หน้า 9 จากทั้งหมด 9

มีใครอยากเรียน fundflow analysis บ้าง

โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 02, 2010 1:07 pm
โดย kmphol
ake3004 เขียน:i think na kab.

VI way is listen to every source of info u can.

But making decision based on logical way.

Getting info without own thinking in logical way cannot b VI kab.

The success way of VI is quality of thinking.Is it make sense we buy or hold or sell?

no one knows the future.

that's why I copy above Thai writing to balance na kab :D
VI เปนหลักการคิดที่อยู่บนพื้นฐานของเหตูผล ทีมีตรรกกะ

เหนเพื่อนหลายคนในเวปชอบบอกว่า VI สนแต่กิจการที่ลงทุนอย่างเดียว โดยไม่สนปัจจัยแวดล้อมอื่น เช่น fund flow, market risk, exchange rate, interest rate, etc ซึ่งผมคิดว่ามันเปนการมองภาพ เพียงมุมเดียว จุดเดียว ด้านเดียว และให้ความสำคัญกับจุดนั้นมากเกินไป และแคบเกินไป โดยละทิ้งที่จะสนใจภาพในมุมมองอื่น

อย่าลืมนะครับว่าราคาหุ้นไม่ได้ขึ้นกับผลประกอปการของบริษัทเพียงปัจจัยเดียว แต่มันมีปัจจัยอื่นอีกมากมายที่มาส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นได้ ทั้งในระยะสั้น เเละยาว

ดังนั้นการมองภาพในมุมมองที่หากหลาย แล้วเอาแต่ละภาพ แต่ละมุมมองมาลองชั่งน้ำหนักดู น่าจะเปนทางเลือกที่ดี และมีเหตุผลกว่า การมองอะไรแค่มุมเดียว ด้านเดียว

มีใครอยากเรียน fundflow analysis บ้าง

โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 02, 2010 2:12 pm
โดย green-orange
kmphol เขียน: VI เปนหลักการคิดที่อยู่บนพื้นฐานของเหตูผล ทีมีตรรกกะ

เหนเพื่อนหลายคนในเวปชอบบอกว่า VI สนแต่กิจการที่ลงทุนอย่างเดียว โดยไม่สนปัจจัยแวดล้อมอื่น เช่น fund flow, market risk, exchange rate, interest rate, etc ซึ่งผมคิดว่ามันเปนการมองภาพ เพียงมุมเดียว จุดเดียว ด้านเดียว และให้ความสำคัญกับจุดนั้นมากเกินไป และแคบเกินไป โดยละทิ้งที่จะสนใจภาพในมุมมองอื่น

อย่าลืมนะครับว่าราคาหุ้นไม่ได้ขึ้นกับผลประกอปการของบริษัทเพียงปัจจัยเดียว แต่มันมีปัจจัยอื่นอีกมากมายที่มาส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นได้ ทั้งในระยะสั้น เเละยาว

ดังนั้นการมองภาพในมุมมองที่หากหลาย แล้วเอาแต่ละภาพ แต่ละมุมมองมาลองชั่งน้ำหนักดู น่าจะเปนทางเลือกที่ดี และมีเหตุผลกว่า การมองอะไรแค่มุมเดียว ด้านเดียว
เขียนได้โดนใจและตรงใจผมมากเลยครับ ชอบๆๆ ผมเห็นหลายคนบอกว่า VI ต้องถือหุ้นเต็มปอด  :shock:  :shock:  ผมว่าไม่จำเป็นเลยครับ ผมว่าข้อความที่คุณ kmphol เขียนคงสื่อได้อย่างชัดเจนมากเลยครับ

ขอบคุณครับ  :D  :D  :D

มีใครอยากเรียน fundflow analysis บ้าง

โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 02, 2010 2:54 pm
โดย hongvalue
kpboy เขียน:ขอบคุณ คุณฮงมากครับ ไม่เสียทีที่เป็นแฟนคลับ 555

หลังจากได้ความรู้จากคุณฮง ก็เลยไปต่อยอดอีกนิด ว่าไอ้เวลาที่S-T Y.C.มันปรับตัวขึ้นทำให้ flat เค้าเรียกกันว่า bearish flattening ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดเมื่อมีการคาดการว่าเงินเฟ้อจะสูงขึ้นใช่มั๊ยครับ เลยไม่ค่อยน่าเป็นห่วงเท่าไหร่

โห ถามย๊ากยาก แต่ละคำถาม
จะลองตอบเท่าที่มีในหัวนะครับ

ตามหลักถ้าเงินเฟ้อขึ้นจะทำให้ตลาดคาดถึงการขึ้นดอกเบี้ย
สมมุติว่ามี s-t กับ l-t ถามว่าถ้าขึ้นดอกอะไรจะมูลค่าตกเยอะกว่ากัน คำตอบคือ l-t เพราะเงินของเราถูกดองเอาไว้นานกว่าถูกไหมครับ ผมเลยคิดว่าถ้าเงินเฟ้อสูงไม่น่าจะเป็นเหตุผลให้ s-t ขึ้นได้เยอะกว่า l-t เพราะความต้องการขาย l-t น่าจะเยอะกว่าทำให้ yield ของมันสูงขึ้น ผมมองแบบนี้นะครับ ส่วนทำไม s-t ถึงขึ้นจนเกิดภาวะ bearish flattening อันนี้ไม่แน่ใจ จำได้เมื่อก่อนเคยเมล์ไปถามคุณ อาสา ของ ays แต่ตอนนี้ลืมไปแล้ว ที่ลืมเพราะว่า yield curve เป็น indi ที่ผมใช้น้อยที่สุดครับ

ผมเองก็ไม่ได้ไปเรียนแต่ฟังจากคนที่เล่ามาให้เน้นกันเรื่อง y-c
แต่ประสบการณ์ที่ผมใช้มาผมว่าตัวนี้ใช้ได้น้อยกว่าหลายๆตัวนะ
เสริมว่าจริงๆแล้วเราลองเอา indi ที่เราคิดว่ามีมาวางเรียงกันทั้งหมดแล้วดูย้อนหลังว่าอันไหนมันบอกตอนไหนแล้วเซทเป็นยังไง
ผมว่าจะเห็นภาพเองแหละว่าอะไรใช้แล้วค่อนข้างดีอะไรเฉยๆ
อย่างที่ผมบอกจริงๆแล้วศึกษาไปลึกๆก็ย่อยมาเหลือไม่เกิน 40 บรรทัดจบ 5555 เน้นเอาแต่แก่นๆของมันครับรายละเอียดลึกๆบางอย่างรู้หรือไม่รู้ผลลัพธ์ก็ไม่ค่อยแตกต่างหรอกครับ คนเล่นกราฟหลายคนดูเป็นทุกเครื่องมือ สุดท้ายแล้วยังไงครับ เหลือดูจริงๆไม่กี่ตัวไม่ใช่ว่าเขาดูไม่เป็นแต่เขารู้แล้วว่าอะไรตรงกับจริต
และใช้แค่ไหนก็พอแล้วในตลาด (เซียนกราฟเขาบอกผมมางี้)

ส่วนเรื่องที่คุณเอกโพสเรื่องไม่น่าจะเกิดวิกฤติก็มีเหตุผลดีครับ
แต่สำหรับผมคงไม่คิดว่าเกิดไม่เกิดเพราะว่าถ้ามันเกิดเดี่ยวมันก็มีเครื่องมือที่เราใช้ alert มาให้เรารู้เองเสพข่าวมากปวดหัวใช่น้อย(แซวเล่นภาษาคนรู้จักกันนะคุณเอก อิอิ)

มีใครอยากเรียน fundflow analysis บ้าง

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 03, 2010 10:34 am
โดย ake3004
no problem kab hong.pls share as much idea if u can, so we can get more view kab :D

more info from newspaper, I get info that service sector is only 6-7% of GDP.

GDP in q2 may not be down gor dai as export goods about 70%.IMO na kab.

anyone has more idea pls share freely kab.