Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.พ. 15, 2011 10:22 am
ขอบคุณรุ่นพี่ทั้งหลาย
ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมขยันทำการบ้าน
ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมขยันทำการบ้าน
เว็บบอร์ดการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้น วีไอ แนวทางลงทุน คลังความรู้หุ้นวีไอ แหล่งรวมนักลงทุนหุ้นวีไอที่ใหญ่ที่สุด พร้อมรับสมาชิก VIP มีหมวดลงทุน ร้อยคนร้อยหุ้น คอมเม้นและข้อมูลดีๆ จากนักลงทุนเน้นคุณค่าผู้มีประสบการณ์ ข้อมูล Oppday ของหุ้นวีไอ
https://v3.thaivi.org/
คนๆหนึ่งกว่าจะวิ่งได้ต้องล้มกี่ครั้งครับ และการล้มที่ผ่านๆมาถือว่าพลาดไหมครับnanchan เขียน:ผมว่าคำตอบคุณนริศก็ชัดเจนนิครับnaris เขียน:คำถามที่มีประโยชน์ ไม่ตอบคงไม่ได้ครับ นักลงทุนมาอ่านทีหลังจะได้เรียนรู้ทางลัดจากประการณ์ตรงของคนอื่นๆnanchan เขียน:ถามหน่อยได้ไม๊คุณนริศขายPtl ทำไม
ส่วนilink tnh nbc อาจขายเพราะเจอเรือลำที่ดีกว่าคงไม่ถามหละ
การขายหุ้นของแต่ละคนคงจะไม่มีใครถูกหรือผิดทั้งหมด กลยุทธ์ที่วางไว้ อาจจะผิดในบางกรณีและในบางโอกาส กลยุทธ์เดียวกัน อาจจะประสบความสำเร็จก็ได้
ขอเกริ่นก่อนนะครับ ที่คุณนันถามถึงptlนี่ในสมัยประมาณปี2551 ช่วงนั้นผมจำได้เลาๆว่าsisประมาณ4บาท ส่วนptlอยู่ราวๆ5บาทกว่าๆ(ที่จำได้เพราะมีน้องคนหนึ่งมาย้ำความจำนี้ให้ฟังอีกรอบเมื่อปีที่แล้ว แต่ถ้าจำผิดต้องขอโทษด้วย)
ในสมัยนั้น ผมกำลังไฟแรง แบบหมูไม่กลัวน้ำร้อนครับ อยากลองเล่นอะไรที่มันแรงๆเร็วๆในประเภทหุ้นโภคภัณฑ์ดู แต่พอลองถือครองดู ตอนนั้นถึงแม้นว่าจะถือไม่มาก กลับไม่มีความสบายใจในการถือครอง การถือครองหุ้นโภคภัณฑ์ในตอนนั้น ได้บทเรียนดีๆมาสองข้อครับ
1 จุดแข็งของผมคือเรื่องการมองหุ้นเติบโต และ หาหุ้นเทิร์น อะราวด์จากการเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจ ไม่ใช่หุ้นโภคภัณฑ์ ที่ผมยังโง่ในเรื่องนี้ เพราะผมไม่สามารถคาดการ์ณผลกำไรในอีก1-2ปีข้างหน้าเขาได้เลย
2 โดยส่วนตัว ผมจะชอบมีความสุขในระหว่างการเดินทาง มากกว่าความสุขที่ถึงเป้าหมายครับ
พอสรุปได้แนวความคิดอย่างนั้นแล้ว จึงเพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นที่ผมรู้และคำนวณกำไรออกในระยะยาว
และลดการถือครองหุ้นที่ทำให้ผมไม่มีความสุขครับ
1.แต่คุณนริศพลาดตั้งแต่แรกแล้วนะ คือ ถ้าคุณคิดว่าไม่เข้าใจหุ้นโภคภัณฑ์ คุณก็ไม่ควรลงทุนตั้งแต่แรก
ผมก็ไม่แน่ใจนะว่าคุณนริศมีหุ้นที่ตัวเองยังไม่เข้าใจถ่องแท้จริงๆแล้ว แสดงความมั่นใจออกไปมากเกินไปรึเปล่านะตอนนี้
ขนาดระดับคุณนริศยังพลาดได้ ผมว่ามือใหม่ๆที่พึ่งเข้ามาลงทุน
เราควรต้องสมมุติฐานที่มันเป็นกลางๆไว้เผื่อพลาดบ้างนะ
จะว่าไปมือเก่าๆที่ผมคุยด้วย บางทียังไม่เข้าใจผมเลยนะ บางทีassumptionคนเรามันไม่เหมือนกันด้วย
ดังนั้น จริตแต่ละคนก็สำคัญ
2.การมีความสุขในการเดินทางแต่ละคน แต่ละสถานการณ์มันก็ต่างกันไป จะใช้เราเป็นเกณฑ์ไม่ได้
ถ้าผมไม่ได้ลงทุนในSta,Ptlปีสองปีที่ผ่านมา ผมคงไม่มีความสุขเลยนะ
ย้อนกลับมาข้อ1 ทุกคน โดยเฉพาะมือใหม่ มีโอกาสพลาดกันได้ทั้งนั้น
ถ้ายึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง แล้วสิ่งที่ถูกต้องมันเกิดพลาดขึ้นมาหละครับ
คนเราต้องยึดทางสายกลาง ที่ไม่ประมาทนะครับ
nanchan เขียน:... มีโอกาสพลาดกันได้ทั้งนั้น
ถ้ายึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง แล้วสิ่งที่ถูกต้องมันเกิดพลาดขึ้นมาหละครับ
คนเราต้องยึดทางสายกลาง ที่ไม่ประมาทนะครับ
ผมพยายามจะตอบคำถามนี้ให้ได้ดีพอสมควรnokkrajok เขียน:รบกวนถามคุณ pak หน่อยค่ะว่ามีประสบการณ์ถือหุ้น turn around แล้วราคามันลงไปเรือ่ยๆไหมคะ จนเราหวั่นไหวว่ามันจะ turn จริงไหม
อันนี้ผมเห็นต่างนะBABY TERMITE เขียน: โดยส่วนตัวผมเชื่อว่า เวป THAIVI นี้ผู้ริเริ่ม น่าจะมีเจตนาสร้างขึ้นเพื่อ ส่งเสริม ให้ข้อมูลความรู้ด้านการลงทุนในเชิงคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก โดย ไม่น่าที่จะห้ามหรือปิดกั้น ความคิดที่ต่างออกไป หรือความคิดที่สามารถเป็นส่วนเสริมการลงทุนของทุกท่านได้ โดย มีการให้ความสำคัญกับการมองคุณค่าและปัจจัยพื้นฐานเป็นหลักเป็นแก่น
ที่ผมคิดอย่างนั้น ผมสังเกตุจากการตั้งชื่อห้องเอาน่ะครับ
ผมคิดว่าชื่อห้องเดิมก็น่าจะบอกชัดเจนนะครับว่า เจตนาของผู้ริเริ่มทำเวปนี้ขึ้นมาคืออะไร ชื่อห้อง การลงทุน "เน้น" คุณค่า "เน้น" ที่ปัจจัยพื้นฐานเป็น "หลัก"
นั่นแสดงว่าผู้ริเริ่มเดิมก็มองเห็นว่า น่าจะยังมีปัจจัยอื่นที่เป็นปัจจัยรอง ที่มีความสำคัญในการลงทุนให้ประสบความสำเร็จและมีความสุขอยู่ด้วย
ไม่งั้นตอนตั้งชื่อห้อง คงตั้งเป็น "การลงทุนแบบคุณค่า ที่ดูปัจจัยพื้นฐานเพียงอย่างเดียว" ไปแล้วมั้งครับ
สิ่งที่เราไม่รู้หรือไม่เชื่อ เราก็ไม่ควรดูถูกนะครับ ทุกสิ่งที่เกิดและคงอยู่มาได้เป็นระยะเวลานานไม่สูญสลายไป ย่อมมีจุดดีอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ถ้าไม่มีจุดดีเลยคงสูญหายไปหมดแล้ว แค่ว่า เรารู้หรือไม่รู้ เราจะใช้หรือไม่ใช้ ไม่มีถูกไม่มีผิดครับ
เรื่องโพสกันทุกวันพยายามให้หุ้นตัวเองactive เป็นสิ่งที่thaiviยุคหลังๆหลงผิดจริงๆBABY TERMITE เขียน:สวัสดีครับคุณ densin
สำหรับข้อที่ว่า เรื่องเทคนิคสามารถโพสท์ได้ทุกวัน เพราะราคาเคลื่อนไหวตลอดนั้น ผมมองว่าที่จริงแล้วยังเป็นเหตุเป็นผลในการโพสท์มากกว่า การโพสท์ปัจจัยพื้นฐานด้วยความถี่มากไม่ใช่แค่โพสท์ทุกวัน โพสท์วันละหลายๆครั้งซะด้วยซ้ำ ปัจจัยพื้นฐานมันเคลื่อนไหวเยอะขนาดนั้นเลยเหรอครับ มันขัดกับหลักการ vi ที่ผมเข้าใจมาตลอดน่ะครับ
สิ่งที่ผมอยากสื่อจริงๆ แล้วคือ ผมไม่อยากให้มีการรังเกียจกันครับ ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนแนวไหนก็เป็นนักลงทุนด้วยกันทั้งนั้นครับ แจมกันคุยกันน่าจะสนุกกว่านะครับ
สุดท้ายหลังจากสื่อไปแล้ว ผมก็เคารพกฎและกรอบของเวปครับ
ผมว่ามีคนออกมาเตือนนะครับ แต่สิ่งที่ได้รับจากการเตือนแต่ละครั้งทำให้หลายๆท่าน ก็คงไม่อยากเืตือนต่อไปมากกว่า พี่ densin คิดว่าอย่างไรบ้างครับ?densin เขียน: เรื่องโพสกันทุกวันพยายามให้หุ้นตัวเองactive เป็นสิ่งที่thaiviยุคหลังๆหลงผิดจริงๆ
เป็นการหาปัจจัยพื้นฐานระยะสั้น หลายครั่งสั้นกว่าพวกเก็งกำไรซะอีก
ไม่มีใครออกมาเตือน เมื่่อถืงเวลาก็ต้องรับกรรมไป
เรื่องแนวอื่นผมไม่ได้รังเกียจ แต่แปลกใจที่ทำไมไม่มีใครคิดจะทำเวบดีๆสำหรับแนวอื่นๆบ้าง
เผื่อผมจะไปเกาะเป็นแมงเม่าแนวอื่นๆบ้าง
วิธีการบ่มสมาชิกใหม่ของสมัยก่อนกับสมัยนี้มันต่างกันมาก คุณwoodyอยู่มานานน่าจะสังเกตุได้woody เขียน: ผมว่ามีคนออกมาเตือนนะครับ แต่สิ่งที่ได้รับจากการเตือนแต่ละครั้งทำให้หลายๆท่าน ก็คงไม่อยากเืตือนต่อไปมากกว่า พี่ densin คิดว่าอย่างไรบ้างครับ?
ส่วนเรื่องเวบแนวอื่นที่น่าสนใจ ผมขออนุญาตแนะนำพี่ densin ไปที่เวบนี้ครับ http://mangmaoclub.com/ มีครบทั้ง Method Mind และ Money Management ทั้งนี้ ถึง Method ระหว่าง Fundamental กับ Technical จะต่างกัน ผมว่าอีกสองส่วนก็สำคัญไม่แพ้กันครับ
ถ้าไม่พอแล้วเราควรจะทำอย่างไรหรือครับพี่ densin ปล่อยไปตามหลัก Caveat Emptor?densin เขียน:วิธีการบ่มสมาชิกใหม่ของสมัยก่อนกับสมัยนี้มันต่างกันมาก คุณwoodyอยู่มานานน่าจะสังเกตุได้woody เขียน: ผมว่ามีคนออกมาเตือนนะครับ แต่สิ่งที่ได้รับจากการเตือนแต่ละครั้งทำให้หลายๆท่าน ก็คงไม่อยากเืตือนต่อไปมากกว่า พี่ densin คิดว่าอย่างไรบ้างครับ?
ส่วนเรื่องเวบแนวอื่นที่น่าสนใจ ผมขออนุญาตแนะนำพี่ densin ไปที่เวบนี้ครับ http://mangmaoclub.com/ มีครบทั้ง Method Mind และ Money Management ทั้งนี้ ถึง Method ระหว่าง Fundamental กับ Technical จะต่างกัน ผมว่าอีกสองส่วนก็สำคัญไม่แพ้กันครับ
ไม่ว่าวิธีหาหุ้น การวิเคราะห์ การพยายามให้เพื่อนๆซื้อตามเร็วๆ
ไม่แน่ใจว่าการเตือนมีอยู่ในระดับไหน แต่ที่แน่ๆไม่พอ
ส่วนเรื่อง mangmaoclub เป็นแนวเวบblogการลงทุน ไม่ใช่แนวcommunity ครับ
แต่ผมก็เข้าบ่อยๆนะ
ผมไม่ได้อยากได้วิธีไหนเป็นพิเศษ แต่คุณก็บอกแล้วว่าคนเลิกเตือน แต่ยังมีคนยังทำอยู๋จนถึงทุกวันนี้woody เขียน: ถ้าไม่พอแล้วเราควรจะทำอย่างไรหรือครับพี่ densin ปล่อยไปตามหลัก Caveat Emptor?
ส่วนเรื่อง blog ไม่ใช่ community .... พี่ densin อยากจะได้เชิง interactive ใช่ไหมครับ? ถ้าเจอแล้วเดี๋ยวผมจะมาบอกนะครับ ขอเวลานิดนึง ^^
ครับ รู้ว่าไม่พอ แต่ถ้าไม่มี solutions ผมก็คิดว่าคงเป็นอย่างที่พี่ densin กังวลอยู่ต่อไปครับ ส่วนเรื่อง community ผมขอเสนออีกทางเลือกครับพี่ densin ลอง twitter ดูไหมครับ?densin เขียน:ผมไม่ได้อยากได้วิธีไหนเป็นพิเศษ แต่คุณก็บอกแล้วว่าคนเลิกเตือน แต่ยังมีคนยังทำอยู๋จนถึงทุกวันนี้woody เขียน: ถ้าไม่พอแล้วเราควรจะทำอย่างไรหรือครับพี่ densin ปล่อยไปตามหลัก Caveat Emptor?
ส่วนเรื่อง blog ไม่ใช่ community .... พี่ densin อยากจะได้เชิง interactive ใช่ไหมครับ? ถ้าเจอแล้วเดี๋ยวผมจะมาบอกนะครับ ขอเวลานิดนึง ^^
แสดงว่าไม่พอ
blogหมายถึงเจ้าของเวบเป็นคนตั้งเรื่อง สิทธิเหนือคนอื่นในการใส่content คนอื่นได้แต่comment
ส่วนcommunityต้องมีการเท่าเทียมในการใช้ทรัพยากรพอสมควร ในการแลกเปลี่ยนความเห็น
อะไรประมาณนั้น
twitter /Fb เป็นแบบ social media ไม่มีระบบที่จะตกผลึกความคิดให้คนรุ่นหลังwoody เขียน: ส่วนเรื่อง community ผมขอเสนออีกทางเลือกครับพี่ densin ลอง twitter ดูไหมครับ?
ขอบคุณครับเดียวลอง
ขอบคุณครับmprandy เขียน: ↑จันทร์ ก.พ. 14, 2011 4:45 pmไม่สน return rate เยอะ, ขอแค่ financial freedom ภายใน 14 ปีก็พอ.. ผมใช้สโลแกนนี้มาตลอดตั้งแต่แรกเป็นสมาชิกไทยวีไอแห่งนี้ จนเวลาล่วงเลยมา ผมก็ยังยึดมั่นกับสโลแกนเดิมไม่เคยเปลี่ยน เพราะผมเชื่อว่าถ้าเราตั้งเป้าหมายได้ถูกต้อง เราเลือกวิธีการไปสู่เป้าหมายได้ก็เพียงพอแล้ว ผมไม่สนใจตัวเลขว่าจะต้องตั้งเป้าหมายเลิศหรูอะไร การตั้งเป้าสูง ๆ นั้นทำให้เป็นจริงได้ยาก และการตั้งเป้าสูงกว่าความเป็นจริง ย่อมนำมาด้วยวิธีลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งเสี่ยงต่อความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นด้วย
คำถามของพี่นริศ จริง ๆ แล้วผมเคยตอบในกระทู้ http://board.thaivi.org/viewtopic.php?t=35604 ที่ฮงเคยถามผมสมัยวิกฤติเมื่อสองปีก่อนว่า ถ้าผมมองว่าปัญหา subprime ยังไม่จบ จะทำยังไงกับ port ระหว่างทยอยซื้อหุ้นที่เห็นว่ามี mos สูงแล้วเพราะไม่มีใครรู้จุด bottom หรือเลือก รอจนกว่าจะเห็นสัญญาณฟื้นตัวของ usa แล้วค่อยลงมือ
ผมตอบไปว่าผมเลือกอย่างแรก เหตุผลตอนนั้นคือ ผมยอมรับว่าผมรู้น้อย ผมมองไม่ออกว่าตลาดหุ้นจะเอายังไงต่อ (ทั้งที่ตอนที่ผมคุยกะฮง วิกฤติเพิ่งจะเริ่มไม่นาน) ในเมื่อผมไม่มีความรู้ในการคาดการณ์อนาคต สิ่งที่ผมทำได้คือ เลือก MOS ไว้ก่อน ถ้าผมเลือกถือหุ้นของกิจการที่มีความแข็งแกร่ง สูงมากเพียงพอที่จะผ่านวิกฤตินี้ไปได้ สุดท้ายมันจะกลับมา
ดังนั้นถ้าเราเลือกเดินทางแรก เราต้องมั่นใจในกิจการ และใน MOS ของกิจการมาก ในขณะที่คนเลือกทางเดินที่สอง เราต้องมีความรู้ในจังหวะของตลาดและภาพรวมของการลงทุน ทั้งสองวิธีเป็นหลักการที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการดูระดับจุลภาคที่ตัวกิจการ หรือมหภาคที่การเคลื่อนย้ายของเงินทุนและสภาพตลาด เพราะถ้าเรามองได้ถูกต้อง ผลลัพธ์มันจะออกมาเหมือน ๆ กัน
HMPRO เป็นหุ้นตัวแรกและตัวหลักที่ผมถือ และซื้อเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงเวลาแห่งวิกฤติ เป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนกับผมสูงมากเมื่อตลาดกลับมาเป็นกระทิง ผมเชื่อว่าพี่น้องสมาชิกในเวบนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก และไม่ทราบความเยี่ยมยอดของกิจการนี้ เมื่อตลาดให้โอกาสเราในการเป็นเจ้าของกิจการอันเยี่ยมยอด ในราคาที่ "ถูกเหลือเชื่อ" (P/E ของกิจการเมื่อผมซื้อมาก ๆ อยู่แถว ๆ 6 อันนี้ก่อนแตกพาร์ไปสองรอบ เทียบกับ growth ปีละ 20-30%) ย่อมไม่ควรจะพลาดโอกาสด้วยประการทั้งปวง
แต่เมื่อถามว่า ในขณะที่ประสบการณ์ของเรามากขึ้นในตอนนี้ และเรามีความรู้ทั้งสองทางข้างต้น ถ้าเราย้อนกลับไปได้อีกหน เราจะทำเหมือนเดิมไหม คำตอบผมอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้
การมองภาพย้อนหลังในอดีตนั้นย่อมมีความแจ่มแจ้งชัดเจนอยู่ในตัว เนื่องด้วยเหตุการณ์นั้นผ่านมาสมบูรณ์แล้ว การมองอนาคตต่างหากเป็นสิ่งที่ยาก ผมไม่รู้ว่าวิกฤติจะจบเร็ว และฟื้นตัวเร็ว ผมเองก็ไม่รู้ว่าถ้าตอนนั้นผมถือหุ้นตัวอื่น เช่นหุ้นเดินเรือ (ซึ่งมี P/E ต่ำกว่ามาก) ปัจจุบันผมจะเป็นอย่างไร ผมยอมรับตัวเองว่า ผลตอบแทนที่ตนเองได้มาในช่วง 2 ปีนี้ ส่วนหนึ่งอาศัย "โชค" ไม่มากก็น้อย เพราะดวงดีที่ตลาดกลับมาเร็ว และดวงดีที่จะไม่เจ๊งไปเสียก่อน เพราะไม่ได้ถือหุ้นกลุ่มเดินเรือเป็นต้น :lovl:
การลงทุนแนวคุณค่านั้น อาศัยการวิเคราะห์กิจการเป็นหลัก แต่จุดอ่อนสำคัญของนักลงทุนแนวนี้ โดยเฉพาะนักลงทุนที่มีประสบการณ์ไม่มากนัก คือการยึดมั่นถือมั่นในความคิดของตน (อีโก้สูง ว่ากันตรง ๆ) และมุมมองต่อตลาดว่าไม่เคยถูกต้อง ฉันต่างหากที่ถูก ถ้าได้อ่านสิ่งที่บัฟเฟตเขียน (Letters to Shareholders) ลองอ่านดี ๆ นะครับ บัฟเฟตบอกไว้ว่า Market is almost always right (หรือ efficient) ไม่ได้แปลว่า Market is always wrong (inefficient) หมายความว่า มีเพียงบางช่วงเวลาเท่านั้นนะครับ ที่ตลาดนั้นผิดหรือไม่มีประสิทธิภาพ และเราจงใช้จังหวะนั้นให้เป็นประโยชน์ แต่ไม่ได้ให้เราไปโทษว่า หุ้นฉันตกเพราะตลาดนั้นผิด ฉันต่างหากที่ถูกเสมอ ฯลฯ ผมคิดว่าสองปีนี้ตลาดเป็นกระทิงที่ยาวนาน เวลานี้ยาวนานกว่าปกติ (ถือเป็น anomaly อย่างหนึ่ง) และนานปีจะมีสักครั้งหนึ่ง ... จงอย่าลำพองใจว่าผลตอบแทนที่เลิศหรู 2 ปีที่ผ่านมาของเรา จะหมายถึงผลตอบแทนที่ดีอีกในปีนี้ หุ้นมีขึ้น ย่อมมีลงแน่นอน
บัฟเฟตบอกไว้เสมอว่า กฏข้อแรก อย่ายอมขาดทุน นี่คือกฏแห่งการลงทุนทุกแนวไม่ว่าแนวใด การขาดทุนอย่างหนักเท่าใด การฟื้นตัวของพอร์ทเรามันจะยากเป็นทวีคูณ เมื่อใดที่มุมมองของเราเริ่มผิดทางกับตลาด สิ่งที่เราควรจะมองก่อนคือ มีอะไรที่เรามองข้ามหรือผิดพลาดหรือไม่ ถ้าไม่ผิดก็แล้วไป แต่ถ้าผิดพลาด ก็ควรจะยอมรับความผิดพลาดนั้นมากกว่าจะจำทนกับสภาพ แล้วพยายามที่จะหลีกหนี หรือปกปิดความผิดพลาดนั้น เพราะลงท้ายการสูญเสียมันก็ยังเกิดขึ้นอยู่ดีไม่หายไป มีคนที่ผมนับถือคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า "จะมีประโยชน์อะไรที่เราจะดันทุรังคิดว่าเราถูกอยู่คนเดียว แล้วทนเห็นหุ้นตัวที่เราถือมันราคาร่วงเอาร่วงเอา ในขณะที่คนอื่นเขาคิดไม่เหมือนเรา ไล่ขายออกมาตลอดเวลา และลงท้ายคนที่บาดเจ็บที่สุดจากการลงทุนนี้ ก็คือตัวเรา"
ผมเริ่มลงทุนโดยอาศัยหลักการแห่งพื้นฐาน เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการลงทุน แต่ผมเชื่อว่า หลักการอื่นในการลงทุนนั้นสามารถใช้ได้ ใช้ร่วมกันได้ และใช้ร่วมกับการลงทุนแนวคุณค่าได้เสมอ ทุกวันนี้ผมใช้ทั้งเศรษฐศาสตร์มหภาค, การเคลื่อนไหวของเงิน, จิตวิทยาการลงทุน ฯลฯ ผสมกับการวิเคราะห์พื้นฐาน ทำให้ผมมีความมั่นใจ และมีความสุขในการลงทุนมากขึ้น นักลงทุนแต่ละคน มีหลักการที่ตนเองคิดว่าเหมาะสมกับตัวเองที่สุด ตราบใดที่รู้จุดอ่อน จุดแข็งของหลักการที่ตนเองใช้ การลงทุนย่อมให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ รู้จุดอ่อนจุดแข็ง และข้อจำกัดของตัวเองหรือยัง
picatos เขียน: ↑จันทร์ ก.พ. 14, 2011 8:01 pmอ่านที่พี่ mprandy แล้วฉุกใจให้คิด ให้ตระหนักได้ถึงบางเรื่อง เลยอยากขอต่อยอดสักเล็กน้อย...
ผมเชื่อว่า อีโก้ กับ กับอายุ โดยทั่วไปแล้วเป็นการแปรผันตามกันครับ... ยิ่งแก่ อัตตาตัวตนยิ่งสูง... ในขณะที่เด็กเล็กๆ จะเปิดรับสิ่งต่างๆ ได้มากกว่า... เลยเป็นที่มาขอคำว่า "ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก"... ผมเชื่ออย่างงั้นนะครับ... ดังนั้นผมเชื่อว่าคนยิ่งประสบการณ์มาก อีโก้ ยิ่งสูงตามครับ...
ทีนี้... เรื่อง Letter to Shareholders ที่พี่หมอยกมา ผมรู้สึกว่ามันขัดแย้งกับสิ่งที่ผมเข้าใจมาตลอด จึงอยากรบกวนพี่หมอช่วยแนะนำแหล่งที่มาเพื่อผมจะได้นำไปศึกษาหน่อยได้ไหมครับ?
คือ ที่ผมเชื่อมาตลอด ผมเชื่อว่า... แนวคิดแบบ VI จะเป็นพวกที่ไม่เชื่อในทฤษฎีทางการเงินสมัยใหม่ หมายถึง ไม่เชื่อใน Efficient Market ผมจำได้ว่า Buffet เคยเขียนบทความที่เรียกว่าโจมตีพวก Random Walk ด้วยซ้ำ... ในขณะที่แกรแฮมเป็นคนบอกว่า ในระยะสั้น นาย ตลาด จะเหมือนคนโรคจิตอารมณ์แปรปวน แต่ในระยะยาวแล้ว ราคาจะเข้าสู่มูลค่า (คล้ายๆ กับว่านายตลาด พึ่งจะรู้ตัวว่ากำลังบ้าอยู่ เลยรู้จักที่จะควบคุมสติอารมณ์ของตัวเองซะบ้าง)...
อย่างไรก็ตาม การที่เราเชื่อว่าตลาดผิด ไม่ได้หมายความว่า ฉันถูก... ฉันจะถูกได้ ก็ต่อเมื่อ ฉันพิจารณาการลงทุนอย่างมีสติ อย่างรอบคอบ และลงทุนในราคาที่มี MOS สูงมากเพียงพอ เพื่อลดความเสี่ยงจากมูลค่ากิจการมันเปลี่ยนแปลงตามเหตุ-ปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวัน...
ที่นี้... มาเรื่องการวัดถูกผิดของ VI ... ผมว่าแนวคิดของ VI แท้ๆ คือ การซื้อหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่า ที่มี MOS มากเพียงพอ ซึ่งจะทำให้เรากำไรทันทีที่เราซื้อหุ้น แม้พื้นฐานกิจการที่เราประเมินมันอาจจะผิดไปบ้างเป็นปกติ เราก็ยังมี MOS มาช่วยชดเชยความเสี่ยงรองรับอยู่ (มูลค่ากิจการที่เราเอามาใช้ในการประเมินมูลค่ากิจการเพื่อหา MOS ต้องเป็นมูลค่ากิจการในกรณี Worst Case เท่านั้น ไม่ใช่เอา Base Case หรือ Best Case มาหา Upside แล้วเรียกมันว่า MOS)
ดังนั้นในการวัดถูกผิดของ VI น่าจะวัดกันที่ ตัวพื้นฐานกิจการล้วนๆ ว่าเมื่อเวลาผ่านไปเมื่อเรามีข้อมูลเพิ่มขึ้น มูลค่ากิจการใหม่ที่เราคำนวณได้สูงขึ้นเรื่อยๆ หรือถ้าลดลง ก็ไม่ได้ลดลงไปต่ำกว่าราคาที่เราซื้อในตอนแรก... อันนี้คือวิเคราะห์ถูก... แต่ถ้าเกิดมันผิดคาดไปหมด มูลค่ากิจการใหม่ แม้แต่ MOS ที่เรามาเผื่อไว้ก็ไม่พอ... อันนี้คงต้องพิจารณาตัวเอง
ยกตัวอย่างเช่น ผมลงทุนหุ้นตัวหนึ่งได้กำไรมากพอสมควรและได้ขายทำกำไรไปแล้ว แต่พอเวลาผ่านไป ข้อมูลจากกิจการที่เปิดเผยออกกลายเป็นว่าที่มูลค่ากิจการที่เราคิด มันผิด จริงๆ แล้ว มูลค่ากิจการมันไม่ได้สูง ไม่มี MOS เลย ผมวิเคราะห์มูลค่ากิจการพลาด แต่ผมแค่โชคดีที่ขายได้กำไร อันนี้ผมเรียกว่าผมผิด... ในทางตรงกันข้าม ผมอาจจะขายขาดทุน แต่ผมอาจจะวิเคราะห์ถูกก็ได้...
ดังนั้นผมเชื่อว่ามุมมองถูกผิดของ VI อยู่ที่การประเมินมูลค่ากิจการว่าออกมาได้ถูกต้องขนาดไหน ไม่ใช่ว่าขายได้กำไรหรือขาดทุน
สำหรับผลตอบแทน 2 ปีที่ผ่านมา... ถ้าพิจารณาตามเหตุ-ปัจจัย.... ผมคิดว่า ปีนี้ผมไม่ขาดทุนก็บุญแล้ว... แต่ความโลภที่อยู่ในใจมันเต้นเร่าๆ อยากได้จะผลตอบแทนเยอะๆ อีก ซึ่งมันก็เป็นการต่อสู้กับครับ ระหว่าง การควบคุมตัวเองให้ลงทุนอย่างมีสติ พิจารณาตามเหตุ-ปัจจัย กับ กิเลสที่คอยลากเราให้ไปทำอะไรเสี่ยงๆ อยากได้ผล แต่ไม่สร้างเหตุอยู่ตลอดเวลา... หวังว่าตัวผมเองจะมีความกล้าหาญ มีความพากเพียรพยายามในการต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้ และสามารถผ่านปีนี้ไปได้...
สุดท้ายประเด็นที่ผมฉุกคิด... คือ ความสัมพันธ์ของ ปัจจัย 3 ตัว 1) อีโก้ 2) เหตุ-ปัจจัย 3) อารมณ์ (ความโลภ-ความกลัว) กับการลงทุนแบบเน้นคุณค่า
ในการประเมินมูลค่ากิจการต้องมองทะลุไปเห็นถึง เหตุ-ปัจจัย ของกิจการ เฉพาะ สิ่งที่เป็นสาระของกิจการ อาจกล่าวได้ว่า เราต้องมองข้ามสิ่งปรุงแต่งที่เป็นบัญญัติธรรม เข้าไปให้ถึง ความจริงแก่นแท้ของกิจการที่เป็นปรมัตถธรรม อย่างไรก็ตาม เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก... ใบไม้ในป่ามีมากมายมหาศาล จะมองทะลุเลือกหยิบใบไม้เพียงกำมือเดียว ซึ่งเป็นแก่นแท้แห่งธรรมะอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนเรื่อง อริยสัจจ์ 4 กับสงฆ์สาวกย่อมไม่ง่ายนัก
บ่อยครั้งที่ผมถูกอารมณ์ของตลาด หลอกล่อและชักนำ ให้เห็นผิดไปจากความเป็นจริง... บ่อยครั้งที่ผม Simplify เรื่องต่างๆ ของกิจการผิดพลาด จนไปหยิบกระพี้มาเป็นสาระ แทนที่จะเข้าถึงแก่น... และเมื่อมีคนเตือนด้วยความหวังดี... แต่เรากลับยึดอัตตา มีอีโก้ ไม่ยอมรับความเห็นที่แตกต่างเข้ามาพินิจ พิเคราะห์ ให้เกิดประโยชน์
และที่สำคัญ... บ่อยครั้งที่เชื่อคนอื่นง่ายจนเกินไป...
ยากจังเนอะ... การลงทุนที่จะลงทุนโดยมีสติ ลงทุนตามเหตุ-ปัจจัย โดยไม่ใช้ อคติ อารมณ์ชั่ววูบ และมีอัตตาน้อยๆ... ผมรู้ว่ามันยาก แต่ผมก็จะพยายามต่อไปครับ...
ยังไงก็ขอขอบคุณ และน้อมรับคำแนะนำตักเตือนจากพี่หมอ mprandy นะครับ... จะพยายามระมัดระวัง ไม่ให้อัตตาของตัวเองเติบใหญ่จนเกินไป... และหวังว่าจะได้รับความปรารถนาดีจากพี่เช่นนี้อีกในอนาคตครับ
สมัยก่อน ผมรู้สึกว่่า กฎของบัฟเฟตว่าด้วยเรื่องอย่าขาดทุน ช่างขัดแย้งกับการที่บัฟเฟตบอกว่า ถ้าทนเห็นหุ้นตัวเองลง 50% ไม่ได้ ก็อย่างริอาจเป็นนักลงทุน...
แต่หลังๆ พอมานั่งคิดจริงๆ... ผมคิดว่าคำว่าขาดทุนของบัฟเฟต์ ไม่ได้หมายถึง การขาดทุนทางบัญชี (Mark-To-Market Loss) นะครับ... แต่หมายถึง การที่เราประเมินมูลค่ากิจการพลาด หรือซื้อกิจการในมูลค่าที่มี MOS น้อยจนเกินไปมากกว่า... ถ้าผมจำไม่ผิด ตอนที่บัฟเฟต์เข้าซื้อกิจการหลายๆ กิจการ หลังจากที่บัฟเฟต์ซื้อเสร็จ หุ้นมันก็ยังลงต่อ แต่พอเวลาผ่านไป มันก็เข้าหามูลค่า
ด้วยเหตุนี้... ผมคิดว่าเราไม่ควรจะตีความว่า "ขาดทุน" ของบัฟเฟต เป็น MTM Loss ครับ...
ทีนี้... ก็กลับมาที่คำถามเดิมล่ะครับ... มูลค่ากิจการที่เราคำนวณได้ มันสมเหตุสมผลหรือไม่... มันเป็นเพียงแค่ อีโก้ หรือ อารมณ์ชั่ววูบรึเปล่า? แล้วก็มาจบที่คำถามว่า... เราเข้าใจกิจการนี้จริงๆ รึเปล่า?
ผมเชื่อว่า... ความสามารถที่แท้จริงของบัฟเฟต ไม่ใช่ความสามารถในการเลือกหุ้น หรือการซื้อขายหุ้น แต่เป็นความสามารถในการปฎิเสธโอกาสในการลงทุนที่เขาไม่เข้าใจมากกว่าครับ...
ขอให้หุ้นที่ผมถืออยู่... เป็นหุ้นที่ผมเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่ แค่คิดว่าตัวเองเข้าใจทีเถอะครับ...