อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news07/01/08
โพสต์ที่ 121
"โปรตรอน"รุกตลาดรถยนต์ภาคใต้ เปิดตัวครึ่งเดือนยอดจองกว่า50คัน
4 มกราคม พ.ศ. 2551 12:23:00
"เรดาร์หาดใหญ่" ดีเลอร์โปรตอน 4 จังหวัดภาคใต้ตอนกลาง เผยยอดแค่ครึ่งเดือนแตะ 50คัน มั่นใจคนภาคใต้รู้จักแบร์นรถยนต์มาเลเซียดี เผยเปิดราคาเริ่มต้นที่ 399,000 บาท เตรียมส่งรถเปิดตัวบูธโรดโชว์ ตั้งเป้ายอดขาย 60คัน/เดือน
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นายกำพล เย็นใจชน ประธานกรรมการบริหารบริษัทเรดาร์มอเตอร์ จำกัด กล่าวว่าบริษัทฯได้รับการตั้งตั้งจาก บริษัทพระนครโอโตเซลส์ จำกัด ให้เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์โปรตรอน ในพื้นที่ 4 จังหวัดภาคใต้ตอนกลาง ประกอบด้วย สงขลา สตูล พัทลุง ตรัง โดยได้นำรถมาเปิดตัวที่โชว์รูมตั้งแต่วันที่ 22 ธ.ค.ที่ผ่านมา ปรากฏว่าถึงวันนี้ มียอดจองเข้ามาแล้วจำนวนมาก เฉพาะช่วงแกรนด์โอเพ่นนิ่ง ถึงวันที่ 5 มกราคม 2551 คาดว่าจะได้ประมาณ 50 คัน และตั้งเป้าว่าหลังจากนี้จะมียอดขายเดือนหนึ่งไม่ต่ำกว่า 60 คัน
สำหรับรถที่นำมาขายขณะนี้มีอยู่ 3 รุ่น คือ คือโปรตอรนเชฟวี่ เป็นระบบเกียร์ AMT ราคาเริ่มต้นที่ 399,000 บาท โปรตรอนนีโอสปอร์ตคอมแพค 3 ประตู ราคาเริ่มต้นที่ 499,000 บาท โปรตอนเจนทู คอมแพคคาร์ 5 ประตู ราคาเริ่มต้นที่ 549,000 บาท โดยรถทั้ง 3 รุ่นได้รับการพัฒนาเทคโนโลยีจากทีมวิศวกรรมยานยนต์ LOTUS ประเทศอังกฤษ นายกำพล กล่าวและว่า
ลูกค้าที่เข้ามาดูรถ มีทุกกลุ่มทั้งวัยทำงาน รวมทั้งครอบครัวทีมีฐานะ เพราะอยากจะซื้อให้ลูก ในแต่ละวันมีลูกค้าเข้ามาไม่ต่ำกว่า 30-40 คน มียอดจองเข้ามาทุกวันไม่ต่ำจากวันละ 3-5 คัน เพราะยี่ห้อโปรตรอนสำหรับคนภาคใต้นั้นรู้จักดีทั้งรูปแบบและสมถรรนะ เป็นที่ยอมรับ ซึ่งมาเลเซียมีการพัฒนาทางเทคโนโลยี่ไปมาก อีกทั้งคนมาเลเซียส่วนใหญ่ก็ใช้รถยนต์โปรตรอน
นายกำพล กล่าวอีกว่า สำหรับคนที่ตัดสินใจจะซื้อรถเก๋งโปรตรอน ก็เป็นอีกยี่ห้อหนึ่งที่เขาต้องหาข้อมูล ซึ่งลูกค้าที่ขึ้นมาโชว์รูมเป็นลูกค้าหลากหลาย เพราะเขาเห็นจากป้ายโฆษณา ส่วนหนึ่งก็ดูจากเว็บไซต์ และส่วนหนึ่งก็คือทราบข่าวจากมอเตอร์โชว์ ตอนนี้มีคนเข้ามาดูส่วนหนึ่งเข้ามาก็ตัดสินใจซื้อเลย อาจจะมาจากกระแสรถเล็ก หรืออีโก้คาร์ ที่กำลังมาแรง และโปรตรอน ราคาไม่แพง รวมทั้งมีความเชื่อมั่นในเรื่องของเทคโนโลยี และรูปแบบรถที่มีความทันสมัยมากขึ้น รวมทั้งอะไหล่นั้นก็ไม่เพียงราคาก็พอๆ กับรถญี่ปุ่นทั่วไป
" ในส่วนของศูนย์บริการทางบริษัทฯมีความพร้อมโดยมีทั้งหมด 6 ช่องซ่อม สามารถรับรถได้สูงสุดวันละ 20 คัน แต่หากได้รับการตอบรับดีอย่างนี้ อาจต้องขยายศูนย์บริการซ่อม ซึ่งมีพื้นที่มากพอในการรองรับ" นายกำพล กล่าวและว่า
สำหรับแผนการตลาดหลังจากนี้จะไปออกบูธโชว์ตามห้างต่างๆ และร่วมงานโชว์ต่างๆ และไปทุกจังหวัดที่ได้รับมอบหมาย โดยตั้งเป้าว่าปีนี้เราจะขยายสาขาในทุกจังหวัดทั้งสตูล พัทลุง ตรัง แต่ขอให้สงขลาลงตัวให้เรียบร้อยก่อน
" ในช่วงเปิดตัวเรามีแคมเปญเด็ดสำหรับลูกค้าคือดาวน์เรินต้นเพียง 5 % ผ่อนนานถึง 72 เดือน พร้อมของแถมฟิลม์กรองแสง พรมปูพื้น กรอบป้าย และฟรีค่าขนส่ง จนถึงวันเปิดเป็นทางการ" นายกำพลกล่าว.
http://www.bangkokbiznews.com/2008/01/0 ... sid=217336
4 มกราคม พ.ศ. 2551 12:23:00
"เรดาร์หาดใหญ่" ดีเลอร์โปรตอน 4 จังหวัดภาคใต้ตอนกลาง เผยยอดแค่ครึ่งเดือนแตะ 50คัน มั่นใจคนภาคใต้รู้จักแบร์นรถยนต์มาเลเซียดี เผยเปิดราคาเริ่มต้นที่ 399,000 บาท เตรียมส่งรถเปิดตัวบูธโรดโชว์ ตั้งเป้ายอดขาย 60คัน/เดือน
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นายกำพล เย็นใจชน ประธานกรรมการบริหารบริษัทเรดาร์มอเตอร์ จำกัด กล่าวว่าบริษัทฯได้รับการตั้งตั้งจาก บริษัทพระนครโอโตเซลส์ จำกัด ให้เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์โปรตรอน ในพื้นที่ 4 จังหวัดภาคใต้ตอนกลาง ประกอบด้วย สงขลา สตูล พัทลุง ตรัง โดยได้นำรถมาเปิดตัวที่โชว์รูมตั้งแต่วันที่ 22 ธ.ค.ที่ผ่านมา ปรากฏว่าถึงวันนี้ มียอดจองเข้ามาแล้วจำนวนมาก เฉพาะช่วงแกรนด์โอเพ่นนิ่ง ถึงวันที่ 5 มกราคม 2551 คาดว่าจะได้ประมาณ 50 คัน และตั้งเป้าว่าหลังจากนี้จะมียอดขายเดือนหนึ่งไม่ต่ำกว่า 60 คัน
สำหรับรถที่นำมาขายขณะนี้มีอยู่ 3 รุ่น คือ คือโปรตอรนเชฟวี่ เป็นระบบเกียร์ AMT ราคาเริ่มต้นที่ 399,000 บาท โปรตรอนนีโอสปอร์ตคอมแพค 3 ประตู ราคาเริ่มต้นที่ 499,000 บาท โปรตอนเจนทู คอมแพคคาร์ 5 ประตู ราคาเริ่มต้นที่ 549,000 บาท โดยรถทั้ง 3 รุ่นได้รับการพัฒนาเทคโนโลยีจากทีมวิศวกรรมยานยนต์ LOTUS ประเทศอังกฤษ นายกำพล กล่าวและว่า
ลูกค้าที่เข้ามาดูรถ มีทุกกลุ่มทั้งวัยทำงาน รวมทั้งครอบครัวทีมีฐานะ เพราะอยากจะซื้อให้ลูก ในแต่ละวันมีลูกค้าเข้ามาไม่ต่ำกว่า 30-40 คน มียอดจองเข้ามาทุกวันไม่ต่ำจากวันละ 3-5 คัน เพราะยี่ห้อโปรตรอนสำหรับคนภาคใต้นั้นรู้จักดีทั้งรูปแบบและสมถรรนะ เป็นที่ยอมรับ ซึ่งมาเลเซียมีการพัฒนาทางเทคโนโลยี่ไปมาก อีกทั้งคนมาเลเซียส่วนใหญ่ก็ใช้รถยนต์โปรตรอน
นายกำพล กล่าวอีกว่า สำหรับคนที่ตัดสินใจจะซื้อรถเก๋งโปรตรอน ก็เป็นอีกยี่ห้อหนึ่งที่เขาต้องหาข้อมูล ซึ่งลูกค้าที่ขึ้นมาโชว์รูมเป็นลูกค้าหลากหลาย เพราะเขาเห็นจากป้ายโฆษณา ส่วนหนึ่งก็ดูจากเว็บไซต์ และส่วนหนึ่งก็คือทราบข่าวจากมอเตอร์โชว์ ตอนนี้มีคนเข้ามาดูส่วนหนึ่งเข้ามาก็ตัดสินใจซื้อเลย อาจจะมาจากกระแสรถเล็ก หรืออีโก้คาร์ ที่กำลังมาแรง และโปรตรอน ราคาไม่แพง รวมทั้งมีความเชื่อมั่นในเรื่องของเทคโนโลยี และรูปแบบรถที่มีความทันสมัยมากขึ้น รวมทั้งอะไหล่นั้นก็ไม่เพียงราคาก็พอๆ กับรถญี่ปุ่นทั่วไป
" ในส่วนของศูนย์บริการทางบริษัทฯมีความพร้อมโดยมีทั้งหมด 6 ช่องซ่อม สามารถรับรถได้สูงสุดวันละ 20 คัน แต่หากได้รับการตอบรับดีอย่างนี้ อาจต้องขยายศูนย์บริการซ่อม ซึ่งมีพื้นที่มากพอในการรองรับ" นายกำพล กล่าวและว่า
สำหรับแผนการตลาดหลังจากนี้จะไปออกบูธโชว์ตามห้างต่างๆ และร่วมงานโชว์ต่างๆ และไปทุกจังหวัดที่ได้รับมอบหมาย โดยตั้งเป้าว่าปีนี้เราจะขยายสาขาในทุกจังหวัดทั้งสตูล พัทลุง ตรัง แต่ขอให้สงขลาลงตัวให้เรียบร้อยก่อน
" ในช่วงเปิดตัวเรามีแคมเปญเด็ดสำหรับลูกค้าคือดาวน์เรินต้นเพียง 5 % ผ่อนนานถึง 72 เดือน พร้อมของแถมฟิลม์กรองแสง พรมปูพื้น กรอบป้าย และฟรีค่าขนส่ง จนถึงวันเปิดเป็นทางการ" นายกำพลกล่าว.
http://www.bangkokbiznews.com/2008/01/0 ... sid=217336
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news07/01/08
โพสต์ที่ 122
โตโยต้าได้ฤกษ์ส่ง'อัลติส'ใหม่ลุยต้นก.พ.นี้ คาดราคาถูกกว่ารุ่นปัจจุบัน ใช้น้ำมันE20ได้
"โตโยต้า" ระเบิดศึกรถเก๋ง ส่ง "อัสติสใหม่" ลงตลาดต้นเดือน ก.พ นี้ จัดกิจกรรมพร้อมเปิดตัวที่โชว์รูมทั่วประเทศ คาดเคาะราคาถูกกว่าเดิมนิดหน่อย แม้จะได้ภาษีE 20 แต่อัดออปชั่นเพิ่มขึ้น
แหล่งข่าวจากตัวแทนจำหน่ายรถยนต์โตโยต้า เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ในวันที่ 1-3 กุมภาพันธ์นี้ ทางบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด (ทีเอ็มที) เตรียมเปิดตัวรถยนต์ อัลติสรุ่นใหม่ ออกสู่ตลาดอย่างเป็นทางการ โดยจะจัดงานเปิดตัวขึ้นที่โชว์รูมตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ และจะมีกิจกรรมพิเศษจัดขึ้นมากมาย เพื่อดึงลูกค้าเข้าสู่โชว์รูมพร้อมชมและทดสอบรถได้ที่ตัวแทนจำหน่ายทุกแห่ง
สำหรับรถยนต์อัลติสใหม่นี้ มีเครื่องยนต์ให้เลือกทั้งขนาด 1.6 ลิตร และ 1.8 ลิตร โดยรุ่น 1.6 ลิตรนั้น มี 3 แบบด้วยกัน คือ รุ่น J, รุ่น E และรุ่น G ส่วนเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร มีให้เลือก 2 แบบ คือ รุ่น E และรุ่น G
ซึ่งเครื่องยนต์ที่ติดตั้งในอัลติสใหม่นี้ สามารถใช้เชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ E 20 ได้ ซึ่งจะได้สิทธิพิเศษด้านภาษี ที่รัฐบาลมีมติลดภาษีสรรพสามิตให้กับรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงชนิดนี้เพิ่มอีก 5% จึงมีผลให้ราคาจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงชนิดนี้มีราคาถูกลงประมาณ 5% ดังนั้นจึงคาดว่าราคาจำหน่ายรถยนต์อัสติสใหม่นี้น่าจะถูกกว่าอัลติสรุ่นปัจจุบันเล็กน้อย
"สำหรับอัลติสใหม่ที่มีอุปกรณ์และออปชั่นเพิ่มเติมจากรุ่นปัจจุบันนั้น คิดว่าราคาจำหน่ายน่าจะใกล้เคียงกับรุ่นเดิม แม้ว่าจะได้สิทธิพิเศษทางด้านภาษีที่ถูกกว่า 5% ก็ตาม แต่ด้วยออปชั่นและอุปกรณ์ที่ใส่เข้าไปมากขึ้น น่าจะทำให้ราคาจำหน่ายใกล้เคียงกับรุ่นเดิมหรืออาจจะถูกกว่าเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ราคาจำหน่ายรถยนต์รุ่นนี้จะทราบอย่างเป็นทางการในวันเปิดตัวออกสู่สาธารณชน"
ส่วนแผนการเปิดตัวรถยนต์รุ่นนี้นั้น ในช่วงแรกทางทีเอ็มทีได้วางแผนงานที่จะเปิดตัวเฉพาะรุ่นเกียร์อัตโนมัติเท่านั้น ซึ่งจะมีครบทุกรุ่นและทุกเครื่องยนต์ และหลังจากนั้นประมาณ 6 เดือน จึงจะเริ่มเปิดตัวเกียร์ธรรมดาออกสู่ตลาด ส่วนรถรุ่นลิโมซึ่งเป็นรถกลุ่มแท็กซี่นั้น คาดว่าจะเปิดตัวในช่วงปลายปีนี้หรืออาจจะขยายไปถึงต้นปี 2552 ก็เป็นได้
"ทางทีเอ็มทีได้วางแผนงานที่จะเปิดตัวเฉพาะเกียร์อัตโนมัติออกสู่ตลาดก่อน หลังจากนั้นอีก 6 เดือนจึงจะเปิดตัวรุ่นเกียร์ธรรมดา ทั้งนี้เพื่อให้ลูกค้าที่ซื้ออัลติสใหม่ได้ภูมิใจกับการเป็นเจ้าของรถก่อน เพราะถ้าเกียร์ธรรมดาเปิดตัวสู่ตลาด อาจจะมีลูกค้าบางส่วนที่ซื้อไปเป็นรถแท็กซี่ก็เป็นได้ ดังนั้นทางทีเอ็มทีจึงได้วางแผนที่จะเปิดตัวเฉพาะเกียร์อัตโนมัติก่อน ส่วนรถรุ่นลิโมซึ่งเป็นกลุ่มแท็กซี่จริงๆ ทางทีเอ็มทีวางแผนงานที่จะเปิดตัวไว้ในช่วงปลายปีนี้ หรืออาจจะดึงออกไปถึงต้น ปี 2552 ก็ได้
สำหรับจุดเด่นของอัลติสใหม่นั้น นอกจากรูปลักษณ์ใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซึ่งมีความเป็นสปอร์ตมากขึ้นแล้ว อุปกรณ์และออปชั่นต่างๆ ยังมีการเปลี่ยนแปลงและใส่เข้ามาเพิ่มมากขึ้นด้วย โดยออปชั่นที่ใส่เพิ่มเข้ามาในทุกรุ่น คือ ดิสก์เบรก 4 ล้อ และเกียร์อัตโนมัติในรุ่น 1.6 ลิตร เป็นเกียร์ G-type ซึ่งมีความสวยงามและใช้ได้ง่ายขึ้น ส่วนรุ่น 1.8 ลิตรนั้น เกียร์อัตโนมัติเป็นระบบ seqential shift ซึ่งเพิ่มความเป็นสปอร์ตในการขับขี่มากยิ่งขึ้น
นอกจากนั้น ในรุ่น 1.8 G ยังมีออปชั่นที่แตกต่างจากรุ่นอื่นอีกหลายรายการ อาทิ ระบบไฟหน้าแบบ HID ซึ่งสามารถปรับตามการเลี้ยวของพวงมาลัยได้ พร้อมหน้าปัดไมล์แบบออปติคอล และยังมีเบาะนั่งไฟฟ้าสำหรับที่นั่งคนขับ ระบบวีเอสซีที่ใช้ในการทรงตัว และอื่นๆ อีกมากมาย
ในด้านของรูปลักษณ์อัลติสใหม่ถูกออกแบบให้มีความเป็นสปอร์ตมากขึ้น ขณะที่ยังไม่ทิ้งเรื่องความกว้างขวางสะดวกสบาย เพราะภายในห้องโดยสารยังมีพื้นที่เพิ่มมากขึ้น
ขณะที่พื้นห้องโดยสารที่นั่งตอนหลังเป็นแบบแบนราบ ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้โดยสารมากยิ่งขึ้น และในส่วนของพื้นที่เก็บสัมภาระที่กระโปรงหลังมีความกว้างขวางขึ้นเช่นกัน ช่วยเพิ่มพื้นที่ในการเก็บและบรรทุกสัมภาระได้มากขึ้นด้วย
"ทางทีเอ็มทีเตรียมจัดการเปิดตัวให้กับสื่อมวลชนในช่วงปลายเดือนมกราคมนี้ หลังจากนั้นจึงจะจัดงานเปิดตัวให้กับบุคคลทั่วไปที่โชว์รูมของตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ซึ่งคิดว่าลูกค้าน่าจะได้สัมผัสตัวจริงของรถได้ตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมเป็นต้นไป" แหล่งข่าวกล่าว
http://matichon.co.th/prachachat/news_d ... 82&catid=2
"โตโยต้า" ระเบิดศึกรถเก๋ง ส่ง "อัสติสใหม่" ลงตลาดต้นเดือน ก.พ นี้ จัดกิจกรรมพร้อมเปิดตัวที่โชว์รูมทั่วประเทศ คาดเคาะราคาถูกกว่าเดิมนิดหน่อย แม้จะได้ภาษีE 20 แต่อัดออปชั่นเพิ่มขึ้น
แหล่งข่าวจากตัวแทนจำหน่ายรถยนต์โตโยต้า เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ในวันที่ 1-3 กุมภาพันธ์นี้ ทางบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด (ทีเอ็มที) เตรียมเปิดตัวรถยนต์ อัลติสรุ่นใหม่ ออกสู่ตลาดอย่างเป็นทางการ โดยจะจัดงานเปิดตัวขึ้นที่โชว์รูมตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ และจะมีกิจกรรมพิเศษจัดขึ้นมากมาย เพื่อดึงลูกค้าเข้าสู่โชว์รูมพร้อมชมและทดสอบรถได้ที่ตัวแทนจำหน่ายทุกแห่ง
สำหรับรถยนต์อัลติสใหม่นี้ มีเครื่องยนต์ให้เลือกทั้งขนาด 1.6 ลิตร และ 1.8 ลิตร โดยรุ่น 1.6 ลิตรนั้น มี 3 แบบด้วยกัน คือ รุ่น J, รุ่น E และรุ่น G ส่วนเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร มีให้เลือก 2 แบบ คือ รุ่น E และรุ่น G
ซึ่งเครื่องยนต์ที่ติดตั้งในอัลติสใหม่นี้ สามารถใช้เชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ E 20 ได้ ซึ่งจะได้สิทธิพิเศษด้านภาษี ที่รัฐบาลมีมติลดภาษีสรรพสามิตให้กับรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงชนิดนี้เพิ่มอีก 5% จึงมีผลให้ราคาจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงชนิดนี้มีราคาถูกลงประมาณ 5% ดังนั้นจึงคาดว่าราคาจำหน่ายรถยนต์อัสติสใหม่นี้น่าจะถูกกว่าอัลติสรุ่นปัจจุบันเล็กน้อย
"สำหรับอัลติสใหม่ที่มีอุปกรณ์และออปชั่นเพิ่มเติมจากรุ่นปัจจุบันนั้น คิดว่าราคาจำหน่ายน่าจะใกล้เคียงกับรุ่นเดิม แม้ว่าจะได้สิทธิพิเศษทางด้านภาษีที่ถูกกว่า 5% ก็ตาม แต่ด้วยออปชั่นและอุปกรณ์ที่ใส่เข้าไปมากขึ้น น่าจะทำให้ราคาจำหน่ายใกล้เคียงกับรุ่นเดิมหรืออาจจะถูกกว่าเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ราคาจำหน่ายรถยนต์รุ่นนี้จะทราบอย่างเป็นทางการในวันเปิดตัวออกสู่สาธารณชน"
ส่วนแผนการเปิดตัวรถยนต์รุ่นนี้นั้น ในช่วงแรกทางทีเอ็มทีได้วางแผนงานที่จะเปิดตัวเฉพาะรุ่นเกียร์อัตโนมัติเท่านั้น ซึ่งจะมีครบทุกรุ่นและทุกเครื่องยนต์ และหลังจากนั้นประมาณ 6 เดือน จึงจะเริ่มเปิดตัวเกียร์ธรรมดาออกสู่ตลาด ส่วนรถรุ่นลิโมซึ่งเป็นรถกลุ่มแท็กซี่นั้น คาดว่าจะเปิดตัวในช่วงปลายปีนี้หรืออาจจะขยายไปถึงต้นปี 2552 ก็เป็นได้
"ทางทีเอ็มทีได้วางแผนงานที่จะเปิดตัวเฉพาะเกียร์อัตโนมัติออกสู่ตลาดก่อน หลังจากนั้นอีก 6 เดือนจึงจะเปิดตัวรุ่นเกียร์ธรรมดา ทั้งนี้เพื่อให้ลูกค้าที่ซื้ออัลติสใหม่ได้ภูมิใจกับการเป็นเจ้าของรถก่อน เพราะถ้าเกียร์ธรรมดาเปิดตัวสู่ตลาด อาจจะมีลูกค้าบางส่วนที่ซื้อไปเป็นรถแท็กซี่ก็เป็นได้ ดังนั้นทางทีเอ็มทีจึงได้วางแผนที่จะเปิดตัวเฉพาะเกียร์อัตโนมัติก่อน ส่วนรถรุ่นลิโมซึ่งเป็นกลุ่มแท็กซี่จริงๆ ทางทีเอ็มทีวางแผนงานที่จะเปิดตัวไว้ในช่วงปลายปีนี้ หรืออาจจะดึงออกไปถึงต้น ปี 2552 ก็ได้
สำหรับจุดเด่นของอัลติสใหม่นั้น นอกจากรูปลักษณ์ใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซึ่งมีความเป็นสปอร์ตมากขึ้นแล้ว อุปกรณ์และออปชั่นต่างๆ ยังมีการเปลี่ยนแปลงและใส่เข้ามาเพิ่มมากขึ้นด้วย โดยออปชั่นที่ใส่เพิ่มเข้ามาในทุกรุ่น คือ ดิสก์เบรก 4 ล้อ และเกียร์อัตโนมัติในรุ่น 1.6 ลิตร เป็นเกียร์ G-type ซึ่งมีความสวยงามและใช้ได้ง่ายขึ้น ส่วนรุ่น 1.8 ลิตรนั้น เกียร์อัตโนมัติเป็นระบบ seqential shift ซึ่งเพิ่มความเป็นสปอร์ตในการขับขี่มากยิ่งขึ้น
นอกจากนั้น ในรุ่น 1.8 G ยังมีออปชั่นที่แตกต่างจากรุ่นอื่นอีกหลายรายการ อาทิ ระบบไฟหน้าแบบ HID ซึ่งสามารถปรับตามการเลี้ยวของพวงมาลัยได้ พร้อมหน้าปัดไมล์แบบออปติคอล และยังมีเบาะนั่งไฟฟ้าสำหรับที่นั่งคนขับ ระบบวีเอสซีที่ใช้ในการทรงตัว และอื่นๆ อีกมากมาย
ในด้านของรูปลักษณ์อัลติสใหม่ถูกออกแบบให้มีความเป็นสปอร์ตมากขึ้น ขณะที่ยังไม่ทิ้งเรื่องความกว้างขวางสะดวกสบาย เพราะภายในห้องโดยสารยังมีพื้นที่เพิ่มมากขึ้น
ขณะที่พื้นห้องโดยสารที่นั่งตอนหลังเป็นแบบแบนราบ ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้โดยสารมากยิ่งขึ้น และในส่วนของพื้นที่เก็บสัมภาระที่กระโปรงหลังมีความกว้างขวางขึ้นเช่นกัน ช่วยเพิ่มพื้นที่ในการเก็บและบรรทุกสัมภาระได้มากขึ้นด้วย
"ทางทีเอ็มทีเตรียมจัดการเปิดตัวให้กับสื่อมวลชนในช่วงปลายเดือนมกราคมนี้ หลังจากนั้นจึงจะจัดงานเปิดตัวให้กับบุคคลทั่วไปที่โชว์รูมของตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ซึ่งคิดว่าลูกค้าน่าจะได้สัมผัสตัวจริงของรถได้ตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมเป็นต้นไป" แหล่งข่าวกล่าว
http://matichon.co.th/prachachat/news_d ... 82&catid=2
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news07/01/08
โพสต์ที่ 123
"วัลลภ เตียศิริ" ฟันธง "ปีนี้อัตราการมีรถจะต่ำกว่า 14 คนต่อคัน"
ในรอบปี 2550 ที่ผ่านมา ถือเป็นอีกหนึ่งปีสุดหินสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ที่ต้องเผชิญทั้งภาวะความไม่ชัดเจนทาง การเมืองและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะราคาพลังงานน้ำมันซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่มีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนทะลุบาร์เรลละ 100 ดอลลาร์ รวมถึงความคืบหน้าทั้งในเชิงนโยบายด้านพลังงานจากภาครัฐ และการสนับสนุน โครงการรถยนต์ประหยัดพลังงาน (อีโคคาร์) ที่เพิ่งมีความชัดเจนออกมาอย่างเป็นทางการ
"วัลลภ เตียศิริ" ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบุคคลที่คร่ำหวอดอยู่ในอุตสาหกรรมนี้ ได้เปิดเผยแนวคิดและทิศทางของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปี 2551 ไว้อย่างชัดเจน
- สรุปสถานการณ์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ในปีที่ผ่านมา
สำหรับสถานการณ์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ในปีที่ผ่านมานั้น ขณะนี้ยอดตัวเลขทั้งหมดยังไม่ได้สรุปออกมาอย่างเป็นทางการ แต่พอจะประเมินได้ว่ายอดการผลิตรถยนต์ทั้งหมดน่าจะอยู่ที่ 1,290,000 คัน มีอัตราการเติบโต 7.85% จากปี 2549 ที่มียอดการผลิตทั้งสิ้น 1,188,000 คัน
โดยการผลิตในปี 2550 จำนวน 1,290,000 คันนั้น แบ่งเป็นผลิตเพื่อส่งออกประมาณ 700,000 คัน ซึ่งไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด เพราะในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมายอดการส่งออกได้ทะลุเป้าหมายที่วางไว้ตั้งแต่ต้นปีจำนวน 625,000 คันแล้ว โดยยอดการส่งออกช่วง 11 เดือนของปี 2550 มีการส่งออกไปแล้วถึง 623,580 คัน ดังนั้นคาดว่าช่วงระยะเวลาที่เหลือยอดการส่งออกก็น่าจะเพิ่มเป็น 700,000 คันได้ ซึ่งก็ถือว่าเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้ว
ส่วนตลาดในประเทศนั้น ยอดจำหน่ายรถยนต์จนถึงเดือนพฤศจิกายน 2550 มีจำนวนทั้งสิ้น 556,000 คัน และถ้าเดือนธันวาคมขายได้ 80,000 คัน ยอดขายทั้งปีก็น่าจะเป็น 640,000 คัน ซึ่งก็น่าจะโอเคแม้ว่าจะมีปัจจัยสนับสนุนจากยอดการจำหน่ายในงานมหกรรมยานยนต์หรือ มอเตอร์เอ็กซ์โปที่ผ่านมาจะมียอดการซื้อและจองรถกว่า 17,000 คัน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตใหม่ สำหรับรถยนต์ที่สามารถใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี 20 ที่รัฐบาลให้การสนับสนุนและส่งเสริมทางด้านภาษีโดยเฉพาะ ทำให้รถยนต์มีราคาจำหน่ายถูกลง จึงเชื่อว่าในปี 2550 ยอดจำหน่ายรถยนต์ภายในประเทศจะอยู่ที่ 620,000-630,000 คัน ซึ่งในนั้นเป็น ยอดรถนำเข้าประมาณ 20,000-30,000 คันด้วย
ตลาดรถจักรยานยนต์ถือว่าอาการไม่ค่อยดีเท่าที่ควร ซึ่งน่าเป็นห่วงว่าในอนาคตเราจะมีการผลิตรถยนต์มากกว่ารถมอเตอร์ไซค์ โดยในปี 2550 คาดว่าจะมียอดการผลิตทั้งสิ้น 1,600,000 คัน ลดลงจากปีที่แล้วที่มีการผลิต 2,000,000 คัน โดยในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมามียอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ในประเทศอยู่ที่ 1,495,000 คัน หรือขายเดือนละประมาณ 120,000 คัน ดังนั้นคาดว่ายอดรวมทั้งปีน่าจะอยู่ที่ 1,550,000 คัน ลดลงจากปีที่แล้วที่มียอดขายถึง 1,800,000 คัน
ด้านตลาดส่งออกรถจักรยานยนต์นั้น ถือว่ามีอัตราการเติบโตค่อนข้างมาก โดยปริมาณการ ส่งออกช่วง 11 เดือนมียอดการส่งออกแล้ว 91,811 คัน จากปีที่แล้วมีการส่งออก 102,000 คัน ลดลงประมาณ 10,000 คัน แต่ยอดการ ส่งออกเป็นชิ้นส่วน CKD มีจำนวน 1,525,000 ชุด จากปีที่แล้ว 1,322,000 ชุด คิดเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้นจาก 35,000 ล้านบาท เป็น 38,000 ล้านบาท ถ้าคิดเป็นตัวเลขทั้งปีเราน่าจะส่งออกมอเตอร์ไซค์สำเร็จรูปได้ 100,000 คัน และชิ้นส่วน CKD อีก 1,650,000 ชุด เป็นมูลค่าเกิน 42,000 ล้าน
ส่วนการผลิตในช่วง 11 เดือน ทำตัวเลขได้ 1,950,000 คัน ดังนั้นทั้งปีน่าจะได้ 1,650,000 คัน ถือว่าหดตัวลงจากปีก่อนหน้านี้พอสมควร
- ประเมินสถานการณ์ในปีนี้
สำหรับแผนการผลิตรถจักรยานยนต์ในปีนี้ คาดว่าจะใกล้เคียงปีที่ผ่านมาคือ 1,600,000 คัน ส่วนตลาดส่งออกยังไม่ชัดเจนแต่ผมมองว่า CKD ก็จะยังมีการเติบโต เพราะในอินโดนีเซีย เวียดนาม และชิ้นส่วนหลักก็ส่งออกไปจากบ้านเราอยู่แล้วจึงน่าจะมีการเติบโตค่อนข้างมาก
ส่วนการผลิตรถยนต์นั้น น่าจะมีอัตราเติบโตสูงพอสมควร จากจำนวน 1,290,000 คัน มาเป็น 1,430,000 คันในปีนี้ คือ โตขึ้น 10% ซึ่งถือว่าโตในตลาดต่างประเทศเป็นหลัก โดยตลาดในประเทศคาดว่าจะอยู่ที่ 650,000 คัน แต่ส่งออกน่าจะขึ้นไปถึง 770,000 คัน ซึ่งโตขึ้นถึง 10% เหมือนปี 2550 ที่ผ่านมา ที่คาดว่าจะโต 10% แต่ผลออกมาคือโต 20% ผมมองว่าส่งออกเราน่าจะโตมากกว่า 10% แต่สำหรับตลาดในประเทศนั้นเป็นเรื่องของสภาวะเศรษฐกิจที่เราไม่รู้ว่าเผาจริงเผาหลอก มีตัวแปรอยู่เยอะทำให้ยังบอกไม่ได้สำหรับตัวเลขในประเทศ ถ้าถามตลาดรถเก๋งก็ถือว่ายังผูกอยู่กับตลาดหุ้นพอสมควร
- ปัจจัยอะไรที่ส่งผลกระทบกับตลาดรถยนต์ในประเทศ
ปัจจัยที่จะส่งผลกระทบมีหลายประการ ขณะนี้สังเกตว่าตลาดรถในบ้านเราชะลอตัว ต่อเนื่องมา 2-3 ปีแล้ว เรานิ่งอยู่ที่ตัวเลข 650,000 คันต่อปี โดยปีที่ผ่านมาบริษัทรถยนต์ก็เร่งทำยอดกันพอสมควร แม้จะเกิดอะไรขึ้นตัวเลขก็จะอยู่ที่ 600,000 กว่าคัน
แม้ว่าด้านกำลังการผลิตที่มีอยู่ค่ายรถจะมองเห็นโอกาสในตลาดส่งออกที่ยังมีการเติบโตได้ ก็หันไปเน้นด้านตลาดส่งออกกัน บวกกับการมีตลาดเกิดใหม่เพิ่มขึ้น และตลาดเก่าก็มีการเติบโตทำให้มีการเจาะตลาดส่งออกเพิ่มขึ้น ซึ่งตลาดใหม่ที่เติบโตและส่งผลให้ยอดส่งออกของเราเพิ่มขึ้นมากก็คือ ตลาดอเมริกาใต้ อเมริกากลาง และแอฟริกา
ด้านปัจจัยลบที่อาจจะส่งผลกระทบในอนาคต คือ 1.อัตราดอกเบี้ย ซับไพรม เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในอเมริกาได้ทยอยปรับขึ้นแล้วส่งผลให้ต้นทุนในการผลิตสูงขึ้นไปด้วย 2.อัตรา แลกเปลี่ยน ซึ่งเป็นผลดีสำหรับการนำเข้าชิ้นส่วน แต่อาจจะส่งผลกระทบกับผู้ที่ส่งออกเนื่องจากจะทำให้รายได้ลดลง
3.ปัญหาด้านพลังงาน หลังจากที่เราพยายามแก้ไขแต่วันนี้ราคาของพลังงานกับรายได้ของประชาชนยังมีส่วนต่างกัน ส่วนการหาพลังงานทดแทนที่ยังต้องรอดูว่าจะดำเนินการได้ผลเร็วมากน้อยแค่ไหน แม้ว่าราคาน้ำมันจะขยับขึ้นถึงบาร์เรลละ 100 ดอลลาร์ ผมก็ยังมองว่าราคาพลังงานของประเทศไทยวันนี้ไม่สอดคล้องกับรายได้ของประชากร
โดยแผนของอุตสาหกรรมยานยนต์ยังมีอีกขาหนึ่ง คือ ตลาดส่งออก ซึ่งเทรนด์มันไปได้ดีแต่ตลาดยุโรป ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ มันเริ่มใหญ่และคงขยายตัวมากไม่ได้อีกแล้ว แค่ 10% ก็ถือว่าเก่งแล้วเพราะฐานปีละแสนกว่าคัน บวกกับการมีตลาดใหม่ที่เราไปเจาะเพิ่ม จากเดิมขายเดือนละ 2,000 คัน มาเป็นเดือนละ 10,000 คัน ก็ถือว่ามีความน่าสนใจ ผมมองว่ารถโปรดักต์หลักของเรา คือ ปิกอัพ ซึ่งตลาดที่จะส่งออกไปน่าจะเป็นประเทศกสิกรรม เป็นประเทศที่เอารถไปใช้อย่างอเนกประสงค์ และรถเราเป็นรถดีเซลซึ่งถือว่ามีความประหยัด แม้จะมีเครื่องใหญ่ถ้าเทียบกับเบนซินก็ถือว่ามีประโยชน์กว่า
นอกจากนั้น เรายังมีโอกาสที่จะเจาะตลาดอะไหล่ ผมอยากเห็นภาพอุตสาหกรรมชิ้นส่วนจะตามเข้าไปในอเมริกาใต้ อเมริกากลาง แอฟริกาได้ เมื่อมีฐานของผลิตภัณฑ์เข้าไปแล้วอุตสาหกรรมอะไหล่ก็น่าจะเติบโตขึ้น ส่วนตลาดอื่นอย่างตะวันออกกลาง และเอเชียก็ถือว่าไปได้ค่อนข้างดี
- มองการลงทุนใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้
ปีนี้ถือเป็นอีกปีที่จะมีมูลค่าการลงทุนจำนวนมหาศาลสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะในภาคชิ้นส่วนยานยนต์ที่จะมีการลงทุนตามโครงการอีโคคาร์ โดยเฉพาะการลงทุนในไลน์การผลิตใหม่ๆ ซึ่งรวมถึงภายในระยะ 2-3 ปีนับจากนี้พอมีโปรเจ็กต์ใหม่อุตสาหกรรมชิ้นส่วนก็จะต้องลงทุนตาม ดังนั้นผู้ผลิตชิ้นส่วนก็จะต้องมีการลงทุนเพิ่ม ซึ่งน่าจะเริ่มได้เห็นในปีนี้ซึ่งจะมีทั้งการลงทุนในส่วนของการเตรียมชิ้นส่วน แม่พิมพ์ การจัดซื้อจัดหา ซึ่งจะเริ่มต้นจากบริษัทใหญ่ๆ ก่อน
- แผนการผลิตรถในโครงการอีโคคาร์
ตอนนี้มีค่ายรถ 7 รายที่แสดงความพร้อมเข้าร่วมโครงการนี้ แต่อีก 4 รายที่รอการอนุมัติจาก บีโอไอ ส่วน 3 รายที่ได้รับการส่งเสริมไปแล้วมันมีสัญญาณตัวหนึ่ง คำพูดที่บอกว่า ตลาดโลกไม่มี ความต้องการได้ถูกบางบริษัทได้วางแผนและคาดการณ์ไว้ เพราะที่แต่ละค่ายเสนอมานั้นกลายเป็นว่าเน้นตลาดส่งออกมากกว่าตลาดในประเทศหมด คิดเป็นสัดส่วนถึง 80/20
เพราะฉะนั้น เขาเห็นตลาด ผมมองว่ามันเป็นเรื่องของโลเกชั่นและเครือข่ายของแต่ละบริษัทยักษ์ทั้งหลาย วันนี้จะมีกี่รายก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะแต่ละคนต่างก็มีความชำนาญในแต่ละตลาดไม่เหมือนกัน เนื่องจากว่าทุกคนมีแต้มต่อ เพราะอันนี้คือแพ็กเกจพิเศษที่รัฐบาลให้จริงๆ
แล้วเชื่อว่าทุกคนจะทำตามเงื่อนไข และบีโอไอก็พร้อมที่จะให้การส่งเสริมอยู่แล้ว ตอนนี้ไม่ให้ต่อรองอะไรแล้ว เดิมทีมีการต่อรองอย่างโน่นอย่างนี้ แต่วันสุดท้ายเมื่อมีคนขออย่างนี้แสดงว่าเงื่อนไข สิทธิประโยนช์นี้เหมาะสม เพราะมีคนทำได้แล้วกับเงื่อนไขนี้ ผมว่าเมื่อมีคนโดดลงมาก็จบ เพียงแต่ว่าในอีก 7 ปีข้างหน้าต้องผลิตให้ได้ 100,000 คัน ผลิตภัณฑ์ที่ออกมาจะขายได้มากน้อยแค่ไหน เพราะทุกคนต้องเริ่มพัฒนากันใหม่ อยู่ที่ว่าใครจะพัฒนาได้ดีกว่ากัน ต่างคนต่างใช้ฝีมือ เราต้องการรถที่ประหยัด สะอาด ปลอดภัย นอกนั้นจะใช้เทคโนโลยีอะไรก็ได้
- โอกาสของรถเก๋งบีเซ็กเมนต์
คิดว่าในอนาคต "บีเซ็กเมนต์" ก็จะไปได้เพราะมันมีดีมานด์ ส่วน "เอเซ็กเมนต์" ก็โตขึ้นมาเพราะความที่มีฐานการผลิตเยอะและสามารถจะไปตีคนอื่นเขาได้ ชิ้นส่วนของเอเซ็กเมนต์ก็จะสามารถใช้กับบีเซ็กเมนต์บางตัวได้ ทำให้บีเซ็กเมนต์ของเราแข็งขึ้นเพราะมีแชร์เข้ามา และบีเซ็กเมนต์ก็จะไม่ไปไหนเพราะมีเอเซ็กเมนต์ที่เป็นฐานหลักมาช่วย
เพียงแค่ขอให้ค่ายรถเก๋งที่แข็งแรงเข้ามาทำจริงๆ หลังจากนั้นมันก็จะบานออกไปในรุ่นอื่น คือ ขอแค่รถเก๋งรุ่นแข็งๆ เข้ามาลงทุนในเมืองไทย แต่วันนี้เราทำไม่ได้เพราะจำนวนไม่มากพอ เราต้องการทำในเมืองไทยแล้วไปขายที่อื่นได้ด้วย แต่บีเซ็กเมนต์ทำในเมืองไทยแล้วขายที่อื่นไม่ได้ เพราะที่อื่นก็มีผลิตอยู่เต็มแล้ว
- สถานการณ์ตลาดหลังเริ่มใช้ อี 20
สำหรับรถเก๋งภาษี อี 20 ทำให้ราคาจำหน่ายลดลง แต่จำนวนจะเพิ่มขึ้นหรือไม่นั้นต้องรอดู เพราะโดยธรรมชาติเมื่อราคาลดลงยอดขายก็จะเพิ่มขึ้น แต่เราก็ต้องรอดูกันต่อไป เพราะวันนี้น้ำมัน อี 20 มันคงจะยังไม่ทันจะแพร่หลายมากนัก ปีนี้สมมติว่ารถยนต์ที่เปลี่ยนเป็น อี 20 ก็คงจะได้ประมาณ 200,000 คัน ปั๊มน้ำมันก็คงจะมีแต่อาจจะไม่ทั่วถึง ต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง
ส่วนตลาดปิกอัพนั้นจะมีอัตราการเติบโตในตลาดส่งออกเป็นหลัก ส่วนตลาดในประเทศนั้นน่าจะเสมอตัว เพราะปีนี้ตัวติดลบของตลาดจริงๆ อยู่ที่ปิกอัพ เพราะตัวเลขมันหายไป 20,000-30,000 หมื่นคัน เป็นผลเนื่องมาจากตัวเลขในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว และรุ่นที่โตมากๆ คือ ดับเบิลแค็บ
วันนี้รถยนต์ทั้งประเทศมี 6 ล้านคัน จากจำนวนคน 60 ล้านคน และ 2 ล้านคันอยู่ในกรุงเทพฯซึ่งมีประชากรอยู่ประมาณ 7 ล้านคน ส่วนที่เหลืออีก 50 ล้านคน ก็มีจำนวนรถยนต์ไม่ถึง 4 ล้านคัน
เพราะฉะนั้นอัตราครอบครองอยู่ที่ 14 คน ต่อ 1 คัน ดังนั้นถ้าการกระจายรายได้ให้กับคนในต่างจังหวัดได้ดีขึ้น ก็เชื่อว่าความต้องการมีรถจะเพิ่มขึ้น และเชื่อว่ารถอเนกประสงค์จะยังคงเป็นตัวเลือกอันดับแรกๆ แน่นอน
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0210
ในรอบปี 2550 ที่ผ่านมา ถือเป็นอีกหนึ่งปีสุดหินสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ที่ต้องเผชิญทั้งภาวะความไม่ชัดเจนทาง การเมืองและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะราคาพลังงานน้ำมันซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่มีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนทะลุบาร์เรลละ 100 ดอลลาร์ รวมถึงความคืบหน้าทั้งในเชิงนโยบายด้านพลังงานจากภาครัฐ และการสนับสนุน โครงการรถยนต์ประหยัดพลังงาน (อีโคคาร์) ที่เพิ่งมีความชัดเจนออกมาอย่างเป็นทางการ
"วัลลภ เตียศิริ" ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบุคคลที่คร่ำหวอดอยู่ในอุตสาหกรรมนี้ ได้เปิดเผยแนวคิดและทิศทางของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปี 2551 ไว้อย่างชัดเจน
- สรุปสถานการณ์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ในปีที่ผ่านมา
สำหรับสถานการณ์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ในปีที่ผ่านมานั้น ขณะนี้ยอดตัวเลขทั้งหมดยังไม่ได้สรุปออกมาอย่างเป็นทางการ แต่พอจะประเมินได้ว่ายอดการผลิตรถยนต์ทั้งหมดน่าจะอยู่ที่ 1,290,000 คัน มีอัตราการเติบโต 7.85% จากปี 2549 ที่มียอดการผลิตทั้งสิ้น 1,188,000 คัน
โดยการผลิตในปี 2550 จำนวน 1,290,000 คันนั้น แบ่งเป็นผลิตเพื่อส่งออกประมาณ 700,000 คัน ซึ่งไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด เพราะในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมายอดการส่งออกได้ทะลุเป้าหมายที่วางไว้ตั้งแต่ต้นปีจำนวน 625,000 คันแล้ว โดยยอดการส่งออกช่วง 11 เดือนของปี 2550 มีการส่งออกไปแล้วถึง 623,580 คัน ดังนั้นคาดว่าช่วงระยะเวลาที่เหลือยอดการส่งออกก็น่าจะเพิ่มเป็น 700,000 คันได้ ซึ่งก็ถือว่าเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้ว
ส่วนตลาดในประเทศนั้น ยอดจำหน่ายรถยนต์จนถึงเดือนพฤศจิกายน 2550 มีจำนวนทั้งสิ้น 556,000 คัน และถ้าเดือนธันวาคมขายได้ 80,000 คัน ยอดขายทั้งปีก็น่าจะเป็น 640,000 คัน ซึ่งก็น่าจะโอเคแม้ว่าจะมีปัจจัยสนับสนุนจากยอดการจำหน่ายในงานมหกรรมยานยนต์หรือ มอเตอร์เอ็กซ์โปที่ผ่านมาจะมียอดการซื้อและจองรถกว่า 17,000 คัน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตใหม่ สำหรับรถยนต์ที่สามารถใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี 20 ที่รัฐบาลให้การสนับสนุนและส่งเสริมทางด้านภาษีโดยเฉพาะ ทำให้รถยนต์มีราคาจำหน่ายถูกลง จึงเชื่อว่าในปี 2550 ยอดจำหน่ายรถยนต์ภายในประเทศจะอยู่ที่ 620,000-630,000 คัน ซึ่งในนั้นเป็น ยอดรถนำเข้าประมาณ 20,000-30,000 คันด้วย
ตลาดรถจักรยานยนต์ถือว่าอาการไม่ค่อยดีเท่าที่ควร ซึ่งน่าเป็นห่วงว่าในอนาคตเราจะมีการผลิตรถยนต์มากกว่ารถมอเตอร์ไซค์ โดยในปี 2550 คาดว่าจะมียอดการผลิตทั้งสิ้น 1,600,000 คัน ลดลงจากปีที่แล้วที่มีการผลิต 2,000,000 คัน โดยในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมามียอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ในประเทศอยู่ที่ 1,495,000 คัน หรือขายเดือนละประมาณ 120,000 คัน ดังนั้นคาดว่ายอดรวมทั้งปีน่าจะอยู่ที่ 1,550,000 คัน ลดลงจากปีที่แล้วที่มียอดขายถึง 1,800,000 คัน
ด้านตลาดส่งออกรถจักรยานยนต์นั้น ถือว่ามีอัตราการเติบโตค่อนข้างมาก โดยปริมาณการ ส่งออกช่วง 11 เดือนมียอดการส่งออกแล้ว 91,811 คัน จากปีที่แล้วมีการส่งออก 102,000 คัน ลดลงประมาณ 10,000 คัน แต่ยอดการ ส่งออกเป็นชิ้นส่วน CKD มีจำนวน 1,525,000 ชุด จากปีที่แล้ว 1,322,000 ชุด คิดเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้นจาก 35,000 ล้านบาท เป็น 38,000 ล้านบาท ถ้าคิดเป็นตัวเลขทั้งปีเราน่าจะส่งออกมอเตอร์ไซค์สำเร็จรูปได้ 100,000 คัน และชิ้นส่วน CKD อีก 1,650,000 ชุด เป็นมูลค่าเกิน 42,000 ล้าน
ส่วนการผลิตในช่วง 11 เดือน ทำตัวเลขได้ 1,950,000 คัน ดังนั้นทั้งปีน่าจะได้ 1,650,000 คัน ถือว่าหดตัวลงจากปีก่อนหน้านี้พอสมควร
- ประเมินสถานการณ์ในปีนี้
สำหรับแผนการผลิตรถจักรยานยนต์ในปีนี้ คาดว่าจะใกล้เคียงปีที่ผ่านมาคือ 1,600,000 คัน ส่วนตลาดส่งออกยังไม่ชัดเจนแต่ผมมองว่า CKD ก็จะยังมีการเติบโต เพราะในอินโดนีเซีย เวียดนาม และชิ้นส่วนหลักก็ส่งออกไปจากบ้านเราอยู่แล้วจึงน่าจะมีการเติบโตค่อนข้างมาก
ส่วนการผลิตรถยนต์นั้น น่าจะมีอัตราเติบโตสูงพอสมควร จากจำนวน 1,290,000 คัน มาเป็น 1,430,000 คันในปีนี้ คือ โตขึ้น 10% ซึ่งถือว่าโตในตลาดต่างประเทศเป็นหลัก โดยตลาดในประเทศคาดว่าจะอยู่ที่ 650,000 คัน แต่ส่งออกน่าจะขึ้นไปถึง 770,000 คัน ซึ่งโตขึ้นถึง 10% เหมือนปี 2550 ที่ผ่านมา ที่คาดว่าจะโต 10% แต่ผลออกมาคือโต 20% ผมมองว่าส่งออกเราน่าจะโตมากกว่า 10% แต่สำหรับตลาดในประเทศนั้นเป็นเรื่องของสภาวะเศรษฐกิจที่เราไม่รู้ว่าเผาจริงเผาหลอก มีตัวแปรอยู่เยอะทำให้ยังบอกไม่ได้สำหรับตัวเลขในประเทศ ถ้าถามตลาดรถเก๋งก็ถือว่ายังผูกอยู่กับตลาดหุ้นพอสมควร
- ปัจจัยอะไรที่ส่งผลกระทบกับตลาดรถยนต์ในประเทศ
ปัจจัยที่จะส่งผลกระทบมีหลายประการ ขณะนี้สังเกตว่าตลาดรถในบ้านเราชะลอตัว ต่อเนื่องมา 2-3 ปีแล้ว เรานิ่งอยู่ที่ตัวเลข 650,000 คันต่อปี โดยปีที่ผ่านมาบริษัทรถยนต์ก็เร่งทำยอดกันพอสมควร แม้จะเกิดอะไรขึ้นตัวเลขก็จะอยู่ที่ 600,000 กว่าคัน
แม้ว่าด้านกำลังการผลิตที่มีอยู่ค่ายรถจะมองเห็นโอกาสในตลาดส่งออกที่ยังมีการเติบโตได้ ก็หันไปเน้นด้านตลาดส่งออกกัน บวกกับการมีตลาดเกิดใหม่เพิ่มขึ้น และตลาดเก่าก็มีการเติบโตทำให้มีการเจาะตลาดส่งออกเพิ่มขึ้น ซึ่งตลาดใหม่ที่เติบโตและส่งผลให้ยอดส่งออกของเราเพิ่มขึ้นมากก็คือ ตลาดอเมริกาใต้ อเมริกากลาง และแอฟริกา
ด้านปัจจัยลบที่อาจจะส่งผลกระทบในอนาคต คือ 1.อัตราดอกเบี้ย ซับไพรม เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในอเมริกาได้ทยอยปรับขึ้นแล้วส่งผลให้ต้นทุนในการผลิตสูงขึ้นไปด้วย 2.อัตรา แลกเปลี่ยน ซึ่งเป็นผลดีสำหรับการนำเข้าชิ้นส่วน แต่อาจจะส่งผลกระทบกับผู้ที่ส่งออกเนื่องจากจะทำให้รายได้ลดลง
3.ปัญหาด้านพลังงาน หลังจากที่เราพยายามแก้ไขแต่วันนี้ราคาของพลังงานกับรายได้ของประชาชนยังมีส่วนต่างกัน ส่วนการหาพลังงานทดแทนที่ยังต้องรอดูว่าจะดำเนินการได้ผลเร็วมากน้อยแค่ไหน แม้ว่าราคาน้ำมันจะขยับขึ้นถึงบาร์เรลละ 100 ดอลลาร์ ผมก็ยังมองว่าราคาพลังงานของประเทศไทยวันนี้ไม่สอดคล้องกับรายได้ของประชากร
โดยแผนของอุตสาหกรรมยานยนต์ยังมีอีกขาหนึ่ง คือ ตลาดส่งออก ซึ่งเทรนด์มันไปได้ดีแต่ตลาดยุโรป ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ มันเริ่มใหญ่และคงขยายตัวมากไม่ได้อีกแล้ว แค่ 10% ก็ถือว่าเก่งแล้วเพราะฐานปีละแสนกว่าคัน บวกกับการมีตลาดใหม่ที่เราไปเจาะเพิ่ม จากเดิมขายเดือนละ 2,000 คัน มาเป็นเดือนละ 10,000 คัน ก็ถือว่ามีความน่าสนใจ ผมมองว่ารถโปรดักต์หลักของเรา คือ ปิกอัพ ซึ่งตลาดที่จะส่งออกไปน่าจะเป็นประเทศกสิกรรม เป็นประเทศที่เอารถไปใช้อย่างอเนกประสงค์ และรถเราเป็นรถดีเซลซึ่งถือว่ามีความประหยัด แม้จะมีเครื่องใหญ่ถ้าเทียบกับเบนซินก็ถือว่ามีประโยชน์กว่า
นอกจากนั้น เรายังมีโอกาสที่จะเจาะตลาดอะไหล่ ผมอยากเห็นภาพอุตสาหกรรมชิ้นส่วนจะตามเข้าไปในอเมริกาใต้ อเมริกากลาง แอฟริกาได้ เมื่อมีฐานของผลิตภัณฑ์เข้าไปแล้วอุตสาหกรรมอะไหล่ก็น่าจะเติบโตขึ้น ส่วนตลาดอื่นอย่างตะวันออกกลาง และเอเชียก็ถือว่าไปได้ค่อนข้างดี
- มองการลงทุนใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้
ปีนี้ถือเป็นอีกปีที่จะมีมูลค่าการลงทุนจำนวนมหาศาลสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะในภาคชิ้นส่วนยานยนต์ที่จะมีการลงทุนตามโครงการอีโคคาร์ โดยเฉพาะการลงทุนในไลน์การผลิตใหม่ๆ ซึ่งรวมถึงภายในระยะ 2-3 ปีนับจากนี้พอมีโปรเจ็กต์ใหม่อุตสาหกรรมชิ้นส่วนก็จะต้องลงทุนตาม ดังนั้นผู้ผลิตชิ้นส่วนก็จะต้องมีการลงทุนเพิ่ม ซึ่งน่าจะเริ่มได้เห็นในปีนี้ซึ่งจะมีทั้งการลงทุนในส่วนของการเตรียมชิ้นส่วน แม่พิมพ์ การจัดซื้อจัดหา ซึ่งจะเริ่มต้นจากบริษัทใหญ่ๆ ก่อน
- แผนการผลิตรถในโครงการอีโคคาร์
ตอนนี้มีค่ายรถ 7 รายที่แสดงความพร้อมเข้าร่วมโครงการนี้ แต่อีก 4 รายที่รอการอนุมัติจาก บีโอไอ ส่วน 3 รายที่ได้รับการส่งเสริมไปแล้วมันมีสัญญาณตัวหนึ่ง คำพูดที่บอกว่า ตลาดโลกไม่มี ความต้องการได้ถูกบางบริษัทได้วางแผนและคาดการณ์ไว้ เพราะที่แต่ละค่ายเสนอมานั้นกลายเป็นว่าเน้นตลาดส่งออกมากกว่าตลาดในประเทศหมด คิดเป็นสัดส่วนถึง 80/20
เพราะฉะนั้น เขาเห็นตลาด ผมมองว่ามันเป็นเรื่องของโลเกชั่นและเครือข่ายของแต่ละบริษัทยักษ์ทั้งหลาย วันนี้จะมีกี่รายก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะแต่ละคนต่างก็มีความชำนาญในแต่ละตลาดไม่เหมือนกัน เนื่องจากว่าทุกคนมีแต้มต่อ เพราะอันนี้คือแพ็กเกจพิเศษที่รัฐบาลให้จริงๆ
แล้วเชื่อว่าทุกคนจะทำตามเงื่อนไข และบีโอไอก็พร้อมที่จะให้การส่งเสริมอยู่แล้ว ตอนนี้ไม่ให้ต่อรองอะไรแล้ว เดิมทีมีการต่อรองอย่างโน่นอย่างนี้ แต่วันสุดท้ายเมื่อมีคนขออย่างนี้แสดงว่าเงื่อนไข สิทธิประโยนช์นี้เหมาะสม เพราะมีคนทำได้แล้วกับเงื่อนไขนี้ ผมว่าเมื่อมีคนโดดลงมาก็จบ เพียงแต่ว่าในอีก 7 ปีข้างหน้าต้องผลิตให้ได้ 100,000 คัน ผลิตภัณฑ์ที่ออกมาจะขายได้มากน้อยแค่ไหน เพราะทุกคนต้องเริ่มพัฒนากันใหม่ อยู่ที่ว่าใครจะพัฒนาได้ดีกว่ากัน ต่างคนต่างใช้ฝีมือ เราต้องการรถที่ประหยัด สะอาด ปลอดภัย นอกนั้นจะใช้เทคโนโลยีอะไรก็ได้
- โอกาสของรถเก๋งบีเซ็กเมนต์
คิดว่าในอนาคต "บีเซ็กเมนต์" ก็จะไปได้เพราะมันมีดีมานด์ ส่วน "เอเซ็กเมนต์" ก็โตขึ้นมาเพราะความที่มีฐานการผลิตเยอะและสามารถจะไปตีคนอื่นเขาได้ ชิ้นส่วนของเอเซ็กเมนต์ก็จะสามารถใช้กับบีเซ็กเมนต์บางตัวได้ ทำให้บีเซ็กเมนต์ของเราแข็งขึ้นเพราะมีแชร์เข้ามา และบีเซ็กเมนต์ก็จะไม่ไปไหนเพราะมีเอเซ็กเมนต์ที่เป็นฐานหลักมาช่วย
เพียงแค่ขอให้ค่ายรถเก๋งที่แข็งแรงเข้ามาทำจริงๆ หลังจากนั้นมันก็จะบานออกไปในรุ่นอื่น คือ ขอแค่รถเก๋งรุ่นแข็งๆ เข้ามาลงทุนในเมืองไทย แต่วันนี้เราทำไม่ได้เพราะจำนวนไม่มากพอ เราต้องการทำในเมืองไทยแล้วไปขายที่อื่นได้ด้วย แต่บีเซ็กเมนต์ทำในเมืองไทยแล้วขายที่อื่นไม่ได้ เพราะที่อื่นก็มีผลิตอยู่เต็มแล้ว
- สถานการณ์ตลาดหลังเริ่มใช้ อี 20
สำหรับรถเก๋งภาษี อี 20 ทำให้ราคาจำหน่ายลดลง แต่จำนวนจะเพิ่มขึ้นหรือไม่นั้นต้องรอดู เพราะโดยธรรมชาติเมื่อราคาลดลงยอดขายก็จะเพิ่มขึ้น แต่เราก็ต้องรอดูกันต่อไป เพราะวันนี้น้ำมัน อี 20 มันคงจะยังไม่ทันจะแพร่หลายมากนัก ปีนี้สมมติว่ารถยนต์ที่เปลี่ยนเป็น อี 20 ก็คงจะได้ประมาณ 200,000 คัน ปั๊มน้ำมันก็คงจะมีแต่อาจจะไม่ทั่วถึง ต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง
ส่วนตลาดปิกอัพนั้นจะมีอัตราการเติบโตในตลาดส่งออกเป็นหลัก ส่วนตลาดในประเทศนั้นน่าจะเสมอตัว เพราะปีนี้ตัวติดลบของตลาดจริงๆ อยู่ที่ปิกอัพ เพราะตัวเลขมันหายไป 20,000-30,000 หมื่นคัน เป็นผลเนื่องมาจากตัวเลขในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว และรุ่นที่โตมากๆ คือ ดับเบิลแค็บ
วันนี้รถยนต์ทั้งประเทศมี 6 ล้านคัน จากจำนวนคน 60 ล้านคน และ 2 ล้านคันอยู่ในกรุงเทพฯซึ่งมีประชากรอยู่ประมาณ 7 ล้านคน ส่วนที่เหลืออีก 50 ล้านคน ก็มีจำนวนรถยนต์ไม่ถึง 4 ล้านคัน
เพราะฉะนั้นอัตราครอบครองอยู่ที่ 14 คน ต่อ 1 คัน ดังนั้นถ้าการกระจายรายได้ให้กับคนในต่างจังหวัดได้ดีขึ้น ก็เชื่อว่าความต้องการมีรถจะเพิ่มขึ้น และเชื่อว่ารถอเนกประสงค์จะยังคงเป็นตัวเลือกอันดับแรกๆ แน่นอน
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0210
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news07/01/08
โพสต์ที่ 124
สซิ่งกสิกรไทยคาดตลาดรถปีนี้โตร้อยละ 4-9นายอิสระ วงศ์รุ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย กล่าวถึงภาพรวมของตลาดรถยนต์และตลาดเช่าซื้อในปีนี้ โดยคาดว่า ยอดขายรถยนต์ทั้งระบบปีนี้จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 4-9 เพราะปีนี้ถือเป็นปีที่จะครบรอบการเปลี่ยนรถ หลังจาก 4-5 ปีก่อนหน้า เป็นช่วงขาขึ้นของยอดขายรถยนต์ นอกจากนี้ บริษัทรถยนต์จะนำรถยนต์ E 20 ออกมาขาย และมีรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล หรืออีโคคาร์ ออกมาขาย ซึ่งจะเป็นตัวกระตุ้นตลาดรถยนต์ปีนี้ให้เติบโตได้ และจะส่งผลมายังตลาดเช่าซื้อ ซึ่งปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายปล่อยสินเชื่อใหม่เพิ่มขึ้น 43,200 ล้านบาท แบ่งเป็นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ 29,700 ล้านบาท สินเชื่อผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ 13,500 ล้านบาท จะทำให้ยอดสินเชื่อคงค้างสิ้นปีอยู่ที่ 46,200 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับปี 2550 มียอดปล่อยสินเชื่อใหม่ทั้งสิ้น 22,600 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 25,000 ล้านบาท ประมาณร้อยละ 10 เนื่องจากตลาดเช่าซื้อไม่ดีนัก และยอดขายรถยนต์ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
http://www.thannews.th.com/view_newstod ... d=51000236
http://www.thannews.th.com/view_newstod ... d=51000236
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news09/01/08
โพสต์ที่ 125
สหฯเผยมอเตอร์ไซค์มือสองความต้องการสูง เร่งเปิดประมูลเดือนละ5พันคัน
9 มกราคม พ.ศ. 2551 12:10:00
สหการประมูลเผยตลาดรถจักรยานยนต์มือสองยังมีความต้องการซื้อสูง ชี้พฤติกรรมลูกค้าต้องการประหยัดและเลือกซื้อรถยอดนิยม เดินหน้ารุกตลาดทั้งกทม.และต่างจังหวัด งัดกลยุทธ์ราคาโดนใจดึงลูกค้าร่วมประมูลซื้อเดือนละ 5 พันคัน
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นางสาวเสาวลักษณ์ ชัยเดชสุริยะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหการประมูล จำกัด เปิดเผยถึงแนวโน้มของตลาดรถจักรยานยนต์มือสองว่า น่าจะมีทิศทางการเติบโตได้ดีตลอดปีนี้ เนื่องจากความต้องการซื้อยังมีอย่างต่อเนื่อง เพราะการประมูลทุกครั้งทั้งในกทม.และต่างจังหวัด สามารถวัดผลการขายได้เกือบ 100%
ในขณะที่จำนวนรถจักรยานยนต์มือสองที่ส่วนใหญ่เป็นรถยึดจากไฟแนนซ์ต่าง ๆ นั้นได้ทะยอยเข้าสู่กระบวนการขายทอดตลาดมากยิ่งขึ้น ทำให้เดือนมกราคม 2551 นี้ต้องการมีการประมูลขายถึง 22 รอบด้วยกัน
แม้ว่าซัพพลายจะเพิ่มขึ้นมากเท่าใดก็ตาม เชื่อสินค้าไม่น่าจะล้นตลาดแต่อย่างใด เนื่องจากการเก็บข้อมูลจากลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ใช้รถจักรยานยนต์ พบว่ามีพฤติกรรมการซื้อที่ประหยัดยิ่งขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ระบุว่าที่ตัดสินใจเลือกซื้อรถมือสองจากการประมูล เพราะราคานั้นถูกกว่ารถใหม่เกือบ 50% ในขณะที่สภาพรถนั้นใกล้เคียงกับรถใหม่ทำให้ประหยัดได้มากขึ้น"
โดยสินค้าที่ขายดีนั้นส่วนใหญ่รถยอดนิยม เช่น ฮอนด้า wave100, ยามาฮ่า fino นางสาวเสาวลักษณ์ให้ความเห็นและกล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อเรารู้จักและเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าเป็นอย่างดี สิ่งที่จะต้องทำต่อไปก็คือวางแผนการตลาดเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า ด้วยการใช้กลยุทธ์ด้านราคาขายที่ถูกกว่าท้องตลาด ซึ่งที่ผ่านมาได้ผลเป็นอย่างดีและเชื่อว่าปัจจัยด้านราคาจะช่วยกระตุ้นให้ตลาดรถจักรยายนต์มือสองมีแนวโน้มที่ดี โดยตั้งเป้ายอดขายในแต่ละเดือนไม่ต่ำกว่า 5,000 คัน
กรรมการผู้จัดการบริษัท สหการประมูล จำกัด เปิดเผยเพิ่มเติมว่า นอกจากการประมูลในวันเสาร์และอาทิตย์ ทั้งที่สำนักงานใหญ่และสาขารังสิต-คลอง 8 แล้ว บริษัทฯ ยังจัดให้มีการประมูลขายรถมอเตอร์ไซค์มือสองรอบพิเศษในวันอังคารและวันพฤหัสบดี รวมทั้งการประมูลต่างจังหวัดที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น ในเดือนมกราคมนี้ได้จัดประมูลที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีในวันที่ 16, จังหวัดพิษณุโลกในวันที่ 23, พัทยาใต้วันที่ 25, จังหวัดนครราชสีมา ในวันที่ 28 และจังหวัดเชียงใหม่ในวันที่ 30
http://www.bangkokbiznews.com/2008/01/0 ... sid=218495
9 มกราคม พ.ศ. 2551 12:10:00
สหการประมูลเผยตลาดรถจักรยานยนต์มือสองยังมีความต้องการซื้อสูง ชี้พฤติกรรมลูกค้าต้องการประหยัดและเลือกซื้อรถยอดนิยม เดินหน้ารุกตลาดทั้งกทม.และต่างจังหวัด งัดกลยุทธ์ราคาโดนใจดึงลูกค้าร่วมประมูลซื้อเดือนละ 5 พันคัน
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นางสาวเสาวลักษณ์ ชัยเดชสุริยะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหการประมูล จำกัด เปิดเผยถึงแนวโน้มของตลาดรถจักรยานยนต์มือสองว่า น่าจะมีทิศทางการเติบโตได้ดีตลอดปีนี้ เนื่องจากความต้องการซื้อยังมีอย่างต่อเนื่อง เพราะการประมูลทุกครั้งทั้งในกทม.และต่างจังหวัด สามารถวัดผลการขายได้เกือบ 100%
ในขณะที่จำนวนรถจักรยานยนต์มือสองที่ส่วนใหญ่เป็นรถยึดจากไฟแนนซ์ต่าง ๆ นั้นได้ทะยอยเข้าสู่กระบวนการขายทอดตลาดมากยิ่งขึ้น ทำให้เดือนมกราคม 2551 นี้ต้องการมีการประมูลขายถึง 22 รอบด้วยกัน
แม้ว่าซัพพลายจะเพิ่มขึ้นมากเท่าใดก็ตาม เชื่อสินค้าไม่น่าจะล้นตลาดแต่อย่างใด เนื่องจากการเก็บข้อมูลจากลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ใช้รถจักรยานยนต์ พบว่ามีพฤติกรรมการซื้อที่ประหยัดยิ่งขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ระบุว่าที่ตัดสินใจเลือกซื้อรถมือสองจากการประมูล เพราะราคานั้นถูกกว่ารถใหม่เกือบ 50% ในขณะที่สภาพรถนั้นใกล้เคียงกับรถใหม่ทำให้ประหยัดได้มากขึ้น"
โดยสินค้าที่ขายดีนั้นส่วนใหญ่รถยอดนิยม เช่น ฮอนด้า wave100, ยามาฮ่า fino นางสาวเสาวลักษณ์ให้ความเห็นและกล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อเรารู้จักและเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าเป็นอย่างดี สิ่งที่จะต้องทำต่อไปก็คือวางแผนการตลาดเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า ด้วยการใช้กลยุทธ์ด้านราคาขายที่ถูกกว่าท้องตลาด ซึ่งที่ผ่านมาได้ผลเป็นอย่างดีและเชื่อว่าปัจจัยด้านราคาจะช่วยกระตุ้นให้ตลาดรถจักรยายนต์มือสองมีแนวโน้มที่ดี โดยตั้งเป้ายอดขายในแต่ละเดือนไม่ต่ำกว่า 5,000 คัน
กรรมการผู้จัดการบริษัท สหการประมูล จำกัด เปิดเผยเพิ่มเติมว่า นอกจากการประมูลในวันเสาร์และอาทิตย์ ทั้งที่สำนักงานใหญ่และสาขารังสิต-คลอง 8 แล้ว บริษัทฯ ยังจัดให้มีการประมูลขายรถมอเตอร์ไซค์มือสองรอบพิเศษในวันอังคารและวันพฤหัสบดี รวมทั้งการประมูลต่างจังหวัดที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น ในเดือนมกราคมนี้ได้จัดประมูลที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีในวันที่ 16, จังหวัดพิษณุโลกในวันที่ 23, พัทยาใต้วันที่ 25, จังหวัดนครราชสีมา ในวันที่ 28 และจังหวัดเชียงใหม่ในวันที่ 30
http://www.bangkokbiznews.com/2008/01/0 ... sid=218495
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news11/01/08
โพสต์ที่ 126
ปี 50 เงินลงทุนต่างชาติเพิ่ม 62% "บริการ-ยานยนต์" ยอดฮิตตัวเลขพุ่ง 3.4 แสนล้าน
"BOI" โชว์ตัวเลขปี 50 ต่างชาติแห่ขยายลงทุนในไทยเพิ่มกว่า 62% "อุตสาหกรรมบริการ-ยานยนต์" นำโด่ง มูลค่ากว่า 3.4 แสนล้าน
บาท หลังต่างชาติมั่นใจพื้นฐานเศรษฐกิจส่วนทุนเยอรมันทะลักกว่า 2,800% (ข่าวหุ้น)
http://www.thunhoon.com/home/
"BOI" โชว์ตัวเลขปี 50 ต่างชาติแห่ขยายลงทุนในไทยเพิ่มกว่า 62% "อุตสาหกรรมบริการ-ยานยนต์" นำโด่ง มูลค่ากว่า 3.4 แสนล้าน
บาท หลังต่างชาติมั่นใจพื้นฐานเศรษฐกิจส่วนทุนเยอรมันทะลักกว่า 2,800% (ข่าวหุ้น)
http://www.thunhoon.com/home/
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news11/01/08
โพสต์ที่ 127
7 ค่ายรถได้ฤกษ์ลุยอีโคคาร์ 1ต.ค.ทะลักตลาด 1 ล้านคัน [ ฉบับที่ 861 ประจำวันที่ 12-1-2008 ถึง 15-1-2008]
เคาะโปรเจกต์อีโคคาร์ 7 ค่ายรถ ฮอนด้า นิสสัน ซูซูกิ โตโยต้า มิตซูบิชิ โฟล์คฯ และทาทา ลงสนามรบเก๋งเบนซิน 1300 ซีซี ดีเซล 1400 ซีซี พร้อมขาย 1 ตุลาคม 52 ยอดผลิตรวม 1 ล้านคัน ส.ยานยนต์ทุ่ม 138 ล้านบาท พัฒนาศูนย์ทดสอบ 2 พันไร่รองรับรถป้ายแดง 2.6 ล้านคันในปี 59
อีโคคาร์หรือรถประหยัดพลังงานที่ใช้เวลาถึง 5 ปีนับตั้งแต่ปี 2546 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2550 ในการแจ้งเกิดโครงการ ภายใต้คำจำกัดความว่า รถยนต์นั่งขนาดเล็กเครื่องยนต์เบนซินความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1300 ซีซี.และเครื่องยนต์ดีเซล ความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1400 ซีซี.ไม่จำกัดแรงม้า ซึ่งมีค่ายรถเข้าร่วมโครงการขอรับการส่งเสริมจากบีโอไอรวมทั้งสิ้น 7 บริษัทและมีความชัดเจนแล้วว่าในสิ้นเดือนมกราคม 2551 นี้ทั้ง 7 บริษัทจะผ่านการอนุมัติให้ดำเนินโครงการตามแผนการลงทุนที่ยื่นเสนอต่อบีโอไอหรือสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนก่อนที่รัฐบาลชุดใหม่จะเข้าบริหารประเทศ
โดยบริษัทรถยนต์ที่ยื่นโครงการขอรับส่งเสริมการลงทุนกับบีโอไอในวันสุดท้ายของการปิดรับสมัครคือ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2550 นั้นมี 4 บริษัทคือ โตโยต้า, มิตซูบิชิ,โฟล์คสวาเกนและทาทา มอเตอร์ จากอินเดีย ซึ่งทั้ง 4 บริษัทจะได้รับการพิจารณาอนุมัติโครงการภายในสัปดาห์สุดท้ายก่อนสิ้นเดือนมกราคม 2551 นี้
นายวัลลภ เตียศิริ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ เปิดเผยบทสรุปโครงการอีโคคาร์กับ ็ สยามธุรกิจิ ว่า สำหรับ 4 บริษัทรถยนต์ที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนและคาดว่าจะผ่านการอนุมัติจากบีโอไอทั้งหมดนั้น
1. บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัดเงินลงทุน 4,640 ล้านบาท กำลังการผลิต 100,000 คันในปีที่ 5 โรงงานตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ซิตี้ ผลิตขายในประเทศ 50 % ส่งออก 50 %
2.บริษัทมิตซูบิชิ มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เงินลงทุน 4,700 ล้านบาท กำลังการผลิต 100,000 ในปีที่ 5 โรงงานตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง ผลิตขายในประเทศ 10 % ส่งออก 90 %
3. บริษัท ทาทา มอเตอร์ เงินลงทุน 7,300 ล้านบาท กำลังการผลิต 100,000 ในปีที่ 5 ที่ตั้งโรงงานยังไม่สามารถเปิดเผยได้และ 4. บริษัท โฟล์คสวาเกน เงินลงทุน 27,000 ล้านบาท ที่ตั้งโรงงานยังไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่อย่างไรก็ตามจะต้องผลิตให้ได้ 100,000 คันในปีที่ 5
ทั้งนี้มูลค่าการลงทุนของ 4 บริษัท รวม 43,640 ล้านบาทซึ่งจะผ่านการอนุมัติในการประชุมของบอร์ดบีโอไอในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมกราคม 2551 นี้และเมื่อรวมกับ 3 บริษัทที่ผ่านการอนุมัติโครงการไปแล้วในปี 2550 คือ ซูซูกิ มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น 9,500 ล้านบาท ,ฮอนด้า ออโตโมบิล(ประเทศไทย) 6,700 ล้านบาทและสยามนิสสัน ออโตโมบิล 5,550 ล้านบาท รวมมูลค่าการลงทุนทั้ง 7 บริษัทมีมูลค่าทั้งสิ้น 65,390 ล้านบาทโดยทั้งหมดนี้ยังไม่รวมการลงทุนของบริษัทชิ้นส่วนและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะส่งป้อนโครงการนี้(อ่านรายละเอียดโครงการที่ผ่านการอนุมัติแล้ว หน้า 34 )
นายวัลลภ กล่าวอีกว่าเมื่อโครงการอีโคคาร์เดินสายการผลิตเต็มกำลังตามแผนที่กำหนดคาดว่าในปี 2559หรือนับจากนี้อีก 9 ปี ประเทศไทยจะมีการผลิตรถยนต์ทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่า 2.6 ล้านคันจากในปี 2550 ที่ผลิตได้แล้ว 1.6 ล้านคัน ซึ่งเฉพาะโครงการอีโคคาร์จะมีกำลังการผลิตไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคัน โดยเป็นการผลิตเพื่อส่งออก 70 %
ดังนั้นในส่วนของสถาบันยานยนต์จะต้องเร่งดำเนินการสร้างโครงข่ายพื้นฐานเพื่อรับโครงการอีโคคาร์ โดยขณะนี้สถาบันยานยนต์ได้งบประมาณมาแล้ว 38 ล้านบาท เพื่อพัฒนาศูนย์ทดสอบยานยนต์ โดย 1.จัดซื้อเครื่องมือสำหรับทดสอบ 2.ขยายศูนย์เพิ่มจากที่มีอยู่ในปัจจุบัน ด้วยการเสริมในเรื่องของระบบความปลอดภัยเป็นหลัก 3. เครื่องมือในการตรวจวัดมลพิษของเครื่องยนต์ยูโร 4 และสุดท้ายคือ การพัฒนาช่างและบุคคลในบริษัทชิ้นส่วนต่าง ๆ อีกไม่ต่ำกว่า 100 โรงงาน ซึ่งได้เริ่มทำไปแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคม 2550 และในปีงบประมาณ 2551 นี้สถาบันฯจะของบอีก 100 ล้านบาทเพื่อขยายศูนย์ทดสอบเพิ่มในพื้นที่ 2 พันไร่ที่จังหวัดสมุทรปราการ
ด้านนายสาธิต ชาญเชาวน์กุล เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)ได้เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บอร์ดบีโอไอ) โดยมีนายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฏ์ รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานว่า
รถยนต์นั่งขนาดเล็กประหยัดพลังงาน หรืออีโคคาร์ กำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตอยู่ที่ 17% นับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2552 เป็นต้นไป โดยมีเงื่อนไขจะต้องมีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 1300 ลูกบาศก์เซนติเมตร (ซีซี) สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน และความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1400 ซีซี สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล โดยไม่จำกัดกำลังเครื่องยนต์
ส่วนอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงต้องไม่เกิน 5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร หรือ 20 กิโลเมตรต่อลิตร มาตรฐานมลพิษอยู่ในระดับ EURO 4 ตามที่สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) กระทรวงอุตสาหกรรม ประกาศกำหนด และปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่ปล่อยจากท่อไอเสียไม่เกิน 120 กรัมต่อกิโลเมตร และกำลังการผลิตปีละ 1 แสนคันในปีที่ 5
ทั้งนี้สาเหตุที่ต้องกำหนดขนาดเครื่องยนต์ เพราะอีโคคาร์จะต้องไม่ทับซ้อนกับรถยนต์นั่งที่มีอยู่แล้ว และอัตราภาษีสรรพสามิตร 17% อยู่ในระดับไม่ต่ำจนเกินไปที่จะส่งผลต่อรถที่มีขนาดใกล้เคียงกัน
และทั้ง 7 บริษัทที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์ดังนี้ประกอบด้วย
1. ยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักรทุกเขต
2. ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลทุกเขตเป็นระยะเวลาไม่เกิน 8 ปี แต่ต้องไม่เกินมูลค่าการลงทุนของโครงการ(ไม่รวมค่าที่ดินและเงินทุนหมุนเวียน) โดยทั้งหมดนี้จะต้องเป็นไปตามแผนการลงทุนที่บีโอไอกำหนดไว้คือ
1.ผู้ขอรับส่งเสริมจะต้องเสนอการลงทุนเป็นโครงการรวม (package) ทั้งโครงการประกอบรถยนต์ การผลิตเครื่องยนต์ และการผลิตหรือจัดหาชิ้นส่วนยานยนต์
2.ขนาดการลงทุนของโครงการรวม ทั้งการประกอบรถยนต์และการผลิตชิ้นส่วน จะต้องไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านบาท 3.จะต้องมีปริมาณการผลิตจริงไม่น้อยกว่า 100,000 คันต่อปี ตั้งแต่ปีที่ 5 เป็นต้นไป 4.ด้านประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง จะต้องเป็นรถยนต์ที่มีคุณสมบัติของอัตราการใช้เชื้อเพลิงไม่เกิน 5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร และ 5.ด้านสิ่งแวดล้อม จะต้องมีมาตรฐานมลพิษ Euro 4 หรือสูงกว่า และมีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยจากท่อไอเสียไม่เกิน 120 กรัมต่อ 1 กิโลเมตร
เงินลงทุนโครงการอีโคคาร์
ยี่ห้อ เงินลงทุน(ล้านบาท) กำลังการผลิต(คัน/ปี)
- ฮอนด้า 6,700 240,000
- ซูซูกิ 9,500 138,000
- นิสสัน 5,550 120,000
- โฟล์คสวาเกน 27,000 100,000
-โตโยต้า 4,640 100,000
- ทาทา 7,300 100,000
- มิตซูบิชิ 4,700 100,000
รวม 65,390 1,000,000(ประมาณ)
ที่มา:สยามธุรกิจรวบรวม
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... s_id=10493
เคาะโปรเจกต์อีโคคาร์ 7 ค่ายรถ ฮอนด้า นิสสัน ซูซูกิ โตโยต้า มิตซูบิชิ โฟล์คฯ และทาทา ลงสนามรบเก๋งเบนซิน 1300 ซีซี ดีเซล 1400 ซีซี พร้อมขาย 1 ตุลาคม 52 ยอดผลิตรวม 1 ล้านคัน ส.ยานยนต์ทุ่ม 138 ล้านบาท พัฒนาศูนย์ทดสอบ 2 พันไร่รองรับรถป้ายแดง 2.6 ล้านคันในปี 59
อีโคคาร์หรือรถประหยัดพลังงานที่ใช้เวลาถึง 5 ปีนับตั้งแต่ปี 2546 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2550 ในการแจ้งเกิดโครงการ ภายใต้คำจำกัดความว่า รถยนต์นั่งขนาดเล็กเครื่องยนต์เบนซินความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1300 ซีซี.และเครื่องยนต์ดีเซล ความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1400 ซีซี.ไม่จำกัดแรงม้า ซึ่งมีค่ายรถเข้าร่วมโครงการขอรับการส่งเสริมจากบีโอไอรวมทั้งสิ้น 7 บริษัทและมีความชัดเจนแล้วว่าในสิ้นเดือนมกราคม 2551 นี้ทั้ง 7 บริษัทจะผ่านการอนุมัติให้ดำเนินโครงการตามแผนการลงทุนที่ยื่นเสนอต่อบีโอไอหรือสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนก่อนที่รัฐบาลชุดใหม่จะเข้าบริหารประเทศ
โดยบริษัทรถยนต์ที่ยื่นโครงการขอรับส่งเสริมการลงทุนกับบีโอไอในวันสุดท้ายของการปิดรับสมัครคือ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2550 นั้นมี 4 บริษัทคือ โตโยต้า, มิตซูบิชิ,โฟล์คสวาเกนและทาทา มอเตอร์ จากอินเดีย ซึ่งทั้ง 4 บริษัทจะได้รับการพิจารณาอนุมัติโครงการภายในสัปดาห์สุดท้ายก่อนสิ้นเดือนมกราคม 2551 นี้
นายวัลลภ เตียศิริ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ เปิดเผยบทสรุปโครงการอีโคคาร์กับ ็ สยามธุรกิจิ ว่า สำหรับ 4 บริษัทรถยนต์ที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนและคาดว่าจะผ่านการอนุมัติจากบีโอไอทั้งหมดนั้น
1. บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัดเงินลงทุน 4,640 ล้านบาท กำลังการผลิต 100,000 คันในปีที่ 5 โรงงานตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ซิตี้ ผลิตขายในประเทศ 50 % ส่งออก 50 %
2.บริษัทมิตซูบิชิ มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เงินลงทุน 4,700 ล้านบาท กำลังการผลิต 100,000 ในปีที่ 5 โรงงานตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง ผลิตขายในประเทศ 10 % ส่งออก 90 %
3. บริษัท ทาทา มอเตอร์ เงินลงทุน 7,300 ล้านบาท กำลังการผลิต 100,000 ในปีที่ 5 ที่ตั้งโรงงานยังไม่สามารถเปิดเผยได้และ 4. บริษัท โฟล์คสวาเกน เงินลงทุน 27,000 ล้านบาท ที่ตั้งโรงงานยังไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่อย่างไรก็ตามจะต้องผลิตให้ได้ 100,000 คันในปีที่ 5
ทั้งนี้มูลค่าการลงทุนของ 4 บริษัท รวม 43,640 ล้านบาทซึ่งจะผ่านการอนุมัติในการประชุมของบอร์ดบีโอไอในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมกราคม 2551 นี้และเมื่อรวมกับ 3 บริษัทที่ผ่านการอนุมัติโครงการไปแล้วในปี 2550 คือ ซูซูกิ มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น 9,500 ล้านบาท ,ฮอนด้า ออโตโมบิล(ประเทศไทย) 6,700 ล้านบาทและสยามนิสสัน ออโตโมบิล 5,550 ล้านบาท รวมมูลค่าการลงทุนทั้ง 7 บริษัทมีมูลค่าทั้งสิ้น 65,390 ล้านบาทโดยทั้งหมดนี้ยังไม่รวมการลงทุนของบริษัทชิ้นส่วนและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะส่งป้อนโครงการนี้(อ่านรายละเอียดโครงการที่ผ่านการอนุมัติแล้ว หน้า 34 )
นายวัลลภ กล่าวอีกว่าเมื่อโครงการอีโคคาร์เดินสายการผลิตเต็มกำลังตามแผนที่กำหนดคาดว่าในปี 2559หรือนับจากนี้อีก 9 ปี ประเทศไทยจะมีการผลิตรถยนต์ทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่า 2.6 ล้านคันจากในปี 2550 ที่ผลิตได้แล้ว 1.6 ล้านคัน ซึ่งเฉพาะโครงการอีโคคาร์จะมีกำลังการผลิตไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคัน โดยเป็นการผลิตเพื่อส่งออก 70 %
ดังนั้นในส่วนของสถาบันยานยนต์จะต้องเร่งดำเนินการสร้างโครงข่ายพื้นฐานเพื่อรับโครงการอีโคคาร์ โดยขณะนี้สถาบันยานยนต์ได้งบประมาณมาแล้ว 38 ล้านบาท เพื่อพัฒนาศูนย์ทดสอบยานยนต์ โดย 1.จัดซื้อเครื่องมือสำหรับทดสอบ 2.ขยายศูนย์เพิ่มจากที่มีอยู่ในปัจจุบัน ด้วยการเสริมในเรื่องของระบบความปลอดภัยเป็นหลัก 3. เครื่องมือในการตรวจวัดมลพิษของเครื่องยนต์ยูโร 4 และสุดท้ายคือ การพัฒนาช่างและบุคคลในบริษัทชิ้นส่วนต่าง ๆ อีกไม่ต่ำกว่า 100 โรงงาน ซึ่งได้เริ่มทำไปแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคม 2550 และในปีงบประมาณ 2551 นี้สถาบันฯจะของบอีก 100 ล้านบาทเพื่อขยายศูนย์ทดสอบเพิ่มในพื้นที่ 2 พันไร่ที่จังหวัดสมุทรปราการ
ด้านนายสาธิต ชาญเชาวน์กุล เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)ได้เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บอร์ดบีโอไอ) โดยมีนายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฏ์ รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานว่า
รถยนต์นั่งขนาดเล็กประหยัดพลังงาน หรืออีโคคาร์ กำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตอยู่ที่ 17% นับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2552 เป็นต้นไป โดยมีเงื่อนไขจะต้องมีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 1300 ลูกบาศก์เซนติเมตร (ซีซี) สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน และความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1400 ซีซี สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล โดยไม่จำกัดกำลังเครื่องยนต์
ส่วนอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงต้องไม่เกิน 5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร หรือ 20 กิโลเมตรต่อลิตร มาตรฐานมลพิษอยู่ในระดับ EURO 4 ตามที่สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) กระทรวงอุตสาหกรรม ประกาศกำหนด และปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่ปล่อยจากท่อไอเสียไม่เกิน 120 กรัมต่อกิโลเมตร และกำลังการผลิตปีละ 1 แสนคันในปีที่ 5
ทั้งนี้สาเหตุที่ต้องกำหนดขนาดเครื่องยนต์ เพราะอีโคคาร์จะต้องไม่ทับซ้อนกับรถยนต์นั่งที่มีอยู่แล้ว และอัตราภาษีสรรพสามิตร 17% อยู่ในระดับไม่ต่ำจนเกินไปที่จะส่งผลต่อรถที่มีขนาดใกล้เคียงกัน
และทั้ง 7 บริษัทที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์ดังนี้ประกอบด้วย
1. ยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักรทุกเขต
2. ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลทุกเขตเป็นระยะเวลาไม่เกิน 8 ปี แต่ต้องไม่เกินมูลค่าการลงทุนของโครงการ(ไม่รวมค่าที่ดินและเงินทุนหมุนเวียน) โดยทั้งหมดนี้จะต้องเป็นไปตามแผนการลงทุนที่บีโอไอกำหนดไว้คือ
1.ผู้ขอรับส่งเสริมจะต้องเสนอการลงทุนเป็นโครงการรวม (package) ทั้งโครงการประกอบรถยนต์ การผลิตเครื่องยนต์ และการผลิตหรือจัดหาชิ้นส่วนยานยนต์
2.ขนาดการลงทุนของโครงการรวม ทั้งการประกอบรถยนต์และการผลิตชิ้นส่วน จะต้องไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านบาท 3.จะต้องมีปริมาณการผลิตจริงไม่น้อยกว่า 100,000 คันต่อปี ตั้งแต่ปีที่ 5 เป็นต้นไป 4.ด้านประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง จะต้องเป็นรถยนต์ที่มีคุณสมบัติของอัตราการใช้เชื้อเพลิงไม่เกิน 5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร และ 5.ด้านสิ่งแวดล้อม จะต้องมีมาตรฐานมลพิษ Euro 4 หรือสูงกว่า และมีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยจากท่อไอเสียไม่เกิน 120 กรัมต่อ 1 กิโลเมตร
เงินลงทุนโครงการอีโคคาร์
ยี่ห้อ เงินลงทุน(ล้านบาท) กำลังการผลิต(คัน/ปี)
- ฮอนด้า 6,700 240,000
- ซูซูกิ 9,500 138,000
- นิสสัน 5,550 120,000
- โฟล์คสวาเกน 27,000 100,000
-โตโยต้า 4,640 100,000
- ทาทา 7,300 100,000
- มิตซูบิชิ 4,700 100,000
รวม 65,390 1,000,000(ประมาณ)
ที่มา:สยามธุรกิจรวบรวม
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... s_id=10493
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news12/01/08
โพสต์ที่ 128
ตลาดรถปี50ตกเหววูบ7.5%
โพสต์ทูเดย์ สรุปยอดจำหน่ายรถยนต์ปี 2550 ทำได้ 6.31 แสนคัน หดตัวลงจากปี 2549 ถึง 7.5% จากปัจจัยลบรอบด้าน
นางปนัดดา เจณณวาสิน รองกรรมการผู้จัดการบริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ เปิดเผยถึงยอดจำหน่ายรถยนต์ประจำปี 2550 ว่า ยอดจำหน่ายรถยนต์โดยรวมใน ปีที่ผ่านมามีทั้งสิ้น 631,250 คัน หดตัวลงไป 7.5% ในภาพรวม อันเป็นผลมาจากปัจจัยลบรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นราคาจำหน่ายน้ำมันที่พุ่งขึ้นสูง อัตราเงินเฟ้อ ที่สูงมากขึ้น มาตรการการปล่อยสินเชื่อของธนาคารต่างๆ ที่รัดกุม ตลอดจนความไม่แน่นอนทางการเมือง
ทั้งนี้ แม้ว่าทุกค่ายรถยนต์จะพยายามนำเสนอกิจกรรมส่งเสริมการขายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขเงินดาวน์ อัตราดอกเบี้ยต่ำ 0% ผ่อนระยะยาว 72 เดือน หรือตลอดจนส่วนลดและของแถม มากมาย แต่ก็ไม่สามารถกระตุ้นความต้องการซื้อของผู้บริโภคได้มากนัก โดยเฉพาะในตลาดรถยนต์และรถปิกอัพที่เป็นตลาดหลัก
สำหรับยอดจำหน่ายรถยนต์ ในปีที่ผ่านมา รถกระบะมียอดจำหน่าย 390,307 คัน หดตัว 9.05% รถบรรทุก 2 ตันขึ้นไป มียอดจำหน่าย 22,769 คัน ขยายตัว 0.66% รถยนต์นั่งส่วนบุคคล 170,117 คัน หดตัว 11.29% รถยนต์อเนกประสงค์ (เอสยูวี) 28,207 คัน เติบโต 15.90% และรถประเภทอื่นๆ 19,850 คัน ขยายตัว 38.93%
ทั้งนี้ โตโยต้า มียอดจำหน่ายสูงสุดในปีที่ผ่านมา ด้วยยอดจำหน่าย 282,088 คัน คิดเป็น ส่วนแบ่งการตลาด 44.69% หดตัวลงไป 2.43% ตามมาด้วย อีซูซุ ที่ทำยอดขายได้ 151,033 คัน คิดเป็นส่วนแบ่ง 23.93% หดตัว ลงไป 15.66% ฮอนด้า ตามมา เป็นอันดับ 3 ด้วยยอดจำหน่าย 58,525 คัน คิดเป็นส่วนแบ่ง 9.27% หดตัว 12.17% ตามมาด้วย นิสสัน ที่ได้ นาวาร่า เข้ามาช่วยเพิ่มยอดขาย จนทำยอดขาย ได้ถึง 38,297 คัน มีส่วนแบ่ง 6.07% และมีอัตราการเติบโตสูงถึง 25.05% และอันดับ 5 เป็น ของ มิตซูบิชิ ที่มียอดขาย 27,914 คัน คิดเป็นส่วนแบ่ง 4.42% และหดตัว 11.19%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=214179
โพสต์ทูเดย์ สรุปยอดจำหน่ายรถยนต์ปี 2550 ทำได้ 6.31 แสนคัน หดตัวลงจากปี 2549 ถึง 7.5% จากปัจจัยลบรอบด้าน
นางปนัดดา เจณณวาสิน รองกรรมการผู้จัดการบริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ เปิดเผยถึงยอดจำหน่ายรถยนต์ประจำปี 2550 ว่า ยอดจำหน่ายรถยนต์โดยรวมใน ปีที่ผ่านมามีทั้งสิ้น 631,250 คัน หดตัวลงไป 7.5% ในภาพรวม อันเป็นผลมาจากปัจจัยลบรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นราคาจำหน่ายน้ำมันที่พุ่งขึ้นสูง อัตราเงินเฟ้อ ที่สูงมากขึ้น มาตรการการปล่อยสินเชื่อของธนาคารต่างๆ ที่รัดกุม ตลอดจนความไม่แน่นอนทางการเมือง
ทั้งนี้ แม้ว่าทุกค่ายรถยนต์จะพยายามนำเสนอกิจกรรมส่งเสริมการขายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขเงินดาวน์ อัตราดอกเบี้ยต่ำ 0% ผ่อนระยะยาว 72 เดือน หรือตลอดจนส่วนลดและของแถม มากมาย แต่ก็ไม่สามารถกระตุ้นความต้องการซื้อของผู้บริโภคได้มากนัก โดยเฉพาะในตลาดรถยนต์และรถปิกอัพที่เป็นตลาดหลัก
สำหรับยอดจำหน่ายรถยนต์ ในปีที่ผ่านมา รถกระบะมียอดจำหน่าย 390,307 คัน หดตัว 9.05% รถบรรทุก 2 ตันขึ้นไป มียอดจำหน่าย 22,769 คัน ขยายตัว 0.66% รถยนต์นั่งส่วนบุคคล 170,117 คัน หดตัว 11.29% รถยนต์อเนกประสงค์ (เอสยูวี) 28,207 คัน เติบโต 15.90% และรถประเภทอื่นๆ 19,850 คัน ขยายตัว 38.93%
ทั้งนี้ โตโยต้า มียอดจำหน่ายสูงสุดในปีที่ผ่านมา ด้วยยอดจำหน่าย 282,088 คัน คิดเป็น ส่วนแบ่งการตลาด 44.69% หดตัวลงไป 2.43% ตามมาด้วย อีซูซุ ที่ทำยอดขายได้ 151,033 คัน คิดเป็นส่วนแบ่ง 23.93% หดตัว ลงไป 15.66% ฮอนด้า ตามมา เป็นอันดับ 3 ด้วยยอดจำหน่าย 58,525 คัน คิดเป็นส่วนแบ่ง 9.27% หดตัว 12.17% ตามมาด้วย นิสสัน ที่ได้ นาวาร่า เข้ามาช่วยเพิ่มยอดขาย จนทำยอดขาย ได้ถึง 38,297 คัน มีส่วนแบ่ง 6.07% และมีอัตราการเติบโตสูงถึง 25.05% และอันดับ 5 เป็น ของ มิตซูบิชิ ที่มียอดขาย 27,914 คัน คิดเป็นส่วนแบ่ง 4.42% และหดตัว 11.19%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=214179
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news14/01/08
โพสต์ที่ 129
ยอดส่งออกรถ11เดือนปี50พุ่ง35%
โพสต์ทูเดย์ ยอดส่งออกรถยนต์ 11 เดือนปี 2550 รวม 6.05 แสนคัน โตกว่า 35% ลุ้นทั้งปีก่อน 6.8 แสนคัน ปีนี้เชื่อโต 10%
รายงานยอดการส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2550 ที่ผ่านมา พบว่าสถิติการส่งออกสะสมในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 425,441.80 ล้านบาท เติบโต 35.83% โดยแบ่งเป็นการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป (ซีบียู) มีจำนวนทั้งสิ้น 604,963 คัน เติบโต 25.50% เมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา มูลค่ารวมทั้งสิ้น 305,831.66 ล้านบาท ชิ้นส่วนเพื่อการประกอบ เครื่องยนต์และอื่นๆ 119,610.14 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 23.77%
สำหรับปริมาณการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปสะสม 11 เดือนของบริษัทรถยนต์ในปี 2550 โตโยต้านำมาเป็นอันดับ 1 ด้วยยอดการส่งออก 197,483 คัน ส่วนแบ่งตลาด 32.64% เติบโต 8.56% อันดับ 2 มิตซูบิชิ 133,591 คัน ส่วนแบ่งตลาด 22.08% เติบโต 26.80% อันดับ 3 ออโต้ อัลลายฯ 102,628 คัน ส่วนแบ่งตลาด 16.96% เติบโต 32.89% อันดับ 4 ฮอนด้า 72,877 คัน ส่วนแบ่งตลาด 5.80% เติบโต 43.90% และอันดับ 5 อีซูซุ 56,190 คัน ส่วนแบ่งตลาด 6.48% เติบโต 29.21%
ทั้งนี้ มูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปสะสม 11 เดือนของบริษัทรถยนต์ในปี 2550 อันดับ 1 โตโยต้า 89,562.52 ล้านบาท อัตราการเติบโต 11.53% อันดับ 2 ออโต้อัลลายฯ 74,214.20 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 153.35% อันดับ 3 มิตซูบิชิ 58,910.06 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 16.30% อันดับ 4 ฮอนด้า 38,777.40 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 52.18% และอันดับ 5 อีซูซุ 22,754.32 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 27.93% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา
แหล่งข่าวจากวงการอุตสาหกรรมยานยนต์เปิดเผยว่า ยอดการส่งออกรถยนต์จากประเทศไทยในปี 2550 คาดจะปิดตัวเลขส่งออกที่กว่า 6.8 แสนคัน ซึ่งเป็นการเติบโตขึ้นอย่างมาก และเป็นปีแรกที่มีการส่งออกมากกว่ายอดจำหน่ายในประเทศ สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ในปี 2551 ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดส่งออกที่จะมีตลาดใหม่ๆ เกิดขึ้นมาอีกหลายแห่ง ซึ่งจะทำให้ยอดการส่งออกในปีหน้าเติบโตอย่างต่ำ 10% หรือมียอดการส่งออกไม่น้อยกว่า 7.4 แสนคันอย่างแน่นอน
จริงๆ แล้วเราคาดการณ์ว่าอาจจะมีการส่งออกที่มากกว่านั้นได้ เพราะว่าในปีนี้มีรถที่เตรียมจะส่งออกอย่างเต็มตัวมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นนิสสัน นาวาร่า ฮอนด้า แอคคอร์ด รวมไปถึงโครงการของโตโยต้าก็มีแผนจะส่งออกมากขึ้น ซึ่งหากดูตัวเลขการส่งออกแล้ว จะพบว่ามีผู้คาดการณ์ว่าตัวเลขการส่งออกอาจพุ่งไปถึง 7.7 แสนคันได้ในปีนี้ แหล่งข่าวเปิดเผย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=214466
โพสต์ทูเดย์ ยอดส่งออกรถยนต์ 11 เดือนปี 2550 รวม 6.05 แสนคัน โตกว่า 35% ลุ้นทั้งปีก่อน 6.8 แสนคัน ปีนี้เชื่อโต 10%
รายงานยอดการส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2550 ที่ผ่านมา พบว่าสถิติการส่งออกสะสมในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 425,441.80 ล้านบาท เติบโต 35.83% โดยแบ่งเป็นการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป (ซีบียู) มีจำนวนทั้งสิ้น 604,963 คัน เติบโต 25.50% เมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา มูลค่ารวมทั้งสิ้น 305,831.66 ล้านบาท ชิ้นส่วนเพื่อการประกอบ เครื่องยนต์และอื่นๆ 119,610.14 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 23.77%
สำหรับปริมาณการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปสะสม 11 เดือนของบริษัทรถยนต์ในปี 2550 โตโยต้านำมาเป็นอันดับ 1 ด้วยยอดการส่งออก 197,483 คัน ส่วนแบ่งตลาด 32.64% เติบโต 8.56% อันดับ 2 มิตซูบิชิ 133,591 คัน ส่วนแบ่งตลาด 22.08% เติบโต 26.80% อันดับ 3 ออโต้ อัลลายฯ 102,628 คัน ส่วนแบ่งตลาด 16.96% เติบโต 32.89% อันดับ 4 ฮอนด้า 72,877 คัน ส่วนแบ่งตลาด 5.80% เติบโต 43.90% และอันดับ 5 อีซูซุ 56,190 คัน ส่วนแบ่งตลาด 6.48% เติบโต 29.21%
ทั้งนี้ มูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปสะสม 11 เดือนของบริษัทรถยนต์ในปี 2550 อันดับ 1 โตโยต้า 89,562.52 ล้านบาท อัตราการเติบโต 11.53% อันดับ 2 ออโต้อัลลายฯ 74,214.20 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 153.35% อันดับ 3 มิตซูบิชิ 58,910.06 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 16.30% อันดับ 4 ฮอนด้า 38,777.40 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 52.18% และอันดับ 5 อีซูซุ 22,754.32 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 27.93% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา
แหล่งข่าวจากวงการอุตสาหกรรมยานยนต์เปิดเผยว่า ยอดการส่งออกรถยนต์จากประเทศไทยในปี 2550 คาดจะปิดตัวเลขส่งออกที่กว่า 6.8 แสนคัน ซึ่งเป็นการเติบโตขึ้นอย่างมาก และเป็นปีแรกที่มีการส่งออกมากกว่ายอดจำหน่ายในประเทศ สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ในปี 2551 ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดส่งออกที่จะมีตลาดใหม่ๆ เกิดขึ้นมาอีกหลายแห่ง ซึ่งจะทำให้ยอดการส่งออกในปีหน้าเติบโตอย่างต่ำ 10% หรือมียอดการส่งออกไม่น้อยกว่า 7.4 แสนคันอย่างแน่นอน
จริงๆ แล้วเราคาดการณ์ว่าอาจจะมีการส่งออกที่มากกว่านั้นได้ เพราะว่าในปีนี้มีรถที่เตรียมจะส่งออกอย่างเต็มตัวมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นนิสสัน นาวาร่า ฮอนด้า แอคคอร์ด รวมไปถึงโครงการของโตโยต้าก็มีแผนจะส่งออกมากขึ้น ซึ่งหากดูตัวเลขการส่งออกแล้ว จะพบว่ามีผู้คาดการณ์ว่าตัวเลขการส่งออกอาจพุ่งไปถึง 7.7 แสนคันได้ในปีนี้ แหล่งข่าวเปิดเผย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=214466
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news14/01/08
โพสต์ที่ 130
ประธานเจนเนอรัล มอเตอร์ เชื่อตลาดรถ ดีขึ้นครึ่งปีหลัง
นายริค แวกเนอร์ ประธานบริษัทเจนเนอรัล มอเตอร์ หรือจีเอ็ม กล่าวในงานแสดงรถยนต์ดีทรอยมอเตอร์โชว์ ว่า ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ ที่ยังไม่มีสัญญาณการลงถึงจุดต่ำสุดในช่วงปีนี้ ยังคงเป็นปัจจัยลบสำคัญ และเป็นสิ่งที่คณะบริหารของจีเอ็มตระหนักมากที่สุด อย่างไรก็ตาม คาดหวังว่าภาวะดังกล่าวอาจจะดีขึ้นบ้างในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ท่ามกลางปัจจัยความแน่นอนที่ยังคงมีอยู่อีกมาก ส่งผลให้ผู้บริหารของจีเอ็ม มองว่า อุตสาหกรรมรถยนต์สหรัฐในภาพรวม จะทรุดลงอย่างหนักในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ และจีเอ็ม อาจลดกำลังการผลิตลง
บีเอ็มดับเบิลยู เอจี มั่นใจตลาดรถยนต์สหรัฐ ยังดีอยู่
นายนอร์เบิร์ท ริทโทเฟอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู เอจี ยักษ์ใหญ่อันดับ 1 ผู้ผลิตรถยนต์ระดับหรูหราของโลก เปิดเผยในงานดีทรอยต์ มอเตอร์ โชว์ ว่า บีเอ็มดับเบิลยู กลับมองภาวะเศรษฐกิจสหรัฐในทางตรงกันข้าม ซึ่งยังไม่เป็นภาวะการชะลอตัวลงแต่อย่างใด ดังนั้น บีเอ็มดับเบิลยู ตั้งความหวังไว้ว่า จะสามารถทำยอดขายรถยนต์ในปีนี้ของตลาดรถยนต์สหรัฐได้เท่ากับในปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม บีเอ็มดับเบิลยู เตรียมลดจำนวนพนักงานลงอย่างมากในหลายปีข้างหน้า แต่ยืนยันไม่มีการปลดออก
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
นายริค แวกเนอร์ ประธานบริษัทเจนเนอรัล มอเตอร์ หรือจีเอ็ม กล่าวในงานแสดงรถยนต์ดีทรอยมอเตอร์โชว์ ว่า ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ ที่ยังไม่มีสัญญาณการลงถึงจุดต่ำสุดในช่วงปีนี้ ยังคงเป็นปัจจัยลบสำคัญ และเป็นสิ่งที่คณะบริหารของจีเอ็มตระหนักมากที่สุด อย่างไรก็ตาม คาดหวังว่าภาวะดังกล่าวอาจจะดีขึ้นบ้างในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ท่ามกลางปัจจัยความแน่นอนที่ยังคงมีอยู่อีกมาก ส่งผลให้ผู้บริหารของจีเอ็ม มองว่า อุตสาหกรรมรถยนต์สหรัฐในภาพรวม จะทรุดลงอย่างหนักในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ และจีเอ็ม อาจลดกำลังการผลิตลง
บีเอ็มดับเบิลยู เอจี มั่นใจตลาดรถยนต์สหรัฐ ยังดีอยู่
นายนอร์เบิร์ท ริทโทเฟอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู เอจี ยักษ์ใหญ่อันดับ 1 ผู้ผลิตรถยนต์ระดับหรูหราของโลก เปิดเผยในงานดีทรอยต์ มอเตอร์ โชว์ ว่า บีเอ็มดับเบิลยู กลับมองภาวะเศรษฐกิจสหรัฐในทางตรงกันข้าม ซึ่งยังไม่เป็นภาวะการชะลอตัวลงแต่อย่างใด ดังนั้น บีเอ็มดับเบิลยู ตั้งความหวังไว้ว่า จะสามารถทำยอดขายรถยนต์ในปีนี้ของตลาดรถยนต์สหรัฐได้เท่ากับในปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม บีเอ็มดับเบิลยู เตรียมลดจำนวนพนักงานลงอย่างมากในหลายปีข้างหน้า แต่ยืนยันไม่มีการปลดออก
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news15/01/08
โพสต์ที่ 131
ฟอร์ดฟันธงตลาดรถอิ่มตัว7แสนคัน
โพสต์ทูเดย์ ฟอร์ด ชี้ตลาดรถไทยอิ่มตัวที่ 7 แสนคัน หวังรถใหม่-นโยบายรัฐช่วยผลักดัน พร้อมฟันธงค่ายรถปรับแผนงานรับมือ
นายสาโรช เกียรติเฟื่องฟู รองประธานอาวุโส ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าวว่า ภาพรวมการแข่งขันของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยจะมีการปรับตัวอย่างต่อเนื่องนับจากนี้ เป็นผลมาจากการที่ตลาดมีแนวโน้มว่าจะอิ่มตัวอยู่ที่ราว 7 แสนคัน และคงจะชะลอการเติบโต รวมถึงนโยบายภาครัฐจะมีส่วนเข้ามาส่งเสริมให้การแข่งขันในภาพรวมเปลี่ยนไป โดยเฉพาะในเรื่องตัวสินค้ารุ่นใหม่ๆ ที่จะเข้ามาทำตลาดนับจากนี้
สำหรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเห็นอย่างแน่ชัดในปีนี้ก็คือ รถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่จะเปิดตัวจะสามารถใช้เชื้อเพลิง อี20 ได้ทั้งสิ้น เนื่องจากรัฐบาลเข้ามาให้การสนับสนุน ขณะเดียวกัน จากภาวะราคาน้ำมันที่ถีบตัวขึ้นสูง จะทำให้รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็กและประหยัดน้ำมันได้รับความนิยมมากขึ้น ซึ่งการที่รัฐบาลออกมาให้การสนับสนุนรถอีโคคาร์จะทำให้ตลาดมีการเติบโตได้อีกเล็กน้อย
ผมเชื่อว่าตลาดคงไม่เติบโตแบบก้าวกระโดด เพราะมองโดยภาพรวมแล้วไม่มีปัจจัยไหนที่จะเข้ามาทำให้ตลาดโตได้ขนาดนั้น สินค้าใหม่ๆ เข้ามาก็จะทำให้เกิดการซื้อทดแทนเป็นหลัก แต่กว่าจะทำให้ลูกค้าเข้าใจและยอมรับต้องใช้เวลา อย่างเรื่องรถเล็กหรืออีโคคาร์ตอนนี้ก็ได้เรื่องของราคาน้ำมันเข้ามาช่วยผลักดัน ทำให้ตลาดอาจจะยอมรับได้ง่ายขึ้น นายสาโรช กล่าว
สำหรับในส่วนของตลาดปิกอัพนั้น แม้จะมีรถยนต์ขนาดเล็กเข้ามาก็ยากที่จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เป็นเพราะอัตราภาษีที่หนุนตลาดรถปิกอัพอยู่ที่ 3% ถือว่าได้เปรียบรถยนต์ในกลุ่มอื่นๆ อยู่มาก ทำให้แม้ว่าจะมีรถยนต์รุ่นใหม่ๆ เข้ามา ก็ยากที่จะแข่งขันกับรถปิกอัพได้ และมองว่าผู้ประกอบการก็คงเน้นเรื่องการหาเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติมกันมากขึ้น
นายสาโรช กล่าวว่า ผลกระทบจากการปล่อยสินเชื่อของผู้ประกอบการธุรกิจการเงินและธนาคารเองก็มีบทบาทในเรื่องของการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์มาก โดยจากตัวเลขรถยึดและหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นทำให้ผู้ประกอบการต้องเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น และเลือกที่จะปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการรายใหญ่มากกว่า ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการรายเล็กต้องยอมรับ และหาช่องทางในการแข่งขันต่อไป
สำหรับฟอร์ดในปีนี้ ตั้งเป้าหมายที่จะมียอดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา และจะเป็นปีแรกหลังจากที่ยอดจำหน่ายหดตัวในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าตลาดรวมจะเติบโตเล็กน้อยเพียง 3-5% เนื่องจากไม่มีปัจจัยบวกมากนัก ซึ่งล่าสุดฟอร์ดมียอดจำหน่ายราว 1.5 หมื่นกว่าคันในปีที่ผ่านมา คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดราว 2.5%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=214659
โพสต์ทูเดย์ ฟอร์ด ชี้ตลาดรถไทยอิ่มตัวที่ 7 แสนคัน หวังรถใหม่-นโยบายรัฐช่วยผลักดัน พร้อมฟันธงค่ายรถปรับแผนงานรับมือ
นายสาโรช เกียรติเฟื่องฟู รองประธานอาวุโส ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าวว่า ภาพรวมการแข่งขันของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยจะมีการปรับตัวอย่างต่อเนื่องนับจากนี้ เป็นผลมาจากการที่ตลาดมีแนวโน้มว่าจะอิ่มตัวอยู่ที่ราว 7 แสนคัน และคงจะชะลอการเติบโต รวมถึงนโยบายภาครัฐจะมีส่วนเข้ามาส่งเสริมให้การแข่งขันในภาพรวมเปลี่ยนไป โดยเฉพาะในเรื่องตัวสินค้ารุ่นใหม่ๆ ที่จะเข้ามาทำตลาดนับจากนี้
สำหรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเห็นอย่างแน่ชัดในปีนี้ก็คือ รถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่จะเปิดตัวจะสามารถใช้เชื้อเพลิง อี20 ได้ทั้งสิ้น เนื่องจากรัฐบาลเข้ามาให้การสนับสนุน ขณะเดียวกัน จากภาวะราคาน้ำมันที่ถีบตัวขึ้นสูง จะทำให้รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็กและประหยัดน้ำมันได้รับความนิยมมากขึ้น ซึ่งการที่รัฐบาลออกมาให้การสนับสนุนรถอีโคคาร์จะทำให้ตลาดมีการเติบโตได้อีกเล็กน้อย
ผมเชื่อว่าตลาดคงไม่เติบโตแบบก้าวกระโดด เพราะมองโดยภาพรวมแล้วไม่มีปัจจัยไหนที่จะเข้ามาทำให้ตลาดโตได้ขนาดนั้น สินค้าใหม่ๆ เข้ามาก็จะทำให้เกิดการซื้อทดแทนเป็นหลัก แต่กว่าจะทำให้ลูกค้าเข้าใจและยอมรับต้องใช้เวลา อย่างเรื่องรถเล็กหรืออีโคคาร์ตอนนี้ก็ได้เรื่องของราคาน้ำมันเข้ามาช่วยผลักดัน ทำให้ตลาดอาจจะยอมรับได้ง่ายขึ้น นายสาโรช กล่าว
สำหรับในส่วนของตลาดปิกอัพนั้น แม้จะมีรถยนต์ขนาดเล็กเข้ามาก็ยากที่จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เป็นเพราะอัตราภาษีที่หนุนตลาดรถปิกอัพอยู่ที่ 3% ถือว่าได้เปรียบรถยนต์ในกลุ่มอื่นๆ อยู่มาก ทำให้แม้ว่าจะมีรถยนต์รุ่นใหม่ๆ เข้ามา ก็ยากที่จะแข่งขันกับรถปิกอัพได้ และมองว่าผู้ประกอบการก็คงเน้นเรื่องการหาเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติมกันมากขึ้น
นายสาโรช กล่าวว่า ผลกระทบจากการปล่อยสินเชื่อของผู้ประกอบการธุรกิจการเงินและธนาคารเองก็มีบทบาทในเรื่องของการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์มาก โดยจากตัวเลขรถยึดและหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นทำให้ผู้ประกอบการต้องเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น และเลือกที่จะปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการรายใหญ่มากกว่า ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการรายเล็กต้องยอมรับ และหาช่องทางในการแข่งขันต่อไป
สำหรับฟอร์ดในปีนี้ ตั้งเป้าหมายที่จะมียอดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา และจะเป็นปีแรกหลังจากที่ยอดจำหน่ายหดตัวในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าตลาดรวมจะเติบโตเล็กน้อยเพียง 3-5% เนื่องจากไม่มีปัจจัยบวกมากนัก ซึ่งล่าสุดฟอร์ดมียอดจำหน่ายราว 1.5 หมื่นกว่าคันในปีที่ผ่านมา คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดราว 2.5%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=214659
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news17/01/08
โพสต์ที่ 132
ชี้ตลาดรถปีนี้พุ่ง11% โตโยต้าลั่นขอโตตาม
โพสต์ทูเดย์ โตโยต้าคาดการณ์ตลาดรถปีนี้ขยายตัว 11% เป็น 7 แสนคัน มั่นใจเติบโตทุกกลุ่มสินค้า
นายมิทซึฮิโระ โซโนดะ กรรม การผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย กล่าวว่า จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ส่งสัญญาณ ฟื้นตัวในปีนี้ บริษัทจึงคาดการณ์ว่ายอดจำหน่ายรถยนต์ในปีนี้จะเติบโตขึ้น 11% หรือคิดเป็นปริมาณการขาย 7 แสนคัน โดยแบ่งออกเป็นตลาดรถยนต์นั่ง 2.17 แสนคัน 28% และตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ 4.83 แสนคัน เติบโต 5%
สำหรับโตโยต้าเองนั้น คาดว่า จะมียอดขายทั้งหมด 3.1 แสนคัน เติบโต 9.9% เมื่อเทียบกับยอดจำหน่ายในปี 2550 และคาดว่าจะสามารถครองส่วนแบ่งการตลาดได้มากกว่า 44% ซึ่งสูสีกับปีที่ผ่านมา ที่มีส่วนแบ่ง 44.7%
ทั้งนี้ ปริมาณการขายของโตโยต้าในปีนี้จะประกอบด้วย รถยนต์นั่ง 1.11 แสนคัน คิดเป็นส่วนแบ่ง ตลาด 51.2% และรถเพื่อการ พาณิชย์ 1.99 แสนคัน คิดเป็นส่วนแบ่ง 41.2%
นอกจากนี้ บริษัทยังมีเป้าหมายส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปจำนวน 298,881 คัน คิดเป็นมูลค่า 126,577 ล้านบาท และชิ้นส่วนอะไหล่มูลค่า 45,894 ล้านบาท ทำให้ตัวเลขมูลค่าการส่งออกของบริษัทในปีนี้จะสูงถึงประมาณ 172,471 ล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=215129
โพสต์ทูเดย์ โตโยต้าคาดการณ์ตลาดรถปีนี้ขยายตัว 11% เป็น 7 แสนคัน มั่นใจเติบโตทุกกลุ่มสินค้า
นายมิทซึฮิโระ โซโนดะ กรรม การผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย กล่าวว่า จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ส่งสัญญาณ ฟื้นตัวในปีนี้ บริษัทจึงคาดการณ์ว่ายอดจำหน่ายรถยนต์ในปีนี้จะเติบโตขึ้น 11% หรือคิดเป็นปริมาณการขาย 7 แสนคัน โดยแบ่งออกเป็นตลาดรถยนต์นั่ง 2.17 แสนคัน 28% และตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ 4.83 แสนคัน เติบโต 5%
สำหรับโตโยต้าเองนั้น คาดว่า จะมียอดขายทั้งหมด 3.1 แสนคัน เติบโต 9.9% เมื่อเทียบกับยอดจำหน่ายในปี 2550 และคาดว่าจะสามารถครองส่วนแบ่งการตลาดได้มากกว่า 44% ซึ่งสูสีกับปีที่ผ่านมา ที่มีส่วนแบ่ง 44.7%
ทั้งนี้ ปริมาณการขายของโตโยต้าในปีนี้จะประกอบด้วย รถยนต์นั่ง 1.11 แสนคัน คิดเป็นส่วนแบ่ง ตลาด 51.2% และรถเพื่อการ พาณิชย์ 1.99 แสนคัน คิดเป็นส่วนแบ่ง 41.2%
นอกจากนี้ บริษัทยังมีเป้าหมายส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปจำนวน 298,881 คัน คิดเป็นมูลค่า 126,577 ล้านบาท และชิ้นส่วนอะไหล่มูลค่า 45,894 ล้านบาท ทำให้ตัวเลขมูลค่าการส่งออกของบริษัทในปีนี้จะสูงถึงประมาณ 172,471 ล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=215129
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news18/01/08
โพสต์ที่ 133
ตลาดสองล้อปี50หล่น17% รถเอ.ที.มาแรงแซงปลายปี
โพสต์ทูเดย์ ตลาดรถจักรยานยนต์ปี 2550 ร่วงกราว 17% ปิดยอดเฉียด 1.6 ล้านคัน ชี้รถ เอ.ที. มาแรงปลายปี กวาดสัดส่วนทะลุ 46%
นายธีระพัฒน์ จิวะพงศ์ กรรมการบริหารฝ่ายขาย บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า กล่าวว่า ยอดจดทะเบียนป้ายวงกลมของรถจักรยานยนต์ใน ปี 2550 มีปริมาณทั้งสิ้น 1,598,876 คัน ซึ่งเติบโตลดลง 17% เมื่อเทียบกับยอดจำหน่ายในปีก่อนหน้า โดยแบ่งเป็นรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว 804,527 คัน ครองสัดส่วน 50% รถแบบ เอ.ที. หรือแบบเกียร์อัตโนมัติ 727,869 คัน สัดส่วนตลาด 46% รถแบบครอบครัวกึ่งสปอร์ต 51,501 คัน สัดส่วน 3% รถแบบสปอร์ต 10,947 คัน สัดส่วน 1% และ รถประเภทอื่นๆ 4,032 คัน
ทั้งนี้ การหดตัวของตลาดเป็นผลมาจากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่อยู่ในภาวะชะลอตัว ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อกลุ่ม ผู้บริโภคในระดับรากหญ้า ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของตลาดรถจักรยานยนต์ และการขาดความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจของผู้บริโภค ส่งผลให้ชะลอการจับจ่ายใช้สอย ซึ่งทำให้การบริโภคหดตัว
อย่างไรก็ตาม ตลาดรถแบบ เอ.ที. กลับเติบโตสวนทิศทางของตลาด โดยมีปริมาณเพิ่มขึ้นเป็น 727,869 คัน สัดส่วนตลาด 46% จากปีก่อนหน้านี้ที่มีสัดส่วนตลาด 34% ส่งผลให้รถแบบ เอ.ที. ขยายตัวถึง 12% ขณะที่รถจักรยานยนต์กลุ่มอื่นๆ ขยายตัวลดลง
สาเหตุที่รถ เอ.ที. ขยายตัว มาจากการโหมกระตุ้นตลาดรถประเภทนี้ของค่ายผู้ผลิตต่างๆ ทั้งการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ รวมถึงการปรับเปลี่ยนรูปโฉมและภาพลักษณ์ของรถรุ่นเดิม ตลอดจนการจัดกิจกรรมพิเศษเพื่อส่งเสริมการจำหน่ายรถประเภทนี้อย่างต่อเนื่องตลอดปี นายธีระพัฒน์ กล่าว
สำหรับค่ายรถจักรยานยนต์ที่มียอดจำหน่ายสูงสุดในปี 2550 ได้แก่ ฮอนด้า ที่มียอดจำหน่ายทั้งสิ้น 1,118,555 คัน มีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 70% ตามมาด้วย ยามาฮ่า ที่มียอดจำหน่าย 370,143 คัน ส่วนแบ่งการตลาด 23% และ ซูซูกิที่มียอดจำหน่าย 80,720 คัน มีส่วนแบ่งการตลาด 5% ขณะที่ ค่ายที่เหลือทำยอดจำหน่ายได้น้อยกว่า 1 หมื่นคัน หรือมีส่วนแบ่งน้อยกว่า 1%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=215374
โพสต์ทูเดย์ ตลาดรถจักรยานยนต์ปี 2550 ร่วงกราว 17% ปิดยอดเฉียด 1.6 ล้านคัน ชี้รถ เอ.ที. มาแรงปลายปี กวาดสัดส่วนทะลุ 46%
นายธีระพัฒน์ จิวะพงศ์ กรรมการบริหารฝ่ายขาย บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า กล่าวว่า ยอดจดทะเบียนป้ายวงกลมของรถจักรยานยนต์ใน ปี 2550 มีปริมาณทั้งสิ้น 1,598,876 คัน ซึ่งเติบโตลดลง 17% เมื่อเทียบกับยอดจำหน่ายในปีก่อนหน้า โดยแบ่งเป็นรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว 804,527 คัน ครองสัดส่วน 50% รถแบบ เอ.ที. หรือแบบเกียร์อัตโนมัติ 727,869 คัน สัดส่วนตลาด 46% รถแบบครอบครัวกึ่งสปอร์ต 51,501 คัน สัดส่วน 3% รถแบบสปอร์ต 10,947 คัน สัดส่วน 1% และ รถประเภทอื่นๆ 4,032 คัน
ทั้งนี้ การหดตัวของตลาดเป็นผลมาจากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่อยู่ในภาวะชะลอตัว ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อกลุ่ม ผู้บริโภคในระดับรากหญ้า ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของตลาดรถจักรยานยนต์ และการขาดความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจของผู้บริโภค ส่งผลให้ชะลอการจับจ่ายใช้สอย ซึ่งทำให้การบริโภคหดตัว
อย่างไรก็ตาม ตลาดรถแบบ เอ.ที. กลับเติบโตสวนทิศทางของตลาด โดยมีปริมาณเพิ่มขึ้นเป็น 727,869 คัน สัดส่วนตลาด 46% จากปีก่อนหน้านี้ที่มีสัดส่วนตลาด 34% ส่งผลให้รถแบบ เอ.ที. ขยายตัวถึง 12% ขณะที่รถจักรยานยนต์กลุ่มอื่นๆ ขยายตัวลดลง
สาเหตุที่รถ เอ.ที. ขยายตัว มาจากการโหมกระตุ้นตลาดรถประเภทนี้ของค่ายผู้ผลิตต่างๆ ทั้งการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ รวมถึงการปรับเปลี่ยนรูปโฉมและภาพลักษณ์ของรถรุ่นเดิม ตลอดจนการจัดกิจกรรมพิเศษเพื่อส่งเสริมการจำหน่ายรถประเภทนี้อย่างต่อเนื่องตลอดปี นายธีระพัฒน์ กล่าว
สำหรับค่ายรถจักรยานยนต์ที่มียอดจำหน่ายสูงสุดในปี 2550 ได้แก่ ฮอนด้า ที่มียอดจำหน่ายทั้งสิ้น 1,118,555 คัน มีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 70% ตามมาด้วย ยามาฮ่า ที่มียอดจำหน่าย 370,143 คัน ส่วนแบ่งการตลาด 23% และ ซูซูกิที่มียอดจำหน่าย 80,720 คัน มีส่วนแบ่งการตลาด 5% ขณะที่ ค่ายที่เหลือทำยอดจำหน่ายได้น้อยกว่า 1 หมื่นคัน หรือมีส่วนแบ่งน้อยกว่า 1%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=215374
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news18/01/08
โพสต์ที่ 134
เลกซัสปรับราคารับJTEPA หั่นราคา3-6แสน รถตู้โตโยต้าราคาลง1.1-1.5หมื่นบ.
เลกซัส ประกาศราคาใหม่ หลัง JTEPA มีผลบังคับใช้ ปรับลดราคาลงตั้งแต่ 3-6.4 แสนบาท ส่วนรถตู้ โตโยต้า รับอานิสงส์ ลดราคาลงอีก 1.1-1.5 หมื่นบาท ดีเดย์ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมปีนี้ เผยแม้ตลาดรถหรูหราจะซบ แต่เลกซัสโตสวนกระแสถึง 15% ชี้เป็นผลจากกิจกรรมการตลาดที่
นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้แจ้งปรับลดราคาจำหน่ายรถยนต์เลกซัสที่มีเครื่องยนต์เกิน 3000 ซีซี ในรุ่นแอลเอส 460, อาร์เอ็กซ์ 350 และ 400 เอช พร้อมด้วยรถตู้โตโยต้า รุ่นเวนจูรี่, คอมมิวเตอร์ และไฮเอช ตามโครงสร้างภาษีนำเข้าใหม่ภายใต้ข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจ ไทย-ญี่ปุ่น หรือ Japan-Thailand Economic Partnership Agreement (JTEPA)
การปรับลดภาษีนำเข้าตามข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจนั้นส่งผลให้อัตราภาษีนำเข้ารถยนต์ใหม่ลดลง ทั้งนี้เพื่อปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น และเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ลูกค้า บริษัทจึงได้ปรับราคารถยนต์เลกซัสและรถตู้นำเข้าลง ส่งผลให้ราคารถยนต์เลกซัสลดลงตั้งแต่ 300,000 บาท ถึง 640,000 บาท ซึ่งราคาใหม่มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2551 พร้อมด้วย การปรับลดราคาของรถตู้เวนจูรี่ คอมมิวเตอร์ และไฮเอช ตั้งแต่ 11,000 บาทถึง 15,000 บาท
สำหรับราคาจำหน่ายรถยนต์เลกซัสตามโครงสร้างภาษีใหม่นั้น ในรุ่นแอลเอส 460 ช่วงยาว ราคา 10.910 ล้านบาท ลดลงจากเดิม 640,000 บาท รุ่นแอลเอส 460 ช่วงสั้น ราคา 9.020 ล้านบาท ปรับลดลง 530,000 บาท รุ่นอาร์เอ็กซ์ 400 เอช ราคา 5.880 ล้านบาท ลดลง 340,000 บาท รุ่นอาร์เอ็กซ์ 350 ราคา 5.120 ล้านบาท ลดลง 300,000 บาท
ส่วนรถตู้โตโยต้านั้นได้ปรับราคาตามโครงสร้างภาษีใหม่ดังนี้ รุ่นเวนจูรี่ มาเจสตี้ ราคา 2.200 ล้านบาท ลดลง 11,000 บาท รุ่นเวนจูรี่ 2.7V ราคา 1.468 ล้านบาท ลดลง 11,000 ล้านบาท รุ่นเวนจูรี่ 2.5G ราคา 1.288 ล้านบาท ลดลง 11,000 บาท รุ่นคอมมิวเตอร์ หลังคาสูง สีเมทัลลิก ราคา 1.106 ล้านบาท ลดลง 11,000 บาท รุ่นคอมมิวเตอร์ หลังคาสูง ราคา 1.100 ล้านบาท ลดลง 11,000 บาท และรุ่นไฮเอช อีโคโนมี่ ตู้ทึบ ราคา 841,000 บาท ลดลง 15,000 บาท
ทั้งนี้แม้ว่าในปี 2550 ที่ผ่านมา จะเป็นปีที่ยากลำบากของตลาดรถยนต์ระดับหรู แต่เลกซัสถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยมียอดขายรวมทั้งสิ้น 362 คัน เติบโตขึ้นถึง 15% เนื่องจากในปีที่ผ่านมา รถยนต์เลกซัสได้รับการตอบรับจากลูกค้ามากขึ้น และเป็นรถยนต์ระดับหรูรายแรกที่แนะนำเครื่องยนต์ไฮบริดเข้าสู่ตลาดเมืองไทยอย่างเป็นทางการ ในรุ่นอาร์เอ็กซ์ 400 เอช ที่โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย สมรรถนะที่ดีเยี่ยม และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
นอกจากนั้นบริษัทยังให้ความสำคัญกับลูกค้าด้วยกิจกรรมและสิทธิพิเศษต่างๆ มากมาย รวมทั้งมุ่งเน้นการให้ความสำคัญกับการบริการหลังการขาย และสร้างความภูมิใจในการครอบครองรถยนต์เลกซัส ตลอดจนจัดกิจกรรมเพื่อลูกค้าผ่านเลกซัสคลับอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้ทำให้รถยนต์เล็กซัสประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี
ทั้งนี้บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์ระดับหรู เลกซัส แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ปัจจุบันมีผู้แทนจำหน่ายรถยนต์เลกซัสอย่างเป็นทางการ3 แห่ง คือ บริษัท เล็กซ์ซัส กรุงเทพ จำกัด ตั้งอยู่บนถนนพระราม 9, บริษัท เลกซัส สุขุมวิท จำกัด ตั้งอยู่ที่สุขุมวิท 18 และบริษัท เลกซัส ออโต้ซิตี้ จำกัด บนถนนรามอินทรา ก.ม.2
http://matichon.co.th/prachachat/news_d ... 20&catid=2
เลกซัส ประกาศราคาใหม่ หลัง JTEPA มีผลบังคับใช้ ปรับลดราคาลงตั้งแต่ 3-6.4 แสนบาท ส่วนรถตู้ โตโยต้า รับอานิสงส์ ลดราคาลงอีก 1.1-1.5 หมื่นบาท ดีเดย์ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมปีนี้ เผยแม้ตลาดรถหรูหราจะซบ แต่เลกซัสโตสวนกระแสถึง 15% ชี้เป็นผลจากกิจกรรมการตลาดที่
นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้แจ้งปรับลดราคาจำหน่ายรถยนต์เลกซัสที่มีเครื่องยนต์เกิน 3000 ซีซี ในรุ่นแอลเอส 460, อาร์เอ็กซ์ 350 และ 400 เอช พร้อมด้วยรถตู้โตโยต้า รุ่นเวนจูรี่, คอมมิวเตอร์ และไฮเอช ตามโครงสร้างภาษีนำเข้าใหม่ภายใต้ข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจ ไทย-ญี่ปุ่น หรือ Japan-Thailand Economic Partnership Agreement (JTEPA)
การปรับลดภาษีนำเข้าตามข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจนั้นส่งผลให้อัตราภาษีนำเข้ารถยนต์ใหม่ลดลง ทั้งนี้เพื่อปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น และเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ลูกค้า บริษัทจึงได้ปรับราคารถยนต์เลกซัสและรถตู้นำเข้าลง ส่งผลให้ราคารถยนต์เลกซัสลดลงตั้งแต่ 300,000 บาท ถึง 640,000 บาท ซึ่งราคาใหม่มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2551 พร้อมด้วย การปรับลดราคาของรถตู้เวนจูรี่ คอมมิวเตอร์ และไฮเอช ตั้งแต่ 11,000 บาทถึง 15,000 บาท
สำหรับราคาจำหน่ายรถยนต์เลกซัสตามโครงสร้างภาษีใหม่นั้น ในรุ่นแอลเอส 460 ช่วงยาว ราคา 10.910 ล้านบาท ลดลงจากเดิม 640,000 บาท รุ่นแอลเอส 460 ช่วงสั้น ราคา 9.020 ล้านบาท ปรับลดลง 530,000 บาท รุ่นอาร์เอ็กซ์ 400 เอช ราคา 5.880 ล้านบาท ลดลง 340,000 บาท รุ่นอาร์เอ็กซ์ 350 ราคา 5.120 ล้านบาท ลดลง 300,000 บาท
ส่วนรถตู้โตโยต้านั้นได้ปรับราคาตามโครงสร้างภาษีใหม่ดังนี้ รุ่นเวนจูรี่ มาเจสตี้ ราคา 2.200 ล้านบาท ลดลง 11,000 บาท รุ่นเวนจูรี่ 2.7V ราคา 1.468 ล้านบาท ลดลง 11,000 ล้านบาท รุ่นเวนจูรี่ 2.5G ราคา 1.288 ล้านบาท ลดลง 11,000 บาท รุ่นคอมมิวเตอร์ หลังคาสูง สีเมทัลลิก ราคา 1.106 ล้านบาท ลดลง 11,000 บาท รุ่นคอมมิวเตอร์ หลังคาสูง ราคา 1.100 ล้านบาท ลดลง 11,000 บาท และรุ่นไฮเอช อีโคโนมี่ ตู้ทึบ ราคา 841,000 บาท ลดลง 15,000 บาท
ทั้งนี้แม้ว่าในปี 2550 ที่ผ่านมา จะเป็นปีที่ยากลำบากของตลาดรถยนต์ระดับหรู แต่เลกซัสถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยมียอดขายรวมทั้งสิ้น 362 คัน เติบโตขึ้นถึง 15% เนื่องจากในปีที่ผ่านมา รถยนต์เลกซัสได้รับการตอบรับจากลูกค้ามากขึ้น และเป็นรถยนต์ระดับหรูรายแรกที่แนะนำเครื่องยนต์ไฮบริดเข้าสู่ตลาดเมืองไทยอย่างเป็นทางการ ในรุ่นอาร์เอ็กซ์ 400 เอช ที่โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย สมรรถนะที่ดีเยี่ยม และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
นอกจากนั้นบริษัทยังให้ความสำคัญกับลูกค้าด้วยกิจกรรมและสิทธิพิเศษต่างๆ มากมาย รวมทั้งมุ่งเน้นการให้ความสำคัญกับการบริการหลังการขาย และสร้างความภูมิใจในการครอบครองรถยนต์เลกซัส ตลอดจนจัดกิจกรรมเพื่อลูกค้าผ่านเลกซัสคลับอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้ทำให้รถยนต์เล็กซัสประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี
ทั้งนี้บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์ระดับหรู เลกซัส แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ปัจจุบันมีผู้แทนจำหน่ายรถยนต์เลกซัสอย่างเป็นทางการ3 แห่ง คือ บริษัท เล็กซ์ซัส กรุงเทพ จำกัด ตั้งอยู่บนถนนพระราม 9, บริษัท เลกซัส สุขุมวิท จำกัด ตั้งอยู่ที่สุขุมวิท 18 และบริษัท เลกซัส ออโต้ซิตี้ จำกัด บนถนนรามอินทรา ก.ม.2
http://matichon.co.th/prachachat/news_d ... 20&catid=2
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news18/01/08
โพสต์ที่ 135
"เด็นโซ่"โชว์ไทยฮับภูมิภาคเอเชีย เท700ล.ขยายผลิตรับอีโคคาร์
"เด็นโซ่" เดินหน้าขยายธุรกิจในไทย หลังขึ้นแท่นศูนย์การผลิตของภูมิภาค โยกหน่วยงานสำคัญจากสิงคโปร์มาอยู่เมืองไทยเรียบร้อยแล้ว แถมผุดศูนย์อาร์แอนด์ดีเพิ่ม บริษัทแม่ประกาศเทงบฯอีก 700 ล้านบาท ขยายกำลังผลิตรับอีโคคาร์ ชี้แนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยยังโตต่อเนื่อง
นายถาวร ชลัษเฐียร กรรมการฝ่ายบริหาร บริษัท เด็นโซ่ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมแผนขยายธุรกิจในประเทศไทยเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ในอนาคต โดยเฉพาะด้านการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ รวมถึงการลงทุนของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์สำหรับโครงการรถยนต์ขนาดเล็กประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล หรืออีโคคาร์ ซึ่งปัจจุบันได้มีบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ถึง 7 ราย ได้แสดงเจตจำนงในการดำเนินงานและมีผู้ประกอบการรายใหญ่ได้ประกาศการลงทุนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดยก่อนหน้านี้บริษัท เด็นโซ่ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศญี่ปุ่น) ได้ประกาศให้บริษัท เด็นโซ่ อินเตอร์เนชั่นแนล เอเชีย พีทีอี จำกัด (DENSO International Asia Pte. Ltd : DIAS) ซึ่งเป็นสำนักงานประจำภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนียซึ่งตั้งอยู่ในประเทศสิงคโปร์ ได้ย้ายหน่วยงานบ้างส่วนเพื่อมาก่อตั้งสำนักงานภูมิภาคแห่งใหม่ขึ้นที่ประเทศไทย ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2550 ในชื่อ บริษัท เด็นโซ่ อินเตอร์เนชั่นแนล เอเชีย จำกัด (DENSO International Asia Co., Ltd: DIAT) ด้วยงบประมาณลงทุนขั้นต้นจำนวน 700 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังได้ก่อตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาขึ้นในประเทศไทยด้วย สำหรับบริษัทแห่งใหม่นี้จะมี หน้าที่บริหารจัดการด้านวางแผนการผลิตสินค้า การบริหารระบบสารสนเทศ และจัดการฝึกอบรมให้แก่กลุ่มบริษัทเด็นโซ่ในภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย โดยจะโอนงานบางส่วนจากประเทศสิงคโปร์และจากบริษัท เด็นโซ่ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านการจำหน่ายสินค้าที่ผลิตจากกลุ่มบริษัทเด็นโซ่ ประเทศไทยมาไว้ยังบริษัทแห่งใหม่ เนื่องจากมีศูนย์วิจัยและพัฒนาเป็นของตัวเอง และจะทำหน้าที่พัฒนาสินค้าตอบสนองกับความต้องการของผู้บริโภคได้
"ในปีที่ผ่านมาบริษัทแม่ได้ลงทุนมูลค่าถึง 700 ล้านบาท เพื่อตั้งสำนักงานประจำภูมิภาคใหม่ขึ้นในประเทศไทย และเราได้โยกย้ายหน่วยงานบางส่วนเข้ามาไว้ยังประเทศไทย เช่น งานด้านการตลาด งานด้านไอเอส เป็นต้น เพื่อเป็นการรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมไทยที่มีทั้งโตโยต้า ฮอนด้า และบริษัทรถยนต์ใหญ่ๆ ได้เข้ามาลงทุนในไทยเป็นจำนวนมาก"
ทั้งนี้หลังจากที่บริษัทแม่ลงทุนเบื้องต้นกว่า 700 ล้านบาท ในการตั้งสำนักงานภูมิภาคในประเทศไทยเมื่อปีที่ผ่านมา ส่งผลให้มีการย้ายหน่วยงานที่สำคัญเข้ามาในปีนี้ ซึ่งบริษัทคาดว่าจะมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องและจะต้องเพิ่มพนักงานในระดับวิศวกรอีกกว่า 150-200 ตำแหน่ง ภายใน 3-5 ปี ซึ่งการย้ายมาครั้งนี้จะทำให้บริษัทสามารถตอบสนองความต้องการของค่ายรถได้ดีขึ้น โดยบริษัทใหม่คาดว่าเริ่มดำเนินการประมาณเดือนเมษายนนี้ และคาดว่าการลงทุนจะขยายขึ้นถึง 1 พันล้านบาท
"วันนี้ค่ายรถจากญี่ปุ่นย้ายมาตั้งฐานในประเทศไทยทั้งหมด การย้ายแผนกสำคัญๆ ในระดับ ภูมิภาคตามเข้ามาในประเทศไทยด้วย จะทำให้เด็นโซ่สามารถทำงานร่วมกับผู้ผลิตรถยนต์ต่างๆได้ง่ายขึ้น"
ส่วนแนวโน้มการลงทุนของผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในประเทศไทยนั้น ขณะนี้บรรดาผู้ประกอบการด้านชิ้นส่วนยานยนต์ต่างรอความชัดเจนจากโครงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอีโคคาร์ซึ่งขณะนี้มีบริษัทรถยนต์ที่ยื่นขอรับการส่งเสริมกำลังอยู่ระหว่างขั้นตอนของการพิจารณาอีก 4 ราย หลังจากที่มีค่ายรถ 3 ราย ได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมการลงทุนไปแล้ว
และหากมีความชัดเจนดังกล่าวคาดว่าจะมีการลงทุนตามมาอย่างต่อเนื่องในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากผู้ประกอบการแต่ละรายจำเป็นจะต้องมีการเตรียมความพร้อมในการผลิต แต่อาจจะยังต้องรอดูสถานการณ์ทางการเมืองว่าจะมีความ ชัดเจนเพียงใด ซึ่งหากทุกอย่างพร้อมเชื่อว่าผู้ผลิตชิ้นส่วนจะพร้อมลงทุนอย่างแน่นอน
สำหรับภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ในปีนี้คาดว่าจะมีการผลิตรถยนต์สูงถึง 1.42 ล้านคัน เติบโตราว 10% เมื่อเทียบกับยอดการผลิต 1.29 ล้านคัน ในปีที่ผ่านมา ซึ่งบริษัทมองว่าจะสามารถรักษาอัตราการเติบโตได้มากกว่าการเติบโตของตลาดรวมเล็กน้อย โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทมีอัตราการเติบโตมากกว่าตลาดรวมที่เติบโตเพียง 8%
ทั้งนี้บริษัท เด็นโซ่ คอร์ปอเรชั่น มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองคาริยะ จังหวัดไอจิ ประเทศญี่ปุ่น ดำเนินธุรกิจด้านการพัฒนาและผลิตอุปกรณ์ชิ้นส่วนยานยนต์ โดยมีพนักงานทั่วโลกกว่า 106,000 คน ใน 32 ประเทศ มีรายได้จากยอดขายทั่วโลก ณ สิ้นปีงบประมาณ 2549 (เมษายน 2549-มีนาคม 2550) จำนวน 27.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยจดทะเบียนในตลาดหุ้นที่โตเกียว โอซากา และนาโงยา
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0210
"เด็นโซ่" เดินหน้าขยายธุรกิจในไทย หลังขึ้นแท่นศูนย์การผลิตของภูมิภาค โยกหน่วยงานสำคัญจากสิงคโปร์มาอยู่เมืองไทยเรียบร้อยแล้ว แถมผุดศูนย์อาร์แอนด์ดีเพิ่ม บริษัทแม่ประกาศเทงบฯอีก 700 ล้านบาท ขยายกำลังผลิตรับอีโคคาร์ ชี้แนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยยังโตต่อเนื่อง
นายถาวร ชลัษเฐียร กรรมการฝ่ายบริหาร บริษัท เด็นโซ่ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมแผนขยายธุรกิจในประเทศไทยเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ในอนาคต โดยเฉพาะด้านการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ รวมถึงการลงทุนของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์สำหรับโครงการรถยนต์ขนาดเล็กประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล หรืออีโคคาร์ ซึ่งปัจจุบันได้มีบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ถึง 7 ราย ได้แสดงเจตจำนงในการดำเนินงานและมีผู้ประกอบการรายใหญ่ได้ประกาศการลงทุนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดยก่อนหน้านี้บริษัท เด็นโซ่ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศญี่ปุ่น) ได้ประกาศให้บริษัท เด็นโซ่ อินเตอร์เนชั่นแนล เอเชีย พีทีอี จำกัด (DENSO International Asia Pte. Ltd : DIAS) ซึ่งเป็นสำนักงานประจำภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนียซึ่งตั้งอยู่ในประเทศสิงคโปร์ ได้ย้ายหน่วยงานบ้างส่วนเพื่อมาก่อตั้งสำนักงานภูมิภาคแห่งใหม่ขึ้นที่ประเทศไทย ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2550 ในชื่อ บริษัท เด็นโซ่ อินเตอร์เนชั่นแนล เอเชีย จำกัด (DENSO International Asia Co., Ltd: DIAT) ด้วยงบประมาณลงทุนขั้นต้นจำนวน 700 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังได้ก่อตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาขึ้นในประเทศไทยด้วย สำหรับบริษัทแห่งใหม่นี้จะมี หน้าที่บริหารจัดการด้านวางแผนการผลิตสินค้า การบริหารระบบสารสนเทศ และจัดการฝึกอบรมให้แก่กลุ่มบริษัทเด็นโซ่ในภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย โดยจะโอนงานบางส่วนจากประเทศสิงคโปร์และจากบริษัท เด็นโซ่ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านการจำหน่ายสินค้าที่ผลิตจากกลุ่มบริษัทเด็นโซ่ ประเทศไทยมาไว้ยังบริษัทแห่งใหม่ เนื่องจากมีศูนย์วิจัยและพัฒนาเป็นของตัวเอง และจะทำหน้าที่พัฒนาสินค้าตอบสนองกับความต้องการของผู้บริโภคได้
"ในปีที่ผ่านมาบริษัทแม่ได้ลงทุนมูลค่าถึง 700 ล้านบาท เพื่อตั้งสำนักงานประจำภูมิภาคใหม่ขึ้นในประเทศไทย และเราได้โยกย้ายหน่วยงานบางส่วนเข้ามาไว้ยังประเทศไทย เช่น งานด้านการตลาด งานด้านไอเอส เป็นต้น เพื่อเป็นการรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมไทยที่มีทั้งโตโยต้า ฮอนด้า และบริษัทรถยนต์ใหญ่ๆ ได้เข้ามาลงทุนในไทยเป็นจำนวนมาก"
ทั้งนี้หลังจากที่บริษัทแม่ลงทุนเบื้องต้นกว่า 700 ล้านบาท ในการตั้งสำนักงานภูมิภาคในประเทศไทยเมื่อปีที่ผ่านมา ส่งผลให้มีการย้ายหน่วยงานที่สำคัญเข้ามาในปีนี้ ซึ่งบริษัทคาดว่าจะมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องและจะต้องเพิ่มพนักงานในระดับวิศวกรอีกกว่า 150-200 ตำแหน่ง ภายใน 3-5 ปี ซึ่งการย้ายมาครั้งนี้จะทำให้บริษัทสามารถตอบสนองความต้องการของค่ายรถได้ดีขึ้น โดยบริษัทใหม่คาดว่าเริ่มดำเนินการประมาณเดือนเมษายนนี้ และคาดว่าการลงทุนจะขยายขึ้นถึง 1 พันล้านบาท
"วันนี้ค่ายรถจากญี่ปุ่นย้ายมาตั้งฐานในประเทศไทยทั้งหมด การย้ายแผนกสำคัญๆ ในระดับ ภูมิภาคตามเข้ามาในประเทศไทยด้วย จะทำให้เด็นโซ่สามารถทำงานร่วมกับผู้ผลิตรถยนต์ต่างๆได้ง่ายขึ้น"
ส่วนแนวโน้มการลงทุนของผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในประเทศไทยนั้น ขณะนี้บรรดาผู้ประกอบการด้านชิ้นส่วนยานยนต์ต่างรอความชัดเจนจากโครงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอีโคคาร์ซึ่งขณะนี้มีบริษัทรถยนต์ที่ยื่นขอรับการส่งเสริมกำลังอยู่ระหว่างขั้นตอนของการพิจารณาอีก 4 ราย หลังจากที่มีค่ายรถ 3 ราย ได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมการลงทุนไปแล้ว
และหากมีความชัดเจนดังกล่าวคาดว่าจะมีการลงทุนตามมาอย่างต่อเนื่องในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากผู้ประกอบการแต่ละรายจำเป็นจะต้องมีการเตรียมความพร้อมในการผลิต แต่อาจจะยังต้องรอดูสถานการณ์ทางการเมืองว่าจะมีความ ชัดเจนเพียงใด ซึ่งหากทุกอย่างพร้อมเชื่อว่าผู้ผลิตชิ้นส่วนจะพร้อมลงทุนอย่างแน่นอน
สำหรับภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ในปีนี้คาดว่าจะมีการผลิตรถยนต์สูงถึง 1.42 ล้านคัน เติบโตราว 10% เมื่อเทียบกับยอดการผลิต 1.29 ล้านคัน ในปีที่ผ่านมา ซึ่งบริษัทมองว่าจะสามารถรักษาอัตราการเติบโตได้มากกว่าการเติบโตของตลาดรวมเล็กน้อย โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทมีอัตราการเติบโตมากกว่าตลาดรวมที่เติบโตเพียง 8%
ทั้งนี้บริษัท เด็นโซ่ คอร์ปอเรชั่น มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองคาริยะ จังหวัดไอจิ ประเทศญี่ปุ่น ดำเนินธุรกิจด้านการพัฒนาและผลิตอุปกรณ์ชิ้นส่วนยานยนต์ โดยมีพนักงานทั่วโลกกว่า 106,000 คน ใน 32 ประเทศ มีรายได้จากยอดขายทั่วโลก ณ สิ้นปีงบประมาณ 2549 (เมษายน 2549-มีนาคม 2550) จำนวน 27.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยจดทะเบียนในตลาดหุ้นที่โตเกียว โอซากา และนาโงยา
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0210
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news21/01/08
โพสต์ที่ 136
ทาทา นาโน รถจิ๋วเสน่ห์แจ๋วราคาขายโดนใจแค่ 2 แสนบาท [ ฉบับที่ 863 ประจำวันที่ 19-1-2008 ถึง 22-1-2008]
ไทยเร่งศึกษาทำตลาดรถเล็กทาทาใน 2 ปี หลังเปิดตัว นาโนในอินเดียไตรมาส 3 ปีนี้ขายคันละ 85,000 บาทถูกสุดในโลก เกจิวงการรถเผย ถ้าไทยนำเข้าราคา 180,000-200,000 บาท เพราะบวกภาษีศุลกากร 80% และสรรพสามิตอีก 30% แต่หาก FTA ไทย-อินเดียผ่าน เสีย 5% ราคาขายคันละ 130,000 บาท
นายอภิเชต สีตกะลิน ผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท ทาทา มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผย สยามธุรกิจ ถึงทาทา นาโน ว่าสำหรับในเมืองไทยนั้นบริษัทมีการศึกษา อยู่ เป็นแผนระยะยาวใน 2 ปี ที่มีการศึกษาตลาดมาต่อเนื่อง โดยขณะนี้ก็ยังอยู่ในขั้นการศึกษา ซึ่งก็ยังระบุไม่ได้ว่าจะทำตลาดรถเล็กรุ่นนี้หรือไม่ แต่ในอินเดียเตรียมจะเปิดตัวในไตรมาส 3 นี้
โดยหลังจากข่าวการเปิด นาโนแพร่ออกมาก็มีลูกค้าติดต่อสอบถามเข้ามาจำนวนมาก ว่าบริษัทจะทำตลาดหรือนำเข้า นาโนมาขายในเมืองไทยหรือไม่ ซึ่งขณะนี้คงไม่มีการนำเข้ามาขาย เพราะราคาขายปลีกรถรุ่นนี้ในอินเดียคันละ 1 แสนรูปีหรือประมาณ 85,000 บาท แต่อย่างไรก็ตามต้องดูจากความต้องการของลูกค้าหลังจากเปิดขายในอินเดียแล้ว
"สัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้บริหารทาทา มอเตอร์ เชิญประเทศกลุ่มผู้ผลิตของ ทาทา ทั่วโลกไปร่วมงาน ออโต เอ็กซ์โป ครั้งที่ 9 ที่เมืองนิวเดลี เพื่อศึกษารถรุ่นนี้ ซึ่งในรุ่นสแตนดาร์ด ราคาจะประมาณ 1 แสนรูปี แต่สำหรับรุ่นลักชัวรี่ ระบบต่าง ๆ อัตโนมัติทั้งหมดมีอุปกรณ์ออฟชั่นครบ ราคาก็จะไม่ต่างจากรถเล็กในตลาดโลก"
โดยคาดว่าในงาน มอเตอร์โชว์ 2008 ที่ไบเทคบางนาก็จะนำรถต้นแบบรุ่นนี้เข้ามาโชว์เทคโนโลยี่ให้คนไทยได้รู้จักรถอินเดียมากขึ้น
ด้านแหล่งข่าวในวงการรถยนต์เปิดเผยิสยามธุรกิจิ ถึงราคารถยนต์นาโนที่หากนำเข้ามาขายในไทยว่า จะต้องบวกภาษีนำเข้าศุลกากร 80 % และภาษีสรรพสามิต 30% สำหรับรถยนต์นั่งขนาดเล็ก และหากเข้าข่าย E20 ก็เสียภาษีในอัตรา 25% รวมแล้วคาดว่ารถรุ่นนี้เมื่อนำเข้ามาราคาประมาณ 180,000-190,000 บาท แต่ถ้าหากข้อตกลงเขตการค้าเสรีไทย-อินเดียสำหรับกลุ่มยานยนต์มีผลบังคับใช้ รถที่ไทยนำเข้าจากอินเดียก็จะเสียภาษีในอัตรา 5 % ซึ่งถูกมาก ๆ โดยรุ่นนาโน ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 130,000 บาทเท่านั้น
และจากรายงานข่าวของอินเดีย เปิดเผยถึงการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ นาโน ของ ทาทา มอเตอร์ บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย โดยนาย ราฐาน ทาทา ประธานกรรมการบริหาร ทาทา กรุ๊ป กลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่ของอินเดียและผู้ผลิตรถยนต์ยี่ห้อ ทาทา กล่าวว่า ทาทาจะทำการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ นาโน ซึ่งเป็นรถยนต์ที่ถูกที่สุด ด้วยราคาเพียง 2,500 ดอลล่าร์สหรัฐในอินเดีย โดยราคาดังกล่าวเป็นราคาที่อยู่ระหว่างรถยนต์ไซน์ มินิคือรถขนาดเล็กและรถมอเตอร์ไซค์ พร้อมจะเริ่มจำหน่ายอย่างเป็นทางการในช่วงครึ่งหลังหรือไตรมาส 3 ของปี 2551 ด้วยยอดขายที่ตั้งไว้ 500,000 คันต่อปี
โดยทาทา นาโนเป็นรถยนต์ขนาดเล็ก 4 ประตูเครื่องยนต์ เบนซินขนาด 624 ซีซี.33 แรงม้า 4 ที่นั่ง มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน 5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ความยาวตัวรถ 3.1 เมตร กว้าง 1.5 เมตรและสูง 1.6 เมตร มีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่นคือ รุ่นสแตนดาร์ด 1 เวอร์ชั่นและรุ่นลักชัวรี่ 2 เวอร์ชั่น
โดยรถเวอร์ชั่นสแตนดาร์ดไม่มีพวงมาลัยพาวเวอร์ ระบบเบรกเป็นแบบหน้าดิกส์-หลังดรัม หน้าปัดส์มีเพียงแผงวัดความเร็ว เกจ์วัดน้ำมัน ไม่มีวิทยุ เครื่องยนต์เหมือนกันทั้ง 3 เวอร์ชั่นแบบอะลูมินั่ม 2 สูบขับเคลื่อนล้อหลัง จ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีดมัลติพอยต์และโครงสร้างตัวถังทำด้วยเหล็กกล้าทั้งคัน
โดยสิ่งที่จุดประกายความคิดในการผลิตรถยนต์ราคาถูกของ ทาทา มอเตอร์ ครั้งนี้ เนื่องจาก นายราฐาน ได้พบว่าครอบครัวจำนวนมากในอินเดียได้อาศัยรถ 2 ล้อเป็นพาหนะในการสัญจรจนเป็นภาพที่ชินตา จึงเกิดไอเดียที่จะทำรถเพื่อประชาชน หรือ พีเพิลคาร์
" เขาเห็นภาพ พ่อขี่รถ 2 ล้อ โดยให้เด็กนั่งเบาะรถด้านหน้า ส่วนภรรยาก็จะอุ้มลูกเล็กที่เบาะนั่งด้านหลัง จึงเกิดความคิด ว่า ทำไมทาทาไม่ผลิตรถที่คนทั่วไปซื้อหามาขับได้ง่าย ๆ ในราคาที่ประหยัด ปลอดภัยกว่าขับรถ 2 ล้อ"
จากนั้นทีมวิศวกรและนักออกแบบของทาทา ก็ได้เริ่มโปรเจ็กต์ผลิตรถเล็กราคาถูกใช้เวลากว่า 4 ปี เพื่อที่จะได้รถรุ่นนี้ตรงกับความต้องการของคนทั่วไปในอินเดีย
เชื่อมโยงถึงการขยายธุรกิจของ ทาทา มอเตอร์ ในประเทศไทย ที่ได้ยื่อขออนุมัติการลงทุนกับบีโอไอมูลค่าถึง 7,300 ล้านบาทในการผลิตรถอีโคคาร์ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานและก่อนหน้านี้ทาทาได้ร่วมทุนกับบริษัท ธนบุรี ประกอบรถยนต์ จำกัด เงินลงทุนมูลค่า 1,300 ล้านบาทในการผลิตรถปิกอัพ
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... s_id=10740
ไทยเร่งศึกษาทำตลาดรถเล็กทาทาใน 2 ปี หลังเปิดตัว นาโนในอินเดียไตรมาส 3 ปีนี้ขายคันละ 85,000 บาทถูกสุดในโลก เกจิวงการรถเผย ถ้าไทยนำเข้าราคา 180,000-200,000 บาท เพราะบวกภาษีศุลกากร 80% และสรรพสามิตอีก 30% แต่หาก FTA ไทย-อินเดียผ่าน เสีย 5% ราคาขายคันละ 130,000 บาท
นายอภิเชต สีตกะลิน ผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท ทาทา มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผย สยามธุรกิจ ถึงทาทา นาโน ว่าสำหรับในเมืองไทยนั้นบริษัทมีการศึกษา อยู่ เป็นแผนระยะยาวใน 2 ปี ที่มีการศึกษาตลาดมาต่อเนื่อง โดยขณะนี้ก็ยังอยู่ในขั้นการศึกษา ซึ่งก็ยังระบุไม่ได้ว่าจะทำตลาดรถเล็กรุ่นนี้หรือไม่ แต่ในอินเดียเตรียมจะเปิดตัวในไตรมาส 3 นี้
โดยหลังจากข่าวการเปิด นาโนแพร่ออกมาก็มีลูกค้าติดต่อสอบถามเข้ามาจำนวนมาก ว่าบริษัทจะทำตลาดหรือนำเข้า นาโนมาขายในเมืองไทยหรือไม่ ซึ่งขณะนี้คงไม่มีการนำเข้ามาขาย เพราะราคาขายปลีกรถรุ่นนี้ในอินเดียคันละ 1 แสนรูปีหรือประมาณ 85,000 บาท แต่อย่างไรก็ตามต้องดูจากความต้องการของลูกค้าหลังจากเปิดขายในอินเดียแล้ว
"สัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้บริหารทาทา มอเตอร์ เชิญประเทศกลุ่มผู้ผลิตของ ทาทา ทั่วโลกไปร่วมงาน ออโต เอ็กซ์โป ครั้งที่ 9 ที่เมืองนิวเดลี เพื่อศึกษารถรุ่นนี้ ซึ่งในรุ่นสแตนดาร์ด ราคาจะประมาณ 1 แสนรูปี แต่สำหรับรุ่นลักชัวรี่ ระบบต่าง ๆ อัตโนมัติทั้งหมดมีอุปกรณ์ออฟชั่นครบ ราคาก็จะไม่ต่างจากรถเล็กในตลาดโลก"
โดยคาดว่าในงาน มอเตอร์โชว์ 2008 ที่ไบเทคบางนาก็จะนำรถต้นแบบรุ่นนี้เข้ามาโชว์เทคโนโลยี่ให้คนไทยได้รู้จักรถอินเดียมากขึ้น
ด้านแหล่งข่าวในวงการรถยนต์เปิดเผยิสยามธุรกิจิ ถึงราคารถยนต์นาโนที่หากนำเข้ามาขายในไทยว่า จะต้องบวกภาษีนำเข้าศุลกากร 80 % และภาษีสรรพสามิต 30% สำหรับรถยนต์นั่งขนาดเล็ก และหากเข้าข่าย E20 ก็เสียภาษีในอัตรา 25% รวมแล้วคาดว่ารถรุ่นนี้เมื่อนำเข้ามาราคาประมาณ 180,000-190,000 บาท แต่ถ้าหากข้อตกลงเขตการค้าเสรีไทย-อินเดียสำหรับกลุ่มยานยนต์มีผลบังคับใช้ รถที่ไทยนำเข้าจากอินเดียก็จะเสียภาษีในอัตรา 5 % ซึ่งถูกมาก ๆ โดยรุ่นนาโน ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 130,000 บาทเท่านั้น
และจากรายงานข่าวของอินเดีย เปิดเผยถึงการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ นาโน ของ ทาทา มอเตอร์ บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย โดยนาย ราฐาน ทาทา ประธานกรรมการบริหาร ทาทา กรุ๊ป กลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่ของอินเดียและผู้ผลิตรถยนต์ยี่ห้อ ทาทา กล่าวว่า ทาทาจะทำการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ นาโน ซึ่งเป็นรถยนต์ที่ถูกที่สุด ด้วยราคาเพียง 2,500 ดอลล่าร์สหรัฐในอินเดีย โดยราคาดังกล่าวเป็นราคาที่อยู่ระหว่างรถยนต์ไซน์ มินิคือรถขนาดเล็กและรถมอเตอร์ไซค์ พร้อมจะเริ่มจำหน่ายอย่างเป็นทางการในช่วงครึ่งหลังหรือไตรมาส 3 ของปี 2551 ด้วยยอดขายที่ตั้งไว้ 500,000 คันต่อปี
โดยทาทา นาโนเป็นรถยนต์ขนาดเล็ก 4 ประตูเครื่องยนต์ เบนซินขนาด 624 ซีซี.33 แรงม้า 4 ที่นั่ง มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน 5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ความยาวตัวรถ 3.1 เมตร กว้าง 1.5 เมตรและสูง 1.6 เมตร มีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่นคือ รุ่นสแตนดาร์ด 1 เวอร์ชั่นและรุ่นลักชัวรี่ 2 เวอร์ชั่น
โดยรถเวอร์ชั่นสแตนดาร์ดไม่มีพวงมาลัยพาวเวอร์ ระบบเบรกเป็นแบบหน้าดิกส์-หลังดรัม หน้าปัดส์มีเพียงแผงวัดความเร็ว เกจ์วัดน้ำมัน ไม่มีวิทยุ เครื่องยนต์เหมือนกันทั้ง 3 เวอร์ชั่นแบบอะลูมินั่ม 2 สูบขับเคลื่อนล้อหลัง จ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีดมัลติพอยต์และโครงสร้างตัวถังทำด้วยเหล็กกล้าทั้งคัน
โดยสิ่งที่จุดประกายความคิดในการผลิตรถยนต์ราคาถูกของ ทาทา มอเตอร์ ครั้งนี้ เนื่องจาก นายราฐาน ได้พบว่าครอบครัวจำนวนมากในอินเดียได้อาศัยรถ 2 ล้อเป็นพาหนะในการสัญจรจนเป็นภาพที่ชินตา จึงเกิดไอเดียที่จะทำรถเพื่อประชาชน หรือ พีเพิลคาร์
" เขาเห็นภาพ พ่อขี่รถ 2 ล้อ โดยให้เด็กนั่งเบาะรถด้านหน้า ส่วนภรรยาก็จะอุ้มลูกเล็กที่เบาะนั่งด้านหลัง จึงเกิดความคิด ว่า ทำไมทาทาไม่ผลิตรถที่คนทั่วไปซื้อหามาขับได้ง่าย ๆ ในราคาที่ประหยัด ปลอดภัยกว่าขับรถ 2 ล้อ"
จากนั้นทีมวิศวกรและนักออกแบบของทาทา ก็ได้เริ่มโปรเจ็กต์ผลิตรถเล็กราคาถูกใช้เวลากว่า 4 ปี เพื่อที่จะได้รถรุ่นนี้ตรงกับความต้องการของคนทั่วไปในอินเดีย
เชื่อมโยงถึงการขยายธุรกิจของ ทาทา มอเตอร์ ในประเทศไทย ที่ได้ยื่อขออนุมัติการลงทุนกับบีโอไอมูลค่าถึง 7,300 ล้านบาทในการผลิตรถอีโคคาร์ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานและก่อนหน้านี้ทาทาได้ร่วมทุนกับบริษัท ธนบุรี ประกอบรถยนต์ จำกัด เงินลงทุนมูลค่า 1,300 ล้านบาทในการผลิตรถปิกอัพ
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... s_id=10740
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news23/01/08
โพสต์ที่ 137
โตโยต้าเดินหน้าอี20
โพสต์ทูเดย์ โตโยต้า ประกาศ บุกตลาดปีนี้ด้วยพลังงานทดแทน เตรียมเปิดตัวรถใช้ อี20 รวดเดียว 4 รุ่น พร้อมรับปรับสภาพรถเก่า
นายวิเชียร เอมประเสริฐสุข ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย กล่าวว่า โตโยต้าเตรียมเปิดตัวรถยนต์ 4 รุ่น ที่สามารถใช้เชื้อเพลิง อี20 ในเดือน ก.พ.นี้ ประกอบด้วย อัลติส รุ่นใหม่ และรถรุ่นเดิมอีก 3 รุ่น ประกอบด้วย คัมรี วีออส และยาริส ที่จะปรับสเปกเครื่องยนต์ให้สามารถใช้น้ำมัน อี20 ได้ โดยรถทั้ง 4 รุ่น จะเริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.เป็นต้นไป
นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการศึกษา และสร้างทีมงานเพื่อให้คำปรึกษากับลูกค้าของรถยนต์โตโยต้า ที่ต้องการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ให้สามารถใช้น้ำมัน อี20 ได้ด้วย
ทั้งนี้ รถโตโยต้ารุ่นเก่าที่สามารถปรับสภาพเครื่องยนต์รุ่นเดิมให้ มาใช้ อี20 ได้ ด้วยการเปลี่ยน ท่อยางในระบบต่างๆ รวมถึงปรับแต่งกล่องอีซียูของรถยนต์ ซึ่งลูกค้าที่สนใจสามารถสอบถามเข้ามาทางตัวแทนจำหน่ายของโตโยต้าได้ หลังจากที่โตโยต้าเปิดตัวรถในโครงการนี้อย่างเป็นทางการ
นายวิเชียร กล่าวว่า โตโยต้าเห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาล ในเรื่องของการผลักดันให้มีการใช้พลังงานทดแทน โดยบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษารถยนต์ที่ใช้พลังงานทดแทนทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแก๊สโซฮอล์ อี20 ไบโอดีเซล บี5 ก๊าซธรรมชาติ หรือแม้แต่เครื่องยนต์ไฮบริด รวมถึงรถยนต์ที่ติดตั้งก๊าซซีเอ็นจี ที่จะเปิดตัวในไม่ช้านี้
แหล่งข่าวจาก ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์โตโยต้า เปิดเผยว่าขณะ นี้ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องของการปรับสภาพรถยนต์เก่าแต่อย่างใด แต่คาดการณ์ว่าจะเสียค่าใช้จ่ายในเบื้องต้นไม่เกิน 1 หมื่นบาทต่อคัน ซึ่งรถที่ปรับสภาพได้น่าจะเป็นรถ ที่ผลิตออกมาเพื่อรองรับ อี20 อยู่ แล้ว ได้แก่ คัมรี ใหม่ วีออส ใหม่ และยาริส เท่านั้น ส่วนรถยนต์โตโยต้าที่เปิดตัวก่อน 3 รุ่นนี้ ไม่น่าจะปรับสภาพได้
ด้านนายมิทซึฮิโระ โซโนดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย กล่าวว่า รถยนต์ที่ใช้พลังงานทดแทนจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ ตลาดเติบโตไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 11% เนื่องจากรัฐบาลให้การสนับสนุนทั้งในเรื่องของภาษีสรรพสามิต และราคาพลังงานทดแทน ส่งผลให้ผู้บริโภคเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรม ที่เติบโตมาจากช่วง 2 ไตรมาสก่อนหน้านี้ ก็จะช่วยผลักดันยอดจำหน่าย เช่นกัน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=216360
โพสต์ทูเดย์ โตโยต้า ประกาศ บุกตลาดปีนี้ด้วยพลังงานทดแทน เตรียมเปิดตัวรถใช้ อี20 รวดเดียว 4 รุ่น พร้อมรับปรับสภาพรถเก่า
นายวิเชียร เอมประเสริฐสุข ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย กล่าวว่า โตโยต้าเตรียมเปิดตัวรถยนต์ 4 รุ่น ที่สามารถใช้เชื้อเพลิง อี20 ในเดือน ก.พ.นี้ ประกอบด้วย อัลติส รุ่นใหม่ และรถรุ่นเดิมอีก 3 รุ่น ประกอบด้วย คัมรี วีออส และยาริส ที่จะปรับสเปกเครื่องยนต์ให้สามารถใช้น้ำมัน อี20 ได้ โดยรถทั้ง 4 รุ่น จะเริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.เป็นต้นไป
นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการศึกษา และสร้างทีมงานเพื่อให้คำปรึกษากับลูกค้าของรถยนต์โตโยต้า ที่ต้องการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ให้สามารถใช้น้ำมัน อี20 ได้ด้วย
ทั้งนี้ รถโตโยต้ารุ่นเก่าที่สามารถปรับสภาพเครื่องยนต์รุ่นเดิมให้ มาใช้ อี20 ได้ ด้วยการเปลี่ยน ท่อยางในระบบต่างๆ รวมถึงปรับแต่งกล่องอีซียูของรถยนต์ ซึ่งลูกค้าที่สนใจสามารถสอบถามเข้ามาทางตัวแทนจำหน่ายของโตโยต้าได้ หลังจากที่โตโยต้าเปิดตัวรถในโครงการนี้อย่างเป็นทางการ
นายวิเชียร กล่าวว่า โตโยต้าเห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาล ในเรื่องของการผลักดันให้มีการใช้พลังงานทดแทน โดยบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษารถยนต์ที่ใช้พลังงานทดแทนทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแก๊สโซฮอล์ อี20 ไบโอดีเซล บี5 ก๊าซธรรมชาติ หรือแม้แต่เครื่องยนต์ไฮบริด รวมถึงรถยนต์ที่ติดตั้งก๊าซซีเอ็นจี ที่จะเปิดตัวในไม่ช้านี้
แหล่งข่าวจาก ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์โตโยต้า เปิดเผยว่าขณะ นี้ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องของการปรับสภาพรถยนต์เก่าแต่อย่างใด แต่คาดการณ์ว่าจะเสียค่าใช้จ่ายในเบื้องต้นไม่เกิน 1 หมื่นบาทต่อคัน ซึ่งรถที่ปรับสภาพได้น่าจะเป็นรถ ที่ผลิตออกมาเพื่อรองรับ อี20 อยู่ แล้ว ได้แก่ คัมรี ใหม่ วีออส ใหม่ และยาริส เท่านั้น ส่วนรถยนต์โตโยต้าที่เปิดตัวก่อน 3 รุ่นนี้ ไม่น่าจะปรับสภาพได้
ด้านนายมิทซึฮิโระ โซโนดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย กล่าวว่า รถยนต์ที่ใช้พลังงานทดแทนจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ ตลาดเติบโตไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 11% เนื่องจากรัฐบาลให้การสนับสนุนทั้งในเรื่องของภาษีสรรพสามิต และราคาพลังงานทดแทน ส่งผลให้ผู้บริโภคเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรม ที่เติบโตมาจากช่วง 2 ไตรมาสก่อนหน้านี้ ก็จะช่วยผลักดันยอดจำหน่าย เช่นกัน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=216360
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news25/01/08
โพสต์ที่ 138
ยอดขายโตโยต้าแพ้จีเอ็มฉิวเฉียดไม่กี่พันคัน
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 25 มกราคม 2551 01:43 น.
เอเจนซี/เอเอฟพี - โตโยต้า ค่ายรถยักษ์ใหญ่แห่งแดนปลาดิบทำยอดขายรถทั่วโลกเมื่อปีที่แล้วพุ่งขึ้นหายใจรดต้นคอจีเอ็ม ค่ายรถยักษ์ใหญ่อันดับ 1 ของโลก ห่างกันเพียงแค่ 3,000 คัน ด้านนักวิเคราะห์คาดท้ายที่สุดโตโยต้าจะสามารถขึ้นครองตำแหน่งบริษัทผลิตรถยนต์ใหญ่สุดในโลกในปีนี้ โค่นจีเอ็มซึ่งครองตำแหน่งนี้มาร่วม 80 ปี
ที่ผ่านมา คาดกันว่าจีเอ็มซึ่งสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในตลาดอเมริกันอย่างต่อเนื่องนั้นจะสูญตำแหน่งค่ายรถยักษ์ใหญ่อันดับ 1 ของโลกเป็นครั้งแรกในรอบ 76 ปี หลังจากที่โตโยต้าแถลงยอดการผลิตรถทั่วโลกที่สูงเกินกว่าที่คาด เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี เมื่อวันพุธ (23) จีเอ็ม มอเตอร์ส คอร์ป แถลงยอดขายรถทั่วโลกในปี 2007 อยู่ที่ 9,369,524 คัน ขณะที่โตโยต้าแถลงตัวเลขคาดประมาณยอดขายรถเมื่อปีที่แล้วว่า อยู่ที่ราว 9,366,000 คัน ทำยอดน้อยกว่าจีเอ็มเพียงแค่ราว 3,500 คัน
โตโยต้าไม่ได้แถลงตัวเลขยอดขายที่แน่นอน อีกทั้งก่อนหน้านี้ ในช่วงต้นปี โตโยต้าแถลงตัวเลขประมาณการยอดขายรถเมื่อปีที่แล้ว อยู่ที่ 9,370,000 คัน ทำให้บรรดาผู้จับตาดูอุตสาหกรรมรถยนต์คาดว่าในที่สุดโตโยต้าจะทำยอดขายแซงหน้าจีเอ็มในปีนี้
ตัวเลขยอดขายในปีแล้วของค่ายรถทั้งสองไม่ได้ทำให้นักวิเคราะห์ประหลาดใจเท่าใดนัก โดยนักวิเคราะห์มองว่าการที่ยอดขายต่างกันเพียง 3,500 คัน เป็นสัญญาณชี้ว่าโตโยต้าจะโค่นเก้าอี้จีเอ็ม ขึ้นเป็นค่ายรถรายใหญ่ที่สุดในปีนี้
ค่ายรถยักษ์ใหญ่แห่งแดนปลาดิบและผู้บุกเบิกรถไฮบริดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดอเมริกัน ขณะที่จีเอ็มสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในประเทศบ้านเกิด
ณ ตอนนี้ จีเอ็มพึ่งพายอดขายในต่างประเทศ ในการทำธุรกิจส่วนใหญ่ของบริษัท และกลายเป็นค่ายรถระดับโลกค่ายแรกที่ทำยอดขายรถในจีนได้มากกว่า 1,000,000 คัน
ทว่า นักวิเคราะห์ กล่าวว่า ในขณะที่ยอดขายรถของจีเอ็มเพิ่มขึ้น 3% ในปีที่แล้ว ยอดขายของโตโยต้าเพิ่มขึ้น 6%
"หากไม่นับยอดขาย สิ่งที่สำคัญก็คือแรงกระตุ้น ระหว่างจีเอ็มกับโตโยต้า ซึ่งแตกต่างกัน" ยาสึอากิ อิวาโมโตะ นักวิเคราะห์ยานยนต์แห่งบริษัทหลักทรัพย์โอกะซัง กล่าว
อิวาโมโตะ กล่าวว่า ถึงแม้ว่ายอดขายของจีเอ็มจะเพิ่มสูงขึ้นในตลาดเกิดใหม่ แต่เมื่อดูยอดขายทั่วโลกโดยรวมแล้ว เห็นได้ชัดว่าโตโยต้าอยู่ในฐานะที่เหนือกว่าในแง่ของแรงกระตุ้น
ยอดขายรถของจีเอ็มนอกตลาดสหรัฐฯ มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 5,500,000 คัน คิดเป็น 59% ของจำนวนยอดขายทั่วโลก ทั้งนี้ ยอดขายของจีเอ็มในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเพิ่มขึ้น 15.% ขายได้มากที่สุดในจีน ทว่า ยอดขายในอเมริกาเหนือซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่ที่สุดหากวัดจากปริมาณการขาย กลับตกลงถึง 6.1% สืบเนื่องจากราคาน้ำมันเบนซินที่เพิ่มสูงขึ้น ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่อ่อนแอ วิกฤติสินเชื่อเคหะประเภท"ซับไพรม์" และการลดการขายให้กับบริษัทเช่ารถ
ในปัจจุบัน จีเอ็มอยู่ในแผนฟื้นฟูกิจการในอเมริกาเหนือซึ่งรวมถึงการปลดพนักงาน 34,000 คน และปิดโรงงาน 12 แห่ง หลังจากที่ขาดทุนยับกว่า 12,000 ล้าน เมื่อปี 2005 และ 2006
http://www.manager.co.th/Around/ViewNew ... 0000010180
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 25 มกราคม 2551 01:43 น.
เอเจนซี/เอเอฟพี - โตโยต้า ค่ายรถยักษ์ใหญ่แห่งแดนปลาดิบทำยอดขายรถทั่วโลกเมื่อปีที่แล้วพุ่งขึ้นหายใจรดต้นคอจีเอ็ม ค่ายรถยักษ์ใหญ่อันดับ 1 ของโลก ห่างกันเพียงแค่ 3,000 คัน ด้านนักวิเคราะห์คาดท้ายที่สุดโตโยต้าจะสามารถขึ้นครองตำแหน่งบริษัทผลิตรถยนต์ใหญ่สุดในโลกในปีนี้ โค่นจีเอ็มซึ่งครองตำแหน่งนี้มาร่วม 80 ปี
ที่ผ่านมา คาดกันว่าจีเอ็มซึ่งสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในตลาดอเมริกันอย่างต่อเนื่องนั้นจะสูญตำแหน่งค่ายรถยักษ์ใหญ่อันดับ 1 ของโลกเป็นครั้งแรกในรอบ 76 ปี หลังจากที่โตโยต้าแถลงยอดการผลิตรถทั่วโลกที่สูงเกินกว่าที่คาด เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี เมื่อวันพุธ (23) จีเอ็ม มอเตอร์ส คอร์ป แถลงยอดขายรถทั่วโลกในปี 2007 อยู่ที่ 9,369,524 คัน ขณะที่โตโยต้าแถลงตัวเลขคาดประมาณยอดขายรถเมื่อปีที่แล้วว่า อยู่ที่ราว 9,366,000 คัน ทำยอดน้อยกว่าจีเอ็มเพียงแค่ราว 3,500 คัน
โตโยต้าไม่ได้แถลงตัวเลขยอดขายที่แน่นอน อีกทั้งก่อนหน้านี้ ในช่วงต้นปี โตโยต้าแถลงตัวเลขประมาณการยอดขายรถเมื่อปีที่แล้ว อยู่ที่ 9,370,000 คัน ทำให้บรรดาผู้จับตาดูอุตสาหกรรมรถยนต์คาดว่าในที่สุดโตโยต้าจะทำยอดขายแซงหน้าจีเอ็มในปีนี้
ตัวเลขยอดขายในปีแล้วของค่ายรถทั้งสองไม่ได้ทำให้นักวิเคราะห์ประหลาดใจเท่าใดนัก โดยนักวิเคราะห์มองว่าการที่ยอดขายต่างกันเพียง 3,500 คัน เป็นสัญญาณชี้ว่าโตโยต้าจะโค่นเก้าอี้จีเอ็ม ขึ้นเป็นค่ายรถรายใหญ่ที่สุดในปีนี้
ค่ายรถยักษ์ใหญ่แห่งแดนปลาดิบและผู้บุกเบิกรถไฮบริดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดอเมริกัน ขณะที่จีเอ็มสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในประเทศบ้านเกิด
ณ ตอนนี้ จีเอ็มพึ่งพายอดขายในต่างประเทศ ในการทำธุรกิจส่วนใหญ่ของบริษัท และกลายเป็นค่ายรถระดับโลกค่ายแรกที่ทำยอดขายรถในจีนได้มากกว่า 1,000,000 คัน
ทว่า นักวิเคราะห์ กล่าวว่า ในขณะที่ยอดขายรถของจีเอ็มเพิ่มขึ้น 3% ในปีที่แล้ว ยอดขายของโตโยต้าเพิ่มขึ้น 6%
"หากไม่นับยอดขาย สิ่งที่สำคัญก็คือแรงกระตุ้น ระหว่างจีเอ็มกับโตโยต้า ซึ่งแตกต่างกัน" ยาสึอากิ อิวาโมโตะ นักวิเคราะห์ยานยนต์แห่งบริษัทหลักทรัพย์โอกะซัง กล่าว
อิวาโมโตะ กล่าวว่า ถึงแม้ว่ายอดขายของจีเอ็มจะเพิ่มสูงขึ้นในตลาดเกิดใหม่ แต่เมื่อดูยอดขายทั่วโลกโดยรวมแล้ว เห็นได้ชัดว่าโตโยต้าอยู่ในฐานะที่เหนือกว่าในแง่ของแรงกระตุ้น
ยอดขายรถของจีเอ็มนอกตลาดสหรัฐฯ มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 5,500,000 คัน คิดเป็น 59% ของจำนวนยอดขายทั่วโลก ทั้งนี้ ยอดขายของจีเอ็มในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเพิ่มขึ้น 15.% ขายได้มากที่สุดในจีน ทว่า ยอดขายในอเมริกาเหนือซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่ที่สุดหากวัดจากปริมาณการขาย กลับตกลงถึง 6.1% สืบเนื่องจากราคาน้ำมันเบนซินที่เพิ่มสูงขึ้น ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่อ่อนแอ วิกฤติสินเชื่อเคหะประเภท"ซับไพรม์" และการลดการขายให้กับบริษัทเช่ารถ
ในปัจจุบัน จีเอ็มอยู่ในแผนฟื้นฟูกิจการในอเมริกาเหนือซึ่งรวมถึงการปลดพนักงาน 34,000 คน และปิดโรงงาน 12 แห่ง หลังจากที่ขาดทุนยับกว่า 12,000 ล้าน เมื่อปี 2005 และ 2006
http://www.manager.co.th/Around/ViewNew ... 0000010180
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news29/01/08
โพสต์ที่ 139
โตโยต้าบี้ดีลเลอร์ยึดแชมป์ทุกจว. ชูกลยุทธ์ผู้นำกวาดยอด3แสนคัน
"โตโยต้า" ชูไม้เด็ดประกาศแผนชนะทุกพื้นที่ ทุกจังหวัดในเมืองไทย เดินหน้าพัฒนาดีลเลอร์ทั้งยอดขายและซีเอสไอ เผยใน กทม.และปริมณฑลครองแชมป์เต็มพื้นที่หมดแล้ว ส่วนต่างจังหวัดยังขาดหลายพื้นที่ ตั้งเป้าสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าแบบปูพรม ชี้ตลาดรถยนต์ปีนี้ทะลุ 7 แสนคันแน่ ขณะที่โตโยต้าหวังฟันถึง 3.1 แสนคัน มั่นใจโตตามคาดแน่เพราะปัจจัยบวกซัพพอร์ตเพียบ ดีเดย์ "อัลติส" ใหม่ต้นกุมภาพันธ์นี้ พร้อมส่งเครื่องยนต์อี 20 อีกหลายรุ่นลงตลาด
นายมิทซึฮิโระ โซโนดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานของโตโยต้าในปีนี้ จะเน้นการเติบโตของตัวแทนจำหน่ายในแต่ละจังหวัด โดยโตโยต้าตั้งเป้าที่จะเป็นอันดับหนึ่งในทุกจังหวัดของประเทศไทย แม้ว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาโตโยต้าจะสามารถครองตำแหน่งแชมป์ในตลาดรถยนต์ทั้ง 3 ตลาดได้แล้วก็ตาม
"2 ปีที่ผ่านมา เราสามารถครองอันดับหนึ่งในตลาดรถยนต์ได้ทั้ง 3 ตลาด คือ ตลาดรถยนต์รวม ตลาดรถยนต์นั่ง และตลาดรถปิกอัพ แต่การที่ โตโยต้าจะเติบโตแบบยั่งยืนนั้น ผมให้ความสำคัญกับการเป็นที่หนึ่งของตัวแทนจำหน่ายในแต่ละจังหวัดมากกว่า ซึ่งจะต้องเริ่มทำอย่างจริงจังในปีนี้"
ปัจจุบันโตโยต้าแบ่งตัวแทนจำหน่ายออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก คือ ตัวแทนจำหน่ายในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล และกลุ่มที่ 2 คือ ตัวแทนจำหน่ายในต่างจังหวัด ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาตัวแทนจำหน่ายในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลสามารถครองแชมป์ในพื้นที่ได้ครบทั้งหมดแล้ว แต่ตัวแทนจำหน่ายในต่างจังหวัดยังมีหลายจังหวัดที่เป็นรอง คู่แข่ง ดังนั้นโตโยต้าจึงต้องการเร่งพัฒนาการเติบโตของจังหวัดเหล่านี้
"เราไม่สามารถบอกได้ว่ามีจังหวัดใดบ้างที่ยังไม่ได้เป็นที่ 1 แต่พอจะบอกได้ว่าอันดับหนึ่งมีมากกว่า 50% แล้ว ดังนั้นเราต้องเร่งพัฒนาจังหวัดที่เหลืออยู่ ทั้งในแง่ของการเพิ่มยอดขาย และการเพิ่มความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า ทั้งในเรื่องการบริการ บริการหลังการขาย และอื่นๆ ทั้งนี้เพราะเป้าหมายของเรา คือ อยากให้ลูกค้า ในแต่ละจังหวัดได้รับความพึงพอใจสูงสุด หรือ ซีเอสไอ จากการเข้ามารับบริการที่โชว์รูมและศูนย์บริการของโตโยต้าทั่วประเทศ นั่นก็จะส่งผลให้ยอดขายมีการเติบโตตามไปด้วย"
ส่วนแผนงานของโตโยต้าที่ตั้งเป้ายอดขายใน ปีนี้ไว้ที่ 310,000 คัน เติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 9.9% นั้น เป็นผลมาจากปัจจัยบวกหลายประการในตลาดรถยนต์โดยรวม โดยบริษัทคาดการณ์ยอดขายในตลาดรถยนต์โดยรวมไว้ที่ 700,000 คัน มีอัตราเติบโตจากปี 2550 ถึง 11% โดยแบ่ง ออกเป็นตลาดรถยนต์นั่ง 217,000 คัน คาดการณ์การเติบโตไว้ที่ 28% และตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ 483,000 คัน เติบโตประมาณ 5%
สาเหตุที่บริษัทประเมินว่าตลาดรถยนต์เมืองไทยจะมีอัตราเติบโตมากขึ้น เนื่องจากในช่วงปลายปี 2550 ตลาดรถยนต์มีทิศทางฟื้นตัวขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดรถยนต์นั่งที่มีรถยนต์รุ่นใหม่ออกมากระตุ้นตลาดอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เศรษฐกิจในภาพรวมเริ่มส่งสัญญาณที่ฟื้นตัวชัดเจน ซึ่งรัฐบาลกำหนดอัตราการเติบโตของจีดีพีในปีนี้ไว้ที่ 5% ทั้ง 2 ปัจจัยหลักนี้ จะเป็นตัวกำหนดทิศทางที่ดีของตลาด
นอกจากนั้นในปี 2549 และ 2550 ตลาดรถยนต์หดตัวลงจากปี 2548 พอสมควร โดยมีปัจจัยหลายประการ คือ เรื่องของราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ตลาดหุ้นหดตัวลง ดังนั้นในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา จึงเป็นช่วงที่ตลาดรถยนต์ในเมืองไทยมีการปรับตัว และคิดว่าจะเริ่มขยายตัวได้ในปีนี้
และสำหรับปัจจัยบวกที่จะทำให้ตลาดขยายตัวขึ้นในปีนี้มีหลายประการด้วยกัน เริ่มจากการมีรัฐบาลใหม่ซึ่งน่าจะมีนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอย่างชัดเจน ขณะที่ปัจจัยลบต่างๆ จากปัจจัยภายนอกเริ่มลดน้อยลง ซึ่งจะส่งผลให้อุตสาหกรรมนี้ขยายตัวขึ้นได้ นอกจากนั้น การเตรียมความพร้อมของบริษัทรถยนต์ต่างๆ ในการให้บริการที่ดีกับลูกค้า รวมทั้งรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่ออกมากระตุ้นตลาดอย่างต่อเนื่อง น่าจะทำให้ตลาดรถยนต์ในปีนี้ขึ้นไปอยู่ในระดับที่ 700,000 คันได้
"ในปี 2550 ตลาดรถยนต์มียอดขายทั้งสิ้น 630,000 คัน ซึ่งทิศทางการเติบโตของยอดขายมีขึ้นอย่างเป็นลำดับ โดยในช่วงไตรมาสที่ 1 และที่ 2 ยอดขายรถยนต์มีอัตรา 95% เมื่อเทียบกับปี 2549 แต่พอมาถึงไตรมาสที่ 3 ยอดขายขยับตัวขึ้นเป็น 107% เมื่อเทียบกับปีก่อน และในช่วงไตรมาสที่ 4 ยอดขายก็เพิ่มขึ้นเป็น 105% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2549 ซึ่งจะเห็นได้ว่า ในปีที่แล้วนั้นทิศทางในครึ่งปีแรกแตกต่างจากครึ่งปีหลังมาก ดังนั้นในปี 2551 นี้ ทิศทางการเติบโตก็น่าจะดีขึ้นตามไปด้วย"
