อันนี้เฉลยนะครับ
บอกก่อนว่าไม่มีใครตอบผิดนะครับ เพราะตัวเลขที่โชว์ให้เห็นมันไม่เพียงพอต่อการตัดสินใจแต่แรกเพียงแต่ลองร่วมสนุกแชร์ความเห็นกันเฉยๆนะครับ
(เนื่องจากมีหุ้นค่อนข้่างเยอะและทำติดกันหลายปีตัวเลขอาจจะไม่ถูกต้อง 100% แต่ก็รับประกันว่าถูกต้องไม่ต่ำกว่า 90% ครับ)
ออกตัวก่อนว่าไม่ได้เปิดชื่อหุ้นและไม่ได้สื่อว่าหุ้นตัวใดน่าซื้อทั้งนั้นนะครับ นี้เป็นการแชร์ความเห็นร่วมกับเพื่อนๆเฉยๆว่าถ้าเราเห็นแต่ตัวเลขทางการเงินแล้วเราคิดว่าบริษัทไหน pe น่าจะสูงบ้าง pe น่าจะสูงไม่ได้หมายถึงหุ้นควรจะขึ้นต่อ pe ที่น่าจะต่ำก็ไม่ได้หมายถึงหุ้นควรจะลง ดังนั้นดูเฉยๆอย่าไปตีความว่ามาใบ้หุ้นล่ะ
บอกอีกนิดว่าผมไม่ได้เก่งหุ้นกลุ่มนี้เลยนะครับความเห็นที่ผมเขียนเป็นเพียงความเห็นของคนที่ติดตามหุ้นกลุ่มนี้บ้างเพียงแต่ไม่ถึงกับชำนาญนะครับ
ตารางนี้ก็ประมาณว่าราคาวันสุดท้ายของปีเทียบกับ eps ของปีนั้นครับ
จริงๆแล้วบริษัทที่ pe สูงที่สุดดันเป็นบริษัทที่สามนะครับ
แต่จริงๆแล้ว ผมต้องบอกว่ามันสูงเพราะบริษัทที่สามมีอะไรบางอย่างที่บริษัทอื่นไม่มีครับ เช่น
ถือหุ้นในบริษัทที่ 5 มีแบงค์เป็นของตัวเองเพิ่งขายโรงพยาบาลแห่งนึงออกไปเมื่อเร็วๆนี้และมีบริษัทในเครือที่ขาย furniture ครับ
ดังนั้นการประเมิน pe ของบริษัทที่สามจริงๆแล้วควรใช้วิธี sum of the part ครับซึ่งในกรณีนี้ถือว่าเราตัดออกไป
หุ้นที่ได้ pe สูงต่อมาคือลำดับที่ 5
ที่นี้บริษัทที่ 5 เนี้ยเวลาคำนวนมูลค่าหุ้นเขาก็ใช้ sum of the part ครับ เพราะว่าเขามี property fund มี service apartment และมี retail bank และมีบริษัทขายเฟอร์นิเจอร์ในมือเช่นเดียวกับบริษัทที่สามครับ
สรุปว่าตารางนี้หุ้นที่ดู pe สูงๆนั้นเพราะกำไรที่ออกมาไม่ได้สะท้อน asset หรือ บริษัทอย่างอื่นที่เขาถือหุ้นอยู่และจริงๆแล้วถ้าสองบริษัทมี pe เท่ากัน แต่บริษัท a มี service apart ment ที่คนเช่าแน่นอน แต่บริษัท b ขายของหมดเลย pe ของบริษัท a ควรจะสูงกว่าเพราะควรจะแยก recurring income ออกมาคำนวน pe ที่สูงแล้วกำไรส่วนที่เหลือก็คูณกับ pe develop ที่ท่านคิดว่าเหมาะสม
ดังนั้นบริษัทที่สามกับห้าเนี้ย pe สูงโดยมีเหตุผลในตัวของมันเองครับ
ที่นี้ถ้าเรามาดูต่อ(ย้อนกลับไปดูหน้า 5)บริษัท1,2,4,7
จะถือว่ามี roe ที่สูงใกล้เคียงกันแต่ว่าสิ่งที่ต่างกันก็คือว่าก่อนปี 52 บริษัทที่ 4 มี asset turnover ที่ต่ำกว่าสามบริษัทที่เหลือ
ทั้งๆ roe ใกล้เคียงกันและทำให้ช่วงก่อนจะถึงปี 52 บริษัทที่ 4 มี pe ต่ำกว่าบริษัทอื่นๆชัดเจนมากจนกระทั่ง asset turnover ของบริษัทที่ 4 เพิ่งมาดีขึ้นในปี 52 และ 53 จึงทำให้ดูเหมือนตลาดเริ่มให้ pe สูงขึ้นบ้างเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆ
ตามความเห็นของผม develop เป็นธุรกิจเงินต่อเงินการขายเร็วจะทำให้บริษัทมีกำไรที่สูงขึ้นซึ่งบริษัทที่ 1 กับ 7ถือเป็นบริษัทที่ขายได้เยอะเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ ลองสมมุติว่าแต่ละบริษัท a ขายแล้วได้ gm ที่ 34% โดยเฉลี่ย
ถ้าบริษัทมี asset 10000 ล้านและ asset turnover 0.8 หมายความว่าบริษัทมียอดขาย 8000 ล้านซึ่งเท่ากับบริษัทได้กำไรขั้นต้นไป 34% ของ 8000 ล้านจากฐาน asset 10000
ในขณะที่บริษัทที่แม้จะมีกำไรขั้นต้นสูงเช่น 40% แต่ถ้า asset turnover ในสมัยก่อนทำได้เฉลี่ยแค่ 0.45 เท่าหมายความว่ามี asset 10000 ล้านและมีรายได้ 4500 ล้านและมีกำไรขั้นต้น 40% ของ 4500
ลองเปรียบเทียบแล้วแม้กำไรขั้นต้นของบริษัทแรกจะน้อยกว่า
แต่ลองเทียบดูจริงๆแล้วถ้า pe เท่ากันคงไม่มีใครซื้อบริษัทที่สอง
ผมเลยคิดตามความเห็นของผมว่าแม้ roe จะใกล้เคียงกันแต่ asset turnover ที่ต่างกันทำให้ pe ต่างกันได้พอสมควร
ถามว่าทำไมใช้กำไรขั้นต้นไม่ใช่สุทธิ์คือจริงๆแล้วตัวเลข pe เนี้ยมี noise นะครับเนื่องจากว่าถ้าบริษัทเปิดโครงการใหม่ก็มียอดค่าใช้จ่ายเยอะแต่ยังรับรู้รายได้ไม่ได้ อาจจะทำให้ดูเหมือนกับว่า กำไรสุทธิ์ต่ำเกินจริง อะไรทำนองนี้เลยยกตัวอย่างเป็นกำไรขั้นต้นแทน
ผมไม่เปิดเผยชื่อหุ้นเพราะว่า ไม่อยากให้มีดราม่าเดี่ยวจะมีคนคิดว่าทำไมมาว่าบริษัทเขาไม่ดีเทียบกับอีกบริษัทอะไรทำนองนี้
สุดท้ายนี้จริงๆแล้วเหตุผลที่ผมพูดมาอาจจะเป็นเหตุผลที่ตลาดคิดจริงๆ หรือไม่ใช่ก็ได้เพราะตลาดอาจจะไม่ได้มองแบบที่ผมเล่า
ผมก็แค่แชร์ความเห็นนะครับ
จบแล้วครับพิมพ์ตั้งนานกว่าจะจบ ไปฆ่า zombie ต่อดีกว่า