หน้า 9 จากทั้งหมด 12

news20/12/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 20, 2007 8:30 pm
โดย chartchai madman
คืบหน้าตั้งกองทุนพัฒนาพื้นที่โรงไฟฟ้า ข่าว 18.00 น.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Thursday, December 20, 2007
นายณอคุณ สิทธิพงศ์ รองปลัดกระทรวงพลังงาน บอกว่า การจัดตั้งกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าขณะนี้เสร็จแล้วกว่า 10 กองทุน ในพื้นที่ 7 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดขอนแก่น กาฬสินธุ์ อุตรดิตถ์ อ่างทอง ฉะเชิงเทรา กระบี่ และพระนครศรีอยุธยา ส่วนกองทุนฯ ที่เหลือคาดว่าจะแล้วเสร็จเร็ว ๆ นี้

ทั้งนี้ มูลค่าสินทรัพย์ของกองทุนฯ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีมากกว่า 606 ล้านบาท คาดว่าปี 2551 จะมีเงินเข้ากองทุนฯประมาณ 1,887 ล้านบาท ซึ่งเงินดังกล่าวจะนำไปจัดสรรให้กับชุมชนรอบโรงไฟฟ้าทั่วประเทศนำไปใช้ประโยชน์เพื่อส่วนรวมในชุมชนเป็นหลัก เช่น การพัฒนาอาชีพ การศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม กีฬา และดนตรี หรือการสาธารณสุขและพัฒนาสิ่งแวดล้อม การพัฒนาพลังงานหมุนเวียน หรือเป็นเพื่อบรรเทาความเสียหายทันที หากเกิดผลกระทบที่มีสาเหตุมาจากโรงไฟฟ้า หรืออาจใช้เป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าให้กับครอบครัวในชุมชนที่อยู่รอบโรงไฟฟ้า
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx

news21/12/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ธ.ค. 21, 2007 6:41 pm
โดย chartchai madman
รมว.พลังงานแนะใช้พลังงานทดแทน แก้ปัญหาวิกฤติน้ำมันของชาติในระยะยาว

Posted on Friday, December 21, 2007
ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel ว่า ในช่วงที่ผ่านมา ไทยมีการนำเข้าน้ำมันสุทธิลดลงต่ออย่างเนื่อง เป็นเพราะการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก และรัฐบาลยกเลิกการตรึงราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูป และปล่อยให้ราคาเป็นไปตามกลไกตลาด โดยในปี 2549 ไทยมีการนำเข้าน้ำมันสุทธิ 6 แสนล้านบาท ส่วนปี 2550 คาดว่าไทยจะนำเข้าน้ำมันสุทธิลดลง 5% คิดเป็นมูลค่า 5.6 แสนล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าไทยจะมีการนำเข้าน้ำมันลดลง แต่ก็ยังอยู่ในระดับสูง เนื่องจากไทยมีน้ำมันและแก๊สไม่มาก จึงไม่เพียงพอต่อการตอบสนองความต้องการใช้ภายในประเทศ โดยขณะนี้ไทยใช้น้ำมันคิดเป็น 41% ของการใช้พลังงานทั้งหมด สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่อยู่ที่ 35% ดังนั้น ไทยจึงจำเป็นต้องลดการใช้น้ำมันโดยเร็วที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงจากการใช้น้ำมันที่มากเกินไป โดยเชื่อว่า หากภาครัฐมีการรณรงค์อย่างต่อเนื่อง ภายใน 4 ปีข้างหน้า ไทยก็จะลดการใช้น้ำมันเหลือ 33%

ปัจจุบันรัฐบาลได้พยายามรณรงค์ให้คนไทยหันมาใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น โดยได้สนับสนุนเรื่องเงินกองทุนน้ำมันให้กับแก๊สโซฮอล์ 4 บาท/ลิตร เพื่อให้ราคาขายปลีกแก๊สโซฮอล์ต่ำกว่าน้ำมันเบนซิน ส่วนไบโอดีเซลนั้น เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตค่อนข้างสูง รัฐบาลก็ได้ช่วยเหลือทั้งผู้ผลิตและผู้ใช้เช่นกัน

ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ยังให้ความสำคัญกับพลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ อย่างการผลิตไฟฟ้าจากน้ำ รัฐบาลก็ได้รับซื้อไฟฟ้าพลังน้ำจากลาว และประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีต้นทุนที่ค่อนข้างต่ำ ทำให้ไทยใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากน้ำมันลดลง แต่เนื่องจากลาวก็มีความจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าเช่นกัน จึงคาดว่าไทยจะซื้อไฟฟ้าจากลาวได้อีกเพียง 10 ปีเท่านั้น ดังนั้น จึงเห็นว่าไทยควรให้ความสำคัญกับพลังงานนิวเคลียร์ เพราะถึงแม้จะมีความเสี่ยง แต่ก็สามารถป้องกันได้ นอกจากนี้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ก็มีมาตรฐานความปลอดภัยที่สูงมาก เป็นพลังงานที่สะอาด แก้ปัญหาโลกร้อน รวมทั้งยังมีต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่ถูกกว่าพลังงานชนิดอื่น ๆ ด้วย

ดร.ปิยสวัสดิ์บอกว่า การก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เป็นโครงการที่ต้องใช้เวลาการในเตรียมการนานมาก เพราะจะต้องเตรียมทั้งบุคลากรเฉพาะด้าน การจัดตั้งกฎหมาย สถานที่ตั้ง และการทำความเข้าใจกับประชาชน โดยในอนาคต หากไทยมีทางเลือกที่ดีกว่าพลังงานนิวเคลียร์ ก็สามารถหันไปใช้ทางเลือกที่ดีกว่าได้ แต่ถ้าไทยไม่เตรียมความพร้อม และในอนาคตไม่มีทางเลือกที่ดีกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เกิดขึ้น ไทยก็จะเสียโอกาสในการแข่งขันทันที

ส่วนการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ และให้ประชาชนหันมาใช้ระบบขนส่งมวลชน ก็จะช่วยลดการใช้น้ำมันได้เช่นกัน โดยคณะรัฐมนตรีก็ได้อนุมัติให้จัดสรรเงิน 7 หมื่นล้านบาท ด้วยการเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันเบนซินและดีเซล 0.50 บาท/ลิตร เพื่อนำมาพัฒนาระบบขนส่งมวลชนแล้ว

ดร.ปิยสวัสดิ์ฝากว่า อยากให้ประชาชนลดการใช้น้ำมันโดยเร็วที่สุด เพราะราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะไม่ลดลงไปกว่านี้แล้ว และถ้าเกิดสงครามในตะวันออกกลาง ราคาน้ำมันดิบก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศสูงตามไปด้วย นอกจากนี้อยากให้ประชาชนเปิดใจรับข้อมูลเรื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ด้วย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx

news24/12/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ธ.ค. 24, 2007 9:41 pm
โดย chartchai madman
กฟผ.เล็งซื้อไฟลาวเพิ่ม7พันเมกะวัตต์

โพสต์ทูเดย์ ปิยสวัสดิ์ ร่วมหารือโครงการรับซื้อไฟฟ้าลาว ตามแผน 7 พันเมกะวัตต์ หวังดัน กฟผ.อินเตอร์ฯ ลงทุนหงสาลิกไนต์


นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รมว.พลังงาน กล่าวว่า เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. ได้เดินทางไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) เพื่อเจรจาความคืบหน้าของโครงการซื้อไฟฟ้าตามแผนทั้งหมด 7 พันเมกะวัตต์ โดยครั้งนี้จะมีการลงนามซื้อขายไฟฟ้าจำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังน้ำเทินหินบุน ส่วนขยาย 280 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าหงสาลิกไนต์ จำนวน 1,473 เมกะวัตต์ เพื่อเป็นการสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานของประเทศ

ทั้งนี้ ในส่วนของโครงการหงสาลิกไนต์ หากเป็นไปได้ บริษัท กฟผ.อินเตอร์เนชั่นแนล ก็ควรเข้าไปร่วมลงทุนด้วย ซึ่งตอนนี้ได้มีการจดทะเบียนบริษัทอย่างเป็นทางการแล้ว เนื่องจากเป็นโครงการที่มีขนาดใหญ่ นอกจากนี้ ยังมีการติดตามความคืบหน้าของโครงการซื้อไฟฟ้าน้ำอู และน้ำเงี้ยบด้วย

ขณะนี้ไทยต้องพยายามเร่งเจรจาซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านไว้รองรับความต้องการใช้ในอนาคต เนื่องจากโครงการสร้าง โรงไฟฟ้าถ่านหินจะต้องเลื่อนไป 1 ปี จากปัญหามวลชนในพื้นที่ที่ต้องทำความเข้าใจให้ได้ ซึ่งหากถึงที่สุดแล้ว ก็อาจต้องไปสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ในต่างประเทศแทน อย่างโครงการ โรงไฟฟ้าถ่านหินในเขมร ซึ่งมีกำลังการผลิตเกือบ 4 พันเมกะวัตต์ นายปิยสวัสดิ์ กล่าว

นายสมบัติ ศานติจารี ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า ขณะนี้ได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัท กฟผ.อินเตอร์เนชั่นแนล แล้ว ด้วยทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 50 ล้านบาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญจำนวน 5 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (Par Value) หุ้นละ 10 บาท โดย กฟผ.เป็นผู้ถือหุ้น 99.99% โดยตั้งคณะกรรมการชุดแรกของบริษัท 5 คน คือ นายวินิจ แตงน้อย รองผู้ว่าการผลิตไฟฟ้า นายพายัพ พงศ์พิโรดม รองผู้ว่าการเชื้อเพลิง นายรัตนพงษ์ จงดำเกิง รองผู้ว่าการระบบส่ง และนายอภิชาต ดิลกโศภณ รองผู้ว่าการควบคุมระบบ เป็นกรรมการบริษัท มีผู้ว่าการ กฟผ. เป็นกรรมการ และดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริษัท

อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้คาดว่าจะมีการแต่งตั้งเพิ่มเติมอีก 2 คน โดยเป็นผู้แทนจากกระทรวงการคลัง 1 คน และผู้แทนจากกระทรวงพลังงาน 1 คน และอาจมีกรรมการเพิ่มเติมจากหน่วยงานภาครัฐที่ เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ บริษัท กฟผ.อินเตอร์ฯ จะเป็นตัวแทนของ กฟผ.ในการลงทุนโครงการต่างๆ เพื่อจัดหาพลังงานไฟฟ้าส่งเข้าประเทศ รวมทั้งการลงทุนโครงการในต่างประเทศที่เกี่ยวกับพลังงานไฟฟ้า และธุรกิจอื่นที่เกี่ยวกับ หรือเกี่ยวเนื่องกับกิจการของ กฟผ.ที่สร้างมูลค่าเพิ่ม และเป็นประโยชน์แก่ธุรกิจของ กฟผ. และประเทศไทย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=210735

news24/12/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ธ.ค. 24, 2007 11:03 pm
โดย chartchai madman
กลุ่มพลังงานทดแทนเดินทัพ ขอรัฐปรับขึ้นค่ารับซื้อไฟฟ้า  
5 กลุ่มพลังงานทดแทนจากส.อ.ท.เตรียมยื่นหนังสือถึง รัฐบาลใหม่ ขอปรับเพิ่มอัตราการรับซื้อไฟฟ้า แจงทุกรายการที่ขอเพิ่มมีเหตุผล หวังกระตุ้นนักลงทุน จากอัตรารับซื้อไฟ เผยมีกลุ่มทุนใหม่จ่อลงทุนอีกตรึม ล่าสุดกลุ่มทุนจีนจ้องอัดงบหมื่นล้านผลิตไฟฟ้าจากขยะ

นายพิชัย ถิ่นสันติสุข ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผย"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ในปี2551 กลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนจำนวน 5 กลุ่ม คือ พลังงานทดแทนแสงอาทิตย์ (Solar Cell) พลังงานลม( Wind Turbine) ไบโอแมส(แก๊สชีวมวล) ไบโอแกส(แก๊สชีวภาพ) และการแปลงขยะเป็นพลังงาน ได้ทำหนังสือเพื่อเตรียมเสนอต่อรัฐบาลใหม่ให้มีการปรับเพิ่มอัตราการรับซื้อไฟฟ้า(ADDER)สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก(VSPP) คือขนาดไม่เกิน 10 เมกกะวัตต์ เพื่อให้เกิดแรงจูงใจในการลงทุน และส่งผลดีต่อธุรกิจผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมากในระดับหนึ่ง

โดยแผนที่จะยื่นเป็นการต่อยอด ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ยื่นหนังสือเพื่อเสนอให้มีการปรับเพิ่มอัตราการรับซื้อไฟฟ้าไปยัง นายพานิช พงศ์พิโรดม อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน(พ.พ.) ต่อมาเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2550 โดยตัวแทนกลุ่มพลังงานทดแทน และบริษัท เอกชน ประมาณ 15 บริษัท เข้าพบนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเพื่อหารือถึงประเด็นดังกล่าวและทิศทางอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนในปี2551

"จากการหารือในกรณีขอปรับเพิ่มอัตราการรับซื้อไฟฟ้า นายปิยสวัสดิ์ เห็นด้วยในหลักการ โดยเฉพาะพลังงานทดแทนประเภทการแปลงขยะเป็นพลังงาน แต่มองว่าข้อเสนอดังกล่าวจะพิจารณาไม่ทันในรัฐบาลนี้ ทำให้กลุ่มพลังงานทดแทนเตรียมที่จะยื่นหนังสือดังกล่าวให้กับรัฐบาลใหม่ในปี2551 นี้ต่อไป "

ทั้งนี้ กลุ่ม5 ให้เหตุผลขอปรับอัตราADDER ต่างเสนออัตราส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับต้นทุนการผลิตที่ไม่เท่ากัน เพราะหากไม่มีการปรับอัตราส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า เชื่อว่าจะทำให้ผู้ลงทุนไม่มีแรงจูงใจลงทุน เนื่องจากพลังงานทดแทนบางประเภทต้นทุนสูงมาก อย่างเช่นพลังงานแสงอาทิตย์ เสนอขอปรับที่อัตรา 11 บาท//กิโลวัตต์-ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 20 ปี โดยให้เหตุผลว่าปัจจุบันมีผู้ผลิต 5 ราย ส่งออกกว่า 90% เนื่องจากขายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไม่คุ้มทุน ทั้งนี้ในปัจจุบันอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์อยู่ที่ 8 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง

สำหรับพลังงานลมเสนอขอปรับที่อัตรา 6 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมงระยะเวลา 15 ปี เนื่องจากมีผู้ผลิตในประเทศอย่างน้อย 2 ราย และเป็นกังหันลมขนาดเล็กไม่มีทางคืนทุนได้ จึงต้องผลักดันให้เกิดการลงทุนในกังหันลมขนาดใหญ่จากนักลงทุนต่างประเทศ จึงต้องมีราคารับซื้อไฟฟ้าที่จูงใจก่อน ซึ่งขณะนี้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานลมอยู่ที่ 3.50 บาท/กิโลวัตต์ชั่วโมง

โดยที่เมื่อเร็วๆนี้บอร์ดใหญ่บีโอไอได้ให้การส่งเสริมโรงไฟฟ้าพลังงานลม 3 โครงการ เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างนักธุรกิจไทย เดนมาร์ก และฮ่องกงประกอบด้วย กิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ของ บริษัท ไทย วินด์ เอ็นเนอร์ยี จำกัด เงินลงทุน 6,563 ล้านบาท มีกำลังการผลิตไฟฟ้าขนาด 100 เมกะวัตต์ ตั้งกิจการที่ อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร โครงการที่2 กิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ของ บริษัท เนชั่นแนล วินด์เพาเวอร์ จำกัด เงินลงทุน 4,425 ล้านบาท มีกำลังการผลิตขนาด 70 เมกะวัตต์ ตั้งกิจการที่ อำเภอภูพาน จังหวัดสกลนคร และโครงการที่3 กิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ของ บริษัท ไทย วินด์เพาเวอร์ จำกัด เงินลงทุน 3,570 ล้านบาท มีกำลังการผลิตขนาด 50 เมกะวัตต์ตั้งกิจการที่ อำเภอนิคมคำสร้อย จ.มุกดาหาร ทั้ง 3 โครงการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.)

นายพิชัย กล่าวต่อถึงพลังงานทดแทนไบโอแมส ว่า เสนอขอเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าที่ 1 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมงเป็นเวลา 15 ปี เนื่องจากราคาเชื้อเพลิงสูงขึ้นจึงต้องมีการปลูกป่าและผลิตเพิ่มเช่นการปลูกกระถินยักษ์ จากเดิมที่นำของเหลือทิ้งจากภาคเกษตรมาผลิต โดยปัจจุบันอัตราราคารับซื้อไฟฟ้าจากไบโอแมสอยู่ที่ 0.30 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง ส่วนไบโอแก๊ส เสนอขอปรับอัตรารับซื้อไฟฟ้าที่ 1 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง เป็นเวลา 7 ปี เพราะราคาในขณะนี้ทำให้การผลิตยังไม่สามารถคืนทุนได้โดยเฉพาะการผลิตไบโอแก๊สจากโรงงานผลิตอาหาร เพราะได้แก๊สออกมาไม่ดีเท่ากับไบโอแก๊สที่ผลิตจากโรงงานแป้งมันสำปะหลัง

ส่วนการแปลงขยะเป็นพลังงาน เสนอขอเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าที่ 3.50 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง เป็นเวลา 20 ปี เพราะราคาปัจจุบันที่ 2.50 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมงยังไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน และมีความเสี่ยงด้านการเมืองท้องถิ่นที่แต่ละพื้นที่มีโนบายไม่เหมือนกัน จึงต้องบวกค่าความเสี่ยงไปด้วย


อย่างไรก็ตามราคาที่กลุ่มพลังงานทดแทนขอเพิ่มอัตราการรับซื้อไฟฟ้าจากรัฐจะต้องไปบวกเพิ่มกับราคาปกติในการซื้อ-ขายไฟฟ้าในขณะที่ที่อัตราประมาณ 2.50 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง และราคาพลังงานทดแทนที่ขอปรับเพิ่มครั้งนี้เมื่อไปเฉลี่ยเป็นต้นทุนส่วนเพิ่มของราคากระแสไฟฟ้าแล้วจะไม่ส่งผลกระทบกับประชาชน เนื่องจากพลังงานทดแทนยังมีอัตราส่วนที่ทำได้ไม่ถึง5%ของปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้

นายพิชัยกล่าวเพิ่มเติมว่าพลังงานจากขยะ หากอัตราราคารับซื้อไฟฟ้าเป็นที่จูงใจก็จะมีกลุ่มทุนใหม่จากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศลงทุนด้านพลังงานทดแทนอีกจำนวนมากโดยเฉพาะ ถ้ารัฐบาลเห็นชอบให้มีการปรับราคารับซื้อไฟฟ้าเป็น 3.50 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมงก็จะทำให้ขยะหายไปจากประเทศไทยภายใน3 ปี นับตั้งแต่ปี2551 เป็นต้นไป

"ถ้ารัฐยอมปรับให้กิจการแปลงขยะเป็นพลังงานในอัตรา 3.50 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง ก็จะมีกลุ่มทุนจีนที่พร้อมจะลงทุนแปลงขยะเป็นพลังงานโดยใช้เงินลงทุนทันทีไม่ต่ำกว่า 8,000 ล้านบาท โดยเฉพาะบริษัท ซียูจียูเอ็นไวรอนเมนทอลโปรเท็คชั่น แอนด์ริซอร์ส(ประเทศไทย)จำกัดที่แสดงท่าทีจะลงทุนแล้ว "

ด้านนายหนิง เฮอ (NING HER)ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ซียูจียูเอ็นไวรอนเมนทอลโปรเท็คชั่น แอนด์ริซอร์ส(ประเทศไทย)จำกัดกล่าวว่าบริษัทเป็นกลุ่มทุนจีนที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ที่ขณะนี้ได้ลงทุนสร้างโรงงานจำกัดขยะแล้ว โดยโครงการแรกเพิ่งเซ็นสัญญาความร่วมมือด้านการลงทุนกับจังหวัดชลบุรีไปเมื่อเร็วๆนี้ ในการ ตั้งโรงงานกำจัดขยะขนาด 1,000 ตัน/วัน ด้วยความร้อน 850-1,100 องศาเซลเซียส ใช้เงินลงทุนในส่วนนี้ 3,000 ล้านบาท คาดว่าจะเกิดการลงทุนได้ภายในปี2551 จากกระบวนการผลิตจะมีขนาด20-25 เมกะวัตต์ ส่วนหนึ่งจะใช้เองและอีกส่วนจะขายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)

นอกจากนี้ถ้ารัฐบาลใหม่อนุมัติให้ขยายระยะเวลารับซื้อไฟฟ้าที่เกิดจากการแปลงขยะเป็นพลังงานจาก 7 ปีเป็น 20 ปี และถ้ามีการเพิ่มอัตรารับซื้อไฟฟ้าจาก2.50 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมงเป็น 3.50 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมงด้วย ก็จะดีต่อการลงทุน ซึ่งขณะนี้บริษัทมีแผนที่จะลงทุนต่อเนื่องในประเทศไทยอีก โดยเบื้องต้นกำหนดว่าจะร่วมมือกับกรุงเทพมหานครเพื่อกำจัดขยะขนาด 3,000-4,000 ตัน/วันโดยจะมีความร้อนที่ออกมาจากกระบวนการผลิตขยะขนาด 60-90 เมกะวัตต์เป็นพลังงานไฟฟ้าจากขยะทั้งหมด

"โครงการนี้จะต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 12,000 ล้านบาท หากทางกทม.สนใจที่จะร่วมโครงการนี้ก็คาดว่าจะลงทุนได้ภายในปี2551 โดยการลงทุนทั้ง2 โครงการนี้เมื่อครบกำหนด 30 ปีนับจากวันที่ดำเนินการได้ ก็จะโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมดให้กับจังหวัดชลบุรี และกทม.ต่อไป"  
http://www.thannews.th.com/detialNews.p ... issue=2281

news27/12/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 27, 2007 7:41 pm
โดย chartchai madman
น้ำมันดิบพุ่งเข้าใกล้ 96 เหรียญสูงสุดรอบ 1 เดือน
ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ และเบรนท์ อังกฤษทะเลเหนือ ทะยานสูงขึ้นครั้งใหม่ ทำสถิติปืดสูงสุดในรอบ 1 เดือน โดยน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ พุ่งขึ้นบาร์เรลละ 1.84 เหรียญ ปิดที่ 95.97 เหรียญต่อบาร์เรล หรือทะยานขึ้น 2% เช่นเดียวกันกับราคาน้ำมันดิบเบรนท์ อังกฤษทะเลเหนือ พุ่งขึ้นปิดที่บาร์เรลละ 93.94 เหรียญ พุ่งสูงขึ้น 1.24 เหรียญ หรือราว 1.3% ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบตั้งแต่ต้นปีจนถึงเมื่อคืนที่ผ่านมา เพิ่มสูงขึ้นถึง 57% โดยมีแรงกดดันจากการโจมตีทางทหารของตุรกี ในทางตอนเหนือของอิรัก
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news28/12/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ธ.ค. 28, 2007 10:41 am
โดย chartchai madman
เปิดโผแชมป์หุ้นพลังงาน

เปิดโผหุ้นพลังงานรอบปี MDX ขึ้นแท่นราคาขึ้นแรงสุดหลังกลับเข้ามาเทรดในกลุ่มพลังงานปีนี้ดันราคาขึ้นไปพีคสุด 9 บาท ขณะที่หุ้น  BANPU รั้งอันดับ 2  ราคาถ่านหินพุ่ง ส่ง ITM ลุยตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ตามติดด้วยกลุ่ม PTT ยังฉายแววสดใสหนุนราคาน้ำมันยังรอทำนิวไฮใหม่
    จากการสำรวจความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานในรอบปี 2550 (3 ม.ค.-26 ธ.ค.2550) พบว่าดัชนีกลุ่มพลังงานมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 55.66% ปรับตัวสูงกว่าดัชนีตลาดหุ้นโดยรวมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 23.73% นำโดยอันดับหนึ่งหุ้น MDX จากราคาเริ่มต้น 1.80 บาท ขยับขึ้นมาถึง 4.08 บาท เพิ่มขึ้น 126.67%


    ส่วนอันดับ 2 หุ้น BANPU จากราคาเริ่มต้น 182 บาท ขยับขึ้นมาถึง 394 บาท    คิดเป็นปรับตัวเพิ่มขึ้น 116.48% อันดับ 3 หุ้น PTT  จากราคาเริ่มต้น 210 บาท ขยับขึ้นมาถึง 368 บาท เพิ่มขึ้น 75.24% ส่วนอันดับ 4 หุ้น TOP จากราคาเริ่มต้น 52.50 บาท ขยับขึ้นมาถึง 87 บาท  คิดเป็นเพิ่มขึ้น 65.71%
    สำหรับอันดับ 5 หุ้น PTTEP จากราคาเริ่มต้น 96.50 บาท ขยับขึ้นมาถึง 156 บาท  คิดเป็นเพิ่มขึ้น 61.66% ส่วนอันดับ 6 หุ้น BCP เพิ่มขึ้น 61.45% อันดับ 7 หุ้น LANNA จากราคาเริ่มต้น 11.30 บาท ขยับขึ้นมาถึง 17.60 บาท  คิดเป็นเพิ่มขึ้น 55.75%
    ตามมาด้วยอันดับ 8 หุ้น RRC  จากราคาเริ่มต้น 17 บาท ขยับขึ้นมาถึง 22.30 บาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 31.18% อันดับ 9 หุ้น EGCO  จากราคาเริ่มต้น 95.50 บาท ขยับขึ้นมาถึง 111 บาท เป็นเพิ่มขึ้น 16.23% และปิดท้ายอันดับ 10 หุ้น RATCH จากราคาเริ่มต้น 96.50 บาท ขยับขึ้นมาถึง 156 บาท
คิดเป็นเพิ่มขึ้น 5.23%                        
ปี50หุ้นพลังงานสตอรี่ล้น
    นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัดกล่าวว่า สำหรับการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานในปี 2550 นี้ถือว่าแข็งแกร่งกว่าตลาดทั้งในส่วนของหุ้นน้ำมันและโรงกลั่น อาทิ PTT ,PTTEP ,TOP และ RRC เป็นต้นโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับขึ้นแรงต่อเนื่อง
               ขณะเดียวกันราคาหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าต่างก็มีการขยับขึ้นมาตอบรับกับประเด็นข่าวการเปิดประมูลโครงการโรงไฟฟ้า IPP ทั้งหุ้น EGCO และ RATCH ถึงแม้ท้ายที่สุดจะผิดคาดที่ไม่สามารถชนะการประมูลรอบนี้ได้ แต่หลายบริษัทก็มีแผนรองรับ และปรับกลยุทธ์การดำเนินงานแล้ว    
     

news28/12/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ธ.ค. 28, 2007 4:02 pm
โดย chartchai madman
น้ำมันดิบพุ่งเข้าใกล้ 97 เหรียญสูงสุดรอบ 1 เดือน
ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ และเบรนท์ อังกฤษทะเลเหนือ ทะยานสูงขึ้นครั้งใหม่ ทำสถิติปิดสูงสุดในรอบ 1 เดือนเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน โดยน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ เพิ่มขึ้นบาร์เรลละ 65 เซ็นต์ ปิดที่ 96.62 เหรียญต่อบาร์เรล หรือทะยานขึ้นเกือบ 1% เช่นเดียวกันกับราคาน้ำมันดิบเบรนท์ อังกฤษทะเลเหนือขึ้นปิดที่บาร์เรลละ 94.78 เหรียญ บวก 84 เซ็นต์ หรือเกือบ 1% ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบตั้งแต่ต้นปีจนถึงเมื่อคืนที่ผ่านมา เพิ่มสูงขึ้นถึง 60% โดยมีแรงกดดันจากปริมาณสำรองน้ำมันดิบรายสัปดาห์ในสหรัฐลดลง
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news28/12/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ธ.ค. 28, 2007 4:08 pm
โดย chartchai madman
โรงกลั่นน้ำมันปิโตรนาส ในแอฟริกาใต้กำลังจะเดินเครื่องการกลั่นเต็มกำลัง สัปดาห์หน้า
โรงกลั่นน้ำมัน ปิโตรเลียม เนชั่นนอล ในเมืองดูบาน ซึ่งเป็นเมืองที่มีกำลังการกลั่นสูงที่สุดอันดับที่3 ในแอฟริกาใต้ กำลังจะเริ่มกระบวนการกลั่นแบบเต็มความสามารถ ในอีก 5 วันข้างหน้า หลังจากเสร็จสิ้นการซ่อมครั้งใหญ่ เนื่องจากเกิดเหตุเพลิงไหม้ เมื่อ 3 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ และทำให้ต้องลดกำลังการกลั่นลงถึง 40 % ทั้งนี้ โรงกลั่นดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่า ปิโตรนาส ซึ่งเป็นโรงกลั่นน้ำมันของรัฐบาลมาเลเซีย เป็นผู้จัดหากาซโซลีนในสัดส่วนกว่า 26.5 % ของปริมาณที่มีการซื้อขายในแอฟริกาใต้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news02/01/08

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 02, 2008 3:14 pm
โดย chartchai madman
น้ำมันจ่อขึ้นรับปีใหม่ ทุบสถิติทะลุ 33 บาท

นายชัยวัฒน์ ชูฤทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลุ่มธุรกิจน้ำมัน บมจ. ปตท. กล่าวว่า ปตท.เตรียมพิจารณาปรับขึ้นราคาน้ำมันทุกชนิด ลิตรละ 40 สตางค์ ในสัปดาห์นี้ ตามราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ทยอยปรับขึ้นตั้งแต่ก่อนปีใหม่ ทาง ปตท.ยอมแบกรับภาระวันในช่วงวันหยุดยาววันละ 20-30 ล้านบาท

ในขณะที่ค่าการตลาดดีเซลติดลบ 10 สตางค์/ลิตร และเบนซินเหลืออยู่ที่ 20 สตางค์/ลิตรเท่านั้น ปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นมีทั้งปัจจัยพื้นฐานในเรื่องปริมาณความต้องการใช้ในช่วงอากาศหนาวเย็น รวมทั้งกรณีการลอบสังหารนางเบนาซีร์ บุตโต แห่งปากีสถาน

รายงานข่าวจากกระทรวงพลังงานแจ้งว่า แม้ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศจะมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น และหากปรับขึ้นครั้งนี้ลิตรละ 40 สตางค์จะทำให้ราคาน้ำมันทำสถิติใหม่ทะลุ 33 บาท/ลิตร โดยเบนซิน 95 จะอยู่ที่ 33.29 บาท/ลิตร และดีเซลจะอยู่ที่ 29.74 บาท/ลิตร

อย่างไรก็ตาม กระทรวงยังไม่มีนโยบายเข้าไปลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อพยุงราคาน้ำมันได้ ไม่ว่าจะเป็นแก๊สโซฮอล์ 95 และ 91 เพราะได้เข้าไปช่วยลดเต็มเพดานหมดแล้ว แต่ปัจจุบันก็มีราคาต่ำกว่าเบนซินปกติอยู่ลิตรละ 4 บาท และไบโอดีเซลก็ถูกกว่าดีเซลอยู่ลิตรละ 1 บาท

รายงานข่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อวันที่ 1 ม.ค. ที่ผ่านมา ปตท.และบางจาก ได้เริ่มจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์อี 20 เป็นวันแรก โดย ปตท.ได้เปิดตัวพีทีที อี 20 พลัส สำหรับปั๊มน้ำมัน ปตท.ที่เปิดให้บริการอี 20 เบื้องต้นมี 10 แห่ง ซึ่งในช่วงของการเปิดตัวระหว่างเดือน ม.ค.-มี.ค.นี้ จะจำหน่ายอี 20 ในราคาถูกกว่าเบนซิน 95 ถึงลิตรละ 6 บาท
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news02/01/08

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 02, 2008 7:29 pm
โดย chartchai madman
เกษตรฯผนึกพลังงานเดินหน้าหนุนปลูกปาล์มผลิตไบโอดีเซล

2 มกราคม พ.ศ. 2551 16:39:00

กระทรวงเกษตรฯ-พลังงาน เดินหน้าสนับสนุนปลูกพืชพลังงานทดแทน ดันเป้าใช้ไบโอดีเซล 10 % ในปี 54 พร้อมเสนอครม.พิจารณาการทำคอนแทรคฟาร์มมิ่งในประเทศเพื่อนบ้าน

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
นายจรัลธาดา กรรณสูต ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับนายพรชัย รุจิประภา ปลัดกระทรวงพลังงานถึงแผนการผลิตพืชพลังงานทดแทนว่า ขณะนี้ปริมาณการใช้น้ำมันจากพืชพลังงานมีแนวโน้มที่สูงขึ้น โดยตามแผนการใช้ไบโอดีเซล ในปี 51-53 ในอัตรา 2 % ประมาณวันละ 1 ล้านลิตร และจะเพิ่มขึ้นเป็น 5 % , 10 % ในปี 54 หากได้ผลจะขยายเพิ่มขึ้นเป็น 20 % ในอนาคต

อย่างไรก็ตามผลผลิตปาล์มน้ำมันในปัจจุบันยังไม่เพียงพอกับความต้องการ จึงต้องจัดทำแผนล่วงหน้าเพื่อขยายพื้นที่การปลูกปาล์มเพิ่ม ในเบื้องต้น กระทรวงพลังงาน ร่วมกับ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) มีงบประมาณเพื่อสนับสนุนการปลูกปาล์ม รวม 7,000 ล้านบาท แยกเป็น งบประมาณของกระทรวงพลังงาน ที่ให้ธสก.เป็นผู้บริหารจัดการรวม 3,500 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 2 % และของธกส.เอง 3,500 ล้านบาท

ในส่วนของกระทรวงเกษตร จะเร่งหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมแผนการพัฒนาพื้นที่ปลูก รวมถึงเพิ่มปริมาณผลผลิตต่อไร่ให้สูงขึ้น จากปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 5 แสนไร่ โดยกำหนดพื้นที่เป้าหมายที่จะเพิ่มได้ เช่น ภาคใต้ และภาคตะวันออก ซึ่งยังมีที่นาร้างรวม 1 ล้านไร่ รกร้าง 3.7 แสนไร่ ทิ้งร้าง 4 แสนไร่ และดินเปรี้ยว 3.7 แสนไร่ โดยกระทรวงเกษตร ฯจะหารือ กับ ธกส. อีกครั้งเพื่อให้ปล่อยกู้อัตราดอกเบี้ยต่ำ จากปัจจุบันที่จัดเก็บอยู่ ประมาณ 7 % ส่วนพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรืออีสาน พบว่า ไม่มีศักยภาพพอที่จะปลูกปาล์มได้

นอกจากนี้ ยังจะมีการเตรียมแผนในการทำคอนแทรคฟาร์มมิ่ง ภายใต้กรอบความร่วมมือเขตการค้าเสรีอาเซียน ซึ่งจะต้องมีการนำเข้าคณะรัฐมนตรีพิจารณาด้วย ส่วนพืชพลังงานชนิดอื่น ที่ใช้ผลิตเอทานอล ทดแทนน้ำมันเบนซิล เช่น อ้อย ข้าวโพด และมันสำปะหลัง โดยเฉพาะมันสำปะหลัง ซึ่งปัจจุบันมีวัตถุดิบเพียงพอแล้ว หากจะเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกก็ต้องพิจารณาไม่ให้กระทบกับพื้นที่ปลูกป่า รวมทั้งการนำอ้อยโดยใช้กากน้ำตาลมาใช้ผลิตน้ำมัน ต้องมีการพิจารณาอีกครั้ง เนื่องจากอาจจะกระทบถึงหลายส่วน โดยเฉพาะปริมาณของน้ำตาลที่อาจจะเพิ่มขึ้น โดยต้องหารือร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมซึ่งรับผิดชอบในส่วนนี้อยู่
http://www.bangkokbiznews.com/2008/01/0 ... sid=216878

news02/01/08

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 02, 2008 8:40 pm
โดย chartchai madman
เปิดศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน [ ฉบับที่ 858 ประจำวันที่ 27-12-2007 ถึง 5-1-2008]  
ปทุมธานี - ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน นับเป็นแหล่งการเรียนรู้โดยการสาธิตและจัดแสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานได้อย่างครบวงจร ซึ่งครอบคลุมเทคโนโลยีการ อนุรักษ์พลังงานทั้งในภาคอุสาหกรรม ภาคอาคารธุรกิจ ตลอดจนภาคบ้านที่อยู่อาศัยจำนวน 54 เทคโนโลยี ซึ่งศูนย์แห่งนี้ได้ถูกออกแบบให้มีมาตรฐานระดับนานาชาติ เพื่อ ให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และให้บริการด้านการศึกษาเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานที่ทันสมัยเพื่อให้ผู้ที่เข้ามาชมสามารถนำเทคโนโลยีเหล่านี้ ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานอย่างมีประสิทธิ ภาพและที่สำคัญศูนย์แห่งนี้ยังเป็นศูนย์ กลางระดับนานาชาติแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่แสดงให้เห็นถึงความคิดริเริ่มและความเป็นผู้นำในด้านการอนุรักษ์พลังงานของประเทศไทยอีกด้วย

ศูนย์แสดงเทคโนโลยีแห่งนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากในการใช้อบรมผู้ประกอบ การธุรกิจ เพื่อเป็นแนวทางในการอนุรักษ์พลังงานและลดต้นทุนขององค์กรนั้นๆ ผู้เยี่ยมชมจะได้สัมผัสกับระบบแสงสว่าง การ ใช้แสงธรรมชาติ การตั้งตัวอาคาร การปรับอุณหภูมิภายในตัวอาคาร วัสดุอุปกรณ์ที่ทำให้ประหยัดพลังงาน ต่างๆ เหล่านี้ล้วน เป็นเทคโนโลยีที่น่าสนใจทั้งสิ้น จึงอยากให้ประชาชนมาชมกันมากๆ รมว.พลังงาน กล่าว

ด้าน นายพานิช พงศ์พิโรดม อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน หรือ พ.พ. กล่าวว่า สำหรับพื้นที่ส่วนศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลัง งานนี้ ทาง พ.พ. ได้กำหนดวัตถุประสงค์ สำคัญที่จะใช้เป็นศูนย์แสดงสาธิตและเผยแพร่เทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานที่สามารถ นำมาประยุกต์ใช้กับประเทศไทยได้อย่างเหมาะสมจำนวน 54 เทคโนโลยี ซึ่งจะครอบ คลุมเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานหลักทั้งในภาคอุสาหกรรม ภาคอาคารธุรกิจ และภาคบ้านอยู่อาศัยโดยในลักษณะของการจัดแสดงจะเป็นการแสดงหลักการทำงานของแต่ละเทคโนโลยีประกอบคำบรรยายในรูปแบบของโปสเตอร์ การแสดงตัวอย่างการไปใช้งานจริงโดยใช้อุปกรณ์ที่จำลองมาจากของจริงที่สามารถทดสอบการทำงานของอุปกรณ์และเครื่องจักรได้ในรูปแบบอินเตอร์แอ็กทีฟ และมัลติมีเดียในรูปแบบต่างๆ ที่ทันสมัย โดยจะเน้นให้ผู้ชมมีอิสระเพลิด เพลิน และได้รับความรู้ไปพร้อมๆ กัน โดยสามารถนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ให้เกิดประโยชน์ทั้งในแง่ของการประหยัดค่าใช้จ่าย ด้านพลังงาน และการเพิ่มผลผลิตโดยศูนย์จะสนับสนุนกลุ่มเป้าหมายต่างๆ ได้แก่ ผู้ประกอบกิจการ เจ้าของอาคาร เจ้าของโรง งาน วิศวะกร สถาปนิก ผู้รับผิดชอบด้านพลังงาน นิสิตนักศึกษา และประชาชนทั่วไป ได้เข้าเยี่ยมชมเพื่อให้นำความรู้ที่ได้รับไปเป็น ข้อพิจารณาในการนำเทคโนโลยีไปใช้งาน อันจะนำมาซึ่งการลดต้นทุนด้านพลังงานของ ผู้ประกอบการและลดการใช้พลังงานของประเทศต่อไปในอนาคต

โดยศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานตั้งอยู่บริเวณชั้นใต้ดินของอาคารอนุรักษ์พลังงานเฉลิมพระเกียรติ เทคโนธานี ตำบลคลองห้า จังหวัดปทุมธานี เปิดให้บริการตั้งแต่วันจันทร์ถึงศุกร์ตั้งแต่เวลา 08.30-15.30 น. โดยศูนย์จะมีวิทยากรคอยให้คำแนะนำ สำหรับผู้ที่สนใจเข้าชมเป็นหมู่คณะ สามารถสอบถามรายระเอียดได้ที่ กองฝึกอบรม กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน โทร. 0-2577-7035-41 ในเวลาราชการ หรือ www.dede.go.th  
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... s_id=10173

news03/01/08

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 03, 2008 12:58 pm
โดย chartchai madman
ยืดเอ็นจีวีรถบ้าน เหตุเพิ่มปั๊มไม่ทัน

โพสต์ทูเดย์ ปตท.เบรกแคมเปญ ลดค่าติดตั้งเอ็นจีวีรถบ้าน ไปกลางปี หลังปั๊มเอ็นจีวี ยังขยายไม่เป็นไปตามเป้า หวั่นบริการไม่เพียงพอ


นายณัฐชาติ จารุจินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ บริษัท ปตท. กล่าวว่า ปตท.จำเป็นต้องชะลอโครงการเอ็นจีวี เพื่อประชาชน ติดตั้งเงินสดลดทันที 1 หมื่นบาท และโครงการสินเชื่อเอ็นจีวี 0% ออกไปก่อน หลังสิ้นสุดโครงการไปเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. ปีที่ผ่านมา คาดจะเริ่มกลับมาดำเนินโครงการอีกครั้งในเดือน พ.ค.นี้ เนื่องจากเกรงว่าจำนวนสถานีบริการก๊าซเอ็นจีวีที่ให้บริการจะไม่เพียงพอ จากเดิมกำหนดจะเพิ่มปั๊มให้ได้ 200 แห่ง แต่ขณะนี้มีปั๊มเพียง150 แห่ง ล่าสุดตั้งเป้าเปิดให้ได้เป็น 240 แห่งเดือน มิ.ย.นี้

สำหรับผู้ที่มายื่นสมัครเข้าร่วมโครงการภายในเดือน ธ.ค. 2550 ทาง ปตท.จะทยอยติดตั้งอุปกรณ์ให้แล้วเสร็จภายในเดือน ก.พ.นี้ โดยที่ผ่านมามีรถที่ติดตั้งอุปกรณ์เอ็นจีวีเสร็จแล้ว 1 หมื่นคัน ใช้งบประมาณไปเพียง 100 ล้านบาทเท่านั้น

ขณะนี้ขอชะลอโครงการติดตั้งเอ็นจีวีของรถบ้านไปก่อน แต่ไม่ได้ยกเลิก โดยจะกลับมาเริ่มโครงการใหม่ในเดือน พ.ค.นี้ ภายใต้เงื่อนไขเดิม คือลดราคาให้ 1 หมื่นบาท/คัน และไม่ได้ตั้งเป้าจำนวนรถที่เข้าร่วมโครงการ เนื่องจากในอนาคตยังไม่รู้ว่าราคาน้ำมันจะเคลื่อนไหวอย่างไร ขณะเดียวกันก็เดาใจคนไทยยาก พอสมควร เพราะเมื่อไหร่ที่ราคาน้ำมันแพง คนก็จะสนใจเอ็นจีวี แต่ถ้าราคาน้ำมันลดลง ก็จะไม่สนใจ นายณัฐชาติ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในเดือน มิ.ย.นี้ มั่นใจจะมีปั๊มเอ็นจีวีรองรับการให้บริการอย่างเพียงพอ ซึ่ง ปตท.สามารถจัดส่งเอ็นจีวีเข้าสู่ระบบปั๊มได้เฉลี่ยวันละ 1.3 พันตัน และ จนถึงสิ้นปี 2551 จะได้ถึงวันละ 3.2 พันตัน โดย ปตท.ยังคงตรึงราคาขายเอ็นจีวีไว้ที่ 8.50 บาท/กก. ไปจนถึงสิ้นปี 2551 แม้ว่าตามกลไกตลาดราคาจำหน่ายเอ็นจีวีควรจะอยู่ที่ 13 บาท/กก. ก็ตาม ปีนี้ ปตท.ต้อง ใช้เงินชดเชยขาดทุนจากเอ็นจีวี 2 พันล้านบาท จากปีก่อนขาดทุน 1.8 พันล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=212374

news03/01/08

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 03, 2008 3:32 pm
โดย chartchai madman
TNITY แนะกลุยทธ์ลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงานต้นปี PTTEP+PTTCH+PTTAR+TOP น่าสนใจกว่า PTT

Posted on Wednesday, January 02, 2008

ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ (TNITY) ได้ออกงานวิจัยล่าสุด แนะนำกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน ประจำสัปดาห์นี้ สรุปสาระสำคัญได้ว่า ยังเชื่อมั่นในการลงทุน PTTEP, PTTCH มากกว่า PTT

สำหรับ PTTAR จะถูกมองเปรียบเทียบกับ TOP เสมือนเป็นทางเลือกตัวใดตัวหนึ่ง หากธุรกิจโรงกลั่นดี TOP มีภาษีดีกว่า แต่หากธุรกิจอะโรเมติกส์ดี PTTAR จะมีภาษีดีกว่ามาก การเลือกลงทุนสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ตามจังหวะเวลา

โดย PTTAR และ TOP ซึ่งการวิเคราะห์จะต้องทำเพื่อเปรียบเทียบร่วมกัน โดย PTTAR ทำการซื้อขายในวันแรก 2 มกราคม เปิดตัวที่ราคา 49.50 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาปิดก่อนขึ้นเครื่องหมาย SP (43.06 บาท) อยู่ถึง 14.95% ในขณะที่ช่วงที่ปิดทำการซื้อขายไป SET ผันผวนและปรับขึ้นมาสูงสุดจากระดับต่ำสุด เพียง 8.4% เท่านั้น ถือว่า มีการ perform ที่ดีของหุ้น และเป็นไปตามที่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ TNITY เคยแนะนำให้ซื้อเก็บไว้ก่อนควบรวมกิจการกัน เพื่อรอขายในวันที่แปลงเป็นบริษัทใหม่ได้ผลตามที่ต้องการแล้ว

อย่างไรก็ตาม การเกิด Synergy ของ PTTAR จะเห็นผลชัดเจนอย่างมากในช่วงปี 2552 เป็นต้นไป ซึ่งนับจากเวลานั้น PTTAR อาจจะมีความน่าสนใจเหนือกว่า TOP ก็เป็นได้ เพราะ โรงงานของ PTTAR เป็นโครงการ Green Field Project มีความสามารถในการทำ Debottlenecking ได้อีกหลายครั้ง ในขณะที่ TOP ทำ Debottlenecking ไปเรียบร้อยแล้ว โอกาสขยายกำลังการผลิตเพิ่มยังไม่สามารถทำได้อีกเร็วนัก

อย่างไรก็ดี TOP จะมีข้อดีเกิดขึ้นให้เห็นก่อนกรณีของ PTTAR คือ การที่กระแสเงินสด (cashflow) จะหลั่งไหลเข้ามาได้ก่อน เก็บเป็นกำไรสะสมไว้ จ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้มากขึ้น ทำให้ความน่าสนใจในการเข้าถือหุ้น TOP ในระยะสั้นนี้ มีสูงกว่า PTTAR เข้าข่าย ขยายกำลังการผลิตเสร็จก่อนรวยกว่า

อย่างไรก็ตาม TNITY ยังมีความเชื่อลึก ๆ ว่า MSCI มีโอกาสที่จะนำเอา TOP และ PTTARเข้ามารวมในการคำนวณดัชนีด้วยในอนาคตอันไม่ไกล

สำหรับ PTTEP: ความหวังในปี 2551 ทั้งมวลฝากไว้กับโครงการอาทิตย์ กำลังการผลิต 330 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งพร้อมส่งก๊าซได้ประมาณเดือนกุมภาพันธ์นี้ และอาทิตย์ตอนเหนือ กำลังการผลิต 120 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน พร้อมส่งก๊าซได้ประมาณ ไตรมาส 3 ปีนี้ โครงการดังกล่าวได้รวมไว้ในประมาณการราคาเหมาะสมที่ระดับ 180 บาท แล้ว (สมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบ ในปี 2551 อยู่ที่ บาร์เรลละ 68 ดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ปี 2550 ระดับราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ บาร์เรลละ 69 ดอลลาร์สหรัฐ )

ขณะที่ PTTCH: ยังเชื่อว่าจะได้รับประโยชน์จากโรงงานปิโตรเคมีแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น คือ มิตซูบิชิเคมีคัลถูกไฟไหม้ไปครึ่งหนึ่ง ขนาด 516,000 ตันต่อปี จากกำลังการผลิตทั้งหมด 1.278 ล้านตันต่อปี ส่วนที่เสียหายไปคิดเป็น 3% ของกำลังการผลิตทั้งโลก คาดว่าจะส่งผลทำให้ราคาเอทีลีนปรับตัวสูงขึ้น คาดการณ์กำไรสุทธิงวดไตรมาส 4 ปี 2550 ของ PTTCH สูงถึง 5,500 ล้านบาท และจะมีกำไรที่ดีต่อเนื่องไปในงวดไตรมาส 1 ปีนี้อีกด้วย ทำให้สามารถคำนวณราคาเหมาะสมทั้งปี 2551 ได้ที่ 167 บาท

ส่วน PTT ยังมีข้อกังวลไม่จบ: โดยกรมธนารักษ์มีกำหนดจะตีความค่าเช่าท่อก๊าซเพื่อนำเสนอกระทรวงการคลังพิจารณาในวันที่ 4 มกราคมนี้ ซึ่งเรายังคงความเห็นเดิม คือ เรื่องการจ่ายค่าเช่าท่อก๊าซจะมีผลกระทบกับราคเหมาะสมของ PTT น้อยมากเพียง 3.41 บาท - 9.01 บาท เท่านั้น
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx

news04/01/08

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 04, 2008 12:44 pm
โดย chartchai madman
จอร์จ บุช หารือกับกระทรวงการคลัง และแบงก์ชาติสหรัฐ หลังน้ำมันดิบ พุ่งทะลุ 100 เหรียญ 2 วันติดต่อกัน

Posted on Friday, January 04, 2008
น้ำมันดิบพุ่งแตะ 100 เหรียญเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน
ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ ทำสถิติซื้อขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทะลุระดับ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน ซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการซื้อขายส่งมอบน้ำมันดิบล่วงหน้า โดยน้ำมันดิบนิวยอร์ก สหรัฐ ทะยานขึ้นสูงสุดระหว่างวันเมื่อคืนที่ผ่านมา ทะลุไปถึง 100.09 เหรียญต่อบาร์เรล ก่อนที่จะอ่อนตัวลงมาปิดที่ระดับบาร์เรลละ 99.18 เหรียญต่อบาร์เรล ลดลงเพียง 44 เซ็นต์ต่อบาร์เรล ด้านราคาน้ำมันดิบเบรนท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ที่ถูกเทขายทำกำไรช่วงสั้น ลงปิดที่บาร์เรลละ 97.60 เหรียญ

จอร์จ บุช ห่วงราคาน้ำมันดิบแต่ไม่ปล่อยน้ำมันสำรอง
ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช แห่งสหรัฐ ให้สัมภาษณ์ว่า ระดับราคาน้ำมันดิบ ตลาดนิวยอร์ก ที่พุ่งขึ้นไปแตะที่ระดับ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ถึง 2 วันทำการติดต่อกันนั้น กลายเป็นสิ่งที่ต้องตระหนักมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมองเห็นเหตุผล และความจำเป็นที่จะต้องเข้าไปแทรกแซงตลาดน้ำมันดิบ ด้วยการปล่อยน้ำมันสำรองเชิงยุทธศาสตร์เข้าสู่ตลาดสหรัฐ ผู้นำสูงสุดสหรัฐ ย้ำว่า การใช้น้ำมันดังกล่าว เกิดขึ้นในกรณีสถานการณ์ฉุกเฉิน การโจมตีของผู้ก่อการร้าย และภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงเท่านั้น

4 ปัจจัยลบ กดดัน ราคาน้ำมันพุ่งเกิน 100 เหรียญในวันที่ 2
สำหรับสาเหตุสำคัญ ที่ยังคงกดดันให้ราคาน้ำมันดิบ มีความผันผวนระหว่างวัน ขึ้นไปทะลุ 100 เหรียญสหรัฐในการซื้อขายเป็นวันที่ 2 ตั้งแต่ต้นปีนี้ มากจาก ปริมาณสำรองน้ำมันรายสัปดาห์ในสหรัฐ ที่ลดลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 7 ติดต่อกัน การใช้นำมันดิบของจีนที่เพิ่มสูงขึ้น เหตุการณ์รุนแรงในตะวันออกกลาง และไนจีเรีย รวมถึงค่าเงินเหรียญสหรัฐที่ยังคงอ่อนค่าข้ามปีอย่างต่อเนื่อง ทำให้ ราคาน้ำมันดิบเพิ่มสูงขึ้นถึง 70% นับตั้งแต่ปีที่ผ่านไปมาถึงการซื้อขายในช่วง 2 วันแรกของปีนี้ และมีราคามากกว่า 5 เท่าใน 6 ปีที่ผ่านมา

ไออีเอ หนุนผู้นำสูงสุดสหรัฐ ไม่จำเป็นต้องปล่อยน้ำมันสำรอง
นายวิลเลี่ยม แรมเซย์ รองผู้อำนวยการ สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ หรือไออีเอ กล่าวสนับสนุนความคิดเห็นของผู้นำสูงสุดสหรัฐ ที่ไม่มีความจำเป็นใดๆ จะต้องนำน้ำมันสำรองเชิงยุทธศาสตร์เข้าสู่ตลาดสหรัฐ เนื่องจาก ยังไม่มีสัญญาณใดๆที่ชัดเจนว่า มีความผิดปกติเกิดขึ้น กับจิตวิทยาในการซื้อขายในตลาดน้ำมันดิบ นอกจากนี้ ไออีเอ จะไม่ตอบสนองต่อราคาที่เคลื่อนไหวผันผวนในขณะนี้อย่างแน่นอน ด้านผู้ว่าการกลุ่มโอเปก ประจำประเทศอินโดนีเซีย กล่าวว่า ในการประชุมกลุ่มโอเปกในวันที่ 1 ก.พ. นั้น อาจเสนอให้เพิ่มการผลิต
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news04/01/08

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 04, 2008 1:41 pm
โดย chartchai madman
สัญญาซื้อขายน้ำมันปาล์มดิบมาเลเซียพุ่งทำสถิติใหม่หลังราคาน้ำมันแตะ$100
สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบของมาเลเซียที่ตลาดมาเลเซียพุ่งทำสถิติสูงเป็นประวัติการณ์ในช่วงแรกของการซื้อขายเมื่อวานนี้ ตามราคาน้ำมันดิบที่พุ่งแตะระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเป็นครั้งแรกสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มที่เริ่มมีการซื้อขายในปีใหม่นี้เคลื่อนตัวอย่างแข็งแกร่ง เพราะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากราคาน้ำมันดิบที่ผลักดันให้ราคาน้ำมันถั่วเหลือพุ่งแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ น้ำมันถั่วเหลืองเป็นน้ำมันหลักที่ใช้ทดแทนน้ำมันปาล์ม โดยราคาน้ำมันจากพืชทั้ง 2 ประเภทนี้ได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันดิบที่สูงเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากน้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันปาล์มสามารถนำมาผสมกับน้ำมันจากฟอสซิลเพื่อใช้เป็นน้ำมันไบโอดีเซลได้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news04/01/08

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 04, 2008 7:23 pm
โดย chartchai madman
ตายดีกว่า!น้ำมัน100เหรียญ หุ้นโรงกลั่นได้ฤกษ์ฟื้นชีพ โดย กระแสหุ้น

น้ำมันโลกทำสถิติใหม่แตะ 100 เหรียญต่อบาร์เรล TOP-PTTAR-PTTEP จ่อรับทรัพย์ค่ากลั่นเดือนมกราคมปีนี้ มีลุ้นดีดแรงกว่า ธันวาคม 50 โบรกฯให้น้ำหนักลงทุนหุ้นพลังงานปีนี้ดีต่อ พื้นฐานดีจริง-ซื้อง่ายขายคล่อง-ปันผลเจ๋ง บล.เกียรตินาคินแนะซื้อลงทุน PTTEP ราคาเป้าหมาย 180 บาท TOP ราคาเป้าหมาย 100 บาท PTTAR ราคาเป้าหมาย 62 บาท

วานนี้ (3 ม.ค.51) การซื้อขายน้ำมันดิบไลท์ ตลาดนิวยอร์ค ปรับเพิ่มขึ้นแตะระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเป็นครั้งแรก ก่อนปิดลงมาที่ระดับ 99.62 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบไลท์สัญญาส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ซื้อขายที่ตลาดสิงคโปร์ เคลื่อนไหวลดลง 39 เซนต์ มาอยู่ที่ 99.23 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยสาเหตุที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้นเนื่องมาจากนักค้าน้ำมันวิตกเกี่ยวกับสถานการณ์ความรุนแรงในแหล่งผลิตน้ำมันประเทศไนจีเรีย หลังกลุ่มติดอาวุธสังหารพลเรือน 12 คนในเมืองท่าฮาร์คอร์ท ซึ่งเป็นแหล่งส่งออกน้ำมันที่สำคัญของประเทศ เมื่อวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดได้มีกระแสข่าวว่า กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันเพื่อการส่งออก หรือ โอเปก ได้เตรียมพิจารณาเพิ่มกำลังในการผลิตน้ำมันในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลก ซึ่งน่าจะเป็นข่าวที่ดีทำให้ราคาน้ำมันปรับลดลงได้

นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคิน จำกัด กล่าวว่า หุ้นกลุ่มที่ได้รับผลบวกจากราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นแตะระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล คือ กลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะ หุ้นของบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ซึ่งได้รับผลบวกโดยตรงเพราะเป็นผู้ขุดเจาะน้ำมัน ดังนั้นเมื่อราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น รายได้ก็เพิ่มขึ้น โดยแนวโน้มราคาน้ำมันในปีนี้ยังคงขยายตัวตามเศรษฐกิจของจีน และอินเดีย ที่ต้องการใช้น้ำมันดิบเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่อุปทานมีการขยายตัวไม่มาก

รวมทั้งกลุ่มโอเปกยังไม่มีการเพิ่มกำลังการผลิตในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมทั้งทิศทางค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา เป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันราคาน้ำมันให้ปรับตัวเพิ่มขึ้น แม้ว่าจะยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าราคาน้ำมันมีโอกาสแตะระดับใด แต่เชื่อว่าต่อจากนี้ไปราคาน้ำมันคงไม่ลดลงไปกว่านี้ โดยมองราคาน้ำมันดิบดูไบปีนี้น่าจะทรงตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 70 เหรียญต่อบาร์เรล

และอีกหนึ่งปัจจัยบวกของ PTTEP คือราวเดือนก.พ.นี้ โครงการอาทิตย์ จะเริ่มผลิตได้ โดยมีขนาดกำลังการผลิต 330 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่ง PTTEP ถือหุ้นในโครงการดังกล่าวในสัดส่วน 80% ซึ่งจะช่วยหนุนผลประกอบการปีนี้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีโครงการอาทิตย์เหนืออีก 120 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่ง PTTEP ถือหุ้นในโครงการดังกล่าว 100% และโครงการเวียดนาม 9-2 ซึ่งเป็นโครงการผลิตน้ำมันดิบ ขนาดกำลังการผลิต 20,000 บาร์เรลต่อวัน โดยบริษัทถือหุ้นในโครงการดังกล่าว 25% คาดจะเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ในช่วงครึ่งหลังปีนี้

โดยคาดกำไรสุทธิของ PTTEP ในปีนี้ เพิ่มขึ้นจาก 34,143 ล้านบาท เป็น 36,791 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 11.20 บาท เพิ่มขึ้น 28% ราคาเหมาะสมใหม่ ที่ 180 บาท เดิม 170 บาท เมื่อเทียบกับราคาปิดล่าสุด ยังมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้น 15% ดังนั้นคงแนะนำ ซื้อลงทุน

หุ้นพลังงานเป็นหุ้นพื้นฐานที่ดี ดังนั้นยังให้น้ำหนักการเข้าลงทุนได้ ซึ่งหุ้นกลุ่มพลังงานที่ยกตัวอย่างนั้นคงไม่ต้องพูดถึงหุ้น PTT เพราะเป็นหุ้นที่ดี น่าลงทุนอยู่แล้ว และเชื่อว่านักลงทุนย่อมสนใจสะสมต่อเนื่อง นักวิเคราะห์ กล่าว

นักวิเคราะห์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ หุ้นที่ได้รับผลดีอันดับต่อมาคือหุ้นโรงกลั่น คือ หุ้นบริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) TOP และบริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) PTTAR จากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น บวกกับความต้องใช้น้ำมันอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ค่าการกลั่นเดือนมกราคมของปีนี้มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่าค่าการกลั่นเดือนธันวาคม ปี 50 เฉลี่ยอยู่ที่ 5.96 เหรียญต่อบาร์เรล โดยค่าการกลั่นในช่วง 2 วันทำการของเดือนมกราคมเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 4.7 เหรียญต่อบาร์เรล

แต่ค่าการกลั่นเฉลี่ยทั้งปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ 7 เหรียญต่อบาร์เรล ลดลงจากปี 50 ค่าการกลั่นเฉลี่ยอยู่ที่ 7.64 เหรียญต่อบาร์เรล เนื่องจากช่วงปลายปีนี้โรงกลั่นอินเดียและจีน กำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 1.2 ล้านบาร์เรลจะกลับมาเดินเครื่องได้อีกครั้งส่งผลให้กำลังการผลิตในตลาดโลกเพิ่มขึ้นทำให้ค่าการกลั่นลดลง แต่เนื่องจาก TOP มีการเพิ่มกำลังการผลิตในช่วงที่ผ่านมาดังนั้นแม้ค่าการกลั่นลดลงแต่ยอดขายเพิ่มขึ้นจึงไม่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของ TOP

นอกจากนี้คาดผลประกอบการไตรมาส 4/50 ของ TOP ดีขึ้นจนถึงกลางปี 51 จากกำลังการผลิตใหม่ที่จะเริ่มเดินเครื่อง เริ่มจากไตรมาส 1/51 ในส่วนของโรงกลั่น และในไตรมาส 2/51 ในส่วนของโรงงาน TPX กำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จะเป็นปัจจัยสนับสนุนผลประกอบการอย่างชัดเจน แม้ว่าระดับค่าการกลั่น และส่วนต่างราคาปิโตรเคมีจะมีแนวโน้มทรงตัวถึงปรับตัวลดลงเล็กน้อย แต่เชื่อว่าผลประกอบการปี 51 TOP มีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 20,820 ล้านบาท เงินปันผลช่วงครึ่งปีหลังในอัตราหุ้นละ 1.75 บาท ส่วนปี 51 คาดจ่ายปันผลในอัตราหุ้นละ 4 บาท ดังนั้นคงแนะนำซื้อลงทุน ราคาเหมาะสม 100 บาท

ส่วน PTTAR แนะนำซื้อลงทุนเช่นกัน ให้ราคาเหมาะสมปีนี้ 62 บาท โดยพื้นฐาน PTTAR เป็นหุ้นที่ดีและยิ่งแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นหลังการควบรวมกิจการ รวมทั้งมีความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจที่ดีขึ้น จากความยืดหยุ่นของบริษัทในการผลิตที่ดีขึ้น ลดความผันผวนของผลประกอบการลง

ราคาหุ้นของ TOP และ PTTAR ตอนนี้ถือว่าเหมาะสำหรับการซื้อลงทุน ถือว่ายังไม่ปรับตัวสูงมากและยังมีช่วงอัพไซด์เพิ่มขึ้นอีก นักวิเคราะห์ กล่าว

ด้านนายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.แอ๊ดคินซัน กล่าวว่า ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 ดอลลาร์นั้นน่าจะเป็นส่วนที่ส่งผลดีต่อราคาหุ้นบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อได้ เนื่องจากเป็นบริษัทที่ทำการสำรวจขุดเจาะแหล่งน้ำมัน ทั้งนี้เมื่อพิจารณาถึงพื้นฐานบริษัท ยังน่าสนใจลงทุนอยู่ ให้ราคาพื้นฐานไว้ที่ 171 บาท แนะนำซื้อลงทุน โดยคาดว่าปีนี้ PTTEP จะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ประมาณ 3.8 หมื่นล้านบาท กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 11.50 บาท
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... okerId=IPO

news04/01/08

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 04, 2008 7:53 pm
โดย chartchai madman
วิเคราะห์แนวโน้มราคาน้ำมัน

4 มกราคม พ.ศ. 2551 05:00:00

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ปัจจัยที่มีผลต่อราคาน้ำมัน

   น้ำมันดิบ : ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.35 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจาก

   กลุ่มกบฏในไนจีเรียบุกโจมตีสถานีตำรวจ 2 แห่ง โรงแรมและไนท์คลับบริเวณเมือง Port Harcourt ซึ่งเป็นแหล่งผลิตน้ำมันดิบของไนจีเรีย ส่งผลให้ชาวไนจีเรียเสียชีวิตทั้งสิ้น 18 ราย แม้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อการผลิตน้ำมันดิบ แต่ก็ทำให้เกิดความตึงเครียดด้านการเมือง ซึ่งทำให้ตลาดกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของอุปทานน้ำมันดิบ

   ตลาดยิ่งทวีความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของอุปทานน้ำมันดิบ หลังจากกลุ่มอัลกออิดะห์ก่อเหตุระเบิดพลีชีพ โดยใช้ระเบิดอย่างน้อย 500 กิโลกรัมทำลายสถานีตำรวจในแอลจีเรียเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 3 รายและบาดเจ็บ 7 ราย

   ค่าเงินดอลลาร์ของสหรัฐอเมริกาอ่อนค่าลง จากการที่ดัชนีชี้วัดจากภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ปรับลดลงทำสถิติต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่เดือน เม.ย. 46 ส่งผลให้นักลงทุนหันมาลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งรวมถึงน้ำมันมากยิ่งขึ้น เป็นปัจจัยบวกสนับสนุนให้ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น

   ศูนย์พยากรณ์อากาศ DTN ของภาคเอกชนพยากรณ์ว่า สภาพอากาศในแถบตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ จะปรับลดลงต่ำกว่าระดับปกติไปจนถึงวันศุกร์นี้ มีส่วนสนับสนุนให้อุปสงค์น้ำมันดิบและน้ำมันที่ใช้ทำความร้อนปรับเพิ่มขึ้นในระยะสั้น

   น้ำมันเบนซิน : ราคาปรับตัวลดลง 0.24 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดิบดูไบที่อ่อนค่าลง ประกอบกับ

   อินโดนีเซียมีแผนที่จะลดการนำเข้าน้ำมันเบนซินออกเทน 88 ในปีนี้มาอยู่ที่จำนวน 2.8 ล้านบาร์เรล/เดือน จากจำนวนปกติที่ 3.2 ล้านบาร์เรล/เดือน เนื่องจากมีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อใช้บริโภคในประเทศ  ส่งผลให้อุปทานน้ำมันเบนซินในภูมิภาคมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น

   อย่างไรก็ตาม เวียดนามกำลังมองหาน้ำมันเบนซินออกเทน 92 และออกเทน 95  จำนวน 335,000 ตันสำหรับงวดไตรมาส 1/2551 ซึ่งเป็นปริมาณที่สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศเติบโตขึ้นและมียอดขายรถใหม่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้อุปทานน้ำมันเบนซินในภูมิภาคมีแนวโน้มปรับลดลง

   จีนมีแผนที่จะนำเข้าน้ำมันเบนซินเพิ่มเติมเพื่อรองรับความต้องการในประเทศที่เพิ่มขึ้น ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ส่งผลให้อุปทานน้ำมันเบนซินในภูมิภาคมีแนวโน้มปรับลดลง

   น้ำมันก๊าดและอากาศยาน : ราคาทรงตัว สวนทางกับราคาน้ำมันดิบดูไบที่อ่อนค่าลง อย่างไรก็ตาม

   ผู้ค้ารายใหญ่ของเวียดนามเสนอซื้อน้ำมันก๊าดจำนวน 26,000 ตัน สำหรับงวดไตรมาสที่ 1/2551 ส่งผลให้อุปทานน้ำมันก๊าดในภูมิภาคมีแนวโน้มปรับลดลง

   มีการประมูลซื้อน้ำมันอากาศยานจำนวน 140,000 บาร์เรลสำหรับงวดปลายเดือน ม.ค. แต่ไม่มีผู้ขาย สะท้อนให้เห็นสภาพตลาดน้ำมันอากาศยานในภูมิภาคที่ยังคงสดใส

   อย่างไรก็ตาม อุปสงค์น้ำมันก๊าดชะลอตัวลง เนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่หนาวเย็นมากนักในช่วงฤดูหนาว ทำให้ญี่ปุ่นชะลอการนำเข้า ส่งผลให้อุปทานน้ำมันอากาศยานในภูมิภาคมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น

   เนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่หนาวเย็นมากนัก ทำให้อุปสงค์น้ำมันก๊าดชะลอตัวลง  ส่งผลให้ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้อาจจะส่งออกน้ำมันก๊าดส่วนที่เกินเข้ามาในตลาด  มีส่วนทำให้อุปทานน้ำมันก๊าดในภูมิภาคมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น

   น้ำมันดีเซล : ราคาปรับตัวลดลง 1.07 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดิบดูไบที่อ่อนค่าลง ประกอบกับ

   เวียดนามมีแผนจะนำเข้าน้ำมันดีเซล จำนวน 240,000 ตัน ซึ่งลดลงราวครึ่งหนึ่งของที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยเวียดนามหันไปซื้อขายน้ำมันผ่านทางการทำสัญญาแทน ส่งผลให้อุปทานน้ำมันดีเซลในภูมิภาคมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น

   อย่างไรก็ตาม ตลาดคาดการณ์ว่าจีนจะนำเข้าน้ำมันดีเซลสำหรับงวดเดือน ม.ค.เนื่องจากโรงกลั่นเอกชนรายเล็กในประเทศอาจจะลดการผลิตลงเพราะน้ำมันดิบมีราคาสูงขึ้น ส่งผลให้อุปทานน้ำมันดีเซลในภูมิภาคมีแนวโน้มปรับลดลง

   ผู้ค้ารายใหญ่ของเวียดนามเสนอซื้อน้ำมันเบนซิน จำนวน 240,000 ตันสำหรับงวดไตรมาส 1/2551 ส่งผลให้อุปทานน้ำมันดีเซลในภูมิภาคมีแนวโน้มปรับลดลง

   น้ำมันเตา: ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.26 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล สวนทางกับราคาน้ำมันดิบดูไบที่อ่อนค่าลง เนื่องจาก

   ข่าวที่ว่าจีนจะกลับมาซื้อน้ำมันเตาจากเกาหลีใต้ มีส่วนช่วยให้ตลาดน้ำมันเตาของเอเชียสดใสขึ้น

   ปริมาณการซื้อขายหนาแน่น มีการทำสัญญาตกลงซื้อขายน้ำมันเตาความหนืดสูง 3 รายการ ในราคาที่สูงกว่าราคาซื้อครั้งก่อนสะท้อนให้เห็นสภาพตลาดน้ำมันเตาในภูมิภาคที่ยังคงสดใส

   อย่างไรก็ตาม เวียดนามกำลังมองหาน้ำมันเตาจำนวน 340,000 ตัน สำหรับงวดไตรมาส 1/2551 หรือปรับลดลง 15% จากงวดไตรมาส 4/2550 ส่งผลให้อุปทานน้ำมันเตาในภูมิภาคมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น

   อุปทานน้ำมันเตาในเอเชียยังคงอยู่ในภาวะล้นตลาด เนื่องจากขาดแรงซื้อจากจีน  

ที่มา : บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)
http://www.bangkokbiznews.com/2008/01/0 ... sid=217206

news07/01/08

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 07, 2008 9:18 pm
โดย chartchai madman
ประธานกลุ่มโอเปก มอง ราคาน้ำมันดิบแตะ 100 เหรียญ ไม่สูงเกินไป
นายชาคิป เคอิล ประธานกลุ่มโอเปก และรัฐมนตรีน้ำมันประเทศอัลจีเรีย กล่าวล่าสุดเมื่อเย็นวานนี้ว่า ระดับราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นไปแตะที่ระดับ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านไปนั้น ไม่ได้ถือว่าสูงเกินจริง บนปัจจัยของต้นทุนในการผลิตน้ำมันดิบที่เพิ่มสูงมากขึ้น และความต้องการใช้น้ำมันดิบที่สูงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาปัจจัยเงินเฟ้อในปัจจุบัน กับราคาน้ำมันดิบในปี 1980 ซึ่งเป็นยุคปฏิวัติอิหร่าน จะเห็นว่า ราคาน้ำมันดิบในปัจจุบัน มีราคาต่ำกว่าในยุคนั้น ที่ 102 - 110 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

ซาอุดิอาระเบียชี้ราคาน้ำมัน100 เหรียญ ไม่สูงเกินจริง
นายอาลิ อัล ไนอามี่ รัฐมนตรีน้ำมันซาอุดิอาระเบีย กล่าวเมื่อเย็นวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ทะยานสูงขึ้นถึงระดับ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ติดต่อดันถึง 2 วันในสัปดาห์แรกของปีนี้ เป็นไปตามปัจจัยในตลาดซื้อขายน้ำมันดิบ ในขณะเดียวกัน ได้ปฎิเสธที่จะพูดถึงประเด็นการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบ ในการประชุมกลุ่มโอเปกครั้งแรกประจำปีนี้ ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 1 ก.พ. ที่สำนักงานใหญ่ของกลุ่มโอเปกที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ทั้งนี้ ซาอุดิอาระเบีย เป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในกลุ่มโอเปก
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news07/01/08

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 07, 2008 9:21 pm
โดย chartchai madman
เบนซิน 95 ปีนี้ มีสิทธิ์แตะ 35 บาท

นายธีรพจน์ วัชราภัย ประธานกรรมการ บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด เปิดเผยถึงสถานการณ์ที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ราคาน้ำมันตลาดโลกมีความผันผวนมากขึ้น จนในระยะหลังเป็นที่คาดการณ์ได้ยาก ถึงแนวโน้มของราคาน้ำมันในอนาคตว่าจะขึ้นไปอยู่ในระดับใด อย่างไรก็ตามเพื่อให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด ผู้บริโภคควรหันมาใช้พลังงานทดแทนให้มากขึ้น ทั้งแก๊สโซฮอล์และไบโอดีเซล

นายยอดพจน์ วงศ์รักมิตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายตลาดค้าปลีก บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในสัปดาห์นี้ราคาน้ำมันทุกชนิดมีแนวโน้มจะปรับเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 40 สตางค์ต่อลิตร เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกยังปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ค่าการตลาดน้ำมันเหลือเพียง 20 สตางค์ต่อลิตร หรือติดลบแล้ว 60-70 สตางค์ต่อลิตร

ทั้งนี้ การที่ราคาน้ำมันตลาดโลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สาเหตุมาจาก 4 ปัจจัยหลัก คือ 1.สภาพอากาศที่หนาวมากขึ้น 2.สต็อกน้ำมันในสหรัฐอเมริกา 3.ประเทศไนจีเรีย เริ่มมีปัญหาความไม่สงบ และ 4.การเข้ามาซื้อขายน้ำมันล่วงหน้าของกองทุนเก็งกำไร (Hedge Fund)

อย่างไรก็ตามสาเหตุดังกล่าวไม่ได้แปลกใหม่ไปจากปีที่ผ่านๆ มา แต่การที่ราคาน้ำมันตลาดโลกในช่วง 1-2 ปีหลังมานี้ มักทรงตัวในระดับสูงโดยไม่ปรับลดลง หลายๆ สถาบันมีการวิเคราะห์กันว่า น่าจะมาจากการที่ประเทศผู้ผลิตน้ำมัน เข้ามาเป็นเจ้าของกองทุนเก็งกำไรเสียเอง ทำให้เกิดช่องทางในการบริหารจัดการราคาน้ำมันตลาดโลกได้อีกทางหนึ่ง นอกเหนือจากการควบคุมปริมาณการผลิตน้ำมันออกสู่ตลาด

ดังนั้นจึงมีการประเมินว่า ราคาน้ำมันดิบในปี 2551 อาจจะขึ้นไปแตะที่ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเป็นเวลาหลายเดือนติดต่อกัน ทำให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปปรับตามไปด้วย ส่งผลให้ราคาขายปลีกในประเทศไทย ในช่วงนั้นจะขึ้นไปสูงมาก โดยเบนซิน 95 อาจทะลุไปถึง 35 บาทต่อลิตรได้ ส่วนดีเซลน่าจะขึ้นไปถึง 32 บาทต่อลิตร

นายยอดพจน์บอกว่า การปรับขึ้นของราคาน้ำมันดังกล่าว จะส่งผลโดยตรงให้การขยายตัวของการใช้น้ำมันเบนซินและดีเซลปกติมีอัตราลดต่ำลงเหลือ 1-2% ในปี 2551 ดูได้จากตัวเลขการใช้เบนซิน 95 ลดลงกว่า 30-40% เมื่อเทียบเดือนมกราคม กับเดือนธันวาคม 2550 โดยยอดการใช้รวมเหลือ 90-100 ล้านลิตรต่อเดือน จากเดิม 180-200 ล้านลิตรต่อเดือน ส่วนเบนซิน 91 ยอดการใช้เฉลี่ยลดลง 0.5 % เนื่องจากมีสถานีบริการจำหน่ายไม่มากนัก

ดังนั้นในปี 2551 พลังงานทดแทนก็จะมีบทบาทมากขึ้น โดยประชาชนจะสนใจหันมาใช้ทั้งแก๊สโซฮอล์และไบโอดีเซล ซึ่งจะผลักดันให้ผู้ค้าน้ำมันที่ยังไม่ได้จำหน่ายแก๊สโซฮอล์และไบโอดีเซล หันมาจำหน่ายอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะแก๊สโซฮอล์ 91 ที่ขณะนี้มีจำหน่ายเฉพาะบางจาก และ ปตท.เป็นหลัก
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news07/01/08

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 07, 2008 9:23 pm
โดย chartchai madman
พาณิชย์ชี้ปรับ"เอฟที"ไม่กระทบราคาสินค้า

นางนทีทิพย์ ทองเขาอ่อน ผู้อำนวยการสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ในปีนี้จะนำราคาน้ำมัน แก๊สโซฮอล์ และไบโอดีเซล มาคำนวณในตะกร้าดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อ) เพื่อให้อัตราเงินเฟ้อสะท้อนความเป็นจริงมากที่สุด เนื่องจากน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งสองชนิดมีสัดส่วนผู้ใช้มากขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศช่วงปี 2551 นี้ แม้ราคาตลาดโลกจะปรับตัวสูงขึ้น แต่การที่เงินบาทแข็งค่าทำให้ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศไม่ขยายตัวสูงมากนัก ส่งผลให้ดัชนีราคาน้ำมันเชื้อเพลิงกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อไม่มาก อย่างที่มีความวิตกกังวลอยู่

ส่วนราคาสินค้าที่คาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงปีนี้ สำนักดัชนีจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการให้คำแนะนำว่า หากสินค้าและบริการที่อยู่ในตะกร้าคำนวณเงินเฟ้อจำนวน 373 รายการ มีการปรับราคาขึ้น จะมีผลต่อเงินเฟ้อ ในอัตราส่วนเท่าใด พร้อมแนะนำถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปรับราคาสินค้าด้วย เพื่อเป็นการติดตามสถานการณ์เงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด และไม่ให้ดัชนีเงินเฟ้อสูงจนเกินไป เช่น กรณีสินค้ารายการหนึ่งขอปรับขึ้นราคาในช่วงที่เงินเฟ้อมีอัตราสูง ก็อาจจะชะลอการปรับราคาออกไปก่อน

นางนทีทิพย์ กล่าวอีกว่า ในส่วนราคาก๊าซหุงต้ม ที่อาจจะมีการลอยตัวในปีนี้นั้น พบว่า ราคาก๊าซหุงต้มเพิ่มขึ้น 1 กก. จะกระทบเงินเฟ้อ เพียง 0.02% โดยราคาก๊าซหุงต้มที่ปรับเพิ่มขึ้นก่อนหน้านี้ เฉลี่ย 15 บาท (ถัง 15 กก.) กระทบเงินเฟ้อเดือน ธ.ค. เปรียบเทียบเดือนก่อน สูงขึ้น 7.4% เปรียบเทียบเดือนเดียวกันปีก่อน สูงขึ้น 7.6% และเฉลี่ยทั้งปีสูงขึ้น 1.1% เท่านั้น ทั้งนี้ราคาเฉลี่ยดังกล่าวคำนวณทั้งค่าขนส่งและราคาก๊าซหุงต้มทั่วประเทศ ที่มีส่วนต่างราคาแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่

ปิยสวัสดิ์ แจ้งข่าวดี ก๊าซหุงต้มไตรมาสแรกยังไม่ขยับแม้ตลาดโลกพุ่ง เหตุค่าเงินบาทแข็งช่วย

นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รมว.พลังงาน เปิดเผยถึงแผนการปรับราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ในส่วนของราคา ณ โรงกลั่น ช่วงไตรมาสแรกของปี 2551 ว่า ขณะนี้ทางสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ยังไม่ได้จัดทำตัวเลขมาเสนออย่างเป็นทางการ

อย่างไรก็ตาม เท่าที่ประเมินสถานการณ์ราคาก๊าซในตลาดโลกเดือนม.ค.ปรับขึ้น 2 เหรียญสหรัฐ/ ตัน มาอยู่ที่ 872 เหรียญสหรัฐ/ตัน แต่ช่วงนี้ค่าเงินบาทเทียบเหรียญสหรัฐแข็งขึ้น ส่งผลให้สูตรการคำนวณราคาหน้าโรงกลั่นแทบไม่ขยับ จึงมีความเป็นไปได้ที่ไตรมาสแรกยังไม่ต้องปรับขึ้นราคาก๊าซอีก

ทั้งนี้ หลังจากกระทรวงพลังงานได้ประกาศลอยตัวราคาขายปลีกก๊าซไปเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 2550 ตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เดิมกำหนดไว้ว่า จะต้องทยอยปรับราคาก๊าซในส่วนของราคา ณ โรงกลั่นอีก 5 ครั้ง โดยครั้งแรกจะเกิดขึ้นช่วงไตรมาสแรกของปี 2551 (ม.ค.-มี.ค.) ใช้สูตรคำนวณจากต้นทุนการผลิตโรงแยกก๊าซในสัดส่วน 95% บวกกับราคาส่งออก 5% ซึ่งจะมีผลให้ราคาปรับขึ้นอีก 31 สต./กก. แต่เมื่อค่าเงินบาทแข็งขึ้นทำให้การคำนวณราคาก๊าซเมื่ออิงกับราคาเหรียญสหรัฐจึงไม่ได้ปรับขึ้น

ตอนนี้ราคาก๊าซตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นมา 2 เหรียญสหรัฐมาอยู่ที่ 872 เหรียญสหรัฐ/ตัน แต่ไม่ได้ทำให้การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นเพิ่มขึ้น หากคิดตามสัดส่วนที่กล่าวมา ราคาแทบจะเป็นศูนย์ด้วยซ้ำ เนื่องจากราคาเนื้อก๊าซลดลง ทำให้ต้นทุนก็ลดลงตามไปด้วย ต่างจากการประเมินราคาก๊าซก่อนหน้านี้ที่ควรจะปรับเพิ่มขึ้น 31 สต./กก. เพราะฉะนั้นถือเป็นความโชคดีที่ราคาก๊าซไตรมาสแรกยังไม่ต้องปรับราคา นายปิยสวัสดิ์ กล่าว
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news07/01/08

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 07, 2008 10:10 pm
โดย chartchai madman
ใช้ไบโอดีเซลทะลุ1.2ล้านลิตร "นิวไบโอดีเซล"พร้อมผลิตมี.ค.

โรงงาน "นิวไบโอดีเซล" ดีเดย์เดินเครื่องผลิตไบโอดีเซลเต็มสูบไตรมาส 2 ปีนี้ คาดมีผู้บริโภคเพิ่มขึ้นถึง 1.2 ล้านลิตรต่อวันในเดือนกุมภาพันธ์นี้ หวั่นวัตถุดิบขาดแคลนหากเริ่มใช้บี 5 ติงนโยบายส่งเสริมปลูกปาล์มน้ำมันของภาครัฐล่าช้า ไม่ยั่งยืน อาจต้องพึ่งการนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบ

นายประกิต ประสิทธิ์ศุภผล กรรมการผู้จัดการ บริษัท นิวไบโอดีเซล จำกัด เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงความคืบหน้าโครงการผลิตไบโอดีเซลที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการ ก่อสร้างโรงงานซึ่งใกล้จะเสร็จแล้ว คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ภายในเดือนมีนาคม-เมษายน 2551 สำหรับวัตถุดิบนั้นปัจจุบันยังมีปริมาณปาล์มน้ำมันเพียงพอรองรับกับการผลิตหากใช้ไบโอดีเซลมาผสมน้ำมันดีเซลสูตรบี 2 แต่หากมีการขยายเป็นบี 5 ก็อาจประสบภาวะขาดแคลนได้ เนื่องจากการขยายพื้นที่เพาะปลูกปาล์มน้ำมันไม่แน่นอน เป็นไปอย่างล่าช้า และยังเป็นพืชที่ต้องใช้ระยะเวลา 3-4 ปี จึงจะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้

ปัจจุบันความต้องการไบโอดีเซลมีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้น เพื่อทดแทนการใช้น้ำมันดีเซลที่มีราคาสูง ซึ่งจะส่งผลให้น้ำมันปาล์มซึ่งเป็นวัตถุดิบขาดแคลน หากไม่มีการจัดหาน้ำมันปาล์มจากต่างประเทศ หรือขยายการเพาะปลูก อาจเกิดปัญหาสำหรับผู้ประกอบการรายใหม่หรือภาครัฐได้

สำหรับวิธีแก้ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิตไบโอดีเซลนั้น อาจจำเป็นต้องมีการอนุมัติให้นำเข้าน้ำมันปาล์มดิบจากต่างประเทศ โดยมีการกำหนดโควตานำเข้าปริมาณส่วนต่างให้เพียงพอกับการใช้เพื่อผลิตไบโอดีเซล ขณะเดียวกันก็ต้องเร่งให้มีการขยายพื้นที่เพาะปลูกปาล์มเพิ่มขึ้นอย่างจริงจัง และทยอยลดโควตาการนำเข้าเมื่อสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตจากการขยายพื้นที่ได้ตามเป้าหมายแล้วในอนาคต

นายประกิตเปิดเผยอีกว่า ปัจจุบันสัดส่วนการผลิตไบโอดีเซลในประเทศไทยมีเพียงร้อยละ 25 ที่เหลืออีกร้อยละ 75 ผลิตเพื่อการบริโภค และยังไม่มีการส่งออกไบโอดีเซล ทั้งนี้มีการคาดการณ์ว่าปริมาณการบริโภคน้ำมันบี 1 จากเดิม 4 แสนลิตรต่อวัน จะเพิ่มเป็น 1.2 ล้านลิตรต่อวัน ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2551 และแนวโน้มอาจมีการผลักดันให้ไบโอดีเซลเป็นพลังงานทดแทนแห่งชาติ เพื่อสนองกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่องการใช้พลังงานทดแทนและลดการนำเข้า ซึ่งจะเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับปาล์มน้ำมันและเป็นเหตุจูงใจให้เกษตรกรหันมาปลูกปาล์มน้ำมันเพิ่มมากขึ้น

นายประกิตกล่าวถึงยุทธศาสตร์ไบโอดีเซลของภาครัฐที่ผ่านมาว่า มีความคืบหน้าน้อยและล่าช้า ทั้งๆ ที่ไบโอดีเซลเป็นพลังงานทดแทนที่เราสามารถผลิตเองและใช้เองได้ภายในประเทศ นอกจากนี้การส่งเสริมความรู้ให้แก่เกษตรกรของภาครัฐก็มีน้อย โดยเฉพาะในเรื่องการขยายพื้นที่เพาะปลูกเป็นไปอย่างล่าช้าและไม่ยั่งยืน หากรัฐบาลชดเชยส่วนต่างราคาให้มากกว่า 1 บาทต่อลิตร ก็จะเป็นแรงจูงใจให้กับผู้ใช้มากขึ้น

"อนาคตไบโอดีเซลจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับภาครัฐที่จะให้การส่งเสริมเรื่องพลังงานทดแทนของชาติได้มากน้อยแค่ไหน ในส่วนผู้ผลิตเองคงไม่มีความสามารถที่จะไปกำหนด หรือไปผลักดันการใช้ไบโอดีเซลได้ หากไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจังจากภาครัฐ" นายประกิตกล่าว
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0211

news08/01/08

โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 08, 2008 1:30 pm
โดย chartchai madman
วิเคราะห์แนวโน้มราคาน้ำมัน

8 มกราคม พ.ศ. 2551 05:00:00

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ปัจจัยที่มีผลต่อราคาน้ำมัน

    น้ำมันดิบ : ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ปรับตัวลดลง 1.20 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจาก

    กระทรวงแรงงานของสหรัฐอเมริการายงานอัตราการจ้างงานซึ่งเพิ่มขึ้นเพียง 18,000 แรงงานในเดือน ธ.ค.และอัตราการว่างงานของประเทศปรับเพิ่มขึ้น 5% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี ส่งผลให้เกิดความกังวลว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย และมีการใช้น้ำมันลดลง                              

    รอยเตอร์รายงานว่ากลุ่มโอเปกเพิ่มการผลิตเมื่อเดือน ธ.ค. โดยเพิ่มขึ้น 410,000 บาร์เรล/วัน จากเดือน พ.ย. มาอยู่ที่ 27.39 ล้านบาร์เรล/วัน โดยการเพิ่มส่วนใหญ่มาจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตต์

    ท่อส่งออกน้ำมันของเม็กซิโกกลับมาเปิดดำเนินการ หลังจากปิดไปจากสภาพอากาศที่เลวร้าย ส่งผลให้มีอุปทานน้ำมันเพิ่มขึ้น ส่วนท่าส่งออกน้ำมัน Salina Cruz ของชายฝั่งแปซิฟิก ยังคงปิดอยู่                                  

    หลังจากมีช่วงอากาศหนาวเย็นในแถบตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ เมื่อต้นสัปดาห์ก่อน มีพยากรณ์อากาศว่าอากาศจะอบอุ่นขึ้นในต้นสัปดาห์หน้า ทำให้การใช้น้ำมันดิบและน้ำมันที่ใช้ทำความร้อนลดลง  

    น้ำมันเบนซิน : ราคาปรับตัวลดลง 0.29 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล สวนทางราคาน้ำมันดิบดูไบที่แข็งค่าขึ้น เนื่องจาก

    มีการขายน้ำมันเบนซินออกเทน 97 และน้ำมันเบนซินออกเทน 92 ประเภทละ 50,000 ตันสำหรับงวดกลางเดือน ม.ค. ส่งผลให้อุปทานน้ำมันเบนซินในภูมิภาคปรับเพิ่มขึ้น

    ฟิลิปปินส์กลับมาขายสาร Reformate ออกเทน 92 หลังจากระงับการส่งออกเป็นเวลากว่า 1 ปี เนื่องจากหน่วย FCC หน่วยใหม่ (กำลังการผลิต 19,000 บาร์เรล/วัน) จะเดินเครื่องได้ในช่วงต้นไตรมาสแรกของปีนี้ มีส่วนทำให้อุปทานปรับเพิ่มขึ้น

    อย่างไรก็ตาม อินโดนีเซียมีแผนที่จะนำเข้าน้ำมันเบนซินออกเทน 92 และออกเทน 95 จำนวนรวม 1 ล้านบาร์เรล สำหรับงวด  ก.พ. หรือปรับเพิ่มขึ้นจากงวดเดือน ม.ค. ที่ 600,000  บาร์เรล เนื่องจากแนฟทาที่มีอยู่มีระดับออกเทนต่ำกว่าปกติ (แนฟทาโดยปกตินำมาใช้ผสมน้ำมันเบนซินเพื่อเพิ่มค่าออกเทน)  ส่งผลให้อุปทานน้ำมันเบนซินในภูมิภาคปรับลดลง

    ไต้หวันจะเลื่อนการขายน้ำมันเบนซินในตลาดจรในเดือน ก.พ. ออกไปซึ่งนับเป็นการเลื่อนติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 แล้วเนื่องจากไต้หวันหันมาขายโดยทำสัญญาการซื้อขายแทน

    น้ำมันก๊าดและอากาศยาน ราคาปรับลดลง 1.59 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล สวนทางกับราคาน้ำมันดิบดูไบที่แข็งค่าขึ้น เนื่องจาก

    อุปสงค์น้ำมันก๊าดยังคงชะลอตัวในญี่ปุ่น จากฤดูหนาวที่ไม่หนาวนักในปีนี้

    อุปทานน้ำมันในเอเชียยังคงล้นตลาด จากการที่โรงกลั่นผลิตเพิ่มขึ้น เพราะได้ราคาดี ในขณะที่อุปสงค์ชะลอตัว

    นักค้าน้ำมันเสนอซื้อน้ำมันอากาศยานในราคาที่ค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับการซื้อขายก่อนหน้านี้  ซึ่งมีส่วนกดดันราคาในตลาด                      

    น้ำมันดีเซล : ราคาปรับตัวลดลง 0.96 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล สวนทางราคาน้ำมันดิบดูไบที่แข็งค่าขึ้น เนื่องจาก

    มีการเสนอขายน้ำมันดีเซลกำมะถัน 0.005% จำนวน 1 ลำเรือสำหรับงวดปลายเดือน ม.ค. ในราคาที่ต่ำกว่าการขายก่อนหน้านี้ แต่ไม่มีผู้เสนอซื้อ สะท้อนถึงสภาพตลาดที่ไม่สดใสนัก

    อุปทานน้ำมันดีเซลกำมะถัน 0.005% ในเอเชียปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากไม่มีโอกาสในการขนย้ายน้ำมันไปขายยังชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกาและยุโรป สาเหตุจากค่าระวางเรือที่ยังสูงอยู่

    อย่างไรก็ตาม โรงกลั่นแห่งหนึ่งของจีนนำเข้าน้ำมันดีเซลสำหรับงวดเดือน ม.ค. เพิ่มขึ้นเป็น 400,000 ตัน ซึ่งทรงตัวเมื่อเทียบกับงวดเดือน ธ.ค. ที่จำนวน 423,000 ตัน เพื่อสำรองไว้ใช้ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ส่งผลให้อุปทานน้ำมันดีเซลในภูมิภาคมีแนวโน้มปรับลดลง

    น้ำมันเตา : ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.42 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดิบดูไบที่แข็งค่าขึ้น ประกอบกับ

    ตลาดน้ำมันเตาในภูมิภาคสดใส เนื่องจากมีผู้ค้ารายใหญ่ 2 รายซื้อน้ำมันเตาความหนืดต่ำจำนวนรวม 140,000 ตัน สำหรับงวดเดือน ม.ค.-ก.พ. ส่งผลให้น้ำมันเตาในภูมิภาคปรับลดลง

    การขนย้ายน้ำมันจากตะวันตกเข้ามาในภูมิภาคยังคงต่ำกว่าปริมาณเฉลี่ยที่ 2.2 ล้านตันเนื่องจากค่าระวางเรือที่สูงในขณะนี้ ส่งผลให้น้ำมันเตาในภูมิภาคปรับลดลง

    อย่างไรก็ตามปัจจัยพื้นฐานน้ำมันเตาในภูมิภาคไม่ดีนัก เนื่องจากอุปทานอยู่ในภาวะล้นตลาด ขณะที่อุปสงค์จากจีนก็ชะลอตัวลง

    ผู้ค้ารายใหญ่เสนอขายน้ำมันเตา จำนวนรวม 120,000 ตัน เข้ามาในตลาด ส่งผลให้ปริมาณน้ำมันเตาในภูมิภาคปรับเพิ่มขึ้น

ที่มา : บริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)
http://www.bangkokbiznews.com/2008/01/0 ... sid=217687

news11/01/08

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 11, 2008 12:40 pm
โดย chartchai madman
วิเคราะห์แนวโน้มราคาน้ำมัน

11 มกราคม พ.ศ. 2551 05:00:00

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ปัจจัยที่มีผลต่อราคาน้ำมัน (9 ม.ค.51)

    น้ำมันดิบ :
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ปรับตัวลดลง 0.89 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจาก

    ปริมาณน้ำมันเบนซินคงคลังประจำสัปดาห์ของสหรัฐอเมริกาปรับเพิ่มขึ้น 5.3 ล้านบาร์เรลมาอยู่ที่ระดับ 213.1 ล้านบาร์เรล ซึ่งนับเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค. 50 ประกอบกับปริมาณน้ำมัน Middle Distillate คงคลังประจำสัปดาห์ของสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านบาร์เรลมาอยู่ที่ระดับ 128.7 ล้านบาร์เรล

    Goldman Sachs คาดการณ์ว่า ในปีนี้ เศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะชะลอตัวลงจนเข้าสู่สภาพเศรษฐกิจถดถอย หลังจากประมาณการณ์อัตราการว่างงาน เพิ่มขึ้นเป็น 6.5% ในปี 2552

    นักลงทุนเริ่มเล็งเห็นถึงอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในยุโรปที่ชะลอตัวลง จึงหันไปเน้นการลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และขณะเดียวกันก็ลดการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมัน  

    อย่างไรก็ตาม ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังประจำสัปดาห์ของสหรัฐฯ ปรับลดลงถึง 6.8 ล้านบาร์เรลมาอยู่ที่ระดับ 282.8 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นปริมาณที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือน ต.ค. 47 ส่งผลให้ตลาดทวีความกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันดิบของสหรัฐฯ

    น้ำมันเบนซิน : ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.01 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดิบดูไบที่แข็งค่าขึ้น ประกอบกับอินโดนีเซียซื้อน้ำมันเบนซินออกเทน 92 จำนวน 2 ลำเรือสำหรับงวดเดือน ก.พ. โดยมีการซื้อน้ำมันเบนซินออกเทน 92 จำนวน 600,000 บาร์เรล ก่อนหน้านี้ นอกเหนือจากแผนที่จะนำเข้าจำนวน 1,000,000 บาร์เรลสำหรับงวดเดือน ก.พ. ส่งผลให้อุปทานน้ำมันเบนซินในภูมิภาคปรับลดลง

    เวียดนามมองหาน้ำมันเบนซินออกเทน 92 จำนวน 60,000 บาร์เรล สำหรับงวดเดือน ก.พ. ซึ่งปรับเพิ่มสูงขึ้นจากเดือน ม.ค. จำนวนประมาณ 52,000 บาร์เรล ส่งผลให้อุปทานน้ำมันเบนซินในภูมิภาคมีแนวโน้มปรับลดลง

    หน่วยกลั่น FCC และหน่วย VGO ของโรงกลั่น Kaohsiung ไต้หวัน คาดว่าจะต้องปิดซ่อมบำรุงเป็นเวลา 4 เดือน (จากอุบัติเหตุเมื่อวันที่ 5 ม.ค. ที่ผ่านมา) ซึ่งรวมการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นตามแผนด้วย ส่งผลให้อุปทานน้ำมันเบนซินในภูมิภาคมีแนวโน้มปรับลดลง

    อย่างไรก็ตาม มีการส่งออกน้ำมันจากไทยเพิ่มขึ้น โดยโรงกลั่นน้ำมันแห่งหนึ่งของไทยส่งออกน้ำมันเบนซินจำนวน 3 ลำเรือสำหรับงวดต้นเดือน ม.ค. มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะมีการส่งออกเพียง 2 ลำเรือ ส่งผลให้อุปทานน้ำมันเบนซินในภูมิภาคมีปรับเพิ่มขึ้น

    น้ำมันก๊าดและอากาศยาน : ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.38 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดิบดูไบที่แข็งค่าขึ้น ประกอบกับ

 มีการซื้อน้ำมันก๊าดและอากาศยานจำนวน 240,000 บาร์เรลสำหรับงวดสิ้นเดือน ม.ค. ในการซื้อขายวานนี้ ส่งผลให้อุปทานน้ำมันก๊าดและอากาศยานในภูมิภาคปรับลดลง

    อย่างไรก็ตาม ปริมาณน้ำมันก๊าดคงคลังประจำสัปดาห์ของญี่ปุ่นอยู่ที่ 26.3 ล้านบาร์เรล สิ้นสุด ณ วันที่ 5 ม.ค.51 ซึ่งปรับเพิ่มขึ้น 7.9 % จากวันที่ 29 ธ.ค. 50 ส่งผลให้ตลาดลดความกังวลที่ว่าอุปทานจะไม่พอในญี่ปุ่น

    ไม่มีโอกาสในการขนย้ายน้ำมันไปยังชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ ส่งผลให้อุปทานน้ำมันก๊าดและอากาศยานในภูมิภาคปรับเพิ่มขึ้น

    น้ำมันดีเซล : ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.21 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดิบดูไบที่แข็งค่าขึ้น ประกอบกับ

    จีนนำเข้าน้ำมันดีเซลรวมทั้งสิ้น 5.3 ล้านบาร์เรลสำหรับงวดเดือน ม.ค. 51 เนื่องจากการปรับลดอัตราภาษีการนำเข้าน้ำมันและภาษีมูลค่าเพิ่มของภาครัฐส่งเสริมให้มีการนำเข้าน้ำมันดีเซลเข้ามาในประเทศเพิ่มมากขึ้น เพื่อช่วยคลี่คลายภาวะอุปทานขาดแคลนในประเทศและเกิดภาวะอุปทานตึงตัวในประเทศ เนื่องจากมีการปิดซ่อมบำรุงของโรงกลั่น Fujian (กำลังการผลิต 80,000 บาร์เรล) ทำให้อัตราการผลิตในเดือน ม.ค. 51 ปรับลดลงจากเดือน ธ.ค. 50 ราว 2.4%

    มีการซื้อน้ำมันดีเซลกำมะถัน 0.5% จำนวน 500,000 บาร์เรลสำหรับงวดปลายเดือน ม.ค. ในตลาดวานนี้ ส่งผลให้อุปทานน้ำมันดังกล่าวในภูมิภาคปรับลดลง

    อย่างไรก็ตาม ผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ของอินโดนีเซียประกาศลดปริมาณการนำเข้าน้ำมันดีเซลสำหรับงวดเดือน ก.พ. ลงมาอยู่ที่ 4.4 ล้าบาร์เรล ซึ่งเป็นปริมาณการนำเข้าที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือน เม.ย. 50 เนื่องจากมีการผลิตน้ำมันดีเซลในประเทศเพิ่มขึ้น หลังจากโรงกลั่นหลายแห่งหันมาผลิตน้ำมันดีเซลเพิ่มเติมแทนการผลิตน้ำมันก๊าด เพราะอุปสงค์น้ำมันก๊าดในประเทศปรับลดลง

    น้ำมันเตา: ราคาปรับตัวลดลง 1.60 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล สวนทางกับราคาน้ำมันดิบดูไบที่แข็งค่าขึ้น ประกอบกับ

 โรงกลั่น CPC ของไต้หวันจะไม่นำเข้าน้ำมันเตากำมะถันต่ำเพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้าสำหรับงวดเดือน ก.พ. เนื่องจากความต้องการใช้ลดลง จากฤดูหนาวในปีนี้ที่ไม่หนาวนัก ประกอบกับมีการนำเข้าเพื่อสำรองไว้ใช้จำนวนมากแล้วในเดือน ม.ค. ส่งผลให้อุปทานน้ำมันเตาในภูมิภาคปรับเพิ่มขึ้น

    แม้ว่ามีการซื้อน้ำมันเตาจำนวนมากถึง 80,000 ตัน ในตลาดวานนี้แต่เป็นการซื้อขายในราคาที่ต่ำกว่าราคาซื้อก่อนหน้านี้ จึงกดดันให้ราคาปรับลดลง

    อย่างไรก็ตาม ศรีลังกาซื้อน้ำมันเตาความหนืดต่ำจำนวน 35,000 ตัน สำหรับงวดเดือน ก.พ. ส่งผลให้อุปทานน้ำมันเตาในภูมิภาคปรับลดลง

ที่มา :  บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)
http://www.bangkokbiznews.com/2008/01/1 ... sid=218959

news11/01/08

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 11, 2008 9:38 pm
โดย chartchai madman
พลังงานทดแทนถึงทางตัน [ ฉบับที่ 861 ประจำวันที่ 12-1-2008 ถึง 15-1-2008]  
> ศึกแย่งวัตถุดิบเดือด! ตลาดมืดเริงร่าตุนแป้ง-น้ำตาล

วิกฤติพลังงานทดแทนระอุ หลังพบพื้นที่ปลูกจำกัด คาดใช้เวลาอีกนานกว่าจะได้ผลผลิตเป็นกอบเป็นกำ ด้านเอกชนกังวลปัญหาแย่งวัตถุดิบบานปลาย เพราะรัฐบาลไม่ชัดเจนการจัดโซนนิ่ง เกรงเกษตรกรขนไปป้อนโรงงานไบโอดีเซล หมด ทำน้ำมันพืชขาดตลาด แนะทางเลือกหันกลับไปกินน้ำมันหมูดีกว่า ด้านมันสำปะหลัง-น้ำตาล เจอภาวะเดียวกันถูกแย่งทำก๊าซโซฮอล์ ล่าสุดแป้งมันขึ้น แล้วกว่า 30% น้ำตาลชาร์จราคาอีกกระสอบละ 30 บาท หวั่นนโยบาย ยรรยง ก่อผลตลาดมืดฟีเวอร์ ขณะที่ปลัดพลังงานเตรียมหารือพาณิชย์ภายในสัปดาห์หน้าเพื่อรับทราบเกี่ยวกับปริมาณน้ำมันปาล์มดิบ

แหล่งข่าวจากธนาคารเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผย สยามธุรกิจ ว่าขณะนี้พื้นที่ส่งเสริมการปลูกปาล์มยังเป็นพื้นที่เดิมที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เคยประกาศไว้แล้วคือ ภาคใต้ตั้งแต่จังหวัด ชุมพรลงไป ภาคตะวันออก และภาคอีสานที่จังหวัด หนองคาย อย่างไรก็ตาม รัฐยังไม่ได้กำหนดว่าพื้นที่ส่วนไหนปลูกเพื่อใช้ทำพลังงานทดแทน พื้นที่ส่วนไหนปลูกเพื่อการบริโภค

คุณต้องเข้าใจว่าขณะนี้โรงงานไบโอดีเซลขนาดใหญ่ยังไม่เสร็จสักโรง ไม่ว่าจะเป็นโรงงานของ ปตท.หรือของบางจาก เพราะฉะนั้นถ้ากำหนดว่าพื้นที่นั้นผลิตปาล์มเพื่อทำไบโอดีเซลแต่ไม่มีโรงงาน ไบโอดีเซลแล้วจะขายให้ใคร การจะกำหนดพื้นที่การปลูกได้ต้องมีแหล่งรองรับวัตถุดิบแน่นอน ซึ่งรายละเอียดลึกๆ ก็ต้องถามไปที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

ด้านแหล่งข่าวจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผย สยามธุรกิจ ว่า ปัจจุบันพื้นที่ปลูกปาล์มในประเทศยังค่อนข้างจำกัด เพราะปาล์มเป็นพืชพิเศษที่ต้องใช้พันธุ์อย่างดี และใช้น้ำจำนวนมาก ซึ่งพื้นที่เหมาะสมต่อการปลูกอยู่ในภาคใต้ แต่ปัจจุบันพื้นที่ส่วนใหญ่ของภาคใต้ก็ใช้ในการปลูกยางพารา รัฐบาลจึงมองหาพื้นที่ทดแทน โดยใช้พื้นที่ทางภาคตะวันออก และพื้นที่บางส่วน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าพื้นที่ปลูกปาล์มวันนี้ต้องถือว่ามีจำกัดอย่างยิ่ง

วันนี้ถ้าเราไปบอกให้คนทางภาคใต้ปลูกปาล์มเขาก็ยังคิดหนักเพราะราคายางพารากิโลกรัม ละ 70 บาท ประกอบกับหากเริ่มปลูกปาล์มวันนี้จะต้องใช้เวลาอีกประมาณ 4 ปีจึงจะให้ผลผลิต ดังนั้นเราอาจจำเป็นต้องนำเข้าปาล์มจากประเทศมาเลเซียเพื่อใช้ผลิตน้ำมันไบโอดีเซลและบริโภค ก่อนที่ปาล์มในเมืองไทยจะให้ผลผลิต แหล่งข่าว กล่าว

ด้านนายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล ประธาน คณะกรรมการธุรกิจเกษตรและอาหาร สภาหอ การค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผย สยามธุรกิจ ว่าเรื่องการจัดโซนนิ่งเพื่อปลูกปาล์มเป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐบาลจะต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ ซึ่งในวันนี้เท่าที่ทราบกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยังไม่มีความชัดเจนเลยว่าพื้นที่ส่วนไหนใช้ปลูกปาล์มทำน้ำมัน พื้นที่ส่วนไหนใช้ปลูกปาล์มเพื่อบริโภค ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มจะเลือกขายผลิตผลให้กับโรงงานที่ให้ราคาดีกว่า ซึ่งก็คือโรงงานผลิตไบโอดีเซล นั่นหมายความว่าปาล์มสำหรับ การผลิตน้ำมันพืชก็จะน้อยลงไปอีก และจะนำไปสู่การขึ้นราคาสินค้าบริโภคไม่สิ้นสุด โดยอ้างว่าผล ผลิตน้อย หรือต้นทุนสูง

ขณะที่นายสมชาย พรรัตนเจริญ ประธานนายกสมาคมค้าส่ง-ค้าปลีก เปิดเผย สยามธุรกิจ ว่านโยบายของรัฐบาลค่อนข้างสับสน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เดี๋ยวสินค้าล้นตลาด เดี๋ยวสินค้าขาดตลาด ในกรณีปาล์มน้ำมันก็เช่นกัน เราควรจะกำหนดแน่ชัดมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่าจะต้องใช้ผลิตสำหรับไบโอดีเซลเท่าไหร่ และควรเพิ่มพื้นที่ปลูกเท่าไหร่ แต่ก็ไม่มีการบริหารจัดการแต่อย่างใด มีแต่สนับสนุนให้คนหันมาใช้พลังงานทดแทน จน ถึงวันหนึ่งเมื่อวัตถุดิบขาดแคลนก็จะมารณรงค์ให้เพิ่มพื้นที่การเพาะปลูก ซึ่งกว่าจะได้ผลผลิตก็ต้องรอไปอีก 4-5 ปี แม้กระทั่งพืชอย่างอื่นเช่น อ้อย หรือมันสำปะหลังก็เช่นกัน ไม่มีการกำหนดโซนนิ่งว่าพื้นที่ไหนปลูกเพื่อทำน้ำตาล พื้นที่ไหนปลูกเพื่อทำเอธานอล หากเป็นเช่นนี้ต่อไปวันหนึ่งเราคงเห็นราคาน้ำตาลขึ้นพรวดพราดเหมือนราคาน้ำมัน พืช เพราะทุกวันนี้ราคาก็ขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยที่ผู้บริโภคไม่รู้ตัว เช่น มันสำปะหลัง ซึ่งขึ้นมาแล้ว กว่า 30% ในช่วง 2 เดือน หรือราคาน้ำตาลซึ่งขึ้น ราคากระสอบละ 60 บาท หรือ 60 สตางค์ต่อกิโลกรัม นั่นก็เป็นเพราะส่วนหนึ่งถูกนำไปเป็นวัตถุดิบในการผลิตเอธานอลเพื่อนำไปเป็นส่วนผสมในการผลิตน้ำมันก๊าซโซฮอล์

นายสมชายยังกล่าวว่า ในอนาคตหากราคา น้ำมันพืชแพงเกินไป ผู้ประกอบการอาจหันมา รณรงค์ให้บริโภคน้ำมันหมูเช่นในอดีต ซึ่งแม้จะดูว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งสิ่งเหล่านี้อาจเกิดขึ้นก็ได้

ในอดีตคนไทยบริโภคน้ำมันหมู ซึ่งก็ไม่ก่อให้เกิดอันตรายแต่อย่างใด แต่วันหนึ่งเราก็โดนนักการตลาดที่นำเข้าน้ำมันปาล์มโฆษณาว่ากินน้ำมันหมูเสี่ยงต่อการเป็นโรคคอเรสเตอรอล ส่งผลให้เกิดความกลัวหันมาบริโภคน้ำมันพืชแทน ซึ่งผมมองว่าถ้าราคาน้ำมันพืชยังขึ้นราคาอย่างต่อเนื่อง เราอาจต้องหันกลับไปบริโภคน้ำมันหมูแทน นายสมชาย กล่าว

และจากกรณีผู้ผลิตน้ำมันปาล์มบรรจุขวด ได้ยื่นหนังสือถึงกรมการค้าภายใน ขอขึ้นราคาอีกขวดละ 6.50 บาท หรือปรับจากขวดละ 43.50 บาท เป็นขวดละ 50 บาท เพราะแบกรับภาระต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้นไม่ไหว โดยผลปาล์มสดขึ้นมาอยู่ที่กิโลกรัมละกว่า 6 บาท จากปลายปี 2550 อยู่ที่กิโลกรัมละกว่า 4 บาท ส่งผลให้น้ำมันปาล์มดิบอยู่ที่ลิตรละ 32.50 บาท และยังมีแนวโน้มว่า น้ำมันปาล์มขวดอาจขาดตลาด เพราะผู้ประกอบการลดกำลังการผลิตลง จากปัญหาขาดทุน ประ กอบกับน้ำมันปาล์มดิบเริ่มขาดแคลน เพราะส่วนหนึ่งนำไปผลิตพลังงานทดแทน โดยนายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน (คน.) กล่าวว่า ได้รับหนังสือที่ผู้ประกอบการน้ำมันปาล์มบรรจุขวดยื่นขอปรับราคาเข้ามา ซึ่งกรมคงไม่อนุมัติให้ ปรับขึ้นราคาตามเพดานที่ขอเข้ามาเพราะประชาชน จะได้รับผลกระทบมากเกินไป แต่อาจจะให้เพิ่มขึ้นเพียงขวดละ 3 บาท หรือเพิ่มจากขวดละ 43.50 บาท เป็นขวดละ 46.50 บาท ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาดังกล่าวของอธิบดีกรมการค้าภายในทำให้มีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ไม่ลงลึกในรายละเอียด แม้จะเป็นการช่วยเหลือด้านค่าครอง ชีพให้กับประชาชน แต่อีกด้านหนึ่งถ้าผู้ประกอบการอยู่ไม่ได้และเลิกผลิตสินค้า นั่นอาจจะสร้างปัญหาที่ใหญ่กว่า เพราะประชาชนอาจต้องแย่งกันหาซื้อสินค้าในตลาดมืด ซึ่งนอกจากจะมีปริมาณ น้อยแล้ว อาจต้องมีโควตาว่าซื้อได้คนละจำนวนเท่าไหร่ และราคาอาจจะสูงมากกว่าที่ผู้ประกอบการ ขอเพิ่มในเวลานี้ด้วยซ้ำ

ขณะที่นายพรชัย รุจิประภา ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ภายในสัปดาห์หน้ากระทรวงพลังงานจะเข้าหารือกับกระทรวงพาณิชย์ เพื่อรับทราบเกี่ยวกับปริมาณน้ำมันปาล์มดิบที่มีอยู่ในขณะนี้ว่า มีปริมาณเท่าใดและมีสถานที่ปลูกที่ใดบ้าง รวมทั้งการบริหารจัดการสำหรับการบริโภคและการใช้พลังงานทดแทนว่าเป็นไปอย่างไร

ทั้งนี้ เชื่อว่าประเทศไทยจะไม่เกิดการขาด แคลนน้ำมันปาล์มดิบ เนื่องจากไทยมีพื้นที่ปลูกปาล์มมาก แต่อยู่ที่การบริหารจัดการพื้นที่เพาะปลูก เป็นสำคัญ อีกทั้งปัจจุบันการนำเข้าน้ำมันปาล์ม มาใช้เป็นพลังงานทดแทนก็จะได้นำมาจากน้ำมัน ที่เหลือใช้จากการบริโภคในประเทศแล้วเท่านั้น ไม่ได้นำจากส่วนของการบริโภคมาใช้แต่อย่างใด

ดังนั้น การนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบมาใช้เป็นพลังงานทดแทน จะไม่ส่งผลกระทบต่อการบริโภคภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม การที่ราคาน้ำมันปาล์มปรับเพิ่มขึ้นหรือลงนั้นเป็นไปตามกลไกตลาดโลก

นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่า การกระทรวงพลังงาน ยืนยันว่า ราคาน้ำมันปาล์ม ดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นไปตามแนวโน้มราคาตลาดโลก ที่อ้างอิงราคาจากประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นตลาดส่งออกรายใหญ่ของโลก เนื่องจากหลายประเทศทั่วโลกมีการส่งเสริมใช้ไบโอดีเซลอย่างแพร่หลาย จึงทำให้ราคาปาล์มดิบปรับตัวขึ้นอย่าง รวดเร็วในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา

ถึงแม้ว่ากระทรวงพลังงานจะไม่มีนโยบายส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลในภาคการขนส่ง แต่ราคา น้ำมันพืชก็ต้องปรับตัวเพิ่มขึ้นตามกลไกตลาด ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์จะต้องมีมาตรการดูแลสภาพ ตลาด ทั้งในด้านราคา การจัดหา ตลอดจนการนำเข้าและส่งออก เพื่อให้มีผลผลิตปาล์มเพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศ

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ 1 ก.พ.เป็นต้นไป กระทรวงพลังงานจะบังคับใช้น้ำมันไบโอดีเซล บี 2 ที่ผลิตจากไบโอดีเซล บี 100 ในสัดส่วนร้อยละ 2 กับน้ำมันดีเซลร้อยละ 98 ซึ่งจะต้องใช้ไบโอดีเซล บี 100 จำนวน 1.2 ล้านลิตรต่อวัน เพื่อให้เพียงพอต่อการใช้ไบโอดีเซล บี 2 ทั่วประเทศในปีนี้ ส่วนไบโอดีเซล บี 5 คาดว่าจะเริ่มบังคับใช้ได้ในปี 2554

การส่งเสริมไบโอดีเซล บี 2 และบี 5 จะไม่เพิ่มภาระให้กับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เนื่องจาก เป็นการชดเชยในอัตราส่วนเพียงเล็กน้อย

สำหรับสถานการณ์ราคาน้ำมันภายในประเทศ ขณะนี้ กระทรวงพลังงานติดตามทิศทางราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิด โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาน้ำมันดีเซลปรับตัวขึ้นสูงสุดแตะที่ระดับ 112 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันเบนซินอยู่ที่ 107 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งขณะนี้ราคาน้ำมันเริ่มอ่อนตัวลงมา แต่ถือว่าทรงตัวในระดับสูง ดังนั้น ผู้ใช้น้ำมันต้องตระหนักและใช้น้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ

ส่วนนโยบายที่จะทำให้ราคาน้ำมันลดลงโดยใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ เข้ามาอุดหนุนนั้นคงไม่สามารถทำได้ เพราะจะเป็นการเพิ่มภาระหนี้ แต่อาจทำได้ด้วยวิธีการลดภาษีสรรพสามิต แต่ก็จะมีผลกระทบทำให้รายได้ของภาครัฐหายไป

รมว.พลังงาน ยังกล่าวถึงแนวทางการส่งเสริมการใช้ก๊าซโซฮอล์ อี 85 โดยระบุว่า ได้มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน และสำนักงานนโยบาย และอนุรักษ์พลังงาน (สนพ.) กลับไปหารือร่วมกับค่ายรถยนต์ต่างๆ อีกครั้งว่าจะเริ่มจำหน่ายก๊าซ โซฮอล์ อี 85 ได้เมื่อใด เพราะต้องให้เวลาผู้ผลิตรถยนต์ในการปรับตัว โดยราคาก๊าซโซฮอล์ อี 85 จะราคาถูกกว่าเบนซิน 95 ประมาณ 10 บาทต่อลิตร และถูกกว่าก๊าซโซฮอล์ อี 10 ประมาณ 4 บาทต่อลิตร
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... 12DDS45231

news14/01/08

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 14, 2008 7:24 pm
โดย chartchai madman
TNITY แนะกลยุทธ์ลงหุ้น ENERGY+PETROCHEM ลงทุนรายตัว ยกเว้น PTTAR --------------------------------------------------------------------------------
Posted on Monday, January 14, 2008


ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ (TNITY) ได้ออกงานวิจัย แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานประจำสัปดาห์นี้ สรุปสาระสำคัญได้ว่า จะต้องเลือกเก็บหุ้นเป็นรายตัว สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในระยะสั้น โดยเฉพาะ PTTAR น่าจะได้รับผลกระทบเชิงลบต่อไป

ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มพลังงาน ราคาอ่อนแอลงนับจากต้นปีเป็นต้นมา โดยรวมยัง Underperform ตลาดรวมอย่างมากอยู่โดยเฉพาะ PTT, PTTCH และ IRPC ที่ติดลบมากกว่าตลาด แต่ในความเห็นของ TNITY เชื่อว่าหุ้นกลุ่มพลังงานยังมีผลประกอบการที่น่าพอใจในงวดไตรมาส 4 โดยเฉพาะ PTTCH และ PTTEP ซึ่งประเมินว่า น่าจะมีกำไรจากการดำเนินงานสูงกว่าทุกไตรมาสของปี 2550 โดยคาดว่า PTTCH มีกำไรระหว่าง 5,500 - 5,900 ล้านบาท ขณะที่ PTTEP มีกำไรสุทธิประมาณ 7,300 ล้านบาท สำหรับ PTT คาดมีกำไรจากการดำเนินงาน 20,000 ล้านบาท ต่ำกว่าทุกไตรมาสที่ผ่านมา แต่คาดว่าจะได้กำไรพิเศษจากการรับรู้รายได้ค่าก๊าซที่ กฟผ.จ่ายคืนตรงให้บริษัท 4,500 ล้านบาท และอีก 1,500 ล้านบาท จ่ายผ่าน PTTEP ทำให้กำไรสุทธิทั้งปี 2550 ออกมาในระดับใกล้เคียงกับปี 2549 คือ 97,000 ล้านบาท เนื่องจากมีกำไรพิเศษจากการขายหุ้น PTTCH ออก 6% และ PTTEP บางส่วน ซึ่งกำไรจากการดำเนินงานปี 2550 ควรจะดีกว่านี้หากไม่ได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท

สำหรับ PTTAR ยังน่าระมัดระวังที่สุด จากส่วนของธุรกิจอะโรเมติกส์ ซึ่งแนวโน้มเราคาดการณ์ว่า ATC เดิมมีกำไรงวด 4Q50 เพียง 500 ล้านบาท (กำไรรวมทั้งปีของ ATC เดิมคาดว่าต่ำเพียง 7,808 ล้านบาท ในขณะที่ 9 เดือนแรกของปีที่ผ่านมา ได้กำไรมากถึง 7,400 ล้านบาท โดยมีประมาณการเดิมสูงถึง 9,000 ล้านบาท ขณะที่ RRC คาดว่ามีกำไรสุทธิ 2,000 ล้านบาท ทำให้กำไรรวมของ PTTAR คาดว่าต่ำมากเพียง 2,400 ล้านบาท แต่ราคาหุ้นลงมาต่ำมากแล้ว แนวรับประมาณ 36-38 บาท แต่เชื่อว่าสามารถซื้อเพื่อเก็งกำไรสั้น ๆ ได้

ส่วน BANPU เริ่มระมัดระวังราคาหุ้นที่อยู่ใกล้ระดับ 400 บาท ถึงแม้ว่า BANPU จะแข็งแกร่งกว่าตลาดตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยให้ผลตอบแทนถึง 145% และปีนี้ผลตอบแทนยังเป็นอันดับ 1 คือ +1% ขณะที่ SET -7% แต่นักลงทุนควรมีการขายทำกำไรออกไปบ้าง เพราะแม้ราคาถ่านหิน จะยืนสูงถึง ตันละ 90 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ TNITY เห็นว่า ราคา Baltic Dry Index ซึ่งมักเป็นดัชนีที่มีทิศทางการปรับขึ้นตามกัน อ่อนตัวอย่างหนักในช่วง 1 - 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาถ่านหินที่สูงมีโอกาสอ่อนตัวลงมาลริเวณต้น ๆ ตันละ 80 ดอลลาร์สหรัฐ ได้เช่นกัน จึงควรระมัดระวังเรื่อง Sentiment ของดัชนี Barlow Jonker Index ที่เป็นตัวชี้นำผลประกอบการและราคาหุ้น BANPU

ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมีสัปดาห์นี้ แนะนำเลือก PTTEP ต่อไป ส่วนหุ้นที่อ่อนตัวลงมา เลือกเก็บเป็นรายตัวที่ผลประกอบการยังดีอยู่ในงวดไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา และไตรมาสแรกปีนี้ เช่น PTTCH และ IRPC
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx

news15/01/08

โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 15, 2008 1:41 pm
โดย chartchai madman
เอทานอลราคาตก บี้รัฐเลิกเบนซิน95

โพสต์ทูเดย์ ผู้ผลิตเอทานอลโอดครวญผลผลิตล้นตลาด ขายได้ราคาต่ำกว่าราคากลางที่รัฐกำหนด เหตุรัฐไม่ฟันธงเลิกขายเบนซิน 95


นายสิริวุทธิ์ เสียมภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอกรัฐพัฒนา ในฐานะนายกสมาคมผู้ผลิตเอทานอล กล่าวว่า ขณะนี้กลุ่มผู้ผลิตขายเอทานอลให้บริษัทน้ำมันได้ต่ำกว่าราคากลางที่รัฐกำหนด โดยไตรมาสแรก รัฐประกาศราคากลางไว้ที่ 17.28 บาท/ลิตร แต่ผู้ผลิตขายได้แค่ 13-14 บาท/ลิตร ซึ่งเกิดจากผลผลิตเอทานอลยังมีมากเกินความต้องการของตลาด

ปัจจุบันกำลังการผลิตเอทานอล อยู่ที่ 1.15 ล้านลิตร/วัน แต่มีความต้องการนำไปผลิตแก๊สโซฮอล์เพียง 6-7 แสนตัน/วัน และในเร็วๆ นี้จะมีโรงงานผลิตเอทานอลเปิดใหม่ 3-4 แห่ง ส่งผลให้กำลังผลิตเพิ่มเข้าสู่ระบบอีก 5-6 แสนลิตร/วัน แม้ผู้ผลิตจะพยายามส่งออกให้มากขึ้น แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาเอทานอลล้นตลาดจนราคาตกได้

ราคากลางเอทานอลที่รัฐกำหนดมา แม้จะมีแนวโน้มสูงขึ้นจากปลายปีที่แล้ว ที่อยู่ที่ระดับ 15.29 บาท/ลิตร เป็น 17.28 บาท/ลิตร แต่การซื้อขายจริงไม่ได้ราคาตามนั้น ตราบใดที่ยังไม่มีนโยบายยกเลิกการจำหน่ายเบนซิน 95 อย่างเป็นทางการ นายสิริวุทธิ์ กล่าว

สำหรับนโยบายส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซล ที่มีปัญหาวัตถุดิบในการผลิตไม่เพียงพอ เป็นเรื่องที่รัฐต้องบริหารจัดการให้รอบคอบ ซึ่งเป็นปัญหาคนละประเด็นกับเอทานอลที่ผลผลิตเกินความต้องการ

ปริมาณการใช้ดีเซลอยู่ที่วันละ 40-45 ล้านลิตร/วัน จำเป็นต้องใช้ไบโอดีเซลบริสุทธิ์ 100% วันละ 9 แสนลิตร/วัน เพื่อนำมาผสมผลิตเป็น บี2 ที่จะบังคับใช้ในเดือน ก.พ. ซึ่งโรงงานผลิตไบโอดีเซลที่มีอยู่ 8 แห่ง ใช้กำลังการผลิตเพียง 3.5 แสน ลิตร/วัน ยังไม่เต็มกำลังการผลิตจริงที่สามารถทำได้ 1 ล้านลิตร/วัน และยังเกิดปัญหาวัตถุดิบไม่พอ ทำให้หลายฝ่ายเป็นห่วงว่า ราคาปาล์มน้ำมันจะสูงขึ้นเรื่อยๆ นายสิริวุทธิ์ กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=214672

news16/01/08

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 16, 2008 7:35 pm
โดย chartchai madman
สนพ.คาดปีนี้ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 70 80 US/บาร์เรล แนะประชาชนช่วยกันประหยัดพลังงาน
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Wednesday, January 16, 2008
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel โดยคาดว่า ปี 2551 น้ำมันดิบดูไบจะมีราคาเฉลี่ย 70 80 ดอลลาร์สหรัฐฯ /บาร์เรล สูงกว่าปี 2550 ที่มีราคาเฉลี่ย 70 ดอลลาร์สหรัฐฯ /บาร์เรล เนื่องจากปริมาณการผลิตมีจำนวนจำกัด แต่ความต้องการใช้มีมากขึ้น โดยเฉพาะในจีนและอินเดีย นอกจากนี้ยังมีปัญหาความไม่สงบในประเทศผู้ผลิตน้ำมัน สภาพภูมิอากาศ การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และการเก็งกำไรของกองทุนเพื่อการเก็งกำไร (Hedge Fund) อย่างไรก็ตาม ถ้าเกิดสงครามในตะวันออกกลาง และมีความรุนแรงจนถึงขั้นต้องปิดอ่าว ก็มีโอกาสที่ราคาน้ำมันดิบจะพุ่งขึ้นไปแตะที่ระดับ 200 ดอลลาร์สหรัฐฯ /บาร์เรล เนื่องจากปริมาณน้ำมันดิบจะหายไป 20 30% ของน้ำมันดิบทั้งหมด

นายวีระพลบอกว่า ขณะนี้ สนพ. และภาครัฐ ได้เตรียมแผนการทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อรองรับปัญหาราคาพลังงานในอนาคต โดยในระยะสั้น หากราคาน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศพุ่งสูงมาก ก็อาจจะนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาช่วยบรรเทาปัญหาได้ อย่างไรก็ตามภาครัฐไม่มีแผนที่จะนำเงินมาอุดหนุนราคาน้ำมัน เพราะจะทำให้ประชาชนไม่ช่วยกันประหยัดพลังงาน

ส่วนในระยะยาว ภาครัฐจะส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น พร้อมกับตั้งเป้าที่จะลดการใช้น้ำมันให้ได้ 20% ใน5 ปีข้างหน้า ซึ่งจะช่วยลดการนำเข้าน้ำมันได้ปีละประมาณ 1.4 แสนล้านบาทจากปัจจุบันที่นำเข้าน้ำมันปีละประมาณ 7 แสนล้านบาท ปัจจุบันภาครัฐได้รณรงค์การประหยัดพลังงานอย่างต่อเนื่อง และประชาชนก็เริ่มตอบรับการใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น โดยยอดการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์เดือน ม.ค. 2551 อยู่ที่ 7 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้นจากปี 2550 ที่ระดับ 3.5 ล้านลิตร/วัน นอกจากนี้ไทยก็เริ่มใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 แล้ว และในอนาคตก็จะมีการใช้น้ำมัน E85 ด้วย

นอกจากนั้น ในวันที่ 1 ก.พ. 51 ทางกระทรวงพลังงานจะบังคับให้ผู้ผลิตน้ำมันผสมไบโอดีเซล (B100) ในน้ำมันดีเซลจำนวน 2% ซึ่งสัดส่วนนี้จะทำให้มีการใช้ไบโอดีเซล B100 เพิ่มเป็น 1 ล้านลิตร/วัน และภายในปี 2555 จะเพิ่มส่วนผสมไบโอดีเซลเป็น 5% ทั้งนี้ สนพ.ไม่ห่วงว่าจะเกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำมันปาล์มดิบ ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตไบโอดีเซล เนื่องจากอีก 2 เดือนข้างหน้า จะมีน้ำมันปาล์มดิบออกมามาก ขณะที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก็มีแผนที่จะขยายพื้นที่เพาะปลูกปาล์มเพิ่มอีก 2.5 ล้านไร่

นายวีระพลบอกว่า ภาครัฐยังได้ตั้งเป้าจะเพิ่มจำนวนรถยนต์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ (NGV) เป็น 2.5 แสนคันภายในปี 2555 จากปัจจุบันมีรถยนต์ใช้ NGV อยู่ 5.6 หมื่นคัน ส่วนปัญญาการขาดแคลน NGV ภาครัฐก็เตรียมให้ ปตท. ขยายสาขาสถานีบริการแล้ว โดยคาดว่าภายในเดือน ก.ค. 2551 จะสามารถแก้ปัญหาการขาดแคลน NGV ได้

สำหรับค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (ค่า Ft) รอบเดือน ก.พ. พ.ค. 2551 ก็มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับความต้องการใช้ในช่วงหน้าร้อนด้วย เพราะถ้ามีความต้องการใช้มาก ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าก็จะสูงขึ้น แต่ถ้าประชาชนช่วยกันประหยัดไฟฟ้า ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าก็จะถูกลง ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลอัตราค่าไฟฟ้าและค่าบริการจะพิจารณาค่าไฟฟ้า Ft รอบเดือน ก.พ. พ.ค. 2551 ในวันที่ 15 ก.พ. นี้

นายวีระพลคาดว่า ปี 2552 ไทยจะมีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีก 5 6% ซึ่งโรงไฟฟ้าในปัจจุบันสามารถผลิตไฟฟ้าได้เพียงพอต่อความต้องการ ส่วนการเตรียมพร้อมในอีก 20 30 ปีข้างหน้า ทางรัฐบาลก็ได้เตรียมแผนโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 13 ปี โดยตั้งแต่วันนี้จนถึงปี 2553 จะเป็นการเตรียมความพร้อมในเรื่องต่าง ๆ ทั้งกฎหมาย บุคลากร สถานที่ตั้ง รวมถึงการทำความเข้าใจกับประชาชน หลังจากนั้นค่อยตัดสินใจว่าจะมีการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หรือไม่  
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx

news16/01/08

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 16, 2008 7:39 pm
โดย chartchai madman
จอร์จ บุช วอนซาอุดิอาระเบียเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบ
นายจอร์จ ดับเบิลยู บุช ประธานาธิบดีสหรัฐ กล่าวในระหว่างเดินทางไปเยือนประเทศซาอุดิอาระเบียว่า ต้องการเรียกร้องให้ซาอุดิอาระเบีย ซึ่งไม่เพียงเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดในกลุ่ม 12 ประเทศสมาชิกโอเปก แต่ยังเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดในโลก ตัดสินใจเพิ่มการผลิตน้ำมันดิบมากขึ้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือเศรษฐกิจสหรัฐ ที่กำลังอยู่ในภาวะชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน สำนักงานวิจัยที่มีชื่อว่า แพรทท์ ในสหรัฐ เปิดเผยว่า ในเดือนธ.ค.ปีที่ผ่านไป กลุ่มโอเปกมีกำลังการผลิตรวมกันถึงวันละ 32 ล้านบาร์เรล
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news16/01/08

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 16, 2008 9:41 pm
โดย chartchai madman
วิเคราะห์แนวโน้มราคาน้ำมันรอบสัปดาห์

16 มกราคม พ.ศ. 2551 10:47:00

สรุปสถานการณ์น้ำมันระหว่างวันที่ 7-14 ม.ค.51 และคาดการณ์แนวโน้มราคาน้ำมันระหว่างวันที่ 15-21 ม.ค. 51

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :  
  น้ำมันดิบ :
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง หลังจากทำสถิติสูงสุดที่ 100.09 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เมื่อวันที่ 3 ม.ค. ที่ผ่านมา เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบให้อัตราความต้องการบริโภคน้ำมันภายในประเทศปรับลดลงในอนาคต  

    ตลาดคาดาการณ์ว่า ในระยะสั้น ราคาน้ำมันดิบ WTI จะยังผันผวนตามค่าเงินดอลลาร์ของสหรัฐฯ เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางของสหรัฐฯ อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงถึงร้อยละ 0.50 ในการประชุมปลายเดือนนี้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง อันจะส่งผลให้นักลงทุนหันมาลงทุนในตลาดโภคภัณฑ์ ซึ่งรวมถึงน้ำมัน มากขึ้น เป็นปัจจัยบวกสนับสนุนราคาน้ำมันดินในระยะสั้นให้ปรับเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับตลาดทวีความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของอุปทานน้ำมันดิบ เนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบของไนจีเรีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่ของโลก อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังประจำสัปดาห์ของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้จะปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 1.2 ล้านบาร์เรล เนื่องจากเม็กซิโกจะสามารถดำเนินการขนส่งน้ำมันดิบได้ตามปกติ หลังจากสภาพอากาศสดใสขึ้น มีส่วนช่วยคลายความกังวลเกี่ยวกับปัญหาอุปทานน้ำมันในสหรัฐฯ ลงบ้าง และเป็นปัจจัยลบกดดันราคาในสัปดาห์นี้

    น้ำมันเบนซิน : ราคาน้ำมันเบนซินในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ตามราคาน้ำมันดิบดูไบ ประกอบกับอินเดียและเกาหลีใต้ส่งออกน้ำมันเบนซินมาขายในภูมิภาคเพิ่มขึ้น มีส่วนช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันเบนซินตึงตัวลงได้บ้าง  

    อย่างไรก็ตาม เวียดนามและอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ของภูมิภาค ยังคงนำเข้าน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการภายในประเทศที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับปัจจัยพื้นฐานน้ำมันเบนซินในภูมิภาคที่แข็งแกร่ง เนื่องจากอุปทานในภูมิภาคยังคงปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยมีการคาดการณ์ว่า จีนจะลดปริมาณการส่งออกน้ำมันเบนซินในเดือน ก.พ. ลง หลังจากประสบภาวะขาดแคลนน้ำมันในประเทศตั้งแต่เดือน พ.ย. ที่ผ่านมา

   นอกจากนี้ ไต้หวันยังประกาศยกเลิกการส่งออกน้ำมันเบนซินสำหรับเดือน ก.พ. หลังจากที่เกิดเหตุระเบิดขึ้นที่โรงกลั่นแห่งหนึ่งในประเทศเมื่อต้นเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา และคาดว่า โรงกลั่นดังกล่าวจะกลับมาดำเนินการได้ตามปกติในเดือน พ.ค.  ส่งผลให้ราคาน้ำมันเบนซินในภูมิภาคมีแนวโน้มจะปรับเพิ่มสูงขึ้น

    น้ำมันอากาศยาน/น้ำมันก๊าด:  ราคาน้ำมันอากาศยานและน้ำมันก๊าดยังคงปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ตามราคาน้ำมันดิบดูไบ ประกอบกับปัจจัยพื้นฐานในภูมิภาคยังคงไม่สดใสนัก เนื่องจากอุปสงค์น้ำมันที่ใช้ทำความร้อนในแถบเอเชียเหนือปรับลดลงจากสภาพอากาศที่อบอุ่นกว่าที่คาดไว้

    ปริมาณน้ำมันก๊าดคงคลังประจำสัปดาห์ของญี่ปุ่นที่ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 26.3 ล้านบาร์เรล ซึ่งสูงกว่าระดับค่าเฉลี่ย 5 ปี หลังจากอุปสงค์น้ำมันดังกล่าวในประเทศปรับลดลง รวมถึงอุปทานน้ำมันอากาศยานในเกาหลีใต้ที่อยู่ในภาวะล้นตลาดเช่นกัน ส่งผลให้ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้มีแผนจะส่งออกน้ำมันก๊าดและอากาศยานเข้ามาในภูมิภาค ขณะที่ไม่มีโอกาสในการขนย้ายน้ำมันก๊าดและอากาศยานไปขายยังสหรัฐฯ เนื่องจากราคาขายน้ำมันดังกล่าวในสหรัฐฯ ต่ำกว่าราคาขายในภูมิภาค ส่งผลให้อุปทานน้ำมันดังกล่าวในภูมิภาคปรับเพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยลบกดดันราคาอย่างต่อเนื่อง

    น้ำมันดีเซล : ราคาน้ำมันดีเซลในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลดลง ตามราคาน้ำมันดิบดูไบ ประกอบกับอุปทานในภูมิภาคปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากโรงกลั่นในภูมิภาคเน้นการผลิตน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น ขณะที่โอกาสในการขนย้ายน้ำมันดังกล่าวไปขายยังสหรัฐฯ และยุโรปชะลอตัวลง

    คาดว่าราคาน้ำมันดีเซลในภูมิภาคจะปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากจีนและอินโดนีเซียมีแผนจะลดปริมาณนำเข้าน้ำมันดีเซลสำหรับงวดเดือน ก.พ. ลง หลังจากที่จีนมีการนำเข้าน้ำมันดังกล่าวจำนวนมากเป็นเวลา 3 เดือนติดต่อกันจากการที่โรงกลั่นขนาดเล็กลดการใช้กำลังการผลิตลงเนื่องจากประสบภาวะขาดทุน และการลดภาษีการนำเข้าเพื่อช่วยแก้ปัญหาภาวะอุปทานน้ำมันดีเซลตึงตัวในประเทศ

   นอกจากนั้นโอกาสในการขนย้ายน้ำมันดีเซลไปขายนอกภูมิภาคปรับลดลง หลังจากอุปสงค์น้ำมันที่ใช้ในการทำความร้อนในสหรัฐฯและยุโรปน้อยลง เนื่องจากสภาพอากาศอบอุ่นกว่าที่คาดไว้ อย่างไรก็ตามอุปทานน้ำมันดีเซลค่อนข้างจะตึงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เห็นได้จากปริมาณน้ำมันดีเซลคงคลังในทุกภูมิภาคทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้ราคาน้ำมันดีเซลมีความผันผวนมากขึ้น เมื่อมีอุปสงค์เพิ่มเติมเข้ามาในตลาด

    น้ำมันเตา : ราคาน้ำมันเตาปรับตัวลดลงอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา ตามราคาน้ำมันดิบดูไบ ประกอบกับ อินเดียมีแนวโน้มจะส่งน้ำมันเตาเข้ามาขายในภูมิภาคเพิ่มขึ้น ขณะที่อุปสงค์จากจีนชะลอตัวลง ส่งผลให้อุปทานน้ำมันเตาในภูมิภาคปรับเพิ่มขึ้น

    ตลาดคาดการณ์ว่า จะมีการขนย้ายน้ำมันเตาจากตะวันตกเข้ามาขายในภูมิภาคถึง 3 ล้านตันในเดือน ก.พ. ซึ่งถือเป็นปริมาณที่สูงที่สุดในรอบ 9 เดือน เนื่องจากปริมาณน้ำมันเตาในยุโรปยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง ประกอบกับอัตราค่าระวางเรือปรับลดลง ส่งผลให้มีโอกาสในการขนย้ายน้ำมันเตาจากตะวันตกเข้ามาขายในภูมิภาคเพิ่มมากขึ้น

   ขณะที่อุปสงค์ในภูมิภาคชะลอตัวลง โดยเกาหลีใต้และไต้หวันจะลดปริมาณการนำเข้าน้ำมันเตากำมะถันต่ำสำหรับงวดเดือน ก.พ. ลง เนื่องจากมีการคาดว่า สภาพอากาศจะหนาวเย็นน้อยกว่าที่คาดไว้ และผู้ผลิตไฟฟ้าอาจจะหันไปใช้ก๊าซธรรมชาติที่มีราคาต่ำกว่าเป็นวัตถุดิบแทน ล้วนเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมันเตาในภูมิภาคให้ปรับลดลง อย่างไรก็ตาม อุปสงค์น้ำมันเตาจากตะวันออกกลางอาจปรับเพิ่มขึ้น หลังจากที่อิหร่านประกาศลดปริมาณการส่งออกน้ำมันดังกล่าว เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศปรับเพิ่มสูงขึ้น
ที่มา : บริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)
http://www.bangkokbiznews.com/2008/01/1 ... sid=220655

news18/01/08

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 18, 2008 6:58 pm
โดย chartchai madman
SCIBS ยังมั่นใจ PTT+PTTEP+PTTCH+TOP น่าสนใจลงทุน พื้นฐานแกร่ง มี Upside สูง
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Thursday, January 17, 2008

ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทย (SCIBS) ได้ออกงานวิจัยล่าสุด ประกาศคงน้ำหนักการลงทุนหุ้นในกลุ่มน้ำมัน โรงกลั่น และปิโตรเคมี ไว้ที่ " Neutral " เหมือนเดิม เนื่องจากมีความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐาน และผลประกอบการของหุ้นใน 2 กลุ่มนี้ ว่า จะยังคงมีแนวโน้มแข็งแกร่งในระยะยาว ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ระดับราคาน้ำมันมีแนวโน้มทรงตัวสูงต่อเนื่องไปถึงปี 2552

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาข้อมูลของ EIA เกี่ยวกับภาวะตลาดน้ำมัน ซึ่งคาดการณ์ว่า กลุ่มผู้ค้าน้ำมัน (OPEC) จะผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ตั้งแต่ไตรมาสแรกปีนี้ ไปจนถึงไตรมาสที่ 3 ของปี ทำให้ SCIBS ประเมินว่า มีความเป็นไปได้สูง เพราะเมื่อพิจารณาจากการที่ในรอบปี 2550 ที่ผ่านมา ความต้องการบริโภคน้ำมัน อยู่ในระดับสูงกว่ากำลังการผลิต ส่งผลให้ทิศทางราคาน้ำมันมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนราคาน้ำมันดิบดูไบ (Dubai) เฉลี่ยในไตรมาส 4 ปรับสูงขึ้นมาถึง 33% จากระดับเฉลี่ยในไตรมาสแรก

ดังนั้น เมื่อความต้องการบริโภคน้ำมัน ในไตรมาสแรกยังคงอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยวันละ 87.74 ล้านบาร์เรล สูงกว่าปริมาณการผลิตน้ำมันที่ทำได้วันละ 86.51 ล้านบาร์เรล อยู่ประมาณวันละ 1.23 ล้านบาร์เรล ส่งผลให้ประเมินได้ว่า ราคาน้ำมันจะยังคงทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปีเป็นต้นไป มีความเป็นไปได้สูงที่สถานการณ์โดยรวมในตลาดน้ำมันจะผ่อนคลายลงมา เนื่องจากการที่ความต้องการบริโภคน้ำมัน เริ่มชะลอตัวลงมาเหลือเฉลี่ยวันละ 86.42 ล้านบาร์เรล เทียบกับปริมาณการผลิตน้ำมัน ซึ่งค่อนย ๆ ปรับเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 87.01 ล้านบาร์เรล ส่งผลให้ปริมาณน้ำมันมีเหลือวันละ 0.59 ล้านบาร์เรล จึงน่าจะมีผลต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสสุดท้ายปีนี้

ดังนั้น SCIBS จึงเชื่อมั่นว่า ไตรมาสแรกของปีนี้ จะเป็นช่วงที่ตลาดน้ำมันตึงตัวและ
มีแนวโน้มระดับราคาสูงสุดของปี จึงทำให้มีคำแนะนำสำหรับการลงทุนในหุ้นกลุ่มน้ำมัน โรงกลั่น และปิโตรเคมี ว่า ควรจะซื้อเมื่อะดับราคาอ่อนตัว (จากในปี 2550 ที่สามารถซื้อที่ Premium จากแนวโน้มขาขึ้น) และหันมาเน้นลงทุนหุ้นที่มี Growth Story และราคาหุ้นมี Discount สูงอย่างน่าสนใจ


โดยเมื่อใช้สมมติฐาน ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยในแหล่ง Dubai ประคองตัวในกรอบ 70 - 80 ดอลลาร์สหรัฐ SCIBS เห็นว่า หุ้น PTTEP PTT TOP และ PTTCH ยังคงเหมาะที่จะซื้อเก็บเข้าไว้ในพอร์ตลงทุน

PTTEP : กำลังการผลิตที่คาดจะเพิ่มขึ้นได้ 24% ในปี 2551 (จาก 180,000 BOED ในปี 2550 เป็น 23,000 BOED) จากการผลิตของแหล่งอาทิตย์คาดจะยังเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความเติบโต ขณะที่ ในเชิงของราคาเฉลี่ยผลิตภัณฑ์ยังคงปรับสูงขึ้นตามแนวโน้มราคาเฉลี่ยน้ำมัน Dubai ที่สูงขึ้น การปรับสมมติฐานราคาน้ำมันในช่วงปี 2551-2554 และราคาน้ำมันในระยะยาว ส่งผลให้มูลค่า
เหมาะสมของ PTTEP ในปี 2551 ปรับขึ้นเป็น 185 บาท มี upside สูง 21% จึงคงคำแนะนำ " ซื้อ "

PTT : ธุรกิจของ PTT มี Value Chain ที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ ทำให้มีการกระจายความเสี่ยงที่ดีและมีแนวโน้มความผันผวนน้อยกว่าธุรกิจที่เน้นไปทางต้นหรือปลายน้ำด้านใดด้านหนึ่ง PTT ยังคงได้รับประโยชน์จากการขยายกำลังการผลิตของ PTTEP และ TOP รวมถึงการถือหุ้น 15% ในโรงไฟฟ้าราชบุรี เพาเวอร์ ซึ่งจะเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในปีนี้

ขณะที่ ผลกระทบต่อมูลค่าเหมาะสมจากประเด็นการเสียค่าเช่าท่อกาซให้ภาครัฐ SCIBS ยังคงเชื่อว่าไม่กระทบมูลค่าเหมาะสมอย่างมีนัยสำคัญ (โดยเมื่อทำการทดลองปรับการประเมินรายได้ในปี 2544 ซึ่งเป็นปีฐานจาก 3,600 ล้านบาท เป็น 5,700 ล้านบาท และปรับอัตราค่าเช่าจาก 5% เป็นสูงสุด 20% จะพบว่า ค่าเช่ามีผลกระทบต่อมูลค่าเหมาะสมเพิ่มจาก 1.34 บาท เป็น 8.47 บาท อย่างไรก็ตาม ยังไม่ใช่ข้อสรุปสุดท้ายแต่อย่างใด ) จึงยังคงคำแนะนำ " ซื้อ " ต่อไป โดยคงราคาเหมาะสมที่ 393 บาท เหมือนเดิมด้วย แต่หากมีความชัดเจนในเรื่องนี้เพิ่มเติม SCIBS พร้อมทบทวนราคาเหมาะสมใหม่

TOP : มีความโดดเด่นมากที่สุดในกลุ่มโรงกลั่นจากการขยายกำลังการผลิตขึ้น 22% เป็นวันละ 275,000 บาร์เรล ในปีนี้ ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมี สายอโรเมติกส์แม้คาดภาวะธุรกิจจะยังไม่ฟื้นตัวชัดเจนในครึ่งแรกของปีนี้ แต่เนื่องจากบริษัทมีการขยายกำลังการผลิตของ TPX จากปีละ 348,000 ตัน เป็นปีละ 828,000 ตันเข้ามาช่วยสนับสนุน จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ธุรกิจโรงกลั่นจะยังมีอัตรากำไรสุทธิขั้นต้น (GRM) ที่แข็งแกร่ง จึงคงคำแนะนำ " ซื้อ " โดยมีราคาเหมาะสม ที่ 112 บาท

PTTCH : ถือเป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์ทางอ้อมจากแนวโน้มราคาน้ำมันและแนฟทาที่ถือว่ายังทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่อง โดยการเป็นผู้ผลิตโอเลฟินส์ในสายก๊าซยังคงทำให้ได้ประโยชน์จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่คาดว่าสูงขึ้นจากการปรับขึ้นของราคาผลิตภัณฑ์ปลายน้ำจากผลของ Cost Push ของผู้ผลิตโอเลฟินส์ที่ใช้แนฟทาเป็นวัตถุดิบ ผลประกอบการของ PTTCH คาดว่าจะแข็งแกร่งต่อเนื่องถึงไตรมาส 2 เป็นอย่างน้อย ขณะที่ไตรมาสสุดท้ายปีที่ผ่านมา คาดว่า ผลประกอบการจะ Surprise ตลาดโดยทำระดับสูงสุดใหม่ที่ 6,223 ล้านบาท( ขยายตัว 23% และ 43% เมื่อเทียบไตรมาสก่อนหน้า และเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ตามลำดับ) ทำให้ประเมินอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในช่วงครึ่งหลังปีที่ผ่านมา ได้ประมาณหุ้นละ 3.25 บาท คิดเป็น Dividend Yield 3% จึงแนะ " ซื้อ " ด้วยราคาเหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐาน ที่ 132 บาท
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx