หน้า 49 จากทั้งหมด 160

ขอความเห็นหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 12, 2005 1:31 pm
โดย ztep
:P คิดอย่างไรบ้างกับบริษัทที่ยังเพิ่งดำเนินงานแต่มีผู้บริหารเจ๋งๆอย่าง
Oishi work และมีบางบริษัทที่ตัวเลขต่างๆสวยเข้าหลักเกณฑ์ แต่ผมไม่เข้าใจธุรกิจแบบแจ่มแจ้งอย่าง Ahc upoic metco รบกวนคุณวิบูลย์ขอความเห็นเกี่ยวกับความสามารถทางธุรกิจของบริษัทเหล่านั้นด้วยครับ :o

ขอคิดด้วยคนครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. เม.ย. 14, 2005 12:27 pm
โดย ztep
มีคำถามถึงทุกท่าน แต่ยังไม่มีคำตอบกลับมาครับ ผมถามครับว่าในฐานะที่ท่านเป็นนักลงทุนคุณค่า ท่านอยากเห็นหุ้นของบริษัทของท่านมีราคาสูงหรือต่ำครับ????

:P ความเห็นผมคือขึ้นอยู่กับจังหวะครับ
คือถ้าตอนนั้นผมมีหุ้นตัวนั้นอยู่มากแล้วและมีสินทรัพย์สภาพคล่องต่ำ ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่ายๆ ก็อยากให้ราคาหุ้นตัวนั้นสูงขึ้น
แต่ถ้าตอนนั้นมีงดสดมาก ก็อยากให้สินทรัพย์ที่เราต้องการซื้อราคาตกลงไปมากๆ

ครับ จากคำถามของคุณ VIB007 ผมมีคำถามว่า อย่างที่ Buffett บอกไว้ว่าจะซื้อหุ้นที่ดีเมื่อราคาตกลงไปจากข่าวร้ายหรือสถานการณ์โดยรวมที่ทำให้นักลงทุนตระหนก ผมว่าพวก VI ที่เก่งและเป็นพันธุ์แท้ น่าจะมีปัญหากับเรื่องจังหวะการเข้าซื้ออย่างนี้มากกว่า ตัวผมเองก็ทำใจยากที่จะอดทนที่จะรอให้กิจการที่ผมรู้ว่าดีจริงๆ ว่าเมื่อไรมันจะตกซักที อยากทราบว่าคุณVIB007 ใช้วิธีอย่างไรในการตัดสินใจซื้อครับ เพราะบางครั้งเราซื้อไปแล้วมันตกก็อยากซื้ออีกแต่เงินหมดครับ

ปล หุ้นที่ถามข้างต้นผมพอมีข้อมูลอยู่บ้างครับลองหาจากบทวิเคราะห์แล้วมันก็ไม่ค่อยมีใครมาวิเคราะห์ ถ้าคุณVIB007พอมีข้อมูลอยู่บ้างก็อยากทราบน่ะครับ ไม่ได้ต้องการให้วิเคราะห์ให้น่ะครับ(อ่านที่คุณบอกว่าไม่ต้องการเป็นนักวิเคราะห์) แค่แชร์ข้อมูลน่ะครับ :lol:

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. เม.ย. 14, 2005 1:07 pm
โดย CK
ท่านอยากเห็นหุ้นของบริษัทของท่านมีราคาสูงหรือต่ำครับ????
ต่ำตอนซื้อ ปันผลเยอะๆ growth เพิ่มตลอด สูงตอนขาย

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. เม.ย. 14, 2005 4:07 pm
โดย VIB007
Welcome from Budapest!

I cannot type in Thai, but I can read your questions.

คิดอย่างไรบ้างกับบริษัทที่ยังเพิ่งดำเนินงานแต่มีผู้บริหารเจ๋งๆอย่าง
Oishi work และมีบางบริษัทที่ตัวเลขต่างๆสวยเข้าหลักเกณฑ์ แต่ผมไม่เข้าใจธุรกิจแบบแจ่มแจ้งอย่าง Ahc upoic metco รบกวนคุณวิบูลย์ขอความเห็นเกี่ยวกับความสามารถทางธุรกิจของบริษัทเหล่านั้นด้วยครับ

Oishi is good company, however it is rely on only one man.
K.Tan cannot be dead because no one can run the company anymore.
In the mean time, Greentea business is very attractive.
More competitors will join the game for sure.
I can´t see any sustainable marketshare for Oishi in the longterm.
In short term, Oishi is OK just for now.

For AHC, UPOIC, METCO
Better read form56-1 from SET.OR.TH. Please ask from current shareholder.
I do not own one of the above. Cannot comment.
METCO - K. CK can give you more info.
AHC - K.Thanwa can help cause he own some vehicle stocks.
UPOIC - No data.

ครับ จากคำถามของคุณ VIB007 ผมมีคำถามว่า อย่างที่ Buffett บอกไว้ว่าจะซื้อหุ้นที่ดีเมื่อราคาตกลงไปจากข่าวร้ายหรือสถานการณ์โดยรวมที่ทำให้นักลงทุนตระหนก ผมว่าพวก VI ที่เก่งและเป็นพันธุ์แท้ น่าจะมีปัญหากับเรื่องจังหวะการเข้าซื้ออย่างนี้มากกว่า ตัวผมเองก็ทำใจยากที่จะอดทนที่จะรอให้กิจการที่ผมรู้ว่าดีจริงๆ ว่าเมื่อไรมันจะตกซักที อยากทราบว่าคุณVIB007 ใช้วิธีอย่างไรในการตัดสินใจซื้อครับ เพราะบางครั้งเราซื้อไปแล้วมันตกก็อยากซื้ออีกแต่เงินหมดครับ

Greedy when other are fearful. Fearful when other are greedy.

Only one problem for most investors is PATIENCE.
If you do not have patience, you mostly find out that you have a problem with your purchasing timimg.

If you can develop your emotion with good valuation,
then you will know when is the time for you to ACT!
At that time, Cash is king. Spare it to use for great moment.
If you are out of it, just Wait and See.
Or if you are quick enough, short aginst port can be done with care.

Good Luck!
VIB007

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 18, 2005 2:48 pm
โดย NeoFace
Company Handbook หาได้ที่ไหนอ่ะครับ อยากได้มั่ง

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 18, 2005 5:25 pm
โดย VIB007
กลับมาแล้วครับเมื่อคืนนี้
เหนื่อยมาก
ยุโรปตะวันออกสวยมากครับ ค่าครองชีพไม่แพงเท่าตะวันตก
ไม่น่าเชื่อว่า ฮังการีจะมีรถไฟใต้ดินสายแรกของยุโรป (รองจากอังกฤษ)
เมื่อร้อยปีที่แล้ว สถานีอยู่ใต้ดินแค่ 3-4 เมตรเองครับ
เห็นแล้วทึ่ง ไม่จำเป็นต้องสร้างลึกๆเลย อยู่ใต้ถนนข้างล่างนิดเดียวเอง

ไวน์ถูกมากๆ ราคาขวดละร้อย
แต่คุณภาพคับแก้วเทียบเท่าไวน์ฝรั่งเศษขวดละพัน
หอบมาไม่ไหวหนักเกินไป

แต่บ้านเมืองโทรมไปหน่อย ไม่ค่อยได้บูรณะเท่าไหร่
ดูแล้วก็สวยไปอีกแบบ
ใครมีเวลาผมแนะนำไปที่เวียนนา ปราก และบูดาเปสครับ
เป็นสามเมืองที่ไม่น่าพลาดในยุโรปตะวันออก

NeoFace เขียน:Company Handbook หาได้ที่ไหนอ่ะครับ อยากได้มั่ง
หาดูได้ที่ร้านหนังสือของตลาดหลักทรัพย์ครับ
ชั้นล่าง อาคารตลท ใกล้ศุนย์ศิริกิตต์
lekpun เขียน: pls send file to
[email protected]
thanks
กระทู้นี้ไม่มีใบ้หวยนะครับ

อยากได้ต้องค้นคว้าศึกษาหาเอาเอง

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. เม.ย. 21, 2005 12:30 am
โดย chatchai
ตอนผมแต่งงานก็ไปเที่ยวที่บูดาเปส กับออสเตรียมาครับ เมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว

ไปออสเตรียแล้วไอยากกลับเลยครับ

ไปก่อนลดค่าเงิน ไปฮังการี ออสเตรีย สวิส ประมาณ 10 วัน ไม่ถึงสี่หมื่นเอง สมัยนี้คงไปไม่ไหว แพงขึ้นเยอะ แถมมีลูกอีกสอง ไปได้แต่ในประเทศ

นี่ก็เพิ่งกลับจากพัทยาครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. เม.ย. 21, 2005 12:53 pm
โดย ลูกอิสาน
คิดอย่างไรบ้างกับบริษัทที่ยังเพิ่งดำเนินงานแต่มีผู้บริหารเจ๋งๆอย่าง
Oishi work และมีบางบริษัทที่ตัวเลขต่างๆสวยเข้าหลักเกณฑ์ แต่ผมไม่เข้าใจธุรกิจแบบแจ่มแจ้งอย่าง Ahc upoic metco รบกวนคุณวิบูลย์ขอความเห็นเกี่ยวกับความสามารถทางธุรกิจของบริษัทเหล่านั้นด้วยครับ
ขอแสดงความคิดเห็นด้วยคนครับ

AHC เป็นของพี่สาวคนโต ตระกูลวานิช ซึ่งเรียนมาทางด้านการบริหารพยาบาลโดยตรง โดยรวมคุณภาพของผู้บริหารคงไม่มีปัญหา งบการเงินน่าจะสวยมาก แต่ติดตรงที่ไม่มีการขยายกิจการมากนัก ทำให้กำไรเพิ่มขึ้นได้ไม่มาก และในสถานการณ์ที่ธุรกิจด้านนี้มีการรวมตัวเป็นเครือข่ายมากขึ้น ทำให้โรงพยาบาลที่ไม่มีเครือข่ายเสียเปรียบครับ

UPOIC เพิ่งจะโดนซื้อโดยกลุ่มล่ำสูง และปัจจุบันขายสินค้าทั้งหมดให้ผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งผมไม่ค่อยสบายใจนัก ปริมาณการผลิตจริงลดลงตลอด คงเป็นผลจากการแข่งขันกันรับซื้อผลปาล์มสด สัปทานครึ่งนึงประมาณ 20,000 ไร่ ใกล้จะหมดอายุ สัปทานส่วนหนึ่งเป็นที่ธนารักษ์ทำให้ต้องจ่ายค่าเช่าย้อนหลังในไตรมาสล่าสุด 15 ล้านบาท หากดูโดยรวมๆ ผมคิดว่ามอง UVAN น่าจะดีกว่ามากครับ

METCO เป็นธุรกิจรับจ้างผลิต ทำให้อำนาจต่อรองน้อยครับ ทำให้กำไรไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้มาก ธุรกิจขยายได้โดยการลงทุนในเครื่องจักรใหม่ๆจำนวนมาก นอกจากนั้นยังต้องการเงินหมุนเวียนค่อนข้างสูง ทำให้ปันผลได้ไม่มาก แต่โดยรวมก็ดูดีครับ เสียแต่ว่าเดาผลประกอบการไม่ได้เลย :D
ครับ จากคำถามของคุณ VIB007 ผมมีคำถามว่า อย่างที่ Buffett บอกไว้ว่าจะซื้อหุ้นที่ดีเมื่อราคาตกลงไปจากข่าวร้ายหรือสถานการณ์โดยรวมที่ทำให้นักลงทุนตระหนก ผมว่าพวก VI ที่เก่งและเป็นพันธุ์แท้ น่าจะมีปัญหากับเรื่องจังหวะการเข้าซื้ออย่างนี้มากกว่า ตัวผมเองก็ทำใจยากที่จะอดทนที่จะรอให้กิจการที่ผมรู้ว่าดีจริงๆ ว่าเมื่อไรมันจะตกซักที อยากทราบว่าคุณVIB007 ใช้วิธีอย่างไรในการตัดสินใจซื้อครับ เพราะบางครั้งเราซื้อไปแล้วมันตกก็อยากซื้ออีกแต่เงินหมดครับ
ผมมองว่าถ้า Buffet เจอหุ้นดีราคาสาเหตุสมผลเค้าก็ซื้อเลยนะครับ
แต่หากเจอหุ้นที่ดีแต่ราคาแพง สถานการณ์ที่ดีที่สุดในการซื้อคือตอนมีข่าวร้ายครับ ผมลงทุน 100% เสมอ ดังนั้นหากเจอหุ้นที่ดีกว่า ผมก็จะสวิตท์ไปอีกตัวที่สนใจกว่าครับ แต่ไม่เคยถือเงินสดนาน เพราะคิดว่ายังมีหุ้นดีๆ ราคาสมเหตุสมผลเสมอในตลาดหุ้นไทยครับ อย่างตอนนี้ผมเจอหุ้นตัวนึงที่คิดว่าดีมาก งบการเงินแข็งแกร่ง มีความสามารถในการแข่งขัน มีปราการป้องกันคู่แข่ง ผู้บริหารดูดี ธุรกิจกำลังเติบโตอย่างมาก แต่ราคาหุ้นซื้อขายกันที่พีอีสูงลิบ ผมคงต้องรอต่อไป รอจนเคยชินแล้วครับ :D :D

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 22, 2005 3:33 pm
โดย Sriracha
พี่วิบูลย์คะ
น้องเพิ่งเข้าเป็นสมาชิกของwebboardนี้ โดยสมัครทันทีหลังจากอ่านกระทู้นี้เสร็จ พี่ๆในนี้เก่งกันทั้งนั้นเลย ... น้องเพิ่งเริ่มสนใจลงทุนในหุ้นหลังจากได้อ่านหนังสือของท่านดร.นิเวศน์แล้วพบว่า
ใช่เลยนี่แหละรูปแบบที่ชั้นอยากทำ (ก่อนหน้านี้มีทัศนคติต่อพวกเล่นหุ้นว่าเป็นพวก
นักพนันก็เลยไปซื้อลงทุนในกองทุนรวมแทน) พอเริ่มมีแรงบันดาลใจประกอบกับมีเงิน
สะสมอยู่แล้วจำนวนหนึ่งก็เลยเริ่มวิเคราะห์หุ้นตามความเข้าใจที่ได้จากหนังสือของท่านดร. ตอนนี้คิดว่าพร้อมที่จะเปิดพอร์ทของตัวเองแล้วแต่อยากรบกวนพี่วิบูลย์ช่วยวิจารณพอร์ท
์หุ้นที่น้องเลือกหน่อยเถอะคะว่าใช้ได้มั้ยตามหลักการvalue investment(เอาตามความเห็น
ของพี่นะคะ ... ห้ามบอกน้องว่า"คุณว่าดี พ้มก็เห็นดีด้วย" อะไรทำนองนี้นะคะ .. ฮิ ..ฮิ)
TBSP : 30% TMD : 25% STANLY : 15% สามตัวนี้กะถือยาวและจะลงทุนเพิ่มคะ
TOC : 20% OISHI : 15% สองตัวนี้คิดว่าใน1-2 ไตรมาสข้างหน้าจะไปได้ดี
(หุ้นโตไว) พร้อมที่จะถือต่อหรือเปลี่ยนตัวคะ ..... น้องขอขอบพระคุณพี่ล่วงหน้าคะ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 23, 2005 3:13 pm
โดย ลูกอิสาน
Sriracha เขียน:พี่วิบูลย์คะ
น้องเพิ่งเข้าเป็นสมาชิกของwebboardนี้ โดยสมัครทันทีหลังจากอ่านกระทู้นี้เสร็จ พี่ๆในนี้เก่งกันทั้งนั้นเลย ... น้องเพิ่งเริ่มสนใจลงทุนในหุ้นหลังจากได้อ่านหนังสือของท่านดร.นิเวศน์แล้วพบว่า
ใช่เลยนี่แหละรูปแบบที่ชั้นอยากทำ (ก่อนหน้านี้มีทัศนคติต่อพวกเล่นหุ้นว่าเป็นพวก
นักพนันก็เลยไปซื้อลงทุนในกองทุนรวมแทน) พอเริ่มมีแรงบันดาลใจประกอบกับมีเงิน
สะสมอยู่แล้วจำนวนหนึ่งก็เลยเริ่มวิเคราะห์หุ้นตามความเข้าใจที่ได้จากหนังสือของท่านดร. ตอนนี้คิดว่าพร้อมที่จะเปิดพอร์ทของตัวเองแล้วแต่อยากรบกวนพี่วิบูลย์ช่วยวิจารณพอร์ท
์หุ้นที่น้องเลือกหน่อยเถอะคะว่าใช้ได้มั้ยตามหลักการvalue investment(เอาตามความเห็น
ของพี่นะคะ ... ห้ามบอกน้องว่า"คุณว่าดี พ้มก็เห็นดีด้วย" อะไรทำนองนี้นะคะ .. ฮิ ..ฮิ)
TBSP : 30% TMD : 25% STANLY : 15% สามตัวนี้กะถือยาวและจะลงทุนเพิ่มคะ
TOC : 20% OISHI : 15% สองตัวนี้คิดว่าใน1-2 ไตรมาสข้างหน้าจะไปได้ดี
(หุ้นโตไว) พร้อมที่จะถือต่อหรือเปลี่ยนตัวคะ ..... น้องขอขอบพระคุณพี่ล่วงหน้าคะ
ไม่แน่ใจว่าพี่วิบูลย์จะสะดวกที่จะคอมเมนต์หุ้นรายตัวหรือเปล่า
แต่ผมจะลองให้ความเห็น ปัจจัยทางคุณภาพนะครับ
ซึ่งหาอ่านได้จากแบบฟอร์ม 56-1

TBSP บริษัทผลิตเช็ค เอกสารกันปลอม แบบฟอร์มธุรกิจ บัตรพลาสติค โดยรวมธุรกิจเหล่านี้มีคู่แข่งพอสมควรประมาณ 5 ราย แต่ละรายก็จะมีกลุ่มลูกค้าของตัวเอง ทำให้การแข่งขันไม่รุนแรงมาก แต่กำไรที่ทำได้ก็เป็นกำไรในอัตราปกติ ในอนาคตธุรกิจก็ขยายตัวไปตามภาวะเศรษกิจ ที่ราคา 96 บาทมีพีอีประมาณ 11 เท่า ก็ถือว่าไม่ถูกไม่แพง แต่มีข้อสังเกตุคือผู้ถือหุ้นรายหนึ่ง (TKS) มีการสะสมหุ้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ราคาคงไม่ตกลงมาก แต่กำไรไตรมาสสุดท้ายลดลงมาก ไม่ทราบว่ามีนัยยะอะไรหรือเปล่า

STANLY หุ้นเติบโตเร็วที่บางครั้ง ราคาหุ้นก็โตเร็วกว่ากำไรที่ทำได้ ทำให้ตอนนี้ต้องลดราคาลงมาบ้าง ปัจจุบันมีคู่แข่งรายเดียว ซึ่งเล็กกว่ามาก แต่ในอนาคตอาจจะเป็นหอกข้างแคร่ เพราะคู่แข่งนี้ถือหุ้นโดยโตโยต้า หากไทยจะกลายเป็นเมืองหลวงรถของเอเชีย อาจจะดึงดูดคู่แข่งให้เข้ามามากขึ้น แม้ว่าในปัจจุบันบริษัทจะเป็นรายใหญ่ และมีอำนาจต่อรองพอสมควร

ความเสี่ยงที่ผมคิดว่าสำคัญที่สุด น่าจะเป็นยอดขายรถ ที่ค่อนข้างผันผวน เป็นวัฤจักร ทำให้ในอดีต กำไรของบริษัทผันผวนตามไปด้วย แต่ในอนาคตหากมีการส่งออกรถยนต์มากขึ้น อาจจะลดผลกระทบนี้ไปได้บ้าง


TMD บริษัทผลิตถังเหล็ก 200 ลิตร ผลิตขวดเพ็ทพลาสติคลูกฟูก และให้เช่าสำนักงาน โดยรวมบริษัทอยู่ในตำแหน่งทางการตลาดที่ดีพอสมควร แต่ก็ไม่ได้มีปัจจัยอะไรที่เป็นข้อได้เปรียบคู่แข่งเช่นกัน เป็นหุ้นที่คุณภาพดี และราคาถูก ปัจจัยลบคือการก่อสร้างโรงงานแห่งไหม่ ในระยะสั้นคงทำให้เงินสดลดและหนี้เพิ่มขึ้น แต่ในระยะยาวน่าจะดี

TOC ช่วงนี้ราคาเอธิลีน-โปรพิลีน เริ่มอ่อนตัวลงมาบ้าง ราคาหุ้นกลุ่มนี้ก็เริ่มลดลง แม้ว่าบริษัทจะยังทำกำไรได้ แต่ถือหุ้นแล้วอาจจะนอนไม่หลับนะครับ เพราะ supply เริ่มเข้าสู่ตลาดมากขึ้นเรื่อยๆแล้วครับ

OISHI กระแสเงินสดบริษัทสูงมากๆครับ แต่ผมก็ไม่กล้าถือยาวเช่นกัน เพราะความเสี่ยงด้านผลิตภัณฑ์และผู้บริหาร ปีที่แล้วบริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้น 24 เท่า! แม้จะทำกำไรได้ดีมาก แต่ผมพอใจที่จะถือหุ้นบริษัทที่ทำกำไรได้ปกติ และบริหารงานโดยผู้บริหารที่เก่งปกติมากกว่าครับ :D

อยากเป็น VI พันธ์แท้ครับ

โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 23, 2005 7:21 pm
โดย crown
เพิ่งเข้ามาดูครับ ( สมาชิกใหม่ ) อยากเป็น VI มากครับ เริ่มซื้อหุ้นได้ TOP IPO ได้จัดสรร มา 2,000 ราคา 32 บาท ถ้าปล่อยไว้เฉย ๆ ตอนนี้คงกำไร 100 % แล้วครับ วันแรก ราคา 42 ขายเลยครับ ตกใจ แถมมาร์เก็ติ้งแนะให้ขายไปก่อน แล้วก็ซื้อๆ ขายๆ ตกใจ ขายขาดทุนหลายครั้ง ตั้งใจแบบคนเริ่มเล่นเลยครับ ตั้งใจตาม top ซื้อถูกขายแพง เพื่อลดราคาหุ้นที่ถือลง ( ตั้งใจลงทุน invest แต่เวลาจริง ๆ เป็น trading ไปซะชิบ ) แต่พอเอาจริงๆ ซื้อแพงขายถูก หลายครั้ง กว่าซื้อถูกขายแพง ตกลงเลยกำไรแค่ 30 % ตั้งใจหลายครั้งว่าจะถือยาวครับ แต่มันอดใจไม่ไหวครับ เวลาราคาตก รู้ว่าขาดทุน แล้วราคาอาจกลับมา แต่ก็ขายครับ เพราะกลัว ได้บทสรุปแบบมือใหม่ว่า ต้องมีรูปแบบที่ชัดเจนในการลงทุน เพราะตั้งใจว่าจะ VI แต่ พอเอาเข้าจริง ๆ 2 วัน ก็ขายแล้วครับ อ่านหนังสือแล้วก็สับสนครับ แนวคิดการซื้อโดยดูทางเทคนิค กับ VI มัตรงกันข้ามเลยครับ ขอถามนะครับ

1. VI มี cut loss ไหมครับ อ่านหนังสือหลาย ๆ เล่ม บอกว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด แล้วทำไม บัฟเฟ็ด บอกว่าครวจะทนได้เวลาหุ้นตกถึง 50 % ( ปรกติทั้ง ๆที่ รู้ว่าบริษัทดีแข็งแกร่ง 2-3% ก็ขายแล้วครับ ) และ ต้องไม่ขาดทุน แต่ถ้า cut loss ก็หมายความว่าขาดทุน แหงๆ
2. อายุ 39 ( ยังเลข 3 นะเนี่ย ) ตั้งใจว่าจะเป็น VI เต็มตัว ทุนเริ่มต้น 120,000 เก็บเดือนละ 10,000 - 15,000 ( 10 % ) ลงหุ้น และ 10,000 ธนาคาร จะพอเป็นไททางเวลา และ การเงินได้อย่างไรครับ สงสัยจังว่าพวกที่ลงทุนในห้น 100% ไม่ทำงานอื่นเลย เอาเงินจากไหนมาใช้จ่ายประจำวันครับi
3. ผมอ่าน อ่านก่อน รวยถาวรกว่าแล้วครับ ดีมาก q เลยครับ เดี๋ยวนี้ไม่อ่านหนังสือทางเทคนิคเลยครับ อ่านแต่ VI book กับหนังสืองบการเงิน หลายเล่ม รู้สึกว่ามีเหตุผลกว่ากันมาก ๆๆๆๆๆ เพื่อนผมชวนไปอบรม 50,000 บาท ผมรู้สึกว่าเสียดายเงินมาก สู้ซื้อหนังสือหรืออบรมเกี่ยวกับการอ่านงบการเงินจะดีกว่า ถูกกว่าด้วย แต่สงสัยว่า VI ดูพวก MACD MA RSI บ้างหรือเปล่าครับ ผมดูแล้วเสียสมาธิทุกที ดูแล้วอยากขายมากเลยเวลาหุ้นตก อยากซื้อมากเลยเวลาหุ้นขึ้น ดูทีไรอยู่ไม่เป็นสุข เลยครับ :lol:

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 23, 2005 7:26 pm
โดย crown
ลืมไปครับ ปลาย พฤษภาคม ผมก็จะไปยุโรป 10 วัน ทำอย่างไรดีกับหุ้นที่มีอยู่ครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 23, 2005 8:42 pm
โดย Stock Broker
crown เขียน:ลืมไปครับ ปลาย พฤษภาคม ผมก็จะไปยุโรป 10 วัน ทำอย่างไรดีกับหุ้นที่มีอยู่ครับ
ถ้ารักจะลงทุนแบบ VI จริงๆ ต้องคิดเสมือนว่าเข้าหุ้นส่วนทำกิจการกันจริงๆ
ถ้าคุณมีกิจการส่วนตัวอยู่ แต่จำเป็นต้องไปต่างประเทศ 10 วัน คุณคิดจะขายกิจการทิ้งก่อนมั้ยล่ะครับ?? ผมว่าแนวคิดของคุณยังห่างกับ VI มากครับ

ขออภัยด้วยที่วิจารณ์ตรงๆ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 23, 2005 8:50 pm
โดย ลูกอิสาน
เพิ่งเข้ามาดูครับ ( สมาชิกใหม่ ) อยากเป็น VI มากครับ เริ่มซื้อหุ้นได้ TOP IPO ได้จัดสรร มา 2,000 ราคา 32 บาท ถ้าปล่อยไว้เฉย ๆ ตอนนี้คงกำไร 100 % แล้วครับ วันแรก ราคา 42 ขายเลยครับ ตกใจ แถมมาร์เก็ติ้งแนะให้ขายไปก่อน แล้วก็ซื้อๆ ขายๆ ตกใจ ขายขาดทุนหลายครั้ง ตั้งใจแบบคนเริ่มเล่นเลยครับ ตั้งใจตาม top ซื้อถูกขายแพง เพื่อลดราคาหุ้นที่ถือลง ( ตั้งใจลงทุน invest แต่เวลาจริง ๆ เป็น trading ไปซะชิบ ) แต่พอเอาจริงๆ ซื้อแพงขายถูก หลายครั้ง กว่าซื้อถูกขายแพง ตกลงเลยกำไรแค่ 30 % ตั้งใจหลายครั้งว่าจะถือยาวครับ แต่มันอดใจไม่ไหวครับ เวลาราคาตก รู้ว่าขาดทุน แล้วราคาอาจกลับมา แต่ก็ขายครับ เพราะกลัว ได้บทสรุปแบบมือใหม่ว่า ต้องมีรูปแบบที่ชัดเจนในการลงทุน เพราะตั้งใจว่าจะ VI แต่ พอเอาเข้าจริง ๆ 2 วัน ก็ขายแล้วครับ อ่านหนังสือแล้วก็สับสนครับ แนวคิดการซื้อโดยดูทางเทคนิค กับ VI มัตรงกันข้ามเลยครับ ขอถามนะครับ
ดร.นิเวศน์ เคยเปรียบเทียบการลงทุนแบบเน้นคุณค่า
ว่าเหมือนการลดน้ำหนัก ที่ทุกคนรู้ว่าควรทำอย่างไร
แต่ความเป็นจริงก็คือยังมีคนน้ำหนักเกินอยู่ทั่วเมือง

ลงทุนในกิจการที่ดี มีความสามารถในการแข่งขัน
ซื้อที่ราคาสมเหตุสมผล หรือราคาส่วนลด
และถือตราบที่กิจการไม่เปลี่ยนแปลง
เป็นหลักการง่ายๆ ที่สมเหตุสมผล
ผมคิดว่าทุกคนก็รู้ว่าควรจะเป็นอย่างนั้น
แต่ความเป็นจริงเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก
เพราะผืนกับธรรมชาติของมนุษย์
ที่มักจะขายเมื่อหุ้นตกเพราะกลัว..
ซื้อในตอนหุ้นขึ้นเพราะกลัวตกรถ (โลภ)..
จึงเป็นการซื้อแพงขายถูกอยู่ร่ำไป (ผมเองก็มักจะเป็นอย่างนั้น :lol: )

คงต้องฝึกฝนที่จะยึดมั่นในหลักการครับ ผลลัพธ์ที่ได้คุ้มค่าแน่นอน
หลักการที่ผมยึดมั่นถือมั่นคือ..

เราต้องเชื่อว่าความมั่งคั่งของเรา จะต้องมาจากการเจริญเติบโตของธุรกิจไม่ใช่มาจากความผันผวนของราคาหุ้นครับ

1.VI มี cut loss ไหมครับ อ่านหนังสือหลาย ๆ เล่ม บอกว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด แล้วทำไม บัฟเฟ็ด บอกว่าครวจะทนได้เวลาหุ้นตกถึง 50 % ( ปรกติทั้ง ๆที่ รู้ว่าบริษัทดีแข็งแกร่ง 2-3% ก็ขายแล้วครับ ) และ ต้องไม่ขาดทุน แต่ถ้า cut loss ก็หมายความว่าขาดทุน แหงๆ
ขายทิ้งในกรณีที่พื้นฐานของธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปครับ หรือพบตัวที่น่าสนใจกว่า ที่วอร์เรนกล่าวไว้อย่างนั้น หมายถึงหากพื้นฐานของธุรกิจไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่อารมณ์ของตลาดอาจจะเปลี่ยนไป ทำให้ราคาหุ้นตกอย่างไม่สมเหตุสมผล ดังนั้นนักลงทุนควรจะต้องทำใจที่จะเห็นหุ้นที่ถือตกให้ได้ครับ

2. อายุ 39 ( ยังเลข 3 นะเนี่ย ) ตั้งใจว่าจะเป็น VI เต็มตัว ทุนเริ่มต้น 120,000 เก็บเดือนละ 10,000 - 15,000 ( 10 % ) ลงหุ้น และ 10,000 ธนาคาร จะพอเป็นไททางเวลา และ การเงินได้อย่างไรครับ สงสัยจังว่าพวกที่ลงทุนในห้น 100% ไม่ทำงานอื่นเลย เอาเงินจากไหนมาใช้จ่ายประจำวันครับi
เป็นไทได้ทุกคนแหละครับ หากเดินถูกทาง จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับทุนเริ่มต้น และการเรียนรู้ฝึกฝน ... คนที่เป็นไททางการเงิน ก็อาจจะใช้จ่ายจากเงินปันผลที่ได้ครับ หากใช้จ่ายเดือนละหมื่น ลงทุนในหุ้นที่มีผลตอบแทนเงินปันผล 10% สม่ำเสมอ มีเงินต้นสัก 1,200,000 ก็ได้แล้วครับ แต่ควรจะมีมากกว่านั้น เพราะบางครั้งก็ต้องเผื่อไว้กรณีที่เงินปันผลไม่เป็นไปตามที่เราคาด และจะได้มีเงินปันผลเหลือที่จะทบต้นต่อๆไปครับ ตามที่ผู้รู้แนะนำไว้ มีเงินต้นประมาณ 200 เท่าของรายจ่ายประจำเดือนครับ

3. ผมอ่าน อ่านก่อน รวยก่อนแล้วครับ ดีมาก q เลยครับ เดี๋ยวนี้ไม่อ่านหนังสือทางเทคนิคเลยครับ อ่านแต่ VI book กับหนังสืองบการเงิน หลายเล่ม รู้สึกว่ามีเหตุผลกว่ากันมาก ๆๆๆๆๆ เพื่อนผมชวนไปอบรม 50,000 บาท ผมรู้สึกว่าเสียดายเงินมาก สู้ซื้อหนังสือหรืออบรมเกี่ยวกับการอ่านงบการเงินจะดีกว่า ถูกกว่าด้วย แต่สงสัยว่า VI ดูพวก MACD MA RSI บ้างหรือเปล่าครับ ผมดูแล้วเสียสมาธิทุกที ดูแล้วอยากขายมากเลยเวลาหุ้นตก อยากซื้อมากเลยเวลาหุ้นขึ้น ดูทีไรอยู่ไม่เป็นสุข เลยครับ


ผมเคยศึกษาการวิเคราะห์ทางเทคนิคอยู่พักใหญ่ๆ เพราะเป็นศาสตร์ที่น่าหลงไหลครับ ความฝันสุดยอดของนักเทคนิคคือค้นพบ indicator ที่เค้าคิดว่า >>ใช่แล้ว<< เป็นเครื่องมือที่ค้นพบโดยตัวเค้าเอง และสามารถทำนายราคาหุ้นได้อย่างแม่นยำ แต่ก็นั่นแหละครับ หลังจากได้เรียนรู้การลงทุนอย่างแท้จริง ผมคิดว่าไม่ใช่ครับ มองไปคนที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ก็ไม่ได้ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค ผมคิดว่าการลงทุนแบบเน้นคุณค่าเป็นสิ่งที่ง่ายกว่าเยอะครับ แต่เราต้องมีทัศนคติที่ถูกต้องแค่นั้นเอง หากจะเรียนรู้ Technical analysis ก็ควรจะใช้เป็นเครื่องมือเสริมการวิเคราะห์ทางพื้นฐานมากกว่าครับ
แต่อย่าไปหมกมุ่นและเน้นมากนะครับ เพราะการลงทุนต้องซ้ายหรือไม่ก็ขวา ไม่มีแบบกลางๆ เราต้องมีแนวทางที่ชัดเจนและแน่นอนครับ
:D

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ เม.ย. 24, 2005 9:43 pm
โดย VIB007
Sriracha เขียน:พี่วิบูลย์คะ
น้องเพิ่งเข้าเป็นสมาชิกของwebboardนี้ โดยสมัครทันทีหลังจากอ่านกระทู้นี้เสร็จ พี่ๆในนี้เก่งกันทั้งนั้นเลย ... น้องเพิ่งเริ่มสนใจลงทุนในหุ้นหลังจากได้อ่านหนังสือของท่านดร.นิเวศน์แล้วพบว่า
ใช่เลยนี่แหละรูปแบบที่ชั้นอยากทำ (ก่อนหน้านี้มีทัศนคติต่อพวกเล่นหุ้นว่าเป็นพวก
นักพนันก็เลยไปซื้อลงทุนในกองทุนรวมแทน) พอเริ่มมีแรงบันดาลใจประกอบกับมีเงิน
สะสมอยู่แล้วจำนวนหนึ่งก็เลยเริ่มวิเคราะห์หุ้นตามความเข้าใจที่ได้จากหนังสือของท่านดร. ตอนนี้คิดว่าพร้อมที่จะเปิดพอร์ทของตัวเองแล้วแต่อยากรบกวนพี่วิบูลย์ช่วยวิจารณพอร์ท
์หุ้นที่น้องเลือกหน่อยเถอะคะว่าใช้ได้มั้ยตามหลักการvalue investment(เอาตามความเห็น
ของพี่นะคะ ... ห้ามบอกน้องว่า"คุณว่าดี พ้มก็เห็นดีด้วย" อะไรทำนองนี้นะคะ .. ฮิ ..ฮิ)
TBSP : 30% TMD : 25% STANLY : 15% สามตัวนี้กะถือยาวและจะลงทุนเพิ่มคะ
TOC : 20% OISHI : 15% สองตัวนี้คิดว่าใน1-2 ไตรมาสข้างหน้าจะไปได้ดี
(หุ้นโตไว) พร้อมที่จะถือต่อหรือเปลี่ยนตัวคะ ..... น้องขอขอบพระคุณพี่ล่วงหน้าคะ
ขอบคุณคุณลูกอีสานนะครับที่ช่วยตอบ
น้องSriracha คงได้คำตอบไปแล้วนะครับ

ส่วนผมคงไม่ชอบวิจารณ์พอร์ต
เพราะการตัดสินใจลงทุนอยู่ที่ตัวเราเอง
อาจารย์เบนจามิน เกรแฮมกล่าวไว้ว่า
"You're neither right nor wrong becuase others agree with you.
You're right because your facts and reasoning are right"

แปลเป็นไทยได้ว่า
"คุณไม่ได้ถูกหรือผิดเพราะคนอื่นเห็นด้วยกับคุณ
แต่คุณเป็นฝ่ายถูกเพราะข้อมูลและเหตุผลของคุณถูก"


ดังนั้นถึงผมจะบอกว่าหุ้นที่น้องซื้อดีหรือไม่ดี
ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะถูกต้อง
แต่ถ้าเราคิดว่าเราทำในสิ่งที่ถูกต้อง
ถึงแม้คนอื่นจะว่าผิด เราก็จะประสบความสำเร็จ

ความเห็นผมสำหรับน้องSriracha ก็คือ
หนึ่ง ลงทุนในบริษัทที่เรารู้จักและมองเห็นอนาคตได้ด้วยตัวเอง
จากข้อสังเกตุของผม น้องยังดูเหมือนไม่เข้าใจหุ้นที่ตัวเองตัดสินใจดีพอ
ทำการบ้านให้มากขึ้นก่อนตัดสินใจซื้อหุ้นสักตัว
ข้อผิดพลาดของคนส่วนใหญ่ คือ ซือก่อนแล้วหาข้อมูลทีหลัง
พอมีคนบอกว่าไม่ดีก็เขว
แต่ถ้ามีคนบอกว่าดี ก็จะมั่นใจเกินไป
ลองเปลี่ยนทัศนคติสักเล็กน้อย
เราคงไม่ต้องไปถามใครว่าพอร์ตเราดีหรือเปล่า

สอง อย่าเชื่อบทวิเคาระห์ของโบรกมาก
ดูเหมือนน้องจะอ่านบทวิเคาระห์ของโบรกแล้วซื้อตาม
โดยที่ยังไม่เข้าใจในการลงทุนนั้นๆดีพอ
โดยเฉพาะทีโอซี และโออิชิ
ซึ่งตอนนี้พวกโบรกกำลังเชียร์กันอย่างออกหน้าออกตา

การลงุทนในหุ้นอะไรก็ตาม
ถ้าเราไม่เข้าใจในธุรกิจนั้นจริงๆซะแล้ว
โอกาสที่จะประสบความสำเร็จแบบวีไอก็น้อยลงไปเท่านั้น

ถ้าผมแนะนำนะครับ
นำเงินสัก 20-30% ไม่เกิน 50% มาลองดูก่อน
ผ่านไปสามปี ไม่เจ๊ง ค่อยเอาเงินทั้งหมดที่มีมาลงในหุ้นได้ครับ
ดูเหมือนน้องยังต้องศึกษาอีกเยอะนะครับ

โอกาสในการลงทุนมีอยู่เสมอ ฉะนั้นไม่ต้องรีบ

บัฟเฟตบอกว่า "ซื้อหุ้นนะ ซื้อทางไปรษณีย์ยังทันเลย"

โชคดีครับ
Crown เขียน:เพิ่งเข้ามาดูครับ ( สมาชิกใหม่ ) อยากเป็น VI มากครับ เริ่มซื้อหุ้นได้ TOP IPO ได้จัดสรร มา 2,000 ราคา 32 บาท ถ้าปล่อยไว้เฉย ๆ ตอนนี้คงกำไร 100 % แล้วครับ วันแรก ราคา 42 ขายเลยครับ ตกใจ แถมมาร์เก็ติ้งแนะให้ขายไปก่อน แล้วก็ซื้อๆ ขายๆ ตกใจ ขายขาดทุนหลายครั้ง ตั้งใจแบบคนเริ่มเล่นเลยครับ ตั้งใจตาม top ซื้อถูกขายแพง เพื่อลดราคาหุ้นที่ถือลง ( ตั้งใจลงทุน invest แต่เวลาจริง ๆ เป็น trading ไปซะชิบ ) แต่พอเอาจริงๆ ซื้อแพงขายถูก หลายครั้ง กว่าซื้อถูกขายแพง ตกลงเลยกำไรแค่ 30 % ตั้งใจหลายครั้งว่าจะถือยาวครับ แต่มันอดใจไม่ไหวครับ เวลาราคาตก รู้ว่าขาดทุน แล้วราคาอาจกลับมา แต่ก็ขายครับ เพราะกลัว ได้บทสรุปแบบมือใหม่ว่า ต้องมีรูปแบบที่ชัดเจนในการลงทุน เพราะตั้งใจว่าจะ VI แต่ พอเอาเข้าจริง ๆ 2 วัน ก็ขายแล้วครับ อ่านหนังสือแล้วก็สับสนครับ แนวคิดการซื้อโดยดูทางเทคนิค กับ VI มัตรงกันข้ามเลยครับ ขอถามนะครับ

1. VI มี cut loss ไหมครับ อ่านหนังสือหลาย ๆ เล่ม บอกว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด แล้วทำไม บัฟเฟ็ด บอกว่าครวจะทนได้เวลาหุ้นตกถึง 50 % ( ปรกติทั้ง ๆที่ รู้ว่าบริษัทดีแข็งแกร่ง 2-3% ก็ขายแล้วครับ ) และ ต้องไม่ขาดทุน แต่ถ้า cut loss ก็หมายความว่าขาดทุน แหงๆ
คัตก็เมื่อรู้ว่าเราตัดสินใจผิด
หรือไม่ก็พื้นฐานกิจการเปลี่ยนแปลงอย่างถาวร

ถ้าไม่คัตก็หมดตัวได้
เช่น ถือหุ้นไฟแนนตอนลดค่าเงินบาท
Crown เขียน:2. อายุ 39 ( ยังเลข 3 นะเนี่ย ) ตั้งใจว่าจะเป็น VI เต็มตัว ทุนเริ่มต้น 120,000 เก็บเดือนละ 10,000 - 15,000 ( 10 % ) ลงหุ้น และ 10,000 ธนาคาร จะพอเป็นไททางเวลา และ การเงินได้อย่างไรครับ สงสัยจังว่าพวกที่ลงทุนในห้น 100% ไม่ทำงานอื่นเลย เอาเงินจากไหนมาใช้จ่ายประจำวันครับi
ลงหุ้นหมด 100% และไม่ทำงานคงใช้เงินปันผลมั๊งครับ

ส่วนของคุณCrown ผมแนะนำอย่างนี้แล้วกัน
ถ้าไม่ได้เก็บเงินเพื่อใช้จ่าย
ควรนำเงินมาลงทุนให้หมด
แทนที่จะเก็บเป็นเงินสดในแบงค์
แต่จะทำอย่างนั้นได้ต้องมีประสบการณ์ ความรู้ และหลักการที่ดีเสียก่อน

ช่วงแรกต้องลงทุนในความรู้ครับ และค่อยๆฝึกฝนไป อย่าใจร้อน

เงินไม่ใช่ประเด็น
เพราะคนส่วนใมหญ่คิดว่าต้องมีเงินถึงจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ได้
ถ้าผมบอกว่า
ความคิดคือเงิน
เงินไม่สำคัญเท่าความคิด

จะมีคนเชื่อผมมั๊ย

มีเงินไม่มีความคิด เงินก็อาจจะหมดไปได้
ไม่มีเงินแต่มีความคิด ก็มีเงินขึ้นมาได้


ลองไปคิดดูครับ

Crown เขียน:3. ผมอ่าน อ่านก่อน รวยถาวรกว่าแล้วครับ ดีมาก q เลยครับ เดี๋ยวนี้ไม่อ่านหนังสือทางเทคนิคเลยครับ อ่านแต่ VI book กับหนังสืองบการเงิน หลายเล่ม รู้สึกว่ามีเหตุผลกว่ากันมาก ๆๆๆๆๆ เพื่อนผมชวนไปอบรม 50,000 บาท ผมรู้สึกว่าเสียดายเงินมาก สู้ซื้อหนังสือหรืออบรมเกี่ยวกับการอ่านงบการเงินจะดีกว่า ถูกกว่าด้วย แต่สงสัยว่า VI ดูพวก MACD MA RSI บ้างหรือเปล่าครับ ผมดูแล้วเสียสมาธิทุกที ดูแล้วอยากขายมากเลยเวลาหุ้นตก อยากซื้อมากเลยเวลาหุ้นขึ้น ดูทีไรอยู่ไม่เป็นสุข เลยครับ
ถ้าอบรม 50,000 บาทในทางเทคนิค
ผมคงสั่งซื้อหนังสือทางอเมซอนได้เกือบ 50 เล่ม
เฉลี่ยเล่มละ 1,000 บาทเท่านั้นเอง
คุ้มค่ากว่ากันมาก

ถ้าอยากอบรม
ลองไปอบรมของตลาดหลักทรัพย์ดูซิครับ
ไม่กี่พันบาทเอง

ส่วนเรื่องเทคนิค ผมไม่รู้เรื่องสักนิดเดียวครับ

ขอบอกนิดนึงครับว่า
จอร์จ โซรอสเองยังบอกว่าเขาไม่ได้ใช้ Technical Analysis ครับ
Crown เขียน:ลืมไปครับ ปลาย พฤษภาคม ผมก็จะไปยุโรป 10 วัน ทำอย่างไรดีกับหุ้นที่มีอยู่ครับ
Financial Engineer เขียน:ถ้ารักจะลงทุนแบบ VI จริงๆ ต้องคิดเสมือนว่าเข้าหุ้นส่วนทำกิจการกันจริงๆ
ถ้าคุณมีกิจการส่วนตัวอยู่ แต่จำเป็นต้องไปต่างประเทศ 10 วัน คุณคิดจะขายกิจการทิ้งก่อนมั้ยล่ะครับ?? ผมว่าแนวคิดของคุณยังห่างกับ VI มากครับ

ขออภัยด้วยที่วิจารณ์ตรงๆ
เห็นด้วยกับคำตอบของคุณFinancial Engineer ครับ
ถ้าเป็นวีไอ เวลาสิบวันก็ไม่เห็นจะต้องทำอะไรนี่ครับ
พื้นฐานธุรกิจไม่ได้เปลี่ยนในสิบวัน

โชคดีครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ เม.ย. 24, 2005 11:26 pm
โดย crown
:D ขอบคุณทุกท่านที่แนะนำครับ โชคดีจริงๆ ที่มีโอกาสได้ศึกษาแนวคิด VI และได้มีโอกาส ได้ปรึกษาผู้มีความรู้และแนวคิดจริง ๆ เพราะ 6 เดือนที่ผ่านมา ถึงได้กำไรพอสมควรทีเดียว แต่ รู้ว่าฟลุกมากกว่าครับ รู้สึกไม่สบายใจ ไม่สามารถประเมินได้ว่าจะทำอย่างไรต่อ :roll: คิดว่าการลงทุนน่าจะมีเหตุผลกว่านี้ เพื่อน ๆ รอบตัวก็ไม่ได้คิดแบบ VI คุยแต่ tecnical ตลอดครับ ตอนนี้เลยขายหุ้นที่ไม่แน่ใจ แบบเสมอตัว เก็บไว้เล็กน้อยกับตัวที่น่าจะไม่เสียหาย download งบการเงิน จาก set.or.th ซื้อหนังสือ งบการเงิน มาอ่านหลายเล่มแล้วครับ ไม่อ่านเรื่องเทคนิคอีกเลย คงต้องเริ่มกันใหม่ ถ้ายังไม่รู้จักบริษัทดีพอ คงรอไปก่อน จะขอคำแนะนำไปเรื่อย ๆ ครับ ขอบคุณมากครับ :P

ขอบคุณคุณลูกอีสาน

โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 25, 2005 10:51 am
โดย ztep
:P ขอบคุณมากครับสำหรับการวิเคราะห์ ทำให้ผมได้มุมมองที่มากขึ้น ขอโทษทีที่ขอบคุณช้าไปหน่อย สำหรับผมแล้ว แต่ก่อนผมก็จะไม่ถือเงินสดไว้เหมือนกัน จะลงในตัวที่เห็นว่าดีและถูกในจังหวะนั้นโดยไม่รอข่าวร้ายใดๆ เพราะว่าเราเองก็ไม่สามารถทราบได้ว่าเมื่อไรข่าวร้ายจะมา และที่มาแล้วมันร้ายสุดๆหรือไม่ และถ้าถือเงินสดไว้ก็จะมีค่าเสียโอกาสเกิดขึ้น ตอนนั้นคิดว่า ลงไปก่อนแล้วค่อยสลับตัวถ้ามีจังหวะและโอกาส แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนความคิดว่า การถือเงินสดไว้และรอ ถึงแม้จะนานแสนนานที่จะมีข่าวร้าย ก็ดีกว่าการเอาเงินไปลงในหุ้นที่ราคาสมเหตุผลและเป็นกิจการที่ดี การรอคอยนั้นดีกว่า :lol:

ผมเคยโชคดีตอนที่มีข่าวร้ายของ tuf เรื่องราคาปลาทูนา ตอนนั้นซื้อได้แค่ 20 บาทเอง ถ้าถือไว้ตอนนี้ก็กำไร 50-60% แล้วมั้ง แต่ตอนนั้นผมยังอ่อนประสบการณืพออ่านเจอว่า tuf นั้นมีการขายหุ้นให้พนักงานผมก็กลัวเรื่อง dilute มาก ทั้งๆที่สัดส่วนมันไม่มากเลย เลยขายทิ้งไปหมดถึงจะได้กำไรแต่ก็ขาดทุนกำไรมหาศาลเลย ตอนนี้ผมก็ได้แต่เพียงรอกับรอให้หุ้นที่ผมเฝ้ามีข่าวร้ายเกิดขึ้นอีก รอครับ.......รอ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 25, 2005 1:32 pm
โดย Sriracha
ขอบพระคุณคุณพี่ลูกอีสานและคุณพี่วิบูรณ์มากคะ น้องจะถอยสักสองก้าวแล้วก้มหน้าก้มตาทำการบ้านเพิ่มอย่างที่พี่แนะนำนะคะ

พี่คะแล้วถ้างบการเงินแสดงให้เห็นว่าการดำเนินการยังดีอยู่แต่common senseของเราบอกว่าธุรกิจนั้นเริ่มจะfadeแล้ว ยกตัวอย่างAHC, NTV ซึ่งมีงบการเงินสวยมาก P/E แค่ 6, P/BV ต่ำกว่า 1 แต่ทิศทางบริษัทเริ่มจะเข็นไม่ได้ไกลอีกซักเท่าไหร่ (ยืนยันได้จากรายงานประจำปี2547ที่ผู้บริหารเริ่มออกอาการหนักใจ ... ที่จริงน่าใช้คำว่าพรั่นใจมากกว่านะคะ ...) ต้นเหตุคือนับแต่นี้ไปส่วนที่สร้างผลกำไรให้กับโรงพยาบาลอย่างเป็นกอบเป็นกำจะเปลี่ยนมาเป็น package สุขภาพ, ลูกค้าจากต่างประเทศ, บริการพิเศษ อย่างนี้แนวvalue investorควรทำอย่างไรคะ ในทางกลับกัน BH, BGH ซึ่งในอนาคตคงจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากรูปแบบที่กล่าวมาไปเต็มๆ แต่ตำราบอกว่ายังไม่ควรซื้อเพราะราคายังแพงอยู่มาก สัดส่วนหนี้สินก็ยังสูงอยู่ค่อนข้างมาก น้องจะเข้าไปซื้อหุ้นสองตัวนี้ได้เมื่อไหร่เล่าคะหากต้องรอให้ P/E ไม่เกิน 10-11, P/BV ไม่เกิน 3-4 ..... Value investor จะจัดการกับลักษณะเหตุการอย่างนี้ยังไงคะ หรือว่ารอ..ซึ่งในความเห็นของน้องไม่น่าจะมีโอกาสที่ BH, BHG จะมีราคาอยู่ในช่วง P/E, P/BV ดังกล่าวได้

ที่น้องยกตัวอย่างเรื่องcommon sense เพราะน้องเห็นว่าในบางครั้งงบทางการเงินจะช้าเกินไปสำหรับโอกาสที่ เราจะเข้าลงทุน ตัวอย่างเช่น OISHI เมื่อสองเดือนที่ผ่านมาน้องจะพบเป็นประจำเลยที่คุณลูกรบเร้าคุณแม่ให้เปิดฝา oishi เพื่อลุ้นเงินล้าน โดยคุณแม่กลายเป็นฝ่ายเดินท้องอืดช็อบปิ้งเพราะเล่นชาเขียวเกินขนาด เห็นขายดิบขายดีขนาดนี้น้องมาดงบการเงินก็พบว่าโอ้โห...ตัวเลขswingขึ้นจนไม่กล้านำมา
เป็นบรรทัดฐานในการคำนวณ (กลัวจะโอเวอร์ไปนะคะ) เห็นP/E ราวๆ 11 น้องฟันธงเดี๋ยวนั้นด้วย common sense เลยว่าถ้าซื้อตอนนี้ (25 บาท) แม้จะแพงไปหน่อยเมื่อใช้P/E ในขณะนั้น หรือถึงใช้ predicted EPS ตามgrowthในไตรมาสที่4ที่ผ่านมา(ซึ่งสูงมาก) ราคาก็ยังไมถือว่าถูก เดี๋ยว่พอประกาศผล
ไตรมาสแรกปี48 ตัวเลขรับรองสวยแน่ (เทียบที่ทุนซื้อ25บาท) อย่างนี้ต้องถือว่าตัวเลขผลประกอบการกว่าจะแจ้งออกมาก็ช้าไปแล้ว หากเรายึดวิธีวิเคราะห์แต่กับตัวเลขจะไม่เสียโอกาสตัวนี้ไปหรือ หรืออาจทำให้เราไม่สามารถถือหุ้นตัวนี้ได้สักทีเพราะราคามันวิ่งขึ้นจน P/E ไม่ต่ำลงสักที อย่างนี้ value investor จัดการอย่างไรคะ การใช้ common sense กับสิ่งที่เห็นได้ชัด (ตำตา)ขนาดนี้ถือว่าเสี่ยงจนผิดหลักการ value investmentหรือเปล่าคะ (น้องขอเน้นเรื่องการคิดวาดเหตุการเอาเองว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ กับการเห็นตำตาออกจากกันนะคะ)

ขอบพระคุณคุณพี่ทั้งสองเป็นอย่างสูงอีกครั้งนะคะสำหรับความกรุณาที่มอบให้

ถึงคุณพี่วิบูลย์คะ ...

น้องตั้งใจจะเป็น value investor ให้จงได้คะ การที่น้องรบกวนพี่ให้กรุณาวิจารณ์พอร์ท คำตอบที่จะได้รับทั้งบวกหรือลบไม่ได้ทำให้น้องหวั่นไหวจนซื้อหรือไม่ซื้อหรอกคะ ประเด็นหลักคือการที่ได้มี milestone สำหรับตรวจสอบสิ่งที่เราได้วิเคราะห์มา โดยเฉพาะจากพี่ๆซึ่งต้องถือว่าเป็นระดับผู้อาวุโสสำนัก น่าจะ้เป็นการช่วยในการตรวจสอบความรอบคอบ, ความครบถ้วนในข้อมูลและประเด็นที่สำคัญ ปรับทิศทางและแนวคิดในแนวvalue investorให้แม่นยำชัดเจนขึ้น โดยที่น้องไม่ต้องไป"ลองดู .. เดี๋ยวก็รู้เอง" เพราะบางครั้งคำตอบที่ถูกต้องอาจไม่ได้มาจากวิธีที่ถูกต้องก็ได้ ซึ่งน้องคิดว่าถ้าน้องใส่คำตอบผิด ก็ยังน่าจะได้คะแนนวิธีทำที่ถูกต้องบ้าง

ขอบพระคุณและสวัสดีคะ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 25, 2005 1:50 pm
โดย Sriracha
ขอแก้ไขตัวเลข P/Eและ P/BVของ AHC ของกระทู้ข้างบนคะ
P/E : 8 กว่า , P/BV : 1 นิดๆ

ตัวเลขP/E และP/BVเก่าของกระทู้ข้างบนเป็นของ PRANDA คะซึ่งก็คาใจอยู่ด้วยที่ งบการเงินดี ผลกำไรอืดลงไปนิด แต่ก็ไม่ขี้เหร่ แถมยังไปขยายกำลังผลิตเพิ่มที่จีน ซึ่งน่าจะทำให้ปีนี้ดีขึ้น มาติดตรงที่ไปออกwarrantซึ่งในหนังสือดร.นิเวศน์ก็เขียนไว้ชัดว่าไม่ชอบเพราะทำให้EPS dilute ไป อย่างนี้ใช่ value stock อยู่หรือเปล่าคะ (หรือว่าไม่ได้เป็นvalue stock มาตั้งแต่ก่อนออก warrant แล้ว ฮิ ..ฮิ..)

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 26, 2005 6:53 pm
โดย crown
ดูเขียว ยกแผงแล้วครับ ไม่เคยเห็นรายการทีวี พูดเรื่อง การลงทุนแบบ VI เลยครับ เห็นมีแต่นักวิเคราะห์ มาพูด บางวันก็ดี 3 วันต่อมาบอกว่าน่ากลัว ผีเข้า ผีออกยังไงชอบกล ขนาดพิธีกร ดูท่าจะไม่เชื่อเลยครับว่าวิธีนี้จะได้ผลดี แต่ ดูคุณวิบูลย์ กับคุณมนตรี แล้ว สบาย ๆ ครับ ตอนเช้าก่อนเขียวยกแผง ดูนักวิเคราะห์ หน้าตาเศร้า ๆ งง ยังไงชอบกล บอกว่าช่วงนี้น่ากลัวบอกให้ลด พอร์ท ออกไปก่อน แต่บอกอีกว่าอนาคตตลาดยังน่าจะดีต่อ มันขัด ๆ ยังไงชอบกล ขอปรึกษาครับ
Q : คำว่า ข่าวร้าย เราประเมินอย่างไรครับ ถ้าข่าวร้ายเรื่องราคาน้ำมันเดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวลง ข้างบ้านรบกัน แต่ไม่เกี่ยวกับบริษัท แล้วราคาตก อย่างนี้ พอเข้าใจครับ แต่บริษัทที่เคยมีผลการดำเนินงานดี มาตลอด ผู้บริหารแข็งแกร่ง ( ปัจุบันก็แข็งแกร่ง ) ราคาหุ้นขึ้นเอาขึ้นเอา วันดีคืนดี มีหวัดนก ครับ ยอดตก ต้นทุน แพง กำไรลดจากต้นทุนที่แพงขึ้น เราคาดว่าศักยภาพยังดีอยู่มากถ้าผ่านพ้นเรื่องนี้ไปได้น่าจะฟื้นได้ดีมาก ( แต่ก็ไม่รูเมื่อไหร่ ไม่รู้ด้วยว่าจะพ้นหรือเปล่า ) เรามีหุ้นอยู่ มา 1 ปีแล้ว จะประเมินอย่างไรครับ จะซื้อเพิ่มเพราะมีข่าวร้าย หรือ ขายออกครับ เพราะปัจจัยเปลี่ยน แล้วรอให้ต้นทุนลดราคาลงขายดีขึ้น ค่อยเข้าซื้อใหม่หรือเปล่าครับ
ผมเคยโชคดีตอนที่มีข่าวร้ายของ tuf เรื่องราคาปลาทูนา ตอนนั้นซื้อได้แค่ 20 บาทเอง ถ้าถือไว้ตอนนี้ก็กำไร 50-60% แล้วมั้ง
ตัวอย่าง เรื่องที่ คุณ ztep ยกมาก็คล้ายกันครับ
Q : ปกติ เวลาเรารอ ดูอะไรบ้างครับ หลายครั้งเวลารอ มันไม่ตกมาที่เรารอซักที ถึงมีข่าวร้าย มันก็ตกไม่มาก เท่าราคาที่เราไม่ซื้อตอนเริ่มต้นรอด้วยซ้ำ ยิ่งบริษัทที่ ดี ราคาน่าจะขึ้นกไปเรื่อย ๆ หรือว่าถ้าเห็นว่าราคาดีแล้ว ซื้อไว้เลยหรือเปล่าครับ เก็บเงินไว้ส่วนหนึ่ง เผื่อราคาตก จะซื้ออีก
Q: VI มีใครลงทุน ปฏิบัติจริง แบบ dollar cost average ต่อเนื่อง บ้างหรือเปล่าครับ ได้ผลอย่างไรบ้างครับ หรือมีแต่ใน ทฤษฎีครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. เม.ย. 28, 2005 1:31 pm
โดย VIB007
Sriracha เขียน:ขอบพระคุณคุณพี่ลูกอีสานและคุณพี่วิบูรณ์มากคะ น้องจะถอยสักสองก้าวแล้วก้มหน้าก้มตาทำการบ้านเพิ่มอย่างที่พี่แนะนำนะคะ
ด้วยความยินดีครับ
Sriracha เขียน:พี่คะแล้วถ้างบการเงินแสดงให้เห็นว่าการดำเนินการยังดีอยู่แต่common senseของเราบอกว่าธุรกิจนั้นเริ่มจะfadeแล้ว ยกตัวอย่างAHC, NTV ซึ่งมีงบการเงินสวยมาก P/E แค่ 6, P/BV ต่ำกว่า 1 แต่ทิศทางบริษัทเริ่มจะเข็นไม่ได้ไกลอีกซักเท่าไหร่ (ยืนยันได้จากรายงานประจำปี2547ที่ผู้บริหารเริ่มออกอาการหนักใจ ... ที่จริงน่าใช้คำว่าพรั่นใจมากกว่านะคะ ...) ต้นเหตุคือนับแต่นี้ไปส่วนที่สร้างผลกำไรให้กับโรงพยาบาลอย่างเป็นกอบเป็นกำจะเปลี่ยนมาเป็น package สุขภาพ, ลูกค้าจากต่างประเทศ, บริการพิเศษ อย่างนี้แนวvalue investorควรทำอย่างไรคะ ในทางกลับกัน BH, BGH ซึ่งในอนาคตคงจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากรูปแบบที่กล่าวมาไปเต็มๆ แต่ตำราบอกว่ายังไม่ควรซื้อเพราะราคายังแพงอยู่มาก สัดส่วนหนี้สินก็ยังสูงอยู่ค่อนข้างมาก น้องจะเข้าไปซื้อหุ้นสองตัวนี้ได้เมื่อไหร่เล่าคะหากต้องรอให้ P/E ไม่เกิน 10-11, P/BV ไม่เกิน 3-4 ..... Value investor จะจัดการกับลักษณะเหตุการอย่างนี้ยังไงคะ หรือว่ารอ..ซึ่งในความเห็นของน้องไม่น่าจะมีโอกาสที่ BH, BHG จะมีราคาอยู่ในช่วง P/E, P/BV ดังกล่าวได้
จริงแล้วครับ
บริษัทที่มีพีอีต่ำอาจจะสมควรที่จะต่ำอย่างนั้นจริงๆก็ได้
การซื้อหุ้นโดยดูแค่ พีอี พีบี และปันผลอาจจะเข้าข่าย Value Trap ได้

คุณน้องเข้าใจถูกแล้วละครับ
ถ้าเราเข้าใจในธุรกิจและมองเห็นอนาคตของบริษัทนั้นได้เป็นอย่างดี
เราจะสามารถประเมินมูลค่าของกิจการได้ดีมากกว่าการดูงบการเงินเพียงอย่างเดียว

การรอคอยนั้นก็นับว่าเป็น"ศิลปะ"อย่างหนึ่งเหมือนกัน
แต่บางครั้งผมก็พลาดโอกาสการลงทุนไปเหมือนกัน
เพราะตั้งหน้าตั้งตารอให้ราคาลงแต่ไม่ยอมลง กลับขึ้นต่อจนไม่เห็นฝุ่น

ถ้าไม่คิดมากก็ซื้อเก็บไว้บ้างก็ได้ในหุ้นที่เราสนใจ
ถ้าลงมาก็ซื้อเพิ่ม แค่นั้นเองครับ
ไม่ต้องคิดมากก็ได้
Sriracha เขียน:ที่น้องยกตัวอย่างเรื่องcommon sense เพราะน้องเห็นว่าในบางครั้งงบทางการเงินจะช้าเกินไปสำหรับโอกาสที่ เราจะเข้าลงทุน ตัวอย่างเช่น OISHI เมื่อสองเดือนที่ผ่านมาน้องจะพบเป็นประจำเลยที่คุณลูกรบเร้าคุณแม่ให้เปิดฝา oishi เพื่อลุ้นเงินล้าน โดยคุณแม่กลายเป็นฝ่ายเดินท้องอืดช็อบปิ้งเพราะเล่นชาเขียวเกินขนาด เห็นขายดิบขายดีขนาดนี้น้องมาดงบการเงินก็พบว่าโอ้โห...ตัวเลขswingขึ้นจนไม่กล้านำมา
เป็นบรรทัดฐานในการคำนวณ (กลัวจะโอเวอร์ไปนะคะ) เห็นP/E ราวๆ 11 น้องฟันธงเดี๋ยวนั้นด้วย common sense เลยว่าถ้าซื้อตอนนี้ (25 บาท) แม้จะแพงไปหน่อยเมื่อใช้P/E ในขณะนั้น หรือถึงใช้ predicted EPS ตามgrowthในไตรมาสที่4ที่ผ่านมา(ซึ่งสูงมาก) ราคาก็ยังไมถือว่าถูก เดี๋ยว่พอประกาศผล
ไตรมาสแรกปี48 ตัวเลขรับรองสวยแน่ (เทียบที่ทุนซื้อ25บาท) อย่างนี้ต้องถือว่าตัวเลขผลประกอบการกว่าจะแจ้งออกมาก็ช้าไปแล้ว หากเรายึดวิธีวิเคราะห์แต่กับตัวเลขจะไม่เสียโอกาสตัวนี้ไปหรือ หรืออาจทำให้เราไม่สามารถถือหุ้นตัวนี้ได้สักทีเพราะราคามันวิ่งขึ้นจน P/E ไม่ต่ำลงสักที อย่างนี้ value investor จัดการอย่างไรคะ การใช้ common sense กับสิ่งที่เห็นได้ชัด (ตำตา)ขนาดนี้ถือว่าเสี่ยงจนผิดหลักการ value investmentหรือเปล่าคะ (น้องขอเน้นเรื่องการคิดวาดเหตุการเอาเองว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ กับการเห็นตำตาออกจากกันนะคะ)

ขอบพระคุณคุณพี่ทั้งสองเป็นอย่างสูงอีกครั้งนะคะสำหรับความกรุณาที่มอบให้
การลงทุนเป็นการมองไปข้างหน้าครับ
งบการเงินเป็นแค่ส่วนประกอบในการลงทุนส่วนหนึ่งเท่านั้นนะครับ
ไม่งั้นนักบัญชีก็กลายเป็นคนรวยที่สุดในโลกเป็นแถวๆไปแล้วซิครับ

การลงทุนก็เหมือนขับรถครับ
ต้องมองผ่านกระจกหน้า
แต่คนส่วนใหญ่ชอบขับรถมองแต่กระจกหลัง

อันนี้คำพูดของ"บัฟเฟต"นะครับ

การตัดสินใจลงทุนเป็นเรื่องของเรา
ดังนั้นเราต้องรับผิดชอบในการกระทำของเรา

ถ้าเรามั่นใจว่าหุ้นจะไปได้ดี
ก็ไม่มีใครห้ามไม่ให้เราไปซื้อนี่ครับ
นอกจากตัวเราเอง ........เออ
Sriracha เขียน:ถึงคุณพี่วิบูลย์คะ ...

น้องตั้งใจจะเป็น value investor ให้จงได้คะ การที่น้องรบกวนพี่ให้กรุณาวิจารณ์พอร์ท คำตอบที่จะได้รับทั้งบวกหรือลบไม่ได้ทำให้น้องหวั่นไหวจนซื้อหรือไม่ซื้อหรอกคะ ประเด็นหลักคือการที่ได้มี milestone สำหรับตรวจสอบสิ่งที่เราได้วิเคราะห์มา โดยเฉพาะจากพี่ๆซึ่งต้องถือว่าเป็นระดับผู้อาวุโสสำนัก น่าจะ้เป็นการช่วยในการตรวจสอบความรอบคอบ, ความครบถ้วนในข้อมูลและประเด็นที่สำคัญ ปรับทิศทางและแนวคิดในแนวvalue investorให้แม่นยำชัดเจนขึ้น โดยที่น้องไม่ต้องไป"ลองดู .. เดี๋ยวก็รู้เอง" เพราะบางครั้งคำตอบที่ถูกต้องอาจไม่ได้มาจากวิธีที่ถูกต้องก็ได้ ซึ่งน้องคิดว่าถ้าน้องใส่คำตอบผิด ก็ยังน่าจะได้คะแนนวิธีทำที่ถูกต้องบ้าง

ขอบพระคุณและสวัสดีคะ
อ่านแล้วไม่เข้าใจครับว่าหมายความว่าอะไร
ลองแปลไทยเป็นไทยให้หน่อย

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. เม.ย. 28, 2005 5:56 pm
โดย VIB007
Sriracha เขียน:ขอแก้ไขตัวเลข P/Eและ P/BVของ AHC ของกระทู้ข้างบนคะ
P/E : 8 กว่า , P/BV : 1 นิดๆ

ตัวเลขP/E และP/BVเก่าของกระทู้ข้างบนเป็นของ PRANDA คะซึ่งก็คาใจอยู่ด้วยที่ งบการเงินดี ผลกำไรอืดลงไปนิด แต่ก็ไม่ขี้เหร่ แถมยังไปขยายกำลังผลิตเพิ่มที่จีน ซึ่งน่าจะทำให้ปีนี้ดีขึ้น มาติดตรงที่ไปออกwarrantซึ่งในหนังสือดร.นิเวศน์ก็เขียนไว้ชัดว่าไม่ชอบเพราะทำให้EPS dilute ไป อย่างนี้ใช่ value stock อยู่หรือเปล่าคะ (หรือว่าไม่ได้เป็นvalue stock มาตั้งแต่ก่อนออก warrant แล้ว ฮิ ..ฮิ..)
ผมขออธิบายนิดนึง

Value ไม่ใช่ตัวหุ้นนะครับ

ในช่วงเวลาหนึ่ง หุ้นตัวหนึ่งอาจจะเป็นหุ้นValue
แต่พอเวลาผ่านไปอาจจะไม่ใช่หุ้น Value แล้วก็ได้
เพราะราคาอาจจะสูงเกินมูลค่าไปมาก หรือ พื้นฐานอาจะเปลี่ยนแปลงไป
ในขณะเดียวกัน หุ้นตัวหนึ่งไม่ใช่แวลู
อาจจะกลับมาเป็นการลงทุนแวลูที่ดีได้เช่นเดียวกัน

หุ้นทุกตัวมี"มูลค่า"เสมอ
หุ้นแวลูก็คือหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงครับ

"หุ้นที่ดี"อาจจะไม่ใช่"การลงทุน"ที่ดีก็ได้
ดังนั้นต้องเข้าใจธุรกิจและหามูลค่าออกมาให้ได้ก่อนครับ
crown เขียน:Q : คำว่า ข่าวร้าย เราประเมินอย่างไรครับ ถ้าข่าวร้ายเรื่องราคาน้ำมันเดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวลง ข้างบ้านรบกัน แต่ไม่เกี่ยวกับบริษัท แล้วราคาตก อย่างนี้ พอเข้าใจครับ แต่บริษัทที่เคยมีผลการดำเนินงานดี มาตลอด ผู้บริหารแข็งแกร่ง ( ปัจุบันก็แข็งแกร่ง ) ราคาหุ้นขึ้นเอาขึ้นเอา วันดีคืนดี มีหวัดนก ครับ ยอดตก ต้นทุน แพง กำไรลดจากต้นทุนที่แพงขึ้น เราคาดว่าศักยภาพยังดีอยู่มากถ้าผ่านพ้นเรื่องนี้ไปได้น่าจะฟื้นได้ดีมาก ( แต่ก็ไม่รูเมื่อไหร่ ไม่รู้ด้วยว่าจะพ้นหรือเปล่า ) เรามีหุ้นอยู่ มา 1 ปีแล้ว จะประเมินอย่างไรครับ จะซื้อเพิ่มเพราะมีข่าวร้าย หรือ ขายออกครับ เพราะปัจจัยเปลี่ยน แล้วรอให้ต้นทุนลดราคาลงขายดีขึ้น ค่อยเข้าซื้อใหม่หรือเปล่าครับ
ต้องวิเคาระห์ให้ได้ว่าข่าวร้ายนั้นมีผลทำให้พื้นฐานกิจการเปลี่ยนแปลงอย่างถาวรหรือเปล่า
ถ้าใช่ ก็ตัวใครตัวมัน
ถ้าไม่ใช่ จะอยู่เฉยๆ หรือซื้อเพิ่มก็ยังได้

crown เขียน:Q : ปกติ เวลาเรารอ ดูอะไรบ้างครับ หลายครั้งเวลารอ มันไม่ตกมาที่เรารอซักที ถึงมีข่าวร้าย มันก็ตกไม่มาก เท่าราคาที่เราไม่ซื้อตอนเริ่มต้นรอด้วยซ้ำ ยิ่งบริษัทที่ ดี ราคาน่าจะขึ้นกไปเรื่อย ๆ หรือว่าถ้าเห็นว่าราคาดีแล้ว ซื้อไว้เลยหรือเปล่าครับ เก็บเงินไว้ส่วนหนึ่ง เผื่อราคาตก จะซื้ออีก
ถ้าหามูลค่าบริษัทได้ ปัญหานี้ก็จะหมดไป
crown เขียน:Q: VI มีใครลงทุน ปฏิบัติจริง แบบ dollar cost average ต่อเนื่อง บ้างหรือเปล่าครับ ได้ผลอย่างไรบ้างครับ หรือมีแต่ใน ทฤษฎีครับ
ไม่ทราบครับ ลองถามพี่CK ดูซิครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. เม.ย. 28, 2005 9:53 pm
โดย chatchai
Sriracha เขียน:ตัวอย่างเช่น OISHI เมื่อสองเดือนที่ผ่านมาน้องจะพบเป็นประจำเลยที่คุณลูกรบเร้าคุณแม่ให้เปิดฝา oishi เพื่อลุ้นเงินล้าน โดยคุณแม่กลายเป็นฝ่ายเดินท้องอืดช็อบปิ้งเพราะเล่นชาเขียวเกินขนาด เห็นขายดิบขายดีขนาดนี้น้องมาดงบการเงินก็พบว่าโอ้โห...ตัวเลขswingขึ้นจนไม่กล้านำมา
เป็นบรรทัดฐานในการคำนวณ (กลัวจะโอเวอร์ไปนะคะ) เห็นP/E ราวๆ 11 น้องฟันธงเดี๋ยวนั้นด้วย common sense เลยว่าถ้าซื้อตอนนี้ (25 บาท) แม้จะแพงไปหน่อยเมื่อใช้P/E ในขณะนั้น หรือถึงใช้ predicted EPS ตามgrowthในไตรมาสที่4ที่ผ่านมา(ซึ่งสูงมาก) ราคาก็ยังไมถือว่าถูก เดี๋ยว่พอประกาศผล
ไตรมาสแรกปี48 ตัวเลขรับรองสวยแน่ (เทียบที่ทุนซื้อ25บาท) อย่างนี้ต้องถือว่าตัวเลขผลประกอบการกว่าจะแจ้งออกมาก็ช้าไปแล้ว หากเรายึดวิธีวิเคราะห์แต่กับตัวเลขจะไม่เสียโอกาสตัวนี้ไปหรือ หรืออาจทำให้เราไม่สามารถถือหุ้นตัวนี้ได้สักทีเพราะราคามันวิ่งขึ้นจน P/E ไม่ต่ำลงสักที อย่างนี้ value investor จัดการอย่างไรคะ การใช้ common sense กับสิ่งที่เห็นได้ชัด (ตำตา)ขนาดนี้ถือว่าเสี่ยงจนผิดหลักการ value investmentหรือเปล่าคะ (น้องขอเน้นเรื่องการคิดวาดเหตุการเอาเองว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ กับการเห็นตำตาออกจากกันนะคะ)
การวิเคราะห์บริษัทนั้นควรวิเคราะห์ถึงความยั่งยืนด้วยนะครับ ถ้าจะซื้อไม่ควรพิจารณาข่าวดีที่เกิดเป็นครั้งคราวครับ ประเภทมาแล้ววูบหายไป เหมือนกำไรจากการขายสินทรัพย์ แล้วซื้อเพื่อเก็งกำไรผลประกอบการที่จะประกาศ ถ้าคิดจะซื้อแบบนี้ไม่ใช่ VI ครับ

การเป็น VI นั้น ราคาเป็นสิ่งที่สำคัญครับ ถ้าเราคำนวณได้อย่างมั่นใจ คำถามและปัญหาต่างๆก็คงลดไปเยอะ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 29, 2005 10:07 am
โดย Sriracha
ตัวอย่างเช่น OISHI เมื่อสองเดือนที่ผ่านมาน้องจะพบเป็นประจำเลยที่คุณลูกรบเร้าคุณแม่ให้เปิดฝา oishi เพื่อลุ้นเงินล้าน โดยคุณแม่กลายเป็นฝ่ายเดินท้องอืดช็อบปิ้งเพราะเล่นชาเขียวเกินขนาด เห็นขายดิบขายดีขนาดนี้น้องมาดงบการเงินก็พบว่าโอ้โห...ตัวเลขswingขึ้นจนไม่กล้านำมา
เป็นบรรทัดฐานในการคำนวณ (กลัวจะโอเวอร์ไปนะคะ) เห็นP/E ราวๆ 11 น้องฟันธงเดี๋ยวนั้นด้วย common sense เลยว่าถ้าซื้อตอนนี้ (25 บาท) แม้จะแพงไปหน่อยเมื่อใช้P/E ในขณะนั้น หรือถึงใช้ predicted EPS ตามgrowthในไตรมาสที่4ที่ผ่านมา(ซึ่งสูงมาก) ราคาก็ยังไมถือว่าถูก เดี๋ยว่พอประกาศผล
ไตรมาสแรกปี48 ตัวเลขรับรองสวยแน่ (เทียบที่ทุนซื้อ25บาท) อย่างนี้ต้องถือว่าตัวเลขผลประกอบการกว่าจะแจ้งออกมาก็ช้าไปแล้ว หากเรายึดวิธีวิเคราะห์แต่กับตัวเลขจะไม่เสียโอกาสตัวนี้ไปหรือ หรืออาจทำให้เราไม่สามารถถือหุ้นตัวนี้ได้สักทีเพราะราคามันวิ่งขึ้นจน P/E ไม่ต่ำลงสักที อย่างนี้ value investor จัดการอย่างไรคะ การใช้ common sense กับสิ่งที่เห็นได้ชัด (ตำตา)ขนาดนี้ถือว่าเสี่ยงจนผิดหลักการ value investmentหรือเปล่าคะ (น้องขอเน้นเรื่องการคิดวาดเหตุการเอาเองว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ กับการเห็นตำตาออกจากกันนะคะ)


แล้วการที่เรามองหุ้นนั้นๆโดยพิจารณาถึงvalueจริงๆอย่างกรณีOISHIนี่ละคะ สมมติน้องมองว่ามันมีศักยภาพจริง อย่างน้อยก็ในอีก 2 ไตรมาส น้องก็ไปลงทุนโดยหมั่นประเมินคุณค่าของมันอยู่เสมอ ถ้ายังมีแนวโน้มที่ดีก็ยังถือต่อไป ถ้าเริ่มมองเห็นว่าแผ่ว (เช่นคนลดความสนใจชาเขียวลงเพราะหันไปบริโภคเครื่องดื่มชนิดใหม่ .... ทั้งนี้ไม่นับข้อที่ว่าคุณตันจะต้องปรับแผนเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลง ... ซึ่งน้องเชื่อว่าแกต้องทำอยู่แล้ว) น้องก็อาจต้องพิจารณาเปลี่ยนไปหาหุ้นตัวที่มีศักยภาพดีกว่า อย่างนี้ไม่นับว่าเป็น value investment เหรอคะ

น้องมีความเห็นว่าตราบใดที่เรารู้เท่าทันว่า"ความยั่งยืน" ของกิจการนั้นมีอายุยาวนานแค่ไหน และเราสามารถลงทุนอยู่ในช่วงเวลาแห่งความยั่งยืนนั้น ระยะเวลาแห่งความยั่งยืนไม่น่าจะเป็นกำแพงกั้นการลงทุนนั้นนะคะ
ยกตัวอย่างกรณีOISHI โดยไม่ต้องไปสนใจเรื่องเสียงเชียร์จาก brokers
เราเห็นชัดๆว่าบริษัททำได้ดีจริง ผู้บริหารเก่งใช้ได้เลย แต่ VI หลายๆท่านเกรงว่าจะรักษายอดขายระดับนี้ไปได้สักแค่ไหนเชียว? ... จะถือหุ้นนี้ได้ถึงสองปีรึเปล่า?... ทำไมถึงไปติดกับแค่ตัวชาเขียวละคะ วันข้างหน้า OISHI สามารถใช้ goodwill กับ brand name ที่ยอดเยี่ยมออก product ใหม่อย่างมี very high competance ต่อเนื่องไปอีก ทำไมเราถึงจะรอจนนานเกินเหตุเล่าคะ การรอเป็น"ศิลป์" อย่างที่พี่วิบูลย์ว่าไว้น้องเห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่การรอจนเกินเหตุน้องว่าไม่ใช่นะคะ เป็นได้แค่ "safe" (ซึ่งก็ยังดีกว่าหุนหันแล้วแทนที่จะแค่ไม่ได้สตางค์กลับต้องเสียสตางค์)

โอเค... น้องเห็นด้วยคะว่าถ้าความยั่งยืนมันยาวนาน เราก็ไม่ต้องเปลี่ยนหุ้นบ่อย,ไม่ต้องเสียค่า com. เยอะ, ช่วยให้เรามีโฟกัสที่ชัดขึ้นเรื่อยๆ แถมยังยืดระยะเวลาสร้างรายได้ให้เรา
แต่คำว่าความยั่งยืนมันมีระยะเวลาแค่ไหนละคะ น้องว่าแต่ละคนก็ให้นิยามเรื่องนี้ไม่เหมือนกัน .. 1 ปี, 3 ปี, 5 ปี, 10 ปี ... ทั้งนี้น้ี้ี้องไม่ได้หมายถึงบรรดาความยั่งยืนแบบเช้า-เย็น, 1 อาทิตย์, 1 เดือน ของท่านนักเก็งกำไรทั้งหลายนะคะ

พี่ๆมีความเห็นในเรื่องนี้กันอย่างไรบ้างคะ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 29, 2005 3:01 pm
โดย VIB007
ผมขอสรุปอย่างนี้แล้วกันครับว่า
หุ้นแต่ละตัว มุมมองของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน

น้องSriracha อาจจะมองว่า โออิชิ ดี
แต่คนอื่นอาจจะมองว่า ไม่ดี
ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่า น้องจะถูก หรือน้องจะผิด
ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องมองเห็นเหมือนกัน

ผมว่าเราอย่าไปจำกัดความของ Value Investment เลย
ผมว่าเสียเวลาเปล่า

ถ้าเราคิดว่าหุ้นนี้ดี เราก็ซื้อ
คนอื่นว่าไม่ดี ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่ดี

พิจารณาเอง ตัดสินใจเอง
กำไรขาดทุนก็อยู่ที่ตัวเราเอง
ไม่เห็นจะต้องสนใจว่าคนทั่วไปเขามองอย่างไรเลย

ขอย้ำอีกทีว่า
อาจารย์เบนจามิน เกรแฮมกล่าวไว้ว่า
"You're neither right nor wrong becuase others agree with you.
You're right because your facts and reasoning are right"

แปลเป็นไทยได้ว่า
"คุณไม่ได้ถูกหรือผิดเพราะคนอื่นเห็นด้วยกับคุณ
แต่คุณเป็นฝ่ายถูกเพราะข้อมูลและเหตุผลของคุณถูก"

คับ

โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 30, 2005 10:37 am
โดย ztep
:P ไม่รู้ว่าหาข้อมูลราคา IPO ของแต่ละตัวได้ที่ไหนครับ แต่ก่อน web settrade จะมีให้เดี๋ยวนี้ดันเอาออกซะ ขอแถมอีกเรื่องคือเว็บโฉมใหม่ของ set ไม่สามารถ save ข้อมูลบางตัวลงได้อีกแล้ว เช่นที่ company highlight หงุดหงิดๆ อ้อ ขออีเรื่องครับที่บอกว่า zemico ไม่คิดอัตราขั้นต่ำนี่คือ ขั้นต่ำของค่าโบรก หรือ ขั้นต่ำของวงเงินในการเปิดบัญชีครับ ขอบคุณอย่างสูงครับ :lol:

Re: คับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ค. 01, 2005 4:18 pm
โดย VIB007
ztep เขียน::P ไม่รู้ว่าหาข้อมูลราคา IPO ของแต่ละตัวได้ที่ไหนครับ แต่ก่อน web settrade จะมีให้เดี๋ยวนี้ดันเอาออกซะ ขอแถมอีกเรื่องคือเว็บโฉมใหม่ของ set ไม่สามารถ save ข้อมูลบางตัวลงได้อีกแล้ว เช่นที่ company highlight หงุดหงิดๆ อ้อ ขออีเรื่องครับที่บอกว่า zemico ไม่คิดอัตราขั้นต่ำนี่คือ ขั้นต่ำของค่าโบรก หรือ ขั้นต่ำของวงเงินในการเปิดบัญชีครับ ขอบคุณอย่างสูงครับ :lol:
หาราคาไอพีโอได้ที่ไหน ไม่ทราบครับ เพราะไม่ค่อยได้สนใจ

Save ไม่ได้ ก็Copy Paste เอาซิครับ

ส่วนเรื่องของ Simico ไม่ทราบครับ เพราะไม่ได้ใช้บริการ

Re: คับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ค. 01, 2005 9:48 pm
โดย ลูกอิสาน
ztep เขียน::P ไม่รู้ว่าหาข้อมูลราคา IPO ของแต่ละตัวได้ที่ไหนครับ แต่ก่อน web settrade จะมีให้เดี๋ยวนี้ดันเอาออกซะ ขอแถมอีกเรื่องคือเว็บโฉมใหม่ของ set ไม่สามารถ save ข้อมูลบางตัวลงได้อีกแล้ว เช่นที่ company highlight หงุดหงิดๆ อ้อ ขออีเรื่องครับที่บอกว่า zemico ไม่คิดอัตราขั้นต่ำนี่คือ ขั้นต่ำของค่าโบรก หรือ ขั้นต่ำของวงเงินในการเปิดบัญชีครับ ขอบคุณอย่างสูงครับ :lol:
งานวิจัยของโบรคจะมีราคา IPO ครับ
ส่วนของซีมิโค เป็นค่าคอมครับไม่มีขั้นต่ำ เทรดเท่าไหร่ก็คิด 0.21%+vat

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ค. 02, 2005 9:42 pm
โดย por_jai
vib007 wrote:
อาจารย์เบนจามิน เกรแฮมกล่าวไว้ว่า
"You're neither right nor wrong becuase others agree with you.
You're right because your facts and reasoning are right"
แปลเป็นไทยได้ว่า
"คุณไม่ได้ถูกหรือผิดเพราะคนอื่นเห็นด้วยกับคุณ
แต่คุณเป็นฝ่ายถูกเพราะข้อมูลและเหตุผลของคุณถูก"

พูดอีกก็ถูกอีก เหมือนที่เฮียครรชิตบอกไว้บ่อยๆว่า
" ซื้อหุ้นของกิจการที่ดี มีกำไรต่อเนื่อง ผู้บริหารมีคุณธรรมและความสามารถ ในเวลาที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของกิจการ และ ถือมันไว้ตราบที่มันยังเป็นธุรกิจที่ดี"
มันclassicเจรงๆ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 03, 2005 10:41 pm
โดย Mon money
เสี่ยบูลย์ พักนี้วาดลวดลายน่าดูเลยนะ

มีหลายคนมาคุยกับผมเรื่องหุ้นในportของเขา ผมได้แต่ยิ้มๆ

สามีเพื่อนภรรยาผมเพิ่งเริ่มลงทุนผ่านมาได้สามสี่เดือน เห็นเขารู้สึกมั่นใจตัวเองมาก ไม่รู้overconfidentเกินไปหรือเปล่า ฟังหุ้นในportแล้วได้แต่ยิ้มๆไม่กล้าแนะนำ กลัวเขาว่าเอา

เพื่อนผมไม่ได้เจอเสียนาน เพิ่งลงทุน นิยมบลูชิพ ผมได้แต่ยิ้มๆ ไม่กล้าบอกอะไร ก็หุ้นเรามันหุ้นเต่าเขารอไม่ไหวแน่ๆ

ผมไปเที่ยวบ่อยครับ แต่ไม่ได้ไปไกลมาก ไม่เคยดูหุ้นระหว่างไปเที่ยวเลย ถ้าถือหุ้นแล้วต้องคอยระวัง ไปไหนแล้วกลัวไปหมด เห็นทีจะลำบาก เพราะหาทุกข์ใส่ตัวจริงๆ

เสี่ยบูลย์ไปยุโรปครั้งที่แล้ว ขายอะไรไปบ้างละ :lovl: