หน้า 5 จากทั้งหมด 12

news22/10/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 22, 2007 10:02 pm
โดย chartchai madman
ผลพวงน้ำมันแพงทำคนแห่ใช้ไบโอดีเซลเพียบ  

โดย ผู้จัดการออนไลน์
22 ตุลาคม 2550 19:31 น.
 
      กระทรวงพลังงานระบุคนไทยแห่ใช้ไบโอดีเซลจนยอดใช้เพิ่มขึ้น 1.9 ล้านลิตรต่อวัน เพื่อลดต้นทุนน้ำมันที่ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง เตรียมเร่งประสานงานให้มีการผลิต บี 100 ให้พอเพียง ส่วนยอดการติดตั้งแอลพีจีเริ่มชะลอตัว หลัง ครม.ประกาศคุมปั๊มแอลพีจี เตือนหากติดตั้งแอลพีจีต้องดูว่าอุปกรณ์ต้องได้ มาตรฐาน สมอ.เท่านั้น ขณะที่ราคาน้ำมันเจ็ทขยับไป 100 ดอลลาร์สหรัฐแล้ว คาดนับจากนี้จนถึงสิ้นปีราคาคงจะขยับลดลงไม่ได้มากนัก
     
      นายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญธุรกิจน้ำมัน เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันได้ขึ้นไปถึงระดับ 100 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลแล้ว โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (19 ต.ค.) ราคาน้ำมันเครื่องบิน (เจ็ท) ที่ตลาดสิงคโปร์ ในระหว่างการซื้อขายราคา 100.10 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล และปิดตลาดที่ 99.92 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ในขณะที่ราคาเบนซินและดีเซลขยับขึ้นหมด จนส่งผลให้ค่าการตลาดเฉลี่ยการค้าปลีกน้ำมันในประเทศ ติดลบแล้ว 10-20 สตางค์/หน่วย ทำให้ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขึ้น และตลาดคาดว่าราคาน้ำมันจากนี้จนถึงปลายปี คงจะไม่ลดลงมากนัก เนื่องจากกลุ่มผู้ใช้ทั้งกลุ่มเดินเรือ กลุ่มขนส่ง ได้ซื้อออปชั่นเพื่อประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันไว้ถึง 90-95 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล เพราะเป็นที่คาดว่าราคาน้ำมันอาจจะสูงกว่านี้
     
      ด้านนายเมตตา บันเทิงสุข อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า ในขณะนี้ยอดการใช้ไบโอดีเซลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากปีที่แล้วมียอดขาย 900,000 ลิตร/วัน ได้เพิ่มเป็น 1.9 ล้านลิตรต่อวัน เพราะราคาถูกกว่า 70 สตางค์ต่อลิตร แต่ประสบปัญหาการผลิตบี 100 ซึ่งเป็นไบโอดีเซลเพื่อนำมาผสมเป็นสูตร บี 5 หรือ บี 2 ยังไม่เพียงพอ โดยกระทรวงพลังงานได้เร่งประสานงานทุกฝ่ายให้เพิ่มกำลังผลิตให้ได้มาตรฐานโดยเร็ว ในขณะที่ยอดการใช้แก๊สโซฮอล์ แม้จะเพิ่มมาเป็น 5.2 ล้านลิตร/วัน แต่ก็ยังช้ากว่าที่กระทรวงฯ ตั้งใจ เพราะส่วนหนึ่งเกิดจากผู้ใช้รถยนต์ต้องใช้เบนซินต่อไป จึงต้องมีการรณรงค์อย่างต่อเนื่อง
     
      ส่วนการใช้ก๊าซเอ็นจีวีมีเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะรถบรรทุกและรถโดยสาร เพราะราคาถูกกว่า 1 ใน 3 แม้จะลงทุนปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์หลายแสนบาท แต่ก็จะคุ้มต้นทุนใน 6 เดือนเท่านั้น ส่วนการใช้แอลพีจีในรถยนต์ปีนี้แม้มียอดเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จากปีที่แล้ว แต่ก็ถือว่าไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก เพราะแท็กซี่หันมาใช้เอ็นจีวีเพิ่มขึ้น และ ครม.ได้ออกประกาศห้ามตั้งปั๊มแอลพีจีแห่งใหม่ ประกอบกับแอลพีจีจะมีการปรับราคาในปลายปีนี้ จึงทำให้การใช้แอลพีจีชะลอกว่าปีที่แล้ว
     
      อย่างไรก็ตาม รถยนต์ที่ต้องการติดตั้งแอลพีจี จะต้องระมัดระวังความปลอดภัยด้วย เพราะหากติดตั้งไม่ได้มาตรฐานอาจเกิดระเบิดหรือไฟไหม้ ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยก่อนติดตั้งต้องดูว่าอุปกรณ์ที่นำเข้ามาผ่านการรับรองมาตรฐานจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) หรือไม่ หากไม่ผ่านทางกรมการขนส่งทางบกจะไม่รับจดทะเบียนการปรับเปลี่ยนแปลงเครื่องยนต์ และจะกลายเป็นรถเถื่อน
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000125387

news23/10/07

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 23, 2007 12:23 pm
โดย chartchai madman
เอสโก้ชี้บริการ ลดใช้พลังงาน แนวโน้มขาขึ้น

โพสต์ทูเดย์ เอสโก้ ชี้ธุรกิจที่ปรึกษาด้านประหยัดพลังงานแนวโน้มกำลังรุ่ง รับอานิสงส์น้ำมันแพง


นายอาทิตย์ เวชกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็กซ์เซลเล้นท์ เอ็นเนอร์ยี่ อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยว่า ขณะนี้ธุรกิจที่ให้บริการจัดการพลังงาน หรือ ESCO มีแนวโน้มขยายตัวสูง โดยเฉพาะอีก 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจากราคาน้ำมันซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญในอุตสาหกรรมต่างๆ เริ่มกลับมาผันผวนอีกครั้ง ประกอบกับราคามีแนวโน้มสูงขึ้น

ดังนั้น เจ้าของธุรกิจ รวมทั้ง ผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ได้เล็งเห็นความสำคัญของการประหยัดพลังงานมากขึ้น โดยให้บริษัทที่ให้บริการจัดการพลังงานเข้าไปตรวจสอบการใช้พลังงานเพื่อออกแบบและบริหารโครงการ ตั้งแต่การจัดหาแหล่งเงินทุน ไปจนถึงติดตั้งและตรวจวัดเพื่อพิสูจน์การประหยัดพลังงาน

อีก 2-3 ปีข้างหน้า ธุรกิจที่ให้บริการจัดการพลังงานจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จากราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มสูงขึ้น และไม่มีโอกาสกลับไปต่ำกว่าที่เป็นอยู่ ดังนั้น หลายบริษัทจึงหันมาให้ความสำคัญกับการประหยัดพลังงานกันมากขึ้น ทั้งการประหยัดพลังงานที่ทำได้เอง ไปจนถึงการ ติดตั้งอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน ปีนี้คาดว่าบริษัทจะมีรายได้ 40 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้วที่มีรายได้ 30 ล้านบาท นายอาทิตย์ กล่าว

ทั้งนี้ หน่วยงานของรัฐที่เหมาะจะหันมาใช้บริการธุรกิจจัดการพลังงาน ได้แก่ มหาวิทยาลัย โรงเรียน และโรงพยาบาลขนาดใหญ่ รวมทั้งโรงพยาบาลประจำจังหวัดทั่วประเทศ หากติดตั้งอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน แม้จะลงทุนมากแต่ประหยัดพลังงานได้ปีละหลายร้อยล้านบาท และคืนทุนได้ภายใน 4-5 ปี
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=199107

news23/10/07

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 23, 2007 1:10 pm
โดย chartchai madman
อิหร่านระบุราคาน้ำมันยังต่ำเกินไป
รักษาการรัฐมนตรีน้ำมันของอิหร่าน กล่าวว่า จากการคำนวณราคาน้ำมันโดยพิจารณาถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น อัตราเงินเฟ้อและการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ แสดงให้เห็นว่า ราคาน้ำมันที่แท้จริงยังต่ำมากอยู่ที่ประมาณ 47 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล นอกจากนี้ปัจจัยทางการเมืองก็ยังมีผลต่อการลงทุนในประเทศผู้ผลิตน้ำมัน โดยเฉพาะในอิรัก ไนจีเรีย และเวเนซุเอลา ซึ่งนายโนซารีเตือนว่า ปัญหาเรื่องการลงทุนอาจจะทำให้ไม่สามารถควบคุมราคาน้ำมันได้ในอนาคตในอันใกล้นี้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news23/10/07

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 23, 2007 1:25 pm
โดย chartchai madman
ราคาน้ำมันจ่อลดหลังโอเปกเพิ่มกำลังผลิต ข่าว 18.00 น.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Monday, October 22, 2007
นายโมฮัมหมัด อัล โอแลม รัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันประเทศคูเวต บอกว่า จาการที่ที่ประชุมกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันเพื่อการส่งออก (โอเปก) เห็นชอบให้เพิ่มการผลิตน้ำมันที่ระดับ 5 แสนบาร์เรลต่อวัน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนเป็นต้นไปนั้น จะทำให้เพดานการผลิตน้ำมันของสมาชิกโอเปกเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 27.2 ล้านบาร์เรล โดยมั่นใจว่า กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นนี้ จะเพียงพอต่อการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในช่วงฤดูหนาว และเชื่อว่าตลาดซื้อขายน้ำมันจะตอบสนองกับการเพิ่มกำลังการผลิต ทำให้ราคาน้ำมันลดลงได้

ขณะที่สำนักงานพลังงานสากล (IEA) ได้ปรับลดคาดการณ์ความต้องการน้ำมันในตลาดโลกในปีนี้ลดลงมาอยู่ที่ 85.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากคาดการณ์เดิมที่ 86 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่วนในปีหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ 88 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากเดิม 88.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน  
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx

news24/10/07

โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 24, 2007 5:36 pm
โดย chartchai madman
เร่งแผนติดเอ็นจีวีแท็กซี่5หมื่นคัน

โพสต์ทูเดย์ เคาะแผนเอ็นจีวีรถแท็กซี่ 24 ต.ค. เปิดทางเพิ่มโควตาส่งออกแอลพีจีให้ ปตท. แลกเงินค่าติดตั้งเอ็นจีวีแท็กซี่ 2.5 พันล้านบาท


นายเมตตา บันเทิงสุข อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) กล่าวว่า ในวันที่ 24 ต.ค.นี้ นายณอคุณ สิทธิพงศ์ รองปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติ (เอ็นจีวี) เป็นเชื้อเพลิงในรถแท็กซี่ จะเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องมาหาข้อสรุปแผนติดตั้งเอ็นจีวีในรถแท็กซี่ที่มีอยู่ 5 หมื่นคัน

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมกับนโยบายการปล่อยลอยตัวราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ที่จะเกิดขึ้นภายในปีนี้ ซึ่งจำเป็นต้องส่งเสริมให้รถแท็กซี่ที่ใช้แอลพีจีหันมาใช้เอ็นจีวีทั้งหมด โดยกระทรวงพลังงานตั้งเป้าหมายจะดำเนินการให้แล้วเสร็จในปี 2552 โดยทาง ปตท.จะออกค่าใช้จ่ายในการติดตั้งอุปกรณ์ให้ฟรี คาดว่าจะใช้เงินประมาณ 2.5 พันล้านบาท

นอกจากนี้ ทาง ธพ.จะออกประกาศฉบับพิเศษการส่งออก แอลพีจี ประเภท 2 เพื่อเปิดโอกาส ให้ ปตท.สามารถเพิ่มสัดส่วนการส่งออกแอลพีจีได้มากขึ้น เพื่อแลกกับการออกค่าใช้จ่ายในการติดตั้งเอ็น จีวี แต่มีเงื่อนไขว่า รายได้จากการ ส่งออกที่เพิ่มขึ้นต้องครอบคลุม มูลค่าเท่ากับค่าใช้จ่ายที่ ปตท.ออกไป เท่านั้น

ปัจจุบัน การส่งออกแอลพีจี จะถูกกำหนดโควตาไว้ โดยพิจารณาความต้องการใช้ในประเทศเป็นหลัก หากเหลือจึงจะอนุญาตให้ส่งออก ได้ ซึ่งกรณีของ ปตท.ถือเป็นกรณีพิเศษเฉพาะชั่วคราว นายเมตตา กล่าว

ขณะนี้ ราคาแอลพีจีในตลาดโลกอยู่ที่ 650 เหรียญสหรัฐต่อตัน แต่ราคาจำหน่ายในประเทศหน้าโรงกลั่นถูกกำหนดเพดานไว้ไม่เกิน 315 เหรียญสหรัฐต่อตัน เท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบราคายังมีส่วนต่างที่ ปตท.สามารถสร้างกำไรได้จากการส่งออก

ดังนั้น ปตท.จะต้องจัดทำแผนการติดตั้งเอ็นจีวีมาให้ชัดเจน พร้อมทั้งแสดงให้เห็นค่าใช้จ่ายในการ ติดตั้งแต่ละงวด เพื่อที่รัฐจะได้กำหนดโควตาการส่งออกที่เพิ่มขึ้นได้ แต่ทั้งหมดต้องอยู่บนพื้นฐานที่ว่า จำนวนแอลพีจีที่ใช้ในประเทศต้องเพียงพอ

นายเมตตา กล่าวว่า ปัญหาที่ผู้ใช้รถแท็กซี่ไม่ยอมรับเอ็นจีวี คือ จำนวนปั๊มมีน้อย ซึ่ง ปตท.จะต้องมีการจัดระเบียบให้ชัดเจน เพื่อรองรับการให้บริการทั้งรถบ้าน และรถบรรทุกโดยสารขนาดใหญ่

ในเบื้องต้น ปตท.มีแผนสร้างจุดเติมเอ็นจีวีขนาดใหญ่ตาม 4 มุมเมือง จำนวน 5 แห่ง เพื่อให้รถขนส่งขนาดใหญ่มาใช้บริการได้โดยไม่ต้องวิ่งเข้ามาในเมือง ซึ่งจะขอให้ทางภาครัฐช่วยพิจารณาจัดหาพื้นที่ราชพัสดุที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ และเหมาะสมกับการสร้างปั๊มเอ็นจีวีขนาดใหญ่มาให้ ปตท. ก็จะทำให้การก่อสร้างทำได้รวดเร็วขึ้น

อย่างไรก็ตาม ปั๊มเอ็นจีวีในต่างจังหวัดที่เปิดแล้ว สามารถรองรับการเดินทางระยะไกล โดยเฉพาะรถขนส่งขนาดใหญ่ เช่น ภาคอีสาน กรุงเทพฯ-หนองคาย ภาคใต้ กรุงเทพฯ-สงขลา และภาคเหนือ กรุงเทพฯ-เชียงราย

สำหรับกรณีของรถยนต์บ้าน ล่าสุด ปตท.ยืนยันจะเพิ่มจำนวนปั๊มให้ได้ 220 แห่ง ภายในปีนี้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=199272

news24/10/07

โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 24, 2007 8:16 pm
โดย chartchai madman
น้ำมันดิบนิวยอร์กปิดร่วงกว่า 85 เหรียญ เหตุโอเปกสั่งเพิ่มกำลังผลิตเร็วขึ้น 1 สัปดาห์
ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ และเบร็นท์ อังกฤษทะเลเหนือ ถูกนักลงทุนเทขายต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ในสัปดาห์นี้ โดยน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ ลงปิดที่กว่าบาร์เรลละ 85 เหรียญสหรัฐ ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษทะเลเหนือ ลงปิดเฉียดบาร์เรลละ 83 เหรียญสหรัฐ หลังมีราคาพุ่งขึ้นสูงสุดที่ระดับบาร์เรลละ 90.07 เหรียญ เมื่อวันศุกร์ที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมา เนื่องจาก กลุ่มโอเปกตัดสินใจ ขยับการเพิ่มกำลังการผลิตอีกวันละ 5 แสนบาร์เรลจากเดิมมีผลในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ ขึ้นมามีผลตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news25/10/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ต.ค. 25, 2007 12:54 pm
โดย chartchai madman
น้ำมันดิบนิวยอร์ก กลับพุ่งขึ้น ปิดยืนเหนือ 87 เหรียญ
ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ ย้อนกลับทะยานขึ้นครั้งใหม่ นับเป็นวันแรกในสัปดาห์นี้ โดยน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ ปิดขึ้นยืนเหนือที่บาร์เรลละ 87 เหรียญด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษทะเลเหนือ ปิดทะลุกว่าบาร์เรลละ 84 เหรียญ ส่วนต่างของราคาปิดทั้ง 2 แห่งเฉลี่ยพุ่งขึ้นเกือบ 2 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้ราคาปิดน้ำมันดิบในตลาดสำคัญของโลก ในรูปสกุลเงินเหรียญสหรัฐ ยังคงเพิ่มขึ้นถึง 40% นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงเมื่อคืนที่ผ่านมา แต่ยังคงมีราคาปิดที่ต่ำกว่าระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่บาร์เรลละ 90.07 เหรียญ

ล่าสุด น้ำมันดิบนิวยอร์กในเอเชีย พุ่งขึ้นกว่า 2 เหรียญ ที่ 87.64 เหรียญ
อย่างไรก็ตาม หลังตลาดน้ำมันดิบทั้ง 2 แห่งปิดทำการไปเพียงเล็กน้อย ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ ซื้อขายในระบบอิเล็กทรอนิกส์ ทะยานพุ่งขึ้นต่อเนื่องมากถึง 2.37 เหรียญ ล่าสุด เคลื่อนไหวที่บาร์เรลละ 87.64 เหรียญ ผลจากราคาน้ำมันดิบที่มีราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้จีนแผ่นดินใหญ่ และสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็น 2 ชาติยักษ์ใหญ่ที่ใช้น้ำมันดิบมากที่สุดในโลก ขอให้กลุ่มโอเปกเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสกลุ่มโอเปก แสดงความคิดเห็นส่วนตัวว่า โอเปกควรเพิ่มอีกวันละ 5 แสนบาร์
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news25/10/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ต.ค. 25, 2007 1:06 pm
โดย chartchai madman
โอเปคยอมรับเอกวาดอร์กลับเข้าเป็นสมาชิกอีกครั้งหลังจากว่างเว้นไป 15 ปี
รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานและเหมืองแร่ของเอกวาดอร์กล่าวว่า เอกวาดอร์ได้รับการยอมรับให้เป็นสมาชิก โอเปค หลังจากว่างเว้นจากการเป็นสมาชิกไป 15 ปี ทั้งนี้ เอกวาดอร์ได้ยุติการจ่ายค่าธรรมเนียมในการเป็นสมาชิกโอเปคเมื่อปี 2535 แต่ประเทศก็ไม่เคยยุติจากการเป็นสมาชิกของโอเปคอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด เอกวาดอร์และโอเปคได้เห็นชอบแผนการชำระจ่ายหนี้จำนวน 5.7 ล้านดอลลาร์ เป็นเวลา 3 ปี เอกวาดอร์ได้กลับเข้าเป็นสมาชิกโอเปคอีกครั้ง โดยขณะนี้กำลังกลับมาเจรจาด้านสัญญากับบริษัทน้ำมันต่างชาติต่างๆ หลังจากที่ได้เปลี่ยนแปลงกฎหมายซึ่งให้ประเทศได้กำไรน้ำมันส่วนเกิน 99%
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news25/10/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ต.ค. 25, 2007 6:50 pm
โดย chartchai madman
คาด 4 โรงไฟฟ้าใหม่ปล่อยไฟเข้าระบบได้ตามแผน ข่าว 16.00 น.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Thursday, October 25, 2007
นายสมบูรณ์ อาระยะสกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังความร้อน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) บอกถึงความคืบหน้าการก่อสร้างโรงไฟฟ้าจำนวน 4 โรงของ กฟผ. ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ พระนครใต้ บางปะกง สงขลา กำลังการผลิต 2,800 เมกกะวัตต์ เงินลงทุนกว่า 64,000 ล้านบาท ว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผนดำเนินงาน คาดว่าจะสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ทันในปี 2551 2553 เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น แม้ว่าโรงไฟฟ้าจะนะ จังหวัดสงขลา จะตั้งอยู่บริเวณที่ใกล้เคียงกับปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ตาม

ทั้งนี้ แม้ว่าต้นทุนค่าอุปกรณ์ วัสดุก่อสร้างจะปรับตัวสูงขึ้น แต่เนื่องจากค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้น ประมาณ 10% ในปีนี้ ทำให้ค่าก่อสร้างโรงไฟฟ้ายังไม่จำเป็นต้องปรับเพิ่มมากขึ้น
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx

news25/10/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ต.ค. 25, 2007 8:49 pm
โดย chartchai madman
สถานการณ์ราคาน้ำมัน

25 ตุลาคม พ.ศ. 2550 05:00:00

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ปัจจัยที่มีผลต่อราคาน้ำมัน

    น้ำมันดิบ : ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ปรับตัวลดลง 0.53 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจาก

    มีข่าวว่า กลุ่มโอเปก 10 (ไม่รวมอิรักและแองโกลา) จะปรับเพิ่มระดับเพดานการผลิตจาก 27.2 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือน ก.ย. เป็น 27.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้ตลาดคลายความกังวลเกี่ยวกับปัญหาอุปทานน้ำมันดิบโลกที่อยู่ในภาวะตึงตัวขณะนี้ลงบ้าง

    ตลาดคาดการณ์ว่า แองโกลาจะเพิ่มระดับเพดานการผลิตจาก 1.6 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือน ก.ย. เป็น 1.75 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือน ต.ค. ขณะที่อิรักจะปรับเพิ่มระดับเพดานการผลิตขึ้น 40,000 บาร์เรลต่อวันเป็น 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน

    ตลาดคลายความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของอุปทานน้ำมันดิบลงบ้าง หลังจากตุรกีประกาศว่า จะมีการพิจารณาการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งโดยใช้วิธีทางการทูต ก่อนที่จะมีการใช้กำลังทหารบุกเข้าโจมตีทางตอนเหนือของอิรัก

    ค่าเงินดอลลาร์ของสหรัฐอเมริกาแข็งค่าขึ้น เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาล่วงหน้าของสินค้าโภคภัณฑ์ที่อิงค่าเงินดอลลาร์ เช่น น้ำมันดิบ แข็งค่าขึ้น และทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุนในสินค้าดังกล่าว

    น้ำมันเบนซิน : ราคาปรับตัวลดลง 0.53 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล สวนทางกับราคาน้ำมันดิบดูไบที่แข็งค่าขึ้น เนื่องจาก

    มีการขนย้ายน้ำมันเบนซินออกเทนระดับกลางจากอินเดียเข้ามาขายในภูมิภาคแทนการขนย้ายไปขายยังตะวันออกกลาง เนื่องจากราคาน้ำมันดังกล่าวในตะวันออกกลางอ่อนค่าลง ประกอบกับอุปสงค์น้ำมันเบนซินจากผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่อย่างอิหร่านขาดหายไป ส่งผลให้อุปทานน้ำมันเบนซินในภูมิภาคปรับเพิ่มขึ้น

    อินโดนีเซียมีแผนจะนำเข้าน้ำมันเบนซินออกเทน 88 และออกเทน 92 จำนวน 4.16 ล้านบาร์เรลสำหรับการส่งมอบเดือน พ.ย. ซึ่งลดลงจากที่เคยนำเข้าที่ระดับ 5.36 ล้านบาร์เรลในเดือน ต.ค. หรือปรับลดลงจากปริมาณการนำเข้าเฉลี่ยต่อเดือนของปีนี้ที่ระดับ 4.29 ล้านบาร์เรล เนื่องจากอุปสงค์น้ำมันดังกล่าวปรับลดลง หลังจากผ่านพ้นช่วงวันหยุดยาว

    ผู้ค้าของจีนขายน้ำมันเบนซิน 92 จำนวน 30,000 ตันสำหรับกลางเดือน พ.ย. ส่งผลให้อุปทานน้ำมันเบนซินดังกล่าวในภูมิภาคปรับเพิ่มขึ้น

    มีการเลื่อนการซื้อน้ำมันเบนซินสำหรับการส่งมอบเดือน ต.ค. ถึง พ.ย. ออกไปจากกำหนดเดิม เนื่องจากราคาน้ำมันเบนซินในภูมิภาคยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง

   น้ำมันอากาศยาน : ราคาปรับตัวลดลง 0.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล สวนทางราคาน้ำมันดิบดูไบที่แข็งค่าขึ้น เนื่องจาก

    มีปริมาณการซื้อขายน้ำมันอากาศยานในตลาดเบาบาง เนื่องจากราคาน้ำมันดังกล่าวยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง แม้ว่าโรงกลั่นหลายแห่งจะหันมาเน้นผลิตน้ำมันอากาศยานมากขึ้น เพราะได้กำไรดีก็ตาม

    มีการซื้อน้ำมันอากาศยานจำนวน 100,000 บาร์เรลสำหรับการส่งมอบราวต้นเดือน พ.ย. ในราคาที่ต่ำกว่าราคาซื้อครั้งก่อน สะท้อนให้เห็นถึงสภาพตลาดน้ำมันอากาศยานในภูมิภาคที่ไม่สดใสนัก

    อย่างไรก็ตาม อินโดนีเซียมีแผนจะนำเข้าน้ำมันอากาศยานราว 560,000 บาร์เรลในเดือน พ.ย. ซี่งเป็นปริมาณที่คิดเป็น 2 เท่าของปริมาณที่เคยนำเข้าในเดือน ต.ค ส่งผลให้อุปทานน้ำมันอากาศยานในภูมิภาคมีแนวโน้มปรับลดลง

    น้ำมันดีเซล : ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.23 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดิบดูไบที่แข็งค่าขึ้น รวมทั้ง

    มีการซื้อน้ำมันดีเซลกำมะถัน 0.25% จำนวน 750,000 บาร์เรลสำหรับการส่งมอบต้นเดือน พ.ย. ในราคาที่สูงกว่าราคาขายครั้งก่อน สะท้อนให้เห็นถึงสภาพตลาดน้ำมันดังกล่าวในภูมิภาคที่ยังคงสดใส

    อินโดนีเซียมีแผนจะนำเข้าน้ำมันดีเซลจำนวน 8 ล้านบาร์เรลสำหรับการส่งมอบเดือน พ.ย. ซึ่งเป็นปริมาณที่ทำสถิติสูงสุดในรอบ 16 เดือน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นในเดือนหน้า ส่งผลให้อุปทานน้ำมันดีเซลในภูมิภาคมีแนวโน้มปรับลดลง

    เกาหลีใต้ ผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของภูมิภาค จะสำรองน้ำมันดีเซลกำมะถันต่ำมาก เพื่อรองรับอุปสงค์น้ำมันที่ใช้ทำความร้อนที่ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาว ส่งผลให้อุปทานน้ำมันดังกล่าวในภูมิภาคยิ่งอยู่ในภาวะตึงตัว

    น้ำมันเตา : ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.95 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดิบดูไบที่แข็งค่าขึ้น รวมทั้ง

    อินโดนีเซียมีแผนจะนำเข้าน้ำมันเตาจำนวน 370,000 บาร์เรลในเดือน พ.ย. หลังจากที่ไม่ได้นำเข้าน้ำมันดังกล่าวในเดือน ต.ค. ส่งผลให้อุปทานน้ำมันเตาในภูมิภาคมีแนวโน้มปรับลดลง

    มีการซื้อน้ำมันเตาจำนวน 20,000 ตัน และน้ำมันเตาความหนืดสูงจำนวน 20,000 ตันสำหรับการส่งมอบกลางเดือน ต.ค. ส่งผลให้อุปทานน้ำมันเตาในภูมิภาคปรับลดลง

    อย่างไรก็ตาม ตลาดคาดการณ์ว่า มีการขนย้ายน้ำมันเตาเข้ามาในภูมิภาคจำนวน 1.6 ล้านตันในเดือน ธ.ค. ขณะที่มีการขนย้ายน้ำมันเตาในเดือน พ.ย. เท่าเดิม ส่งผลให้อุปทานน้ำมันเตาที่อยู่ในภาวะตึงตัวคลี่คลายลงบ้าง

ที่มา : บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)
http://www.bangkokbiznews.com/2007/10/2 ... sid=195349

กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ต.ค. 25, 2007 9:25 pm
โดย keng56
นับถอยหลังวิกฤตการณ์น้ำมัน?

เศรษฐกิจโลก 25/10/2007 17:00:32


ในภาวะที่ราคาน้ำมันวิ่งขึ้นไม่หยุด มีคำเตือนที่ชวนขนลุกออกมาจากกลุ่มคลังสมองเมืองเบียร์ว่า ปริมาณการผลิตทองคำดำของโลกผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และนับจากนี้ไปจะลดลงต่อเนื่องจนเหลือเพียงครึ่งเดียวของระดับปัจจุบันภายในปี 2030 ขณะที่กูรูในตลาดระบุว่าหลักไมล์ใหม่ของราคาน้ำมันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะปัญหาในตะวันออกกลางเท่านั้น และถึงตอนนี้ไม่ต้องมีปัจจัยอะไรมากมาย ราคาก็สามารถวิ่งฉิวสัมผัสเลขสามหลักได้สบายๆ
ไม่กี่วันหลังจากราคาน้ำมันดิบทะลุทะลวงทำสถิติใหม่เหนือระดับ 90 ดอลลาร์ ต้นสัปดาห์นี้ อิเนอร์จี้ วอตช์ กรุ๊ป (EWG) จากเยอรมนี ออกรายงานระบุว่า ศักยภาพการผลิตน้ำมันโลกขึ้นถึงระดับสูงสุดไปแล้วในปีที่ผ่านมา เร็วกว่าที่ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่คาดคิด ทั้งยังว่าปริมาณการผลิตจะลดลงปีละ 7%
ฮันส์-โจเซฟ เฟลล์ ผู้ก่อตั้ง EWG และสมาชิกรัฐสภาที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของระบบสนับสนุนพลังงานที่สามารถสร้างทดแทนได้ของเยอรมนี บอกว่าอีกไม่นาน โลกจะไม่สามารถผลิตน้ำมันได้ทันความต้องการ ซึ่งจะสร้างปัญหาอย่างมโหฬารให้กับเศรษฐกิจโลก
โจเซฟ ชินด์เลอร์ ผู้เขียนรายงานฉบับนี้ สำทับว่าสัญญาณเตือนภัยที่น่าวิตกคือ การที่ปริมาณการผลิตน้ำมันดิ่งลงอย่างรุนแรงหลังจากเพิ่งผ่านช่วงพีคมาสดๆ ร้อนๆ ปีที่แล้ว
รายงานฉบับนี้ขัดแย้งกับการคาดการณ์ของสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (ไออีเอ) ที่บอกว่ายังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเกี่ยวกับซัปพลายน้ำมันในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม EWG ยืนกรานว่า การคาดการณ์ของตนอิงกับข้อมูลการผลิตจริง จึงน่าเชื่อถือมากกว่าการประเมินจากน้ำมันสำรองที่ยังอยู่ใต้ดิน กลุ่มนี้บอกว่า การประเมินของเจ้าหน้าที่ในอุตสาหกรรมที่ระบุว่า ปริมาณน้ำมันสำรองของโลกอยู่ที่ 1.255 กิกะบาร์เรล หรือเท่ากับ 42 ปีของซัปพลาย ณ ระดับอัตราบริโภคปัจจุบันนั้น แท้จริงแล้วน่าจะมีแค่ 2 ใน 3 เท่านั้น
จากการผลิตน้ำมันโลกขณะนี้ที่ประมาณ 81 ล้านบาร์เรลต่อวัน (บีพีดี) EWG คาดว่าตัวเลขจะลดลงเหลือ 39 ล้านบีพีดีในปี 2030 ทั้งยังทำนายว่าปริมาณการผลิตก๊าซ ถ่านหิน และยูเรเนียมก็จะร่อยหรอลงเช่นเดียวกัน
ชินด์เลอร์ยังสรุปว่า โลกกำลังเริ่มเข้าสู่ช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในระบบเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงนี้จะถูกจุดชนวนโดยการลดลงของซัปพลายเชื้อเพลิงฟอสซิล และมีผลต่อชีวิตประจำวันในเกือบทุกแง่มุม
ด้านเฟลบอกว่า โลกควรต้องเร่งพัฒนาพลังงานที่สามารถผลิตทดแทนได้ ขณะที่ผู้ผลิตและกลั่นน้ำมันก็ต้องหาทางนำเสนอผลิตภัณฑ์ในรูปแบบที่มั่นใจได้ว่ายั่งยืน ทันการณ์ เชื่อถือได้และเพียงพอ ตลอดจนถึงการยกระดับการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ เพื่อช่วยผ่อนคลายภาวะโลกร้อน และสร้างหลักประกันว่าชีวิตจะดำเนินต่อไปอย่างเป็นปกติสุข ไม่ต้องพบเจอกับวิกฤตพลังงาน
ขณะเดียวกัน ต่อมุมมองเกี่ยวกับราคา ผู้รู้บางคนมองว่า ปัจจัยผลักดันลึกๆ แล้วน่าจะมีมากกว่าสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง
ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนที่ราคาน้ำมันทะยานขึ้นไปแตะระดับ 88 ดอลลาร์ นักวิเคราะห์สารพัดสำนักฟันธงว่าเป็นเพราะทหารตุรกีล้ำเส้นเข้าไปทางด้านเหนือของอิรัก บางคนเชื่อว่าเรื่องนี้ยังมีผลให้ราคาทองคำทำสถิติสูงสุดในรอบ 27 ปี
ทว่า ตลาดโภคภัณฑ์เคลื่อนไหววูบวาบไม่ได้มาจากแค่เหตุการณ์ในตะวันออกกลางอย่างเดียวเท่านั้น ตั้งแต่วันที่ 15 เดือนนี้ ราคาทองแดง ตะกั่ว ถั่วเหลือง ฝ้าย น้ำตาล โกโก้จนถึงอาหารปศุสัตว์ ชวนกันทะยานขึ้นในอัตราเลขสองหลัก
การพุ่งทะยานของสินค้าโภคภัณฑ์บางประเภทเหล่านี้มีสาเหตุโดยตรงมาจากภาวะน้ำมันแพง กล่าวคือมาตรการผลิตเอทานอลเพื่อใช้แทนน้ำมันส่งผลให้เกษตรกรปลูกข้าวโพดกันอึงคนึง และราคาผลิตผลรุดหน้าขึ้นเรื่อยๆ ในทางกลับกัน ราคาปศุสัตว์ก็แพงขึ้นตามต้นทุนพืชพันธุ์ธัญญาหารที่ใช้เลี้ยงสัตว์เหล่านี้
กระนั้น การที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ถีบตัวขึ้นยกแผงอาจสะท้อนถึงเสน่ห์ของเซ็กต์เมนต์นี้ในฐานะที่เป็น สินทรัพย์ทางเลือก ในสายตาเฮดจ์ฟันด์และไพรเวตอิควิตี้ นับจากฟองสบู่ยุคดอทคอมแตก นักลงทุนก็เริ่มกระจายความเสี่ยงออกจากเป้าหมายเดิมๆ ในหุ้นและพันธบัตรรัฐบาล อันเป็นที่มาของการเปิดตัวกองทุนที่เป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดโภคภัณฑ์และเทรดกันด้วยเงินตราหลายสกุล ทำให้สินค้าโภคภัณฑ์เข้าถึงนักลงทุนในวงกว้างและหลากระดับมากขึ้น
ภาวะสินเชื่อตึงตัวเมื่อเร็วๆ นี้อาจมีส่วนผลักดันให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์วิ่งฉิวกว่านี้ เม็ดเงินที่หวังเก็งกำไรที่เคยหลั่งไหลเข้าสู่หุ้นกู้ที่ให้ผลตอบแทนสูง มาบัดนี้กำลังมองหาจุดหมายปลายทางใหม่ นอกจากนั้น สินค้าโภคภัณฑ์บางประเภท โดยเฉพาะทองคำ ยังถูกมองว่าเป็นการลงทุนที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากการอ่อนฮวบของดอลลาร์
โรบิน บาร์ นักยุทธศาสตร์ตลาดโลหะของยูบีเอส บอกว่านักลงทุนดูเหมือนมั่นอกมั่นใจว่า ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์เป็นเดิมพันที่มีแต่ได้ไม่มีเสีย ไม่ว่าเศรษฐกิจโลกจะแข็งแรงมั่นคงหรืออ่อนปวกเปียกเข้าสู่ภาวะถดถอยที่ควบมาด้วยปัญหาเงินเฟ้ออย่างที่เกิดขึ้นในทศวรรษ 1970 ตลาดโภคภัณฑ์ก็จะเดินหน้าต่อไปอย่างไม่หวั่นไหว
ปีเตอร์ ออพเพนไฮเมอร์ นักยุทธศาสตร์ของโกลด์แมน แซคส์ ร่วมวงด้วยว่า เศรษฐกิจโลกจะฝ่าฟันปัญหาตลาดที่อยู่อาศัยอเมริกาไปได้ด้วยดี และว่าราคาโลหะขาขึ้นสะท้อนความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจในกลุ่ม BRICs (บราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน) ที่สร้างการเติบโตของการบริโภคทั่วโลกมากกว่าเมืองลุงแซมถึงสองเท่า
สำหรับกรณีที่น้ำมันมีแรงดึงดูดนักลงทุนเชี่ยวกรากมากขึ้นในระยะนี้นั้น เป็นเพราะตลาดอยู่ในภาวะที่ราคาซื้อขายเงินสดสูงกว่าราคาล่วงหน้า นักลงทุนจึงฟันกำไรเป็นว่าเล่นด้วยการซื้อสัญญาล่วงหน้าและรอให้ราคาขึ้นถึงระดับในตลาดซื้อขายทันที
อย่างไรก็ตาม ฟรานซิสโก บลานช์จากเมอร์ริล ลินช์ บอกว่าปัจจัยสำคัญอยู่ที่การตึงตัวของซัปพลาย เนื่องจากซัปพลายน้ำมันลดลงวันละ 500,000 บาร์เรลในไตรมาส 3 ขณะที่ประเทศชั้นนำเข้าสู่ไตรมาส 4 ในภาวะที่ปริมาณน้ำมันสำรองลดต่ำสุดในรอบ 4 ปี เท่ากับว่าไม่ต้องมีปัจจัยหนุนส่งมากมายนัก ราคาน้ำมันก็มีสิทธิ์สัมผัสตัวเลขสามหลักได้ง่ายๆ ซึ่งถ้าเป็นจริงขึ้นมา ตลาดหุ้นก็อาจจะต้องเผชิญบททดสอบด้านความเชื่อมั่นครั้งสำคัญอีกหน

news26/10/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 26, 2007 2:06 pm
โดย chartchai madman
กฟผ.คุยซื้อไฟลาวตามแผน 3โครงการ1.2พันเมกะวัตต์

โพสต์ทูเดย์ กฟผ. คาดลงนามเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากลาว 3 โครงการที่เหลือ น้ำงึม 3 น้ำเทิน-น้ำเงี๊ยบ รวม 1,224 เมกะวัตต์ ได้ทันตามกำหนด


นายไกรสีห์ กรรณสูต ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวภายหลังร่วมพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้าโครงการเทิน-หินบุนส่วนขยายว่า ขณะนี้กำลังเร่งเจรจาหาข้อสรุปในการกำหนดอัตราการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศลาว ที่ยังเหลืออีก 3 โครงการ ได้แก่ โครงการน้ำงึม 3 จำนวน 440 เมกะวัตต์ น้ำเทิน 1 จำนวน 523 เมกะวัตต์ และน้ำเงี๊ยบ 261 เมกะวัตต์ คาดว่าจะทยอยลงนามสัญญาได้ภายในเดือน พ.ย. นี้ หลังจาก ที่หลายฝ่ายเป็นห่วงจะล่าช้ากว่าแผนกำหนดเดิม

สำหรับโครงการหงสาลิกไนต์ ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาดใหญ่กำลังการผลิต 1.8 พันเมกะวัตต์นั้น ขณะนี้ทางบริษัทบ้านปูฯ ในฐานะผู้ชนะการประมูลโครงการอยู่ระหว่างการจัดทำแผนการลงทุน ส่วน กฟผ.จะเข้าไปร่วมลงทุนหรือไม่นั้นทางบริษัท บ้านปูฯ จะต้องเข้ามาหารือในรายละเอียดกันก่อน แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อ โดยคาดว่ากว่าจะแล้วเสร็จและลงนามสัญญาได้น่าจะอยู่ในช่วงของรัฐบาลชุดใหม่

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 25 ต.ค. ที่ผ่านมา กฟผ.ได้ร่วมลงนามรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการเทิน-หินบุนส่วนขยาย ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องจากโครงการเดิมที่มีกำลังการผลิต 210 เมกะวัตต์ โดยเสนอขอขยายกำลังการผลิตเพิ่มเติม จากการสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำเหนือเขื่อนเดิม

ส่งผลให้เขื่อนดังกล่าว มีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มอีก 220 เมกะวัตต์ และขอปรับปรุงตัวเลขกำลังการผลิตตามสัญญาเดิม 210 เมกะวัตต์เป็น 220 เมกะวัตต์ ทำให้มีโครงการทั้งหมดมีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 440 เมกะวัตต์ สามารถผลิตไฟฟ้าให้กับไทยรวม 2,572 ล้านหน่วย/ปี กำหนดราคารับซื้อไฟฟ้าส่วนขยายที่ 1.82 บาท/หน่วย จะจ่ายไฟฟ้าได้เดือน มี.ค. 2555

นายไกรสีห์ กล่าวถึงกรณี กฟผ.ส่งหนังสือไปยังบริษัท ปตท.เพื่อให้ปรับปรุงคุณภาพก๊าซธรรมชาติที่จัดส่งโรงไฟฟ้าบางปะกงว่า เนื่องจากก๊าซ ที่ ปตท.จัดส่งให้มีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงกว่าปกติ อาจส่งผลต่อขบวนการผลิตไฟฟ้าได้ ซึ่งในเรื่องดังกล่าว ปตท.ได้ยืนยันที่จะเร่งปรับปรุงเพื่อให้การก่อสร้างเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้แล้ว

นายสมบูรณ์ อารยะสกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังความร้อน กฟผ. กล่าวว่า ขณะนี้การก่อสร้างโรงไฟฟ้าของ กฟผ.ทั้ง 4 แห่ง กำลังผลิต 2.8 พันเมกะวัตต์ ได้แก่ โรงไฟฟ้าจะนะ จ.สงขลา โรงไฟฟ้าพระนครใต้ชุดที่ 3 โรงไฟฟ้าบางปะกงชุดที่ 5 และโรงไฟฟ้าพระนครเหนือชุดที่ 1 ได้เดินหน้าตามแผนที่กำหนดไว้ คาดจะสามารถส่งไฟฟ้าเข้าระบบตั้งแต่ปี 2551-2553 ซึ่งโรงไฟฟ้าจะนะ จะเข้าระบบเป็นแห่งแรก
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=199710

news26/10/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 26, 2007 7:33 pm
โดย chartchai madman
น้ำมันดิบนิวยอร์กปิดทะลุ 90 เหรียญ รับข่าวสหรัฐฯคว่ำบาตรเศรษฐกิจอิหร่าน

Posted on Friday, October 26, 2007
น้ำมันดิบนิวยอร์ก พุ่งขึ้น ปิดยืนเหนือ 90.46 เหรียญ เบรนท์ ปิด 87.48 เหรียญ
ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ และเบรนท์ อังกฤษ ทะยานสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว นับเป็นวันที่ 2 ในสัปดาห์นี้ โดยราคาซื้อขายสูงสุดระหว่างวัน และราคาปิดของทั้ง 2 ตลาดสำคัญ กลายเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ น้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ ปิดขึ้นยืนเหนือที่บาร์เรลละ 90 เหรียญ ที่บาร์เรลละ 90.46 เหรียญ พุ่งขึ้น 3.36 เหรียญ หรือพุ่งขึ้นเฉียด 4% ด้านราคาน้ำมันดิบเบรนท์ อังกฤษทะเลเหนือ ปิดทะลุกว่าบาร์เรลละ 87 เหรียญ ที่บาร์เรลละ 87.48 เหรียญ พุ่งขึ้น 3.11 เหรียญ หรือพุ่งขึ้นเฉียด 3.7%

น้ำมันดิบนิวยอร์ก ระหว่างวันทะลุ 90.60 เหรียญ เบรนท์ทะลุ 87.59 เหรียญ
ด้านราคาน้ำมันดิบซื้อขายสูงสุดระหว่างวันทำการของเมื่อคืนที่ผ่านมาของทั้ง 2 แห่ง ล้วนทำลายสถิติเดิมลงทั้งสิ้น โดยตลาดนิวยอร์ก มีราคาซื้อขายสูงสุดระหว่างวันที่บาร์เรลละ 90.60 เหรียญ เป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่มีการตลาดซื้อขายน้ำมันดิบส่งมอบล่วงหน้า หรือในรอบ 24 ปี สอดรับกับตลาดเบรนท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ มีราคาซื้อขายสูงสุดระหว่างวันที่บาร์เรลละ 87.59 เหรียญ เป็นสถิติสูงสุด นับตั้งแต่มีตลาดซื้อขายน้ำมันดิบส่งมอบล่วงหน้าของเบรนท์ อังกฤษทะเลเหนือ หรือในรอบ 19 ปีที่ผ่านมา

น้ำมันดิบนิวยอร์ก พุ่งขึ้น 45% ตั้งแต่ต้นปี เพิ่มขึ้น 4 เท่า ใน 5 ปี
ส่วนต่างของราคาปิดทั้ง 2 แห่ง เฉลี่ยพุ่งขึ้นเกือบ 4% ต่อบาร์เรลเมื่อคืนที่ผ่านมา ได้ทำลายสถิติราคาน้ำมันดิบที่ตลาดนิวยอร์ก ที่เคยพุ่งขึ้นไปทำสถิติสูงกว่าบาร์เรลละ 90 เหรียญสหรัฐเป็นครั้งแรกในปีนี้ ที่บาร์เรลละ 90.07 เหรียญ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม ที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาปิดน้ำมันดิบในตลาดสำคัญของโลก ในรูปสกุลเงินเหรียญสหรัฐ ทะยานเพิ่มสูงขึ้นถึง 45% นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงเมื่อคืนที่ผ่านมา นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบในตลาดสำคัญ ยังถีบตัวสูงขึ้นถึง 4 เท่า นับตั้งแต่ปี 2002 หรือปี 2545

4 ปัจจัยเสี่ยง กดดันราคาน้ำมันดิบปิดทะลุกว่า 90 เหรียญ
สาเหตุสำคัญที่ราคาน้ำมันดิบทะยานขึ้นกว่า 3 เหรียญสหรัฐ มาจากปัจจัยความกังวลของการใช้น้ำมันดิบ และน้ำมันสำเร็จรูป ที่เพิ่มขึ้นไม่สิ้นสุด หลังปริมาณสำรองน้ำมันดิบในสหรัฐ ทรุดต่ำลงเกินความคาดหมาย ตามด้วย ค่าเงินเหรียญสหรัฐที่ยังคงอ่อนค่าลงต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับทุกสกุลเงินหลัก สถานการณ์ตึงเครียดในอิรัก หลังประธานาธิบดีตุรกี หมดความอดทนต่อกลุ่มกบฎชาวเคิร์ด โดยประกาศใช้กองกำลังเข้าจัดการอย่างแน่นอน ปิดท้ายกับการประกาศมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของสหรัฐ ต่อประเทศอิหร่าน ที่เข้มข้นขึ้น

กลุ่มโอเปก ส่งสัญญาณไม่เพิ่มการผลิต แม้ราคาปิดทะลุ 90 เหรียญ
นาย อับดุลลาร์ ซาเร็ม เอล บาดรี เลขาธิการกลุ่มโอเปก กล่าวย้ำว่า กลุ่มโอเปก ไม่มีการกำหนดช่วง หรือเพดานราคา หรือแม้แต่เป้าหมายราคาน้ำมันดิบแต่อย่างใด หากราคาน้ำมันดิบ ยังคงเคลื่อนไหวในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง และอยู่ในระยะยาว สถานการณ์ดังกล่าว เป็นเหตุผลที่เหมาะสม ที่กลุ่มโอเปกจะเริ่มเป็นกังวล แต่เวลาในขณะนี้ กลุ่มโอเปก ไม่สามารถที่รับรู้ได้เลยว่า จะเกิดอะไรขึ้นในเดือนหน้า นอกจากนี้ เลขาธิการกลุ่มโอเปก ปฏิเสธว่า ทางกลุ่มไม่มีการพูดถึงความเป็นไปได้ ที่จะตัดสินใจเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบแต่อย่างใด

นักวิเคราะห์ ชี้ ราคาแตะ 100 เหรียญแน่นอน แต่ขึ้นกับเวลา
นายนิวแมน บาราคาท ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานธุรกิจตลาดซื้อขายล่วงหน้าพลังงานโลก จากบริษัท แมคควอรี่ย์ อินคอร์ปอเรชั่น ในสหรัฐ ประเมินว่า ระดับราคาน้ำมันดิบที่บาร์เรลละ 100 เหรียญสหรัฐ ไม่ได้เป็นคำถามกันอีกต่อไปว่าจะได้เห็นหรือไม่ แต่คำถามกลับอยู่ที่จะใช้เวลาอีกนานแค่ไหน ที่จะได้เห็น 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล นอกจากนี้ ยังย้ำว่า ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะตลาดน้ำมันดิบ เต็มไปด้วยภาวะกระทิงที่ต่อเนื่อง โดยไม่มีสัญญาฯของภาวะหมีในช่วงเวลาอันใกล้แต่อย่างใด บนปัจจัยในตลาดขณะนี้

รัฐมนตรีคลังและต่างประเทศสหรัฐ แถลงคว่ำบาตรเศรษฐกิจอิหร่าน
นาย เฮนรี่ พอลสัน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ และนางกอนโดลิซ่า ไรส์ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ  ร่วมกันแถลงการตัดสินใจประกาศมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของสหรัฐ ที่มีต่อประเทศอิหร่าน โดยเน้นไปที่การสั่งอายัดทรัพย์สินทั้งหมดของธนาคารพาณิชย์สัญชาติอิหร่าน ได้แก่ ธนาคารเมลี่ ซึ่งเป็นธนาคารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของอิหร่าน ธนาคารเมลลัท นอกจากนี้ ยังสั่งอายัดสินทรัพย์บริษัทเอกชนอีก 9 แห่งที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจในอิหร่าน รวมถึงบุคคลอีก 8 รายที่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับอิหร่าน
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news26/10/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 26, 2007 7:45 pm
โดย chartchai madman
TNITY ส่งสัญญาณเตือนนักลงทุน ระวังความผันผวนในหุ้น PTT+PTTEP+BANPU ซึ่งราคาพุ่งทำนิวไฮ

Posted on Friday, October 26, 2007

ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ (TNITY) ได้ออกงานวิจัยล่าสุด แนะนำให้นักลงทุนหันมายอมรับการซื้อขายหุ้นกลุ่มพลังงานในระดับ PER ที่สูงขึ้น โดยอธิบายว่า เมื่อเปรียบเทียบราคาพื้นฐานของหุ้นกลุ่มพลังงานของไทย กับประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค จะพบว่า ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานในบ้านเรา ยังถูกกว่า แต่ไม่มากนัก ไม่ว่าจะเปรียบเทียบมูลค่า ด้วยวิธี PER P/BV EV/EBITDA หรือ Dividend Yield โดย PTT ยังซื้อขายกันที่ระดับ PER 11 เท่าในปี 2551 และ PTTEP ซื้อขายกันที่ PER ระดับ 14 เท่าในปี 2551 ในขณะที่ในปีก่อนยังไม่เคยมีการยอมรับ

สำหรับเหตุผลที่ทำให้การซื้อขายหุ้นกลุ่มพลังงานคึกคักขึ้น ก็มีผลจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (commodities) พุ่งขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้คาดหมายได้ว่า ผลประกอบการของหุ้นกลุ่มนี้ จะผันผวนตามราคาผลิตภัณฑ์ในตลาดโลก

อย่างไรก็ดี แม้หุ้นกลุ่มพลังงานจะถูกยกระดับขึ้นมาซื้อขายที่ PER สูงกว่าอดีตแล้วยังไม่พบความเสี่ยงจากแรงเทขาย แต่ TNITY อยากเตือนนักลงทุนรายย่อยด้วยว่า การลงทุนจะต้องพิจารณาด้วยว่า ราคาหุ้นกลุ่ทพลังงานไทย มี Upside 1จำกัดกว่าหุ้นในภูมิภาค เพราะขนาดธุรกิจที่เล็กกว่า และมีปริมาณสำรองของวัตถุดิบในสัดส่วนที่สูง ทำให้ Trade กันบน PER ที่สูง

ดังนั้น นักลงทุนจะต้องเพิ่มความระมัดระวังในการถูก Short Sell เมื่อราคาหุ้นดีดตัวอย่างร้อนแรง ในระยะเวลาที่รวดเร็ว อย่างที่เกิดในช่วงนี้ และหากเป็นไปได้
ควรหันมาให้ความสนใจกับหุ้น TPC, PTT, PTTCH, TOP แทน เมื่อถึงช่วงเวลาที่ตลาดมีการพักตัว แต่ทั้งนี้ PTTCH จะต้องเลือกจังหวะให้เหมาะสม เพราะอาจถูกขายอย่างหนักหน่วง จากพอร์ตลงทุนของ SCC และ IRPC ขณะที่หุ้น IRPC เองก็อาจถูกขายโดยกลุ่มเจ้าหนี้เดิม รวมถึงถูกภาวะกดดันจากการหมด silent period ของกลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่ เช่น กบข. ธนาคารออมสิน หรือกลุ่ม PTT ด้วย

สำหรับหุ้น PTT และ PTTEP รวมถึง ATC และ RRC ซึ่งรอกระบวนการควบรวมกิจการในเดือนธันวาคมปีนี้ หรือเดือนมกราคมปีหน้า ให้รอซื้อเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัวดีกว่า  
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx

news26/10/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 26, 2007 8:01 pm
โดย chartchai madman
น้ำมันดิบนิวยอร์กในเอเชียทะลุ 92.22 เหรียญ ข่าว 18.00 น.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Friday, October 26, 2007
ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐฯ และเบรนท์ อังกฤษทะเลเหนือ ทะยานสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในตลาดเอเชียช่วงเช้าวันนี้ ซึ่งนับเป็นวันที่ 3 ในสัปดาห์นี้ โดยมีราคาซื้อขายสูงสุดระหว่างวัน กลายเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ในรอบ 24 ปี โดยน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐฯ พุ่งขึ้นไปทะลุบาร์เรลละ 92.22 ดอลลาร์สหรัฐฯ ก่อนที่จะอ่อนตัวเล็กน้อย โดยล่าสุดเคลื่อนไหวที่บาร์เรลละ 92.18 ดอลลาร์สหรัฐฯ

ด้านราคาน้ำมันดิบเบรนท์ อังกฤษทะเลเหนือ ทะยานขึ้นไปสูงสุดระหว่างวันในช่วงเช้าวันนี้เช่นกัน ทะลุกว่าบาร์เรลละ 89.30 ดอลลาร์สหรัฐฯ ก่อนที่จะอ่อนตัวเล็กน้อย โดยล่าสุดเคลื่อนไหวที่บาร์เรลละ 89.25 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งกลายเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 19 ปีของเบรนท์ อังกฤษทะเลเหนือ สำหรับปัจจัยที่กดดันราคาน้ำมันดิบทั้ง 2 ตลาดให้ ทะยานสูงขึ้นต่อเนื่องมาจากปริมาณสำรองน้ำมันดิบในสหรัฐฯ ที่ลดลงมากกว่าที่คาด และความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน รวมถึงสถานการณ์ในอิรัก

ทั้งนี้ ผลจากราคาน้ำมันดิบในตลาดสำคัญของโลกทั้ง 2 แห่ง ที่พุ่งสูงกว่าบาร์เรลละ 92 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในตลาดเอเชียนั้น หากพิจารณาในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ น้ำมันดิบดังกล่าวทะยานเพิ่มสูงขึ้นถึง 51% นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ สำหรับเมื่อคืนที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์กปิดตลาดพุ่งขึ้นเฉียด 4% สอดรับกับที่เบรนท์ อังกฤษทะเลเหนือ ปิดเพิ่มขึ้น 3.7%
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx

news29/10/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 29, 2007 12:33 pm
โดย chartchai madman
"New Energy" จุดเปลี่ยนที่มาพร้อมโอกาส

จากการเฝ้าดูการเตรียมการของโลก เพื่อหาความมั่นคงด้านพลังงาน นั่นทำให้เห็นว่าพลังงานทางเลือก (New Energy / Alternative Energy) ได้สร้างโอกาสในการลงทุนใหม่ๆ ให้กับนักลงทุนทั่วมุมโลก

เริ่มจากที่ลอนดอน ได้กลายเป็นศูนย์กลางของการซื้อขายโควตาการผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ทำให้ผู้กุมกระเป๋าเงินของกรุงลอนดอน กลายเป็นผู้นำในการบริหารโควตาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นหนึ่งในบริการทางการเงินที่โตเร็วที่สุดในยุคนี้ และทำรายได้อย่างมาก

ตลาดการซื้อขายโควตาการผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นี้ เกิดขึ้นหลังจากที่ยุโรป เข้าร่วมลงนามใน The Kyoto Protocol ในปี 1997 ซึ่งเป็นข้อตกลงของสหประชาชาติที่หลายๆ ประเทศลงนามร่วมกันเพื่อลดปัญหากรีน เฮ้าส์ เอฟเฟคท์ เพื่อลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศโลก

ในปี 2005 รัฐบาลยุโรปเริ่มจำกัดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่อุตสาหกรรมต่างๆ จะผลิตออกมาได้ แต่เปิดให้ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมเหล่านี้ ซื้อขายโควตาการผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กันได้

การซื้อขายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ว่านี้ ทำให้เกิดตลาดซื้อขายที่เติบโตเร็วมาก เรียกว่าซื้อขายกันเหมือนเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ (commodities) ปี 2006 มีปริมาณการซื้อขายกันสูงเพิ่มสูงขึ้นเป็น 2 เท่าของปริมาณที่ซื้อขายกันในปี 2005

สำหรับสหรัฐถือได้ว่าเป็นผู้นำของโลกในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับพลังงานสะอาด ไม่ว่าจะเป็น พลังงานลม แสงแดด ที่ผลิตพลังงานและความร้อนจากพืชเกษตรต่างๆ การพัฒนาเทคโนโลยีในการประหยัดพลังงาน

การเติบโตของการลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวกับพลังงานใหม่ๆ เหล่านี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทั้งในลักษณะของการร่วมทุนทางตรงหรือ Venture capital และบริษัทที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทั้งในสหรัฐ ยุโรป หรือเอเชีย โดยในปี 2006 ทวีปอเมริกามีมูลค่าการลงทุนแบบ Venture capital ในธุรกิจพลังงานสะอาดนี้เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากปี 2005

ข้อมูลล่าสุดจาก CNN Money และNew energy finance บริษัทวิจัยที่เจาะลึกเรื่องพลังงานทางเลือกใหม่กล่าวว่า หุ้นกลุ่มที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานแสดงอาทิตย์หรือโซลาร์เติบโตคึกคัก เนื่องจากกระแสของโลกเรื่องปัญหาโลกร้อนและสถานการณ์น้ำมัน เป็นตัวกระตุ้นผู้ลงทุนให้สนใจหุ้นกลุ่มนี้กันมาก

ตั้งแต่ต้นปี 2007 หุ้นของบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์หรือโซลาร์จำนวน 17 หลักทรัพย์ที่เป็นหุ้นในดัชนี ชื่อ Wilder Hill Global Innovation index มีการปรับตัวสูงขึ้นถึง 75%

Money Morning รวบรวมตัวเลขที่น่าสนใจว่า 3 ใน 5 บริษัทที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในสหรัฐที่ ผลประกอบการดีที่สุด เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) ที่มีฐานการผลิตอยู่ในจีนเนื่องจากค่าแรงที่ต่ำ และการได้รับเงินอุดหนุนในการผลิต

แม้แต่ในรัฐแคลิฟอร์เนียอาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์อดีตดาราของสหรัฐ ที่ผันมาเป็นผู้ว่าการรัฐ และเอาจริงเอาจังกับเรื่องสิ่งแวดล้อม ประกาศว่ามีแผนที่จะให้ประชาชนติดตั้งแผงโซลาร์ เพื่อผลิตพลังงานใช้ในบ้าน โดยเห็นว่ารัฐควรจะสนับสนุนเงินให้กับประชาชนด้วย เช่นเดียวกับในสเปนที่การให้เงินอุดหนุนแก่ประชาชนในการติดตั้งแผงโซลาร์ก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกัน

ความเคลื่อนไหวเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นว่าการลงทุนในพลังงานทางเลือกใหม่สดใสแน่นอน
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 069&ch=244

news29/10/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 29, 2007 1:15 pm
โดย chartchai madman
กนอ.ผนึกเอกชน ผุดนิคมฯราชบุรี ป้อนอุตฯพลังงาน

โพสต์ทูเดย์ ผุดนิคมฯ วี.อาร์.เอ็ม.โซนใหม่ฝั่งตะวันตก ลงทุนเฟสแรก 804 ล้านบาท รองรับอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน


นายอุทัย จันทิมา ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า กนอ.ได้ร่วมกับบริษัท วี.อาร์.เอ็ม. พัฒนา จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมวี.อาร์.เอ็ม. ขึ้นที่ จ.ราชบุรี บนพื้นที่ 1,216 ไร่ โดยจะแบ่งการพัฒนาพื้นที่ออกเป็น 2 เฟส ซึ่งในเฟสแรก 690 ไร่ ใช้เงินลงทุนทั้งสิ้น 804 ล้านบาท กำหนดระยะเวลาในการพัฒนาพื้นที่ 2 ปี โดยนิคมฯ พร้อมเปิดดำเนินการให้นักลงทุนเข้ามาประกอบกิจการได้ประมาณปลายปี 2552 ส่วนเฟสที่ 2 อีก 526 ไร่ จะเริ่มพัฒนาพื้นที่ในกลางปี 2552

ทั้งนี้ นิคมอุตสาหกรรมวี.อาร์.เอ็ม. จัดตั้งขึ้นเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สำคัญ ได้แก่ การผลิตเอทานอลและโรงไฟฟ้าชีวมวล เนื่องจาก จ.ราชบุรี เป็นแหล่งวัตถุดิบทางการเกษตร มีการปลูกมันสำปะหลังอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งนำมาใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเอทานอล และยังสามารถรองรับโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลเพื่อผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้าขนาดเล็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นิคมอุตสาหกรรมวี.อาร์.เอ็ม. พัฒนาขึ้นเพื่อรองรับการขยายตัวของภาคอุตสาห กรรมในแถบภาคตะวันตก ซึ่งจัดเป็นพื้นที่ศักยภาพการลงทุนอีกแห่งหนึ่ง เนื่องจากทำเลใกล้กรุงเทพฯ และท่าเรือน้ำลึกในฝั่งภาคตะวันออก ทำให้เอื้อประโยชน์ต่อการขนส่งและลำเลียงสินค้า อีกทั้งยังมีปริมาณน้ำเพียงพอต่อการรองรับและขยายกำลังการผลิตในอนาคตได้ นายอุทัย กล่าว

ขณะนี้มีผู้ประกอบการไทยเข้ามาจองพื้นที่แล้ว 350 ไร่ จำนวน 2 ราย ได้แก่ บริษัท วี อาร์ เอ็ม กรีน เอ็นเนอร์จี้ ผู้ผลิตเอทานอล และบริษัท วี อาร์ เอ็ม กรีน พาวเวอร์ ผู้ผลิตไฟฟ้าชีวมวล คาดว่าภายในปี 2552 จะมียอดจองเต็มพื้นที่ในเฟสแรก
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=200239

news29/10/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 29, 2007 1:19 pm
โดย chartchai madman
ธพ.เดินสายแจง ห้ามไบโอชุมชน ขายเชิงพาณิชย์

โพสต์ทูเดย์ กรมธุรกิจพลังงาน หวั่น ไบโอดีเซลชุมชนป่วน เตรียมลงพื้นที่แจงชาวบ้าน ห้ามผลิตขายเชิงพาณิชย์


นายเมตตา บันเทิงสุข อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) กล่าวว่า ธพ. ได้ร่วมกับกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) โดยจะเข้าไปชี้แจงให้แก่ผู้ผลิตไบโอดีเซลรับทราบ เนื่องจากการผลิตไบโอดีเซลมีอยู่ 2 ประเภทคือ ไบโอดีเซลชุมชน และโรงงานผลิตไบโอดีเซลเพื่อการพาณิชย์ หรือ บี 100

ทั้งนี้ ไบโอดีเซล 2 ประเภทมีการใช้งานต่างกัน ทำให้กรมฯ เป็นห่วง ว่าจะทำให้เกิดการใช้ไบโอดีเซลผิดประเภทเครื่องยนต์ เพราะหากเป็นไบโอดีเซลชุมชน จะต้องผลิตและใช้ภายในชุมชนเท่านั้น ไม่มีการจำหน่ายเชิงพาณิชย์ เพราะน้ำมันดังกล่าวเหมาะสำหรับเครื่องจักรกลการเกษตร หรือเครื่องดีเซลสูบเดียวรอบต่ำ

ส่วนโรงงานไบโอดีเซล หรือ บี 100 ที่ขออนุญาตผลิตในเชิงพาณิชย์ จะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกรมฯ มีการ ขึ้นทะเบียนผู้ผลิต และถูกกำหนดมาตรฐานไบโอดีเซล ให้สามารถใช้กับรถยนต์ดีเซลทั่วไปได้

จะส่งเจ้าหน้าที่ลงไปทำความเข้าใจกับผู้ผลิตไบโอดีเซลชุมชน เพราะเกรงว่าจะมีการลักลอบจำหน่าย เนื่องจากในอนาคตจะมีไบโอดีเซลชุมชนเกิดขึ้นอีก 400 แห่งทั่วประเทศ หากพบว่า มีใครนำมาขายในเชิงพาณิชย์มีบทลงโทษ ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 ปี นายเมตตา กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=200236

news29/10/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 29, 2007 7:08 pm
โดย chartchai madman
ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์กยังทำลายสถิติต่อเนื่อง รอลุ้นราคาน้ำมันในประเทศของไทยวันนี้

Posted on Monday, October 29, 2007
น้ำมันดิบนิวยอร์กในเอเชียเช้านี้ ยืนเหนือ 92.36 เหรียญ เบรนท์ ปิด 88.76 เหรียญ
ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ และเบรนท์ อังกฤษ ทะยานสูงขึ้นอย่างรวดเร็วต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมาในตลาดเอเชียเช้าวันนี้ ล่าสุด ราคาซื้อขายน้ำมันดิบของทั้ง 2 ตลาดสำคัญที่ตลาดซิดนี่ย์ และสิงคโปร์ ยังคงกลายเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ น้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ เคลื่อนไหวที่บาร์เรลละ 92.36 เหรียญ พุ่งขึ้นอีก 50 เซ็นต์ จากราคาปิดตลาดนิวยอร์กเมื่อวันศ. 26 ต.ค. 50 ที่ผ่านมา ด้านราคาน้ำมันดิบเบรนท์ อังกฤษทะเลเหนือ เคลื่อนไหวที่บาร์เรลละ 88.76 เหรียญ พุ่งขึ้น 71 เซ็นต์

น้ำมันดิบนิวยอร์กปิด ศ. 26 ต.ค. 50 ที่ 91.86 เหรียญ เบรนท์ปิดที่ 88.69 เหรียญ
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ และเบรนท์ อังกฤษ ทะยานพุ่งเป็นสถิติปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่บาร์เรลละ 91.86 เหรียญ น้ำมันดิบเบรนท์ อังกฤษทะเลเหนือ ปิดที่บาร์เรลละ 88.69 เหรียญ อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ พุ่งขึ้นสร้างสถิติสูงสุดในตลาดเอเชียเมื่อวันศุกร์ที่ 26 ที่บาร์เรลละ 92.22 เหรียญ ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นถึง 7% เฉพาะสัปดาห์ที่ผ่านมา พุ่งขึ้น 30% ตั้งแต่เดือนสิงหาคม และทะยานขึ้น 51% ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันนี้

ธนาคารดอยช์แบงก์ ชี้ ราคาน้ำมันดิบปัจจุบัน ยังต่ำกว่าในปี 1979 เมื่อรวมเงินเฟ้อ
นายอดัม ซีมินสกี้ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์พลังงาน ธนาคารดอยช์แบงก์ เยอรมนี ชี้ว่า ราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นไปสูงกว่า 92 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลนั้น มากจาก 3 ปัจจัยที่แตกต่างกันในยุคปี 1979 หรือยุคปฏิวัติอิหร่าน ทั้งนี้ ราคาน้ำมันในปัจจุบันกว่า 92 เหรียญสหรัฐนั้น แม้ตัวเลขจะสูงกว่าราคาในปี 1979 ที่เป็นประวัติการณ์ราว 90 เหรียญสหรัฐ แต่หากคิดอัตราเงินเฟ้อปัจจุบันกับราคาในปี 1979 นั่นหมายถึงราคาในปัจจุบันยังต่ำกว่าราคาปี 1979 บวกเงินเฟ้อปัจจุบันในปี 1979 ซึ่งจะอยู่ที่ 100 110 เหรียญสหรัฐ

น้ำมันแพงเป็นเหตุจีนปิดปั๊ม
หนังสือพิมพ์ไชน่า เดลี รายงานทางเวบไซต์ อ้างคำกล่าวของเจ้าหน้าที่บริษัทปิโตรไชน่าในมณฑลเหอหนาน ที่ระบุว่าราคาน้ำมันดิบที่สูงเป็นประวัติการณ์ในตลาดโลก บีบให้สถานีบริการน้ำมันในมณฑลกวางตุ้ง ฝูเจี้ยน เจ้อเจียง ชานตง และเหอหนานของจีน ต้องปิดกิจการชั่วคราว เพราะขาดแคลนน้ำมัน แม้รัฐบาลอุดหนุนราคาน้ำมันทำให้ราคาต่ำกว่าจริง แต่สถานีบริการต่างๆ มักขาดแคลนน้ำมัน หรือไม่ก็ยุติการดำเนินงานชั่วคราว เพราะหวังว่ารัฐจะอนุญาตให้ขึ้นราคา ในบางแห่งของประเทศ มีการจำกัดให้ผู้ขับขี่ซื้อน้ำมันได้เพียง 100 หยวน หรือไม่ก็ต้องซื้อน้ำมันเกรดดีที่ราคาแพง เพราะขาดแคลนน้ำมันค่าออกเทนต่ำ ขณะที่ผู้ขับขี่รถบรรทุกก็ทำท่าจะประสบปัญหาในการเติมน้ำมันดีเซลในช่วงเข้าใกล้ฤดูเก็บเกี่ยว ซึ่งคาดว่าจะมีความต้องการน้ำมันดีเซลมากขึ้น

ผู้ค้าประเมินเบนซินทะลุ 32 บาท
ราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลดีเซลทะลุ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ผู้ค้าจ่อปรับราคาเพิ่มสัปดาห์นี้ หลังค่าการตลาดติดลบ 20 สตางค์ต่อลิตรแล้ว ยอมรับราคาสูงผิดปกติ ชี้แนวโน้มราคาจะปรับขึ้นอีกลิตรละ 1-2 บาท คาดเบนซินทะลุลิตรละ 32 บาท ส่วนดีเซลมีสิทธิแตะ 29 บาทต่อลิตรแน่นอน ขณะที่ปั๊มในประเทศจีนหลายมณฑลปิดบริการชั่วคราว เหตุขาดแคลนน้ำมัน

นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน บอกถึงราคาน้ำมันที่ขยับขึ้น ล่าสุดปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (26 ต.ค. 50) ซึ่งราคาน้ำมันสำเร็จรูปทำสถิติสูงสุด (นิวไฮ) โดยราคาดีเซล 100.49 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เบนซิน 94.50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาดูไบ 82.70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันเวสต์เท็กซัส ปิดที่ 91.86 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ก็คงจะมีผลทำให้ราคาน้ำมันในประเทศขยับขึ้นอีก แต่จากที่เงินบาทแข็งค่า จึงทำให้ราคาดีเซลในประเทศยังไม่ปรับขึ้นเท่ากับสถิติราคาสูงสุดของประเทศที่เกิดขึ้นในปีที่แล้วที่ลิตรละ 28.34 บาท

ยันไม่นำเงินกองทุนฯอุ้มผู้ใช้น้ำมัน
นายปิยสวัสดิ์ บอกว่า แม้ราคาดีเซลจะทะลุ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล กระทรวงพลังงานจะยังคงไม่มีการนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาตรึงราคาขายปลีกให้กับประชาชนในขณะนี้ หรือลดการจัดเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันเข้ากองทุนฯ เพราะเงินบาทที่แข็งค่าจะช่วยให้ขายปลีกน้ำมันไม่จำเป็นต้องปรับราคาขึ้นถึงลิตรละ 3 บาท

อย่างไรก็ตาม แม้ราคาน้ำมันในตลาดโลกจะปรับตัวสูงขึ้น แต่รัฐบาลยังมีพลังงานทางเลือกให้ผู้ใช้น้ำมัน เช่น แก๊สโซฮอล์ ที่มีราคาถูกกว่าเบนซินลิตรละ 3.50 บาท ส่วนไบโอดีเซลถูกกว่าดีเซลลิตรละ 70 สตางค์ ดังนั้นผู้ใช้น้ำมันยังมีทางเลือกในขณะนี้

ปตท.จ่อปรับราคาวันนี้อีก 40 สตางค์
ด้านนายชัยวัฒน์ ชูฤทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) บอกว่าวันนี้ (29 ต.ค. 50) จะพิจารณาว่าจะปรับขึ้นราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศหรือไม่ โดยยอมรับว่าจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรุนแรง ทำให้การค้าน้ำมันทุกลิตรขณะนี้ขาดทุน หากเป็นไปตามกลไกตลาดแล้ว ต้องมีการปรับขึ้นราคาน้ำมันไปแล้ว ที่ผ่านมา ปตท.พยายามชะลอการปรับ เพื่อต้องการลดผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน

ขณะที่นายวิทยา หวังจิตรารักษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. บอกว่า จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น วันนี้ปตท.จะพิจารณาว่าจะมีการปรับราคาน้ำมันหรือไม่ และจะปรับอย่างไร เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชน ในส่วนของเบนซินมีแนวโน้มต้องปรับไปตามกลไกตลาด ส่วนดีเซล ปตท.จะพยายามดูแลไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชน เชื่อว่าราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นไปได้อีก เพราะเท่าที่ติดตามสถานการณ์น้ำมันตลาดโลก ยังมีแต่ปัจจัยบวกที่จะทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น

บางจากโอดค่าการตลาดดีเซลติดลบ 20 สต.
นายยอดพจน์ วงศ์รักมิตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สายการตลาดค้าปลีก บริษัทบางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) บอกว่า หลังจากราคาน้ำมันตลาดโลกยังปรับขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ค่าการตลาดน้ำมันเบนซิน ติดลบ 10 สตางค์ ส่วนดีเซลติดลบลิตรละ 20 สตางค์ ราคาเบนซินในประเทศปีนี้ทำลายสถิติราคาสูงสุดเมื่อปีที่แล้วไปแล้ว โดยปีที่แล้วราคาสูงสุดอยู่ที่ลิตรละ 30.69 บาท แต่ปีนี้ราคาอยู่ที่ลิตรละ 30.99 บาท ส่วนดีเซลตอนนี้ราคาอยู่ที่ลิตรละ 27.74 บาท ใกล้เคียงราคาสูงสุดในปีที่แล้วอยู่ที่ลิตรละ 28.24 บาท ซึ่งหากมีการปรับราคาอีก 1-2 ครั้งเท่านั้น ราคาดีเซลปีนี้ก็จะทำลายสถิติปีที่แล้ว

นายยอดพจน์บอกว่า แนวโน้มราคาน้ำมันตลาดโลก ยังมีความผันผวนต่อเนื่องไปอีก เพราะเป็นช่วงที่ตลาดโลกต้องการใช้น้ำมันเพื่อทำความร้อน ทำให้ความต้องการใช้เพิ่มสูง ขณะเดียวกันก็ยังมีสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศต่างๆ เช่น ตุรกี การเก็งกำไรของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ส่วนการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) ก็ยังไม่สามารถคาดเดาท่าทีได้ว่าจะตัดสินใจเพิ่มกำลังการผลิตหรือไม่

เตือนรับมือเบนซินทะลุ 32 บาทต่อลิตร
ดังนั้นจึงมองว่า 2-3 เดือนสุดท้ายนี้ ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยจะทรงตัวสูงในระดับ 85-90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จะทำให้ราคาน้ำมันเบนซินในประเทศขึ้นไป 1-2 บาทต่อลิตร อยู่ที่ลิตรละ 31-32 บาท แน่นอน ส่วนดีเซลน่าจะขึ้นไปที่ระดับลิตรละ 28-29 บาท

อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นราคาน้ำมันตลาดโลก เป็นการปรับขึ้นในส่วนของน้ำมันสำเร็จรูปเป็นหลัก ส่วนน้ำมันดิบนักวิเคราะห์หลายสำนัก ยังมีความเชื่อว่าราคาน้ำมันดิบไม่น่าจะทะลุไปถึง 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ปัจจัยเดียวที่จะทำให้ราคาน้ำมันลดลงมาได้อย่างรวดเร็ว นั่นคือการส่งสัญญาณปรับเพิ่มกำลังผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปค ซึ่งจะมีการประชุมในเดือนพฤศจิกายนนี้

แนะรัฐดึงเงินกองทุนน้ำมันฯอุ้ม
ส่วนนโยบายของรัฐบาลนั้น ยังคงเน้นให้ราคาน้ำมันเป็นไปตามกลไกตลาด แต่คาดว่าหากราคาน้ำมัน โดยเฉพาะดีเซลปรับขึ้นไปใกล้เคียงลิตรละ 29-30 บาท ภาครัฐอาจต้องใช้มาตรการดึงเงินกองทุนน้ำมันฯ เข้ามาดูแลราคา ยอมรับว่าเป็นเรื่องยากในการตัดสินใจในระดับนโยบาย เพราะกองทุนฯใกล้จะชำระหนี้หมดในสิ้นปีนี้ หากนำเงินกองทุนฯ มาใช้พยุงราคาน้ำมัน อาจจะต้องเลื่อนการชำระหนี้ออกไปอีก

นายยอดพจน์บอกว่า ราคาน้ำมันที่ผันผวนในช่วงเดือนตุลาคมของปีนี้ ทำให้เริ่มไม่แน่ใจว่าธุรกิจค้าปลีกในปีนี้จะดีกว่าปีที่แล้วอย่างที่คาดการณ์กันไว้หรือไม่ เพราะ 10 เดือนสุดท้ายของปี 2550 ค่าการตลาดเฉลี่ยอยู่ที่ลิตรละ 1.10 บาท ขณะที่ปีที่แล้วอยู่ที่ลิตรละ 1.05 บาท ระยะหลังที่ราคาน้ำมันตลาดโลกปรับขึ้นอย่างรวดเร็วครั้งละ 2-3 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทำให้ผู้ค้าไม่สามารถปรับราคาขายปลีกในประเทศได้ตามกลไกตลาด เพราะการปรับแต่ละครั้งต้องดูแลผลกระทบในภาพรวมทางเศรษฐกิจของประเทศด้วย

รฟท.ตรึงค่าตั๋วไม่ขึ้นตามน้ำมัน เล็งหารายได้จากค่าเช่าที่ชดเชย
นายบัญชา คงนคร รักษาการผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ ร.ฟ.ท.บอกว่า ร.ฟ.ท.ยังไม่มีแผนการปรับขึ้นค่าโดยสารรถไฟ แม้ว่าราคาน้ำมันดีเซลจะปรับสูงขึ้นมาก เนื่องจากเห็นว่า หากมีการปรับขึ้นค่าโดยสารในขณะนี้ จะกระทบต่อประชาชนที่ใช้บริการรถไฟจำนวนมาก ร.ฟ.ท.จึงยืนยันที่จะยังคงตรึงราคาค่าโดยสารต่อไป

ปัจจุบัน ต้นทุนราคาน้ำมันดีเซลที่เพิ่ม ขึ้นลิตรละ 1 บาท ทำให้ ร.ฟ.ท.มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นถึงปีละ 120 ล้านบาท จากปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลปีละ 120 ล้านลิตร ซึ่ง ร.ฟ.ท.ต้องพยายามหารายได้จากส่วนอื่นเข้ามาชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมัน

แนวทางที่จะดำเนินการคือ การเร่งเพิ่มรายได้จากการใช้พื้นที่ ร.ฟ.ท.ที่ให้เอกชนเช่า การปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน และบริการของ ร.ฟ.ท.ให้ดีขึ้น เพื่อเพิ่มจำนวนผู้โดยสาร และชดเชยค่าใช้จ่ายน้ำมันที่ เพิ่มขึ้น
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news29/10/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 29, 2007 7:37 pm
โดย chartchai madman
เชฟรอนเตรียมขยายการลงทุนในไทย ข่าว 18.00 น.

Posted on Monday, October 29, 2007
นายไชยา ยิ้มวิไล โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี บอกว่า นาย David J.O'Reilly ประธานบริษัทและประธานกรรมการ บริษัท เชฟรอน คอร์ปอเรชั่น บริษัทพลังงานรายใหญ่ของโลก ได้เข้าพบหารือกับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี โดยได้แสดงความเชื่อมั่นสถานการณ์ในประเทศไทย และยืนยันว่าพร้อมจะลงทุนเพิ่มเติม รวมทั้งได้สอบถามถึงสถานการณ์การเมือง การกำหนดวันเลือกตั้ง และการที่จะมีรัฐบาลชุดใหม่มาบริหารประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้แสดงความมั่นใจและยืนยันว่า การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในปลายปีนี้อย่างแน่นอน

ด้านนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานบอกว่า กระทรวงพลังงานได้ลงนามสัมปทานปิโตรเลียมเพิ่มเติมกับ บริษัท เชฟรอน ประเทศไทย และ บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียมออกไป อีก 10 ปี ตั้งแต่ปี 2555-2565 ซึ่งทำให้ปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติในประเทศเพิ่มขึ้นจากวันละ 2.4 พันล้านลูกบาศก์ฟุต เป็น 3.3 พันล้านลูกบาศก์ฟุต ในปี 2553 และก่อให้เกิดการลงทุน สร้างงานและรายได้ให้ประเทศกว่า 5.25 แสนล้านบาท และผู้รับสัมปทานจะจ่ายผลประโยชน์พิเศษให้แก่รัฐอีกกว่า 4.3 หมื่นล้านบาท นอกเหนือจากรายได้ในรูปของค่าภาคหลวงและภาษีเงินได้ปิโตรเลียมที่กำหนดไว้เดิม

สำหรับแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยที่ทั้ง 2 บริษัทได้รับสัมปทาน คือ หมายเลข 10, 11, 12 และ 13 ของกลุ่มบริษัท เชฟรอน และแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทย หมายเลข 15, 16 และ 17 ของ บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม โดยเป็นการลงนามตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 16 ตุลาคม ที่ผ่านมา
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx

news30/10/07

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 30, 2007 11:47 am
โดย chartchai madman
หุ้นพลังงานแพงเกินสอย
หันเลือกตัวพี/อีต่ำน่าลงทุน RRC-ATC-TOP-PTTCH
หุ้นไทยปิดท้ายสัปดาห์ก่อน วิ่งคึกให้ตื่นเต้นได้เกือบทั้งวัน ดัชนีพุ่งไปถึง 911.60 จุด บวกไป 17.03 จุด  ก่อนจะหันกลับมาเล่นบทตัวโกงตามแรงขายท้ายตลาด กดดัชนีโผล่ไม่พ้น 900 จุด  แต่ฝรั่งยังโชว์ฟอร์มซื้อสุทธิเป็นครั้งแรกในรอบสัปดาห์ 5.5 พันล้านบาท  มองแนวโน้มดัชนีสัปดาห์นี้มีโอกาสทะลุดัชนีอาถรรพ์ 900 จุด  ที่เพียรพยายามมาหลายรอบ แต่อาจไม่ผ่านแนวต้าน 908-915 จุด แต่ถ้าไปไม่ถึง เจอกันอีกทีที่  885-878 จุด และหุ้นพลังงานยังรับบทพระเอกอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย  PTT-PTTEP  ยังเป็นหุ้นที่โบรกมองว่าจะได้ประโยชน์มากสุดจากราคาน้ำมันที่พุ่งปรี๊ดทำนิวไฮ ต้องลองหันมาดูทางเลือกใหม่เน้นจับหุ้นพลังงานที่ยับมีพี/อี ต่ำกว่า 10 เท่า เพราะราคายังขึ้นไปไม่ไกลเกินสอย  คัดหุ้นเข้าเกณฑ์ได้ 4 ตัว   RRC , ATC, TOP, PTTCH พื้นฐานดีไม่แพ้พี่เบิ้ม  

ดัชนีตลาดหุ้นไทยส่งท้ายสัปดาห์ปิดตลาดอ่อนแรงไปไม่พ้นแนวต้านดัชนี 900 จุด จากในระหว่างวันที่ขึ้นไปสูงสุดที่ 911.60 จุ ด แต่ในช่วงท้ายตลาดกลับมีแรงขายออกมาฉุดดัชนีปิดตลาดในระดับต่ำสุดที่ 894.57 จุด เพิ่มขึ้น 1.12 จุด หรือ 0.13% และมีมูลค่าการซื้อขายรวม 33,460 ล้านบาท

ส่วนตัวเลขการซื้อขายของนักลงทุนรายกลุ่มนักลงทุนต่างชาติโชว์ตัวเลขซื้อสุทธิ 5,068 ล้านบาท  จากที่มีแรงขายต่อเนื่องติดต่อกัน 4 วันทำการ รวมกว่า 3,600 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 4,191 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 877 ล้านบาท
บรรยากาศการลงทุนตั้งแต่เปิดตลาดในช่วงเช้ามีแรงซื้อหนาแน่นในหุ้นกลุ่มพลังงาน  ทำให้หุ้น PTTEP

และหุ้น PTT ขึ้นไปทำนิวไฮในระหว่างวัน โดยหุ้น PTT ขึ้นไปสูงสุดที่ 420 บาท และลงต่ำสุดที่ 398 บาท และปิดตลาดที่ 408 บาท เพิ่มขึ้น 14 บาท หรือ 3.55% มูลค่าการซื้อขายรวม 5,547.76 ล้านบาท

ส่วนหุ้น PTTEP ขึ้นไปทำนิวไฮในระหว่างวันที่ 176 บาท จากราคาเปิด 170 บาท และลงปิดตลาดในราคาต่ำสุดที่ 169 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขายรวม 6,322.86 ล้านบาท หุ้น TOP ขึ้นไปสูงสุดที่ 94 บาท ลงต่ำสุดที่ 91.50 บาท และปิดตลาดที่ 92 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท หรือ 1.10% และมีมูลค่าการซื้อขายรวม 1,851 ล้านบาท

ตามด้วยหุ้นแบงก์ที่ขึ้นมาเคียงคู่เทียบกับหุ้นพลังงาน BBL ขึ้นไปสูงสุดที่ 124 บาท ลงต่ำสุดที่ 120 บาท ก่อนจะปิดตลาดทรงตัวที่ 121 บาท มูลค่าการซื้อขายรวม 1,436 ล้านบาท และอันดับ 5 หุ้น PTTCH ขึ้นไปสูงสุดที่ 132 บาท ก่อนจะร่วงปิดตลาดติดลบที่ 128 บาท ลดลง 2 บาท หรือ 1.54% และมีมูลค่าการซื้อขายรวม 1,421 ล้านบาท

ราคาน้ำมันทำสตินิวไฮ

นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ คาดว่าจะปรับฐานไม่ผ่านแนวต้าน 908-915 จุด เนื่องจากบริเวณดังกล่าวจะมีสัญญาณทางเทคนิคระยะสั้นบางเครื่องมือทยอยเตือนในเขตซื้อมากเกินไป ขณะที่การอ่อนตัวลงคาดว่าจะมีโอกาสลงมาทดสอบ 885-878 จุด  

ส่วนแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังคงเดินหน้าสร้างสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะไตรมาส 4/2550 คาดว่าราคาน้ำมันดิบจะยังทรงตัวในระดับสูงและมีโอกาสที่อาจจะขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดใหม่บริเวณ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งการแสดงความเห็นของกลุ่มโอเปกในเดือนพฤศจิกายนนี้จะถือเป็นตัวแปรสำคัญ      

ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกต่างเดินหน้าสร้างสถิติใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อปลายสัปดาห์ก่อนในตลาดไนเม็กส์พุ่งขึ้นถึง 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และคาดว่าในไตรมาส 4 นี้เราอาจจะได้เห็นราคาน้ำมันพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดใหม่ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล  โดยมีผลกระทบจาก Seasoning Effect ปัญหาความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่คงยังไม่มีวี่แววจะคลี่คลายในระยะสั้น รวมถึงการเข้ามาเก็งกำไรของบรรดาเฮดฟันด์ที่มีปริมาณสูงขึ้นนักวิเคราะห์กล่าว

ทั้งนี้จากแนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นจะส่งผลบวกต่อผลการดำเนินงานของหุ้นในกลุ่มพลังงาน ซึ่งคาดว่าการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมัน 5% จะส่งผลให้ผลการดำเนินงานของกลุ่มพลังงานในปี 2551 ปรับสูงขึ้น 1.37% ซึ่งหุ้น PTTEP และ PTT ยังจะได้รับประโยชน์สูงสุด โดยคาดว่ากำไรในปีหน้าจะเพิ่มขึ้น 5.2% และ 4.6%

อกจากนี้คาดว่ากลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ที่เชื่อมโยงกับราคาน้ำมัน เช่น กลุ่มพลังงาน รวมทั้งพลังงาน ทั้งน้ำมันและถ่านหิน รวมถึงพลังงานทดแทน จะเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งกว่าตลาด โดยคาดว่านักวิเคราะห์อาจะจะมีการปรับราคาเหมาะสมหุ้นในกลุ่มพลังงานที่ราคาเกินเป้าหมายไปแล้วเพิ่มขึ้นอีกครั้ง โดย PTT ให้ราคาเหมาะสม 490 บาท PTTEP ราคา170 บาท BANPU ราคา 385 บาท ขณะที่แนะเก็งกำไร LANNA ให้ราคาเหมาะสม 15.75 บาท และ KSL ราคา 12.21 บาท

จับหุ้นพลังงานพี/อีต่ำกว่า10เท่า    

นางสาววชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า  หุ้นในกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่องตามทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาใกล้ราคาเหมาะสมแล้ว ดังนั้นนักลงทุนอาจจะกลับมาซื้อหุ้นที่ซื้อขายบนพีอีที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำซึ่งเหมาะกับการลงทุนมากกว่า โดยเฉพาะหุ้นที่มีระดับพีอีต่ำกว่า 10 เท่า เช่น RRC ATC TOP และ PTTCH    

ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบราคาพื้นฐานของหุ้นในกลุ่มพลังงานของไทยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคที่ซื้อขายเฉลี่ยพีอีที่ระดับ 16.4 เท่า ถือว่ายังถูกกว่า ซึ่งราคาตลาดปัจจุบันของ PTT ยังซื้อขายที่ระดับพีอี 11 เท่า และ PTTEP ในระดับ 14 เท่าในปี 2551 ดังนั้นแรงขับเคลื่อนจากเม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติที่มีเป้าหมายลงทุนในหุ้นกลุ่มคอมมูดิตี้จะเป็นปัจจัยบวกให้ราคาหุ้น

หุ้นในกลุ่มพลังงานส่วนใหญ่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาชนเป้าหมายไปกันหมดแล้ว หรือบางตัวก็ใกล้เป้าหมายเข้าไปทุกที ดังนั้นนักลงทุนอาจจะกลับมาพิจารณาตัวพีอีที่ยังอยู่ในระดับต่ำจะน่าสนใจมากกว่า เช่น RRC  ATC  TOP และ PTTCHนางสาววชิราลักษณ์กล่าว      

สำหรับหุ้น RRC ฝ่ายวิจัยให้ราคาเหมาะสมที่ 28 บาท ส่วน ATC ให้ราคาเหมาะสมที่ 84 บาท TOP ให้ราคาเหมาะสมที่ 99 บาท และ PTTCH ให้ราคาเหมาะสมที่ 139 บาท    

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานของหุ้นในกลุ่มพลังงานคาดว่าจะมีกำไรที่เติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะ PTTEP ที่มองว่าในปี 2551 จะมีอัตราการเติบโตที่โดดเด่นที่สุด จากปริมาณการผลิตในแหล่งใหม่ๆ ที่เข้ามาทุก 3-4 ปี รวมถึง TOP และ BCP ที่คาดว่าจะกลับมาโดดเด่นในปีหน้า ถึงแม้ผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 4/2550 จะไม่ดีนัก โดยยังคงแนะนำซื้อ
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 076&ch=225

news30/10/07

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 30, 2007 2:20 pm
โดย chartchai madman
ราคาน้ำมันดิบต่างประเทศพุ่งทำลายสถิติอีกครั้ง หลังปัจจัยต่าง ๆ ยังหนุน

Posted on Tuesday, October 30, 2007
น้ำมันดิบนิวยอร์ก สูงสุดระหว่างวันทะลุ 93.80 เหรียญ เบรนท์ ทะลุ 90.49 เหรียญ
ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ และเบรนท์ อังกฤษ ทะยานสูงขึ้นต่อเนื่องในวันแรกของสัปดาห์ นับเป็นการเพิ่มถึง 4 วันทำการติดต่อกัน ราคาซื้อขายสูงสุดระหว่างวัน และราคาปิดของทั้ง 2 ตลาดสำคัญ กลายเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ น้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ ซื้อขายสูงสุดระหว่างวัน ทะลุบาร์เรลละ 93.80 เหรียญ ก่อนลงมาปิดที่บาร์เรลละ 93.53 เหรียญ พุ่งขึ้นเฉียด 2% ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ อังกฤษ สูงสุดปิดทะลุกว่าบาร์เรลละ 90.49 เหรียญ ลงปิดที่บาร์เรลละ 90.32 เหรียญ หรือพุ่งขึ้นเฉียด 2%

น้ำมันดิบนิวยอร์ก พุ่ง 53% ต้นปีถึงเมื่อคืนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ และเบรนท์ อังกฤษทะเลเหนือ ทะยานพุ่งเป็นสถิติปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่เมื่อคืนที่ผ่านมา ไม่เพียงได้กลายเป็นสถิติปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 24 ปี และ 19 ปี ตามลำดับ แต่ยังสามารถทำลายสถิติสูงสุดเดิมในตลาดเอเชียเมื่อวันวานนี้ที่บาร์เรลละ 92.77 เหรียญ ผลจากราคาน้ำมันดิบที่ถีบตัวไม่สิ้นสุด ทำให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นถึง 7% เฉพาะสัปดาห์ที่ผ่านมา พุ่งขึ้น 33% ตั้งแต่เดือนสิงหาคม และทะยานขึ้น 53% ตั้งแต่ต้นปีจนถึงเมื่อคืนที่ผ่านมา

น้ำมันดิบนิวยอร์ก เพิ่ม 40% ในรูปเงินยูโร พุ่ง 47% ในเงินเยนญี่ปุ่น
เมื่อพิจารณาจากอัตราแลกเปลี่ยนในสกุลเงินที่แตกต่างกัน และอัตราการอ่อนค่าลงของเงินเหรียญสหรัฐ บนราคาปิดเมื่อคืนที่ผ่านมาของทั้งตลาดนิวยอร์กสหรัฐ จะพบว่า ส่งผลให้ราคาปิดน้ำมันดิบในตลาดสำคัญของโลก ในรูปสกุลเงินเหรียญสหรัฐ ทะยานเพิ่มสูงขึ้นถึง 53% สกุลเงินเหรียญยูโร เพิ่มขึ้น 40% สกุลเงินเยนญี่ปุ่นพุ่งขึ้น 47% และสกุลเงินปอนด์สเตอริง เพิ่มขึ้น 45% นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงเมื่อคืนที่ผ่านมา นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบในตลาดสำคัญ ยังถีบตัวสูงขึ้นกว่า 4 เท่า นับตั้งแต่ปี 2002 หรือปี 2545 จนถึงเมื่อคืนนี้

เม็กซิโก ปิดการผลิตวันละ 6 แสนบาร์เรล จากพายุถล่มอ่าว
สาเหตุสำคัญที่ราคาน้ำมันดิบทะยานเข้าใกล้ 94 เหรียญสหรัฐ มาจากปัจจัยของ การปิดกำลังการผลิตน้ำมันดิบลงไป 1 ใน 5 ส่วน หรือหายไปวันละ 6 แสนบาร์เรลของรัฐวิสหากิจผลิตน้ำมันในปะเทศเม็กซิโก ที่มีชื่อว่า ปิโตรลีโอ เม็กซิกาโน่ หรือ เพ็มเม็กซ์ หลังต้องประสบกับพายุในอ่าวเม็กซิโก ตามด้วย ค่าเงินเหรียญสหรัฐที่ยังคงอ่อนค่าลงต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับทุกสกุลเงินหลัก สถานการณ์ตึงเครียดในอิรัก หลังประธานาธิบดีตุรกี ประกาศใช้กองกำลังเข้าจัดการกลุ่มกบฎชาวเคิร์ดต่อเนื่อง และการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่ออิหร่าน

กลุ่มโอเปกเมินเพิ่มกำลังการผลิตชี้น้ำมันมีมากพอ
นายอับดุลเลาะห์ อัล อัททิย่า รัฐมนตรีน้ำมันประเทศการ์ตาร์ ซึ่งเป็น 1 ใน 13 ประเทศสมาชิกกลุ่มโอเปก เปิดเผยเมื่อคืนที่ผ่านมาว่า ขณะนี้ กลุ่มโอเปกไม่เห็นสัญญาณใดที่ชัดเจน ที่เกี่ยวกับการขาดแคลนน้ำมันดิบในตลาดโลก กลุ่มโอเปกมั่นใจว่า ส่วนหนึ่งของราคาน้ำมันดิบที่ทะยานพุ่งขึ้นไม่สิ้นสุด มาจากปัญหาความตึงเครียดทางการเมืองในตะวันออกกลาง และปัจจัยความกังวลอื่น ๆ และขอยืนยันว่าฝนฐานะกลุ่มโอเปก ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้เลย นอกจากนี้ ในบางครั้งเป็นการขาดแคลนน้ำมันบางชนิด แต่ไม่ใช้น้ำมันดิบ

ราคาเบนซินในประเทศทะลุ 31 บาทแน่สัปดาห์นี้
นายยอดพจน์ วงศ์รักมิตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทบางจากปิโตรเลียม บอกว่า สาเหตุที่ผู้ค้าน้ำมัน ยังไม่ปรับขึ้นราคา เพราะจะรอประกาศของกระทรวงพลังงานเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการจัดเก็บเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ส่วนของไบโอดีเซลคาดว่าจะลดลง 30 สตางค์/ลิตร หรือ ลดลงจาก 1 บาท เหลือ 70 สตางค์/ลิตร เพื่อทำให้ส่วนต่างของดีเซลและไบโอดีเซลสูงถึง 1 บาท จากปัจจุบันแตกต่างกันเพียง 70 สตางค์/ลิตร ในขณะเดียวกันจะรอดูความชัดเจนของราคาน้ำมันในต่างประเทศ ซึ่งต้องยอมรับว่าการค้าน้ำมันในวันนี้ขาดทุน โดยค่าการตลาดเฉลี่ยติดลบถึง 40 สตางค์/ลิตร

ด้านนายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญตลาดน้ำมัน บอกว่า ภายในสัปดาห์นี้ คาดว่าราคาขายปลีกทุกประเภทคงจะปรับขึ้นอีก 40 สตางค์/ลิตร ซึ่งหากปรับขึ้นราคาขายปลีกในประเทศน้ำมันเบนซินจะทำสถิติสูงสุด ที่ 31.19 บาท/ลิตร ส่วนดีเซลจะมีราคา 28.14 บาท/ลิตร เพราะขณะนี้ค่าการตลาดล่าสุดติดลบแล้วถึง 40-50 สตางค์/ลิตร ท่ามกลางราคาน้ำมันตลาดโลกที่สร้างสถิติสูงสุดในทุกตลาด โดยเฉพาะดีเซลที่สูงทะลุ 100 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลไปแล้ว
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news31/10/07

โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 31, 2007 11:58 am
โดย chartchai madman
น้ำมันเฉลี่ยน้ำมันดิบของโอเปคพุ่งทะลุ 85 เหรียญเป็นครั้งแรก
ราคาตะกร้าน้ำมันของโอเปค ซึ่งเป็นราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน 12 ประเทศ ได้พุ่งขึ้นเหนือระดับ 85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเป็นครั้งแรกโอเปคเปิดเผยว่า ราคาเฉลี่ยประจำวันกระโดดขึ้น 1.04 ดอลลาร์เมื่อวานนี้ มาแตะที่ระดับ 85.84 ดอลลาร์ทั้งนี้ ราคาตะกร้าคือราคาอ้างอิงที่กลุ่มโอเปคใช้สำหรับพิจารณากำหนดนโยบายผลผลิตของกลุ่ม ทั้งนี้โอเปคมีกำหนดที่จะเพิ่มกำลังการผลิตอย่างเป็นทางการเป็น 500,000 บาร์เรลต่อวันตั้งแต่วันพฤหัสบดีนี้เป็นต้นไป
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news01/11/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 01, 2007 7:51 pm
โดย chartchai madman
น้ำมันดิบนิวยอร์ก พุ่งทะลุกว่า 95 เหรียญ รับดอกเบี้ยเฟด ลดลงอีก 0.25%

Posted on Thursday, November 01, 2007
น้ำมันดิบนิวยอร์ก สูงสุดระหว่างวันทะลุ 94.74 เหรียญ เบรนท์ทะลุ 90.94 เหรียญ
ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ และเบรนท์ อังกฤษ ย้อนกลับทะยานสูงขึ้นทันทีเมื่อคืนที่ผ่านมา โดย ราคาซื้อขายสูงสุดระหว่างวัน และราคาปิดของทั้ง 2 ตลาดสำคัญ กลายเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ น้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ ซื้อขายสูงสุดระหว่างวัน ทะลุบาร์เรลละ 94.74 เหรียญก่อนลงมาปิดที่บาร์เรลละ 94.53 เหรียญ พุ่งสูงขึ้นถึง 4.6% ราคาน้ำมันดิบเบรนท์อังกฤษ สูงสุดปิดทะลุกว่าบาร์เรลละ 90.94 เหรียญ ก่อนที่จะลงปิดที่บาร์เรลละ 90.63 เหรียญ หรือพุ่งขึ้น 3.7%

น้ำมันดิบนิวยอร์ก พุ่งมากสุดใน 1 วันทำการ รอบ 10 เดือน
ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ และเบรนท์ อังกฤษ ทะยานพุ่งเป็นสถิติปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่เมื่อคืนที่ผ่านมา ไม่เพียงได้กลายเป็นสถิติปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 24 ปี และ 19 ปี ตามลำดับ แต่ยังสามารถทำลายสถิติสูงสุดเดิมในตลาดเอเชียเมื่อวันที่ 29 ต.ค. ที่บาร์เรลละ 93.80 เหรียญ ผลจากราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้น 4.6% ทำให้ราคาพุ่งขึ้นมากที่สุดใน 1 วันทำการ นับตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม หรือในรอบ 10 เดือนที่ผ่านมา และเฉพาะในเดือน ต.ค. ราคาพุ่งขึ้น 16% และยังทะยานขึ้น 61% ตั้งแต่ต้นปีจนถึงเมื่อคืนที่ผ่านมา

น้ำมันดิบนิวยอร์ก พุ่งขึ้น 61% ตั้งแต่ต้นปี ทะลุ 5 เท่าใน 6 ปี
เมื่อพิจารณาจากอัตราแลกเปลี่ยนในสกุลเงินที่แตกต่างกัน และอัตราการอ่อนค่าลงของเงินเหรียญสหรัฐ บนราคาปิดเมื่อคืนที่ผ่านมาของทั้งตลาดนิวยอร์ก สหรัฐ จะพบว่า ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาจนถึงเมื่อคืนนี้ ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ เพิ่มขึ้นต่อเนื่องถึง 20% สกุลเงินเหรียญยูโร เพิ่มขึ้น 44% สกุลเงินเยนญี่ปุ่นพุ่งขึ้น 52% และสกุลเงินปอนด์สเตอริง เพิ่มขึ้น 48% นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงเมื่อคืนที่ผ่านมา นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบในตลาดสำคัญ ถีบตัวสูงขึ้นกว่า 5 เท่า นับตั้งแต่ปี 2002 หรือปี 2545 หรือในรอบ 6 ปีที่ผ่านมาจนถึงเมื่อคืน

3 ปัจจัยสำคัญ กระชากราคาปิดน้ำมันดิบ พุ่งเฉียด 5%
สาเหตุสำคัญที่ราคาน้ำมันดิบพุ่งทะลุกว่า 95 เหรียญสหรัฐ มาจากปัจจัยของ ปริมาณสำรองน้ำมันดิบในสหรัฐ ที่กลับลดลงต่ำสุดสร้างสถิติในรอบ 2 ปี สวนทางกับการคาดการณ์ในตลาดในช่วงต้นสัปดาห์นี้ว่า น้ำมันดิบในสหรัฐจะเพิ่มขึ้นถึง 6 แสนบาร์เรล นอกจากนี้ การตัดสินใจลดดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐเป็นครั้งที่ 2 ในรอบเดือนตุลาคมเมื่อคืนนี้ เพื่อกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจสหรัฐต่อเนื่อง และค่าเงินเหรียญสหรัฐ ที่ทรุดลงทันทีหลังการปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นของแบงก์ชาติสหรัฐ ส่งผลโยกเงินลงทุนในน้ำมันดิบ

กลุ่มโอเปก ไม่ยินดีกับราคาทะลุกว่า 95 เหรียญ ชี้ กำลังจะเกิดราคาฟองสบู่แตก
นายจาว๊าด ยาจาร์นี่ย์ หัวหน้าฝ่ายข้อมูลสารสนเทศ กระทรวงน้ำมัน ประเทศอิหร่าน กล่าวว่า ระดับราคาน้ำมันดิบที่พุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง และล่าสุดทะลุกว่า 95 เหรียญสหรัฐนั้น ขอย้ำอีกครั้งว่า กลุ่มโอเปก ไม่ได้รู้สึกยินดีแต่อย่างใด ภาวะดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่า ตลาดขาดเสถียรภาพในด้านการเคลื่อนไหวของราคาทุกรูปแบบ นอกจากนี้ นายจาว๊าด ยาจาร์นี่ย์ ยังกล่าวเตือนว่า ปัจจัยความตึงเครียดในดินแดนตะวันออกกลาง เช่น ที่อิรัก และการคว่ำบาตรของสหรัฐต่ออิหร่าน จะทำให้เกิดภาวะราคาน้ำมันดิบฟองสบู่แตกในเร็ว ๆ นี้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news01/11/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 01, 2007 8:00 pm
โดย chartchai madman
เริ่มลดเก็บเงินเข้ากองทุนฯ 50สต./ลิตร หลังธ.ค.

นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน บอกถึงแนวทางการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ว่า หลังจากชำระหนี้หมดในเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งมีอยู่กว่า 10,000 ล้านบาทแล้ว จะประกาศลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนฯ จากน้ำมันประเภทต่างๆ ทันทีลิตรละ 50 สตางค์ ส่วนอีก 50 สตางค์ต่อลิตร จะนำเงินไปให้กองทุนเพื่อการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อใช้เป็นเงินลงทุนก่อสร้างโครงการขนส่งมวลชนระบบราง

ส่วนเงินที่เหลือจะเก็บไว้ในยามฉุกเฉิน และนำไปเป็นกลไกส่งเสริมไบโอดีเซล และแก๊สโซฮอล์ต่อไป ดังนั้น การคงเก็บไว้ในระดับนี้จะทำให้เงินกองทุนน้ำมันฯ วันที่ 1 ตุลาคม 2551 มีวงเงิน 13,000 ล้านบาท ปัจจุบันมีการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังนี้

- ดีเซลเก็บที่ 1.50 บาทต่อลิตร
- ไบโอดีเซล 70 สตางค์
- เบนซิน 95 เก็บที่ 4 บาท
- เบนซิน 91 เก็บที่ 3.70 บาท
- แก๊สโซฮอล์ 95 เก็บที่ 70 สตางค์
- แก๊สโซฮอล์ 91 เก็บที่ 20 สตางค์ต่อลิตร

นายปิยสวัสดิ์บอกว่า การนำเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปพัฒนาระบบราง-รถไฟฟ้า จะช่วยลดภาระต้นทุนการนำเข้าน้ำมัน การให้เงินกองทุนน้ำมันฯ เป็นการให้ยืมแล้วหน่วยงานเจ้าของโครงการต้องชำระคืนกองทุนฯ ภายหลัง ดังนั้น วงเงินลงทุนแต่ละโครงการจะมาจากหลายส่วน
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี

โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ย. 02, 2007 8:05 am
โดย Linsu_th
ปตท.ส่อเหลวจัดหาก๊าซ ไฟฟ้าไทยเข้าสู่วิกฤต โดย ผู้จัดการรายวัน 2 พฤศจิกายน 2550 06:48 น.
      ปตท.จัดหาก๊าซฯ ส่อล้มเหลว ไม่ยอมการันตีป้อนโรงไฟฟ้าใหม่ กฟผ.และไอพีพีได้ทั้งหมด เสียงอ่อยนำเข้า LNG มีคู่แข่งมาก จับตาก๊าซฝั่งตะวันตกเต็มส่งผลให้ต้องปรับแผนการผลิตใหม่หมด คาดดันใช้น้ำมันเตามากขึ้น เผยหากนำเข้า LNG ไม่ทันปี 2552 ก๊าซจะเริ่มทยอยขาดและจะหนักหากไม่ได้ M 9 เข้าเสริมปี 2553 ไฟฟ้าไทยวิกฤติแน่ ปิยสวัสดิ์ แจง ปตท.ต้องรับผิดชอบให้ได้ตามแผน ด้านผู้ค้าน้ำมันโอดปรับราคาน้ำมันยากขึ้น เหตุถูกกดดันจากสังคมหนัก ยันค่าการตลาดต.ค.ลดหนักเหลือเฉลี่ยแค่ 50 สตางค์ต่อลิตรเท่านั้น
       แหล่งข่าวจากวงการพลังงาน เปิดเผยว่า ขณะนี้ บมจ.ปตท.ยังไม่สามารถให้ความมั่นใจในการจัดหาก๊าซธรรมชาติเพื่อป้อนโรงไฟฟ้าใหม่ให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และผู้ผลิตไฟฟ้าภาคเอกชนหรือ ไอพีพีเนื่องจากความไม่แน่นอนในการจัดหาแหล่งก๊าซธรรมชาติจากแหล่ง M9 จากพม่า และการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลวหรือ LNG จากต่างประเทศที่ล่าสุดหลายประเทศทั่วโลกต่างหันไปซื้อ LNG จำนวนมากทั้งจีนและญี่ปุ่นหลังจากราคาพลังงานได้ปรับตัวสูงขึ้นส่งผลให้การเจรจาซื้อขายของ ปตท.ยังไม่คืบหน้าและมีแนวโน้มว่าการจัดหาจะเป็นไปได้ยาก
ล่าสุด ปตท.ยืนยันปริมาณก๊าซให้เฉพาะโรงไฟฟ้า 4 แห่งให้ กฟผ.เท่านั้นส่วนโรงใหม่จากนั้นยังไม่การันตี ขณะที่ไอพีพีจะป้อนให้ได้ 2 แห่งเท่านั้น และจะยืนยันชัดเจนเมื่อมีการนำเข้า LNG ซึ่งวันนี้ยังไม่มีคำตอบ แหล่งข่าวกล่าว
ปัจจุบันโรงไฟฟ้าในระบบท่อฝั่งตะวันตก ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าไตรเอ็นเนอร์ยี่ ที่มีความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติ 125 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมราชบุรี 375 ล้านลบ.ฟุตต่อวัน วังน้อย 100-305 ล้านลบ.ฟุตต่อวัน โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมพระนครใต้ชุดที่ 1 ใช้ 65 ล้านลบ.ฟุตต่อวัน โรงไฟฟ้าพลังความร้อนพระนครใต้ ใช้ 150 ล้านลบ.ฟุตต่อวันทำให้ก๊าซฝั่งตะวันตกเต็มระบบพอดีที่ระดับ 1,110 ล้านลบ.ฟุตต่อวัน
       ปี 2551 โรงไฟฟ้าระยอง 1-2 และ พระนครใต้ชุดที่ 3 เข้าระบบฝั่งตะวันตกมีความต้องการใช้ก๊าซฯเพิ่มขึ้น 325-375 ล้านลบ.ฟุตต่อวัน ดังนั้นโรงไฟฟ้าความร้อนร่วมพระนครใต้ชุด1 และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนพระนครใต้ จึงต้องเปลี่ยนจากการใช้ก๊าซฝั่งตะวันตกไปใช้ก๊าซฯตะวันออกที่ปริมาณ 215 ล้านลบ.ฟุตต่อวันและลดปริมาณการใช้ก๊าซที่ โรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรีลง 90 ล้านลบ.ฟุตต่อวัน แล้วเปลี่ยนไปใช้น้ำมันเตาและหรือลดปริมาณการใช้ก๊าซที่วังน้อยลงอีก 20-70 ล้านลบ.ฟุตต่อวัน อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับว่ากฟผ.จะเลือกใช้น้ำมันเตาที่โรงไฟฟ้าราชบุรีหรือ บางปะกง
      ปี 2553 โรงไฟฟ้าพระนครเหนือยูนิต 1 เข้าระบบฝั่งตะวันตกมีความต้องการใช้ก๊าซฯเพิ่มขึ้นอีก 125 ล้านลบ.ฟุตต่อวันทำให้ต้องเปลี่ยนการใช้ก๊าซฯโรงไฟฟ้าวังน้อยไปใช้ก๊าซฯในอ่าวไทยทั้งหมด และหากมีก๊าซเหลือจึงไปเพิ่มการการใช้ก๊าซฯที่โรงไฟฟ้าความร้อนราชบุรี
ปี 2554-2555 โรงไฟฟ้าใหม่ส่วนของการรับซื้อไฟจากไอพีพี ที่จะเข้าระบบ 3 โรงต้องการใช้ก๊าซฯเพิ่มขึ้นอีก 300 ล้านลบ.ฟุตต่อวันแต่ในระบบตะวันตกมีก๊าซฯเหลือจำนวน 100-150 ล้านลบ.ฟุตต่อวัน ดังนั้นจึงทำให้ก๊าซฯฝั่งตะวันตกเพียงพอสำหรับโรงไฟฟ้าใหม่เพียง 1 โรง ส่งผลให้ปตท.จะต้องจัดหาก๊าซฯแหล่งใหม่เพิ่มเติมคือแหล่ง M 9 เท่ากับ 300 ล้านลบ.ฟุตต่อวันและติดตั้งคอมเพรสเซอร์เพื่อให้มีก๊าซฯเพียงพอสำหรับโรงไฟฟ้าใหม่อีก 2 โรง
      จะเห็นว่าความเสี่ยงจากการใช้ก๊าซฯ ผลิตไฟที่สูงกว่า 70% กำลังเป็นปัญหาด้านการจัดหาที่ไม่ทันรองรับ และความต้องการของไทยโตปีละ 5% แต่ก๊าซในอ่าวไทยกำลังนับถอยหลังลดลงปี 2551 จะลดลง 50 ล้านลบ.ฟุตกรณีไม่ค้นพบใหม่ๆ เลย และกรณีที่การจัดหาก๊าซจากแผนของปตท.คือ LNG ไม่เข้ามาภายในปี 2552 รวมไปถึงส่วนเกินจาก 3 ล้านตันและแหล่ง M 9แล้ว โรงไฟฟ้าจะทยอยพึ่งการใช้น้ำมันแทนตั้งแต่ปลายปี 2551 เป็นต้นไปซึ่งจะมีผลให้ค่าไฟสูงขึ้นมากและปี 2555 อาจกลายเป็นวิกฤติไฟฟ้าเพราะโรงไฟฟ้าวันนี้ที่จะสวิงไปใช้น้ำมันเตาได้หลักๆ มีเพียง 3 โรงคือบางปะกง กระบี่ และราชบุรีแหล่งข่าวกล่าว
      ***ปิยสวัสดิ์โยน ปตท.รับผิดชอบ
      นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รมว.พลังงาน กล่าวว่า กรณีที่ก๊าซอาจขาดแคลนในช่วงหนึ่งเพราะการจัดหาไม่ทันรองรับความต้องการนั้นก็เป็นไปได้หากมีการใช้อย่างปัจจุบัน โดยไม่ทำอะไรเลย ซึ่งการจัดหา LNG ของปตท.จะเข้ามาเสริมกับความต้องการในประเทศดังนั้น ปตท.คงจะต้องเร่งรัดนำเข้าให้ได้ตามแผนงานที่วางไว้ รวมไปถึงการเจรจาแหล่ง M 9 ของพม่าซึ่งมีความชัดเจนว่าคงจะไม่มีปัญหาอะไร
      สิ่งที่จำเป็นคืออีก 20 ปีถ้ายังคงเน้นการผลิตไฟจากก๊าซธรรมชาติอย่างเดียวคงขาดแน่ๆ การจัดหาก๊าซตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าหรือพีดีพีฉบับใหม่ก็น่าจะจัดหาได้ตามแผน ส่วนราคา LNG จะแพงหรือเปล่าคงไม่รู้แต่ก็จะดีกว่าน้ำมันเตาแน่นอน นายปิยสวัสดิ์กล่าว
      นายจิตรพงษ์ กว้างสุขสถิตย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลุ่มสำรวจและผลิตก๊าซธรรมชาติ บมจ.ปตท.กล่าวว่า ปตท.กำลังเร่งรัดการจัดหา LNG ซึ่งยอมรับว่ามีผู้เข้ามาซื้อในตลาดโลกทำให้แข่งขันสูง คาดว่าจะเข้ามาได้กลางปี 2554 พร้อมกับยังเร่งพัฒนาแหล่งก๊าซฯจากที่ต่างๆ เข้ามาเสริมด้วย เพราะไม่เช่นนั้นแล้วความต้องการใช้จะไม่เพียงพอ
      โดยขณะนี้กำลังที่จะเร่งเจรจาราคารับซื้อก๊าซจากแหล่ง M 9 ของพม่า ที่คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะเข้าระบบได้ประมาณปี 2554 ในปริมาณ 300-400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันก่อน นอกจากนี้จะเร่งพัฒนาแหล่งอาทิตย์ คาดว่าจะเข้าระบบในปี 2551 แหล่งเจดีเอในปี 2552 และแหล่งบงกชใต้ในปี 2554
      แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงานกล่าวว่า คงต้องติดตามปัญหาดังกล่าวอย่างใกล้ชิดเพราะความไม่แน่นอนในการจัดหามีสูงเนื่องจากราคาพลังงานของโลกปรับเพิ่มขึ้นมากและมีการแย่งกันซื้อพอสมควรทำให้ไทยซึ่งมีอำนาจต่อรองต่ำค่อนข้างมีปัญหา ซึ่งล่าสุดกระทรวงพลังงานจึงได้หันไปซื้อไฟฟ้าจากลาวมากขึ้นจาก 5,000 เมกะวัตต์เป็น 7,000 เมกะวัตต์เพื่อป้องกันปัญหาไว้ระดับหนึ่ง และได้เร่งรัดให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติเปิดให้การสัมปทานการสำรวจและขุดเจาะปิโตรเลียมในไทยให้มากขึ้น
      ***ขึ้นราคาขายปลีกยากฉุดค่าการตลาด
      นายธีรพจน์ วัชราภัย ประธานบริษัทเชลล์ในประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ปัญหาระดับราคาน้ำมันตลาดโลกที่สูงขึ้นส่งผลให้การปรับราคาขายปลีกของผู้ค้าในประเทศไม่ได้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เนื่องจากถูกกดดันจากผู้บริโภคและสังคม ดังนั้นหากราคาน้ำมันตลาดโลกยังสูงต่อเนื่องจนถึงสิ้นปีคาดว่า บมจ.ปตท.คงจะปรับราคาขายปลีกได้ยากซึ่งจะมีผลให้ค่าการตลาดช่วง 2-3 เดือนสุดท้ายปีนี้เฉลี่ยจะติดลบหรือไม่เกิน 50 สตางค์ต่อลิตรเท่านั้นซึ่งส่งผลให้ผู้ค้าน้ำมันต้องขาดทุน
      ค่าการตลาดที่คุ้มทุนจะอยู่ที่ประมาณ 1.50 บาทต่อลิตรสำหรับผู้ค้ารายเก่าและรายใหม่จะต้องอยู่ที่ประมาณ 1.80 บาทต่อลิตร แต่เฉลี่ยทั้งปีคาดว่าจะอยู่ประมาณ 1 บาทต่อลิตร ซึ่งก็ใกล้เคียงหรือดีกว่าปีแล้วเล็กน้อย ซึ่งเดิมคาดว่าจะดีกว่าแต่มาช่วงสิ้นปีน้ำมันตลาดโลกขึ้นไปมาก นายธีรพจน์กล่าว
      ทั้งนี้ เชลล์คงจะไม่เป็นผู้นำในการปรับเพิ่มราคาขายปลีกเช่นปีที่ผ่านมาโดยจะต้องรอ ปตท.ในฐานะรายใหญ่เนื่องจากการปรับราคาขึ้นนำมีผลให้เกิดการเสียส่วนแบ่งการตลาด อย่างไรก็ตามเชลล์ได้ปรับตัวด้วยการปรับปรุงปั๊มใหม่ที่มีอยู่ 570 แห่งแต่จะไม่มีการขยายเพิ่ม
      นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ปตท.กล่าวว่า คงต้องติดตามราคาน้ำมันตลาดโลกอย่างใกล้ชิดเนื่องจากมีการสวิงตัวสูงแต่ ปตท.จะไม่มีการปรับเปลี่ยนราคาในช่วงสัปดาห์นี้อีก เพื่อลดภาระให้กับประชาชน อย่างไรก็ตามราคาขายปลีกที่ปรับไปล่าสุดยังคงมีผลทำให้ค่าการตลาดต่ำอยู่หากน้ำมันตลาดโลกปรับขึ้นต่อเนื่องความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนยังมีสูง
      นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ขณะนี้บางจากต้องแบกรับภาระขาดทุนจากราคาน้ำมันประมาณ 3-4 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาขาดทุนสะสมไปแล้ว 100-200 ล้านบาท โดยค่าการตลาดน้ำมันทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ต้นปีเฉลี่ยอยู่ที่ 1 บาทต่อลิตร แต่เฉพาะเดือน ต.ค.ค่าการตลาดเฉลี่ยอยู่เพียง 50 สตางค์ต่อลิตรเท่านั้น
      จากบางจากจำหน่ายแก๊สโซฮอล์และไบโอดีเซล (บี5)ด้วย จึงทำให้ช่วยดึงค่าการตลาดขึ้นมา โดยค่าการตลาดของไบโอดีเซล (บี5)อยู่ที่ 20 สตางค์ต่อลิตร ส่วนค่าการตลาดแก๊สโซฮอล์เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 7-8 สตางค์ต่อลิตร แม้ว่าจะอยู่ในระดับต่ำแต่ก็ยังไม่ติดลบเหมือนกับค่าการตลาดเบนซินและดีเซลที่ติดลบ 40-50 สตางค์ต่อลิตร นายอนุสรณ์กล่าว

news02/11/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ย. 02, 2007 1:13 pm
โดย chartchai madman
กฟผ.จ้องซื้อไฟกัมพูชาเพิ่ม

โพสต์ทูเดย์ กฟผ.เล็งซื้อไฟจากโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินในเขมร 3 พันเมกะวัตต์ เสริมความมั่นคงทางพลังงาน


นายสมบัติ ศานติจารี ว่าที่ผู้ว่าการการไฟฟ้าไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) กล่าวว่า กฟผ.มีแผนรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าถ่านหินในกัมพูชา ซึ่งมีกำลังการผลิตจำนวน 3 พันเมกะวัตต์ โดยเบื้องต้นได้เห็นชอบในหลักการกับทางกัมพูชาแล้ว โดยอยู่ระหว่างการเจรจาหาผู้ร่วมทุนและกำหนดสัดส่วนลงทุนให้ชัดเจน

ทั้งนี้ คาดว่าจะมีจีนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ที่เหลือเป็นรัฐบาลกัมพูชา และ กฟผ.ในฐานะที่เป็นผู้รับซื้อไฟฟ้าทั้งหมด มีมูลค่าของโครงการประมาณ 4.2-4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.42 1.53 แสน ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชามีข้อตกลงที่จะให้ความช่วยเหลือ ร่วมมือกันเรื่องพลังงานมานานแล้ว แต่ไม่ได้กำหนดจำนวนเมกะวัตต์ที่ชัดเจน ถือว่าโครงการนี้จะเป็นโครงการแรก โดยก่อนหน้านี้เคยเสนอให้ กฟผ.ซื้อไฟฟ้าจำนวน 1.4-1.6 พันเมกะวัตต์ แต่มาเพิ่มเป็น 3 พันเมกะวัตต์

โรงไฟฟ้าถ่านหินมีต้นทุนการผลิตต่ำ ค่าไฟฟ้าจะถูกเมื่อเทียบกับการใช้เชื้อเพลิงอื่น โดยคำนวณจากต้นทุนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเบื้องต้นประมาณ 1.4-1.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ต่อ 1 เมกะวัตต์ นายสมบัติ กล่าว

สำหรับการซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าถ่านหินในประเทศเพื่อนบ้าน เป็นทางเลือกหนึ่งในการจัดหาไฟฟ้ามารองรับความต้องการใช้ในประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหากมีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินขึ้นในประเทศจะมีปัญหาอย่างมาก ดังนั้นการซื้อไฟจากต่างประเทศจะเป็นการแก้ไขปัญหา

นอกจากโครงการนี้แล้ว ตามแผน กฟผ.ยังจะรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินหงสาลิกไนต์ในลาวด้วย 1.8 พันเมกะวัตต์ ซึ่งโครงการนี้จะเข้าระบบก่อนโครงการของกัมพูชา

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า กฟผ.จะรับซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศจำนวนมาก แต่เชื่อว่าจะไม่มีปัญหาต่อเรื่องความมั่นคงด้านระบบไฟฟ้า เนื่องจากสัดส่วนการรับซื้อไฟฟ้ารวมกันทั้งหมดยังไม่เกิน 20% ของปริมาณการผลิตไฟฟ้าทั้งประเทศ

สำหรับโครงการรับซื้อไฟฟ้าต่างประเทศที่ได้รับความเห็นชอบแล้ว ได้แก่ โครงการซื้อไฟฟ้าจากลาว มีจำนวน 7 พันเมกะวัตต์ โครงการซื้อไฟฟ้าจากจีน 3 พันเมกะวัตต์ และยังมีโครงการที่จะร่วมกับทางรัฐบาลพม่าและกัมพูชาอีกด้วย ซึ่งการซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศจะทำให้ประเทศไทยมีความมั่นคงในเรื่องของพลังงาน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=201186

news02/11/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ย. 02, 2007 1:28 pm
โดย chartchai madman
ร้องค่าตลาดน้ำมัน1บาทกระแสสังคมบีบห้ามขึ้น

โพสต์ทูเดย์ บางจาก-เชลล์ กระอัก กระแสกดดันไม่ให้ปรับราคาแม้น้ำมันโลกแพง คาดปีนี้ค่าตลาดเฉลี่ยลิตรละ 1 บาท ดีกว่าปีก่อน


นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม กล่าวว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันโลกที่อยู่ในระดับสูงขณะนี้ ส่งผลให้การดำเนินงานของธุรกิจค้าปลีกน้ำมันไม่ดีนัก โดยบางจากต้องแบกขาดทุนประมาณวันละ 3-4 ล้านบาท นับตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาขาดทุนสะสมไปแล้ว 100-200 ล้านบาท ซึ่งค่าการตลาดน้ำมันเฉลี่ย 3 ผลิตภัณฑ์ อยู่ที่ 1 บาท/ลิตร

ทั้งนี้ ค่าการตลาดเบนซินและดีเซลที่ติดลบอยู่ 40-50 สต./ลิตร แต่ยอดจำหน่ายแก๊สโซฮอล์และไบโอดีเซล (บี 5) ซึ่งมีค่าการตลาดที่ดีกว่า สามารถช่วยบริหารค่าการตลาดที่ติดลบขึ้นมาได้บ้าง โดยค่าการตลาดของ บี 5 อยู่ที่ 20 สต./ลิตร ส่วนค่าการตลาดแก๊สโซฮอล์เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 7-8 สต./ลิตร แม้ว่าจะอยู่ในระดับต่ำแต่ก็ยังไม่ติดลบ

ที่ผ่านมาค่าการตลาดน้ำมันต่ำจนต้องแบกรับภาระแล้ว 100-200 ล้านบาท แม้เบนซินและดีเซลจะ ติดลบก็ตาม แต่เชื่อว่าค่าการตลาดน้ำมันเฉลี่ยทั้งปีนี้ น่าจะอยู่ที่ 1 บาทต่อลิตร นายอนุสรณ์ กล่าว

นายธีรพจน์ วัชราภัย ประธานบริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ธุรกิจค้าปลีกน้ำมันช่วง 1-2 เดือนนี้ไม่ดีนัก ผลจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง แต่เชลล์ไม่สามารถปรับราคาขายปลีกให้สอดคล้องกับราคาในตลาดโลกได้ เนื่องจากบริษัท ปตท. ในฐานะ ผู้ค้ารายใหญ่ และบริษัทน้ำมันอื่นๆ ถูกแรงกดดันจากสังคมในเรื่องการปรับราคา เดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ค่าการตลาดน้ำมันขาดทุนเฉลี่ยไม่ถึง 50 สต./ลิตร บางช่วงติดลบ

ประเมินว่าปีนี้ค่าการตลาดน้ำมันเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ในระดับเพียง 1 บาท/ลิตร แม้จะดีขึ้นกว่าปีก่อน แต่ไม่คุ้มการลงทุน ค่าการตลาดที่เหมาะสมควรอยู่ที่ลิตรละ 1.50 บาทสำหรับผู้ลงทุนเก่า และอยู่ที่ลิตรละ 1.80 บาทสำหรับผู้ลงทุนใหม่
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=201190

news02/11/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ย. 02, 2007 7:21 pm
โดย chartchai madman
น้ำมันดิบนิวยอร์ก ซื้อขายสูงสุดทะลุ 96.24 เหรียญ เบรนท์ทะลุ 91.71 เหรียญ
ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ และเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ยังคงมีความผันผวนไม่สิ้นสุด โดยในรอบ 1 วันทำการที่ผ่านมา มีราคาซื้อขายสูงสุดระหว่างวัน กลายเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ของทั้ง 2 ตลาดสำคัญ โดยราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ ซื้อขายสูงสุดระหว่างวัน ทะลุบาร์เรลละ 96.24 เหรียญ ก่อนลงมาปิดที่กว่าบาร์เรลละ 93 เหรียญ ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ สูงสุดปิดทะลุกว่าบาร์เรลละ 91.71 เหรียญ ก่อนที่จะลงปิดต่ำกว่าบาร์เรลละ 90 เหรียญ

น้ำมันแพง ฉุดยอดขายรถ 2 ค่ายยักษ์สหรัฐร่วงลงถึง 2 หลัก
ยอดขายรถยนต์ในตลาดสหรัฐประจำเดือนตุลาคม พบว่า บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ ผู้ผลิตรายใหญ่อันดับ 2 และบริษัท ไครส์เลอร์ ใหญ่อันดับ 3 ในสหรัฐต้องประสบกับยอดขายที่ตกต่ำมากถึง 2 หลักในเดือนดังกล่าว โดยฟอร์ด มียอดขายตกลงมากถึง 13% สอดรับกับยอดขายของไครส์เลอร์ ที่ร่วงลงมากถึง 12% ในขณะที่ค่ายรถยนต์โตโยต้า สามารถพลิกยอดขายที่ตกต่ำในเดือนก่อนหน้านี้ ขึ้นมาเป็นยอดขายอันดับ 2 ของโลก ตามด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้นเพียง 1% ของเจนเนอรัล มอเตอร์ หรือจีเอ็ม สาเหตุจากน้ำมันมีราคาแพง

IEA ชี้จีนและอินเดีย ใช้น้ำมันดิบกว่า 67% ของทั่วโลก
นายฟาทิช ไบโรล หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ หรือไออีเอ เปิดเผยว่า ความต้องการใช้น้ำมันดิบของจีนแผ่นดินใหญ่ และอินเดียในปีนี้ เป็น 1 ในปัจจัยสำคัญที่มีส่วนผลักดันราคาน้ำมันดิบในตลาดสำคัญทั่วโลก สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ข้อมูลล่าสุด พบว่า 18 เดือนที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน มากกว่า 2 ใน 3 หรือ 67% ของการใช้น้ำมันดิบทั่วโลกมาจากทั้ง 2 ชาติที่กล่าวมา ที่สำคัญ ความต้องการใช้น้ำมันดิบของจีนแผ่นดินใหญ่ประเทศเดียว เท่ากับกำลังการผลิตทั้งหมดของประเทศซาอุดิอาระเบีย

รัฐบาลในชาติเอเชีย ประชุมปรับขึ้นราคาขายปลีกในประเทศ
รัฐบาลในประเทศต่างๆย่านเอเชีย ตัดสินใจใช้มาตรการที่แตกต่างกัน หลังราคาน้ำมันดิบในตลาดสำคัญทั่วโลก มีราคาพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 96 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ที่จีนแผ่นดินใหญ่ รัฐบาลจีน ตัดสินใจประกาศปรับขึ้นราคาขายปลีกหน้าปั้มน้ำมันทั่วประเทศอีก 10% ที่อินเดีย รัฐมนตรีคลัง และรัฐมนตรีพลังงานประชุมด่วนวันนี้ เพื่อตัดสินใจประกาศปรับขึ้นราคาขายปลีกในประเทศเช่นกัน สอดรับกับรัฐมนตรีพาณิชย์มาเลเซีย ส่งสัญญาณอาจปรับขึ้นราคาขายปลีกในวันนี้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news02/11/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ย. 02, 2007 7:22 pm
โดย chartchai madman
จีนประกาศขึ้นราคาน้ำมัน หลังต้นทุนพุ่งสูง จี้บริษัทในประเทศเพิ่มผลผลิต
รัฐบาลจีนประกาศขึ้นราคาน้ำมันเบนซิน ดีเซล และเชื้อเพลิงการบินเพิ่มอีก 500 หยวน (67 ดอลลาร์) ต่อตันในวันนี้ เนื่องจากต้นทุนน้ำมันดิบเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ รัฐบาลได้เข้าควบคุมราคาน้ำมันในตลาดในประเทศ เพื่อบรรเทาแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อ และคุ้มครองผู้บริโภคจากปัญหาราคาพลังงานโลกที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ปัญหาขาดแคลนน้ำมันเกิดขึ้นเนื่องจากผู้กลั่นน้ำมันบางรายได้หยุดการดำเนินงานเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุน ขณะที่ผู้ผลิตและดีลเลอร์บางรายได้กักตุนน้ำมัน
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx