Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

And there has never been a master plan. Anyone who wanted to do it, we fired because it takes on a life of its own and doesn’t cover new reality. We want people taking into account new information.

It wasn’t just Berkshire Hathaway that had this attitude about master plans. The modern Johns Hopkins [hospital and medical school] was created by Sir William Osler. He built it following what Carlyle said: “Our main business is not to see what lies dimly in the distance but to do what lies clearly at hand.”

Look at the guy who took over the company that became IBM. At the time, it had three equal sized business: [a division that made] scales, like those a butcher uses; one that made time clocks (they bought this for a block of shares, making an obscure family very rich); and the Hollerith Machine Company, which became IBM. He didn’t know this would be the winner, but when it took off, he had the good sense to focus on it. It was enlightened opportunism, not some master plan.

I happen to think great cities develop the way IBM or Berkshire did. I think master plans do more harm than good. Anyway, we don’t allow them at Berkshire, so you don’t have to worry about them.

chaitorn เขียน:อ. Imerot สรุปแบบนี้ได้ไหม

พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน กระทบกับ consumer monopoly ทำให้ moat เปลี่ยน ลูกค้าไปใช้สินค้าอื่นทดแทน แม้ความต้องการพื้นฐานยังคงอยู่ เช่น ถ่ายรูปแบบฟิลม์ เปลี่ยนเป็น digital มากขึ้น segment ตลาดฟิมล์จึงเล็กลงเรื่อย ๆ

เมื่อ Segmentation ของลูกค้าเล็กลงเรื่อย ๆ แม้ว่าความสามารถในการแข่งขันของบริษัทเราจะไม่เปลี่ยนใน segment ดังกล่าว และเรายังมีอำนาจผูกขาดใน segment ดังกล่าวด้วย แต่เพราะตลาดมันเล็กลงเรื่อย ๆ จนไม่คุ้มกับการประกอบธุรกิจ

ดังนั้น พฤติกรรมผู้บริโภคในสินค้าจึงสำคัญมาก และเป็นตัวสะท้อนว่า runway ธุรกิจจะเปลี่ยนหรือไม่ในระยะยาว
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคจึงเป็นภัยร้ายแรงของธุรกิจที่มีอยู่เดิม ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุด

imerlot เขียน:มันไม่สำคัญหรอกว่า
เราจะเหนื่อยล้า หมดหวัง
แค่ไหน

ขอเพียงแต่ว่า เรา on the right track or not

if we not the right track
we will reach the destination someday
sooner or later
so my friend
just RUN
.......

Nevercry.boy เขียน:

imerlot เขียน:มันไม่สำคัญหรอกว่า
เราจะเหนื่อยล้า หมดหวัง
แค่ไหน

ขอเพียงแต่ว่า เรา on the right track or not

if we not the right track
we will reach the destination someday
sooner or later
so my friend
just RUN
.......

ได้อ่านข้อความนี้แล้วผมน้ำตาซึม
ขอบพระคุณอย่างสูงนะครับ

How I see the difference between "Do Right Things" and "Do Things Rightly" is as follows. It's simple:

Anytime when a person wants to do anything it will have two effects Good and Bad. The person who is doing it will of course want good results for him/her regardless of the effects it could have on anyone else.

Do Right Things mean always think of doing what is right. For example a person wants money and he worked whole day in the office to earn the money he/she needs.

Now the same scenario is considered for Do Things Rightly. For example a person wants money and he/she walks around the whole day to pick pocket someone but he/she has to do it right - in a way that the person he/she is stealing from does not notice.

กระทู้นี้ยังจบไม่ได้ หากขาด

AMEX

และ

เวล ฟาเกอร์

My American Express history includes a couple of episodes: In
the mid-1960's, just after the stock was battered by the company's
infamous salad-oil scandal, we put about 40% of Buffett Partnership
Ltd.'s capital into the stock - the largest investment the
partnership had ever made. I should add that this commitment gave
us over 5% ownership in Amex at a cost of $13 million. As I write
this, we own just under 10%, which has cost us $1.36 billion.
(Amex earned $12.5 million in 1964 and $1.4 billion in 1994.)
http://www.berkshirehathaway.com/letters/1994.html

imerlot เขียน:
...

ลองคิดดู สมมติ ถ้า เอา
amex + wfc + geico มารวมกันได้
มันจะมี source of fund ที่ ต่ำและใหญ่ขนาดไหน

..

Another Buffett favorite is American Express Company (AXP). To create an entire value chain, American Express segmented its credit card and lending business into three businesses:
U.S. card services, international card and global commercial services, and global network and merchant services.

As owner of the entire value chain, AXP has created a profitable niche for itself in the financial service markets, offering a great potential for profits.

With a closed looped of its own related products and services and marketing, AXP pricing has a built-in competitive advantage.

If the numbers indicate that, then I conduct a thorough analysis of the business to make sure I understand the key drivers. {ตัวแปลหลักคืออะไร?หรือตัวเร่งก็ได้}
With most businesses, two or three variables control 80% to 90% of the outcome. {ไม่เกิน 2-3 ตัวแปร}
I want to make sure that I understand the right variables with a good sense of how they are likely to play out

Visa V -0.61% has more than 2 billion cards in use worldwide and processes more than 60 billion transactions per year, while AmEx has just 107 million cards in force and processes just 6 billion transactions per year. Despite this disparity, American Express AXP +0.43% has annual gross revenues of $33 billion while Visa earns just $14 billion per year.

Visa charges data processing fees and service fees from its financial clients and is not involved in the lending process. Thus, it is not exposed to any credit risk and earns revenue on the volume of transactions carried out through its cards.

What About Credit Risk?

By focusing on affluent customers, American Express is also able to mitigate the credit risk associated with issuing loans to cardholders.

imerlot เขียน:สรุป คร่าวๆก่อนว่า
โมเดลไม่หมือนกัน แถมตัวแปรเยอะ
การ report ก็ไม่ เหมือนกัน
ยากที่ จะเปรียบเทียบได้

ดังนั้นตัด การเปรียบเทียบ
กลับไปดู จุดแข่ง
ของ WFC
.....
เนื้อๆ 6ปี
..

wfc-6y-.JPG

...
1.) 5-6ปี รายได้ 2x จาก 41,877 เป้น 83,780
โดยที่ non-interest income โต 5y compound 20% จาก 16,734 เป็น 40,980
(ไม่ลืมว่าปี 2008เป็น sub-prime ฐานต่ำ แต่ก็=ฟื้นแล้ว)

2.) net income โตจาก 2,655 มาเป็น 21,878 เกือบ 10x โดย 5y compound =52%

***3.) Balance Sheet ด้านสินทรัพย์ มีสัดส่วนของ Investment Security ถึง $264,353
(เทียบกับ port ของ brk.a=117,505; wfcมีportใหญ่กว่าเกือบ2x)



...
ซ.ต.พ.
..
ดีกว่า
..

chaitorn เขียน:ดูเหมือน axp วางกลยุทธ์ แบบ apple คือ Ios รวมศูนย์หมด control หมด

แต่ v ทำแบบ open source เปิดโอกาสให้ partner ในแต่ละที่แต่ละประเทศเป็นอิสระในการดูแลสมาชิกและร้านค้าภายใต้กติกาที่เป็นระบบมาตรฐานตรงกลางเหมืิินระบบ android หรือ window

ซึ่งวันนี้ทั้ง 2 ระบบ ก็แข่งขันกันได้ ยังไม่มีการแพ้ชนะเด็ดขาด
แต่แน่นอน การรวมศูนย์อย่างใกล้ชิด ทำให้ได้ข้อมูลจำนวนมากเพื่อไว้ใช้ตัดสินใจในการวางแผนิย่างบูรณาการเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบมาตรฐานเดียวกันได้ง่าย และควบควมการปฏิบัติการใกล้ชิด และสามารถวางกลยุทํ์การตลาดเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและมูลค่าใหม่ ๆ ได้ตลอดเวลา

และที่สำคัญความเห็นผมมันเหมือนกับว่าการถือบัตร amex มันจะคล้ายกับบัตรประชาชน หรือ passport ประจำตัวที่จำเป็น หากทำประวัติเสียแล้วถูกยกเลิกไปแล้วก็จะไม่สามารถทำบัตรใหม่ได้ง่าย เพราะเมื่ิเรารวมศูนย์หมดเราก็มีข้อมูลหมด คนจึงไม่อยากเสียเครดิตง่าย ๆ ครับ

นานมาแล้ว Charlie ได้พูดถึงจุดมุ่งหมายที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาว่า “ทั้งหมดที่ผมอยากจะรู้ก็คือที่ไหนที่ผมจะไปแล้วตาย ผมก็จะไม่ไปที่แห่งนั้น” นั่นเป็นวิสัยทัศน์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Jacobi นักคณิตศาสตร์ชาวปรัสเซียนผู้มีชื่อเสียง ผู้ที่ให้ข้อคิดไว้ว่า “Invert, always invert”

chaitorn เขียน:อยากสอบถาม อ. Imerlot กับ พี่ NB คือ
ในจดหมายุึงผู้ถือหุ้นปี 2553 นั้น มีคำพูดที่สะดุดตาผม ซึ่งยังไม่ชัดแจ้ง แต่เชื่อลึก ๆ ว่าเป็นคำพูดที่สำคัญมาก และเป็นปรัชญาในการดำเนินธุรกิจให้เติบโตแข็งแกร่งโดยมีความเสี่ยงที่ต่ำด้วย คำพูดนี้คือ

นานมาแล้ว Charlie ได้พูดถึงจุดมุ่งหมายที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาว่า “ทั้งหมดที่ผมอยากจะรู้ก็คือที่ไหนที่ผมจะไปแล้วตาย ผมก็จะไม่ไปที่แห่งนั้น” นั่นเป็นวิสัยทัศน์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Jacobi นักคณิตศาสตร์ชาวปรัสเซียนผู้มีชื่อเสียง ผู้ที่ให้ข้อคิดไว้ว่า “Invert, always invert”

คำถาม เรารู้ได้อย่างไร ด้วยวิธีการอย่างไรครับ เพราะหากเราเข้าใจปรัชญานี้ิอย่างถ่องแท้ จะเป็นภูมิต้านทานการลงทุนให้กับเราเป็นอย่างดีครับ