิดกันไปเองว่าเราพึ่งอีกคนได้ เพราะ มันดูเก่งดีนะ งั้นลอกหุ้นมันละกัน ลอกกันไปลอกกันมา สุดท้ายเรากำลังลอกข้อสอบคนที่ไม่รู้เหมือนกันทั้งคู่ ซึ่งจริงๆ ผมว่าไม่มีใครรู้อะไรจริงๆ หรอกว่าอนาคตมันจะเป็นยังไง การลงทุนมันถึงยาก และทำไมเราถึงต้องมี Margin Of Safety ถึงแม้ว่าผมจะลงทุนมาก่อน 8 ปี ผมบอกได้เต็มปากเต็มคำเลยครับ ว่า ทุกวันนี้ผมก็หลงทางอยู่เหมือนกัน อย่ามาถามทางผมว่าเดินไปทางไหนจะประสบความสำเร็จ เอาแค่ว่าเดินผ่านไปทางไหนมาในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาแล้วยังไม่ตาย ยังมีชีวิตอยู่ แค่นั้นพอ
8) เมื่อเริ่มลงทุนในต่างประเทศ คุณกำลังเดินเข้าไปในเขาวงกตที่ดูดดื่ม กลืนกินเวลาคุณเป็นอย่างมาก บอกได้เลยครับว่าศึกษาเท่าไรก็ไม่จบ อ่านเท่าไรก็ไม่พอ ดังนั้นแบ่งเวลาให้ดี ทำเท่าที่ทำได้ ได้แค่ไหนก็พอแค่นั้น สุดท้ายตอนตายเราก็เอาเงินไปไม่ได้สักบาท สุขภาพทางกายและใจของเรา ครอบครัว และคนรอบๆ ตัวสำคัญกว่าครับ ที่สำคัญทรัพย์ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าเอาไปได้หลังความตาย มี 7 อย่างครับ สั่งสม ก็สั่งสมสิ่งที่เอาไปได้หลังความตายนิดนึง เพราะ เงิน ความสำเร็จในชาตินี้ ยังไงก็เอาข้ามไปไม่ได้
สุดท้ายถ้าคุณลงทุนต่างประเทศ โดยเน้นไปที่ความสุขและความสนุกในการได้เห็นและศึกษากิจการดีๆ ทำสิ่งดีๆ ที่เป็นประโยชน์ให้กับโลก ใส่เงินเข้าไปตามระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมกับความเข้าใจและ Valuation มีความเชื่อ และทัศนคติที่ถูกต้อง มีเครื่องมือหน้าตักอย่างเหมาะสม คุณจะสนุกกับมันครับ
แม้ว่าในระยะสั้นอาจจะผิดพลาด ผิดหวัง แต่ความสนุกจากการศึกษา และความเพียรพยายามที่ใส่มันเข้าไปเรื่อยๆ ในระยะยาวแล้ว ผมเชื่อว่ามันจะออกดอกออกผลอย่างแน่นอนครับ
ตอนปี 2014 ผมลองศึกษาและลงทุนหุ้นจีนดู แต่สุดท้ายก็รู้สึกว่าไปไม่รอด เพราะ รู้สึกว่าติดตามยาก แถมช่วงนั้นอยากใช้เวลากับการปฏิบัติธรรมมากกว่า เลยขายหมูหุ้นตกรถกันไปหลายเด้ง ปี 2020 รอบนี้ผมกลับมาลงทุนจีนใหม่ ด้วยมุมมองใหม่ๆ ว่ากิจการอะไรที่จะสร้าง Positive Impact ได้แรงๆ ให้กับคนจีนสังคมจีน และมีแนวโน้มที่จะแพร่ขยายไปสู่ประเทศอื่นๆ
ช่วงปี 2018 พอผมเห็นปัญหาเรื่อง Deglobalization ช่วงต้นปี Valuation หุ้นไทยก็แพง ผมเลยล้างพอร์ตไทยที่เหลือไปต่างประเทศทั้งหมด
ผมสังเหตุว่าในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนไทยเริ่มที่จะสนใจหุ้นต่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ จนช่วงปีนี้รู้สึกว่ากระแสจะแรงมาก ซึ่งเท่าที่เห็นกระแสมันก็เป็นแบบนี้กันทั้งโลกไม่ใช่แค่ในประเทศไทย และผมเชื่อว่ากระแสแบบนี้แหละที่มันจะก่อให้เกิดฟองสบู่ลูกที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
ตอนที่ผมเริ่มเอาเงินออกไปต่างประเทศตอนปี 2012-2013 ผมก็คิดมาตลอดว่า วันหนึ่งผมคงต้องเอาเงินกลับเข้ามาในไทยเพื่อเอามาใช้จ่าย โดยตั้งใจจะหามาหุ้นที่ปลอดภัยเน้นถือกินปันผลในระยะยาว ผมรอเวลาที่ตลาดหุ้นไทยจะอยู่ใน Valuation ที่พอที่จะเหมาะสมกับการลงทุน ก็มอง SET เอาไว้ที่ประมาณ 1,000 จุด พอมันลงมาแตะ ช่วง COVID ผมเลยลองปรึกษาพี่ที่นับถือคนหนึ่งว่าถ้าอยากจะเอาเงินกลับไทยบางส่วน ควรจะเอาไปลงทุนอะไร แต่คำตอบกลับเป็นเรื่องที่ผมแปลกใจมาก พี่เค้าบอกผมว่า ผมควรที่จะเอาเงินเอาไว้ที่ต่างประเทศ แทนที่จะเอากลับไทย
ไม่รู้สิ ผมคิดว่าถ้าผมได้รับคำแนะนำแบบนี้ สมมติฐานที่คิดเอาไว้ว่า จะเกิดฟองสบู่ลูกที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ คงจะจริง เพราะ ถ้าการลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะ หุ้น Tech เป็นทางเลือกเดียวที่เหลือในการลงทุน (There Is No Alternative - TINA) ก็ไม่แปลกที่ราคาหุ้น Tech จะแพงขนาดนี้
ตอนนี้ผมหาไม่เจอแล้วว่ามีหุ้น Tech อะไรถูกๆ หุ้นต่างประเทศที่ผมถืออยู่ทุกวันนี้ คือ หุ้นที่ถือโดยอาศัยความเชื่อล้วนๆ เชื่อในตัวสินค้า เชื่อในตัวบริการ เชื่อว่านี่คือกิจการที่จะทำให้โลกนี้ดีขึ้น เชื่อว่าในตัวผู้ก่อตั้ง เชื่อในทีมบริหาร แต่ไม่มีความเชื่อเลยแม้แต่น้อยว่า Valuation ณ ขณะนี้จะเป็น Valuation ที่เรามั่นใจว่าจะได้กำไร ตามหลักการการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ไม่เหมือนกันลงทุนในช่วงก่อนๆ หน้าที่ทุกครั้งที่ซื้อ ผมซื้อด้วยความมั่นใจพอสมควรว่าน่าจะกำไร หากกิจการพัฒนาการไปตามทิศทางที่ควรจะเป็น
ด้วยเหตุนี้ การลงทุนในช่วงนี้ ผมเลยทำใจเอาไว้เลยว่า ผมจะขาดทุนแน่ๆ ในระยะสั้น ผมจึงต้องอาศัยความเชื่ออีกชุดหนึ่งที่เข้ามาประกอบการลงทุน เพื่อที่จะสามารถถือลงทุนในระยะยาวได้ โดยพยายามที่จะเชื่อให้ได้ว่า ถึงแม้ว่าผมจะขาดทุน อย่างน้อยกิจการนี้ก็ทำให้ชีวิตของคน ชีวิตของผู้บริโภคดีขึ้น เป็นธุรกิจมีผู้บริหารมี Passion เป็นองค์กรที่ถูกผลักดันด้วยเจตนาที่ดีที่พยายามจะสร้างผลกระทบในเชิงบวกให้กับสังคม เป็นเงินส่วนที่ผมตั้งใจว่าจะบริจาคให้กับการกุศลทั้งหมดตอนตาย แต่ตอนนี้อยากจะเอามาลงทุนสนับสนุนคนที่ทำสิ่งดีๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม
และนี่ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกถึงความจำเป็นในการเอาเงินบางส่วนกลับประเทศไทย เอามาลงทุนอะไรบางอย่างที่ปลอดภัย เพราะถ้าฟองสบู่แตกสักวัน อย่างน้อยเราก็ยังมีเงินเหลือเอาไว้ใช้จ่ายบ้าง เงินที่อยู่ต่างประเทศก็เป็นเงินที่ตั้งใจที่เอาไว้ใช้บริจาคอยู่แล้ว คิดแบบนี้อาจจะพอทำให้ลงทุนได้โดยสงบ และไม่รบกวนกับการศึกษาธรรม และปฏิบัติธรรมของผม
ดังนั้นสำหรับคนที่จะคิดไปต่างประเทศช่วงนี้ ผมขอเตือนไว้เลยนะครับ ว่าไม่ง่าย แถมหุ้นราคาแพง แต่หุ้นแพงไม่ได้หมายความว่าจะไม่แพงขึ้นไปอีก ไม่ได้หมายความว่าจะมีโอกาสได้กำไร จริงๆ แล้วช่วงฟองสบู่นี่ คนเล่นหุ้นจะรวยกันเร็วมาก กำไรง่ายกันซะจนคิดว่าเราเป็นเซียนหุ้นอัจฉริยะ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วคนเล่นทุกคนก็ได้กันหมด ฝีมือจะวัดกันจริงๆ ต้องไปวัดกันตอนฟองสบู่แตก ว่าจะเอาตัวรอดกันยังไง
แต่การที่หุ้นในช่วงนี้แพง ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีพื้นฐาน ไม่มีทฤษฎีรองรับนะครับ เพราะ ถ้าเราลองใช้หลักการ First Principle ดู ย้อนกลับไปที่รากฐานหลักที่สุดของระบบเศรษฐศาสตร์ ระบบเศรษฐศาสตร์ในอดีตที่ใช้มาถึงปัจจุบัน เป็นหลักที่พยายามทำความเข้าใจ และพยายามหาแนวทางที่ทำให้ Economic Agent (มนุษย์โดยรวม) มีความสุข (Maximize Utility)
แต่ปัญหา คือ ข้อจำกัดของระบบเศรษฐศาสตร์ดั้งเดิมที่ถูกสร้างขึ้นมาจากเงื่อนไขที่ว่าทรัพยากรต่างๆ ที่มีอยู่อย่างจำกัด (Scarcity) เลยทำให้ได้ข้อสรุปว่าตัวเลขการบริโภคหรือการผลิต จะเป็นตัวแทนของความสุขของมนุษยชาติ จึงทำให้เกิดตัวเลข GDP การจ้างงาน และ Inflation ตามมา ทั้งๆ ที่ข้อสมติฐานเรื่อง Scarcity กำลังถูกทำลายลงด้วย Technology Innovation
Technology Breakthru ที่เกิดขึ้นในระดับ Exponential ที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันในช่วงนี้และกำลังจะเกิดขึ้นต่อไป ทำให้ระบบเศรษฐกิจของเราที่เดินทางจากยุค Scarcity ในอดีต มาสู่ยุค Post-Scarcity อย่างในปัจจุบัน และกำลังเดินหน้าไปสู่ยุค Abundance Economy ซึ่งสุดท้ายแล้วหากเทคโนโลยีของเราสามารถเปลี่ยนแปลงพลังงานจากดวงอาทิตย์ที่มีมากมายมหาศาลมาเป็นทรัพยากร (มวล) และ พลังงานได้ ยุคยูโธเปียที่จะมาถึงในอนาคต จะทำให้ระบบเศรษฐกิจเปลี่ยนรูปแบบไปอย่างสิ้นเชิง
อย่างล่าสุดเทคโนโลยีพลังงาน Solar ก็ได้เดินทางมาถึงจุด Inflection Point เมื่อกลางปี 2019 ที่ผ่านมา เมื่อค่าใช้จ่ายในการผลิตไฟฟ้าจาก Solar ถูกกว่าต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าจากโรงงานถ่านหินแล้ว ถูกในระดับที่ว่า ถ้าเราปิดโรงงานไฟฟ้าถ่านหินทั้งหมด แล้วสร้างโรงไฟฟ้าจากพลังงาน Solar ก็คุ้มกว่าที่จะทำแล้ว เลยทำให้หุ้น Solar วิ่งอย่างรุนแรงตลอดช่วงที่ผ่านมา
ลองจินตนาการดูว่าชีวิตของคุณที่ทุกอย่างเป็นของฟรี กับ มีเทียบกับชีวิตที่ต้องเสียเงินซื้อของ ชีวิตแบบไหนดีกว่ากัน ในมุมของผู้บริโภคแล้ว ของฟรีย่อมดีกว่าของที่เสียเงิน แต่ถ้าดูตัวเลขทางเศรษฐศาสตร์แล้ว ถ้าทุกอย่างเป็นของฟรี GDP จะเท่ากับศูนย์ ในขณะที่ถ้าทุกอย่างเสียเงิน GDP จะมีค่ามากกว่าศูนย์ จะเห็นได้ว่าตัวเลขทางเศรษฐศาสตร์ในยุค Scarcity มันเอามาใช้ในยุค Abundance ไม่ได้อีกต่อไป (จริงๆ แล้ว ในทางเศรษฐศาตร์ เราต้องไปดูที่ Consumer Surplus มากกว่า แต่ Consumer Surplus เป็นสิ่งที่วัดค่าได้ยากมาก)
ในยุค Abundance หมายความว่า คนจะไม่มีปัญหาเรื่องอาหารการกิน ไม่มีปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย และยารักษาโรคอีกต่อไป หากเราจะ Maximize Utility หรือ Maximize Happiness แล้ว ความสุขของคนในบันได Maslow จะไปอยู่ที่ 3 ขั้นสุดท้าย และการจะ Maximize Utility ของคน ก็คือการเล่นกับเคมีในสมองของคน
COVID-19 ทำให้เกิด Digital Transformation ในระดับก้าวกระโดด และนั่นทำให้ต้นทุนที่ทำให้เกิดเคมีในสมองหลายๆ อย่างหายไป เมื่อข้อจำกัดในการเคลื่อนย้ายสิ่งที่เป็น Physical เกิดขึ้น การเดินทาง ขนบธรรมเนียม เดิมๆ ก็หายไป หากพิจารณาในแง่มุมนี้แล้ว Digital Transformation ที่เกิดขึ้นในช่วง COVID-19 ทำให้เกิด Quantum Leap ของปฏิกิริยาทางเคมีในสมองของคน
ยกตัวอย่างเช่น ในอดีตการจะเข้าไปฟัง เข้าไปพูดคุยกับคนเก่งๆ คุณต้องได้รับเชิญ จอง เดินทางไปฟังสัมมนา แต่ COVID-19 ได้เปิดโอกาสใหม่ๆ อย่างที่ไม่เห็นเป็นมาก่อน อย่างในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนกระเหรี่ยงๆ จากประเทศด้อยพัฒนาอย่างผม ได้รับโอกาสฟังคนเก่งๆ ระดับโลก ออกมาพูดนู้นพูดนี่ แชร์นู้น แชร์นี่เยอะแยะเต็มไปหมด ผ่านทาง Webinar ทาง Zoom ทาง YouTube อย่างที่ไม่มีโอกาสตอนก่อนเกิด COVID-19 ความพยายามในการติดต่อ สื่อสาร แชร์ข้อมูลในช่วงที่ผ่านมามากเป็นประวัติการณ์ และทำให้เคมีในสมองของผมเกิดขึ้นมากมายมหาศาล ซึ่งผมเชื่อว่าคนหลายๆ คนในโลกอาจจะได้มีโอกาสเปลี่ยนชีวิตตัวเองจริงๆ ในช่วงที่ผ่านมา
และถ้าหากเรานับกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามจำนวน Connection และ Activity ทางข้อมูลที่เกิดขึ้นผ่านทาง Connection แล้ว จะพบว่าการสื่อสารทางข้อมูลที่มีคุณภาพในช่วงที่ผ่านมาก้าวกระโดดอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งผมเชื่ออย่างแรงกล้าว่า ตัวเลขจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่พัฒนามาจากทฤษฎีทางเศรษฐศาตร์แบบดั้งเดิม มันไม่สะท้อนต่อพัฒนาการของมวลมนุษยชาติ ณ ขณะนี้
ตอนนี้เราอยู่ในขอบเขต พื้นที่ ที่ทฤษฎีดั้งเดิมต่างๆ ใช้ไม่ได้อีกต่อไป และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่อาจจะเข้ามารองรับว่า ทำไมกิจการหลายๆ ตัว Valuation ถึงแพงหูฉี่ เพราะ จริงๆ แล้วปริมาณและคุณภาพของ Connection ที่เกิด Activity ทาง Digital ไม่สะท้อนมาที่ตัวเลขทางการเงินอะไรเลย เป็นผลที่ทำให้ Valuation ดูอะไรไม่ได้อีกต่อไป
อย่างไรก็ตามตลาดที่คึกคักแบบนี้ ของปลอมมันจะปนเข้ามาเยอะมาก และถือแม้จะเป็นของจริง แต่ความรุนแรงจากการแข่งขันในอนาคตก็ทำให้อนาคตมีความไม่แน่นอนสูงมาก และเมื่อคนยอมรับใน Valuation แบบ P/S ได้ Focus ไปที่ TAM ที่ผู้บริหารและนักวิเคราะห์มโนขึ้น ซึ่งมันอาจจะเป็นจริงหรือไม่จริงก็ได้ การที่เข้ามาลงทุนในช่วงนี้ โดยไม่รู้และไม่เข้าใจกิจการนั้นจริงๆ มีวิธีการในการติดตามกิจการนั้นๆ อย่างถูกต้อง มันอาจจะเป็นหนทางแห่งความตายของคุณได้เลย
คำถามที่คุณควรถาม คือ ทำไมคุณถึงได้เปรียบที่เหนือกว่าคนอื่น และถ้าคุณคิดว่าคุณไม่ได้มีข้อได้เปรียบที่มากกว่าคนอื่นเค้า คุณต้องถามตัวเองต่อว่าคุณมี Money Management และ Risk Management อย่างไร แต่ถ้าคุณมั่นใจว่ามีข้อได้เปรียบคนอื่น คุณเก่งกว่าคนอื่น ก็เล่นไปเถอะครับ อัดไปเถอะครับ ถือตัวเดียวสัดส่วนเยอะๆ แบบสมัยที่คุณเล่นหุ้นไทยเถอะครับ ถ้าคุณเก่งจริง ถ้าคุณเหนือว่าจริง คุณรวยแน่นอนกับตลาดแบบนี้
------------------------------------------------------------------------------------
จากประสบการณ์ที่ไปลงทุนต่างประเทศมาประมาณ 8 ปี แม้ว่าผมจะรู้สึกว่าผมไม่ค่อยรู้อะไรเท่าไร ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้ว่าตัวเองรู้น้อยขนาดไหน แต่ผมก็ขออนุญาตแชร์ข้อมูลอะไรสักเล็กน้อยเผื่อจะเป็นประโยชน์นะครับ (ขออภัยหากสิ่งที่แชร์ไม่เป็นประโยชน์ และทำให้เสียเวลาในการอ่าน)
1) ในการเอาเงินออกไปลงทุนต่างประเทศ ถ้าคุณมีสินทรัพย์เกิน 100 ล้านบาท ผมแนะนำว่าเปิดพอร์ตกับ Interactive Broker (IBKR) แล้วเอาเงินออกทางช่อง QI (Qualified Investor) ที่ ธปท เปิดเอาไว้ดีกว่าครับ เพราะ ที่ IBKR เป็น Broker เดียวที่ผมศึกษามาว่านักลงทุนไทยสามารถเปิดพอร์ตได้โดยตรง และ เปิดง่าย สัปดาห์เดียวก็เรียบร้อย ค่าธรรมเนียมถูก Access Product ได้เยอะมาก จะเล่น Futures Option จะกู้ Margin ดอกก็ถูกเหลือเกิน จะ Short หุ้นก็ทำได้สบายมาก หรือจะเขียนโปรแกรมให้ Trade อัตโนมัติก็ทำได้
2) นักวิเคราะห์ที่ต่างประเทศเค้าเก่งกันมากครับ ที่มีให้อ่านฟรี หรือเสียเงินเล็กน้อยให้อ่านจากเน็ต ผมคิดว่าคุณภาพยังสู้บทวิเคราะห์จาก House ใหญ่ๆ อย่าง BOAS, GS, MS, CITI ไกลอยู่ครับ (ผมว่า Broke ฝั่ง US ดีกว่าทางฝั่งยุโรปเยอะครับ) เวลาพวกนี้เค้าวิเคราะห์กัน นักวิเคราะห์ที่ตามอุตสาหกรรมหนึ่งๆ คือ เค้าทุ่มเทชีวิตและเวลาในการติดตาม Sector นั้นๆ ทำ Paper ที่ดีที่สุด เพื่อให้กองทุนระดับโลกอ่าน ดังนั้นเวลาผมจะศึกษาอุตสาหกรรมอะไรใหม่ๆ อย่างล่าสุด ผมศึกษาพวก Health Tech ผมจะเริ่มจาก Paper ของ House พวกนี้ เวลาเค้าเล่าเกี่ยวกับอุตสาหกรรมนี้ มันเป็นภาพที่ทั้งกว้างและลึก Paper บทวิเคราะห์อันหนึ่งความยาวเป็นร้อยหน้าครับ หนังสือที่เราคิดว่าอ่านกันเยอะแล้ว มาเจอบทวิเคราะห์ของ House ใหญ่ๆ เค้าทำนี่มันสุดๆ จริงๆ มันจะช่วยให้เราประหยัดเวลาทำการบ้านของเราไปเยอะมาก
3) ดังนั้นถ้าไม่ได้เน้นเรื่องซื้อขายค่าธรรมเนียมถูกๆ ผมแนะนำว่าให้เอาเงินออกทาง QI ไปเปิดพอร์ตกับ Broker ใหญ่ๆ ที่สิงคโปร์เลยครับ Access ที่เข้าถึง Paper พวกนี้นี่ คุ้มค่า คุ้มความพยายามมากๆ ถ้าคุณเน้นเรื่องการวิเคราะห์ในเชิงลึก ที่แนะนำว่าควรเปิดพอร์ต Access System ของเค้าเลย เพราะว่า มันจะมี Paper Thematic หรือ Paper Industry แปลกๆ ที่คุณควรเข้าไปขุดขึ้นมาอ่านเอง ถ้าคุณไปขอ Paper เป็นหุ้นรายตัว สุดท้ายสิ่งที่คุณได้มันจบแค่นั้น แต่ถ้าคุณได้ไปอย่าง Paper ที่เขียนในเชิงวิเคราะห์ Theme วิเคราะห์ Industry มันจะขยายความเข้าใจ และ Investment Universe ของคุณ ที่คุ้มค่าความพยายามในการเปิดพอร์ต และค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้นมากๆ
4) เมื่อคุณได้ Access ไปที่ Paper ดีๆ และถ้ามีโอกาสได้ Conference Call ดู Presentation ของนักวิเคราะห์ ได้ฟังคนเก่งๆ มากเข้าๆ คุณจะยิ่งรู้สึกว่าตัวว่าเราเล็กลงยิ่งกว่าเดิม ความรู้สึกของผมทุกวันนี้ คือ ยิ่งได้รู้ ยิ่งได้อ่าน ยิ่งได้ฟัง ตัวตนของผมทุกวันนี้ แทบจะกลายเป็นผุยผงไปแล้วครับ ความมั่นใจที่มีมากถูกทำลายหมดจนสิ้นซาก ได้กลายเป็นคนที่ไร้ตัวตน เป็น Nobody สมความตั้งใจ พยายามเอาชิ้นส่วน ผุยผงที่กองอยู่ตามพื้นมาเขี่ยๆ ดู ว่ายังพอเหลืออะไรที่จะเอามาใช้ในการลงทุนได้บ้าง ดังนั้น นี่คือ คำเตือนนะครับ ว่าถ้าอยากที่จะรักษาอัตตาอันยิ่งใหญ่คับฟ้าของตัวเองเอาไว้ อย่าอ่านมากหรือศึกษามากจนเกินไป ยิ่งรู้ว่าคนระดับโลกเค้าเก่งกันขนาดไหน ยิ่งเสีย Self ครับ ถ้าอยากรักษาอัตตาตัวเองเอาไว้ รู้ไม่ต้องมาก แต่ให้รู้มากกว่าคนไทยอื่น แล้วพูดให้มากๆ เผยแพร่ให้มากๆ โดยหลักทางพุทธแล้ว การพูดมากๆ จะเป็นการพอกพูนอัตตา (อัตตวาทุปาทาน) การอ่าน การฟังมากๆ จะเป็นการทำลายอัตตา พยายาม Balance การพูดกับฟังเพื่อรักษาอัตตา รักษาความมั่นใจ เพื่อการอยู่รอดของตัวเองในระยะยาว
5) กำไรและความสำเร็จในการลงทุนไม่ได้หมายความว่า คุณต้องเก่งกว่าคนอื่น คุณต้องรู้มากกว่าคนอื่น คุณรู้ไม่ต้องมาก คุณแค่รู้ในสิ่งที่สมควรรู้ และโชคดีบ้าง แค่นี้ก็พอแล้วครับ อย่างที่พี่ WEB เคยพูดๆ ติดขำๆ ให้ผมฟังว่า เราต้องรู้จักทำบุญ ไหว้พระ สวดมนต์เอาไว้บ้าง เพราะ เรื่องที่เราไม่รู้มันยังมีอยู่อีกเยอะจริงๆ
6) เครื่องมือ เครื่องไม้ แนวคิดที่มืออาชีพต่างประเทศเค้าใช้กันมันสุดๆ จริงๆ ครับ เค้าใส่ Assumption เอาไว้เลยว่างบแต่บรรทัด ตัวเลขไหน เค้าให้ความสำคัญ พองบออก Feed เข้าระบบอัตโนมัติ ระบบทำการโยนซื้อขายอัตโนมัติตอนงบออก ดังนั้น เกมส์ๆ นี้ คำถาม คือ คุณจะเอาตัวรอดให้ได้อย่างไร ในเมื่อคุณแพ้เรื่องความเร็วและความสามารถในการวิเคราะห์งบแน่ๆ แถม Valuation ไม่ใช่เพื่อนของเราอีกไปแล้ว
7) เพื่อนของเราบางทีเค้าก็อาจจะหลงทางเหมือนเรา หรือหลงทางยิ่งกว่าเรา เวลาคนหลงทางเจอกัน คุยกันก็นึกว่าอีกคนรู้ทาง คุยกันไปคุยกันมาก็ยิ่งคิดกันไปเองว่าเราพึ่งอีกคนได้ เพราะ มันดูเก่งดีนะ งั้นลอกหุ้นมันละกัน ลอกกันไปลอกกันมา สุดท้ายเรากำลังลอกข้อสอบคนที่ไม่รู้เหมือนกันทั้งคู่ ซึ่งจริงๆ ผมว่าไม่มีใครรู้อะไรจริงๆ หรอกว่าอนาคตมันจะเป็นยังไง การลงทุนมันถึงยาก และทำไมเราถึงต้องมี Margin Of Safety ถึงแม้ว่าผมจะลงทุนมาก่อน 8 ปี ผมบอกได้เต็มปากเต็มคำเลยครับ ว่า ทุกวันนี้ผมก็หลงทางอยู่เหมือนกัน อย่ามาถามทางผมว่าเดินไปทางไหนจะประสบความสำเร็จ เอาแค่ว่าเดินผ่านไปทางไหนมาในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาแล้วยังไม่ตาย ยังมีชีวิตอยู่ แค่นั้นพอ
8) เมื่อเริ่มลงทุนในต่างประเทศ คุณกำลังเดินเข้าไปในเขาวงกตที่ดูดดื่ม กลืนกินเวลาคุณเป็นอย่างมาก บอกได้เลยครับว่าศึกษาเท่าไรก็ไม่จบ อ่านเท่าไรก็ไม่พอ ดังนั้นแบ่งเวลาให้ดี ทำเท่าที่ทำได้ ได้แค่ไหนก็พอแค่นั้น สุดท้ายตอนตายเราก็เอาเงินไปไม่ได้สักบาท สุขภาพทางกายและใจของเรา ครอบครัว และคนรอบๆ ตัวสำคัญกว่าครับ ที่สำคัญทรัพย์ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าเอาไปได้หลังความตาย มี 7 อย่างครับ สั่งสม ก็สั่งสมสิ่งที่เอาไปได้หลังความตายนิดนึง เพราะ เงิน ความสำเร็จในชาตินี้ ยังไงก็เอาข้ามไปไม่ได้
สุดท้ายถ้าคุณลงทุนต่างประเทศ โดยเน้นไปที่ความสุขและความสนุกในการได้เห็นและศึกษากิจการดีๆ ทำสิ่งดีๆ ที่เป็นประโยชน์ให้กับโลก ใส่เงินเข้าไปตามระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมกับความเข้าใจและ Valuation มีความเชื่อ และทัศนคติที่ถูกต้อง มีเครื่องมือหน้าตักอย่างเหมาะสม คุณจะสนุกกับมันครับ
แม้ว่าในระยะสั้นอาจจะผิดพลาด ผิดหวัง แต่ความสนุกจากการศึกษา และความเพียรพยายามที่ใส่มันเข้าไปเรื่อยๆ ในระยะยาวแล้ว ผมเชื่อว่ามันจะออกดอกออกผลอย่างแน่นอนครับ
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 19
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 19
ขอบคุณครับ ข้อมูล ที่ยอดเยี่ยม
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 377
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 22
ส่วนนี้ผมขอเสริม ผมเริ่มลงทุนปี58เริ่มจากหุ้นไทยนะครับ ไก่กามากๆซื้อมั่วซั่วตอนนั้น555 เล่นได้ซัก3ปีก้ค่อยออกไปตปทตอนปี61 ซึ่ง ก็ไม่ถึง5ปีนะ 55555A66747 เขียน: ↑จันทร์ ส.ค. 17, 2020 11:46 amอยากออกไปลงทุนต่างประเทศเช่นกันครับ แต่เพิ่งเข้าลงทุนในตลาดหุ้นได้ไม่นาน ฟังความเห็นจากนักลงทุนมาจากหลายๆที่ คือ ควรมีประสบการณ์การลงทุนในประเทศตัวเองอย่างน้อย 5 ปีก่อนไปลงทุนต่างประเทศ ซึ่งถ้าทำตามนั้นก็เป็นการใช้เวลาที่พอสมควร แล้วหลังจากนั้นถ้าเริ่มไปลงทุนต่างประเทศก็ต้องเริ่มศึกษาข้อมูลใหม่ทั้งหมด ไม่แน่ใจว่าควรตัดสินใจอย่างไร รบกวนแนะนำด้วยครับ
จากประสบการณ์ส่วนตัวและผมก็ไม่เก่งอะไรมากนะครับ ส่วนตัวผมคิดว่าการไปตปทนั้น ใช้หลักการลงทุนทั้งvaluationและการประเมินธุรกิจที่ไม่ต่างจากเมืองไทยเลย ปัญหาคือ หุ้นไทยคุณซื้อทีละหลัก2-3หมื่นก็ได้ แต่ตปทคุณซื้อที ต่อให้คอมมิชชั่นลงมาเยอะแล้วก็ต้องหลักแสนอัพต่อการซื้อ1ครั้งถึงจะเริ่มคุ้ม
https://www.jitta.com/brokerage-fee-comparison
อันนี้เวปจิตตะเขาทำเทียบไว้ให้ครับ ดีมากเลย ฝากไว้เผื่อจะมีประโยชน์ครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 6
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 23
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ ผมเองก็ดูแต่ละโบรคไว้เหมือนกัน แต่ก็เสียดายค่าธรรมเนียมเวลาซื้อขาย เลยไปหาอ่านไปเรื่อยๆพบว่าquinquin เขียน: ↑จันทร์ ส.ค. 17, 2020 5:04 pmส่วนนี้ผมขอเสริม ผมเริ่มลงทุนปี58เริ่มจากหุ้นไทยนะครับ ไก่กามากๆซื้อมั่วซั่วตอนนั้น555 เล่นได้ซัก3ปีก้ค่อยออกไปตปทตอนปี61 ซึ่ง ก็ไม่ถึง5ปีนะ 55555
จากประสบการณ์ส่วนตัวและผมก็ไม่เก่งอะไรมากนะครับ ส่วนตัวผมคิดว่าการไปตปทนั้น ใช้หลักการลงทุนทั้งvaluationและการประเมินธุรกิจที่ไม่ต่างจากเมืองไทยเลย ปัญหาคือ หุ้นไทยคุณซื้อทีละหลัก2-3หมื่นก็ได้ แต่ตปทคุณซื้อที ต่อให้คอมมิชชั่นลงมาเยอะแล้วก็ต้องหลักแสนอัพต่อการซื้อ1ครั้งถึงจะเริ่มคุ้ม
https://www.jitta.com/brokerage-fee-comparison
อันนี้เวปจิตตะเขาทำเทียบไว้ให้ครับ ดีมากเลย ฝากไว้เผื่อจะมีประโยชน์ครับ
ตอนนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้เปิดให้นักลงทุนรายย่อยลงทุนเองโดยไม่ต้องผ่านตัวแทนได้ครับ
ตามประกาศ
https://www.bot.or.th/Thai/PressandSpee ... n6662.aspx
https://www.bot.or.th/Thai/FinancialMar ... _final.PDF
ตอนนี้ผมได้ขออนุญาต ธปท เรียบร้อยแล้ว กำลังเก็บรวบรวมเงินไว้ไปลงทุนครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 126
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 24
BofA Securities
Goldman Sachs
Morgan Stanley
Greed, fear, ignorance, and hope
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 381
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 25
ขอบคุณพี่ตี่ครับ พี่เป็นอาจารย์คนแรกๆของผมเลยตั้งแต่สมันลงทุนใหม่ๆปี 2008-2009picatos เขียน: ↑จันทร์ ส.ค. 17, 2020 1:19 pmสุดท้ายถ้าคุณลงทุนต่างประเทศ โดยเน้นไปที่ความสุขและความสนุกในการได้เห็นและศึกษากิจการดีๆ ทำสิ่งดีๆ ที่เป็นประโยชน์ให้กับโลก ใส่เงินเข้าไปตามระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมกับความเข้าใจและ Valuation มีความเชื่อ และทัศนคติที่ถูกต้อง มีเครื่องมือหน้าตักอย่างเหมาะสม คุณจะสนุกกับมันครับ
มุมมองในการลงทุนของผมก็ตามที่พี่ทิ้งท้ายไว้เลยครับ เน้นที่ความสนุกที่ได้ศึกษากิจการดีๆ ขอบคุณอีกครั้งครับ
- Highway_Star
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 452
- ผู้ติดตาม: 1
- Linzhi
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1522
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันคร
โพสต์ที่ 27
อ.picatos ขอบคุณมากๆครับ มีประโยชน์มากๆเลยครับ
เอาไว้ขอเสวนาธรรมอีกครับ ผมอยู่แถวๆ เอ็มควอเทียร์ทุกวัน มีอะไรสนุก ๆ ให้อาจารย์ช่วยครับ
ถ้ามีคนโพสต์อีกเยอะๆ ผมจะมาโพสต์ความบ้าคลั่งสี่เดือนที่ผ่านมาให้ฟังว่าผมเรียนรู้อะไรบ้าง
รับรองสนุกแน่นอน
เอาไว้ขอเสวนาธรรมอีกครับ ผมอยู่แถวๆ เอ็มควอเทียร์ทุกวัน มีอะไรสนุก ๆ ให้อาจารย์ช่วยครับ
ถ้ามีคนโพสต์อีกเยอะๆ ผมจะมาโพสต์ความบ้าคลั่งสี่เดือนที่ผ่านมาให้ฟังว่าผมเรียนรู้อะไรบ้าง
รับรองสนุกแน่นอน
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4741
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 28
เข้ามาขอบคุณอาจารย์หลิน
อาจารย์ตี่ picatos ครับ
อาจารย์ตี่ picatos ครับ
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 29
ขอบคุณมากนะคับpicatos เขียน: ↑จันทร์ ส.ค. 17, 2020 1:19 pmผมไปลงทุนต่างประเทศ เพราะ หุ้นไทยช่วงหลังปี 2012 มันเริ่มแพงครับ พอไปดูหุ้น Tech ที่สหรัฐฯ ดู Forward P/E Google หรือ FB อยู่ที่ 10 เท่า ทั้งๆ ที่หุ้นไทย P/E เกือบ 20 ผมก็เลยเริ่มไป ตอนแรกก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตอนที่ผมไป Present หุ้น Google ชวนนักลงทุนไทยด้วยกันไปต่างประเทศ ถึงไม่มีใครสนใจไปด้วยแม้แต่คนเดียว คิดย้อนกลับไปก็คงจะเป็นอย่างที่ LinZhi ว่า คือ Status Quo Bias คนที่ฟัง Present คงจะรู้สึกว่าจะเหนื่อยไปทำไม ทั้งๆ ที่ไอ้ที่ทำอยู่ในไทยกำลังออกดอกออกผล วิธีการเดิมๆ ก็รวยดีอยู่แล้ว ในขณะที่โดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่ได้แคร์เรื่องความรวยอะไรมากมาย ผมแคร์เรื่องวิธีการมากกว่าผลลัพธ์ ผมรู้สึกชอบและปรารถนาความไม่มีตัวตน การที่พอร์ตเริ่มใหญ่ในไทย ทำให้ความมีตัวมีตนเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นภาระที่รู้สึกอยากสลัดมันทิ้ง การไปต่างประเทศ ไปเป็น nobody น่าจะมีความสุขมากกว่า แถมธุรกิจที่ต่างประเทศก็ศึกษาสนุกกว่า ว้าวกว่าเยอะ แถมไม่มีเรื่องที่น่าตะขิดตะขวงใจอย่างเรื่อง Governace และ Coruption แบบเมืองไทย
ตอนปี 2014 ผมลองศึกษาและลงทุนหุ้นจีนดู แต่สุดท้ายก็รู้สึกว่าไปไม่รอด เพราะ รู้สึกว่าติดตามยาก แถมช่วงนั้นอยากใช้เวลากับการปฏิบัติธรรมมากกว่า เลยขายหมูหุ้นตกรถกันไปหลายเด้ง ปี 2020 รอบนี้ผมกลับมาลงทุนจีนใหม่ ด้วยมุมมองใหม่ๆ ว่ากิจการอะไรที่จะสร้าง Positive Impact ได้แรงๆ ให้กับคนจีนสังคมจีน และมีแนวโน้มที่จะแพร่ขยายไปสู่ประเทศอื่นๆ
ช่วงปี 2018 พอผมเห็นปัญหาเรื่อง Deglobalization ช่วงต้นปี Valuation หุ้นไทยก็แพง ผมเลยล้างพอร์ตไทยที่เหลือไปต่างประเทศทั้งหมด
ผมสังเหตุว่าในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนไทยเริ่มที่จะสนใจหุ้นต่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ จนช่วงปีนี้รู้สึกว่ากระแสจะแรงมาก ซึ่งเท่าที่เห็นกระแสมันก็เป็นแบบนี้กันทั้งโลกไม่ใช่แค่ในประเทศไทย และผมเชื่อว่ากระแสแบบนี้แหละที่มันจะก่อให้เกิดฟองสบู่ลูกที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
ตอนที่ผมเริ่มเอาเงินออกไปต่างประเทศตอนปี 2012-2013 ผมก็คิดมาตลอดว่า วันหนึ่งผมคงต้องเอาเงินกลับเข้ามาในไทยเพื่อเอามาใช้จ่าย โดยตั้งใจจะหามาหุ้นที่ปลอดภัยเน้นถือกินปันผลในระยะยาว ผมรอเวลาที่ตลาดหุ้นไทยจะอยู่ใน Valuation ที่พอที่จะเหมาะสมกับการลงทุน ก็มอง SET เอาไว้ที่ประมาณ 1,000 จุด พอมันลงมาแตะ ช่วง COVID ผมเลยลองปรึกษาพี่ที่นับถือคนหนึ่งว่าถ้าอยากจะเอาเงินกลับไทยบางส่วน ควรจะเอาไปลงทุนอะไร แต่คำตอบกลับเป็นเรื่องที่ผมแปลกใจมาก พี่เค้าบอกผมว่า ผมควรที่จะเอาเงินเอาไว้ที่ต่างประเทศ แทนที่จะเอากลับไทย
ไม่รู้สิ ผมคิดว่าถ้าผมได้รับคำแนะนำแบบนี้ สมมติฐานที่คิดเอาไว้ว่า จะเกิดฟองสบู่ลูกที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ คงจะจริง เพราะ ถ้าการลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะ หุ้น Tech เป็นทางเลือกเดียวที่เหลือในการลงทุน (There Is No Alternative - TINA) ก็ไม่แปลกที่ราคาหุ้น Tech จะแพงขนาดนี้
ตอนนี้ผมหาไม่เจอแล้วว่ามีหุ้น Tech อะไรถูกๆ หุ้นต่างประเทศที่ผมถืออยู่ทุกวันนี้ คือ หุ้นที่ถือโดยอาศัยความเชื่อล้วนๆ เชื่อในตัวสินค้า เชื่อในตัวบริการ เชื่อว่านี่คือกิจการที่จะทำให้โลกนี้ดีขึ้น เชื่อว่าในตัวผู้ก่อตั้ง เชื่อในทีมบริหาร แต่ไม่มีความเชื่อเลยแม้แต่น้อยว่า Valuation ณ ขณะนี้จะเป็น Valuation ที่เรามั่นใจว่าจะได้กำไร ตามหลักการการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ไม่เหมือนกันลงทุนในช่วงก่อนๆ หน้าที่ทุกครั้งที่ซื้อ ผมซื้อด้วยความมั่นใจพอสมควรว่าน่าจะกำไร หากกิจการพัฒนาการไปตามทิศทางที่ควรจะเป็น
ด้วยเหตุนี้ การลงทุนในช่วงนี้ ผมเลยทำใจเอาไว้เลยว่า ผมจะขาดทุนแน่ๆ ในระยะสั้น ผมจึงต้องอาศัยความเชื่ออีกชุดหนึ่งที่เข้ามาประกอบการลงทุน เพื่อที่จะสามารถถือลงทุนในระยะยาวได้ โดยพยายามที่จะเชื่อให้ได้ว่า ถึงแม้ว่าผมจะขาดทุน อย่างน้อยกิจการนี้ก็ทำให้ชีวิตของคน ชีวิตของผู้บริโภคดีขึ้น เป็นธุรกิจมีผู้บริหารมี Passion เป็นองค์กรที่ถูกผลักดันด้วยเจตนาที่ดีที่พยายามจะสร้างผลกระทบในเชิงบวกให้กับสังคม เป็นเงินส่วนที่ผมตั้งใจว่าจะบริจาคให้กับการกุศลทั้งหมดตอนตาย แต่ตอนนี้อยากจะเอามาลงทุนสนับสนุนคนที่ทำสิ่งดีๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม
และนี่ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกถึงความจำเป็นในการเอาเงินบางส่วนกลับประเทศไทย เอามาลงทุนอะไรบางอย่างที่ปลอดภัย เพราะถ้าฟองสบู่แตกสักวัน อย่างน้อยเราก็ยังมีเงินเหลือเอาไว้ใช้จ่ายบ้าง เงินที่อยู่ต่างประเทศก็เป็นเงินที่ตั้งใจที่เอาไว้ใช้บริจาคอยู่แล้ว คิดแบบนี้อาจจะพอทำให้ลงทุนได้โดยสงบ และไม่รบกวนกับการศึกษาธรรม และปฏิบัติธรรมของผม
ดังนั้นสำหรับคนที่จะคิดไปต่างประเทศช่วงนี้ ผมขอเตือนไว้เลยนะครับ ว่าไม่ง่าย แถมหุ้นราคาแพง แต่หุ้นแพงไม่ได้หมายความว่าจะไม่แพงขึ้นไปอีก ไม่ได้หมายความว่าจะมีโอกาสได้กำไร จริงๆ แล้วช่วงฟองสบู่นี่ คนเล่นหุ้นจะรวยกันเร็วมาก กำไรง่ายกันซะจนคิดว่าเราเป็นเซียนหุ้นอัจฉริยะ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วคนเล่นทุกคนก็ได้กันหมด ฝีมือจะวัดกันจริงๆ ต้องไปวัดกันตอนฟองสบู่แตก ว่าจะเอาตัวรอดกันยังไง
แต่การที่หุ้นในช่วงนี้แพง ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีพื้นฐาน ไม่มีทฤษฎีรองรับนะครับ เพราะ ถ้าเราลองใช้หลักการ First Principle ดู ย้อนกลับไปที่รากฐานหลักที่สุดของระบบเศรษฐศาสตร์ ระบบเศรษฐศาสตร์ในอดีตที่ใช้มาถึงปัจจุบัน เป็นหลักที่พยายามทำความเข้าใจ และพยายามหาแนวทางที่ทำให้ Economic Agent (มนุษย์โดยรวม) มีความสุข (Maximize Utility)
แต่ปัญหา คือ ข้อจำกัดของระบบเศรษฐศาสตร์ดั้งเดิมที่ถูกสร้างขึ้นมาจากเงื่อนไขที่ว่าทรัพยากรต่างๆ ที่มีอยู่อย่างจำกัด (Scarcity) เลยทำให้ได้ข้อสรุปว่าตัวเลขการบริโภคหรือการผลิต จะเป็นตัวแทนของความสุขของมนุษยชาติ จึงทำให้เกิดตัวเลข GDP การจ้างงาน และ Inflation ตามมา ทั้งๆ ที่ข้อสมติฐานเรื่อง Scarcity กำลังถูกทำลายลงด้วย Technology Innovation
Technology Breakthru ที่เกิดขึ้นในระดับ Exponential ที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันในช่วงนี้และกำลังจะเกิดขึ้นต่อไป ทำให้ระบบเศรษฐกิจของเราที่เดินทางจากยุค Scarcity ในอดีต มาสู่ยุค Post-Scarcity อย่างในปัจจุบัน และกำลังเดินหน้าไปสู่ยุค Abundance Economy ซึ่งสุดท้ายแล้วหากเทคโนโลยีของเราสามารถเปลี่ยนแปลงพลังงานจากดวงอาทิตย์ที่มีมากมายมหาศาลมาเป็นทรัพยากร (มวล) และ พลังงานได้ ยุคยูโธเปียที่จะมาถึงในอนาคต จะทำให้ระบบเศรษฐกิจเปลี่ยนรูปแบบไปอย่างสิ้นเชิง
อย่างล่าสุดเทคโนโลยีพลังงาน Solar ก็ได้เดินทางมาถึงจุด Inflection Point เมื่อกลางปี 2019 ที่ผ่านมา เมื่อค่าใช้จ่ายในการผลิตไฟฟ้าจาก Solar ถูกกว่าต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าจากโรงงานถ่านหินแล้ว ถูกในระดับที่ว่า ถ้าเราปิดโรงงานไฟฟ้าถ่านหินทั้งหมด แล้วสร้างโรงไฟฟ้าจากพลังงาน Solar ก็คุ้มกว่าที่จะทำแล้ว เลยทำให้หุ้น Solar วิ่งอย่างรุนแรงตลอดช่วงที่ผ่านมา
ลองจินตนาการดูว่าชีวิตของคุณที่ทุกอย่างเป็นของฟรี กับ มีเทียบกับชีวิตที่ต้องเสียเงินซื้อของ ชีวิตแบบไหนดีกว่ากัน ในมุมของผู้บริโภคแล้ว ของฟรีย่อมดีกว่าของที่เสียเงิน แต่ถ้าดูตัวเลขทางเศรษฐศาสตร์แล้ว ถ้าทุกอย่างเป็นของฟรี GDP จะเท่ากับศูนย์ ในขณะที่ถ้าทุกอย่างเสียเงิน GDP จะมีค่ามากกว่าศูนย์ จะเห็นได้ว่าตัวเลขทางเศรษฐศาสตร์ในยุค Scarcity มันเอามาใช้ในยุค Abundance ไม่ได้อีกต่อไป (จริงๆ แล้ว ในทางเศรษฐศาตร์ เราต้องไปดูที่ Consumer Surplus มากกว่า แต่ Consumer Surplus เป็นสิ่งที่วัดค่าได้ยากมาก)
ในยุค Abundance หมายความว่า คนจะไม่มีปัญหาเรื่องอาหารการกิน ไม่มีปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย และยารักษาโรคอีกต่อไป หากเราจะ Maximize Utility หรือ Maximize Happiness แล้ว ความสุขของคนในบันได Maslow จะไปอยู่ที่ 3 ขั้นสุดท้าย และการจะ Maximize Utility ของคน ก็คือการเล่นกับเคมีในสมองของคน
COVID-19 ทำให้เกิด Digital Transformation ในระดับก้าวกระโดด และนั่นทำให้ต้นทุนที่ทำให้เกิดเคมีในสมองหลายๆ อย่างหายไป เมื่อข้อจำกัดในการเคลื่อนย้ายสิ่งที่เป็น Physical เกิดขึ้น การเดินทาง ขนบธรรมเนียม เดิมๆ ก็หายไป หากพิจารณาในแง่มุมนี้แล้ว Digital Transformation ที่เกิดขึ้นในช่วง COVID-19 ทำให้เกิด Quantum Leap ของปฏิกิริยาทางเคมีในสมองของคน
ยกตัวอย่างเช่น ในอดีตการจะเข้าไปฟัง เข้าไปพูดคุยกับคนเก่งๆ คุณต้องได้รับเชิญ จอง เดินทางไปฟังสัมมนา แต่ COVID-19 ได้เปิดโอกาสใหม่ๆ อย่างที่ไม่เห็นเป็นมาก่อน อย่างในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนกระเหรี่ยงๆ จากประเทศด้อยพัฒนาอย่างผม ได้รับโอกาสฟังคนเก่งๆ ระดับโลก ออกมาพูดนู้นพูดนี่ แชร์นู้น แชร์นี่เยอะแยะเต็มไปหมด ผ่านทาง Webinar ทาง Zoom ทาง YouTube อย่างที่ไม่มีโอกาสตอนก่อนเกิด COVID-19 ความพยายามในการติดต่อ สื่อสาร แชร์ข้อมูลในช่วงที่ผ่านมามากเป็นประวัติการณ์ และทำให้เคมีในสมองของผมเกิดขึ้นมากมายมหาศาล ซึ่งผมเชื่อว่าคนหลายๆ คนในโลกอาจจะได้มีโอกาสเปลี่ยนชีวิตตัวเองจริงๆ ในช่วงที่ผ่านมา
และถ้าหากเรานับกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามจำนวน Connection และ Activity ทางข้อมูลที่เกิดขึ้นผ่านทาง Connection แล้ว จะพบว่าการสื่อสารทางข้อมูลที่มีคุณภาพในช่วงที่ผ่านมาก้าวกระโดดอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งผมเชื่ออย่างแรงกล้าว่า ตัวเลขจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่พัฒนามาจากทฤษฎีทางเศรษฐศาตร์แบบดั้งเดิม มันไม่สะท้อนต่อพัฒนาการของมวลมนุษยชาติ ณ ขณะนี้
ตอนนี้เราอยู่ในขอบเขต พื้นที่ ที่ทฤษฎีดั้งเดิมต่างๆ ใช้ไม่ได้อีกต่อไป และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่อาจจะเข้ามารองรับว่า ทำไมกิจการหลายๆ ตัว Valuation ถึงแพงหูฉี่ เพราะ จริงๆ แล้วปริมาณและคุณภาพของ Connection ที่เกิด Activity ทาง Digital ไม่สะท้อนมาที่ตัวเลขทางการเงินอะไรเลย เป็นผลที่ทำให้ Valuation ดูอะไรไม่ได้อีกต่อไป
อย่างไรก็ตามตลาดที่คึกคักแบบนี้ ของปลอมมันจะปนเข้ามาเยอะมาก และถือแม้จะเป็นของจริง แต่ความรุนแรงจากการแข่งขันในอนาคตก็ทำให้อนาคตมีความไม่แน่นอนสูงมาก และเมื่อคนยอมรับใน Valuation แบบ P/S ได้ Focus ไปที่ TAM ที่ผู้บริหารและนักวิเคราะห์มโนขึ้น ซึ่งมันอาจจะเป็นจริงหรือไม่จริงก็ได้ การที่เข้ามาลงทุนในช่วงนี้ โดยไม่รู้และไม่เข้าใจกิจการนั้นจริงๆ มีวิธีการในการติดตามกิจการนั้นๆ อย่างถูกต้อง มันอาจจะเป็นหนทางแห่งความตายของคุณได้เลย
คำถามที่คุณควรถาม คือ ทำไมคุณถึงได้เปรียบที่เหนือกว่าคนอื่น และถ้าคุณคิดว่าคุณไม่ได้มีข้อได้เปรียบที่มากกว่าคนอื่นเค้า คุณต้องถามตัวเองต่อว่าคุณมี Money Management และ Risk Management อย่างไร แต่ถ้าคุณมั่นใจว่ามีข้อได้เปรียบคนอื่น คุณเก่งกว่าคนอื่น ก็เล่นไปเถอะครับ อัดไปเถอะครับ ถือตัวเดียวสัดส่วนเยอะๆ แบบสมัยที่คุณเล่นหุ้นไทยเถอะครับ ถ้าคุณเก่งจริง ถ้าคุณเหนือว่าจริง คุณรวยแน่นอนกับตลาดแบบนี้
------------------------------------------------------------------------------------
จากประสบการณ์ที่ไปลงทุนต่างประเทศมาประมาณ 8 ปี แม้ว่าผมจะรู้สึกว่าผมไม่ค่อยรู้อะไรเท่าไร ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้ว่าตัวเองรู้น้อยขนาดไหน แต่ผมก็ขออนุญาตแชร์ข้อมูลอะไรสักเล็กน้อยเผื่อจะเป็นประโยชน์นะครับ (ขออภัยหากสิ่งที่แชร์ไม่เป็นประโยชน์ และทำให้เสียเวลาในการอ่าน)
1) ในการเอาเงินออกไปลงทุนต่างประเทศ ถ้าคุณมีสินทรัพย์เกิน 100 ล้านบาท ผมแนะนำว่าเปิดพอร์ตกับ Interactive Broker (IBKR) แล้วเอาเงินออกทางช่อง QI (Qualified Investor) ที่ ธปท เปิดเอาไว้ดีกว่าครับ เพราะ ที่ IBKR เป็น Broker เดียวที่ผมศึกษามาว่านักลงทุนไทยสามารถเปิดพอร์ตได้โดยตรง และ เปิดง่าย สัปดาห์เดียวก็เรียบร้อย ค่าธรรมเนียมถูก Access Product ได้เยอะมาก จะเล่น Futures Option จะกู้ Margin ดอกก็ถูกเหลือเกิน จะ Short หุ้นก็ทำได้สบายมาก หรือจะเขียนโปรแกรมให้ Trade อัตโนมัติก็ทำได้
2) นักวิเคราะห์ที่ต่างประเทศเค้าเก่งกันมากครับ ที่มีให้อ่านฟรี หรือเสียเงินเล็กน้อยให้อ่านจากเน็ต ผมคิดว่าคุณภาพยังสู้บทวิเคราะห์จาก House ใหญ่ๆ อย่าง BOAS, GS, MS, CITI ไกลอยู่ครับ (ผมว่า Broke ฝั่ง US ดีกว่าทางฝั่งยุโรปเยอะครับ) เวลาพวกนี้เค้าวิเคราะห์กัน นักวิเคราะห์ที่ตามอุตสาหกรรมหนึ่งๆ คือ เค้าทุ่มเทชีวิตและเวลาในการติดตาม Sector นั้นๆ ทำ Paper ที่ดีที่สุด เพื่อให้กองทุนระดับโลกอ่าน ดังนั้นเวลาผมจะศึกษาอุตสาหกรรมอะไรใหม่ๆ อย่างล่าสุด ผมศึกษาพวก Health Tech ผมจะเริ่มจาก Paper ของ House พวกนี้ เวลาเค้าเล่าเกี่ยวกับอุตสาหกรรมนี้ มันเป็นภาพที่ทั้งกว้างและลึก Paper บทวิเคราะห์อันหนึ่งความยาวเป็นร้อยหน้าครับ หนังสือที่เราคิดว่าอ่านกันเยอะแล้ว มาเจอบทวิเคราะห์ของ House ใหญ่ๆ เค้าทำนี่มันสุดๆ จริงๆ มันจะช่วยให้เราประหยัดเวลาทำการบ้านของเราไปเยอะมาก
3) ดังนั้นถ้าไม่ได้เน้นเรื่องซื้อขายค่าธรรมเนียมถูกๆ ผมแนะนำว่าให้เอาเงินออกทาง QI ไปเปิดพอร์ตกับ Broker ใหญ่ๆ ที่สิงคโปร์เลยครับ Access ที่เข้าถึง Paper พวกนี้นี่ คุ้มค่า คุ้มความพยายามมากๆ ถ้าคุณเน้นเรื่องการวิเคราะห์ในเชิงลึก ที่แนะนำว่าควรเปิดพอร์ต Access System ของเค้าเลย เพราะว่า มันจะมี Paper Thematic หรือ Paper Industry แปลกๆ ที่คุณควรเข้าไปขุดขึ้นมาอ่านเอง ถ้าคุณไปขอ Paper เป็นหุ้นรายตัว สุดท้ายสิ่งที่คุณได้มันจบแค่นั้น แต่ถ้าคุณได้ไปอย่าง Paper ที่เขียนในเชิงวิเคราะห์ Theme วิเคราะห์ Industry มันจะขยายความเข้าใจ และ Investment Universe ของคุณ ที่คุ้มค่าความพยายามในการเปิดพอร์ต และค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้นมากๆ
4) เมื่อคุณได้ Access ไปที่ Paper ดีๆ และถ้ามีโอกาสได้ Conference Call ดู Presentation ของนักวิเคราะห์ ได้ฟังคนเก่งๆ มากเข้าๆ คุณจะยิ่งรู้สึกว่าตัวว่าเราเล็กลงยิ่งกว่าเดิม ความรู้สึกของผมทุกวันนี้ คือ ยิ่งได้รู้ ยิ่งได้อ่าน ยิ่งได้ฟัง ตัวตนของผมทุกวันนี้ แทบจะกลายเป็นผุยผงไปแล้วครับ ความมั่นใจที่มีมากถูกทำลายหมดจนสิ้นซาก ได้กลายเป็นคนที่ไร้ตัวตน เป็น Nobody สมความตั้งใจ พยายามเอาชิ้นส่วน ผุยผงที่กองอยู่ตามพื้นมาเขี่ยๆ ดู ว่ายังพอเหลืออะไรที่จะเอามาใช้ในการลงทุนได้บ้าง ดังนั้น นี่คือ คำเตือนนะครับ ว่าถ้าอยากที่จะรักษาอัตตาอันยิ่งใหญ่คับฟ้าของตัวเองเอาไว้ อย่าอ่านมากหรือศึกษามากจนเกินไป ยิ่งรู้ว่าคนระดับโลกเค้าเก่งกันขนาดไหน ยิ่งเสีย Self ครับ ถ้าอยากรักษาอัตตาตัวเองเอาไว้ รู้ไม่ต้องมาก แต่ให้รู้มากกว่าคนไทยอื่น แล้วพูดให้มากๆ เผยแพร่ให้มากๆ โดยหลักทางพุทธแล้ว การพูดมากๆ จะเป็นการพอกพูนอัตตา (อัตตวาทุปาทาน) การอ่าน การฟังมากๆ จะเป็นการทำลายอัตตา พยายาม Balance การพูดกับฟังเพื่อรักษาอัตตา รักษาความมั่นใจ เพื่อการอยู่รอดของตัวเองในระยะยาว
5) กำไรและความสำเร็จในการลงทุนไม่ได้หมายความว่า คุณต้องเก่งกว่าคนอื่น คุณต้องรู้มากกว่าคนอื่น คุณรู้ไม่ต้องมาก คุณแค่รู้ในสิ่งที่สมควรรู้ และโชคดีบ้าง แค่นี้ก็พอแล้วครับ อย่างที่พี่ WEB เคยพูดๆ ติดขำๆ ให้ผมฟังว่า เราต้องรู้จักทำบุญ ไหว้พระ สวดมนต์เอาไว้บ้าง เพราะ เรื่องที่เราไม่รู้มันยังมีอยู่อีกเยอะจริงๆ
6) เครื่องมือ เครื่องไม้ แนวคิดที่มืออาชีพต่างประเทศเค้าใช้กันมันสุดๆ จริงๆ ครับ เค้าใส่ Assumption เอาไว้เลยว่างบแต่บรรทัด ตัวเลขไหน เค้าให้ความสำคัญ พองบออก Feed เข้าระบบอัตโนมัติ ระบบทำการโยนซื้อขายอัตโนมัติตอนงบออก ดังนั้น เกมส์ๆ นี้ คำถาม คือ คุณจะเอาตัวรอดให้ได้อย่างไร ในเมื่อคุณแพ้เรื่องความเร็วและความสามารถในการวิเคราะห์งบแน่ๆ แถม Valuation ไม่ใช่เพื่อนของเราอีกไปแล้ว
7) เพื่อนของเราบางทีเค้าก็อาจจะหลงทางเหมือนเรา หรือหลงทางยิ่งกว่าเรา เวลาคนหลงทางเจอกัน คุยกันก็นึกว่าอีกคนรู้ทาง คุยกันไปคุยกันมาก็ยิ่งคิดกันไปเองว่าเราพึ่งอีกคนได้ เพราะ มันดูเก่งดีนะ งั้นลอกหุ้นมันละกัน ลอกกันไปลอกกันมา สุดท้ายเรากำลังลอกข้อสอบคนที่ไม่รู้เหมือนกันทั้งคู่ ซึ่งจริงๆ ผมว่าไม่มีใครรู้อะไรจริงๆ หรอกว่าอนาคตมันจะเป็นยังไง การลงทุนมันถึงยาก และทำไมเราถึงต้องมี Margin Of Safety ถึงแม้ว่าผมจะลงทุนมาก่อน 8 ปี ผมบอกได้เต็มปากเต็มคำเลยครับ ว่า ทุกวันนี้ผมก็หลงทางอยู่เหมือนกัน อย่ามาถามทางผมว่าเดินไปทางไหนจะประสบความสำเร็จ เอาแค่ว่าเดินผ่านไปทางไหนมาในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาแล้วยังไม่ตาย ยังมีชีวิตอยู่ แค่นั้นพอ
8) เมื่อเริ่มลงทุนในต่างประเทศ คุณกำลังเดินเข้าไปในเขาวงกตที่ดูดดื่ม กลืนกินเวลาคุณเป็นอย่างมาก บอกได้เลยครับว่าศึกษาเท่าไรก็ไม่จบ อ่านเท่าไรก็ไม่พอ ดังนั้นแบ่งเวลาให้ดี ทำเท่าที่ทำได้ ได้แค่ไหนก็พอแค่นั้น สุดท้ายตอนตายเราก็เอาเงินไปไม่ได้สักบาท สุขภาพทางกายและใจของเรา ครอบครัว และคนรอบๆ ตัวสำคัญกว่าครับ ที่สำคัญทรัพย์ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าเอาไปได้หลังความตาย มี 7 อย่างครับ สั่งสม ก็สั่งสมสิ่งที่เอาไปได้หลังความตายนิดนึง เพราะ เงิน ความสำเร็จในชาตินี้ ยังไงก็เอาข้ามไปไม่ได้
สุดท้ายถ้าคุณลงทุนต่างประเทศ โดยเน้นไปที่ความสุขและความสนุกในการได้เห็นและศึกษากิจการดีๆ ทำสิ่งดีๆ ที่เป็นประโยชน์ให้กับโลก ใส่เงินเข้าไปตามระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมกับความเข้าใจและ Valuation มีความเชื่อ และทัศนคติที่ถูกต้อง มีเครื่องมือหน้าตักอย่างเหมาะสม คุณจะสนุกกับมันครับ
แม้ว่าในระยะสั้นอาจจะผิดพลาด ผิดหวัง แต่ความสนุกจากการศึกษา และความเพียรพยายามที่ใส่มันเข้าไปเรื่อยๆ ในระยะยาวแล้ว ผมเชื่อว่ามันจะออกดอกออกผลอย่างแน่นอนครับ
- นายมานะ
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1167
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 30
อาจจะไม่ได้เกี่ยวกับกระทู้โดยตรง แต่ขอร่วมแชร์ประเด็นด้วยครับ
ผมมีโอกาสได้บรรยายในงาน VI 101 รุ่นที่ผ่านมา พบว่าแม้แต่นักลงทุนที่เพิ่มเริ่มต้นระดับ 101 ก็สนใจหุ้นต่างประเทศกันมากทีเดียว คำถามในงานก็เกี่ยวกับหุ้นต่างประเทศมาก จนวิทยากรในงานพูดติดตลกว่าคำถามไม่เหมือนระดับ 101 เลย
ในงานมีคำถามหนึ่ง ผมจำคำถามเป๊ะๆ ไม่ได้ แต่เนื้อความประมาณว่าหุ้น Tech ใน Nasdaq ที่ไม่มีกำไรนี่เขา valuation กันอย่างไร
ผมตอบไปตามตรงว่า ผมเองก็ไม่สามารถจะ valuation หุ้นที่ไม่มีกำไรได้เหมือนกัน และไม่รู้ว่าเขา valuation กันยังไง (พออ่านที่อาจารย์ Picatos โพสแล้วเริ่มเข้าใจประเด็นนี้มากขึ้นครับ) ผมเข้าใจว่าสมมติฐานของนักวิเคราะห์ เขาคงต้องใช้จินตนาการในเรื่อง TAM และคาดหวังให้บริษัทที่ชนะสามารถทำกำไรได้ในอนาคตอันใกล้ (โดยอาจจะต้องลืมสมมติฐานไปก่อนว่าบ.ที่ชนะและได้สิทธิ์กินรวบ TAM เกือบทั้งหมดนั้นคงมีไม่มากนัก) ส่วน P/S ratio นั้นผมไม่เห็นด้วยที่จะใช้ และคิดว่าในหลายกรณีไม่ make sense ที่จะใช้
แต่ส่วนตัวแล้วผมคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องเล่นในเกมที่เราไม่ถนัด ตัวผมเองไม่ได้มีความสามารถมากพอจะ valuation หุ้นที่ไม่มีกำไรได้ จึงต้องปล่อยไป และคิดว่านักลงทุนมือใหม่ก็ไม่จำเป็นจะต้องเล่นท่ายากขนาดนั้น
ยังมีคำถามเพิ่มอีกว่าหรือเรื่องนี้จะเกิดจากปรากฏการณ์เงินล้นโลก
ผมเชื่อว่ามีส่วน กลุ่มหุ้น Tech ตอนนี้ ผมเชื่อว่าอยู่ในสถานะฟองสบู่ (แต่มากแค่ไหน แตกเมื่อไหร่ อย่ามาถามผมนะครับ) ถ้ามีใครมาถามผมว่าหุ้น Tech ตัวไหนน่าสนใจในตอนนี้ ผมจะแนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้น Tech คือคุณควรลองศึกษาหรืออาจลองเข้ามาลงทุนในสัดส่วนเล็กน้อยได้ แต่จะขนเงินมาหวังหาหุ้นเปลี่ยนชีวิตคงไม่ง่าย
เมื่อเข้ามาอ่านกระทู้นี้แล้ว ยิ่งได้รู้ว่าตัวเรานี่รู้น้อยเหลือเกิน ที่พิจารณาตัวเองมาตลอดว่าหรือเราควรจะเลิกพูด เลิกเขียน หันมาเลี้ยงลูกอย่างเดียวดีมั้ย ก็ต้องคิดให้หนักมากขึ้นไปอีก - -"
สุดท้ายนี้ขอบคุณอาจารย์ Linzhi และอาจารย์ Picatos สำหรับกระทู้เนื้อหาดีๆ แบบนี้ครับ
ผมมีโอกาสได้บรรยายในงาน VI 101 รุ่นที่ผ่านมา พบว่าแม้แต่นักลงทุนที่เพิ่มเริ่มต้นระดับ 101 ก็สนใจหุ้นต่างประเทศกันมากทีเดียว คำถามในงานก็เกี่ยวกับหุ้นต่างประเทศมาก จนวิทยากรในงานพูดติดตลกว่าคำถามไม่เหมือนระดับ 101 เลย
ในงานมีคำถามหนึ่ง ผมจำคำถามเป๊ะๆ ไม่ได้ แต่เนื้อความประมาณว่าหุ้น Tech ใน Nasdaq ที่ไม่มีกำไรนี่เขา valuation กันอย่างไร
ผมตอบไปตามตรงว่า ผมเองก็ไม่สามารถจะ valuation หุ้นที่ไม่มีกำไรได้เหมือนกัน และไม่รู้ว่าเขา valuation กันยังไง (พออ่านที่อาจารย์ Picatos โพสแล้วเริ่มเข้าใจประเด็นนี้มากขึ้นครับ) ผมเข้าใจว่าสมมติฐานของนักวิเคราะห์ เขาคงต้องใช้จินตนาการในเรื่อง TAM และคาดหวังให้บริษัทที่ชนะสามารถทำกำไรได้ในอนาคตอันใกล้ (โดยอาจจะต้องลืมสมมติฐานไปก่อนว่าบ.ที่ชนะและได้สิทธิ์กินรวบ TAM เกือบทั้งหมดนั้นคงมีไม่มากนัก) ส่วน P/S ratio นั้นผมไม่เห็นด้วยที่จะใช้ และคิดว่าในหลายกรณีไม่ make sense ที่จะใช้
แต่ส่วนตัวแล้วผมคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องเล่นในเกมที่เราไม่ถนัด ตัวผมเองไม่ได้มีความสามารถมากพอจะ valuation หุ้นที่ไม่มีกำไรได้ จึงต้องปล่อยไป และคิดว่านักลงทุนมือใหม่ก็ไม่จำเป็นจะต้องเล่นท่ายากขนาดนั้น
ยังมีคำถามเพิ่มอีกว่าหรือเรื่องนี้จะเกิดจากปรากฏการณ์เงินล้นโลก
ผมเชื่อว่ามีส่วน กลุ่มหุ้น Tech ตอนนี้ ผมเชื่อว่าอยู่ในสถานะฟองสบู่ (แต่มากแค่ไหน แตกเมื่อไหร่ อย่ามาถามผมนะครับ) ถ้ามีใครมาถามผมว่าหุ้น Tech ตัวไหนน่าสนใจในตอนนี้ ผมจะแนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้น Tech คือคุณควรลองศึกษาหรืออาจลองเข้ามาลงทุนในสัดส่วนเล็กน้อยได้ แต่จะขนเงินมาหวังหาหุ้นเปลี่ยนชีวิตคงไม่ง่าย
เมื่อเข้ามาอ่านกระทู้นี้แล้ว ยิ่งได้รู้ว่าตัวเรานี่รู้น้อยเหลือเกิน ที่พิจารณาตัวเองมาตลอดว่าหรือเราควรจะเลิกพูด เลิกเขียน หันมาเลี้ยงลูกอย่างเดียวดีมั้ย ก็ต้องคิดให้หนักมากขึ้นไปอีก - -"
สุดท้ายนี้ขอบคุณอาจารย์ Linzhi และอาจารย์ Picatos สำหรับกระทู้เนื้อหาดีๆ แบบนี้ครับ