หน้า 56 จากทั้งหมด 89

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ธ.ค. 06, 2009 9:54 pm
โดย ลูกอิสาน
tanapol เขียน:หลังจากกระทู้เบนเข็มไปในทางธรรม ซะเยอะผมขออนุญาตพี่โจกลับเข้ามาทางโลกหน่อยนะครับไม่ทราบว่าพี่โจมีความเห็นต่อ kiat อย่างไรครับ ขอบคุณครับ
จุดเด่นของ KIAT คือมี ROA ROE สูงมาก เหตุผลเพราะมีความสามารถในการทำกำไรสูง กำไรสุทธิ(หักภาษี30%แล้ว) ยังทำได้ถึง 25% ของยอดขาย บริษัทรับขนส่งสินค้าอันตรายประเภทสารเคมี เชื้อเพลิงแก็ส แร่โลหะ ซึ่งเป็นสินค้าเฉพาะนี่คงเป็นสาเหตุที่มีกำไรสูง บางท่านบอกว่าที่กำไรสูงเพราะแบกรับความเสี่ยงสูง(ขนส่งสินค้าอันตราย) บริษัทมีงบดุลที่ดีมีหนี้สิน/ทุนต่ำ ประมาณ 0.5 เท่า การขายหุ้น IPO จะทำให้บริษัทได้เงินที่ไม่มีต้นทุนมาอีกประมาณ 160 ล้าน เปรียบเทียบกับสินทรัพย์ 425 ล้านก็ประมาณ 35% บริษัทนำเงินนี้ไปซื้อสินทรัพย์(รถบรรทุก) ซึ่งสามารถนำไปหารายได้ สร้างกำไรได้อีก หากมีการกู้เงินอีก 80 ล้านเพื่อให้ D/E 0.5 เท่าเหมือนเดิม บริษัทจะซื้อสินทรัพย์ได้ถึง  240 ล้าน นั่นคือถ้าบริษัทมีลูกค้ารองรับ บริษัทก็มีกำไรเพิ่มค่อนข้างแน่ และตั้งแต่ปี 53 เป็นต้นไป 5 รอบปีบัญชีบริษัทจะได้รับการลดภาษีจาก 30 % เหลือ 20% ถือว่ามีนัยยะสำคัญ  ผู้บริหารให้ข่าวว่าอยู่ในระหว่างการประมูลงานเพิ่มอีกหลายโครงการ รวมถึงการขนส่งระหว่างประเทศ วัตถุประสงค์ที่เอาบริษัทเข้าตลาด ไม่ใช่เพื่อเงิน แต่เพื่อความน่าเชื่อถือซึ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจที่บริษัทกำลังทำ  โดยรวมผมคิดว่าธุรกิจของบริษัทค่อนข้างมีอนาคตครับ เพราะโรงงานเคมีเกิดเพิ่มขึ้นทุกๆปี ธุรกิจการขนส่งก็โตตามไปด้วย รวมไปถึงโรงงานเหมืองแร่ในประเทศลาวก็เพิ่มขึ้นมาก รวมถึงพลังงานทดแทนอย่างแก็ส NGV ที่บริษัทรับขนส่งเพียง 5% นั่นแสดงว่ายังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก บริษัทมีงบดุลที่ดี ไม่มีต้นทุนเงินกู้ ได้ลดภาษี เป็นบริษัทมหาชน ไม่เคยมีอุบัติเหตุที่ร้ายแรง ผมคิดว่านี่เป็นจุดเด่นของ Kiat

มาดูข้อด้อยของ Kiat กันบ้าง หลายคนรุ่นผมคงจำเหตุการณ์รถแก็สระเบิดที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ได้ มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก บริษัทแก็สแห่งนั้นแทบล้มละลาย แม้อุบัตเหตุอย่างนี้จะเกิดขึ้นไม่บ่อย แต่ถ้าเกิดก็ส่งผลกระทบต่อกิจการมาก นี่คงเป็นสาเหตุที่บริษัทต้องเรียกค่าบริการสูงเพื่อชดเชยกับความเสี่ยง บริษัทประกันภัยจะรับความเสี่ยงความเสียหายของสินทรัพย์ได้แต่จะไม่รับประกันความเสี่ยงต่อชีวิต สิ่งแวดล้อม ดังนั้นความเสี่ยงอย่างนี้จะตกอยู่กับบริษัท ในทางปฎิบัติการขนส่งทางถนนด้วยรถขนาดใหญ่ซึ่งถือเป็นจ้าวถนน อุบัติเหตุร้ายแรงที่เกิดจากยวดยานคันอื่นคงมีน้อย แต่จะเกิดจากตัวรถหรือตัวคนขับเองมากกว่า ดังนั้นการปลูกฝังจิตสำนึกในความปลอดภัยบ่อยๆ การจำกัดความเร็ว การติด GPS จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เท่าที่เคยฟังผู้บริหารให้สัมภาษณ์ก็ได้เน้นจุดนี้  ประเด็นต่อมาบริษัทมีลูกค้าน้อยราย ดังนั้นอำนาจต่อรองของลูกค้ามีสูง เมื่อมีการต่ออายุสัญญา อาจจะมีการต่อรองค่าจ้าง ทำให้อัตราการทำกำไรลดลงได้ แต่ความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องราคาน้ำมัน ซึ่งเป็นต้นทุนหลัก จากผลประกอบการย้อนหลัง ราคาน้ำมันมีผลต่อกำไรค่อนข้างมาก แม้บริษัทมีมาตรการปรับค่าน้ำมันตามราคาน้ำมันในท้องตลาดโดยระบุในสัญญา แต่ก็ไม่สามารถทำได้ 100% บริษัทต้องแบกภาระบางส่วน ดังนั้นหากราคาน้ำมันมีแนวโน้มสูงขึ้น ผลประกอบการอาจจะดรอปลงได้ครับ..  :)

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ธ.ค. 07, 2009 9:37 am
โดย ler109
[quote="ลูกอิสาน"][quote="ler109"]พี่โจครับผมรบกวนถามเกี่ยวกับการทำ Tender offer ครับ โดยปกติการเสนอซื้อหุ้นที่อยู่ในตลาดนั้น คนเสนอซื้อเค้าจะกำหนดราคาซื้อโดยพิจารณาจากปัจจัยอะไรบ้างครับ แล้วโดยปกติราคาเสนอซื้อจะมากกว่าราคาหุ้นปัจจุบันหรือเปล่าครับ

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ธ.ค. 07, 2009 2:46 pm
โดย ลูกอิสาน
kaiyai99 เขียน:ถามพี่ลูกอีสานครับ KCAR เป็นยังไงบ้าง น่าลงทุนยาวได้มั้ยครับ ผมดูรายได้แล้วกำไรย้อนหลังเห็นเพิ่มขึ้นตลอด ปันผลทั้งปีก็น่าจะถึง 10% ช่วยแนะนำด้วยครับ
Kcar ทำธุรกิจให้เช่ารถกับองค์กรณ์หรือ Operation lease ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีอนาคตดี เพราะปัจจุบันบริษัททั่วไปจะเน้นลงทุนในธุรกิจหลัก ธุรกิจที่ไม่สำคัญจะ outsourse ออกไป นั่นทำให้ตัวเลขทางการเงินเช่น ROA ROE ของบริษัทนั้นดูดีขึ้น และยังได้รับผลดีจากรายจ่ายค่าเช่านำมาหักเป็นรายจ่ายได้มากกว่ารายจ่ายจากค่าเสื่อมกรณีบริษัทซื้อรถมาใช้เอง  ในขณะที่ Kcar เอง ก็สามารถนำรายจ่ายซื้อรถ(หรือค่าเสื่อมไม่แน่ใจ)มาหักเป็นค่าใช้จ่ายทำให้เสียภาษีต่ำกว่าธุรกิจทั่วไปด้วยครับ  ลูกค้าของ Kcar เป็นหน่วยงานรัฐและบริษัทเอกชนอื่นๆ บริษัทมีบริษัทลูกที่ทำธุรกิจขายรถมือสองโดยตรงให้กับผู้บริโภคทำให้สามารถรักษาอัตราการทำกำไรที่ดี ดีกว่าคู่แข่งอย่าง Pl ที่ขายรถใช้แล้วให้กับเต้นต์รถมือสองอีกทอดครับ

โดยรวมก็น่าจะโอคสำหรับ Kcar ครับ บริษัทให้ผลตอบแทนเงินปันผลค่อนข้างดี แต่การเติบโตคงไม่มาก เพราะมีข้อจำกัดด้านเงินทุน ธุรกิจแบบนี้เป็นเงินต่อเงิน ถ้าบริษัทมีเงินเพิ่มทุน(สมมุติว่าเงิน IPO) บริษัทจะได้เงินก้อนนึงที่ไม่มีต้นทุน ธุรกิจ operation lease สามารถมี D/E ได้สูงประมาณ 2.5 เท่า ดังนั้นเงินทุน 1 ส่วน สามารถกู้ได้อีก 1.5 ส่วน รวมเป็น 2.5 เท่าของเงินทุนที่ได้รับ จะสังเกตุได้ว่าธุรกิจแบบนี้หากเพิ่งขายหุ้นเพิ่มทุน กำไรจะก้าวกระโดด แต่หากไม่มีเงินทุนใหม่ๆ ส่วนทุนจะเพิ่มจากกำไรในแต่ละปีหักเงินปันผลเท่านั้น ซึ่งถือว่าไม่มาก กำไรก็เติบโตไม่มากด้วยครับ :)

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ธ.ค. 07, 2009 4:00 pm
โดย jessi
ขอเรียนถามพี่โจเกี่ยวกับ tuf หน่อยครับว่าน่าสนใจไหม
เนื่องจากว่าบริษัททำกำไรในไตรมาสสามสูงเป็นประวัติการณ์และมี gross margin เพิ่มขึ้นเร่ฃื่อยๆทั้งที่ค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเน่อง
ตัวนี้ผมคิดว่าราคาต้นทุนคือปลาทูน่าเราคาดการณ์ยากหรือเปล่าครับ

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ธ.ค. 07, 2009 7:43 pm
โดย Todo
พี่โจ ตอบละเอียด ทุกคำถาม ไม่มีเม้มเลย
ใจดี จริง ๆครับ
คนเก็บข้อมูลขอขอบคุณ
:D  :D  :D

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ธ.ค. 07, 2009 8:33 pm
โดย SunShine@Night
ลูกอิสาน เขียน:
Kcar ทำธุรกิจให้เช่ารถกับองค์กรณ์หรือ Operation lease ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีอนาคตดี เพราะปัจจุบันบริษัททั่วไปจะเน้นลงทุนในธุรกิจหลัก ธุรกิจที่ไม่สำคัญจะ outsourse ออกไป นั่นทำให้ตัวเลขทางการเงินเช่น ROA ROE ของบริษัทนั้นดูดีขึ้น และยังได้รับผลดีจากรายจ่ายค่าเช่านำมาหักเป็นรายจ่ายได้มากกว่ารายจ่ายจากค่าเสื่อมกรณีบริษัทซื้อรถมาใช้เอง

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ธ.ค. 07, 2009 11:43 pm
โดย maiaowna
MCS เป็นไงมั่งครับพี่ เห็น ROE สูงมากตลอด และรถก็วิ่งมารับ(แต่ไม่รู้จะถอยมายาวเปล่านะ  :lol: )

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 08, 2009 10:35 am
โดย kewin
ขอความเห็นคุณลูกอีสานตัว lst หน่อยครับ ขอบคุณมากครับ

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 08, 2009 1:52 pm
โดย ลูกอิสาน
aonzzung เขียน:สวัสดีครับพี่โจ รบกวนขอคำปรึกษาหน่อยครับ

ขอเกริ่นก่อนว่า
พอร์ตผมไม่ใหญ่แค่ประมาณ 45000 บาท เพิ่งทำงานไม่กี่ปี และจะเอาเงินเดือนมาเติมทุกเดือน เดือนละอย่างต่ำ 7000 - 10000 บาทลงทุนมาประมาณ 4-5 เดือนแล้วด้วยแนวทาง VI(ดู ratios ต่างๆ,ดูงบเป็นพอสมควรระดับหนึ่ง, ทำความรู้จักบริษัทให้เข้าใจที่สุดเท่าที่จะมีปัญญาทำได้, ซื้อในราคาที่มี MOS, บริษัทต้องมี DCA ฯลฯ) 100%(ไม่เคยศึกษากราฟหรือแนว VS ใดๆเลยเพราะคิดว่าคงไม่เหมาะกับผม) ลงทุนในหุ้น เกือบ 100% ตลอดเวลา

ผมขอถามตรงๆในฐานะมือใหม่หัดลงทุนแนว VI เลยนะพี่
- พี่ช่วยแนะนำเทคนิคในการเลือกหุ้นหน่อยครับ ทำอย่างไรให้พอรตเติบโตเร็วดีครับ? ผมลงทุนมา 4-5 เดือนหักลบปรบหนี้ได้กำไรแค่ประมาณ 6%(ไม่กี่พัน) เอง (ที่จริงตั้งเป้าซัก 10%) แต่อันที่จริงก็อยากได้มากกว่า 10%(ผมโลภไปมั้ย) แต่ผมยังเด็ก รับความเสี่ยงได้มาก ยังไงรบกวนพี่แนะนำแนว Growth แรงๆได้เลยครับ ^^

- ผมเน้นลงทุนในบริษัทประเภทแข็งแกร่ง ซึ่งราคามักไม่ไปไหน แต่ก็อดทนรอจนงบออก งบก็ดันแย่ลงกว่าปีแล้วนิดหน่อย ทำให้ราคาหุ้นแอบคกลง สรุปถือมานานแทบไม่ได้อะไรเลย หุ้นที่ทำให้ได้เงินกลับเป็นหุ้น turnaround ซะมากกว่า(แต่ผมไม่ได้มีแววมองมันออกแต่แรกหรอกว่ามันจะเป็น แค่เดาๆ เท่าที่ความรู้มีแล้วบังเอิญมัน turnaround แค่นั้นอะครับ) งี้ผมไม่ควรเน้นหุ้นประเภทแข็งแกร่งมากไปใช่มั้ย กรณีอยากให้พอร์ตโตเร็ว

- พี่ค้นหาหุ้นที่ซื้อเนี่ย เน้นผลตอบแทนขนาดไหนครับ เน้นแบบต้องได้กำไร เท่าตัวเลยหรือเปล่า แล้วมีวิธีเสาะหาห้นหลายเด้ง ยังไงครับ?(ก็รู้นะว่ามันแล้วแต่ความสามารถของแต่ละคน ซึ่งผมมีน้อย อิอิ) ยังไงแนะนำหน่อยนะครับ

- พี่หา intrinsic value ยังไงครับ? ใช้สูตรกับเค้าหรือเปล่าเช่น DCF อะไรพวกเนี่ย? ผมก็เคยลองใช้นะ DCF แต่รู้สึกว่ามัน ทฤษฏีมากเกินไป+ใช้สมมติฐานหลายอย่าง พี่ว่ายังไงครับ

- เริ่มต้นเงินน้อยแบบผมเนี่ย จะเติบโตไปเป็นซัก 5 ล้านได้มั่งมั้ยครับพอ 5 ล้านแล้ว ได้ต่อปีซัก 10% = 5 แสน ตกเดือนละ 40000 ผมก็พอแล้วครับอยู่ได้สบายๆแล้ว เป็นไปได้มั้ยพี่ใช้แนว VI กับตลาดหุ้นไทยเนี่ย

ขอโทษทีนะครับที่ถามเยอะมากกกกไปหน่อย บางคำถามอาจจะอ่านแล้ว งงๆ บ้างยังไงขอคำแนะนำด้วยนะครับ
ไม่มีปัญหาครับ ยินดีด้วยที่มีคำถามแบบนี้ :o  ผมคิดว่ามีหลายๆคนที่เพิ่งลงทุนและมีเงินทุนน้อยๆจะคิดแบบนี้ บางครั้งก็คิดว่าเอ..การลงทุนแบบ vi จะเหมาะสมกับเราหรือเปล่าเพราะเงินน่าจะเพิ่มขึ้นค่อนข้างช้า  คำตอบเรื่องนี้ผมเคยตั้งเป็นกระทู้ไว้ ลองอ่านดูครับ มีพี่นริศให้ข้อแนะนำด้วย ลองอ่านดูก่อน ที่จริงถ้ายังไม่เข้าใจ ลองอ่านดูหลายๆครั้ง คิดว่ายังมีประโยชน์
กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ

ถ้าอ่านจบแล้ว น่าจะพอเห็นคำตอบเลาๆว่าลงทุนหุ้นแบบไหนถึงจะได้กำไรเยอะๆ มือใหม่มักลงทุนในหุ้นที่ชัวน์ แบบตามตำรา ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิดเพราะหุ้นประเภทนี้แม้ได้ผลตอบแทนไม่เยอะ แต่ขาดทุนก็ไม่เยอะเช่นกัน และถือไว้ยาวๆก็ปลอดภัย แต่การที่จะทำให้พอร์ตโตเร็วแบบเห็นหน้าเห็นหลัง ต้องเลือกหุ้นอีกแบบคือหาหุ้นที่กำไรจะโตมากๆ แต่ราคาหุ้นยังไม่ตอบสนอง หุ้นพวกนี้เป็นหุ้นที่ควรสนใจที่สุด แล้วดูพื้นฐานอย่างอื่นๆประกอบก่อนตัดสินใจว่าตัวไหนควรลงทุน ตัวไหนควรหลีกเลี่ยง

ปกติผมซื้อหุ้นก็หวังผลตอบแทนไม่ควรต่ำกว่า 30% ในระยะเวลา 1 ปี ครับ บางตัวก็ให้ผลตอบแทนเป็นเท่าตัวภายในเวลา 1 ปี หลายตัวขายไปแล้วยังขึ้นเป็นเท่าตัวก็มีบ่อย เป็นเรื่องธรรมดา ที่จริงการหาหุ้นหลายเด้งอาจจะไม่ยาก ลองถือหุ้นพื้นฐานดีไว้สัก 10 ปีซิครับ น่าจะได้เป็นเด้งแน่ แต่ต้องคิดดูว่าคุ้มกับเวลาที่เสียไปหรือเปล่า เพราะถ้าคิดเป็นอัตราทบต้นก็ไม่สูง เราไปซื้อหุ้นที่เพิ่ม 30% ภายใน 1 ปีไม่ดีกว่าหรือ  :?

วิธีการหา intrinsic value เป็นอย่างนี้ครับ (ผมเอาโพสต์เก่าๆมาให้อ่าน)
วิธีการเรียบง่ายที่ผมใช้ทำมาหากินแทบทุกครั้งจะเป็นอย่างนี้ครับ..

1.หา P/E ที่เหมาะสมของแต่ละบริษัท บริษัทไหนที่คาดการง่ายหน่อย กำไรโตเรื่อยๆ ปันผลดี พวกนี้จะ P/E สูงเหมือนพวกค้าปลีก โรงพยาบาลเป็นต้น ส่วนพวกที่ด้อยกว่าเช่นพวกรับเหมาก็ให้ P/E ต่ำๆ

2.หา P/E ในอนาคต(อันใกล้)ของบริษัทที่เราสนใจ นี่หมายความว่าเราต้องประมาณกำไรของกิจการได้ เราจะทำได้ต้องหาข้อมูลเพื่อประเมินกำไรให้ผิดพลาดน้อยที่สุด

3.หาส่วนต่างของ P/E ที่เหมาะสมและ P/E ที่จะเกิดขึ้นจริง เช่นเราประเมินว่าบริษัทนี้ควรมี P/E 15 เท่า แต่เราประเมินแล้วราคาตลาดวันนี้หรือในอนาคตใกล้ๆนี้ P/E แค่ 7 เท่า  นั่นแสดงว่าราคาตลาดต่ำกว่าที่ควรจะเป็นถึง 100% (มี margin of safety 100%) อย่างนี้น่าสนใจครับ ปกติต่ำกว่าราคาที่ควรจะเป็นสัก 30% ผมก็สนใจแล้ว

หลักๆคือผมดู P/E  โดย P/E ของหุ้นแต่ละตัวไม่จำเป็นต้องเท่ากัน ขึ้นอยู่กับคุณภาพของกิจการครับ นอกจากนั้นผมยังดูสินทรัพย์ เช่นกิจการมีสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่อง - หนี้สินแล้วยังสูงกว่ามูลค่าตลาดของหุ้นมาก นี่ก็แสดงว่าราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น แม้จะมี P/E สูงหรือกิจการไม่มีการเติบโต ผมก็สนใจครับ และระยะหลังผมยังหาโอกาสซื้อหุ้นที่คล้ายๆการอาบริเทรจ มีส่วนต่างระหว่าง 2 ราคาให้เราหาประโยชน์ เช่น scan jas metco ในปัจจุบันครับ

หลักการของการหา DCF คือหากระแสเงินสดที่กิจการจะทำมาหาได้ในอนาคตช่วงระยะเวลาหนึ่ง แล้วปรับลดให้เป็นมูลค่าปัจจุบัน แล้วเปรียบเทียบกับราคาในตลาดว่าราคาหุ้นถูกหรือแพง ยกตัวอย่างเช่น หุ้น กอ มีกระแสเงินสดที่เราคาดการณ์ว่าจะได้รับในช่วง 10 ปีข้างหน้าเท่ากับ 1000 บ. ปรับลดให้เป็นมูลค่าปัจจุบันได้เท่ากับ 500 บ. ราคาหุ้นเทรดที่ 200 บ. อย่างนี้ก็ถือว่าราคาหุ้นต่ำกว่าที่ควรจะเป็นครับ ปัญหาคือ1.การทำนายรายได้ใปในอนาคตถึง 10 หรือ 5 ปี เป็นเรื่องที่ยากสุดๆ บริษัทส่วนใหญ่แค่ 1-2 ปีก็ยากพอแล้ว ปัญหาที่ 2.คืออัตราคิดลด หลายคนจะให้ไม่เท่ากัน ต่างกัน 2-3% แต่ผลลัพธิ์จะต่างกันมากครับ  แต่ส่วนตัวผมคิดว่าวิธี DCF เราก็ควรศึกษาครับ มีบางบริษัทที่มีคุณภาพของรายได้ที่ค่อนข้างแน่นอน คาดการณ์ได้ ก็เหมาะที่จะใช้วิธี DCF ในการหามูลค่าครับ เช่นหุ้นโรงไฟฟ้า หุ้นค้าปลีกบางตัว หุ้นโรงพยาบาลที่มีหลายสาขา..

จากตำราวิธีหามูลค่าหุ้นทั้ง 4 แบบที่ผมโพสต์ (ที่จริงอาจจะมีอีกหลายวิธี)

1.Earning Power เข้าใจว่าคือส่วนกลับของ P/E
2.Replacement Cost หาต้นทุนการก่อสร้างใหม่ เช่นต้นทุนการก่อสร้างโรงงานใหม่ ที่กำลังการผลิตเท่าๆกัน เปรียบเทียบกับโรงงานหรือสินทรัพย์เดิม
3.Discount cash flow (DCF) วิธีนี้ใช้หากระแสเงินสดที่กิจการจะสร้างได้ในอนาคต ปรับลดให้เป็นมูลค่าปัจจุบัน แล้วเปรียบเทียบกับราคาหุ้นในตลาด วิธีนี้ใช้สมมุติฐานหลายตัว
4.Earning Yield หรือผลตอบแทนเงินปันผล วิธีนี้เชื่อว่าราคาหุ้นจะแปรผันตามเงินปันผล ข้อด้อยคือระวังกับดักปันผล


สมมุติว่าผมไปเจอบริษัทนึงมี P/E 4 เท่า และกำไรก็ดูจะสม่ำเสมอดี นั่นหมายความว่าผมไปเจอหุ้นที่ให้ผลตอบแทน 25% เข้าแล้ว (ส่วนกลับของ P/E)ซึ่งสูงมากหากเปรียบเทียบกับผลตอบแทนเงินฝาก 1-2% หรือผลตอบแทนหุ้นกู้ พันธบัตร 3-5%  ดังนั้นผมคิดว่าหุ้นตัวนี้น่าจะต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น  นี่คือวิธีการหามูลค่าที่แท้จริงตามวิธี Earning Power ต่อมาผมพบหุ้นที่ 2 P/E เท่ากันเป๊ะกับตัวแรก กำไรก็สม่ำเสมอเหมือนกัน แต่หุ้นตัวที่2 มีกระแสเงินสดดีกว่าเพราะตัดค่าเสื่อมเยอะ แต่ลงทุนไม่มาก ดังนั้นผมคิดว่าหุ้นตัวที่2ถูกกว่าตัวแรก วิธีการหามูลค่าหุ้นแบบนี้ใกล้เคียงกับวิธีที่ 2คือ DCF  ต่อมาผมไปเจอหุ้นตัวที่สาม ทุกอย่างเหมือนหุ้นสองตัวแรก แต่ตัวนี้มีนโยบายปันผล 80% ของกำไรสุทธิ หรือผลตอบแทน 20% ของราคาหุ้นในขณะที่สองตัวแรกปันผลแค่ 50% ของกำไรสุทธิ ดังนั้นผมคิดว่าหุ้นตัวที่สามน่าสนใจที่สุด นี่เป็นการวิเคราะห์แบบ Earning Yield ครับ

ยังไม่พอ ผมไปเจอหุ้นตัวที่สี่ หุ้นตัวนี้มีผลขาดทุนเล็กน้อย ทำให้หา P/E ไม่ได้  เป็นธุรกิจที่หมดอนาคต หลายคนอาจจะไม่สนใจตัวนี้ แต่ช้าก่อนหลังจากดูงบการเงินบริษัทมีเงินสดสุทธิหลังหักหนี้ทั้งหมดแล้วเป็น 3 เท่าของมูลค่าหุ้นทั้งบริษัท  ผมก็คิดว่าเอ..ถ้าอย่างนั้นหุ้นตัวที่สี่ก็น่าสนใจเช่นกัน นี่คล้ายกับการหามูลค่าหุ้นแบบ Replacement Cost เพียงแต่ไม่ใช่ต้นทุนการสร้างใหม่ของโรงงาน แต่เป็นต้นทุนการสร้างเงินสด ซึ่แน่นอนว่าสินทรัพย์ที่เป็นเงินสด 100 ล้าน ก็ต้องสร้างโดยใช้เงินสด 100 ล้านเท่ากันครับ

พอจะเห็นภาพคร่าวๆนะครับ ว่าผมใช้วิธีไหนกับหุ้นแบบใดนะครับ
ส่วนประเด็นมีเงินลงทุนน้อยๆ จะหวังให้เติบโตได้มากๆหรือเปล่า  ขอตอบว่าในตลาดหุ้นเป็นไปได้ทั้งนั้น เงินแสนเป็นเงินพันล้านยังได้ แต่ระวังเงินพันล้านกลายเป็นเงินแสนก็คงได้เช่นกัน :lol:  สำคัญที่ว่าลงทุนให้ถูกวิธีและมีวินัย มีความอดทน เพราะกว่าที่มหัศจรรย์การทบต้นจะส่งผลก็อย่างน้อยเป็น 10 ปี ตัวผมเองมีเงินทุนค่อนข้างน้อย และมีก้อนเดียว ไม่ได้เติมอีกเลย ตอนปีแรกๆเงินเพิ่มแบบช้าๆ เพราะฐานเงินยังต่ำ จนรู้สึกท้อๆเหมือนกัน แต่พอปีหลังๆมหัศจรรย์การทบต้นเริ่มส่งผล ทำให้เงินเติบโตเร็วมาก จนไม่ค่อยอยากจะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง อย่าว่าแต่เงิน 5 ล้านเลยครับ 500 ล้านก็ทำได้ หากลงทุนถูกวิธี  มีวินัย ขยันศึกษาและอดทนครับ :D

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 08, 2009 1:59 pm
โดย ลูกอิสาน
SunShine@Night เขียน:
Kcar ทำธุรกิจให้เช่ารถกับองค์กรณ์หรือ Operation lease ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีอนาคตดี เพราะปัจจุบันบริษัททั่วไปจะเน้นลงทุนในธุรกิจหลัก ธุรกิจที่ไม่สำคัญจะ outsourse ออกไป นั่นทำให้ตัวเลขทางการเงินเช่น ROA ROE ของบริษัทนั้นดูดีขึ้น และยังได้รับผลดีจากรายจ่ายค่าเช่านำมาหักเป็นรายจ่ายได้มากกว่ารายจ่ายจากค่าเสื่อมกรณีบริษัทซื้อรถมาใช้เอง

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 08, 2009 2:14 pm
โดย nun08
[quote="ลูกอิสาน"]
ส่วนประเด็นมีเงินลงทุนน้อยๆ จะหวังให้เติบโตได้มากๆหรือเปล่า

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 08, 2009 5:45 pm
โดย nun08
:D   รบกวนถามพี่โจ อีกนิดนุงครับ  

- งั้นถ้าเราลงทุนในหุ้น value แต่ใช้วิธีการ ขึ้นขาย ลงซื้อ แบบนี่ไปเรื่อยย จะทำให้ทุนแล้วเพิ่มได้ไหม๊ครับ ในความคิดของพี่

- อย่างหุ้น svi ที่ปัจจุบัน แถว 2 บาท พี่มองว่ามันยังมี upside หรือเต็มมูลค่าไปแล้ว  แล้วมีความเห้นอย่างไรกับหุ้น ตัวนี้ครับ


                       ขอบคุณครับพี่ที่ให้คำแนะนำและแนวคิด :D

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 08, 2009 7:53 pm
โดย winkung
สวัสดีครับคุณพี่ลูกอีสาน รบกวนสละเวลาตอบคำถามคาใจให้ผมหน่อยได้ไหมครับ  :(  เกี่ยวกับเรื่อง "ผลตอบแทนทบต้น"

ก่อนอื่นขอบอกเป้าหมายของผมก่อนนะครับ
เป้าหมายการลงทุนของผมคือ ผลตอบแทน (ทบต้นหรือเปล่า ยังไม่แน่ใจ เพราะยังไม่เข้าใจ concept) 10% ต่อปี

ผมได้ยินมาบ้างเกี่ยวกับความบ้าพลังของการทบต้นผลตอบแทน แต่ยอมรับว่ายังไม่เคยนำมาใช้จริง เพราะว่าพึ่งลงทุนแนวเน้นคุณค่าได้ไม่นาน (ประมาณ 3 เดือนกว่าๆ)

สมมติผมซื้อหุ้น OLE ที่ราคา 6 บาท จำนวน 10,000 หุ้น
ถือมาจนตอนนี้ หุ้น OLE ราคา 10 บาท โดยไม่มีการซื้อเพิ่ม
ดังนั้นผลตอบแทน ณ ตอนนี้คือ 66%  (ซึ่งเกินเป้า 10% ต่อปีของผมไปแล้ว)
และโดยส่วนตัวมองว่าหุ้น OLE น่าจะขึ้นไปได้ถึง 12 บาท (นั่นคือน่าจะยังมี upside ได้อีกประมาณ 20%)


ปัญหาของผมคือ ผมจะทำอย่างไรดีครับคุณพี่ลูกอีสาน
ผลตอบแทนแบบทบต้น ... คืออะไร ?   (ผมเคยอ่านมาแล้ว แต่ไม่ค่อยเข้าใจ)

ผลตอบแทนทบต้น คือการที่เราซื้อหุ้นนั้นแล้วถือมันไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่ธุรกิจมันยังเหมือนเดิม และ upside ยังเหลืออยู่ ?

หรือว่า ผลตอบแทนทบต้น คือการ take profit กำไรออกมาส่วนหนึ่ง แล้วนำกำไรนั้นไปซื้อหุ้นเพิ่ม ?


ปัญหาคือ
เราจะ take profit ที่เท่าไหร่ ?
แล้วถ้านำกำไรไปซื้อหุ้นคืน เราควรซื้อหุ้นตัวเก่า หรือมองหาหุ้นตัวใหม่ ที่ upside มีมากกว่า



ปัญหาคือ
ยกตัวอย่างสถานการณ์ตอนนี้ ราคาหุ้นเริ่มขึ้นสู่มูลค่าที่แท้จริงกันค่อนข้างเยอะแล้ว
การ take profit แล้วไปซื้อหุ้นคืน .... จะมีโอกาสทำให้ MOS เราลดน้อยลงหรือเปล่าครับ

และกรณีถ้าเรายังหาหุ้นตัวใหม่ไม่ได้ .... มันจะเป็นการเสียโอกาสของพลังทบต้นหรือเปล่าครับ



พี่ลูกอีสาน งงผมไหมครับ  :wall:



สรุป ๆๆๆๆๆๆ

ถ้าผมยังคิดว่าหุ้น OLE ของผมยังไปได้อีก และเหตุผลนั้นทำให้ผมไม่ขายเพื่อเอากำไรไว้ แต่ถือมันไปเรื่อยๆ
กำไรอาจมีสวิงบ้าง แต่ผมพยายามจะเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องปกติ

ครบสิ้นปี 52  กำไรของหุ้น OLE ของผมอาจเป็น 60%
แต่ผมไม่ได้ขาย และผมก็ไม่ได้ซื้อเพิ่มด้วย (เพราะกลัว MOS ผมจะเพิ่มขึ้น)



หากเป็นแบบนี้  มันไม่ใช่การลงทุนแบบเงินทบต้นใช่ไหมครับพี่ลูกอีสาน  :shock:



งงผมป่าวครับเนี่ย  :'O  
รบกวนพี่ด้วยครับ

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 08, 2009 8:44 pm
โดย sathaporne
[quote="winkung"]สวัสดีครับคุณพี่ลูกอีสาน รบกวนสละเวลาตอบคำถามคาใจให้ผมหน่อยได้ไหมครับ

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 08, 2009 9:33 pm
โดย worapot_ta
พี่ลูกอิสานครับ  ksl ธุรกิจมีอนาคตไหมครับ ดู pe สูงจัง

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 09, 2009 8:21 am
โดย tanapol
ขอบคุณพี่โจมากๆนะครับที่ตอบคำถามเรื่อง kiat ให้ครับ
พี่โจมีน้ำใจกับน้องๆมากมายจริงๆ
:bow:  :bow:  :bow:


ปล. ผมเฝ้ารอวันเวลาที่สิงเหนือ กับเสือใต้จะมาพบกันนะครับ
วันนั้นจะขอไปร่วมชมกระบวนยุทธของทั้งสองด้วยครับ :P

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 09, 2009 11:43 am
โดย nun08
ขอบคุณพี่  winkung  และพี่  sathaporne  สำหรับคำถามและคำตอบที่ให้ความรู้ครับ   แหะๆๆ ผมมือใหม่อ่อนหัดเรื่องคำนวณตัวเลข อาจตั้งคำถาม งงมึนน ไปบ้าง    ขออภัยด้วยน่ะครับ   :D  :D  :D

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 09, 2009 5:41 pm
โดย killyz
ผมอ่านหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนมาหลายเล่มที่เกี่ยวกับ ปีเตอร์ ลินซ์
ฟิชเชอร์และบัฟเฟต ต่างก็มีหลักการในการเฟ้นหาและเลือกซื้อหุ้นที่ต่างกัน
(ปีเตอร์ ลินซ์ จะแนะแนวได้ครอบคลุมหุ้นทุกชนิด)
แต่เนื่องจากสภาพความเป็นอยู่และวิถีชีวิต
ค่านิยมของชาวอเมริกาต่างชาวจากไทยมาก เหมือนสนามมวยคนล่ะแบบ
เช่น ความนิยมของโค้กกับชาเขียวในไทยคงจะต่างจากในอเมริกา

พี่โจครับ อยากให้แนะแนววิธีในการพัฒนาความสามารถด้านศิลป์และ
จินตนการในการวิเคราะห์หุ้นเชิงคุณภาพ การคาดการณ์อนาคตของวิถีชีวิตและค่านิยมของผู้คนที่มีผลต่อธุรกิจในอนาคต

พี่โจเน้นความสำคัญองค์ประกอบและค่า ratio ไหนในการอ่านงบการเงิน
เวลาตัดสินใจซื้อหุ้นแต่ล่ะตัว

ช่วยแนะนำหนังสือเกี่ยวกับการวิเคราะห์หุ้นแต่ล่ะอุตสาหกรรมและแนวโน้มในอนาคต

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 09, 2009 11:08 pm
โดย aceplayer
เห็นถามกันถึงหุ้นหลายตัวรวมถึงที่ผมถืออยู่บางตัวด้วยคับ มีคำถามรบกวนถามพี่ลูกอีสาน 2-3 ข้อครับ
      1.แต่เดิมผมลงทุนแต่หุ้นDenfensive stock/Dividend เป็นส่วนใหญ่ แต่หลังจากเริ่มอ่านกระทู้นี้รวมถึงหนังสือ One up in wall street จนจบแล้วพบว่านี่เป็นรูปแบบการลงทุนที่น่าสนใจกว่าแบบเดิมที่ผมลงทุนอยู่ จึงทะยอยขายตัวเดิมที่เคยถือออกเกือบทั้งหมด FE SE-ED TNH WG PATO เหลือแค่ TWFP เหตุผลเพราะต้องการผลตอบแทนที่มากขึ้นกว่าเดิม+ตอนนี้พอมีเวลาติดตามข่าวมากขึ้นแล้ว   อยากให้ช่วยวิเคราะห์สัดส่วนportใหม่ของผมหน่อยครับ
      TWFP    20%
       SIS        20%
       BLA       20%
       KIAT      15%
       SPALI     15%
       QLT        10%
      2.เห็นพี่โจบอกว่าการหาข่าวสารข้อมูลยิ่งมากยิ่งเป็นการลดความเสียงในการวิเคราะห์เลยอยากถามเพิ่มเติมว่าหลักในการแยกข่าวหรือข้อมูลที่มีนัยยะสำคัญ หรือข้อมูลทั่วไปอย่างไรครับ
      3.จุดอ่อนที่ทำให้ผมไม่กล้าถือหุ้นเติบโตเพราะว่าผมมักแยกระหว่างข้อเท็จจริง กับเรื่องราวหรือความคาดหวังไม่ค่อยจะได้ ผลคือตามเก็บตอนราคาหุ้นกำลังจะไต่ถึงยอดดอยบ่อยๆครับ  มีข้อแนะนำอย่างไรบ้างครับ
      4.ทางบ้านต่อต้านเรื่องหุ้นสุดขีด ทุกวันนี้ต้องลงทุนแบบแอบๆครับขืนให้รู้มีหวังได้ดูงิ้วแบบมหากาพย์แน่ๆ  เลยอยากลงทุนให้ทางบ้านเห็นถึงความเติบโตของพอร์ตก่อนว่าเป็นเรื่องที่ไม่ยากเกินความสามารถและช่วยให้มีอิสระภาพทางการเงินได้ครับ
      คราวต่อไปจะถามแบบทำการบ้านมาให้ละเอียดกว่านี้ครับ

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 10, 2009 12:30 am
โดย aonzzung
ขอบคุณพี่โจสำหรับคำแนะนำที่มีประโยชน์ครับ :lol:
เด๊วจะตามไปอ่านกระทู้เก่าที่พี่แนะนำมาอีกรอบ(ที่จิงอ่านมาก่อนหลายรอบละ) :)

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 10, 2009 8:14 pm
โดย maiaowna
สงสัยครับว่าวัฏจักรของฺฟิล์มมีขาขึ้นด้วยหลอครับช่วงนี้

ที่ผมเข้าใจอารมณ์คล้ายๆกับพิมพ์ดีดรึเปล่ครับ  :roll:

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 10, 2009 8:55 pm
โดย ลูกอิสาน
I'm max เขียน:สวัสดีครับคุณลูกอีสาน
ผมพึ่งเริ่มศึกษาหุ้นครับ โชคดีที่มาเจอ web THAI VI ได้ความรู้จากที่นี่มากมายครับ อ่านกระทู้แล้วก็ลองศึกษาหุ้นแต่ละตัวดู ผมไปสะดุดที่หุ้น NOBLE ครับ ทำไม BV ต่ำ (ในความรู้สึกผมนะ) เลยลองเข้าไปดูที่ ร้อยคนร้อยหุ้น ก็ไม่ค่อยมีข้อมูลมากนัก คุณลูกอีสาน เห็นว่าไงครับกับหุ้นตัวนี้ น่าสนใจหรือไม่ผมลองเปฺิดอ่านกระทู้ของคุณลูกอีสาน แล้วแต่ไม่เห็นหุ้นตัวนี้ครับ รบกวนด้วยครับ
Noble เป็นบริษัทอสังหาขนาดกลาง บริษัทเน้นกลุ่มลูกค้าตลาดบนและกลาง จุดเด่นที่สุดคือเรื่องการดีไซน์ ผมก็ไม่เคยเห็นแบบบ้านจริงๆ แต่เคยอ่านเจอว่ามีเอกลักษ์แตกต่างจากรายอื่นทั่วไป คล้ายๆกับศิลปินมาสร้างบ้าน ถ้าจำไม่ผิดสมัยนึงเปิดร้านขายเสื้อผ้าแบบติสๆชื่อ Playground  ผมเคยเข้าร้านนี้เสื้อยืดธรรมดาๆๆ สกรีนลายแปลกๆหน่อยตัวละ 6000 พันถ้วน :shock:  ตอนนี้เข้าใจปิดไปแล้ว  ดังนั้นจะมีลูกค้ากลุ่มนึงที่ชอบแบบนี้ เป็นนิชมาร์เก็ต  บริษัทมีทั้งบ้านเดี่ยว ทาวเฮ้าร์ แต่ระยะหลังเน้นมาทำคอนโดมากขึ้น จนมีสัดส่วนรายได้ 60-70% ของยอดขายทั้งหมดครับ  ถ้าดูงบการเงินบริษัทมีหนี้สิน/ทุนที่ไม่ต่ำไม่สูงเกินไป แต่ประสิทธิภาพการทำกำไรอาจไม่โดดเด่น ROA ROE ค่อนข้างต่ำกว่าคู่แข่ง รวมถึงไม่ค่อยเปิดตัวกับนักลงทุน นี่รวมๆอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ราคาหุ้นซื้อขายที่ราคาต่ำกว่า BV ค่อนข้างเยอะ ราคาตลาดปัจจุบันประมาณ 3.6-3.7 บาท P/E 4 เท่า ถือว่าถูก แต่มีนโยบายปันผลต่ำไปนิดทำให้ Dividend yield ค่อนข้างต่ำที่ 6-7% ปัจจุบันบริษัทมี backlog ประมาณ 4.2 พันล้าน รับรู้รายได้ปีละ 3 พันล้านได้อีกอย่างน้อย 1-2 ปีก็ถือว่ามีความเสี่ยงต่ำครับ  โดยรวมๆก็เป็นหุ้นที่ไม่แพง แต่คงไม่เติบโตสูง เพราะไม่เน้นตลาดแมส ความผันผวนของกำไรขึ้นอยู่กับการโอนคอนโดว่าอยู่ในช่วงไหนครับ :o

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 10, 2009 9:12 pm
โดย ลูกอิสาน
[quote="daraneemui"]cfresh

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 10, 2009 10:04 pm
โดย AleAle
ชักสงสัยครับ   มีหุ้นตัวไหนที่พี่โจ  ไม่รู้รายละเอียด  แล้วก็ไม่คิดจะดูบ้างครับ

เห็นพี่ตอบได้หมดเลย   :ohno:

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 10, 2009 10:19 pm
โดย daraneemui
ขอบคุณ คุณโจมากค่ะ
ความรู้ที่คุณโจให้ไม่สามารถหาอ่านได้จากหนังสือเล่มใดๆ เกิดจากการไฝ่รู้และประสพการณ์จริงๆ
ขอให้คุณโจเป็นเหมือนคนที่ยิ่งให้ก็ยิ่งได้นะคะ

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ธ.ค. 11, 2009 12:30 am
โดย เด็กใหม่ไฟแรง
พี่โจ ได้กรุณาส่งแนวคิดสั้นๆ มาร่วมในการเสวนา
"วิถึชีวิตวีธีลงทุน แบบวีไอ"  ซึ่งจัดเมือวันเสาร์ที่ 5 ธค 52 ที่ผ่านมา
อ.ไพบูลย์ จึงฝากให้นำมา post ไว้ ครับ
พลาดไม่ได้ครับ อ่านกันดูนะครับ


วิถีชีวิตวิธีลงทุนแบบ VI


1.นักลงทุนเน้นคุณค่าต้องมีจิตอิสระ อิสระจากอารมณ์และอคติ หมายถึงพิจารณาการลงทุนตามเหตุและผลอย่างแท้จริง ไม่ใช้อารมณ์ และขจัดอคติ ความลำเอียงต่างๆ เช่นความรักหุ้น ความชอบหุ้น ความเชื่อต่างๆที่ไม่จริง อคติเหล่านี้อยู่กับเราโดยไม่รู้ตัว ส่งผลเสียต่อการลงทุน ยกตัวอย่างอคติบางอย่างนะครับ

-ซื้อหุ้นเพราะว่าเซียนก็ซื้อ
-ซื้อหุ้นเพราะว่าผู้บริหารสวย หล่อ
-ซื้อหุ้นตามกระแส เฮไหนเฮนั่น มีเพื่อนขาดทุนรู้สึกดีกว่ากำไรแต่ไม่มีเพื่อน
-หลีกเลี่ยงหุ้นบางตัวเพราะเป็นหุ้นบาป เป็นการใช้ความเชื่อมากกว่าการมองเป็นธุรกิจ
-หลีกเลี่ยงหุ้นบางตัวเพราะเราเคยขาดทุนตัวนี้มาก่อน ทำให้เข็ดหยาด  ที่จริงการขาดทุนที่ผ่านมา ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยกับการลงทุนในปัจจุบันเลย

เราจะขจัดอคติทางอารมณ์ ต่างๆได้เราต้องมีความคิดที่เป็นอิสระ ไม่ไหลไปตามกระแส นั่นทำให้เราต้องมีความรู้ที่อยู่บนพื้นฐานแบบเหตุและผล เราอาจจะไม่สามารถเป็น vi ที่ดีได้หากเรา...

-กลัวสังคมไม่ยอมรับ
-กลัวตกกระแส
-เชื่อคนอื่นมากกว่าเชื่อเหตุผลที่ถูกต้อง
-เชื่อโดยไม่ไตร่ตรอง หูเบา
-เห่อหลินปิง

การลงทุนvi เป็นวิธีการครึ่งนึง อีกครึ่งนึงเป็นการควบคุมอารมณ์ให้คิดแบบเหตุและผล ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ยาก ปริญญาเอกหลายๆใบก็ช่วยไม่ได้  คล้ายๆกันการลดความอ้วน ทุกคนรู้วิธีที่จะลดน้ำหนักกันทุกคน  แต่ยังมีคนอ้วนเต็มบ้านเต็มเมือง การลงทุนแบบ vi เป็นเรื่องที่ดูเหมือนง่าย หลักการสมเหตุสมผลที่สุด แต่เวลาทำจริงๆกลับยาก เพราะมีเรื่องของอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องนั่นเอง   เวป tvi มียูสเซอร์ 23,000 คน แต่มีคนที่แอคทีฟไม่เกิน 1 พันคน นี่คงเป็นเพราะ vi ต้องฝืนธรรมชาติ ต้องฝืนอารมณ์ของคนส่วนใหญ่  ดังนั้นเป็น vi ต้องเป็นคนส่วนน้อยครับ



2.แนวทางการลงทุนกับแนวทางการใช้ชีวิตต้องไปด้วยกัน ไม่ใช่ว่าเราลงทุนตามแบบ vi แต่กลับใช้ชีวิตกลับฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ ใช้เงินไม่คำนึงถึงความคุ้มค่า ไม่วางแผน อย่างนี้จะไม่ประสบความสำเร็จเพราะความคิดกับการปฎิบัติจะขัดแย้งกันตลอดเวลา ดังนั้นเป็น vi ต้องเป็นทั้งชีวิตและจิตใจหรือพูดได้ว่าเป็น vi ต้องเป็นโดยจิตวิญญานเท่านั้น

3.การลงทุนแบบเน้นคุณค่าเสมือนการปลูกต้นไม้ เราได้นั่งพักใต้ร่มเงาต้นไม้ นั่นเพราะเราได้ปลูกมันเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เราลงทุนวันนี้เพื่ออนาคตทางการเงินที่ดีในอีก 10 - 20 ปีข้างหน้า การลงทุน vi ไม่มีทางลัด ถ้าอยากรวยเร็วๆให้เล่นหวย ให้เล่น tfex แต่นั่นก็ต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงมหาศาล  ต้นทุนส่วนหนึ่งการการลงทุนแบบ vi คือความอดทน อดทนจนกว่าผลของมหัศจรรย์การทบต้นจะส่งผล    ในปีแรกๆ เงินลงทุนจะเติบโตไปอย่างช้าๆ เงิบๆ หงอยๆ จนถึงจุดหนึ่งในปีหลังๆ  เงินลงทุนจะเติบโตแบบจรวด เงินเพิ่มจนเรานับเงินไม่ทัน ดังนั้นอนาคต(ที่ดี)เริ่มตั้งแต่วันวานครับ


4.ชีวิตตลาดหุ้นกับชีวิตคนก็คล้ายๆกัน  ในแง่ที่ว่าเราไม่สามารถประมาทมันได้  วันดีคืนดีหุ้นอาจพุ่งทะลุฟ้า  แต่วันร้ายๆหุ้นอาจตกฟลอร์ทั้งตลาด เหมือนชีวิตที่เหตุการณ์ร้ายและดีเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาโดยไม่มีคำเตือน  ดังนั้นไม่ว่าจะชีวิตจริงๆหรือชีวิตการลงทุน จงอย่าตั้งอยู่ในความประมาท  อย่ามองแต่ผลตอบแทนจนลืมความเสี่ยง เมื่อรู้ว่าเราอาจจะตายที่ไหน ก็อย่าไปที่นั่น ลงทุนอะไรที่มีโอกาสหมดตัว ก็อย่าไปลงทุนครับ

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ธ.ค. 11, 2009 5:43 am
โดย เด็กใหม่ไฟแรง
มาดูรูปที่พี่โจ กรุณาแนบมาด้วยนะครับ
ใครอยากเห็นตัวจริงพี่โจ ดูรูปไปก่อนนะครับ

http://img132.imageshack.us/i/dsc05204u.jpg/
http://img412.imageshack.us/i/dsc05207w.jpg/
http://img209.imageshack.us/i/dsc05211c.jpg/

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ธ.ค. 11, 2009 8:32 am
โดย killyz
เด็กใหม่ไฟแรง เขียน: -ซื้อหุ้นเพราะว่าผู้บริหารสวย หล่อ
พาดพิง J..........E เต็มๆ

เด็กใหม่ไฟแรง เขียน: -เห่อหลินปิง
ฮาแบบลุ่มลึกจริง  :lol:

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ธ.ค. 11, 2009 11:17 am
โดย moonchild
สวัสดีครับพี่โจ เคยแต่แอบอ่าน วันนี้ขอถามแนวทางของพี่โจหน่อยนะครับ
:bow:  :bow:  :bow:  :bow:  :bow:

อยากทราบการบริหารเวลาของพี่โจหน่อยครับ
วันนึงๆพี่โจใช้เวลาศึกษาอะไรบ้าง และประมาณวันละกี่ชั่วโมงอ่ะครับ

-แบ่งเวลากับการติดตามข่าวเศรษฐกิจครับ
-แบ่งเวลากับการศึกษาตัวหุ้นครับ
-แบ่งเวลากับงานอดิเรก เช่น เล่นกีฬาครับ
-แบ่งเวลานอนครับ
-และวันนึงพี่โจใช้เวลาทำงานรวมๆกันกี่ชั่วโมงอ่ะครับ
:pray:

ตอนนี้ผมก็กำลังพยายามแบ่งเวลาแต่ละอย่างให้เหมาะสมไม่ให้มากหรือน้อยเกินไปครับ

แล้วอย่างถ้าช่วงไหนมีรายงานงบการเงินหรือ 56-1 ออกมา
พี่โจอ่านทุกบริษัทเลยหรือปล่าวครับ
หรือด้วยความชำนาญและประสบการณ์จากการศึกษาที่ผ่านมาของแต่ละบริษัท อ่านแบบคร่าวๆก็เข้าใจหมดแล้วครับ

แล้วการศึกษาตัวหุ้นก่อนจะตัดสินใจซื้อหุ้นหนึ่งตัว ใช้เวลากับการศึกษาข้อมูลขนาดไหนครับ
เช่น รู้ข้อมูลทุกอย่างละเอียดที่สุดของบริษัทนั้นในทุกๆแง่ จึงเริ่มตัดสินใจซื้อ

ส่วนผมตอนนี้อ่านรายงานจบประเมินงบการเงิน ถ้าดีมีอนาคตก็เริ่มทะยอยซื้อแล้วอ่ะครับ แล้วค่อยมาลงข้อมูลลึกๆอีกทีอ่ะครับ

ขอบคุณมากๆครับ
:bow:  :bow:  :bow:  :bow:  :bow:

ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ธ.ค. 11, 2009 1:49 pm
โดย pokpong.oma
พี่โจคิดยังไงกับหุ้น work ครับมีโอกาสจะเทิร์นอลาวหรือเปล่าครับ