และสำหรับโตโยต้านั้น บริษัทเตรียมเปิดตัวรถยนต์ "โคโรลล่า อัลติสใหม่" ออกสู่ตลาดในต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ ซึ่งรถยนต์รุ่นนี้ใช้เชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ อี 20 จึงน่าจะช่วยกระตุ้นตลาดในปีนี้ให้ขยายตัวขึ้นได้ และยังมีรถอื่นๆ ทยอยตามมาอีก ขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ มีแผนงานที่จะเปิดตัวรถรุ่นใหม่ในปีนี้อย่างต่อเนื่อง จึงน่าจะเป็นการกระตุ้นตลาดได้ดีขึ้น
"ถ้าถามว่าปีนี้เราจะฉลองตำแหน่งทริเปิล คราวน์ สำหรับการเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ทั้ง 3 ตลาดหรือไม่นั้น คงต้องบอกว่า ไม่น่าจะมีการฉลองใดๆ เกิดขึ้น ส่วนความเชื่อมั่นที่จะครองตำแหน่งแชมป์ในปีนี้นั้น เราคงมุ่งเน้นในการพัฒนาตัวแทนจำหน่ายเพื่อมุ่งสู่ความเป็นแชมป์ของแต่ละจังหวัดมากกว่า ทั้งนี้เพื่อเพิ่มความพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าของโตโยต้า ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในเมืองไทย"
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0201
"โตโยต้า" ชูไม้เด็ดประกาศแผนชนะทุกพื้นที่ ทุกจังหวัดในเมืองไทย เดินหน้าพัฒนาดีลเลอร์ทั้งยอดขายและซีเอสไอ เผยใน กทม.และปริมณฑลครองแชมป์เต็มพื้นที่หมดแล้ว ส่วนต่างจังหวัดยังขาดหลายพื้นที่ ตั้งเป้าสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าแบบปูพรม ชี้ตลาดรถยนต์ปีนี้ทะลุ 7 แสนคันแน่ ขณะที่โตโยต้าหวังฟันถึง 3.1 แสนคัน มั่นใจโตตามคาดแน่เพราะปัจจัยบวกซัพพอร์ตเพียบ ดีเดย์ "อัลติส" ใหม่ต้นกุมภาพันธ์นี้ พร้อมส่งเครื่องยนต์อี 20 อีกหลายรุ่นลงตลาด
นายมิทซึฮิโระ โซโนดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานของโตโยต้าในปีนี้ จะเน้นการเติบโตของตัวแทนจำหน่ายในแต่ละจังหวัด โดยโตโยต้าตั้งเป้าที่จะเป็นอันดับหนึ่งในทุกจังหวัดของประเทศไทย แม้ว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาโตโยต้าจะสามารถครองตำแหน่งแชมป์ในตลาดรถยนต์ทั้ง 3 ตลาดได้แล้วก็ตาม
"2 ปีที่ผ่านมา เราสามารถครองอันดับหนึ่งในตลาดรถยนต์ได้ทั้ง 3 ตลาด คือ ตลาดรถยนต์รวม ตลาดรถยนต์นั่ง และตลาดรถปิกอัพ แต่การที่ โตโยต้าจะเติบโตแบบยั่งยืนนั้น ผมให้ความสำคัญกับการเป็นที่หนึ่งของตัวแทนจำหน่ายในแต่ละจังหวัดมากกว่า ซึ่งจะต้องเริ่มทำอย่างจริงจังในปีนี้"
ปัจจุบันโตโยต้าแบ่งตัวแทนจำหน่ายออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก คือ ตัวแทนจำหน่ายในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล และกลุ่มที่ 2 คือ ตัวแทนจำหน่ายในต่างจังหวัด ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาตัวแทนจำหน่ายในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลสามารถครองแชมป์ในพื้นที่ได้ครบทั้งหมดแล้ว แต่ตัวแทนจำหน่ายในต่างจังหวัดยังมีหลายจังหวัดที่เป็นรอง คู่แข่ง ดังนั้นโตโยต้าจึงต้องการเร่งพัฒนาการเติบโตของจังหวัดเหล่านี้
"เราไม่สามารถบอกได้ว่ามีจังหวัดใดบ้างที่ยังไม่ได้เป็นที่ 1 แต่พอจะบอกได้ว่าอันดับหนึ่งมีมากกว่า 50% แล้ว ดังนั้นเราต้องเร่งพัฒนาจังหวัดที่เหลืออยู่ ทั้งในแง่ของการเพิ่มยอดขาย และการเพิ่มความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า ทั้งในเรื่องการบริการ บริการหลังการขาย และอื่นๆ ทั้งนี้เพราะเป้าหมายของเรา คือ อยากให้ลูกค้า ในแต่ละจังหวัดได้รับความพึงพอใจสูงสุด หรือ ซีเอสไอ จากการเข้ามารับบริการที่โชว์รูมและศูนย์บริการของโตโยต้าทั่วประเทศ นั่นก็จะส่งผลให้ยอดขายมีการเติบโตตามไปด้วย"
ส่วนแผนงานของโตโยต้าที่ตั้งเป้ายอดขายใน ปีนี้ไว้ที่ 310,000 คัน เติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 9.9% นั้น เป็นผลมาจากปัจจัยบวกหลายประการในตลาดรถยนต์โดยรวม โดยบริษัทคาดการณ์ยอดขายในตลาดรถยนต์โดยรวมไว้ที่ 700,000 คัน มีอัตราเติบโตจากปี 2550 ถึง 11% โดยแบ่ง ออกเป็นตลาดรถยนต์นั่ง 217,000 คัน คาดการณ์การเติบโตไว้ที่ 28% และตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ 483,000 คัน เติบโตประมาณ 5%
สาเหตุที่บริษัทประเมินว่าตลาดรถยนต์เมืองไทยจะมีอัตราเติบโตมากขึ้น เนื่องจากในช่วงปลายปี 2550 ตลาดรถยนต์มีทิศทางฟื้นตัวขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดรถยนต์นั่งที่มีรถยนต์รุ่นใหม่ออกมากระตุ้นตลาดอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เศรษฐกิจในภาพรวมเริ่มส่งสัญญาณที่ฟื้นตัวชัดเจน ซึ่งรัฐบาลกำหนดอัตราการเติบโตของจีดีพีในปีนี้ไว้ที่ 5% ทั้ง 2 ปัจจัยหลักนี้ จะเป็นตัวกำหนดทิศทางที่ดีของตลาด
นอกจากนั้นในปี 2549 และ 2550 ตลาดรถยนต์หดตัวลงจากปี 2548 พอสมควร โดยมีปัจจัยหลายประการ คือ เรื่องของราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ตลาดหุ้นหดตัวลง ดังนั้นในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา จึงเป็นช่วงที่ตลาดรถยนต์ในเมืองไทยมีการปรับตัว และคิดว่าจะเริ่มขยายตัวได้ในปีนี้
และสำหรับปัจจัยบวกที่จะทำให้ตลาดขยายตัวขึ้นในปีนี้มีหลายประการด้วยกัน เริ่มจากการมีรัฐบาลใหม่ซึ่งน่าจะมีนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอย่างชัดเจน ขณะที่ปัจจัยลบต่างๆ จากปัจจัยภายนอกเริ่มลดน้อยลง ซึ่งจะส่งผลให้อุตสาหกรรมนี้ขยายตัวขึ้นได้ นอกจากนั้น การเตรียมความพร้อมของบริษัทรถยนต์ต่างๆ ในการให้บริการที่ดีกับลูกค้า รวมทั้งรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่ออกมากระตุ้นตลาดอย่างต่อเนื่อง น่าจะทำให้ตลาดรถยนต์ในปีนี้ขึ้นไปอยู่ในระดับที่ 700,000 คันได้
"ในปี 2550 ตลาดรถยนต์มียอดขายทั้งสิ้น 630,000 คัน ซึ่งทิศทางการเติบโตของยอดขายมีขึ้นอย่างเป็นลำดับ โดยในช่วงไตรมาสที่ 1 และที่ 2 ยอดขายรถยนต์มีอัตรา 95% เมื่อเทียบกับปี 2549 แต่พอมาถึงไตรมาสที่ 3 ยอดขายขยับตัวขึ้นเป็น 107% เมื่อเทียบกับปีก่อน และในช่วงไตรมาสที่ 4 ยอดขายก็เพิ่มขึ้นเป็น 105% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2549 ซึ่งจะเห็นได้ว่า ในปีที่แล้วนั้นทิศทางในครึ่งปีแรกแตกต่างจากครึ่งปีหลังมาก ดังนั้นในปี 2551 นี้ ทิศทางการเติบโตก็น่าจะดีขึ้นตามไปด้วย"
และสำหรับโตโยต้านั้น บริษัทเตรียมเปิดตัวรถยนต์ "โคโรลล่า อัลติสใหม่" ออกสู่ตลาดในต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ ซึ่งรถยนต์รุ่นนี้ใช้เชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ อี 20 จึงน่าจะช่วยกระตุ้นตลาดในปีนี้ให้ขยายตัวขึ้นได้ และยังมีรถอื่นๆ ทยอยตามมาอีก ขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ มีแผนงานที่จะเปิดตัวรถรุ่นใหม่ในปีนี้อย่างต่อเนื่อง จึงน่าจะเป็นการกระตุ้นตลาดได้ดีขึ้น
"ถ้าถามว่าปีนี้เราจะฉลองตำแหน่งทริเปิล คราวน์ สำหรับการเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ทั้ง 3 ตลาดหรือไม่นั้น คงต้องบอกว่า ไม่น่าจะมีการฉลองใดๆ เกิดขึ้น ส่วนความเชื่อมั่นที่จะครองตำแหน่งแชมป์ในปีนี้นั้น เราคงมุ่งเน้นในการพัฒนาตัวแทนจำหน่ายเพื่อมุ่งสู่ความเป็นแชมป์ของแต่ละจังหวัดมากกว่า ทั้งนี้เพื่อเพิ่มความพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าของโตโยต้า ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในเมืองไทย"
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0201
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news01/02/08
โพสต์ที่ 140
ฮอนด้าลุยเปิด รถใหม่ปีนี้3รุ่น หวังแชร์10%
โพสต์ทูเดย์ ฮอนด้า ฝันรัฐบาลใหม่ดันยอดขายรถใหม่ทะลุ 7 แสนคัน เตรียมเปิดตัวรถใหม่ปีนี้ 3 รุ่น หวังแชร์ 10%
นายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร กรรมการบริหาร บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) กล่าว ว่า บริษัทเชื่อว่าตลาดรถยนต์ ในปีนี้น่าจะโตขึ้นถึง 7 แสนคันได้ แต่ต้องดูว่าภาครัฐจะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจนอย่างไร ซึ่งฮอนด้าตั้งเป้าหมาย การขายที่ 10% ของตลาด หรือคิดเป็นยอดขายกว่า 7 หมื่นคันในปีนี้ เติบโตจากยอดจำหน่าย 5.8 หมื่นคันในปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ บริษัทจะเปิดตัวรถ รุ่นใหม่ 2 รุ่น และรุ่นไมเนอร์เชนจ์อีก 1 รุ่นในปีนี้ เมื่อรวมกับฮอนด้า แอคคอร์ด ที่เปิดตัวไปในช่วงปลายปี ก็จะทำให้บริษัทมีรถรุ่นใหม่ที่พร้อมทำตลาดทั้งปี โดยทุกรุ่นเป็นรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงอี 20 ได้ ซึ่งมองว่าอี 20 จะเป็นทางเลือกที่สำคัญในภาวะราคาน้ำมันแพงอย่างต่อเนื่อง
นายพิทักษ์ คาดว่ายอดการผลิตของฮอนด้าในปีนี้จะสูงถึง 1.6 แสนคัน โดยการส่งออก จะเพิ่มขึ้นจากสินค้ารุ่นใหม่ๆ ขณะที่โรงงานแห่งใหม่ที่จะเริ่มไลน์ผลิตได้ในเดือน ต.ค. ก็จะเข้ามาเสริมในเรื่องนี้ ก่อนที่ จะเดินกำลังการผลิตเต็มในปี 2552 เป็นต้นไป
การที่คู่แข่งเปิดตัวรถ ใหม่มาก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรมาก นอกจากนี้ ฮอนด้าจะ จัดกิจกรรมกับลูกค้าอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี เช่น ฮอนด้า เรซซิ่ง เฟส เป็นปีที่ 2 โดย เพิ่มซีวิค วันเมคเรซ ด้วย นายพิทักษ์ กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=218227
โพสต์ทูเดย์ ฮอนด้า ฝันรัฐบาลใหม่ดันยอดขายรถใหม่ทะลุ 7 แสนคัน เตรียมเปิดตัวรถใหม่ปีนี้ 3 รุ่น หวังแชร์ 10%
นายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร กรรมการบริหาร บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) กล่าว ว่า บริษัทเชื่อว่าตลาดรถยนต์ ในปีนี้น่าจะโตขึ้นถึง 7 แสนคันได้ แต่ต้องดูว่าภาครัฐจะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจนอย่างไร ซึ่งฮอนด้าตั้งเป้าหมาย การขายที่ 10% ของตลาด หรือคิดเป็นยอดขายกว่า 7 หมื่นคันในปีนี้ เติบโตจากยอดจำหน่าย 5.8 หมื่นคันในปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ บริษัทจะเปิดตัวรถ รุ่นใหม่ 2 รุ่น และรุ่นไมเนอร์เชนจ์อีก 1 รุ่นในปีนี้ เมื่อรวมกับฮอนด้า แอคคอร์ด ที่เปิดตัวไปในช่วงปลายปี ก็จะทำให้บริษัทมีรถรุ่นใหม่ที่พร้อมทำตลาดทั้งปี โดยทุกรุ่นเป็นรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงอี 20 ได้ ซึ่งมองว่าอี 20 จะเป็นทางเลือกที่สำคัญในภาวะราคาน้ำมันแพงอย่างต่อเนื่อง
นายพิทักษ์ คาดว่ายอดการผลิตของฮอนด้าในปีนี้จะสูงถึง 1.6 แสนคัน โดยการส่งออก จะเพิ่มขึ้นจากสินค้ารุ่นใหม่ๆ ขณะที่โรงงานแห่งใหม่ที่จะเริ่มไลน์ผลิตได้ในเดือน ต.ค. ก็จะเข้ามาเสริมในเรื่องนี้ ก่อนที่ จะเดินกำลังการผลิตเต็มในปี 2552 เป็นต้นไป
การที่คู่แข่งเปิดตัวรถ ใหม่มาก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรมาก นอกจากนี้ ฮอนด้าจะ จัดกิจกรรมกับลูกค้าอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี เช่น ฮอนด้า เรซซิ่ง เฟส เป็นปีที่ 2 โดย เพิ่มซีวิค วันเมคเรซ ด้วย นายพิทักษ์ กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=218227
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news04/02/08
โพสต์ที่ 141
ยามาฮ่าหวังโต15%สวนตลาด2ล้อ
โพสต์ทูเดย์ ยามาฮ่า หวัง ทงบังชินกิ ยอดศิลปินจากแดนเกาหลี ดันยอดขายโต 15% สวนทางตลาดรวมมอเตอร์ไซค์ที่โตแค่ 2%
นายประพันธ์ พลธนะวิสิทธิ์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ ผู้ผลิตและจำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า กล่าวว่า บริษัทยังมั่นใจว่า จะทำยอดจำหน่ายได้เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีแผนเตรียมการไว้สำหรับรุกตลาดต่อเนื่องทั้งปี เริ่มจากแคมเปญใหญ่ที่บริษัทดึง 5 หนุ่ม วงทงบังชินกิจากประเทศเกาหลี เข้ามาเป็นพรีเซนเตอร์สินค้าให้กับบริษัทเฉพาะรุ่น ซึ่งแตกต่างจากการดึงเอฟโฟร์เข้ามาเป็นพรีเซนเตอร์ของกลุ่มบริษัทในปีที่ผ่านมา จะทำให้ภาพลักษณ์ของสินค้าของบริษัทมีความแตกต่างจากคู่แข่งอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2551 ยามาฮ่าจะมียอดจำหน่ายที่ 4.2 แสนคัน เติบโต 15% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดที่ 26% จากตลาดที่คาดว่าจะเติบโตประมาณ 2% หรือมียอดจำหน่าย 1.6 ล้านคัน โดยเป็นการคำนวณจากการคาดการณ์ว่าจีดีพีในปีนี้ น่าจะเติบโตที่ระดับ 4-5%
สำหรับแผนการทำตลาดนั้น บริษัทได้เตรียมงบประมาณปีนี้กว่า 500 ล้านบาท โดยมีแผนที่จะเปิดตัวสินค้ารุ่นใหม่ๆ เข้าทำตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจากรถจักรยานยนต์ออโตเมติก รุ่นนูโว ที่จะเปิดตัวพร้อมกัน 2 โมเดล ซึ่งในรุ่นท็อป จะเป็นรถจักรยานยนต์ออโตเมติกที่แพงที่สุดในตลาด ด้วยราคา 5.5 หมื่นบาท พร้อมขยายเครื่องยนต์เป็น 135 ซีซี เน้นกลุ่มลูกค้าเฉพาะกลุ่ม โดยตั้งเป้าขายเพียง 5 พันคันต่อเดือนเท่านั้น ขณะที่รุ่นเดิมที่มีการปรับโฉมนั้น วางราคาจำหน่าย 5.35 หมื่นบาท ตั้งเป้ายอดขาย 2-3 พันคันต่อเดือน
สำหรับยอดจำหน่ายในปีที่ผ่านมา ยามาฮ่ามียอดจำหน่ายทั้งปีที่ 3.65 แสนคัน หดตัวจากปีที่ผ่านมา 15% ซึ่งน้อยกว่าการหดตัวของตลาดที่หดตัวไป 17%
ขณะที่ในกลุ่มรถจักรยานยนต์ออโตเมติก บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 46% ซึ่งแนวโน้มในเดือน ธ.ค. 2550 บริษัทมีส่วนแบ่งในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นเป็น 50% คาดว่าน่าจะรักษาทิศทางการเติบโตในส่วนนี้เอาไว้ได้อย่างต่อเนื่อง
นายประพันธ์ กล่าวว่า แม้ปีที่ผ่านมา บริษัทจะมียอดขายลดลง แต่อยู่ในระดับที่น่าพอใจ เนื่องจากการรักษาส่วนแบ่งการตลาดในระดับเดิมได้ เป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจและปัจจัยลบต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่นและไม่กล้าใช้จ่าย ซึ่งผลจากปัจจัยลบดังกล่าว ส่งผลกระทบ
สำหรับในปีนี้คาดว่ายังมีปัจจัยลบจากเงินบาทแข็งค่า การถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐ ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งเงินเฟ้อ ที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อตลาด แต่ก็ยังมีปัจจัยบวกจากความชัดเจนของรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ทำให้ความเชื่อมั่นของ ผู้บริโภคกลับคืนมา
ปัจจัยลบคงส่งผลกระทบต่อตลาดแน่ แต่โชคดีมีปัจจัยบวก จากการมีรัฐบาลใหม่ มาช่วยดึงความเชื่อมั่นกลับมา และน่าจะส่งผลถึงยอดจำหน่ายที่สูงขึ้น นายประพันธ์ กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=218734
โพสต์ทูเดย์ ยามาฮ่า หวัง ทงบังชินกิ ยอดศิลปินจากแดนเกาหลี ดันยอดขายโต 15% สวนทางตลาดรวมมอเตอร์ไซค์ที่โตแค่ 2%
นายประพันธ์ พลธนะวิสิทธิ์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ ผู้ผลิตและจำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า กล่าวว่า บริษัทยังมั่นใจว่า จะทำยอดจำหน่ายได้เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีแผนเตรียมการไว้สำหรับรุกตลาดต่อเนื่องทั้งปี เริ่มจากแคมเปญใหญ่ที่บริษัทดึง 5 หนุ่ม วงทงบังชินกิจากประเทศเกาหลี เข้ามาเป็นพรีเซนเตอร์สินค้าให้กับบริษัทเฉพาะรุ่น ซึ่งแตกต่างจากการดึงเอฟโฟร์เข้ามาเป็นพรีเซนเตอร์ของกลุ่มบริษัทในปีที่ผ่านมา จะทำให้ภาพลักษณ์ของสินค้าของบริษัทมีความแตกต่างจากคู่แข่งอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2551 ยามาฮ่าจะมียอดจำหน่ายที่ 4.2 แสนคัน เติบโต 15% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดที่ 26% จากตลาดที่คาดว่าจะเติบโตประมาณ 2% หรือมียอดจำหน่าย 1.6 ล้านคัน โดยเป็นการคำนวณจากการคาดการณ์ว่าจีดีพีในปีนี้ น่าจะเติบโตที่ระดับ 4-5%
สำหรับแผนการทำตลาดนั้น บริษัทได้เตรียมงบประมาณปีนี้กว่า 500 ล้านบาท โดยมีแผนที่จะเปิดตัวสินค้ารุ่นใหม่ๆ เข้าทำตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจากรถจักรยานยนต์ออโตเมติก รุ่นนูโว ที่จะเปิดตัวพร้อมกัน 2 โมเดล ซึ่งในรุ่นท็อป จะเป็นรถจักรยานยนต์ออโตเมติกที่แพงที่สุดในตลาด ด้วยราคา 5.5 หมื่นบาท พร้อมขยายเครื่องยนต์เป็น 135 ซีซี เน้นกลุ่มลูกค้าเฉพาะกลุ่ม โดยตั้งเป้าขายเพียง 5 พันคันต่อเดือนเท่านั้น ขณะที่รุ่นเดิมที่มีการปรับโฉมนั้น วางราคาจำหน่าย 5.35 หมื่นบาท ตั้งเป้ายอดขาย 2-3 พันคันต่อเดือน
สำหรับยอดจำหน่ายในปีที่ผ่านมา ยามาฮ่ามียอดจำหน่ายทั้งปีที่ 3.65 แสนคัน หดตัวจากปีที่ผ่านมา 15% ซึ่งน้อยกว่าการหดตัวของตลาดที่หดตัวไป 17%
ขณะที่ในกลุ่มรถจักรยานยนต์ออโตเมติก บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 46% ซึ่งแนวโน้มในเดือน ธ.ค. 2550 บริษัทมีส่วนแบ่งในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นเป็น 50% คาดว่าน่าจะรักษาทิศทางการเติบโตในส่วนนี้เอาไว้ได้อย่างต่อเนื่อง
นายประพันธ์ กล่าวว่า แม้ปีที่ผ่านมา บริษัทจะมียอดขายลดลง แต่อยู่ในระดับที่น่าพอใจ เนื่องจากการรักษาส่วนแบ่งการตลาดในระดับเดิมได้ เป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจและปัจจัยลบต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่นและไม่กล้าใช้จ่าย ซึ่งผลจากปัจจัยลบดังกล่าว ส่งผลกระทบ
สำหรับในปีนี้คาดว่ายังมีปัจจัยลบจากเงินบาทแข็งค่า การถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐ ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งเงินเฟ้อ ที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อตลาด แต่ก็ยังมีปัจจัยบวกจากความชัดเจนของรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ทำให้ความเชื่อมั่นของ ผู้บริโภคกลับคืนมา
ปัจจัยลบคงส่งผลกระทบต่อตลาดแน่ แต่โชคดีมีปัจจัยบวก จากการมีรัฐบาลใหม่ มาช่วยดึงความเชื่อมั่นกลับมา และน่าจะส่งผลถึงยอดจำหน่ายที่สูงขึ้น นายประพันธ์ กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=218734
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news04/02/08
โพสต์ที่ 142
ฟอร์ด มอเตอร์ เรียกคืนรถยนต์กว่า 2 แสนคัน
บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ ซึ่งเป็น 1 ในผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ 3 อันดับแรกในสหรัฐ เปิดเผยว่า ต้องประกาศเรียกคืนรถยนต์ฟอร์ด จำนวน 2.25 แสนคัน ที่ได้มีการเรียกคืนก่อนหน้านี้ ซึ่งนำไปซ่อมแซมส่วนที่เกี่ยวข้องกับปุ่มควบคุมระบบการขับเคลื่อนของรถยนต์ สำหรับการเรียกคืนรถยนต์ฟอร์ดในครั้งนี้ ทางบริษัทย้ำว่า เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ในจำนวนรถยนต์ทั้งหมด 10 ล้านคัน ที่อยู่ในตลาดนับตั้งแต่เมื่อปี 1999 หรือในปี 2542 ซึ่งเริ่มปรับเปลี่ยนมาใช้ปุ่มควบคุมระบบการขับเคลื่อนของรถยนต์เป็นต้นมา
วอลโว่ เรียกคืนรถยนต์กว่า 8 หมื่นคัน
บริษัท วอลโว่ ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ระดับหรูหราชั้นนำจากประเทศสวีเดน ซึ่งมีบริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ ในสหรัฐ เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เปิดเผยเช่นกันว่า วอลโว่ มีความจำเป็นต้องเรียกคืนรถยนต์ในตลาดเป็นจำนวนมากถึง 8.2 หมื่นคัน จากสาเหตุของสนิมที่เกิดขึ้นในรถบกพร่องของเครื่องยนต์ ทั้งนี้ รถยนต์ยี่ห้อวอลโว่ ในรุ่น เอส 40 และ วี 50 ซึ่งผลิตในช่วงระหว่างปี 2004 หรือในปี 2547 ถึงปี 2006 หรือในปี 2549 ด้านผู้บริหาร บริษัท วอลโว่ ไม้ได้เปิดเผยว่ามีค่าใช้จ่ายสูงเท่าไหร่ ในการเรียกคืนรถยนต์
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ ซึ่งเป็น 1 ในผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ 3 อันดับแรกในสหรัฐ เปิดเผยว่า ต้องประกาศเรียกคืนรถยนต์ฟอร์ด จำนวน 2.25 แสนคัน ที่ได้มีการเรียกคืนก่อนหน้านี้ ซึ่งนำไปซ่อมแซมส่วนที่เกี่ยวข้องกับปุ่มควบคุมระบบการขับเคลื่อนของรถยนต์ สำหรับการเรียกคืนรถยนต์ฟอร์ดในครั้งนี้ ทางบริษัทย้ำว่า เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ในจำนวนรถยนต์ทั้งหมด 10 ล้านคัน ที่อยู่ในตลาดนับตั้งแต่เมื่อปี 1999 หรือในปี 2542 ซึ่งเริ่มปรับเปลี่ยนมาใช้ปุ่มควบคุมระบบการขับเคลื่อนของรถยนต์เป็นต้นมา
วอลโว่ เรียกคืนรถยนต์กว่า 8 หมื่นคัน
บริษัท วอลโว่ ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ระดับหรูหราชั้นนำจากประเทศสวีเดน ซึ่งมีบริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ ในสหรัฐ เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เปิดเผยเช่นกันว่า วอลโว่ มีความจำเป็นต้องเรียกคืนรถยนต์ในตลาดเป็นจำนวนมากถึง 8.2 หมื่นคัน จากสาเหตุของสนิมที่เกิดขึ้นในรถบกพร่องของเครื่องยนต์ ทั้งนี้ รถยนต์ยี่ห้อวอลโว่ ในรุ่น เอส 40 และ วี 50 ซึ่งผลิตในช่วงระหว่างปี 2004 หรือในปี 2547 ถึงปี 2006 หรือในปี 2549 ด้านผู้บริหาร บริษัท วอลโว่ ไม้ได้เปิดเผยว่ามีค่าใช้จ่ายสูงเท่าไหร่ ในการเรียกคืนรถยนต์
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news07/02/08
โพสต์ที่ 143
อีซูซุ กำไร Q3 ปี 50 พุ่ง 12% ข่าว 17.00 น.
Posted on Thursday, February 07, 2008
อีซูซุมอเตอร์ส ค่ายรถยนต์ของญี่ปุ่น รายงานว่า การดำเนินงานในไตรมาส 3 ปีบัญชี 2550 มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 24.4 พันล้านเยน หรือ 229 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือเติบโต 12% และมีรายได้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 4.3 แสนล้านเยน หรือเพิ่มขึ้น 7% เนื่องจากยอดขายรถยนต์ในตลาดเกิดใหม่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้อีซูซุคาดว่า ยอดขายรถบรรทุกและรถโดยสารทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 64% มาอยู่ที่ 350,000 คัน ในช่วง 3 ปีข้างหน้า แม้ว่ายอดขายรถกระบะในญี่ปุ่นในช่วงไตรมาส 3 จะลดลง 37%
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
ยอดส่งออกรถยนต์จีนปี 50 โต 2 เท่า ข่าว 16.00 น.
Posted on Thursday, February 07, 2008
นายจู ฮองเรน รองผู้อำนวยการ คณะกรรมการพัฒนาปฎิรูปแห่งชาติของจีน บอกว่า ยอดส่งออกรถยนต์ของจีนในปี 2550 มีจำนวน 188,600 คัน เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าจากปีก่อน โดยบริษัท เชอรี่ ผู้สร้างรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของจีน มียอดส่งออกรถยนต์ 119,800 คัน เพิ่มขึ้น 132% ส่วนบริษัท ชางกัน ออโต้โมทีฟ กรุ๊ป ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดอันดับที่ 4 ของจีน สามารถขายรถยนต์ในต่างประเทศได้กว่า 40,000 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ระดับ 21,700 คัน
ปริมาณการส่งออกรถยนต์ของจีนที่เพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นถึงคุณภาพการผลิตรถยนต์ของจีนได้รับการยอมรับมากขึ้น
สำหรับนำเข้ารถยนต์ในปี 2550 มีจำนวนทั้งสิ้น 314,200 คัน เพิ่มขึ้น 41.4% โดยมียอดนำเข้ารถเก๋งเพิ่มขึ้น 25.13% และยอดนำเข้ารถมินิบัสลดลง 5.29%
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
Posted on Thursday, February 07, 2008
อีซูซุมอเตอร์ส ค่ายรถยนต์ของญี่ปุ่น รายงานว่า การดำเนินงานในไตรมาส 3 ปีบัญชี 2550 มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 24.4 พันล้านเยน หรือ 229 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือเติบโต 12% และมีรายได้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 4.3 แสนล้านเยน หรือเพิ่มขึ้น 7% เนื่องจากยอดขายรถยนต์ในตลาดเกิดใหม่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้อีซูซุคาดว่า ยอดขายรถบรรทุกและรถโดยสารทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 64% มาอยู่ที่ 350,000 คัน ในช่วง 3 ปีข้างหน้า แม้ว่ายอดขายรถกระบะในญี่ปุ่นในช่วงไตรมาส 3 จะลดลง 37%
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
ยอดส่งออกรถยนต์จีนปี 50 โต 2 เท่า ข่าว 16.00 น.
Posted on Thursday, February 07, 2008
นายจู ฮองเรน รองผู้อำนวยการ คณะกรรมการพัฒนาปฎิรูปแห่งชาติของจีน บอกว่า ยอดส่งออกรถยนต์ของจีนในปี 2550 มีจำนวน 188,600 คัน เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าจากปีก่อน โดยบริษัท เชอรี่ ผู้สร้างรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของจีน มียอดส่งออกรถยนต์ 119,800 คัน เพิ่มขึ้น 132% ส่วนบริษัท ชางกัน ออโต้โมทีฟ กรุ๊ป ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดอันดับที่ 4 ของจีน สามารถขายรถยนต์ในต่างประเทศได้กว่า 40,000 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ระดับ 21,700 คัน
ปริมาณการส่งออกรถยนต์ของจีนที่เพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นถึงคุณภาพการผลิตรถยนต์ของจีนได้รับการยอมรับมากขึ้น
สำหรับนำเข้ารถยนต์ในปี 2550 มีจำนวนทั้งสิ้น 314,200 คัน เพิ่มขึ้น 41.4% โดยมียอดนำเข้ารถเก๋งเพิ่มขึ้น 25.13% และยอดนำเข้ารถมินิบัสลดลง 5.29%
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news08/02/08
โพสต์ที่ 144
'ฮอนด้า'ฮึดตั้งเป้าส่งออกโตเพิ่ม12% ปลื้มปี'50ดูดเม็ดเงินเข้าประเทศแสนล้าน
'ฮอนด้า'ตั้งเป้าส่งออกโตเพิ่มขึ้น 12% หลังปี'50 กวาดยอดทะลุ 1 แสนล้าน เผยเป็นผลจากรากฐานทางธุรกิจในไทยแน่นปึ้ก
นายทัตสึฮิโร่ โอยาม่า ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท เอเชี่ยนฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด เปิดเผยถึงยอดส่งออกของฮอนด้าประเทศไทยในปี 2550 ที่ผ่านมาว่า มีมูลค่าการส่งออกรวมสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 100,164 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2549 ถึง 20% แม้ว่าจะมีปัจจัยความผันผวนทางเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา ค่าเงินบาทแข็ง และราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่เนื่องจากความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ตลอดจนการได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าทั่วโลก ซึ่งบริษัทตั้งเป้าว่าในปีนี้จะมียอดการส่งออกสูงถึง 112,100 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 12% จากปีที่แล้ว
สำหรับความสำเร็จของการส่งออกในปีที่ผ่านมานั้น เป็นผลมาจากการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปและชิ้นส่วนเพื่อการประกอบรถยนต์ ซึ่งมีมูลค่า 64,644 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% จากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2549 และรถจักรยานยนต์และชิ้นส่วนเพื่อการประกอบรถจักรยานยนต์ที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยมูลค่า 21,651 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับปี 2549
"เราเริ่มส่งออกผลิตภัณฑ์จากไทยมาตั้งแต่ปี 2530 ด้วยมูลค่าการส่งออกในปีแรก 16 ล้านบาท และการส่งออกของเราก็ได้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้ มูลค่าการส่งออกของฮอนด้าเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการวางรากฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของเราในไทย และด้วยการลงทุนในด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่องของฮอนด้า และเราคาดว่าการส่งออกยังคงมีแนวโน้มที่ดีในปีต่อๆ ไป"
ในส่วนของการส่งออกผลิตภัณฑ์รถยนต์สำเร็จรูปมีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 50% จาก 27,642 ล้านบาท เป็น 41,552 ล้านบาท (โดยมีปริมาณส่งออกรวมทั้งสิ้น 78,798 คัน) ซึ่งฮอนด้าซีวิคยังคงเป็นรถยนต์รุ่นที่ฮอนด้าส่งออกมากที่สุดถึง 21,533 คัน รองลงมาคือ ฮอนด้าซีอาร์-วี 20,174 คัน และฮอนด้าซิตี้ 16,803 คัน ซึ่งเป็นผลมาจากความไว้วางใจและการตอบรับที่ดีของผู้บริโภคในประเทศออสเตรเลียและภูมิภาคอาเซียนที่มีต่อรถยนต์สำเร็จรูปที่ผลิตจากฮอนด้าประเทศไทย ทำให้เชื่อว่าในปีนี้จะมีการส่งออกผลิตภัณฑ์รถยนต์สำเร็จรูปและชิ้นส่วนเพื่อการประกอบรถยนต์ของฮอนด้าเพิ่มขึ้น 16% หรือคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 74,930 ล้านบาท
ด้านรถจักรยานยนต์สำเร็จรูปและชิ้นส่วนเพื่อการประกอบรถจักรยานยนต์ในปี 2550 ที่ผ่านมา มีมูลค่ารวม 21,651 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% โดยรถจักรยานยนต์สำเร็จรูปมีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 50% ซึ่งเป็นผลจากการส่งออกฮอนด้าซีบีอาร์ 125 ใหม่ ไปยังยุโรป แคนาดา และออสเตรเลีย ตามด้วยชิ้นส่วนเพื่อการประกอบรถจักรยานยนต์ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 7% เนื่องมาจากการขยายตัวของตลาดในเวียดนามและกัมพูชา
เครื่องยนต์อเนกประสงค์และชิ้นส่วนในปี 2550 มีอัตราการขยายตัวคงที่ โดยมีปริมาณการส่งออกรวม 1,794,034 เครื่อง คิดเป็นมูลค่า 10,741 ล้านบาท แม้ว่าจะมีปัจจัยค่าเงินบาทแข็งและการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้ฮอนด้าถือเป็นผู้ผลิตยานยนต์ชั้นนำรายใหญ่แห่งหนึ่งของโลก เมื่อรวมกับมูลค่าส่งออก 112,100 ล้านบาท ที่คาดการณ์ในปีนี้ ฮอนด้าประเทศไทยจะมีมูลค่าส่งออกสะสมของผลิตภัณฑ์รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเครื่องยนต์อเนกประสงค์ ไปกว่า 80 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งสิ้นถึง 562,500 ล้านบาท
http://matichon.co.th/prachachat/news_d ... 65&catid=2
'ฮอนด้า'ตั้งเป้าส่งออกโตเพิ่มขึ้น 12% หลังปี'50 กวาดยอดทะลุ 1 แสนล้าน เผยเป็นผลจากรากฐานทางธุรกิจในไทยแน่นปึ้ก
นายทัตสึฮิโร่ โอยาม่า ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท เอเชี่ยนฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด เปิดเผยถึงยอดส่งออกของฮอนด้าประเทศไทยในปี 2550 ที่ผ่านมาว่า มีมูลค่าการส่งออกรวมสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 100,164 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2549 ถึง 20% แม้ว่าจะมีปัจจัยความผันผวนทางเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา ค่าเงินบาทแข็ง และราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่เนื่องจากความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ตลอดจนการได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าทั่วโลก ซึ่งบริษัทตั้งเป้าว่าในปีนี้จะมียอดการส่งออกสูงถึง 112,100 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 12% จากปีที่แล้ว
สำหรับความสำเร็จของการส่งออกในปีที่ผ่านมานั้น เป็นผลมาจากการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปและชิ้นส่วนเพื่อการประกอบรถยนต์ ซึ่งมีมูลค่า 64,644 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% จากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2549 และรถจักรยานยนต์และชิ้นส่วนเพื่อการประกอบรถจักรยานยนต์ที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยมูลค่า 21,651 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับปี 2549
"เราเริ่มส่งออกผลิตภัณฑ์จากไทยมาตั้งแต่ปี 2530 ด้วยมูลค่าการส่งออกในปีแรก 16 ล้านบาท และการส่งออกของเราก็ได้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้ มูลค่าการส่งออกของฮอนด้าเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการวางรากฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของเราในไทย และด้วยการลงทุนในด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่องของฮอนด้า และเราคาดว่าการส่งออกยังคงมีแนวโน้มที่ดีในปีต่อๆ ไป"
ในส่วนของการส่งออกผลิตภัณฑ์รถยนต์สำเร็จรูปมีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 50% จาก 27,642 ล้านบาท เป็น 41,552 ล้านบาท (โดยมีปริมาณส่งออกรวมทั้งสิ้น 78,798 คัน) ซึ่งฮอนด้าซีวิคยังคงเป็นรถยนต์รุ่นที่ฮอนด้าส่งออกมากที่สุดถึง 21,533 คัน รองลงมาคือ ฮอนด้าซีอาร์-วี 20,174 คัน และฮอนด้าซิตี้ 16,803 คัน ซึ่งเป็นผลมาจากความไว้วางใจและการตอบรับที่ดีของผู้บริโภคในประเทศออสเตรเลียและภูมิภาคอาเซียนที่มีต่อรถยนต์สำเร็จรูปที่ผลิตจากฮอนด้าประเทศไทย ทำให้เชื่อว่าในปีนี้จะมีการส่งออกผลิตภัณฑ์รถยนต์สำเร็จรูปและชิ้นส่วนเพื่อการประกอบรถยนต์ของฮอนด้าเพิ่มขึ้น 16% หรือคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 74,930 ล้านบาท
ด้านรถจักรยานยนต์สำเร็จรูปและชิ้นส่วนเพื่อการประกอบรถจักรยานยนต์ในปี 2550 ที่ผ่านมา มีมูลค่ารวม 21,651 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% โดยรถจักรยานยนต์สำเร็จรูปมีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 50% ซึ่งเป็นผลจากการส่งออกฮอนด้าซีบีอาร์ 125 ใหม่ ไปยังยุโรป แคนาดา และออสเตรเลีย ตามด้วยชิ้นส่วนเพื่อการประกอบรถจักรยานยนต์ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 7% เนื่องมาจากการขยายตัวของตลาดในเวียดนามและกัมพูชา
เครื่องยนต์อเนกประสงค์และชิ้นส่วนในปี 2550 มีอัตราการขยายตัวคงที่ โดยมีปริมาณการส่งออกรวม 1,794,034 เครื่อง คิดเป็นมูลค่า 10,741 ล้านบาท แม้ว่าจะมีปัจจัยค่าเงินบาทแข็งและการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้ฮอนด้าถือเป็นผู้ผลิตยานยนต์ชั้นนำรายใหญ่แห่งหนึ่งของโลก เมื่อรวมกับมูลค่าส่งออก 112,100 ล้านบาท ที่คาดการณ์ในปีนี้ ฮอนด้าประเทศไทยจะมีมูลค่าส่งออกสะสมของผลิตภัณฑ์รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเครื่องยนต์อเนกประสงค์ ไปกว่า 80 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งสิ้นถึง 562,500 ล้านบาท
http://matichon.co.th/prachachat/news_d ... 65&catid=2
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news11/02/08
โพสต์ที่ 145
เต็นท์รถมือสองโอดกฎเหล็กสคบ. เหตุทำต้นทุนขายรถพุ่งกว่าปกติ
โพสต์ทูเดย์ ผู้ประกอบการรถมือสองชี้ มาตรการ สคบ.คุมเข้มซื้อขายรถยนต์จะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น
แหล่งข่าวผู้ประกอบการธุรกิจขายรถยนต์ใช้แล้ว เปิดเผยว่า จากมาตรการของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. ที่กำหนดให้รถยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าควบคุมฉลากและเป็นสินค้าที่ต้องออกหลักฐานการเงินในการขายให้มีรายละเอียดชัดเจนตามที่กำหนดนั้น จะทำให้ต้นทุนในการปฏิบัติงานของผู้ขายสูงขึ้นแน่นอน
ทั้งนี้ เนื่องจากต้องมีการตรวจสอบสภาพของรถยนต์ที่จะซื้อเข้ามาที่เต็นท์อย่างละเอียด ขณะเดียวกันก็ต้องจัดการในเรื่องของหลักฐานต่างๆ ให้มีความชัดเจน
อย่างไรก็ตาม แม้ต้นทุนจะเพิ่มขึ้น แต่ในภาวะการแข่งขันที่รุนแรงของผู้ประกอบการรถยนต์มือสอง คงไม่สามารถปรับเพิ่มราคาจำหน่ายรถยนต์มือสองตามได้ แต่จะส่งผลกับราคารถยนต์ที่มีผู้นำมาขายถูกประเมินราคาที่ลดลงไปกว่าปกติ
เข้าใจว่านโยบายของ สคบ. ต้องการสร้างความมั่นใจให้กับคนที่ต้องการซื้อรถมือสอง แถมมาตรการนี้จะช่วยสกรีนผู้ประกอบการได้ด้วย เพราะผู้ประกอบการที่ดีก็ต้องพร้อมที่จะทำตามที่ สคบ.กำหนดอยู่แล้ว แต่ทาง สคบ.คงต้องเข้ามาตรวจสอบในเรื่องนี้อย่างเคร่งครัด แหล่งข่าวเปิดเผย
นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าการควบคุมที่เคร่งครัดของ สคบ. จะทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจขายรถยนต์ใช้แล้วคงไม่สามารถเปิด-ปิดเต็นท์ได้ง่ายเหมือนที่ผ่านมา เนื่องจากต้องระบุรายชื่อเจ้าของและรายชื่อผู้ขาย พร้อมรายละเอียดอื่นๆ อย่างชัดเจน ทำให้เชื่อว่ามาตรฐานในส่วนของผู้ประกอบการเองก็จะสูงขึ้นด้วย
น.ส.วรรณภา ตั้งบรรยงค์ กรรมการบริหาร บริษัท เบนซ์อมรรัชดา กล่าวว่า ทางบริษัทพร้อมที่จะทำตามมาตรการนี้อย่างเคร่งครัด และมองว่าหากเป็นผู้ประกอบการที่ไม่มีอะไรปิดบัง ก็ไม่น่าจะมีปัญหากับเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการจำเป็นต้องอธิบายลูกค้าให้ชัดเจนเกี่ยวกับมาตรการต่างๆ ให้เข้าใจ เนื่องจากมีรายละเอียดมากเช่น ปีที่รถผลิตและปีที่จดทะเบียนที่อาจจะห่างกันได้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=220109
โพสต์ทูเดย์ ผู้ประกอบการรถมือสองชี้ มาตรการ สคบ.คุมเข้มซื้อขายรถยนต์จะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น
แหล่งข่าวผู้ประกอบการธุรกิจขายรถยนต์ใช้แล้ว เปิดเผยว่า จากมาตรการของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. ที่กำหนดให้รถยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าควบคุมฉลากและเป็นสินค้าที่ต้องออกหลักฐานการเงินในการขายให้มีรายละเอียดชัดเจนตามที่กำหนดนั้น จะทำให้ต้นทุนในการปฏิบัติงานของผู้ขายสูงขึ้นแน่นอน
ทั้งนี้ เนื่องจากต้องมีการตรวจสอบสภาพของรถยนต์ที่จะซื้อเข้ามาที่เต็นท์อย่างละเอียด ขณะเดียวกันก็ต้องจัดการในเรื่องของหลักฐานต่างๆ ให้มีความชัดเจน
อย่างไรก็ตาม แม้ต้นทุนจะเพิ่มขึ้น แต่ในภาวะการแข่งขันที่รุนแรงของผู้ประกอบการรถยนต์มือสอง คงไม่สามารถปรับเพิ่มราคาจำหน่ายรถยนต์มือสองตามได้ แต่จะส่งผลกับราคารถยนต์ที่มีผู้นำมาขายถูกประเมินราคาที่ลดลงไปกว่าปกติ
เข้าใจว่านโยบายของ สคบ. ต้องการสร้างความมั่นใจให้กับคนที่ต้องการซื้อรถมือสอง แถมมาตรการนี้จะช่วยสกรีนผู้ประกอบการได้ด้วย เพราะผู้ประกอบการที่ดีก็ต้องพร้อมที่จะทำตามที่ สคบ.กำหนดอยู่แล้ว แต่ทาง สคบ.คงต้องเข้ามาตรวจสอบในเรื่องนี้อย่างเคร่งครัด แหล่งข่าวเปิดเผย
นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าการควบคุมที่เคร่งครัดของ สคบ. จะทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจขายรถยนต์ใช้แล้วคงไม่สามารถเปิด-ปิดเต็นท์ได้ง่ายเหมือนที่ผ่านมา เนื่องจากต้องระบุรายชื่อเจ้าของและรายชื่อผู้ขาย พร้อมรายละเอียดอื่นๆ อย่างชัดเจน ทำให้เชื่อว่ามาตรฐานในส่วนของผู้ประกอบการเองก็จะสูงขึ้นด้วย
น.ส.วรรณภา ตั้งบรรยงค์ กรรมการบริหาร บริษัท เบนซ์อมรรัชดา กล่าวว่า ทางบริษัทพร้อมที่จะทำตามมาตรการนี้อย่างเคร่งครัด และมองว่าหากเป็นผู้ประกอบการที่ไม่มีอะไรปิดบัง ก็ไม่น่าจะมีปัญหากับเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการจำเป็นต้องอธิบายลูกค้าให้ชัดเจนเกี่ยวกับมาตรการต่างๆ ให้เข้าใจ เนื่องจากมีรายละเอียดมากเช่น ปีที่รถผลิตและปีที่จดทะเบียนที่อาจจะห่างกันได้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=220109
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news15/02/08
โพสต์ที่ 146
ECO Car ดันลงทุนชิ้นส่วนยานยนต์เพิ่มขึ้น - ข่าว 11.00 น.
Posted on Friday, February 15, 2008
นายสาธิต ชาญเชาวน์กุล เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) บอกว่า ในปีนี้การลงทุนในอุตสาหกรรมกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ยังขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา เพื่อรองรับความต้องการใช้ชิ้นส่วนในโครงการรถยนต์ประหยัดพลังงาน (ECO Car) โดยเฉพาะการผลิตยางรถยนต์ที่ช่วยในการประหยัดพลังงาน ซึ่งล่าสุดบริษัท ไทยบริดจสโตน จำกัด มีแผนขยายการลงทุนในประเทศไทย มูลค่าเงินลงทุนกว่า 3 พันล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตรองรับความต้องการของตลาดยางรถยนต์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้เมื่อปลายปี 2550 บริษัทในเครือผู้ผลิตยางรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของไต้หวัน และจีน ได้ขยายการลงทุนในประเทศไทย เพื่อผลิตยางรถยนต์ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 9.4 พันล้านบาท
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
Posted on Friday, February 15, 2008
นายสาธิต ชาญเชาวน์กุล เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) บอกว่า ในปีนี้การลงทุนในอุตสาหกรรมกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ยังขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา เพื่อรองรับความต้องการใช้ชิ้นส่วนในโครงการรถยนต์ประหยัดพลังงาน (ECO Car) โดยเฉพาะการผลิตยางรถยนต์ที่ช่วยในการประหยัดพลังงาน ซึ่งล่าสุดบริษัท ไทยบริดจสโตน จำกัด มีแผนขยายการลงทุนในประเทศไทย มูลค่าเงินลงทุนกว่า 3 พันล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตรองรับความต้องการของตลาดยางรถยนต์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้เมื่อปลายปี 2550 บริษัทในเครือผู้ผลิตยางรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของไต้หวัน และจีน ได้ขยายการลงทุนในประเทศไทย เพื่อผลิตยางรถยนต์ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 9.4 พันล้านบาท
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news15/02/08
โพสต์ที่ 147
ยอดขายรถยนต์รวม ปี 2550 หดตัว 7.5% แต่จ้าวตลาดหน้าเดิม โตโยต้า+อีซูซุ+ฮอนด้า ตามลำดับ
Posted on Friday, February 15, 2008
บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลล์ ได้เปิดเผยยอดจำหน่ายรถยนต์รวมปี 2550 ที่ผ่านมา สรุปสาระสำคัญได้ว่า ยอดจำหน่ายรถยนต์ทุกยี่ห้อในปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 631,250 คัน โดยตลาดหลัก 2 ตลาด คือ ตลาดรถปิกอัพหดตัวลง 9% และรถยนต์นั่งส่วนบุคคลมีการหดตัวลง 11.3% ฉุดยอดจำหน่ายตลาดรถยนต์รวมลง 7.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
อย่างไรก็ตาม ยอดขายที่หดตัวลงนี้ เป็นไปตามสภาพแวดล้อม เพราะในปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยเผชิญปัจจัยลบนานัปการ ไม่ว่าจะเป็น ราคาน้ำมันที่ทะยานสูงขึ้นอย่างไม่มีเพดาน อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น หรือการควบคุมคุณภาพสินเชื่อของธนาคารต่าง ๆ ที่รัดกุมขึ้น รวมถึงความไม่แน่นอนทางด้านการเมือง ส่งผลให้กำลังซื้อหดตัวลงไป จนทำให้การทำการตลาด ด้วยแคมเปญส่งเสริมการจำหน่ายที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขดาวน์ต่ำ อัตราดอกเบี้ยต่ำแม้กระทั่ง 0% ผ่อนนานมากถึง 72 เดือน หรือซื้อก่อนผ่อนทีหลัง ตลอดจนส่วนลดเงินสด ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง การจับสลากของรางวัล หรือการแจกของแถมมูลค่าสูง ไม่สามารถกระตุ้นความต้องการซื้อของผู้บริโภคได้มากนัก
โดยตัวเลขยอดขายตลอดปีที่ผ่านมา โตโยต้าจำหน่ายได้สูงสุด ด้วยยอดจำหน่าย 2.82 แสนคัน มีส่วนแบ่งตลาด 44.7% ตามมาด้วยอีซูซุ ซึ่งมียอดการจำหน่าย 1.51 แสนคัน มีส่วนแบ่งตลาด 24% และฮอนด้าตามมาเป็นอันดับ 3 มียอดจำหน่าย 58,525 คัน ด้วยส่วนแบ่งตลาด 9.27%
สำหรับเฉพาะเดือนธันวาคมนั้น ยอดจำหน่ายรถยนต์รวมทุกประเภท 64,345 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 11.5% โตโยต้ามาเป็นอันดับ 1 ด้วยยอดการจำหน่าย 30,417 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 47% อีซูซุมาเป็นอันดับ 2 จำหน่ายได้ 17,268 คัน ส่วนแบ่งตลาด 27% และนิสสันมาเป็นอันดับ 3 ด้วยยอดจำหน่าย 3,622 คัน ส่วนแบ่งตลาด 5.6%
ด้านตลาดรถปิกอัพขนาด 1 ตันตลอดปี จำหน่ายได้ทั้งสิ้น 3.9 แสนคัน ลดลงจากปี 2549 กว่า 9% โตโยต้าจำหน่ายได้สูงสุด 1.6 แสนคัน มีส่วนแบ่งตลาด 40.8% อีซูซุมาเป็นอันดับ 2 ด้วยยอดจำหน่าย 1.4 แสนคัน มีส่วนแบ่งตลาด 35.7% และนิสสันมาเป็นอันดับ 3 ด้วยยอดจำหน่าย 31,980 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 8%
ส่วนยอดจำหน่ายตลาดรถปิกอัพในเดือนธันวาคม จำหน่ายได้ทั้งสิ้น 45,957 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 21.3% โตโยต้ามาเป็นอันดับ 1 ด้วยยอดจำหน่าย 20,121 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 44% อันดับ 2 ได้แก่ อีซูซุ ด้วยยอดจำหน่าย 15,877 คัน ส่วนแบ่งตลาด 34.5% และนิสสันตามมาเป็นอันดับ 3 ด้วยยอดจำหน่าย 3,291 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 7%
สำหรับตลาดรถบรรทุกขนาด 2 ตันขึ้นไปตลอดปี มียอดจำหน่ายรวมทั้งสิ้น 22,769 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2549 เล็กน้อย 0.66% อีซูซุมาเป็นอันดับ 1 ด้วยยอดจำหน่าย 10,443 คัน คิดเป็น 46% ตามมาด้วยฮีโน่ ซึ่งจำหน่ายได้ 8,064 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 35.4% และมิตซูบิชิมาเป็นอันดับ 3 จำหน่ายได้ 2,318 คัน คิดเป็น 10%
ขณะที่ยอดจำหน่ายรถบรรทุกขนาด 2 ตันขึ้นไป ในเดือนธันวาคม อยู่ที่ 2,629 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 26.6% อีซูซุจำหน่ายได้ 1,207 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 46% ตามมาด้วยฮีโน่ จำหน่ายได้ 873 คัน คิดเป็น 33% และมิตซูบิชิมาเป็นอันดับ 3 จำหน่ายได้ 271 คัน คิดเป็น 10%
ส่วนยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลตลอดปี อยู่ที่ 1.7 แสนคัน ลดลง 11.3% เทียบกับปี 2549 ที่ผ่านมา โดยอันดับ 1 คือ โตโยต้าจำหน่ายได้ 92,530 คัน คิดเป็น 54.4% ฮอนด้ามาเป็นอันดับ 2 ด้วยยอดจำหน่าย 50,093 คัน คิดเป็น 29.4% และเชฟโรเลตมาเป็นอันดับ 3 คือ 7,604 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 4.47%
ทั้งนี้ ยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลในเดือนธันวาคมเท่ากับ 12,018 คัน ลดลง 11.92% เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โตโยต้าจำหน่ายได้อันดับ 1 คือ 7,746 คัน คิดเป็น 64.4% ฮอนด้ามาเป็นอันดับ 2 จำหน่ายได้ 1,483 คัน คิดเป็น 12% และเชฟโรเลตมาเป็นอันดับ 3 คือ 902 คัน คิดเป็น 7.5%
มันนี่ ชาเนล - วรนนท์ อัศวพิริยานนท์
โทรศัพท์ - 02- 229 - 2000 ต่อ 2616
อีเมล - [email protected]
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
Posted on Friday, February 15, 2008
บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลล์ ได้เปิดเผยยอดจำหน่ายรถยนต์รวมปี 2550 ที่ผ่านมา สรุปสาระสำคัญได้ว่า ยอดจำหน่ายรถยนต์ทุกยี่ห้อในปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 631,250 คัน โดยตลาดหลัก 2 ตลาด คือ ตลาดรถปิกอัพหดตัวลง 9% และรถยนต์นั่งส่วนบุคคลมีการหดตัวลง 11.3% ฉุดยอดจำหน่ายตลาดรถยนต์รวมลง 7.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
อย่างไรก็ตาม ยอดขายที่หดตัวลงนี้ เป็นไปตามสภาพแวดล้อม เพราะในปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยเผชิญปัจจัยลบนานัปการ ไม่ว่าจะเป็น ราคาน้ำมันที่ทะยานสูงขึ้นอย่างไม่มีเพดาน อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น หรือการควบคุมคุณภาพสินเชื่อของธนาคารต่าง ๆ ที่รัดกุมขึ้น รวมถึงความไม่แน่นอนทางด้านการเมือง ส่งผลให้กำลังซื้อหดตัวลงไป จนทำให้การทำการตลาด ด้วยแคมเปญส่งเสริมการจำหน่ายที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขดาวน์ต่ำ อัตราดอกเบี้ยต่ำแม้กระทั่ง 0% ผ่อนนานมากถึง 72 เดือน หรือซื้อก่อนผ่อนทีหลัง ตลอดจนส่วนลดเงินสด ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง การจับสลากของรางวัล หรือการแจกของแถมมูลค่าสูง ไม่สามารถกระตุ้นความต้องการซื้อของผู้บริโภคได้มากนัก
โดยตัวเลขยอดขายตลอดปีที่ผ่านมา โตโยต้าจำหน่ายได้สูงสุด ด้วยยอดจำหน่าย 2.82 แสนคัน มีส่วนแบ่งตลาด 44.7% ตามมาด้วยอีซูซุ ซึ่งมียอดการจำหน่าย 1.51 แสนคัน มีส่วนแบ่งตลาด 24% และฮอนด้าตามมาเป็นอันดับ 3 มียอดจำหน่าย 58,525 คัน ด้วยส่วนแบ่งตลาด 9.27%
สำหรับเฉพาะเดือนธันวาคมนั้น ยอดจำหน่ายรถยนต์รวมทุกประเภท 64,345 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 11.5% โตโยต้ามาเป็นอันดับ 1 ด้วยยอดการจำหน่าย 30,417 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 47% อีซูซุมาเป็นอันดับ 2 จำหน่ายได้ 17,268 คัน ส่วนแบ่งตลาด 27% และนิสสันมาเป็นอันดับ 3 ด้วยยอดจำหน่าย 3,622 คัน ส่วนแบ่งตลาด 5.6%
ด้านตลาดรถปิกอัพขนาด 1 ตันตลอดปี จำหน่ายได้ทั้งสิ้น 3.9 แสนคัน ลดลงจากปี 2549 กว่า 9% โตโยต้าจำหน่ายได้สูงสุด 1.6 แสนคัน มีส่วนแบ่งตลาด 40.8% อีซูซุมาเป็นอันดับ 2 ด้วยยอดจำหน่าย 1.4 แสนคัน มีส่วนแบ่งตลาด 35.7% และนิสสันมาเป็นอันดับ 3 ด้วยยอดจำหน่าย 31,980 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 8%
ส่วนยอดจำหน่ายตลาดรถปิกอัพในเดือนธันวาคม จำหน่ายได้ทั้งสิ้น 45,957 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 21.3% โตโยต้ามาเป็นอันดับ 1 ด้วยยอดจำหน่าย 20,121 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 44% อันดับ 2 ได้แก่ อีซูซุ ด้วยยอดจำหน่าย 15,877 คัน ส่วนแบ่งตลาด 34.5% และนิสสันตามมาเป็นอันดับ 3 ด้วยยอดจำหน่าย 3,291 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 7%
สำหรับตลาดรถบรรทุกขนาด 2 ตันขึ้นไปตลอดปี มียอดจำหน่ายรวมทั้งสิ้น 22,769 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2549 เล็กน้อย 0.66% อีซูซุมาเป็นอันดับ 1 ด้วยยอดจำหน่าย 10,443 คัน คิดเป็น 46% ตามมาด้วยฮีโน่ ซึ่งจำหน่ายได้ 8,064 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 35.4% และมิตซูบิชิมาเป็นอันดับ 3 จำหน่ายได้ 2,318 คัน คิดเป็น 10%
ขณะที่ยอดจำหน่ายรถบรรทุกขนาด 2 ตันขึ้นไป ในเดือนธันวาคม อยู่ที่ 2,629 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 26.6% อีซูซุจำหน่ายได้ 1,207 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 46% ตามมาด้วยฮีโน่ จำหน่ายได้ 873 คัน คิดเป็น 33% และมิตซูบิชิมาเป็นอันดับ 3 จำหน่ายได้ 271 คัน คิดเป็น 10%
ส่วนยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลตลอดปี อยู่ที่ 1.7 แสนคัน ลดลง 11.3% เทียบกับปี 2549 ที่ผ่านมา โดยอันดับ 1 คือ โตโยต้าจำหน่ายได้ 92,530 คัน คิดเป็น 54.4% ฮอนด้ามาเป็นอันดับ 2 ด้วยยอดจำหน่าย 50,093 คัน คิดเป็น 29.4% และเชฟโรเลตมาเป็นอันดับ 3 คือ 7,604 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 4.47%
ทั้งนี้ ยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลในเดือนธันวาคมเท่ากับ 12,018 คัน ลดลง 11.92% เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โตโยต้าจำหน่ายได้อันดับ 1 คือ 7,746 คัน คิดเป็น 64.4% ฮอนด้ามาเป็นอันดับ 2 จำหน่ายได้ 1,483 คัน คิดเป็น 12% และเชฟโรเลตมาเป็นอันดับ 3 คือ 902 คัน คิดเป็น 7.5%
มันนี่ ชาเนล - วรนนท์ อัศวพิริยานนท์
โทรศัพท์ - 02- 229 - 2000 ต่อ 2616
อีเมล - [email protected]
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news18/02/08
โพสต์ที่ 148
ยานยนต์หวังพึ่งรัฐ พยุงยอดขายเข้าเป้า
โพสต์ทูเดย์ หวั่นตลาดรถยนต์ทั้งปีทรุดหนัก หลังยอดขายเดือนแรกทำได้แค่ 4.5 หมื่นคัน หวังรัฐบาลกระตุ้นยอดช่วงที่เหลือ
แหล่งข่าวจากวงการอุตสาหกรรมยานยนต์เปิดเผยว่า จากยอดจำหน่ายรถยนต์ในเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ตลาดปิดไปที่ 4.5 หมื่นคันนั้น แม้ว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นจากเดือน ม.ค. 2549 ถึง 17% แต่หากพิจารณาในรายละเอียดแล้ว ยังพบว่ามีความน่าเป็นห่วงอยู่มาก เพราะตลาดมีการชะลอการซื้อไปในช่วงปลายปี เนื่องจากมีการรอความชัดเจนของรัฐบาลใหม่ และรอนโยบายอี 20 แต่จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นไม่มาก ทำให้หวั่นว่ายอดจำหน่ายรถยนต์ในปีนี้จะไม่เป็นไปตามที่มีการประเมินขั้นต่ำไว้ที่ 6.5 แสนคัน
ทั้งนี้ ต้องการให้รัฐบาลใหม่เข้ามาดูแลในเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมให้มากขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่นในการตัดสินใจซื้อรถเพิ่มมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของนโยบายทางด้านพลังงาน นโยบายด้านเมกะโปรเจกต์ ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งสิ้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=221531
โพสต์ทูเดย์ หวั่นตลาดรถยนต์ทั้งปีทรุดหนัก หลังยอดขายเดือนแรกทำได้แค่ 4.5 หมื่นคัน หวังรัฐบาลกระตุ้นยอดช่วงที่เหลือ
แหล่งข่าวจากวงการอุตสาหกรรมยานยนต์เปิดเผยว่า จากยอดจำหน่ายรถยนต์ในเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ตลาดปิดไปที่ 4.5 หมื่นคันนั้น แม้ว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นจากเดือน ม.ค. 2549 ถึง 17% แต่หากพิจารณาในรายละเอียดแล้ว ยังพบว่ามีความน่าเป็นห่วงอยู่มาก เพราะตลาดมีการชะลอการซื้อไปในช่วงปลายปี เนื่องจากมีการรอความชัดเจนของรัฐบาลใหม่ และรอนโยบายอี 20 แต่จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นไม่มาก ทำให้หวั่นว่ายอดจำหน่ายรถยนต์ในปีนี้จะไม่เป็นไปตามที่มีการประเมินขั้นต่ำไว้ที่ 6.5 แสนคัน
ทั้งนี้ ต้องการให้รัฐบาลใหม่เข้ามาดูแลในเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมให้มากขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่นในการตัดสินใจซื้อรถเพิ่มมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของนโยบายทางด้านพลังงาน นโยบายด้านเมกะโปรเจกต์ ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งสิ้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=221531
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news19/02/08
โพสต์ที่ 149
นโยบายปรับลดภาษีแก่รถ E20 หนุนยอดขายโตโยต้า ม.ค. พุ่ง 17.6% - ข่าว 12.00 น.
Posted on Tuesday, February 19, 2008
นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด บอกว่า ยอดขายรถยนต์ในเดือนมกราคมปีนี้ มีจำนวน 45,431 คัน เพิ่มขึ้น 17.6% เป็นผลมาจากราคารถยนต์ที่ปรับตัวลงหลังการประกาศใช้อัตราภาษีสรรพสามิตใหม่สำหรับรถยนต์ที่ใช้พลังงาน E20 ทำให้ประชาชนที่ชะลอการตัดสินใจซื้อในช่วงปลายปีที่ผ่านมาหันมาซื้อรถในช่วงต้นปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ยอดขายรถยนต์ในเดือนมกราคมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แบ่งเป็น รถยนต์นั่งส่วนบุคคล 14,794 คัน เพิ่มขึ้น 32.8% รถเพื่อการพาณิชย์ 30,637 คัน เพิ่มขึ้น 11.4% และรถกระบะขนาด 1 ตัน จำนวน 26,260 คัน เพิ่มขึ้น 11.4%
สำหรับตลาดรถยนต์ในเดือนกุมภาพันธ์ ยังมีแนวโน้มที่ยอดขายจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากมีรถยนต์รุ่นใหม่เข้าสู่ตลาด ในช่วงปลายเดือนมกราคม และการตอบรับอย่างต่อเนื่องของผู้บริโภคที่หันมาใช้รถยนต์พลังงานทางเลือก E20
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
Posted on Tuesday, February 19, 2008
นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด บอกว่า ยอดขายรถยนต์ในเดือนมกราคมปีนี้ มีจำนวน 45,431 คัน เพิ่มขึ้น 17.6% เป็นผลมาจากราคารถยนต์ที่ปรับตัวลงหลังการประกาศใช้อัตราภาษีสรรพสามิตใหม่สำหรับรถยนต์ที่ใช้พลังงาน E20 ทำให้ประชาชนที่ชะลอการตัดสินใจซื้อในช่วงปลายปีที่ผ่านมาหันมาซื้อรถในช่วงต้นปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ยอดขายรถยนต์ในเดือนมกราคมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แบ่งเป็น รถยนต์นั่งส่วนบุคคล 14,794 คัน เพิ่มขึ้น 32.8% รถเพื่อการพาณิชย์ 30,637 คัน เพิ่มขึ้น 11.4% และรถกระบะขนาด 1 ตัน จำนวน 26,260 คัน เพิ่มขึ้น 11.4%
สำหรับตลาดรถยนต์ในเดือนกุมภาพันธ์ ยังมีแนวโน้มที่ยอดขายจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากมีรถยนต์รุ่นใหม่เข้าสู่ตลาด ในช่วงปลายเดือนมกราคม และการตอบรับอย่างต่อเนื่องของผู้บริโภคที่หันมาใช้รถยนต์พลังงานทางเลือก E20
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news20/02/08
โพสต์ที่ 150
ยอดผลิตรถยนต์เดือนม.ค.ของไทยโต 25.07% - ข่าว 18.00 น.
Posted on Wednesday, February 20, 2008
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) บอกว่า การผลิตรถยนต์ในเดือนมกราคม มีจำนวนทั้งสิ้น 108,129 คัน เพิ่มขึ้น 25.07% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน ในจำนวนนี้เป็นการผลิตเพื่อการส่งออก 63,694 คัน เพิ่มขึ้น 38.26% ของการผลิตทั้งหมด และเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 44,435 คัน หรือ 10.02%
ส่วนยอดการผลิตรถจักรยานยนต์ในเดือนมกราคมปีนี้ มีจำนวนทั้งสิ้น 258,573 คัน ลดลง 8.87% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป 137,679 คัน ลดลง 13.71% และชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ 120,894 คัน ลดลง 2.65% ขณะที่มียอดจำหน่ายในประเทศจำนวน 143,207 คัน ลดลง 4.96 % ตามกำลังซื้อในประเทศที่ชะลอตัว
นายสุรพงษ์บอกอีกว่า สำหรับการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปในเดือนมกราคม มีจำนวนทั้งสิ้น 58,510 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 43.73% คิดเป็นมูลค่าการส่งออก 26,845 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 46.46% ส่วนรถจักรยานยนต์สามารถส่งออกได้ 130,317 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคมปีก่อน 1.94% มีมูลค่า 1,965 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคมปีก่อน 20.12% ส่งผลให้มูลค่ารวมของการส่งออกรถยนต์ และรถจักยานยนต์สำเร็จรูป รวมไปถึงเครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอื่น ๆ และอะไหล่ต่าง ๆ มีมูลค่าทั้งสิ้น 41,639 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคมปีก่อน 40.64
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
Posted on Wednesday, February 20, 2008
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) บอกว่า การผลิตรถยนต์ในเดือนมกราคม มีจำนวนทั้งสิ้น 108,129 คัน เพิ่มขึ้น 25.07% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน ในจำนวนนี้เป็นการผลิตเพื่อการส่งออก 63,694 คัน เพิ่มขึ้น 38.26% ของการผลิตทั้งหมด และเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 44,435 คัน หรือ 10.02%
ส่วนยอดการผลิตรถจักรยานยนต์ในเดือนมกราคมปีนี้ มีจำนวนทั้งสิ้น 258,573 คัน ลดลง 8.87% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป 137,679 คัน ลดลง 13.71% และชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ 120,894 คัน ลดลง 2.65% ขณะที่มียอดจำหน่ายในประเทศจำนวน 143,207 คัน ลดลง 4.96 % ตามกำลังซื้อในประเทศที่ชะลอตัว
นายสุรพงษ์บอกอีกว่า สำหรับการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปในเดือนมกราคม มีจำนวนทั้งสิ้น 58,510 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 43.73% คิดเป็นมูลค่าการส่งออก 26,845 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 46.46% ส่วนรถจักรยานยนต์สามารถส่งออกได้ 130,317 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคมปีก่อน 1.94% มีมูลค่า 1,965 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคมปีก่อน 20.12% ส่งผลให้มูลค่ารวมของการส่งออกรถยนต์ และรถจักยานยนต์สำเร็จรูป รวมไปถึงเครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอื่น ๆ และอะไหล่ต่าง ๆ มีมูลค่าทั้งสิ้น 41,639 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคมปีก่อน 40.64
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx