Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

ลูกอิสาน เขียน:ส่วนประเด็นที่คัดท้ายต้องการสื่อ ไม่รู้ผมเข้าใจถูกหรือเปล่า

1.ทำไมถึงขาดทุน ทั้งที่เลือกดีแล้ว มองข้ามอะไรไปหรือเปล่า ทำไมไม่เอามาถกกัน

2.หุ้นที่ดีให้ผลตอบแทนสูง ทำไมไม่เอามาพูดกัน ว่าดีอย่างไร ทำอย่างไรถึงจะรู้ว่าเป็นหุ้นดี อย่างไรที่เรียกว่ามีขีดความสามารถในการแข่งขันที่ดี มีส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัยอย่างไร มูลค่าทีแท้จริงควรเป็นเท่าไหร่

เปล่าเลยครับ ผมแค่อยากจะชี้ให้เห็นว่า การเชื่อมั่นในข้อมูล ของ VI แบบคนทั่วๆไปนั้น ต้องรู้จักตัวเอง ว่าข้อมูลเราเชื่อได้แค่ไหน ... เพราะความเสี่ยงของข้อมูลเรานั้นมีอยู่พอสมควร

ผมเล่นหุ้น ผมไม่เคยมีมาร์เกตติ้งครับ ผมเล่นหุ้นไม่เคยถามใคร ผมคงไม่ได้น้อยเนื้อต่ำใจว่าใครจะบอกหรือไม่บอกหุ้นในเว็บบอร์ดครับ บอกมา ผมก็ต้องเอาไปทำการบ้านอย่างหนักอยู่ดี คนที่รู้จักผมดีว่าผมเล่นหุ้นยังไง คงจะทราบว่าผมโยนความโลภจากกำไรเป็นล้านๆที่อยู่ตรงหน้าไปได้ ผมนั่งเฉยๆได้ โดยไม่ทำอะไร

ผมเพียงแต่ไม่อยากให้คนที่อ่านเว็บบอร์ด และเข้าใจไปว่า ทำแค่แบบที่บัฟเฟตบอก ก็พอแล้ว ... มันไม่ใช่แค่นั้น ไอ้คำพูดของบัฟเฟต มันมีอะไรมากกว่านั้นมากในเชิงปฏิบัติครับ และผมก็เลยเสนอว่า เราอาจจะแลกเปลี่ยนข้อมูลที่พอจะแลกกันได้ ในเชิงลึกของหุ้นแต่ละตัวกันมากขึ้น จะดีมั้ย เพื่อจะได้เป็นประโยชน์มากขึ้น ก็แค่นั้นเองครับ

เอากราฟหุ้น Berkshire Hathaway มาให้ดูเล่น

อิอิ แม่แต่หุ้นของลุงบัพที่ผลประกอบการเห็นว่าสม่ำเสมอ แต่ราคาเคยขึ้น ไป 80000 แล้วก็ลงมา 40000 แล้วก็กลับมาเป็น 83000 ในปัจจุบัน

ซึ่งจาก 40000 มาเป็น 83000 ในปัจจุบันใช้เวลาเกือบ 5 ปี ผมว่าหุ้นในเมืองไทย ที่ได้ผลตอบแทนดีกว่า Bershire มีตั้งเยอะ ไม่รู้ผมพูดผิดหรือเปล่า คือดูจากกราฟนะ และ ปันผลของ Berkshire ไม่มีซะด้วย

จากกราฟ แสดงว่าเราซื้อหุ้น berkshire ในปี 1999 ที่ราคา 80000 ถือมา 6 ปี ปัจจุบัน 83000 อิอิ กำไรในพอร์ต ก็ไม่เห็นจะเหลืออะไร

และแน่นอน ผมเดาว่าบริษัทที่วอเรนดูแลอยู่ตอนนี้ น่าจะ DCA ในแง่การลงทุน แต่ก็มีความเสี่ยงในเรื่องตัวบุคคล ถ้าวอเรนตายไปจะเป็นอย่างไร

อย่างไรก็ตาม บริษัทฝรั่งนี่ก็แปลก เห็นประธานบริษัทตาย บริษัทก็เดินหน้าต่อไปได้ ไม่รู้พวกเขามีวิธีบริหารงานอย่างไร

Jeng เขียน:เอากราฟหุ้น Berkshire Hathaway มาให้ดูเล่น

อิอิ แม่แต่หุ้นของลุงบัพที่ผลประกอบการเห็นว่าสม่ำเสมอ แต่ราคาเคยขึ้น ไป 80000 แล้วก็ลงมา 40000 แล้วก็กลับมาเป็น 83000 ในปัจจุบัน

ซึ่งจาก 40000 มาเป็น 83000 ในปัจจุบันใช้เวลาเกือบ 5 ปี ผมว่าหุ้นในเมืองไทย ที่ได้ผลตอบแทนดีกว่า Bershire มีตั้งเยอะ ไม่รู้ผมพูดผิดหรือเปล่า คือดูจากกราฟนะ และ ปันผลของ Berkshire ไม่มีซะด้วย

อืมม ครับ หุ้นบัฟเฟต เคยลงแล้วก็ขึ้น ... หุ้นทั้งตลาด เนี่ย มีตัวไหนขึ้นทุกวันมั่งครับ ?

มันก็ต้องทั้งลงแล้วก็ขึ้น เหมือนกันทั้งนั้น ... ไม่ได้ตอบโจทย์เดิมนะพี่เจ๊ง ว่าอะไรทำให้เราถือหุ้นโดยให้เวลามันแก้ตัวได้ 3 ปี ถ้าเราไม่รู้ว่าจริงๆความเสี่ยงมันมีอยู่ที่เท่าไหร่

โจทย์อะไรหรือ ถามใหม่ซิ

ลืมไปแล้ว คุยจนเบลอ

เห็นว่า ชื่อ ลอริมาร์ เดวิดสัน ceo geico จะมาทำหน้าที่ต่อ ถ้าวอร์เรนตาย หรือไม่สามารถทำหน้าที่ต่อไปได้

Jeng เขียน:โจทย์อะไรหรือ ถามใหม่ซิ

ลืมไปแล้ว คุยจนเบลอ

อ้าวพี่เจ๋ง แต่หัววันอีกแล้วซิครับเนี่ย 55555 :lovl: :lovl: :lovl:

เฮ้ย ไม่ขนาดนั้นหรอก ตอนนี้กำลังฟิต

หลังๆ มานี้ ป๋าแกยังบอกเองเลยว่า หุ้นแกไม่ได้ "ถูก" แล้ว
(ถ้าเป็นเมืองไทย ต้องถูกหาว่าทุบหุ้นตัวเองแน่ ฮ่าๆๆ)

ผมยังเห็นว่า ป๋าแกก็ไม่ได้ปกปิดอะไร เพีียงแต่ว่า หลายๆ คนอาจจะคิดได้ไม่เท่าป๋าแก
คือแกประเมินมูลค่าหุ้น ไม่ใช่จากตัวเลขเท่านั้น แต่ผมว่ามีอย่างอื่นอีกไม่น้อยกว่า 45%
ที่แกเอามาร่วมประเมินด้วย โดยไม่สามารถคิดเป็นตัวเลขได้

ที่เอากราฟมาให้ดู ก็เพื่อจะบอกว่า เวลาซื้อแล้ว ไม่ได้ผลตอบแทนคุ้มค่า หรือว่า เราคัดลอสไปก่อนนั้นหนะ

เป็นเพราะเราซื้อผิดราคา ที่ควรจะเป็นใช่หรือไม่ ก็แค่เป็นตัวอย่างให้ดู

อย่าง PAP ก็ตาม เดี๋ยวไตรมาสสอง มันวิ่งไป 52 ขึ้นมา แล้วเราจะสรุปอย่างไรอีก

อย่างกรณี BGH ถ้าซื้อราคานี้ 18847.24 ล้านบาท หมื่นแปดพันแปดร้อยสี่สิบเจ็ดล้านบาท และอีก 24 สตางค์ ในราคา 16.20 บาท

เรากำลังคาดหวังอะไร ถ้าคาดหวังผลตอบแทนต่อการลงทุน 23 % ถ้าซื้อราคานี้ โรงพยาบาลนี้ต้องมีกำไร ต่อปี 4334.86 ล้านบาท

ในขณะที่ปีที่แล้ว ยอดขายรวม 5,635.33 ล้านบาท กำไร 623.15 ล้านบาท

ก็คิดกันเอาเองว่า กำไรต้องโตกี่เปอร์เซ็นต์ต่อปี และอีกกี่ปี ที่จะได้กำไร 4334.86 ล้านบาท

เท่าที่อ่านผมคิดว่าคุณคัดท้ายต้องการสื่อให้พวกเราปรับปรุงการรวบรวมข้อมูล การdiscussion (ซึ่งก็คือในร้อยคนร้อยห้น) โดยพวกเราช่วยกันรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ แง่ต่างๆ อุตสาหกรรมฯ บริษัท(SWOT 5forceฯ) ผ้บริหาร งบการเงินฯ ให้เป็นระบบ และดียิ่งขึ้นกว่าที่เป็นอย่ เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับพวกเราทุกคน ...........

เห็นด้วยครับ ว่าคัดท้ายหวังดีครับ เพียงแต่ไม่ค่อยเห็นด้วยเรื่องขาดทุน

เหตุผลที่ไม่เห็นด้วยเรื่องขาดทุน คืองี้ครับ

สมมุติว่า เรามีเงิน 100000 แล้วเราไปฝากเงินไว้ กะว่าจะได้ดอกเบี้ย 10 % คือเราซื้อหุ้น PE 10

ต่อมาราคาหุ้นลดลงครึ่งหนึ่ง

ถ้าเรามีอีก 100000 แล้วเราเอาไปซื้อหุ้นตัวนี้เพิ่ม ในราคาที่ลดลงครึ่งหนึ่ง เราจะได้ 20 % ครับ

เพราะฉะนั้น ถ้าบริษัทนั้นไม่เจ๊ง แต่ราคามันลง มันแปลกครับ ต่อให้กำไรเพิ่มขึ้น ราคาลงก็ได้ ถ้าตลาดไม่ดี

ถ้าบริษัทนั้นไม่เจ๊ง เงินก้อนแรก ก็ยังคงได้ผลตอบแทน 10 % เงินก้อนที่สองก็ยังได้ผลตอบแทน 20 % ครับ

ราคาที่ลงมานี่แหละ ถ้ามองแบบ อยากเป็นเจ้าของ เพราะว่าได้ศึกษามาดีจริงแล้ว จะทำให้เราซื้อเพิ่ม

ในขณะที่ราคาที่ลงมาแล้ว และเราไม่ได้ศึกษามาดีจริง ( คิดว่าศึกษามาดีจริง ) เราจะ cut loss ครับ เพราะกลัวว่ามันจะลงไปอีก และก็บ่อยครั้งที่ cut loss กลับกลายเป็นขายหมูไปแล้ว

หมายเหตุ ไม่ได้บอกว่า ไม่ต้อง cut loss นะครับ

ถ้าเราซื้อ WG วันนี้ ที่ 32.75 แล้วอีก 1 ปี ราคาเหลือ 25 ตกลงเราขาดทุน หรือว่าเรามีโอกาสซื้อเพิ่มอีกแล้ว

สมมุติว่า ในอีก 1 ปี เศรษฐกิจแย่มาก แต่ผลประกอบการ WG ดี ขึ้น เพียงแต่ราคาหุ้น ลดลง

เราดีใจ หรือเสียใจ เรากำไรหรือขาดทุน

คัดท้าย เขียน:
เปล่าเลยครับ ผมแค่อยากจะชี้ให้เห็นว่า การเชื่อมั่นในข้อมูล ของ VI แบบคนทั่วๆไปนั้น ต้องรู้จักตัวเอง ว่าข้อมูลเราเชื่อได้แค่ไหน ... เพราะความเสี่ยงของข้อมูลเรานั้นมีอยู่พอสมควร


ผมเพียงแต่ไม่อยากให้คนที่อ่านเว็บบอร์ด และเข้าใจไปว่า ทำแค่แบบที่บัฟเฟตบอก ก็พอแล้ว ... มันไม่ใช่แค่นั้น ไอ้คำพูดของบัฟเฟต มันมีอะไรมากกว่านั้นมากในเชิงปฏิบัติครับ และผมก็เลยเสนอว่า เราอาจจะแลกเปลี่ยนข้อมูลที่พอจะแลกกันได้ ในเชิงลึกของหุ้นแต่ละตัวกันมากขึ้น จะดีมั้ย เพื่อจะได้เป็นประโยชน์มากขึ้น ก็แค่นั้นเองครับ

ว้า..ไม่เข้าใจคำถามคัดท้ายสักที :lol:

แต่พอจะเข้าใจมากขึ้นแล้วครับ
ผมก็ด้วยครับว่าหลักการลงทุนแบบวอร์เรน
ในทางปฎิบัติเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ง่ายเลย
ทั้งแหล่งข้อมูลและความน่าเชื่อถือของข้อมูล

ที่ทำได้เราคงต้องพยายามหาข้อมูลให้มากที่สุด
ยิ่งมากยิ่งดี เพื่อที่จะลดความผิดพลาดจากข้อมูล
ที่จริงในเวป TVI ก็มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลความเห็นกันหลากหลายดีแล้วนะครับ ผมก็ได้ไอเดียการลงทุนจากเพื่อนๆหลายท่านที่นี่

ซื้อ bigC วันนี้ 19547.122 ล้านบาท

ปีที่แล้วกำไร 1601.09 ล้านบาท เท่ากับได้ผลตอบแทนที่ราคานี้ 8.1 %

และไตรมาสแรกทำได้ 527.81 ซึ่งมีกำไรเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา 35 % ถ้าคิดว่า ปีนี้ทั้งปีโต 35 % ไปเลย

ก็เอา 1601.09 คูณ 35 เท่ากับ 2161.47 ล้านบาท

ถ้าซื้อราคาปัจจุบัน จะได้ผลตอบแทน 11 %

ถ้าคิดว่าคุ้มก็ซื้อ แต่เมื่อซื้อไปแล้ว ถ้าราคามันลงมาที่ 20 บาท

คำถามเดิม คือเราดีใจ เสียใจ กำไร หรือ ขาดทุน

เรื่องที่ผมชอบที่สุดสำหรับ the new buffetology คือ เขาสอนให้ดู EP ซึ่งเป็นส่วนกลับกับ PE

PE คือกี่ปีคืนทุน

แต่ EP คือ กำไร/ด้วยมูลค่ากิจการ คือผลตอบแทนต่อปี เท่าไร แล้วเอาไปเทียบกับการลงทุนด้านอื่น เช่น การฝากธนาคาร

ถ้าดอกเบี้ย 10 % แล้วเรามาซื้อหุ้นที่ ได้ EP 10 % เราจะซื้อหรือไม่ เพราะว่ามันมีความเสี่ยงที่ราคาจะลดลง เป็นต้น

ชอบมาก

การลงทุนมีความเสี่ยง
โปรดอ่านคำเตือนบนเว็บบอร์ดก่อนซื้อทุกครั้ง เมื่อซื้อพลาดโปรดโทษตัวเองเท่านั้น

ทำถึงต้องโทษตัวเอง ฟื๊ด ฟื๊ด

กระทู้นี่เยี่ยมเลยครับ ผมคิดว่าผมเข้าใจที่คุณคัดท้ายพยายามจะสื่อนะครับ เพราะเป็นสิ่งที่ผมเคยตั้งข้อสังเกตุอยู่เหมือนกัน ไว้ว่างๆมีเวลาพิมพ์เยอะๆจะเข้ามาแชร์ด้วยครับ

ทำถึงต้องโทษตัวเอง ฟื๊ด ฟื๊ด

เพราะตัดสินใจเอง ฟืด ฟืด

ไม่มีใครเอา light saber มาตัดแขนถ้าไม่ซื้อ ฟืด ฟืด

CK เขียน: เพราะตัดสินใจเอง ฟืด ฟืด

ไม่มีใครเอา light saber มาตัดแขนถ้าไม่ซื้อ ฟืด ฟืด

ไม่ทราบท่านด๊ากกซีเคเดอร์ ไอ้เข้าไปดูข้อมูล Light Saber ที่ผมโพสต์ไว้หรือยังท่าน

http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=10789

ทำอะไรได้เยอะกว่าเอาไว้ตัดแขนนะท่าน ฟืด ฟืด ... :lovl: :lovl: :lovl:

Jeng เขียน:ถ้าเราซื้อ WG วันนี้ ที่ 32.75 แล้วอีก 1 ปี ราคาเหลือ 25 ตกลงเราขาดทุน หรือว่าเรามีโอกาสซื้อเพิ่มอีกแล้ว

สมมุติว่า ในอีก 1 ปี เศรษฐกิจแย่มาก แต่ผลประกอบการ WG ดี ขึ้น เพียงแต่ราคาหุ้น ลดลง

เราดีใจ หรือเสียใจ เรากำไรหรือขาดทุน

เรื่องนี้ไม่ต้องสมมุติเลยครับ เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

หลังจากที่ผมซื้อได้ไม่นาน ราคาก็เดินหน้าขึ้นไปแถวๆ 18 บาทในเวลาอันรวดเร็วครับ

หลังจากนั้นก็ไหลลงมา เท่าที่จำได้ประมาณ 14 - 15 บาท

ถ้าคนที่ซื้อแถวๆ 18 บาท จะขายขาดทุนที่ 15 บาทหรือไม่

อีกครั้งหนึ่งประมาณปลายปี 2546 ราคาพุ่งขึ้นถึงประมาณ 36 - 37 บาท

หลังจากนั้นก็ลดลงมาแถวๆ 27 บาท

อนาคตจะเป็นอย่างไร

ทั้งๆที่ช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ทั้งสองครั้ง WG มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น ฐานะทางการเงินมั่นคงขึ้น จ่ายเงินปันผลมากขึ้น

ดูแล้วครับ ฟืดๆ อุตส่าห์อ่านจนจบเลย พยายามหาว่าสั่งซื้อได้ที่เว็บไหนอยู่
หาไม่เจอแฮะ


จะเอามาตัดขนมปังให้ลูก

chatchai เขียน: เรื่องนี้ไม่ต้องสมมุติเลยครับ เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

หลังจากที่ผมซื้อได้ไม่นาน ราคาก็เดินหน้าขึ้นไปแถวๆ 18 บาทในเวลาอันรวดเร็วครับ

หลังจากนั้นก็ไหลลงมา เท่าที่จำได้ประมาณ 14 - 15 บาท

ถ้าคนที่ซื้อแถวๆ 18 บาท จะขายขาดทุนที่ 15 บาทหรือไม่

อีกครั้งหนึ่งประมาณปลายปี 2546 ราคาพุ่งขึ้นถึงประมาณ 36 - 37 บาท

หลังจากนั้นก็ลดลงมาแถวๆ 27 บาท

อนาคตจะเป็นอย่างไร

ทั้งๆที่ช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ทั้งสองครั้ง WG มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น ฐานะทางการเงินมั่นคงขึ้น จ่ายเงินปันผลมากขึ้น

อันนี้หมูมากครับ เพราะผลประกอบการดีขึ้น ฐานนะการเงินมั่นคงขึ้น และจ่ายปันผลมากขึ้น แล้วใครจะขายให้โง่ละครับนอกจากซื้อเพิ่ม

ผมว่าหลายคนที่ลงทุนในตลาด มักมีนิสัยติดการลงทุน ไม่ชอบที่จะรอคอย

ไม่ว่าจะรอคอยค้นหาบริษัทที่เราเข้าใจมากๆ

ไม่ว่าจะรอขายให้ราคาลดลงจนมี Margin of Safety มากๆ

ถึงแม้การลงทุนบางครั้งจะผิดพลาดไปบ้าง แต่ถ้าเราศึกษาค้นคว้าหาสาเหตุ เราก็คงจะได้ความรู้เพิ่มมากขึ้น เพื่อใช้ในการลงทุนในบริษัทต่อๆไป

ถ้ามีปัญหาไม่เข้าใจในบริษัท สอบถามผู้บริหารก็จะได้ข้อมูลที่มาก แต่ไม่รับรองว่าจะถูกต้องทั้งหมด เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ผู้บริหารครับ

ย้อนกลับไปดูเลย คัดท้าย เวลานั้นมีคนขายนะ แต่ไม่แน่ใจว่าโง่หรือเปล่า เพราะถ้าเขาขาย แล้วกลับมาซื้อเพิ่ม ใช้เม็ดเงินเท่าเดิม แต่ได้หุ้นเพิ่มขึ้น

เอ แบบนี้ DSM ละเปล่า

คัดท้าย เขียน: อันนี้หมูมากครับ เพราะผลประกอบการดีขึ้น ฐานนะการเงินมั่นคงขึ้น และจ่ายปันผลมากขึ้น แล้วใครจะขายให้โง่ละครับนอกจากซื้อเพิ่ม

ผมว่าเรื่องนี้ไม่หมูนะครับ สำหรับผู้ที่ไม่คิดจะลงทุนและศึกษาบริษัทมามากพอควร

เรื่องนี้เกิดขึ้นได้เป็นประจำในตลาดหลักทรัพย์ และก็คงจะเกิดขึ้นตลอดไป

คนที่ซื้อหุ้น WG ที่ 18 บาท หลังจากนั้นก็ร่วงในเวลาอันรวดเร็วลงมาที่ 15 บาท ใจย่อมแกว่งครับ คิดไปต่างๆนานา จะมีอะไรไม่ดีมากระทบบริษัทที่เราไม่รู้หรือไม่

เรียกว่าความมั่นใจของนักลงทุนหลายคนขึ้นอยู่กับราคาหุ้นครับ ถ้าซื้อแล้วราคาหุ้นขึ้น ก็ดี แต่ถึงแม้จะศึกษามามาก แต่ถ้าซื้อแล้วราคาล่วง ใจก็แกว่ง

ผมขอถามว่า ทำไมดัชนี SET ถึงได้ลดลงในช่วงปีที่แล้ว ถึงปีนี้ ทั้งๆที่เศรษฐกิจของประเทศก็เติบโตขึ้น ผลการดำเนินงานของบริษัททั้งหลายก็ดีขึ้น

นักลงทุนทั้งหลายจะมีซักกี่คนที่เข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้น ซักถามผู้บริหารของบริษัท

มีใครบ้างที่ศึกษาธุรกิจอย่างละเอียด ศึกษาประวัติย้อนหลังของบริษัทเป็นสิบปี วิเคราะห์งบการเงินอย่างละเอียด แม้กระทั่งงบการเงินของบริษัทร่วม บริษัทย่อยที่บริษัทเข้าไปลงทุน

คงน้อยคนที่จะศึกษามากขนาดนั้น ก่อนที่จะซื้อหุ้น ผมเห็นหลายคนซื้อหุ้นเพราะอ่านบทวิเคราะห์ ซื้อหุ้นเพราะเห็นราคาตกลงมามาก โดยไม่มีการวิเคราะห์ซักเท่าไรเลย

และที่สำคัญไม่รู้ตัวเองเลยว่า เราลงทุนในแต่ละบริษัท เราหวังอะไรจากบริษัท