หน้า 36 จากทั้งหมด 160
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 09, 2004 2:20 am
โดย raruen
สวัสดีตอนดึกๆอีกทีครับ
เพิ่งเลิกงาน เพิ่งได้อ่านเวบครับ
สรุปว่าผมจะได้เล่มไหนดีครับพี่
ผมว่าพี่วิบูลย์ยาวสุด เอาไปสี่เล่มเลยละกัน
ผมขอเล่มสองเล่มเดียว
เพราะไม่เคยเห็น และยังไม่มีในหิ้ง หิหิ
ขอบคุณสำหรับคำตอบครับ
ช่วงนี้ทำงานสนุกกว่าอ่านหนังสือลงทุน
วัยเด็กน้อยอย่างผมต้องหาวิชาความชำนาญอีกมาก
ผมว่าช่วงนี้เมกมันนี่ไปก่อน
รอสักปีครึ่งมีตังบวกตลาดล่มค่อยไปช้อน เอิกๆ
ผมชอบที่พวกพี่คุยกันเรื่องการวิเคราะห์เชิงคุณภาพมากครับ
อย่างพวก consumer monopoly เนี่ยก็เป็นแนวคิดที่ดี
ทำให้ผมมองถึงโอกาสธุรกิจที่นอกเหนือจากตลาดหลักทรัพย์เนี่ย
มันก็สามารถใช้แนวคิดพวกนี้มาพิจารณาได้เหมือนกัน
แทนที่จะขายบะหมี่เกี๊ยวเพราะพ่อเคยทำมา
หรือว่าขายทองเพราะอยู่เยาวราช
ก็มาลองมองหาโอกาสใหม่ๆแทน เลือกธุรกิจที่เราจะเป็นผู้นำได้เบ็ดเสร็จ
เพื่อสร้างกำไรสม่ำเสมออย่างยั่งยืน
แล้วก็เป็นธุรกิจที่ไม่ดูดเงินอะไรแบบนี้
ถ้าพวกพี่ๆว่างๆก็ลองหัวข้อนี้กันสักหน่อยนะครับ
ผมไม่ค่อยมีความรู้มาตอบครับ
แต่ก็จะพยายามถามละกัน
เดี๋ยวมันจะบูด.
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 09, 2004 7:32 am
โดย บุคคลทั่วไป
VIB007 เขียน:
ใช้ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลไทยก็ได้ครับ
ดูจาก นสพ กรุงเทพธุรกิจ
แต่ที่ผมชอบคือ ใช้ MLR ของแบงค์
เพราะถือว่าเป็นต้นทุนเงินทุนที่ดีอันหนึ่ง
ค่อนข้างเชื่อถือได้ ไม่สวิงมาก
เป็นเหตุผลหนึ่งทีทำไมดอกเบี้ยขึ้นแล้วหุ้นตก
ก็เพราะต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น
"มูลค่า"ของกิจการก็เลยลดลง
คงได้ไอเดียนะครับ
ยังงั้นมูลค่าของกิจการ(Intrinsic Value ไม่ใช่ Price)ก็จะเปลื่ยนตลอดที่ดอกเบี้ยเปลื่ยน โดยที่บ้างครั้ง Underlying economics (ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย โดยเฉพาะที่มีหนี้น้อยมาก เสียดอกเบี้ยต่ำ หรือไม่เสียเลย) ไม่ได้เปลื่ยน ยั่งงี้เราควรจะทำนาย discount rate เป็นช่วงๆ และคำนวน discount value เป็นช่วงๆเวลา (stages) หรือเปล่าครับ หรือ ว่าควรจะยอมรับการแกว่งตัวและคำนวน"มูลค่า"ใหม่ตามดอกเบี้ย (discount rate )ซึ่งก็ไม่ได้เปลื่ยนบ่อยอยู่แล้ว
ขอบคุณอีกครั้งครับ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 09, 2004 8:26 am
โดย นักดูดาว
จากที่แอบดูเค้าคุยๆกัน ท่านว่า Intrinsic Value ไม่ได้เป็นเลขเป๊ะๆ หรอกคับมันเป็นช่วงตะหาก เหตุผลก็เนื่องจากปัจจัยต่างๆที่เปี่ยนไป๊ นักวิเคาะก็เลยทำเซ้นซิทิวิที่แอนนาไล้สิส เป็นตารางหรือกราฟเปรียบเทียบมูลค่าหุ้นต่อปัจจัยที่เปี๋ยนไป๊ อย่างเช่น WACC อัตราดอกเบี้ย หรือ ยอดขายคับ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 09, 2004 9:23 am
โดย บุคคลทั่วไป
ก็เข้าใจนะครับว่า "มูลค่า" กิจการควรเป็นช่วงๆ (range) แต่ถ้าเราต้องถือระยะยาวเป็น 5-10 ปี ช่วงที่ว่าอาจกว้างมากๆ ใจผมคิดว่าช่วงมูลค่าอาจจะไม่ต้องกว้างมากแต่อาจจะต้องปรับช่วงของมูลค่าบ้างเป็นครั้งคราว ถ้าดอกเบี้ยเปลื่ยนไปเยอะ
ถ้ายังงั้นถ้ามูลค่าสูงกว่าราคามากๆ หลังการคำนวนใหม่ โดยอย่างอื่นแทบจะไม่เปลื่ยน เราควรจะทำอย่างไรครับ เข้าใจว่าคงไม่มีถูกผิดนะครับ ลองแชร์ความคิดเห็นกัน ผมกำลังศึกษาครับคงต้องถามผู้รู้ในนี้อีกมาก ขอบคุณครับ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 09, 2004 9:39 am
โดย CK
ตามความเห็นของผมนะครับ การเอา WACC หรืออัตราดอกเบี้ยมาคิด
Intrisic Value นั้นด้วยเหตุผลสองประการ
1. ผลตอบแทน อาจจะไม่คุ้มถ้าอัตราดอกเบี้ยสูงเพราะการฝากธนาคาร
(ในอัตราดอกเบี้ยสูง) จะทำให้ได้ผลตอบแทนถึงเป้าได้เร็วกว่า
2. Risk Factor การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงสูงกว่าการฝากธนาคาร
อยู่แล้ว ถ้าอัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลงไป ความน่าสนใจของการลงทุน
ในหุ้นก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย (คือ return versus risk เปลี่ยนไป)
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 09, 2004 4:51 pm
โดย harry
อีกหน่อย ถ้ามาสเตอร์แพลนได้ใช้จริง จะมีสถาบันประกันเงินฝาก โดยคุ้มครองเงินฝากทั้งหมดที่มีไม่เกิน 1 ล้านบาท และจะให้แบงค์เสนอข้อมูลทางการเงินเพื่อให้ผู้ที่จะฝากเงินตัดสินใจเลือกฝากกับแบงค์ที่ฐานะการเงินดี มั่นคงครับ
ก็จะทำให้การฝากเงินกับแบงค์มีความเสี่ยงเหมือนกันแล้วนะครับ เพราะแต่ก่อนรัฐคุ้มครองทั้งหมด จึงทำให้เหตุการณ์ในปี 40 รัฐต้องเข้าไปอุ้มแบงค์กันระนาว เพราะถ้าแบงค์ล่ม เงินฝากประชาชนเป็นศูนย์กันหมดเลยครับ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 10, 2004 1:59 pm
โดย VIB007
ขอบคุณพี่ CK คุณนักดูดาว และ harry ที่ช่วยตอบครับ
Anonymous เขียน:
ยังงั้นมูลค่าของกิจการ(Intrinsic Value ไม่ใช่ Price)ก็จะเปลื่ยนตลอดที่ดอกเบี้ยเปลื่ยน โดยที่บ้างครั้ง Underlying economics (ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย โดยเฉพาะที่มีหนี้น้อยมาก เสียดอกเบี้ยต่ำ หรือไม่เสียเลย) ไม่ได้เปลื่ยน ยั่งงี้เราควรจะทำนาย discount rate เป็นช่วงๆ และคำนวน discount value เป็นช่วงๆเวลา (stages) หรือเปล่าครับ หรือ ว่าควรจะยอมรับการแกว่งตัวและคำนวน"มูลค่า"ใหม่ตามดอกเบี้ย (discount rate )ซึ่งก็ไม่ได้เปลื่ยนบ่อยอยู่แล้ว
ขอบคุณอีกครั้งครับ
ให้ใช้ discount rate หลายๆค่าครับ อย่างที่คุณนักดูดาวบอก
ทำเป็น Sensitivity Analysis
เช่น ถ้าdiscount rate +- 10-20% จากที่คาดการณ์จะหามูค่ากิจการได้เท่าไหร่
บางครั้ง มูลค่าที่แท้จริงเปลี่ยนด้วยปัจจัยอื่นด้วยครับ นอกเหนือจากดอกเบี้ย
เช่น การแข่งขันในอุตสาหกรรม สินค้าทดแทน หรืออื่นๆ
แต่บอกนิดนึงว่า มูลค่ากิจการที่หาได้ของแต่ละคนไม่เท่ากัน
และในการลงทุนในตลาดหุ้น มีอะไรนอกเหนือจากมูลค่ากิจการครับ
เช่น อารมณ์ และความโลภ ความกลัว
ขอให้โชคดีครับ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 12, 2004 10:01 pm
โดย VIB007
เนื่องในโอกาสวาระดิถีขึ้นปีใหม่วันสงกรานต์
ขออวยพรให้ผู้อ่านทุกท่านและครอบครัวมีสุขภาพพลานานัยแข็งแรงสมบูรณ์
คิดสิ่งใดขอให้สมความปราถนาทุกประการ
สุขสันต์วันสงกรานต์ครับ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 13, 2004 9:33 pm
โดย MedIEviL
สุขสันต์วันปีใหม่ไทยเช่นกันค่ะ .. เหะ ๆ ยังติดตามอ่านอยู่เรื่อย ๆ ค่ะกระทู้นี้
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. เม.ย. 15, 2004 1:33 am
โดย maomath
รบกวนพี่ๆช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยนะครับ ขอบคุณมากๆครับ
สนธิ ถ้ามองกลุ่มทุนเก่าคือว่า ถ้าทุนรัฐวิสาหกิจ สมมติกฟผ.เข้าตลาดหลักทรัพย์ คุณว่าตลาดหลักทรัพย์มาร์เก็ตแคปเพิ่มอีกกี่เปอร์เซ็นต์
สโรชา เยอะ
สนธิ เพิ่มอีก 20 เปอร์เซ็นต์หมายความว่าจะทำให้มูลค่าหุ้นซึ่งเป็นบลูชิพ ในตลาดทั้งหมด เพิ่มอีก 20 เปอร์เซ็นต์ วันนี้กลุ่มชินถือมาร์เก็ตแคป 400,000 ล้านเพิ่มอีก 20 เปอร์เซ็นต์ก็เกือบ 500,000 ล้านใช่ไหม ก็เท่ากับดับเบิล เกือบๆ จะครึ่งหนึ่ง ตรงนี้ที่กลุ่มทุนเก่ายอมให้ไม่ได้ นะครับนี่คือสิ่งซึ่งต้อง ออกมาประกาศว่างานนี้ยังไงเขาต้องสู้
คือว่าอ่านแล้วไม่เข้าใจน่ะครับว่าทำไมเมื่อนำหุ้นเข้ามาแล้ว จึงมีผลกระทบ
แล้วหุ้นตัวเล็กๆล่ะจะได้ผลอย่างไรบ้าง รบกวนด้วยนะครับกำลังพยายามศึกษาอยู่น่ะครับ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 16, 2004 6:08 pm
โดย MO101
พี่ครับ คือมีคนเขาจะฝากผมลงทุนในหุ้นควรแบ่งผลประโยชน์กันอย่างไรดีครับ
(ลงทุนไม่มาก ไม่ถึงล้าน) และบัฟเฟตแบ่งผลประโยชน์อย่างไรกับ กองทุนแรกของเขาครับ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 16, 2004 9:27 pm
โดย CK
คุณ maomath มีคนไปตอบคุณในกระทู้ที่คุณตั้งแล้วนะครับ ไม่ขอพูดซ้ำ
เอาเป็นว่าคุณสนธิคิดอย่างนี้ไม่ถูกต้องครับ เป็นการหาเหตุผลเพื่อค้าน
มากกว่า
คุณ MO101 ยินดีต้อนรับกลับสู่สมาชิกสภาพครับ
วิธีคิดมีแบบง่ายกับแบบยาก แต่ไม่มีวิธีที่แฟร์จริงๆ ถ้าเป็นไปได้ผมไม่ค่อย
แนะนำให้เล่นให้คนอื่น แต่ถ้าจะทำจริงๆ ผมว่ามีสองวิธีครับที่ค่อนข้างจะ
แฟร์ที่สุด
1. เปิดพอร์ตพิเศษให้คนที่ต้องการฝากคุณเล่น ให้เขามอบฉันทะให้คุณ
สั่งซื้อขาย (กรณีเป็นบัญชีมาร์) หรือขอ user id กับ password แล้วสั่งซื้อ
ขายให้ (กรณีบัญชี Internet) คุณสามารถคิดค่าใช้จ่ายได้ตามแต่จะตกลง
เช่น หัก 0.5% ของมูลค่าพอร์ตรวม (NAV รวม realized+cash) ทุกๆ สอง
อาทิตย์ หรือคิด flat rate ที่ XXX บาท/เดือน หรือคิด 10% ของกำไร เป็นต้น
2. รวมพอร์ตของหลายๆคน (และตัวเอง) เข้าด้วยกัน วิธีนี้คุณควรจะต้องทำ
NAV report ทุกสิ้นวัน และหารกลับไปเป็นหน่วยลงทุน/ราคาปิดของกองทุน
ในแต่ละวัน (เพื่อคำนวณว่าเงินใหม่ที่เข้ามาหรือถอนออกมีอัตราส่วนเท่า
ไหร่) แล้วก็คิดเงินจาก % ของยอด NAV ทุกสองอาทิตย์ก็ได้
วิธีที่ 1 ยุ่งน้อยกว่าวิธีที่สองครับ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ เม.ย. 18, 2004 2:19 pm
โดย tuatoon
สวัสดีครับ ผมเป็นสมาชิกใหม่ครับ :)
อยากทราบ + ถามความเห็นครับว่า
1. save กระทู้ที่ยาวๆ แบบนี้ทำยังไงครับ? (ต้อง save ที่ละหน้าเหรอครับ) มี program อะไรช่วยได้บ้างครับ?
2. จะ load ราคาหุ้นย้อนหลังไป 5 ปี ได้ที่ไหนครับ?
3. ลงทุนแนว value ไปมาก็จะไปตกที่พวก blueship ซึ่งผลไม่ค่อยหวือหวาเหมือนแบบ growth ดังนั้น แบบ value จึงเหมาะสำหรับคนที่มีเงิน"เย็น" จริงๆ คือขอแค่ดีกว่าฝากธนาคาร ใช่หรือไม่ครับ?
4. ทำธุรกิจเองได้ผลตอบแทนมากกว่า เสี่ยงน้อยกว่า (แต่เหนื่อยกว่า) จริงหรือไม่ครับ? เพราะลงทุนในหุ้น บางครั้งเราก็ไม่รู้ว่าทำไมราคามันเป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอครับ ตัวอย่างเช่น bigc เห็นวิเคราะห์กันว่าดีๆ แต่ผมดูราคา 5-6 เดือนที่ผ่านมา ไม่เห็นขยับเลยครับ ตกลงซะด้วยซ้ำนะครับ อย่าง psl ของมันเกิดขึ้นแล้ว ใครๆก็พูดได้ จริงไหมครับ?
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ เม.ย. 18, 2004 4:35 pm
โดย นักดูดาว
tuatoon เขียน:
4. ทำธุรกิจเองได้ผลตอบแทนมากกว่า เสี่ยงน้อยกว่า (แต่เหนื่อยกว่า) จริงหรือไม่ครับ? เพราะลงทุนในหุ้น บางครั้งเราก็ไม่รู้ว่าทำไมราคามันเป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอครับ ตัวอย่างเช่น bigc เห็นวิเคราะห์กันว่าดีๆ แต่ผมดูราคา 5-6 เดือนที่ผ่านมา ไม่เห็นขยับเลยครับ ตกลงซะด้วยซ้ำนะครับ อย่าง psl ของมันเกิดขึ้นแล้ว ใครๆก็พูดได้ จริงไหมครับ?
หุ้นสำหรับคุณเป็นอะไรครับ
ร้านค้า หรือ
สินค้า
ถ้าเป็นสินค้าก็ต้องซื้อถูกๆ ขายแพงๆ คุณกำลังทำธุรกิจเองอยู่นะ ธุรกิจซื้อขายหุ้นไง
ถ้าเป็นร้านค้าก็รอรับผลกำไรจากผลการดำเนินงานครับ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ เม.ย. 18, 2004 5:16 pm
โดย harry
การซื้อหุ้นคือการที่คุณไปซื้อความเป็นเจ้าของธุรกิจจากคนอื่นงัยครับ
ถ้าคุณได้ซื้อหุ้นของธุรกิจที่ดี นอกจากจะได้ปันผลเมื่อทำกำไรได้แล้ว ราคาหุ้นจะเพิ่มสูงขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของส่วนทุนและความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจครับ
ผมใช้หลักการนี้อยู่ และก็หาได้หลายตัวแล้ว เชื่อว่ามีดีหลายตัวทีเดียว แต่ราคามันขึ้นไปไม่ยอมลงเลย ก็เก็บเงินรอซื้ออยู่ครับ แม้จะไม่มากนัก
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 19, 2004 10:38 am
โดย tuatoon
ถ้าว่ากันตามทฤษฎี ที่ว่าได้ทั้งปันผล และหุ้นขึ้น (จากผลประกอบการ) ก็โอเคน่ะครับ....
แต่ทำไมยังมีคนติดยอดดอยกันเพียบล่ะครับ? เอาง่ายๆ bigc, kbank ก็วิเคราะห์กันมากว่าดูดีนะ แต่ไหง ร่วงเอา ร่วงเอาน่ะครับ?
ความเสี่ยงที่ผมว่าหมายถึงเสี่ยงจากการที่ได้ปันผลไม่คุ้มกับ ราคาหุ้นที่ร่วงแบบไม่มีเหตุผลน่ะครับ
เผอิญ 3-4 ปีมานี้ หุ้นไทยเพิ่งจะฟื้นไข้ มันก็เลยดูค่อนข้างดี จึงสามารถเอามาเป็นตัวอย่างได้ดี แต่โดยเฉลี่ยอย่างที่ ดร.บอกว่าหุ้นไทย่ขึ้นปีละประมาณ 10% ผมจึงเกิดคำถามว่าคุ้มไหม? เอาเงินไปลงทุนทำธุรกิจเองจะดีกว่าไหมครับ?
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 19, 2004 1:12 pm
โดย VIB007
MO101 เขียน:พี่ครับ คือมีคนเขาจะฝากผมลงทุนในหุ้นควรแบ่งผลประโยชน์กันอย่างไรดีครับ
(ลงทุนไม่มาก ไม่ถึงล้าน) และบัฟเฟตแบ่งผลประโยชน์อย่างไรกับ กองทุนแรกของเขาครับ
ตอนเริ่ม Buffet Partnership
บัฟเฟตจะ Guarantee ผลตอบแทนของผู้ลงทุนไว้เท่ากับดอกเบี้ยเงินฝาก
ส่วนที่เกินจากดอกเบี้ยเงินฝาก บัฟเฟตจะขอแบ่ง 50% ของส่วนเกินเป็นค่าบริหาร
(ถ้าจำไม่ผิดนะครับ อาจจะ 20% ไม่แน่ใจ)
เช่น เงินลงทุน 1 ล้านบาท
การันตีผลตอบแทน 5%
ถ้าทำได้ปีนี้ 10%
แสดงว่า ผู้บริหารกองทุนได้ค่าบริหาร (10%-5%)/2 = 2.5%
ส่วนที่เกินก็นำมาลงทุนต่อ
และไถ่ถอนได้ปีละหนึ่งครั้ง เพื่อไม่ให้ต้องขายหุ้นระหว่างปี
คงช่วยได้นะครับ
tuatoon เขียน:ถ้าว่ากันตามทฤษฎี ที่ว่าได้ทั้งปันผล และหุ้นขึ้น (จากผลประกอบการ) ก็โอเคน่ะครับ....
แต่ทำไมยังมีคนติดยอดดอยกันเพียบล่ะครับ? เอาง่ายๆ bigc, kbank ก็วิเคราะห์กันมากว่าดูดีนะ แต่ไหง ร่วงเอา ร่วงเอาน่ะครับ?
ความเสี่ยงที่ผมว่าหมายถึงเสี่ยงจากการที่ได้ปันผลไม่คุ้มกับ ราคาหุ้นที่ร่วงแบบไม่มีเหตุผลน่ะครับ
เผอิญ 3-4 ปีมานี้ หุ้นไทยเพิ่งจะฟื้นไข้ มันก็เลยดูค่อนข้างดี จึงสามารถเอามาเป็นตัวอย่างได้ดี แต่โดยเฉลี่ยอย่างที่ ดร.บอกว่าหุ้นไทย่ขึ้นปีละประมาณ 10% ผมจึงเกิดคำถามว่าคุ้มไหม? เอาเงินไปลงทุนทำธุรกิจเองจะดีกว่าไหมครับ?
ทุกอย่างมี"ความเสี่ยง"ทั้งนั้นหละครับ
ทำธุรกิจส่วนตัวก็มีความเสี่ยง
ทั้งคู่แข่ง ทั้งลูกค้า ทั้งคู่ค้า
ถ้าเราเปิดธุรกิจอะไรสักอย่างนึงขึ้นมาได้
คู่แข่งก็เปิดได้เช่นเดียวกัน
ก็แย่งลูกค้ากัน
ถามว่ามีเงินหนึ่งล้านบาทจะเอาไปซื้อหุ้นหรือทำธุรกิจส่วนตัวดี
อันนี้ก็แล้วแต่จะชอบแบบไหน
แต่ละคนไม่เหมือนกัน มีดีไม่ดีคนละแบบ
ส่วนเรื่องราคาหุ้นลดลง ก็เป็นเรื่องธรรมดาครับ
ถ้าราสนใจแค่"ราคา"ก็ต้องกลุ้มใจเป็นธรรมดา
และคิดว่าเสี่ยง เลยคิดว่าลงทุนธุรกิจส่วนตัวดีกว่า
สำหรับผม ถ้าหุ้นที่ผมถือ ราคาลดลง
ผมก็จะดูว่าเป็นเพราะพื้นฐานเปลี่ยนไปหรือเปล่า
ถ้าไม่ใช่ก็"ซื้อเพิ่ม"เท่านั้นเอง
ยิ่งดีเพราะผมจะได้มีโอกาสซื้อหุ้นดีราคาถูกลง
แต่ถ้าเรา"เล่น"หุ้นและดูแต่"ราคา"อย่างเดียว
ไม่ใช่วิธีการลงทุนในหุ้นครับ เป็นวิธี"ค้าหุ้น"ครับ
ต้องถามตัวเองว่า เราเป็น"นักลงทุนหุ้น"หรือ"นักค้าหุ้น"
จะเป็น Investor หรือ Trader
ถ้าเป็นนักลงทุนจริง ราคาหุ้นที่ลดลงไม่ใช่ความเสี่ยงครับ
ส่วนการทำธุรกิจเอง คงต้องไปเฝ้าร้านเอง
หรือไม่ก็ต้องจ้างคนที่ไว้ใจได้ไปเฝ้า
และที่น่าสนใจก็คือ
มากกว่า 7 ใน 10 ของธุรกิจที่ตั้งใหม่เลิกกิจการไปใน 1 ปี
มากกว่า 9 ใน 10 ของธุรกิจที่ตั้งใหม่เลิกกิจการไปใน 5 ปี
ดังนั้น มีแค่ 1 ใน 10 เท่านั้นเองครับที่รอดได้ในระยะยาว
และคนที่คิดว่าตัวเองเป็น Business Owner นั้นจริงๆแล้วส่วนใหญ่เป็นแค่Self-Employ เท่านั้นเองครับ
ก็ลองดูแล้วกันครับว่าถ้ามีเงินอยากจะทำธุรกิจเองหรือลงทุนในตลาดหุ้น
แล้วแต่สะดวกครับ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 19, 2004 1:53 pm
โดย VIB007
พอดีอยากจะบอกว่า ผมอาจจะเข้ามาในกระทู้นี้น้อยลง
เพราะอยากจะไปปลีกวิเวกพิจารณาสิ่งต่างๆในชีวิตสักพัก
(จริงๆงานประจำเริ่มเยอะ......เวลาเลยน้อยลง)
ก็ขอแรงพี่ๆเพื่อนๆช่วยตอบปัญหาให้กับผู้สนใจด้วยนะครับ
อยากจะให้กระทู้นี้อ่านกันถึง 100,000 ครั้งเลย
นั่นเป็นเป้าหมายที่วางไว้
ก็ไม่ต้องแปลกใจนะครับ ถ้าผมนานๆจะเข้ามาที
ใครตอบคำถามไหนได้ก็ช่วยตอบได้เลยครับ
ไม่ต้องกลัวความรู้ไม่พอ ช่วยๆกันคนละไม้คนละมือ
สำหรับความรู้ที่คุยกันมาในกระทู้
คง"จุดประกาย"ให้ท่านทั้งหลายไปศึกษาหาความรู้กันต่อ
เพื่อที่จะได้ต่อสู้กับแมงมุม แมงเม่า และกองทุนทั้งหลาย
พวกเราจะได้ยืนหยัดอยู่ในตลาดหุ้นกันได้ตลอดไป
ก็ขอให้ประสบความสำเร็จในการลงทุนทุกท่านครับ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 19, 2004 5:47 pm
โดย tuatoon
คุณวิบูลย์ครับ
ผมรุ่นเดียวกับคุณ แต่เปิดหนังสือรุ่นไม่มีชื่อวิบูลย์ครับ
เปลี่ยนชื่อเหรอครับ?
ขอคุยด้วยหน่อยครับ mail มาได้ที่
[email protected]
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 19, 2004 7:51 pm
โดย chatchai
การเป็นเจ้าของกิจการเองกับการลงทนในตลาดนั้นก็ขึ้นอย่กับแต่ละบคคลนะครับ
การลงทนเปิดกิจการเองก็ดีตรงที่เราได้รับผลประโยชน์เป็นกอบเป็นกำ สามารถควบคมกิจการได้ตามที่เราต้องการ แต่ก็มีข้อเสียที่คณไม่สามารถเปลี่ยนธรกิจได้บ่อยครั้ง การเริ่มกิจการบางครั้งก็ต้องใช้เวลาในการตั้งต้น และบางธรกิจคณก็ไม่สามารถที่จะทำเองได้ เช่น ธนาคาร โรงปนซีเมนต์ โทรศัพท์มือถือ
การลงทนในตลาดนั้นก็มีข้อดีอย่มาก คือ เราสามารถพิจารณาผลงานในอดีตของบริษัทนั้นๆ รวมทั้งผลงานของผ้บริหารด้วย เราสามารถเปลี่ยนแปลงการลงทนได้ง่ายกว่า และสามารถลงทนในกิจการที่ต้องใช้เงินลงทนเป็นจำนวนมากได้ แต่ข้อเสียก็คือ เราไม่สามารถตรวจสอบหรือควบคมกิจการได้มากนัก ถ้าเจอผ้บริหารที่คดโกงก็ลำบากครับ
แต่การลงทนทั้งสองแนวทาง นักลงทนก็ควรที่จะร้จริงในแนวทางนั้นๆ เพราะถ้าคณไม่ร้จริง ไม่ว่าจะเป็นแนวทางไหนก็เจ๊งครับ
แล้วคณ tuatoon ร้หรือถนัดเรื่องไหนเป็นพิเศษบ้างครับ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: พุธ เม.ย. 21, 2004 3:30 pm
โดย dikdik
ในฐานะเป็นSELF-EMPLOYED คนหนึ่ง เห็นด้วยกับคุณวิบูลย์ร้อยเปอร์เซนต์ครับ ลงทุนในหุ้นได้ผลตอบแทนน้อย แต่ก็มากกว่าฝากธนาคาร และที่สำคัญมากๆ ไม่ปวดหัว ไม่เครียด ยิ่งตอนหุ้นลงจะมีความสุขเป็นพิเศษ ผมพยายามจะเป็นเจ้าของกิจการ แต่ในที่สุดก็ต้องกลับมาเป็นSELF-EMPLOYED จนได้ เพราะสาขาที่เป็นเจ้าของกิจการทำกำไรน้อยมาก บางสาขาขาดทุนก็มี ในสาขาที่ผมดูแลเองมีกำไร แต่ปวดหัวจริงๆ เรื่องเครียดๆเยอะ ต้องกังวลมันหมดทั้งลูกน้อง ลูกค้า ภาษี เลิกงานแล้วก็ยังไม่เลิกคิด
ลงทุนในหุ้นไม่ต้องกังวลอะไร บริษัทที่เราลงทุนต้องเป็นบริษัทที่แข็งแรง อายุยืนกว่าเรา หุ้นขึ้นก็แอบแช่งให้มันลง หุ้นลงได้เงินมาก็ซื้อเพิ่ม อาจมีความเสี่ยงอยู่บ้าง แต่ผมว่าธุรกิจที่ผมทำอยู่มันเสี่ยงกว่าบริษัทที่ผมมีหุ้นอยู่ตั้งหลายเท่า แล้วผู้บริหารบริษัทก็เก่งกว่าผมตั้งเยอะ ผมมีความสุขกับการลงทุนในแนว VALUE INVESTMENT มากในขณะนี้ ขอขอบคุณอาจารย์ทุกท่านในที่นี้มากที่ให้ความรู้
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: พุธ เม.ย. 21, 2004 8:49 pm
โดย tuatoon
ถ้าซื้อมา 100 บาท ถือไว้ 4 ปี ราคาขึ้นไป 180 ก็คงมีความรู้สึกแช่งให้มันลงได้น่ะครับ แต่ถ้ากลับกัน ราคามันลงไป 80 บาท ทั้งๆที่พื้นฐานก็ไม่เปลี่ยนมาก คุณยังคิดจะแช่งให้มันลงต่อไหมครับ?
คุณ dikdik ทำกำไรจากกิจการส่วนตัวได้กี่ % (ROA) ครับ และทำจากหุ้นได้กี่ % หรือครับ ?
ยังไม่มีใครแนะนำผมเลยครับว่าจะหาราคาหุ้นย้อนหลัง 5 ปีได้ที่ไหนครับ ?
จะขายหุ้นเมื่อไหร่
โพสต์แล้ว: พุธ เม.ย. 21, 2004 10:00 pm
โดย neo2neo
สวัสดีพี่ ๆ ทุกคนครับ ผมเองเป็นคนนึงที่สนใจเรื่องลงทุนครับ(แต่ยังไม่มีทุนมาลง) ตอนนี้ก้อขออ่านหนังสือหาความรู้ไปก่อน เดิมทียังไม่อยากเข้ามา post ครับเพราะคิดว่าจะอ่านให้จบทุกหน้าก่อน(ตอนนี้อ่านได้แค่ 18 หน้า) แต่หลังจากที่อ่านในกระทู้และอ่านหนังสือเกี่ยวกับ warren เพิ่มเติมก้อเกิดความสงสัยครับ เพราะหนังสือส่วนใหญ่ก้อจะบอกแต่ว่าวอร์เรนลงทุนในบริษัทแบบไหนและจะถือไปเรื่อย ๆ (บางทีบอกถือไปจนตาย) แต่ว่าวอร์เรนก้อต้องมีรายได้เพื่อจะนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในบริษัทใช่มั๊ยครับ ทีนี้ผมกำลังคิดว่าวอร์เรนใช้เงินทุนส่วนหนึ่งกันไว้เป็นเงินในการบริหารหรือว่าวอร์เรนมีการขายหุ้นบางส่วนไปในระหว่างดำเนินงานเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ผมอ่านพวกหนังสือแล้วคิดว่านอกจากการซื้อหุ้นแล้วหลักการขายหุ้นก้อน่าสนใจนะครับเพราะผมคาดว่าวอร์เรนเองก้อมีหลักในการขายหุ้นเหมือนกันเพราะหากถือหุ้นอย่างเดียวตลอด10-20 ปีผมยังนึกภาพไม่ออกว่าจะขายเมื่อไหร่และจะทยอยขายหรือว่าขายทีเดียวหมด รบกวนพี่ ๆ ช่วยตอบด้วยนะครับและไม่ทราบว่าพวกพี่ ๆ มีหนังสือเล่มไหนแนะนำบ้างมั๊ยครับเผื่อว่าผมจะได้หาซื้อมาอ่าน ขอบคุณครับ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: พุธ เม.ย. 21, 2004 11:15 pm
โดย raruen
tuatoon เขียน:ถ้าซื้อมา 100 บาท ถือไว้ 4 ปี ราคาขึ้นไป 180 ก็คงมีความรู้สึกแช่งให้มันลงได้น่ะครับ แต่ถ้ากลับกัน ราคามันลงไป 80 บาท ทั้งๆที่พื้นฐานก็ไม่เปลี่ยนมาก คุณยังคิดจะแช่งให้มันลงต่อไหมครับ?
คุณ dikdik ทำกำไรจากกิจการส่วนตัวได้กี่ % (ROA) ครับ และทำจากหุ้นได้กี่ % หรือครับ ?
ยังไม่มีใครแนะนำผมเลยครับว่าจะหาราคาหุ้นย้อนหลัง 5 ปีได้ที่ไหนครับ ?
คงเซ็งครับ
และก็มาถามความเห็นพี่ๆในนี้แหละครับ เหอๆ เพื่อกำลังใจในการถือต่อ
ห้าปีหาได้ที่กิมเอ็งเลยครับพี่.
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. เม.ย. 22, 2004 1:08 pm
โดย kotaro
ยังไม่มีใครแนะนำผมเลยครับว่าจะหาราคาหุ้นย้อนหลัง 5 ปีได้ที่ไหนครับ ?
ถ้าราคาหุ้น ดูได้ที่นี่ครับ สามารถดูได้เป็นสิบปีเลยครับ ดูเป็นตัวเลขหรือกราฟก็ได้
http://finance.yahoo.com
โดยพิมพ์สัญลักษณ์หุ้นให้ถูกครับ ถ้าเป็นหุ้นสามัญต้องมี จุด bk ครับ เช่น ast.bk
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 23, 2004 4:14 pm
โดย VIB007
tuatoon เขียน:คุณวิบูลย์ครับ
ผมรุ่นเดียวกับคุณ แต่เปิดหนังสือรุ่นไม่มีชื่อวิบูลย์ครับ
เปลี่ยนชื่อเหรอครับ?
ไม่ได้เปลี่ยนชื่อครับ
ส่ง PM มาคุยกันก็ได้ครับ ใช้Service ของเวปนี้หน่อยก็ดี
ถ้าซื้อมา 100 บาท ถือไว้ 4 ปี ราคาขึ้นไป 180 ก็คงมีความรู้สึกแช่งให้มันลงได้น่ะครับ แต่ถ้ากลับกัน ราคามันลงไป 80 บาท ทั้งๆที่พื้นฐานก็ไม่เปลี่ยนมาก คุณยังคิดจะแช่งให้มันลงต่อไหมครับ?
อย่าดู
"ราคา"อย่างเดียวครับ
ต้องดู
"มูลค่า"ครับ
ถ้าซื้อหุ้นมา 100 บาทผ่านไป 4 ปี ราคาเหลือ 80 บาท จะทำอย่างไร
ถ้าดู"ราคา"อย่างเดียวคงกินไม่ได้นอนไม่หลับ
แต่ถ้าดู"มูลค่า"ผมว่ามีลุ้น
เช่น
ราคาที่ซื้อมา 100 บาท หามูลค่าได้ 150 บาท
ผ่านไปสี่ปี "มูลค่า"กลายเป็น 200 บาท แต่"ราคา"เหลือ 80 บาท
อย่างนี้ก็ต้องเอาขายอย่างอื่นเงินมาซื้อหุ้นตัวนี้ให้หมด
แต่ถ้าซื้อมา 100 บาท มูลค่า 150 บาท
ผ่านไปสี่ปี มูลค่าเหลือ 80 บาท ราคา 80 บาท
อย่างนี้คงต้องจากกันก่อน 4 ปีแน่นอน
เพราะบริษัทนี้ไม่น่าคบนาน ไม่สามารถเพิ่มมูลค่าบริษัทในระยะยาวได้
สิ่งสำคัญก็คือ เราหา
"มูลค่ากิจการ"ได้หรือเปล่า
สวัสดีพี่ ๆ ทุกคนครับ ผมเองเป็นคนนึงที่สนใจเรื่องลงทุนครับ(แต่ยังไม่มีทุนมาลง) ตอนนี้ก้อขออ่านหนังสือหาความรู้ไปก่อน เดิมทียังไม่อยากเข้ามา post ครับเพราะคิดว่าจะอ่านให้จบทุกหน้าก่อน(ตอนนี้อ่านได้แค่ 18 หน้า) แต่หลังจากที่อ่านในกระทู้และอ่านหนังสือเกี่ยวกับ warren เพิ่มเติมก้อเกิดความสงสัยครับ เพราะหนังสือส่วนใหญ่ก้อจะบอกแต่ว่าวอร์เรนลงทุนในบริษัทแบบไหนและจะถือไปเรื่อย ๆ (บางทีบอกถือไปจนตาย) แต่ว่าวอร์เรนก้อต้องมีรายได้เพื่อจะนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในบริษัทใช่มั๊ยครับ ทีนี้ผมกำลังคิดว่าวอร์เรนใช้เงินทุนส่วนหนึ่งกันไว้เป็นเงินในการบริหารหรือว่าวอร์เรนมีการขายหุ้นบางส่วนไปในระหว่างดำเนินงานเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ผมอ่านพวกหนังสือแล้วคิดว่านอกจากการซื้อหุ้นแล้วหลักการขายหุ้นก้อน่าสนใจนะครับเพราะผมคาดว่าวอร์เรนเองก้อมีหลักในการขายหุ้นเหมือนกันเพราะหากถือหุ้นอย่างเดียวตลอด10-20 ปีผมยังนึกภาพไม่ออกว่าจะขายเมื่อไหร่และจะทยอยขายหรือว่าขายทีเดียวหมด รบกวนพี่ ๆ ช่วยตอบด้วยนะครับและไม่ทราบว่าพวกพี่ ๆ มีหนังสือเล่มไหนแนะนำบ้างมั๊ยครับเผื่อว่าผมจะได้หาซื้อมาอ่าน ขอบคุณครับ
รายได้ของเบริคไชน์มาจากสามทาง
หนึ่ง รายได้จากกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทที่ถือหุ้น 100%
สอง เงินปันผลจากบริษัทที่ถือหุ้นน้อยกว่า 100%
สาม รายได้จากการขายพันธบัตรหรือหุ้นที่ถืออยู่
วอร์เรนไม่ได้ขายหุ้นเอามาใช้จ่าย
แต่นำกำไรจากการดำเนินงานมาเป็นค่าใช้จ่าย
ถ้าเหลือก็นำไป"ลงทุน"ต่อ
หุ้นหรือพันธบัตรที่เบริคไชน์ถืออยู่นั้น
ส่วนใหญ่เป็นเงินลงทุนของบริษัทประกัน Geico ครับ
ไม่มีความจำเป็นต้องขาย ถ้าไม่มีการ Claim ประกันมากมหาศาลเกินกว่าเงินสดที่มี
หลักการขายหุ้นของบัฟเฟตคือ
เมื่อหุ้นนั้นไม่เข้าข่ายหุ้นที่น่าถือยาวอีกต่อไป
ดังนั้น ตราบใดที่หุ้นนั้นยังมีผลประกอบการที่ดีในระยะยาว เขาก็จะถือต่อ
ไม่น่าแปลกใจที่ถือหุ้นเป็นสิบๆปี ไม่ขาย
ถ้าจะขาย วอร์เรนก็จะขายทิ้งทั้งหมด
เพราะคิดว่า บริษัทนั้นไม่มีอนาคตแล้วก็จะไม่ถือเลยสักหุ้นเดียว
หนังสือแนะนำผมใส่ไว้ในกระทู้นี้แล้ว ราวๆหน้า 20 กว่าๆ
ลองหาดูครับ
ขอบคุณพี่วิบูลย์ครับ
โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 24, 2004 3:46 am
โดย neo2neo
ขอบคุณพี่วิบูลย์ครับสำหรับคำตอบ ผมเริ่มมองภาพออกบ้างแล้วครับเกี่ยวกับการบริหารงานของวอร์เรนสมเป็นเซียนหุ้นในตำนาน(ที่ยังมีชีวิตอยู่)
แต่ด้านเทคนิคการลงทุนนี่สงสัยต้องหาความรู้เพิ่มเติมก่อนเพราะเท่าที่อ่าน ๆ ในกระทู้ยังมีค่า parameter บางตัวที่ยังไม่ค่อยเข้าใจ (บางตัวไม่เคยได้ยินชือมาก่อน) เมื่อก่อนผมเข้าใจว่าสูตรต่าง ๆ จะมีเฉพาะแต่การวิเคราะห์ทางเทคนิคเท่านั้น คิดว่านักวิเคราะห์หุ้นด้วยปัจจัยพื้นฐานจะใช้แต่ความเข้าใจในธุรกิจเป็นหลักแต่สงสัยว่ายังไงก้อหนีไม่พ้นข้อมูลทางสถิติ ตัวเลข และสูตรคำนวณสัดส่วนต่าง ๆ พออ่าน ๆ ไปชักงง ๆ ว่าวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานหรือว่าทางเทคนิคกันแน่เพราะสูตรเยอะเหลือเกิน(ตาลาย)
ยอมรับเลยว่ากว่าจะวิเคราะห์ได้แต่ละบริษัทก่อนตัดสินใจไม่ใช่งานง่าย ๆ เลย แถมถ้าหุ้นตกยังต้องอดทนและหนักแน่นในการตัดสินใจที่สวนกระแสของตัวเองอีกไม่ง่ายเลยจริง ๆ ส่วนหลักการของวอร์เรนน่าสนใจมากครับแม้ว่าจะมีอาจารย์คือ เกรแฮม แต่หลักการลงทุนก้อเป็นสไตล์ของตัวเองมีความเป็นตัวของตัวเองผมชอบจุดนี้มากเลย ไม่รู้ว่าสไตล์ไหนถึงน่าจะเหมาะกับตลาดหุ้นเกิดใหม่อย่างบ้านเรานะครับ คงต้องดู ๆ กันต่อไป หวังว่าตลาดหุ้นไทยจะเติบโตไปอีกนาน บางทีพี่ ๆ ในนี้อาจจะเป็นตำนานบทต่อไปก้อได้นะครับ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 26, 2004 10:13 pm
โดย Mon money
มารายงานตัวครับหายไปนาน ก็เพราะเริ่มธุรกิจใหม่ จริงๆก็ไม่ใหม่เท่าไรแต่เป็นการสานต่อธุรกิจครอบครัวคือพ่อผมแก่มากแล้ว อยากให้ลูกชายคนโตรับไปทำต่อ ผมเลยต้องมุงานมากหน่อยเลยหายหน้าไป เอาไว้กลายเป็น business ownerแล้วจะคุยให้ฟัง ตอนนี้ยังself employ อยู่เลยครับ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: พุธ เม.ย. 28, 2004 4:37 am
โดย yoyo
ที่ผ่านมาจิตใจไม่ได้วอกแวกไปตาม mr. market เท่าไหร่
ยังไม่เคยเปลี่ยนแนวไปเกร็งกำไรอะไรกะเค้า
ซื้อหุ้นก็มองแต่ระยะยาว.... แนวทางในการลงทุนของผมค่อนข้างเคลียร์
แต่ปัญหาที่เจอกับตัวเองตอนนี้คือรู้สึกได้เลยว่าความรู้ของตัวเองไม่ค่อยไปไหน
เวลาอ่านงบการเงินอ่านแล้วไม่ขาด อยากอ่านงบเก่งอย่างคนอื่นเค้าบ้าง
ได้สักครึ่งนึงของคุย chatchai ก็คงดี
คุณวิบูลย์และพี่ท่านอื่นๆ ช่วยแนะนำหน่อยครับ
ว่าผมควรศึกษาอย่างไรดี ลองนั่งอ่านงบเอง อ่านหนังสือการอ่านงบเองก็แล้ว
แต่อ่านอยู่คนเดียวมันมืดๆยังไงไม่รู้ อ่านบ่อยๆเข้ามันก็ขี้เกียจครับ
ไม่ค่อยจะมีแรงจูงใจเท่าไหร่
ตอนนี้กะลังจะกลับเมืองไทย ว่าจะกลับไปหางานทำ
อยากรู้ว่ามีงานประเภทไหนมั๊ยครับที่ทำแล้วจะได้ฝึกอ่านงบการเงิน
หรือเข้าใจงบการเงินมากยิ่งขึ้น .. ตัวเองชักขี้เกียจ ต้องหาอะไรมากระตุ้นตัวเองหน่อย
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. เม.ย. 29, 2004 1:03 pm
โดย VIB007
Yoyo เอานี่เลย..........
สมัคร Course อ่านงบการเงินของ FPM Consultant หรือตามศูนย์ฝึกอบรมอื่นๆ
ลองหาดูในเวปเอานะ
Welcome Back
--------------------------------------------------------------------------------
คุณมน เป็นเถ้าแก่เจ้าของกิจการ รวยแล้วอย่าลืมกันนะ อิ อิ