หน้า 53 จากทั้งหมด 160

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 23, 2005 10:35 am
โดย Tiger
สินค้าขวดแก้ว ใช้เทคโนโลยีสูงขึ้นได้ตรงที่
ใช้ปริมาณวัตถุดิบน้อยลง แต่ได้ขวดที่แข็งแกร่งเท่าเดิมครับ
แต่มูลค่าการลงทุนก็จะค่อนข้างสูง
เป็นของที่เศรษฐกิจเป็นยังไงก็ต้องใช้ครับ
และยังมีโครงการปรับภาษีสรรพษามิต บรรจุภัณฑ์ (อ้างว่าเพื่อสิ่งแวดล้อม)
บรรจุภัณฑ์ที่เป็นแก้ว จะเก็บถูกกว่า เป็นโลหะ ครับ จะนำมาใช้เร็ว ๆ นี้

ส่วนกระดาษทิชชู เจ้าหลักก็มีแค่สองเจ้า สก็อต+เซลลอค Market Share เกิน 70-80%
BJC ผลิตเซลลอค zilk เบล เศรษฐกิจเป็นไง ก็ต้องใช้ทิชชูครับ
ไม่น่าจะมีปัญหาด้ายการเปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์มากนัก

ส่วนหนี้ยาวมีอยู่ 1600 ล้าน + ที่จะคืนปีนี้อีก 900 ล้านครับ
ผมเอาสินทรัพย์ส่วนอื่นที่ทีแลกไม่ได้พูดถึงมาหักแล้วกันนะครับ
มี Working Cap ประมาณ 2700 (-หนี้ที่จะคือปีนี้ 900) เหลือ 1800
ปรับลดคุณภาพซัก 500 ล้าน (มี Inventory 1000)
มี ตึก BJC ข้าง ๆ ตึก WG มองด้วยตาขนาดก็ไล่ๆ กัน ครับ
มีโรงงานทำมันฝรั่ง เทสโต อีก
รวม ๆ แล้วน่าจะจ่ายหนี้ได้เกลี้ยงครับ
เลยลองตัดมาคิดมูลค่าแค่ โรงแก้ว กับ กระดาษครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 23, 2005 12:58 pm
โดย jaychou
ชักน่าสนใจ :B

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 23, 2005 2:10 pm
โดย moo
ที่ผ่านมา ได้เคยติดต่อทำการค้ากับ bjc ครับ

ถ้าเกี่ยวกับโรงงานหลอมแก้วตรามงกุฏ
ปัจจุบันนี้ ไม่มีการการผลิตแก้วออกมาขายแล้วครับ(น่าจะเป็นปีแล้ว)
ทางบริษัทได้ตัดแผนกแก้วนี้ทิ้งไปแล้วครับ

เข้าใจว่าตอนนี้เป่าแต่ขวดเบียร์(ช้าง)อย่างเดียว
ไม่ทราบว่าเรื่องนี้มีผลอะไรหรือไม่ครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 24, 2005 12:35 pm
โดย Tiger
ความเสี่ยงที่น่าเป็นห่วงที่สุดของเจ้า BJC ก็อยู่ตรงที่ % Freefloat
แหละครับ ที่คุณเจริญเขาจะทำอะไรกับผู้ถือหุ้นรายย่อยได้ง่าย
(แต่ผมละความน่ากลัวข้อนี้ไปก่อน ไม่งั้นก็จะไม่ได้วิเคราะห้ด้านอื่นเลย)


ส่วน Tender ที่พี่พลบอก ผมลองเช็คแล้ว ไม่แน่ใจว่ามีกฏข้อไหนคุมว่าต้องสูง
กว่า Book value เลยครับ แต่เหมือนจะกำหนดให้มี ที่ปรึกษาการเงินอิสระ
คอมเมนต์เรื่องราคาเหมาะสม ก็พอจะลดความเสี่ยงเรื่อง Tender ราคาต่ำมากได้

ขวดที่เขาทำครอบคลุม ขวดแก้วทุกประเภทครับ
แต่สัดส่วนทำให้เหล้า เบียร์ น่าจะประมาณ 50 % ของกำลังผลิตครับ
ขวดยา น้ำอัดลม เครื่องดืมชูกำลัง เครื่องสำอาง เป็นต้น

แล้วความเข้าใจเรื่อง Reproduction Cost of Asset ผมมาถูกทางไหมครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 26, 2005 8:41 pm
โดย VIB007
Tiger เขียน:

แล้วความเข้าใจเรื่อง Reproduction Cost of Asset ผมมาถูกทางไหมครับ
ก็ยังไม่หลงทางจนเตลิดเข้าป่า
แต่ผมแนะนำให้ลองกลับไปอ่านบทความ
เรื่อง Reproduction Cost of Asset
ของคุณมนตรีใน Value Way ดูอีกที
ผมว่าลองเริ่มต้นที่งบดุลดูก็ดีนะครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 27, 2005 4:17 pm
โดย Oh+
วันนี้รู้สึกเหนื่อย และ หมดแรงจังเลยครับ

ผมเริ่มเข้ามาในตลาดตั้งแต่ประมาณเดือนเมษา และเริ่มศึกษาเรื่อย ๆ มา

เริ่มเห็นแนวทางเพิ่มเงินในกระเป๋าจากการลงทุนบ้างเมื่อมาพบที่นี่

แต่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังหาหุ้นดี ๆ ไม่ได้เลยซักตัว ... (ยังพยายามหาอยู่น่ะครับ)

แต่เมื่อ 2 วันก่อนไปคุยกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่มีประสบการณ์ในตลาดมาและผมเองก็นับถือด้วย

ผมไปปรึกษาเกี่ยวกับการวิเคราะห์งบการเงิน ท่านถามว่าจะรู้ไปทำไม ก็เลยบอกว่ากำลังศึกษาตลาดหุ้น

ท่านไม่เห็นด้วย แต่บอกว่าเอาไว้คุยกัน พร้อมทิ้งท้ายกับคำพูดว่า "อย่าเอาเงินไปฝากไว้ในมือโจรเลย"

ผมยอมรับว่ามันมีผลต่อผมมากและจากหลายเหตุการที่ผู้บริหารยักยอกเงินจากบริษัทเข้ากระเป๋าตัวเองตามหน้าหนังสือพิมพ์ (อย่าง Bizweek สัปดาห์ที่ผ่านมา)

คนอย่างเรา ๆ จะมีสิทธิไปรู้ได้อย่างไรว่า บริษัทกำลังโดนผู้บริหารทำอย่างนี้หรือไม่

พี่ ๆ มีคำแนะนำสำหรับมือใหม่อย่างผมบ้างไหมครับ

ขอบคุณครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 27, 2005 4:58 pm
โดย VIB007
กฏข้อที่หนึ่งของวีไอ คือ อย่าไปพูดเรื่องวีไอกับคนอื่น
กฏข้อที่สอง คือ อย่าลืมกฏข้อที่หนึ่ง ไม่งั้นเขาจะหาว่าคุณ....บ้า
แถมถ้าคุณไม่มีความมั่นใจในตัวเองดีพอ....คุณก็จะเลิกทำในสิ่งที่คุณตั้งใจ
Oh+ เขียน:วันนี้รู้สึกเหนื่อย และ หมดแรงจังเลยครับ

ผมเริ่มเข้ามาในตลาดตั้งแต่ประมาณเดือนเมษา และเริ่มศึกษาเรื่อย ๆ มา

เริ่มเห็นแนวทางเพิ่มเงินในกระเป๋าจากการลงทุนบ้างเมื่อมาพบที่นี่

แต่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังหาหุ้นดี ๆ ไม่ได้เลยซักตัว ... (ยังพยายามหาอยู่น่ะครับ)
ต้องการกำลังใจเหรอครับ
ลองฟังเพลงของ"คาราวาน"ดู
ชื่อเพลง"กำลังใจ" น่าจะเข้าบรรยากาศ

มีเวลาลงทุนอีกหลายสิบปี
แค่หาหุ้นไม่ได้สี่ห้าเดือนก็ไม่เห็นแปลก

ปีเตอร์ ลินซ์บอกว่า
"ตลาดหุ้นจะตกในหนึ่งเดือน
ถ้าไม่ตกในหนึ่งเดือน ก็จะตกภายในหนึ่งปี
ถ้าหนึ่งปีไม่ตก ก็จะตกภายในสิบปี"

ผ่านไปหกเดือนแล้วท้อ.....ยังต้องฝึกจิตใจอีกครับ
Oh+ เขียน:แต่เมื่อ 2 วันก่อนไปคุยกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่มีประสบการณ์ในตลาดมาและผมเองก็นับถือด้วย

ผมไปปรึกษาเกี่ยวกับการวิเคราะห์งบการเงิน ท่านถามว่าจะรู้ไปทำไม ก็เลยบอกว่ากำลังศึกษาตลาดหุ้น

ท่านไม่เห็นด้วย แต่บอกว่าเอาไว้คุยกัน พร้อมทิ้งท้ายกับคำพูดว่า "อย่าเอาเงินไปฝากไว้ในมือโจรเลย"

ผมยอมรับว่ามันมีผลต่อผมมากและจากหลายเหตุการที่ผู้บริหารยักยอกเงินจากบริษัทเข้ากระเป๋าตัวเองตามหน้าหนังสือพิมพ์ (อย่าง Bizweek สัปดาห์ที่ผ่านมา)

คนอย่างเรา ๆ จะมีสิทธิไปรู้ได้อย่างไรว่า บริษัทกำลังโดนผู้บริหารทำอย่างนี้หรือไม่

พี่ ๆ มีคำแนะนำสำหรับมือใหม่อย่างผมบ้างไหมครับ

ขอบคุณครับ
ผมว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนทั่วไปจะไม่เข้าใจในการลงทุน
บริษัทดีๆก็มีเยอะแยะ
ไม่ใช่ทุกบริษัทจะยักยอกเงินเหมือนกันหมดนิ

ผมว่าคุณเลิกคุยกับผู้ใหญ่ท่านนั้นไปเลยดีกว่า
เพราะมันจะยิ่งทำให้คุณหมดกำลังใจมากกว่าเดิม

ถ้ายังคิดอะไรไม่ออก
ให้นึกถึงพี่ครรชิต หรือพี่Chatchai ไว้
ทั้งสองท่านถือหุ้นมาไม่ได้ขายมาหลายปีแล้ว
แถมพอร์ตก็โตเอาโตเอา

ผมว่าท่านผู้ใหญ่ท่านนั้นคง"เก็งกำไร"หละ
คงไม่ได้ลงทุนแบบเน้นคุณค่าแน่นอน
เผลอๆอาจจะ"เจ็งหุ้น"ไปเยอะก็ได้
เลยมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อตลาดหุ้น

ถ้าอยากได้ความรู้เรื่องการลงทุนแบบเน้นคุณค่า
ก็ต้องคุยกับคนที่รู้เรื่องนี้ซิครับ

ไม่ต้องหมดกำลังใจ
ผมว่าเป็นการดีที่ได้ฝึกจิตใจของเราเองว่า
จะทนกับความเยาะเย้ยและแรงต้านได้มากแค่ไหน

ถ้าผมหมดกำลังใจไปเมื่อหลายปีที่แล้ว
เพราะคนอื่นหาว่าผมบ้า เพราะลงทุนแบบเน้นคุณค่า
ผมคงไม่มีวันนี้

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 27, 2005 10:09 pm
โดย chatchai
ผมเริ่มซื้อหุ้นตั้งแต่ปี 2533 ซื้อแบบเก็งกำไร ผลงานก็ลุ่มๆดอนๆ เกือบหมดกำลังใจไปหลายหน แต่ไม่ท้อครับ พยายามศึกษาหาความรู้ให้มากขึ้น

กว่าจะเริ่มเห็นผลก็ปลายปี 2541 ใช้เวลา 8 ปีครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 27, 2005 10:52 pm
โดย yoyo
Oh+ เขียน:คนอย่างเรา ๆ จะมีสิทธิไปรู้ได้อย่างไรว่า บริษัทกำลังโดนผู้บริหารทำอย่างนี้หรือไม่

พี่ ๆ มีคำแนะนำสำหรับมือใหม่อย่างผมบ้างไหมครับ

ขอบคุณครับ
เราก็ต้องติดตามข่าวเรื่องราวของผู้บริหารครับ
ดูว่าส่งที่เค้าพูดมาเมื่อเวลาผ่านไป เป็นไปอย่างที่เค้าพูดรึเปล่า
ลองหาโอกาสพูดคุยกับผู้บริหาร .. ลองฝึกซักถามผู้บริหารอยู่เรื่อยๆ
ฝึกซักพักผมก็น่าจะพอมองออกว่าคนไหนเป็นแบบไหน เชื่อได้รึเปล่า

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 28, 2005 11:01 am
โดย chatchai
เท่าที่ผมอ่าน ผมว่าการที่ให้บริษัทไปเช่าอาคารหรือที่ดินของผู้บริหารคงไม่ใช่เรื่องที่ผิด ถ้าที่ดินหรืออาคารมีความเหมาะสมในการดำเนินธุรกิจ และราคาค่าเช่ารวมทั้งเงื่อนไขการเชช่าเป็นราคาตลาดครับ

แต่กรณีที่มีการจ่ายเงินค่าเช่าล่วงหน้าเกือบทั้งหมด ผมว่าผู้บริหารของบริษัทคงตอบคำถามลำบากครับ ถ้าเป็นจริง บริษัทนี้คงต้องหลักเลี่ยงที่จะร่วมลงทุนทำธุรกิจด้วยละครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 28, 2005 11:33 am
โดย Tiger
มาเพิ่มเติมรายละเอียดแล้วครับ สำหรับงบดุล BJC

ว่าแบบละเอียดขึ้น ซึ่งเดิมผมไม่ได้พูดถึง
งบ ปรับยอด
เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 864,148 เต็มจำนวน
ลูกหนี้การค้า - สุทธิ 3, 4 3,009,024 เต็มจำนวน
(สำรองหนี้เกิน 6 เดือน 100 %แล้ว ดูจากประวัติ 4-5 ปี สัดส่วนหนี้เกิน 6 เดือน
ก็ขึ้นลง ไม่มากจนน่าเป็นประเด็นครับ)
เงินให้กู้ยืมระยะสั้นและเงินทดรองจ่าย
แก่กิจการที่เกี่ยวข้องกัน - สุทธิ 166
สินค้าคงเหลือ - สุทธิ 2,177,569 1050000
ลดซัก 50% เหลือ 1000 ล้าน (คิดแบบ Conservative)
สินทรัพย์หมุนเวียนอื่น 243,889 ลดซัก 50%
รวมสินทรัพย์หมุนเวียน 6,294,796 ~5100000

สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน
เงินลงทุนซึ่งบันทึกโดยวิธีส่วนได้เสีย 232,325 ลดซัก 50%
เงินลงทุนระยะยาวอื่น - สุทธิ 13,151
ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ - สุทธิ 8,011,647 ไม่ปรับลด
(คิดแบบคร่าว ๆ ครับ มีตึก BJC มีที่ดินโรงงาน สมุทรปราการ มีที่ดินริมน้ำ
ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำการประเมินมูลค่าใหม่มานานแล้วครับ มีที่ดินริมน้ำ กับ
สมุทรปราการ ทำการประเมินครั้งสุดท้ายปี98)
สินทรัพย์ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี 358,601 ไม่ปรับลด
(นำไปตัดกับหนี้สินภาษีเงินได้เต็มจำนวนครับ เป็นเรื่องระบบบัญชีแบบการคิดภาษีตามเวลาที่เกินขึ้นจริง)
สินทรัพย์ไม่มีตัวตน - สุทธิ 19,544
สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่น 170,425
รวมสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน 8,805,693

รวมสินทรัพย์ 15,100,489

สรุปคุณภาพสินทรัพย์โดยรวมก็ดีไม่มีปัญหาครับ
เลยนำเพียงตัวเลขของการลงทุน แก้วกับ กระดาษมาลองคิดแบบให้เห็นภาพรวมครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 28, 2005 11:34 am
โดย Tiger
มาเพิ่มเติมรายละเอียดแล้วครับ สำหรับงบดุล BJC

ว่าแบบละเอียดขึ้น ซึ่งเดิมผมไม่ได้พูดถึง
งบ ปรับยอด
เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 864,148 เต็มจำนวน
ลูกหนี้การค้า - สุทธิ 3, 4 3,009,024 เต็มจำนวน
(สำรองหนี้เกิน 6 เดือน 100 %แล้ว ดูจากประวัติ 4-5 ปี สัดส่วนหนี้เกิน 6 เดือน
ก็ขึ้นลง ไม่มากจนน่าเป็นประเด็นครับ)
เงินให้กู้ยืมระยะสั้นและเงินทดรองจ่าย
แก่กิจการที่เกี่ยวข้องกัน - สุทธิ 166
สินค้าคงเหลือ - สุทธิ 2,177,569 1050000
ลดซัก 50% เหลือ 1000 ล้าน (คิดแบบ Conservative)
สินทรัพย์หมุนเวียนอื่น 243,889 ลดซัก 50%
รวมสินทรัพย์หมุนเวียน 6,294,796 ~5100000

สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน
เงินลงทุนซึ่งบันทึกโดยวิธีส่วนได้เสีย 232,325 ลดซัก 50%
เงินลงทุนระยะยาวอื่น - สุทธิ 13,151
ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ - สุทธิ 8,011,647 ไม่ปรับลด
(คิดแบบคร่าว ๆ ครับ มีตึก BJC มีที่ดินโรงงาน สมุทรปราการ มีที่ดินริมน้ำ
ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำการประเมินมูลค่าใหม่มานานแล้วครับ มีที่ดินริมน้ำ กับ
สมุทรปราการ ทำการประเมินครั้งสุดท้ายปี98)
สินทรัพย์ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี 358,601 ไม่ปรับลด
(นำไปตัดกับหนี้สินภาษีเงินได้เต็มจำนวนครับ เป็นเรื่องระบบบัญชีแบบการคิดภาษีตามเวลาที่เกินขึ้นจริง)
สินทรัพย์ไม่มีตัวตน - สุทธิ 19,544
สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่น 170,425
รวมสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน 8,805,693

รวมสินทรัพย์ 15,100,489

สรุปคุณภาพสินทรัพย์โดยรวมก็ดีไม่มีปัญหาครับ
เลยนำเพียงตัวเลขของการลงทุน แก้วกับ กระดาษมาลองคิดแบบให้เห็นภาพรวมครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 28, 2005 4:45 pm
โดย Oh+
ขอบคุณพี่วิบูลย์ พี่ฉัตรชัย และคุณ yoyo ครับ

ที่ผมเขียนมาเพราะต้องการกำลังใจจริง ๆ

ที่ผ่านมายังไม่มีใครที่ผมจะไปคุยด้วยในเรื่อง vi ได้เลยนอกจากในบอร์ดนี้

สำหรับผู้ใหญ่ที่ผมเคารพ ผมเข้าใจว่าเค้ากลัวผมจะไปคาดหวังกับตลาดมากไปจนเสียการเสียงานหน่ะครับ

ผมยอมรับว่าตัวเองค่อนข้างนิสัยเสีย คือเมื่อสนใจอะไรแล้วมันจะทุ่มเวลาไปกับสิ่งนั้นมากจนเกินไป ซึ่งก็พยายามฝึกบังคับตัวเองอยู่


ผมไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ หรอกครับสำหรับการเรียนรู้นี้ ตอนนี้เก็บเงินครับ ตัดสินใจจะไม่ซื้อตัวไหนทั้งนั้นจนกว่าจะมั่นใจว่ามันใช่ครับ

ตอนนี้มันเหมือนตาบอดยังงัยไม่รู้ คลำ ๆ อะไรยังไม่เจอเลย

ขอบคุณพี่ ๆ ทุกคนอีกครั้งครับ ที่ทำให้ผมรู้สึกว่ามีที่พึ่ง ที่พอจะช่วยให้ผมเดินทางต่อไปได้ครับ :)

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 29, 2005 9:52 am
โดย VIB007
การลงทุนต้องใช้เวลาครับ

ใจเย็นๆค่อยๆฝึกฝนไปเรื่อยๆ อย่ารีบร้อน

มีสามสิ่งที่เราจะต้องสร้างในการลงทุน
1) ความรู้
2) หลักการ
3) ประสบการณ์
ทั้งหมดไม่ได้สร้างได้ในวันเดียว
ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไหร่
เราก็ยิ่งมีสิ่งต่างๆเหล่านี้มากขึ้น

ค่อยๆเรียนรู้ไปครับ
เพราะ การลงทุนคือขบวนการเรียนรู้
แม้แต่นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จแล้ว อย่างบัฟเฟต
ยังบอกว่า ทุกวันคือการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆในการลงทุน

โชคดีครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 01, 2005 3:05 pm
โดย dikdik
คุณวิบูลย์ครับผมอยากถามว่า
1. ถ้าพี่เทพราคา 1000 บาทในวันนี้ คุณวิบูลย์จะขายไหมครับ
2. แล้วถ้าดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล 10ปี 20%ในวันนี้ จะทำให้คุณวิบูลย์ขายพี่เทพออกมาไหมครับ
คือผมอยากรู้ว่าเมื่อไรเราถึงควรจะขายหุ้นที่เราชอบมันมากๆ หรือว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าบริษัทยังเป็นบริษัทที่ดีอยู่ กำไรยังโตอยู่ ยังงัยก็ไม่ขาย

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 01, 2005 4:47 pm
โดย VIB007
dikdik เขียน:คุณวิบูลย์ครับผมอยากถามว่า
1. ถ้าพี่เทพราคา 1000 บาทในวันนี้ คุณวิบูลย์จะขายไหมครับ
2. แล้วถ้าดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล 10ปี 20%ในวันนี้ จะทำให้คุณวิบูลย์ขายพี่เทพออกมาไหมครับ
คือผมอยากรู้ว่าเมื่อไรเราถึงควรจะขายหุ้นที่เราชอบมันมากๆ หรือว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าบริษัทยังเป็นบริษัทที่ดีอยู่ กำไรยังโตอยู่ ยังงัยก็ไม่ขาย
คงลุ้นกันว่าผมจะขายพี่เทพเมื่อไหร่
ผมเองยังไม่รู้เลยครับ

เวลาซื้อหุ้นผมไม่ค่อยมีปัญหา
แต่เวลาขายหุ้นนี่บอกตามตรงว่า ไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่
ขายหุ้นไม่ค่อยเป็นครับ
มักจะขายหมูประจำ
หรือไม่ก็ขายตอนมันผ่านจุดสูงสุดไปแล้วทุกที

ผมไม่ขอตอบนะครับสำหรับคำถามสองข้อข้างบน
เพราะมันเป็นโอกาสที่จะเกิดขึ้นเรียกว่า 0%

วันนี้ราคาหุ้นก็ไม่มีทางถึง 1,000 บาท
(เพราะตลาดหุ้นปิด ฮ่า ฮ่า
ถึงแม้จะเปิดก็เกิน Ceiling อยู่ดี)
และดอกเบี้ยก็ไม่มีทางไต่ไปถึง 20% ได้ในวันนี้
ที่ถามมานี่ เรียกว่าเกิน optimistic ไปมากๆ
เวอร์มากๆเลยทีเดียว

แต่ผมให้หลักการไว้แล้วกัน
เขียนไว้ในคอลัมน์ Value Way แล้ว
แต่คุณมนลืมเอาไปรวมเล่มในหนังสือ อิ อิ

ถามว่าเมื่อไหร่จะขายหุ้น
มี 4 เหตุผล
หนึ่ง - เมื่อรู้ว่าซื้อหุ้นผิดตัว หรือ บริษัทไม่ได้เป็นไปตามที่เราคิดไว้
สอง - เมื่อพื้นฐานกิจการเปลี่ยนแปลงอย่างถาวร
สาม - เมื่อมีโอกาสในการลงทุนที่ดีกว่า
สี่ - ราคาหุ้นสูงเกินพื้นฐานไปมาก

รายละเอียดลองหาอ่านจากบทความ Value Way เก่าๆนะครับ
เดี๋ยวผมเอามาแปะไว้ให้ก็ได้

อ่านแล้วลองคิดดูเอาเองนะครับว่าผมจะขายพี่เทพหรือเปล่า
บทความ Value Way ฉบับวันที่ 3 กันยายน 2547
โดย วิบูลย์ พึงประเสริฐ
VI ถือหุ้นนานแค่ไหน
นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิดคิดว่า การซื้อหุ้นมาแล้วถือไว้นานๆโดยไม่ขาย คือ การลงทุนแบบ Value Investing หรือ การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ซึ่งนับว่าเป็นความเข้าใจผิดอันดับแรกๆ

สาเหตุหนึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่า เพราะการที่เราได้ยินได้ฟังถึงการประสบความสำเร็จของนักลงทุนแบบเน้นคุณค่านั้น มักจะพบว่ามาจากการถือหุ้นบริษัทหนึ่งๆเป็นเวลานานหลายๆปี จนมูลค่าของหุ้นมีราคาสูงกว่าที่ลงทุนซื้อมาเป็นอย่างมาก

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าหลังจากที่ลงทุนในหุ้นบริษััทใดบริษัทหนึ่งแล้ว นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า จะไม่ดำเนินการขายหุ้นออกไปเลย

เหตุผลหลักๆที่ทำให้ นักลงทุนแบบเ้น้นคุณค่า มักจะขายหุ้นที่ถืออยู่ออกไปมีดังต่อไปนี้

หนึ่ง เมื่อพบว่าตัดสินใจลงทุนผิด
ไม่ว่าจะใช้เวลานานเพียงใดก็ตาม อาจจะเป็นหนึ่งวัน หนึ่งเดือน หรือ หนึ่งปี ถ้านักลงทุนพบว่า บริษัทที่ได้ซื้อลงทุนไว้นั้นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด จะต้องทำการขายออกจากพอร์ตทันที ไม่ว่าจะกำไรหรือขาดทุนอยู่เท่าไหร่ก็ตาม

ขณะที่นักลงทุนทั่วไปมักจะขายหุ้นที่มีราคาสูงกว่าที่ซื้อมาออกไปเพื่อทำกำไร และมักจะเก็บหุ้นที่่กำลังขาดทุนเอาไว้เพื่อรอวันราคาหุ้นดีดกลับมาที่ราคาที่ได้ซื้อไว้ กลยุทธการลงทุนแบบ กำไรขายออก ขาดทุนเก็บไว้ เช่นนี้ จะไช้ได้ผลดีในภาวะตลาดขาขึ้น เพราะราคาหุ้นจะลดลงเพียงชั่วคราวแล้วกลับมีราคาสูงขึ้นในระยะเวลาอันสั้น ทำให้โอกาสขาดทุนมีน้อย ดังนั้นเราจะพบว่าในภาวะตลาดขาขึ้นจะมี เซียนหุ้นเดินกันเต็มออฟฟิศเต็มสำนักงานไปหมด เพราะเซียนสมัครเล่นต่างใช้กลยุทธที่ว่ามานี้เป็นส่วนใหญ่ แต่ถ้าเป็นภาวะตลาดขาลง กลยุทธการลงทุนแบบนี้จะทำให้เกิดภาวะการขาดทุนที่บางครั้งอาจจะประเมินไม่ได้ เพราะเมื่อถึงคราวหุ้นขาลง ไม่มีใครบอกได้ว่า ราคาหุ้นจะลงไปได้มากน้อยเพียงใด
เลยพลอยทำให้เซียนตามออฟฟิศหายหน้าหายตาไปด้วย

นักลงทุนสมัครเล่นบางท่าน ทำกำไรได้อย่างมากมายจากการใช้กลยุทธ กำไรขายออก ขาดทุนเก็บไว้ เมื่อปีที่่แล้ว พ.ศ. 2547 ที่ตลาดหุ้นเป็นภาวะกระทิง ดัชนีขึ้นมามากกว่า 100% แต่การใช้กลยุทธเดิมอย่างที่ว่าในปีนี้ กลับทำให้ต้องนำกำไรที่ได้รับเมื่อปีที่แล้วกลับคืนให้ตลาดหุ้นไปอย่างน่าเสียดาย
เพราะราคาหุ้นได้ลดลงต่ำกว่าที่ได้ซื้อลงทุนมาเป็นจำนวนมาก

สำหรับนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า ถ้าพบว่าบริษัทที่ซื้อมาเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด แล้วรีบขายออกไปทันที ถึงแม้จะขาดทุนอยู่ก็ตาม จะช่วยลดภาระการขาดทุนที่อาจจะเกิดมากขึ้นจากการถือหุ้นนั้นเป็นเวลานานได้

สอง เมื่อพื้นฐานบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงอย่างถาวร
พื้นฐานของบริษัทในตลาดหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพราะในสภาพความเป็นจริง ธุรกิจจะไม่อยู่นิ่ง การแข่งขันในธุรกิจมีการดำเนินไปอยู่ตลอดตราบที่ธุรกิจยังคงอยู่ ดังนั้น นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า จึงควรที่จะหมั่นตรวจสอบสภาพพื้นฐานของบริษัทที่กำลังลงทุนอยู่เป็นระยะๆ

ข้อมูลข่าวสารที่ได้รับไม่ว่าจะเป็นจาก ข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์ ทางวิทยุ โทรทัศน์ หรือ ทางนิตยสาร รวมถึงจากเวปไซต์ทางอินเตอร์เนต ล้วนมีประโยชน์ต่อนักลงทุนในการวิเคราะห์ถึงปัจจัยพื้นฐานของบริษัทนั้นๆ

การเข้าใจถึงสภาพพื้นฐานการดำเนินธุรกิจของบริษัทที่ลงทุนเป็นอย่างดี เป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยทำให้นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า ไม่หวั่นไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นในระยะสั้น ถึงแม้ข่าวสารที่ได้รับจะทำให้ตลาดหุ้นตอบรับกับข่าวนั้นอย่างปัจจุบันทันด่วนทันที ข่าวร้ายอาจจะทำให้ราคาหุ้นลดลงในเวลาอันรวดเร็ว แต่ถ้านักลงทุนสามารถวิเคาระห์ได้ว่า ผลกระทบของสาเหตุนั้นไม่มีผลกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่ลงทุนแต่อย่างใด ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องไปเป็น กระต่ายตื่นตูม เหมือนกับนักลงทุนทั้งหลายในตลาดหุ้นที่กำลังเทขายหุ้นอยู่ตอนนั้น

แต่ถ้าหลังจากวิเคาระห์ข้อมูลข่าวสารที่ได้รับแล้ว นักลงทุนพบว่า พื้นฐานของบริษัทที่ลงทุนอยู่กำลังมีการเปลี่ยนไปอย่างถาวร อาจจะเนื่องมากจากปัจจัยหลายๆอย่างในการดำเนินธุรกิจ เช่น มีสินค้าที่เข้ามาทดแทนสินค้าหลักของบริษัทและ ผู้บริโภคกำลังเปลี่ยนไปซื้อสินค้าทดแทนเหล่านั้นอย่างช้าๆ รวมทั้งบริษัทก็ไม่ได้หาหนทางที่จะพัฒนาผลิตภัณท์ใหม่ๆออกมา เพื่อปกป้องส่วนแบ่งทางการตลาดของตนเอาไว้ นักลงทุนควรจะถามตนเองว่าจะยังเก็บหุ้นบริษัทเหล่านั้นไว้อยู่หรือไม่

ลองนึกถึงบริษัทที่ผลิตเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้า ซึ่งเมื่อสัก 20-30 ปีก่อนเป็นสินค้าที่ทันสมัย และมีความจำเป็นต้องใช้ทุกสำนักงาน แต่ปัจจุบันจะหาสักบริษัทที่มีเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าประดับโต๊ะทำงานนั้นหาได้ยากเต็มทน ยกเว้นบริษัทที่ตั้งมานานแล้วหลายสิบปี หรือตามสำนักงานของทางราชการอาจจะยังมีหลงเหลืออยู่บ้าง ถ้าบริษัทที่ผลิตหรือจำหน่ายเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าไม่ปรับตัวเองให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นก็ต้องล้มละลาย หรือไม่ก็ต้องถูกควบรวมกิจการไป

นอกเหนือจากสินค้าทดแทนของคู่แข่งที่อาจทำให้พื้นฐานกิจการเปลี่ยนแปลงแล้ว การเปลี่ยนแปลงกฏระเบียบข้อบังคับของทางราชการ กระทรวงต่างๆ หรือ การเปลี่ยนแปลงทางกฏหมาย ก็อาจจะทำให้เกิดผลกระทบกับบริษัทอย่างถาวรได้เช่นเดียวกัน

ดังนั้น ถ้านักลงทุนแบบเน้นคุณค่าพบว่า พื้นฐานกิจการของบริษัทที่กำลังลงทุนอยู่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวร ก็ไม่ควรลังเลที่จะขายหุ้นของบริษัทนั้นออกไป ไม่ว่าจะกำไร หรือขาดทุนอยู่สักเท่าไหร่ รวมทั้งไม่ว่าจะถือหุ้นมานานแค่ไหนก็ตาม

สาม เมื่อมีโอกาสในการลงทุนที่ดีกว่า
สำหรับการลงทุนแบบเน้นคุณค่า การตัดสินใจซื้อหุ้นสักบริษัทหนึ่งซึ่งนับว่ายากมากพอสมควรแล้ว เพราะก่อนที่จะตัดสินใจซื้อหุ้นได้ จำเป็นจะต้องรู้ทุกแง่ทุกมุมของบริษัทนั้นเป็นอย่างดี รวมทั้งต้องทำการบ้านมาอย่างหนัก คิดง่ายๆก็เหมือนกับการที่จะทำการลงทุนซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยสักหลังหนึ่ง แต่การตัดสินใจขายหุ้นที่ได้ลงทุนไว้แล้วนั้น บางครั้งกลับยากยิ่งกว่าการตัดสินใจซื้อหลายเท่า เพราะสาเหตุหนึ่งก็คือหาหุ้นที่จะนำไปเปลี่ยนได้ไม่ง่ายนัก นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าหลายๆท่านเลยยังคงถือหุ้นที่ได้ลงทุนมาเป็นเวลานาน ไม่ยอมเปลี่ยน จนทำให้นักลงทุนเปรียบการซื้อหุ้นเหมือนกับการเลือกภรรยา หรือสามีเพื่อแต่งงานเลยทีเดียว เรียกว่า คิดหนักกว่าการซื้อบ้านหลายเท่า

แต่การติดตามตลาดหุ้นอยู่เป็นระยะๆ จะพบว่า โอกาสในการลงทุนนั้นเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ นักลงทุนจึงอาจจะจำเป็นต้องขายหุ้นบริษัทหนึ่งเพื่อไปซื้อหุ้นอีกบริษัทหนึ่งที่ดีกว่าแทน การตัดสินใจเช่นนี้ นักลงทุนจะต้องมั่นใจในหุ้นบริษัทใหม่ว่ามีพื้นฐานที่ดีกว่า รวมทั้งมีราคาที่เหมาะสมกับการลงทุนมากกว่า
มิฉะนั้น ถ้าขายหุ้นเดิมไปอาจจะต้องมาเสียดายหุ้นที่ขายไปแล้ว ที่ไม่มีโอกาสได้ซื้อกลับคืนในราคาเดิม เพราะอาจจะพบว่าหุ้นเดิมเป็นหุ้นที่ดีกว่าหุ้นที่ซื้อมาใหม่ในภายหลัง

บางครั้งโอกาสในการลงทุนที่ดีกว่า อาจจะไม่ได้หมายถึงการเปลี่ยนไปซื้อหุ้นบริษัทใหม่เพียงอย่างเดียว บางท่านอาจจะพบว่า การขายหุ้นเพื่อนำไปทำธุุรกิจอย่างอื่น หรือ ลงทุนในพันธบัตรในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยสูงๆ อาจจะเป็นโอกาสในการลงทุนที่ดีกว่าก็เป็นได้

ทั้งสามข้อ คือ เหตุผลสำคัญในการขายหุ้นของนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า แต่ก็มีเหตุผลอีกหลายประการที่ทำให้นักลงทุนจำเป็นต้องขายหุ้นออกไป เช่น เมื่อราคาหุ้นสูงเกินพื้นฐานมากๆ แต่เนื่องด้วยความซับซ้อนของการหาราคาหุ้น จึงต้องกล่าวถึงหัวข้อนี้ในโอกาสต่อไป

จากที่กล่าวมาแล้วนั้น นักลงทุนคงจะมีความเข้าใจมากขึ้นว่า วิธีการลงทุนแบบ Value Investing ไม่ใช่การถือหุ้นยาวๆโดยไม่ได้ทำอะไรเลยอย่างที่นักลงทุนส่วนใหญ่เข้าใจกัน

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 01, 2005 7:12 pm
โดย dikdik
ขอบคุณคุณวิบูลย์มากครับ ผมก็เป็นแฟนคอลัมณ์คุณวิบูลย์กับคุณมนตรี ใน BIZWEEK เหมือนกัน แม้จะไม่ได้อ่านทุกอาทิตย์ แต่บทความที่คุณวิบูลย์ยกมานี้ผมอ่านแล้ว แต่มันก็คงตัดสินใจยากอยู่ดีว่าจะขายหุ้นเมื่อไหร่ในอนาคต หรือว่าจะไม่ขายเลยดี ถือมันตลอดชีวิตเลย
ผมขออนุญาติถามอีกคำถามนึงนะครับ กรณีถ้าเราต้องการถือหุ้นตัวนึงที่เราคิดว่าดีและชอบบริษัทนี้มาก และคิดว่าจะถือหุ้นไปตลอดชีวิตเรา ถ้าเราคิดว่าบริษัทจะมีอัตราการเติบโตของกำไรเฉลี่ยตลอดช่วงชีวิตเราที่เหลือประมาณ10% ต่อปี(บางปีอาจจะมาก บางปีอาจจะน้อยจนขาดทุน) ไปเรื่อยๆ การที่เราเข้าซื้อหุ้นที่ราคาหุ้นละ 500บาท กับ 550บาท ก็จะต่างกันน้อยมาก ผมคิดอย่างนี้นี่จะถูกไหมครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 01, 2005 7:28 pm
โดย harry
ขออนุญาตเสริม

สิ่งที่ผมคิดอยู่ในตอนนี้ คือหากิจการที่เราอยากทำ และคิดว่าเข้าใจได้ดี ถือหุ้นไว้เสมือนกิจการของเราเอง ที่ต้องคอยดูแลให้ดีต่อไป และส่งต่อให้ลูกหลานได้ แล้วก็ซื้อเพิ่มเมื่อมีโอกาส

ดังนั้นผมจะไม่ขายออกไป ถ้าไม่แย่จริงๆ ส่วนจะซื้อที่เท่าไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าเราพอใจกับผลการดำเนินงาน ผลกำไร และปันผล มากน้อยแค่ไหนครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ค. 02, 2005 11:00 pm
โดย thanwa
มาให้กำลังใจคุณ Oh+ อีกคนครับ
ผมว่าคุณวิบูลย์ตอบได้ดีอยู่แล้ว

อีกอย่างผมเชื่อว่า TVI แห่งนี้
จะทำให้นักลงทุนรุ่นใหม่มีทัศนคติต่อการลงทุนแบบเน้นคุณค่าดีขึ้น

ผู้ใหญ่ที่เรานับถืออาจจะมีหลายเรื่องที่นับถือครับ แต่ก็ไม่ไ้ด้หมายความว่าท่านถูกทุกๆเรื่องครับ
เรื่องการลงทุนแนว VI อาจจะยังไม่เป็นที่แพร่หลาย อาจจะทำให้ท่านให้ความเห็นจากประสบการณ์ที่ได้รับ
ผู้ใหญ่หลายท่านคงเป็นห่วงเนื่องจากทิศทางของเศรษฐกิจยังไม่แน่นอน
ก็เลยเตือนด้วยความหวังดีครับ ยังคงรับมาพิจารณา และตัดสินด้วยตัวเราเองครับ

เรื่องเศรษฐกิจ ท่าน ดร.นิเวศน์ พูดได้ดีในวันสัมนาครับ
ผมเขาใจว่าท่านจะให้ความเห็นเรื่องนี้เพิ่มขึ้นในบทความของท่านเร็วๆ นี้ครับ

ก้มหน้าก้มตาศึกษาต่อเถอะครับ แถวนี้มีคนคอยให้กำลังและให้คำแนะนำเยอะครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 04, 2005 8:29 am
โดย Oh+
thanwa เขียน:มาให้กำลังใจคุณ Oh+ อีกคนครับ
ผมว่าคุณวิบูลย์ตอบได้ดีอยู่แล้ว

อีกอย่างผมเชื่อว่า TVI แห่งนี้
จะทำให้นักลงทุนรุ่นใหม่มีทัศนคติต่อการลงทุนแบบเน้นคุณค่าดีขึ้น

ผู้ใหญ่ที่เรานับถืออาจจะมีหลายเรื่องที่นับถือครับ แต่ก็ไม่ไ้ด้หมายความว่าท่านถูกทุกๆเรื่องครับ
เรื่องการลงทุนแนว VI อาจจะยังไม่เป็นที่แพร่หลาย อาจจะทำให้ท่านให้ความเห็นจากประสบการณ์ที่ได้รับ
ผู้ใหญ่หลายท่านคงเป็นห่วงเนื่องจากทิศทางของเศรษฐกิจยังไม่แน่นอน
ก็เลยเตือนด้วยความหวังดีครับ ยังคงรับมาพิจารณา และตัดสินด้วยตัวเราเองครับ

เรื่องเศรษฐกิจ ท่าน ดร.นิเวศน์ พูดได้ดีในวันสัมนาครับ
ผมเขาใจว่าท่านจะให้ความเห็นเรื่องนี้เพิ่มขึ้นในบทความของท่านเร็วๆ นี้ครับ

ก้มหน้าก้มตาศึกษาต่อเถอะครับ แถวนี้มีคนคอยให้กำลังและให้คำแนะนำเยอะครับ
ขอบคุณครับ สำหรับกำลังใจ

ตอนนี้พยายามศึกษาครับ เลิกดูราคาหุ้นแล้ว กลับไปอ่าน buffet technology อีกรอบ อยากหาวิธีการให้ตัวเอง อีกเรื่องหนึ่งที่ยังทำไมได้คือมองอนาคตของบริษัทไม่ออกซ่ะที คงต้องใช้เวลา ......

แต่ยังงัยก็ ยังสู้ต่อครับ


สู้เค้าได้มดแดง............. :D

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 04, 2005 4:32 pm
โดย VIB007
dikdik เขียน:ขอบคุณคุณวิบูลย์มากครับ ผมก็เป็นแฟนคอลัมณ์คุณวิบูลย์กับคุณมนตรี ใน BIZWEEK เหมือนกัน แม้จะไม่ได้อ่านทุกอาทิตย์ แต่บทความที่คุณวิบูลย์ยกมานี้ผมอ่านแล้ว แต่มันก็คงตัดสินใจยากอยู่ดีว่าจะขายหุ้นเมื่อไหร่ในอนาคต หรือว่าจะไม่ขายเลยดี ถือมันตลอดชีวิตเลย
อันนี้ก็แล้วแต่การตัดสินใจของแต่ละคนนะครับ
จะว่าไป วอร์เรนก็"ขายหมู"บ่อยๆ
และก็"ติดดอย"ก็มากนะครับ

การลงทุนไม่มี"สุตรสำเร็จ"ครับ
ทุกอย่างต้องมาจาก"การตัดสินใจ"ของเราเอง

ไม่น่าแปลกที่อ่านแล้วก็ไม่รู้อยู่ดีว่าจะขายหรือจะถือ
เพราะถ้าตอบตัวเองไม่ได้
คนอื่นก็ตอบแทนไม่ได้ครับ
dikdik เขียน:ผมขออนุญาติถามอีกคำถามนึงนะครับ กรณีถ้าเราต้องการถือหุ้นตัวนึงที่เราคิดว่าดีและชอบบริษัทนี้มาก และคิดว่าจะถือหุ้นไปตลอดชีวิตเรา ถ้าเราคิดว่าบริษัทจะมีอัตราการเติบโตของกำไรเฉลี่ยตลอดช่วงชีวิตเราที่เหลือประมาณ10% ต่อปี(บางปีอาจจะมาก บางปีอาจจะน้อยจนขาดทุน) ไปเรื่อยๆ การที่เราเข้าซื้อหุ้นที่ราคาหุ้นละ 500บาท กับ 550บาท ก็จะต่างกันน้อยมาก ผมคิดอย่างนี้นี่จะถูกไหมครับ
ไม่เข้าใจคำถามครับ

แล้วหุ้นที่ว่านั้นมีมูลค่าเท่าไหร่หละครับ
หุ้นกำไรปีละ 10% เท่ากันอาจจะมีมูลค่าต่างกันก็ได้ครับ
ราคาเป็นสิ่งสุดท้ายที่เราจะดู
ถ้าเริ่มต้นที่"ราคา"ก่อน ผมว่าเราอาจจะหลงทางได้ครับ

ข้อมูลที่ให้ไม่เพียงพอที่จะตอบได้ครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 04, 2005 10:30 pm
โดย dikdik
คือผมหมายถึงกำไรของบริษัทมีการเติบโตขึ้นโดยเฉลี่ย10% ต่อปีน่ะครับ ไม่ใช่บริษัทมีกำไร10%ของราคาที่ซื้อ
ปกติผมจะมีเงินออมในทุกเดือน ผมมักจะมีปัญหาในการเข้าซื้อหุ้น ยกตัวอย่างเช่นPTT ถ้าผมคิดว่าบริษัทจะมีกำไรเติบโตเฉลี่ยซัก10% ต่อปี ตลอดช่วงชีวิตผม การที่ผมเข้าซื้อหุ้นบริษัทที่ราคา230 บาท เทียบกับ ซื้อที่200 บาท ในตอนนี้ แล้วผมถือไปอีก30 ปี ถึงตอนนั้นความแตกต่างของกำไรของทั้งสองกรณีน่าจะน้อยหรือเปล่าครับ ผมจะได้ไม่ต้องรอให้ราคาลงมา(คือประเภทวัยรุ่นใจร้อน แม้อายุเลยมาไกลแล้ว) และผมจะได้ลดเวลาในการเฝ้าดูราคาหุ้นลงด้วยครับ
ผมเอ่ยชื่อหุ้น ถ้ามีปัญหาก็ลบทิ้งได้เลยนะครับ ผมไม่รู้เรื่องกฎของกลต.เหมือนกัน

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 04, 2005 10:38 pm
โดย harry
ผมเห็นวอร์เรน พูดถึงผู้บริหาร ได้ดีมาก แต่น้อยมาก

คือแค่ เค้าบริหารด้วยใจ รักในงาน ไม่ใช่กอบโกย หวังผลประโยชน์ส่วนตัว

แต่ผมว่ามันน่าจะมีมากกว่านี้นะ

เพราะเห็นพวกเราให้ความสำคัญกับมันมาก และก็ควรเน้นอยู่แล้ว

แต่เหมือนเมืองไทย กับ ตลาดหุ้นไทย แทบจะหาดีไม่ได้เลยมั้ง เฮ้อ...

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ ก.ค. 06, 2005 9:48 am
โดย VIB007
dikdik เขียน:คือผมหมายถึงกำไรของบริษัทมีการเติบโตขึ้นโดยเฉลี่ย10% ต่อปีน่ะครับ ไม่ใช่บริษัทมีกำไร10%ของราคาที่ซื้อ
ปกติผมจะมีเงินออมในทุกเดือน ผมมักจะมีปัญหาในการเข้าซื้อหุ้น ยกตัวอย่างเช่นPTT ถ้าผมคิดว่าบริษัทจะมีกำไรเติบโตเฉลี่ยซัก10% ต่อปี ตลอดช่วงชีวิตผม การที่ผมเข้าซื้อหุ้นบริษัทที่ราคา230 บาท เทียบกับ ซื้อที่200 บาท ในตอนนี้ แล้วผมถือไปอีก30 ปี ถึงตอนนั้นความแตกต่างของกำไรของทั้งสองกรณีน่าจะน้อยหรือเปล่าครับ ผมจะได้ไม่ต้องรอให้ราคาลงมา(คือประเภทวัยรุ่นใจร้อน แม้อายุเลยมาไกลแล้ว) และผมจะได้ลดเวลาในการเฝ้าดูราคาหุ้นลงด้วยครับ
ถ้ากะจะถือ 30 ปี
ดูแนวโน้มธุรกิจแล้วยังไปได้อีกไกล
ราคา 200 กับ 230 ไม่ได้ต่างกันเลยครับ
ในระยะสั้นอาจจะ"ขาดทุน"บ้าง
แต่ถ้าถือเกิน 10 ปีแล้วแทบไม่ต่างกัน
เพราะระยะเวลาที่นานมาก
ทำให้ความผันผวนของราคามีผลน้อยมากครับ
ซื้อแล้วไม่ต้องดูราคาไปได้อีกนาน

แต่จริงๆแล้ว เราจะ"อดใจ"ไม่ดูราคาหุ้นได้นานแค่ไหน
อันนี้สำคัญกว่านะครับ ผมว่า

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ค. 07, 2005 5:21 pm
โดย Mon money
เอาเงินไปฝากโจร น่าคิด...น่าคิด

ก็อย่าเอาเงินไปฝากโจรซิคุณ...

ผมไม่เห็นว่าเราจะต้องรีบเร่งลงทุนในตอนที่เรายังหาที่ดีๆลงทุนไม่ได้...

ยังหาไม่ได้ ไม่ดี ไม่ถูกใจ ทำไมต้องเอาเงินไปให้เขา

ในหนึ่งปี ผมซื้อหุ้นไม่เกินสามบริษัท เวลาที่เหลือ นั่งดูรายละเอียดบริษัทที่สนใจและรับส่งลูกเมียก็หมดแล้ว

จริงๆแล้วเราหาบริษัทที่ดีไม่ได้ หรือใจเรามันไม่มั่นกันแน่

อิ อิ...วันนี้PTLลงมาทำLow ที่5.10 แน่ะ ผมขาดทุนไปอื้อเลย :lovl:

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 10, 2005 4:21 pm
โดย VIB007
Mon money เขียน:
อิ อิ...วันนี้PTLลงมาทำLow ที่5.10 แน่ะ ผมขาดทุนไปอื้อเลย :lovl:
ถ้ามองโลกในแง่ดีก็คือ
ได้มีโอกาสซื้อหุ้นในราคาถูกกว่าทุนไง ท่านมน ฮ่า ฮ่า

ผมให้ยืมคาถาประจำใจครับ
"ในระยะสั้นราคาหุ้นอาจจะผันผวนไปมา
แต่ในระยาวราคาจะเป็นไปตามผลประกอบการ"

อาจารย์เกรแฮมสอนไว้เมื่อห้าสิบปีที่แล้วครับ

หุ้นลงได้ก็ขึ้นได้
หุ้นขึ้นได้ก็ลงได้
เป็นสัจธรรม เป็นเรื่องธรรมชาติมากๆ

ว่าแต่ว่า ผมก็ขาดทุนเหมือนกันน่ะ ตอนนี้
แต่กลับดีใจได้ซื้อหุ้นราคาถูกลงกว่าเดิม
คนถึงหาว่า"บ้า"ไง

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 10, 2005 8:17 pm
โดย chatchai
VIB007 เขียน: หุ้นลงได้ก็ขึ้นได้
หุ้นขึ้นได้ก็ลงได้
เป็นสัจธรรม เป็นเรื่องธรรมชาติมากๆ
ไม่จริงครับ เพราะราคาหุ้นบางบริษัทลงประเภท ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่นนะซิครับ ไม่เชื่อลองถามผู้ถือหุ้นสถาบันการเงินช่วงวิกฤตดูก็ได้ครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 11, 2005 8:11 am
โดย dikdik
ผมอยากให้พี่เทพลงมาบ้างจัง อยากบ้าแบบคุณวิบูลย์บ้าง แต่ทำไมไม่เห็นมันลงมาเลย มีแต่ขึ้น มีแต่ขึ้น โชคดีก่อนหน้านี้ใจแข็งซื้อไว้ได้ทั้งๆที่รู้สึกว่าราคามันก็สูงอยู่แล้ว เจอสูงกว่าอีก สงสัยต้องหาโอกาสใจแข็งอีกรอบนึงแน่เลย

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 15, 2005 5:03 pm
โดย Loby
สวัสดีครับพี่ๆ ผมขอรบกวนช่วยวิเคราะห์ CHARAN กับ KDH ให้ด้วยครับ
ผมถือ2ตัวนี้อยู่ เพราะเห็นว่าราคาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน จ่ายปันผลดี และมีกำไรสะสมพอสมควร ผมคิดว่าจะถือยาวสัก 3-5 ปี รับปันผลไปเรื่อยๆ จนกว่าราคาจะสูงกว่าพื้นฐาน (1.5เท่า)

พี่ๆในบอร์ดนี้คิดว่าดีรึเปล่าครับ รบกวนช่วยแสดงความเห็นหน่อยนะครับ

ขอบคุณครับ :lol: :D

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ค. 16, 2005 10:29 am
โดย ลูกอิสาน
Loby เขียน:สวัสดีครับพี่ๆ ผมขอรบกวนช่วยวิเคราะห์ CHARAN กับ KDH ให้ด้วยครับ
ผมถือ2ตัวนี้อยู่ เพราะเห็นว่าราคาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน จ่ายปันผลดี และมีกำไรสะสมพอสมควร ผมคิดว่าจะถือยาวสัก 3-5 ปี รับปันผลไปเรื่อยๆ จนกว่าราคาจะสูงกว่าพื้นฐาน (1.5เท่า)

พี่ๆในบอร์ดนี้คิดว่าดีรึเปล่าครับ รบกวนช่วยแสดงความเห็นหน่อยนะครับ

ขอบคุณครับ :lol: :D
ก่อนอื่นต้องยกคำพูดของวอเรนต์ที่พี่วิบูลย์นำมาพูดบ่อยๆนะครับ
" เราจะถูกหรือผิดก็เพราะเหตุและผลของความเป็นจริง ไม่ใช่เพราะว่ามีใครมาบอกว่าเราถูกหรือผิด"

ดังนั้นหากมีผมหรือใคร มาบอกว่าหุ้นเหล่านี้ดีหรือ
ไม่ดี ก็ต้องพิจารณาประโยคข้างต้นนะครับ หุ้นทั้ง 2 ตัวนี้ผมไม่เคยถือและไม่เคยดูงบครับ แต่หากให้เดาผมคิดว่าคุณ Loby เลือกหุ้นโดยดูที่งบการเงินเป็นหลัก ดูยอดขาย-กำไร ดูผลตอบแทนเงินปันผล ซึ่งวิธีนี้เป็นการเลือกซื้อหุ้นโดยดูข้อมูลที่เป็นปริมาณ(ตัวเลข) ข้อดีคือวัดได้ง่าย เพราะเป็นตัวเลขชัดเจน มีความปลอดภัยค่อนข้างสูง เพราะงบการเงินดี มีปันผลสูง
นักลงทุนที่เริ่มลงทุนตามปัจจัยพื้นฐาน มักจะลงทุนในหุ้นลักษณะนี้ครับ
ข้อด้อยคือหุ้นลักษณะนี้มักไม่มีอะไรที่โดดเด่นมาก ที่จะสร้างกำไรอย่างมีนัยสำคัญให้กับผู้ถือหุ้น

วิธีการวิเคราะห์อีกวิธีคือการพิจารณาจากปัจจัยคุณภาพ เช่นความสามารถในการแข่งขัน ผู้บริหาร

ความสามารถในการแข่งขัน - ต้องมาพิจารณว่าจรัญประกันภัยมีอะไรที่เป็นจุดเด่นที่ได้เปรียบคู่แข่งขันอีกนับสิบบริษัท บริษัทมีช่องทางจัดจำหน่ายแข่งขันกับคู่แข่งที่เป็นบริษัทใหญ่ๆ หรือบริษัทประกันที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารได้หรือเปล่า เป็นต้น หรืออย่างกรณี KDH (น่าจะเป็นรพ.กรุงธน) กิจการมีข้อดี-ข้อเด่นอย่างไร มีต้นทุนที่แข่งขันกับโรงพยาบาลเครือข่ายใหญ่ๆได้หรือเปล่า มีคู่แข่งที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงหรือเปล่า มีแผนงานอะไรที่จะเพิ่มกำไรให้กิจการ

ผู้บริหาร - เคยมีประวัติที่ไม่ดีหรือเปล่า มีการคานอำนาจของผู้ถือหุ้นหรือเปล่า มีรายการระหว่างกันหรือเปล่า มีความกระตือรือร้นในการบริหารงานหรือเปล่า(พิจารณาจากการไปประชุมผู้ถือหุ้น)

เมื่อเราได้พิจารณาทั้งปัจจัยด้านปริมาณและด้านคุณภาพแล้ว เราก็จะได้คำตอบครับว่าเป็นหุ้นที่เราควรจะลงทุนหรือเปล่า :D