กราบสวัสดีปีใหม่ปี 2565 พี่น้องชาวสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่าทุกท่าน กราบสวัสดีอาจารย์ ดร.นิเวศน์ ดร.ไพบูลย์ พี่ปรัชญา พี่ครรชิต ลุงขวด เฮียคลายเครียด พี่หมอ jfk พี่กะละมัง พี่พี พี่วัฒน์ พี่หมอพงศ์ศักดิ์ พี่หลิน พี่หนิง พี่กุ๊ก พี่หมอสามัญชน พี่พรรณ พี่ไก่ พี่มน พี่บู พี่วิบูลย์ พี่นัน พี่ตี้ พี่จรัญ พี่แมว พี่สุบรรณ พี่บัวดิน หมอหนึ่ง พี่ WEB พี่ฉัตร พี่ชาย พีเจ๋ง พี่ประชา พี่นริศ พี่โดม พี่พอใจ พี่นุช พี่อมร พี่วรรณ พี่หน่อง พี่เล็ก พี่นา พี่ ๆ น้องๆ ชาวไทยวีไอทุกคน ขอคุณพระศรีรัตนตรัย คุ้มครองให้ทุกท่านปลอดภัย มีความสุขกาย สบายใจ ตลอดปี ตลอดไปครับ
ปี 2564 ย่างเข้าสู่ปีที่สอง ของวิกฤติโรคโควิด ถึงแม้จะยังไม่สามารถขจัดโรคภัยนี้ให้หมดไปได้ แต่สถานการณ์ทั่วโลกโดยรวมก็ดีขึ้น เพราะโลกเริ่มรู้จักวิธีรับมือ มีเครื่องไม้เครื่องมือ ยารักษา วัคซีน ดีกว่าปีก่อนหน้า ในขณะที่ตัวเชื้อโรคก็ปรับตัวเองให้มีความสามารถในการอยู่รอดมากขึ้น นั่นคือติดต่อสู่ host ได้ง่าย แต่ไม่ทำให้ host ตาย นั่นทำให้เชื้อมีโอกาสที่จะแพร่พันธ์ได้มากกว่าเดิม สภาวะตลาดหุ้นก็คล้ายๆกัน ตลาดหุ้นไทยทำจุดต่ำสุดในช่วงต้นปี และค่อยปรับตัวขึ้นสูงแบบซิกแซก ดัชนี set ปิดสิ้นปีที่ 1,657.62 จุด เพิ่มจาก 1,449.35 จุดในปี 2563 นั่นคือดัชนีเพิ่มขึ้น 14.37 % เมื่อพิจารณาดัชนี Set TRI ซึ่งรวมเงินปันผลเข้าไปด้วย ดัชนีปิดที่ 11,365.88 จุด จาก 9,659.25 จุด หรือตลาดหุ้นไทยปี 2564 ให้ผลตอบแทน
17.67 %
ทั้งปี 2564 มีหุ้น IPO เข้าตลาดประมาณ 41 บริษัท โดยบริษัทขนาดใหญ่ที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ “
ตื่นไอพีโอ” ได้แก่ ปตท.ค้าปลีกหรือ
OR และเงินติดล้อหรือ
TIDLOR ซึ่งเปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยมีสิทธิ์ได้รับการจัดสรรหุ้นอย่างทั่วถึง มูลค่าการระดมทุนผ่านการ IPO ประมาณ 1.37 แสนล้าน เป็นรองแค่อินโดนีเซียที่สูงกว่าในภูมิภาคอาเซียน มูลค่าการซื้อขายต่อวันในตลาดหุ้นไทย
93,845 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งน่าจะสูงสุดตลอดกาล และสูงสุดในอาเซียนติดต่อกันหลายปี โดยกลุ่มนักลงทุนที่ขายสุทธิได้แก่ นักลงทุนต่างชาติ ปีนี้ขายอีกกว่า 48,6000 ล้านบาท โดยขายต่อเนื่องมาหลายปี น่าจะเกิดจากมูลค่าหุ้นไทยที่ไม่ถูก การเติบโตของผลกำไรที่ต่ำ ในขณะที่มีทางเลือกลงทุนในประเทศอื่นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า อีกกลุ่มที่ขายออกสุทธิคือนักลงทุนสถาบัน ประมาณ
77,000 ล้านบาท น่าจะเกิดจาก เงินลงทุนใหม่ลดลงมาก เพราะกองทุนประเภท SSF ได้รับความนิยมจากประชาชนไม่มาก ประกอบกับประชาชนบางส่วนซื้อกองทุนที่ไปลงทุนต่างประเทศ ทำให้กองทุนต้องขายเงินลงทุนเดิมในตลาดหุ้นไทยออกมา และจาก 2 สาเหตุข้างต้น ทำให้อิทธิพลชี้นำของนักลงทุนสถาบันในประเทศเริ่มลดลง โดยมูลค่าการซื้อขายของกองทุนลดลงจากเกือบๆ 10% ก่อนหน้า เหลือแค่ประมาณ 6% กว่าๆ ในปี 2564
ทั้งตลาดหุ้นไทย รวม SET+ MAI มีบริษัทจดทะเบียนประมาณ 776 บริษัท มีมูลค่าตลาดรวมประมาณ
20 ล้านล้าน มีนักลงทุนเปิดบัญชีซื้อขายหุ้น 2.129 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ 1.506 ล้านบัญชี ค่อนข้างมาก การเคลื่อนไหวของราคาหุ้น มีหุ้นที่ราคาลดลงประมาณ 95 บริษัท ส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่ถูกปั่นราคาขึ้นไปมากในปี 2563 เช่น หุ้นวัฏจักรบางกลุ่ม หุ้นโรงไฟฟ้าขนาดกลางหลายตัว ส่วนหุ้นที่ Mkt ใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นคือ
PTT มีราคาลดลงประมาณ 10% .. หุ้นที่นอกเหนือจาก 95 บริษัทข้างต้น ล้วนราคาเพิ่มสูงขึ้นทั้งสิ้น ไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะหุ้นขนาดเล็ก ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้น MAI เพิ่มถึง 73% ซึ่งน่าจะติดอันดับดัชนีตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในโลก !
สำหรับตลาดหุ้นต่างประเทศ เกือบทุกประเทศในโลกให้ผลตอบแทนที่เป็นบวก โดยในเอเชีย ตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดคือตลาดเวียดนามที่
35.73 % รองลงมาเป็นตลาดอินเดียและไต้หวัน ส่วนตลาดที่แย่ที่สุดคือดัชนีฮั่งเส็งของฮ่องกง ซึ่งคำนวณจากหุ้น 64 ตัว ให้ผลตอบแทนติดลบ
13.81% โดยปิดที่ระดับ 23,397.67 จุด ในขณะที่ดัชนีหุ้นจีน CSI 300 ให้ผลตอบแทนติดลบ 5.2 % สาเหตุจากการแทรกแซงธุรกิจจากรัฐบาลจีนอย่างหนักหน่วงในปีที่ผ่านมา ส่วนตลาดยุโรป ให้ผลตอบแทนเป็นบวกทุกประเทศ มากบ้างน้อยบ้าง และตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างตลาดหุ้นอเมริกา หลังจากให้ผลตอบแทนที่ดีต่อเนื่องมาหลายปี ปีนี้ยังคงสามารถสร้างจุดสูงสุดขึ้นใหม่ ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้นอีก
26.89% ส่วนดัชนีหุ้นเทคโนโลยี แนสแด็ค ให้ผลตอบแทน 21.39%
พอร์ตส่วนตัวผมยังทำผลตอบแทนได้น่าพอใจ เป็นอีกปีที่ทำได้ดีกว่าดัชนี SET TRI ในตลาดหุ้นไทย หุ้นที่สร้างผลตอบแทนได้ดีคือ
หุ้นวัฏจักร (ถ่านหิน) หุ้นเติบโต และหุ้นขนาดเล็กแทบทุกตัว ส่วนตลาดหุ้นต่างประเทศที่สร้างผลตอบแทนได้ดีมากคือตลาดเวียดนาม ตลาดอเมริกา (หุ้น FAANG บางตัว) ขณะที่ตลาดหุ้นฮ่องกงให้ผล
ขาดทุน โดยดัชนีจากระดับที่ผมเริ่มเข้าไปลงทุน ลดลงเกือบ 20% ทำให้หุ้นบางตัวที่เข้าซื้อขาดทุนอย่างหนัก แต่การกระจายถือหุ้นหลายตัว และหุ้นบางตัวมีกำไรเยอะ ทำให้ชดเชยกันได้บางส่วน ประกอบกับเงินบาทที่อ่อนค่าประมาณ 10% ได้ช่วยให้โดยรวม ไม่ทำให้ขาดทุนมาก ส่วนตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ค่อนข้างทรงๆ
ปัจจุบันถือหุ้นรวมประมาณ 90 บริษัท เป็นบริษัทที่ฮ่องกงเป็นส่วนใหญ่คือ 60 บริษัท ในขณะที่ตลาดไทยและเวียดนาม ทยอยลดจำนวนหุ้นลง และเน้นหุ้นขนาดใหญ่ และกลางมากขึ้น ณ.สิ้นปี 2564 น้ำหนักลงทุนในตลาดหุ้นไทย
46% และต่างประเทศ
54% โดยตลาดต่างประเทศให้น้ำหนักตลาดฮ่องกงสูงสุด ที่ประมาณ
34%
ปรับพอร์ตเชิงกลยุทธ์ ปีที่ผ่านมา ผมได้ตัดสินใจสำคัญบางอย่างเกี่ยวกับการลงทุน นั่นคือการเพิ่มสัดส่วนลงทุนต่างประเทศอย่างมีนัยยะสำคัญ ด้วยแรงจูงใจที่ว่า หุ้นไทยที่น่าสนใจหาได้ยากมากขึ้น ทั้งปริมาณและคุณภาพ ประกอบกับการได้รับคำแนะนำให้ศึกษาตลาดหุ้นฮ่องกง ที่ราคาหุ้นถูกกว่าตลาดไทยมาก บริษัทที่ลิสต์ในฮ่องกงส่วนใหญ่คือบริษัทที่ทำธุรกิจใน
ประเทศจีน ราคาหุ้นที่ถูกมาก เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นไทย เป็นเรื่องที่ผมยังไม่เข้าใจนัก นอกจากข่าวที่รัฐบาลจีนเข้ามาแทรกแซงธุรกิจ และปัญหาอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้นผมจึงลงทุน ลงแรง ยอมเหนื่อยอีกครั้ง ศึกษาหุ้นรายบริษัทในตลาดต่างประเทศที่ไม่คุ้นเคย ทั้งที่เดิมเคยตั้งใจว่าจะลงทุนใน ETF เท่านั้น แน่นอนว่าในอนาคต
ตลาดหุ้นฮ่องกงน่าจะเป็นตลาดหลักที่ให้น้ำหนักลงทุน รองจากตลาดหุ้นไทย ถึงแม้ว่าการเริ่มต้นในปีที่ผ่านมาจะไม่ดีนัก แต่ผมเชื่อว่าด้วย Value ระดับนี้ โอกาสที่จะขาดทุนในระยะยาวแทบไม่มี และอาจมีโชคดีจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนที่ควรจะแข็งค่าเมื่อเปรียบเทียบกับเงินบาทในระยะยาวด้วย
หุ้นซอมบี้คืนชีพ หุ้นซอมบี้คือหุ้นที่ฆ่าไม่ตาย บางครั้งเกือบๆจะตาย แต่ก็ฟื้นกลับมาได้ทุกครั้ง ในตลาดหุ้น หุ้นซอมบี้คือธุรกิจที่ไม่อนาคต ขาดทุนซ้ำซาก แข่งขันไม่ได้ หลายบริษัทไม่มีเจ้าของที่แท้จริง เพราะคงไม่มีใครอยากถือหุ้นธุรกิจที่ไม่ดี หลายบริษัทถูก
มือดีกว้านซื้อหุ้น ในระดับที่ไม่ถูกบังคับทำ tender offer แต่สามารถควบคุมการบริหารได้ เพราะผู้ถือหุ้นรายอื่นกระจายตัว รวบรวมเสียงไม่ได้ หลังจากนั้นจะถูกเข้าไปสูบเงินออกจากบริษัท ผ่านรายจ่ายต่างๆ อาทิ เอาเงินไปซื้อสินทรัพย์ในราคาแพงเกินจริง (แน่นอนว่าน่าจะมีเงินทอน) ค่าตอบแทนผู้บริหารที่สูงเกินควร ในช่วงตลาดหุ้นปกติหรือซบเซา หุ้นเหล่านี้จะแสดงผลขาดทุนตลอดเวลา ทั้งปีทั้งชาติ จวนเจียนจะถูกพักการซื้อขายรอมร่อ แต่เมื่อได้เวลา ฟ้าเปิดเมื่อไหร่ ตลาดหุ้นกลับมาคึกคัก หุ้นตัวเล็กๆ มีแรงเก็งกำไรสูง หุ้นเหล่านี้จะถูกดันราคาขึ้นมหาศาล ตามด้วยสูตรสำเร็จ จะขยายไปทำอย่างโน้นอย่างนี้ โดยเฉพาะธุรกิจที่กำลังร้อนแรงในขณะนั้น [ปี 2564 ต้อง
Hemp - Crypto - EV เท่านั้น] แต่นักลงทุนต้องเพิ่มเงินนะจ๊ะ
ผ่านการอัดข่าวดีจากผู้บริหาร เมื่อนักลงทุนเคลิบเคลิ้มกับ story จนหลงเพิ่มทุน บริษัทก็รอดตาย กระบวนการสูบเงินของผู้บริหารออกจากบริษัท (อย่างถูกกฎหมาย) ก็จะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง จนกว่าเงินจะเริ่มหมด กระบวนการก็จะย้อนกลับไปใหม่ เป็นวงจรอุบาทที่เกาะกินตลาดหุ้นไทยมาช้านาน ตลาดทุนแทนที่จะเป็นแหล่งระดมทุนให้กับธุรกิจที่สร้าง productivity สูงสุด กลับไหลเข้าสู่มือผู้บริหารที่ไม่ซื่อสัตย์ เราจะโทษใคร นักลงทุนที่ไม่รู้เท่าทัน ผู้บริหารเจ้าเล่ห์ หรือ ตำรวจที่ไม่ทำหน้าที่ ?
พายุ Cryptocurrency หรือเงินดิจิตอล เป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ประมาณ 12 ปีที่แล้ว โดยมี
Bitcoin เป็นเงินสกุลแรก เนื่องจากเป็นของใหม่ ยังไม่มีคนเข้าใจมากนัก ทำให้ความนิยมซื้อ - ขาย ค่อนข้างผันผวน บางช่วงได้รับความนิยม บางช่วงซบเซาจนแทบสาบสูญ แต่ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เงินดิจิตอลเหล่านี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมหาศาล อานิสงค์จากเริ่มมีบุคคลที่มีชื่อเสียงเข้ามาลงทุน การเกิดขึ้นของเงินสกุลใหม่ๆอย่างมากมาย รวมถึงเม็ดเงินใหม่จากนักเก็งกำไรหนุ่มสาวทั่วโลกที่หลั่งไหลเข้ามาซื้อขาย ทำให้เงินหลายสกุลให้ผลตอบแทนหลายเท่าตัว ยิ่งทำให้ทำให้เกิดปรากฏการณ์
Crypto Fever ในสังคมไทย ภาพเด็กมัธยมต้น โพสต์รูปโชว์กำไรที่ทำได้จากการซื้อขายคริปโต เด็กๆ รบเร้าขอเงินพ่อแม่ 500 บาท เพื่อไปซื้อคริปโตตามเพื่อนๆ
... ผมไม่รู้จริงๆ ว่าตอนจบของเรื่องราวเหล่านี้จะเป็นอย่างไร ตลาดคริปโตอาจเติบโตมากกว่านี้ ได้รับความนิยมมากกว่านี้ หรืออีกทาง อาจจะหายสาบสูญไปเลย เป็นไปได้ทั้งนั้น แต่จากประสบการณ์ ในตลาดหุ้นก็เคยมีปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ การแห่ลงทุนในธุรกิจต่างๆตามกระแส ที่ส่วนใหญ่ มาแล้วก็ไป เกิดแล้วดับในเวลาอันรวดเร็ว ในฐานะนักลงทุนที่ลงทุนมานานพอสมควร อยากให้คนที่จะลงทุน หรือคนที่ลงทุนอยู่แล้วในตลาดคริปโต ตอบคำถามตัวเองให้ได้ว่า ท่านได้เข้าใจไหม คริปโตที่ท่านลงทุนมีอรรถประโยชน์อย่างไร มีมูลค่าได้อย่างไร มีมูลค่าเท่าไหร่ อนาคตจะเป็นอย่างไร เก็บรักษาอย่างไร หากหาย โดนโกง ท่านจะไปเอาคืนหรือร้องเรียนเอาจากใคร หากท่านตอบคำถามเหล่านี้ได้ อย่างมีเหตุ มีผล ท่านน่าจะได้ไปต่อ แต่ถ้าไม่ คริปโตเหล่านี้ก็ไม่ต่างจาก
ฝิ่นดิจิตอล ที่ทำให้ผู้คนหลงเมามัวในการเก็งกำไร ภายใต้บ่อนการพนันที่ถูกกฎหมาย
กัญชาพาฝัน หนึ่งใน story ร้อนแรง ที่มีการใช้เป็นประเด็นผลักดันราคาหุ้นให้ร้อนแรงในปี 2564 คือนโยบายการทำกัญชา (รวมถึงพืชกระท่อม) ให้ถูกกฎหมาย ถึงแม้วันนี้ยังไม่สามารถค้าขายพืชกัญชาอย่างถูกกฎหมายได้ 100% แต่ทิศทางก็เป็นแนวทางผ่อนคลายการซื้อ- การขาย มากขึ้นเรื่อยๆ.. จากของที่ผิด กลายเป็นของที่ถูก ของที่อยู่ใต้ดิน กลับมาอยู่บนดิน ความตื่นเต้นก็บังเกิด ข่าวบริษัทจดทะเบียนหลายสิบรายแห่ประกาศข่าวจะมาทำธุรกิจกัญชา ทั้งที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิม หรือแทบไม่เกี่ยวข้องเลย บางบริษัทเคยทำยางรถจักรยาน ผลิตไฟฟ้า ก็จะมาทำกัญชา บางบริษัทถึงกับลงทุนเปลี่ยนชื่อบริษัทให้ฟังดูคล้ายกัญชา การประกาศข่าวดี ราคาหุ้นที่ร้อนแรง เป็นส่วนผสมลงตัว ที่ทำให้นักลงทุนเคลิบเคลิ้มราวกับได้เสพกัญชาจริงๆ...แต่เอ..เดี๋ยวก่อน
ฟังดูเหมือนคุ้นๆไหม หลายปีก่อนในตลาดหุ้น มีกระแสหลายสิบบริษัทแห่มาทำธุรกิจพลังงานทดแทน ทุกบริษัทออกข่าว อย่างโน้นอย่างนี้ จะได้กำลังการผลิตกี่ MW จนนักลงทุนหลงเชื่อ ไล่ซื้อหุ้นกันอย่างร้อนแรง กว่าจะได้สติ ราคาหุ้นก็สลิงขาดลงมาแล้ว ก่อนความจริงปรากฎว่า รวมกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ทุกบริษัทให้ข่าวรวมกันจำนวนหลายพัน MW ทั้งที่สัญญาจริงที่รัฐบาลเปิดให้ประมูลแค่หลักร้อย MW สรุปนั่นคือบริษัทเหล่านี้
ให้ข่าวเกินจริง เพื่อผลักดันราคาหุ้น กว่าความจริงจะปรากฏ คนให้ข่าวก็โกยกำไรก้อนโตไปแล้ว สตอรี่กัญชาก็เช่นกัน หากเราเชื่อว่าคนไทยจะกินกัญชาแทนผัก จะมีกัญชาในแทบทุกผลิตภัณฑ์ที่ขาย ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ผมอาจมองโลกในแง่ร้ายมากเกินไป
ค่าต๋งตลาดหุ้น ปลายปี 2564 มีข่าวว่ารัฐบาลนำโดย รมว.การคลัง เสนอแนวคิดจัดเก็บภาษีการซื้อขายหุ้นอีกครั้ง หลังจากได้รับการยกเว้นการจัดเก็บมายาวนาน เบื้องต้นเสนอจัดเก็บที่ 0.1 % ของมูลค่าการขายที่เกิน 1 ลบ.ต่อเดือนเพียงขาเดียว (มูลค่าขาย 1 ล้านเสียภาษี 1 พันบาท ขาซื้อไม่ต้องเสีย) แน่นอนว่าเสียงสะท้อนจากสังคมนักลงทุนย่อมไม่เห็น นัยว่าทำอย่างนี้ ไม่ส่งเสริมการลงทุน จะทำให้มูลค่าการซื้อขายลดลง จะทำให้นักเก็งกำไรหนีจากตลาดหุ้นไปซื้อขายในตลาดคริปโตมากขึ้น [ ซึ่งก็น่าจะจริง หากกฎหมายมีผลบังคับใช้] ในฐานะที่เป็นนักลงทุนรายหนึ่ง ผมย่อมไม่เห็นด้วย แต่ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ผมกลับเห็นด้วยกับแนวคิดนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่า นักลงทุนในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ที่
ทุกคนมีหน้าที่ต้องเสียภาษี ให้รัฐบาลนำเงินไปพัฒนาประเทศ สร้างสาธารณูปโภคต่างๆ หรือใช้หนี้เงินที่กู้มารับมือกับวิกฤติโควิด ..ที่ผ่านมานักลงทุนเสียภาษีทางอ้อมผ่าน vat ที่เก็บจากค่าธรรมเนียมซื้อขาย หรือเสียภาษีหัก ณ.ที่จ่ายจากเงินปันผล แต่ผมคิดว่าเป็นการเสียที่น้อยเกินไป การจัดเก็บค่าธรรมเนียม ยังทำให้ต้นทุนเจ้ามือหุ้น มีต้นทุนการปั่นหุ้นสูงขึ้น ซึ่งจะลดการเก็งกำไร ที่น่าจะมากเกินไปในปีที่ผ่านมา ผมคาดหวังเพียงว่าภาษีที่ถูกเก็บไป จะถูกนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยต่อไป
ม้ายูนิคอร์น 3 ตัว หลังจากปล่อยให้ชาติเพื่อนบ้านอาเซียนล้ำหน้ามาหลายปี ในที่สุด สตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์น ( มูลค่าบริษัทเกิน 1 พันบ้านเหรียญสหรัฐ) ก็ถือกำเนิดขึ้นในประเทศไทย ไม่ใช่แค่ตัวเดียว แต่เกิดพร้อมๆ กันถึง 3 ตัว ได้แก่
แพลช เอ็กซ์เพรส -ธุรกิจขนส่งโลจิสติกส์, แอสเซนด์ มันนี่- ธุรกิจการเงินดิจิตอล และ บิทคับ ออนไลน์ – ธุรกิจกระดานซื้อขาย Cryptocurrency (นอกจากนั้นยังมียูนิคอร์นที่มีคนไทยร่วมก่อตั้งในอินโดนีเซียคือ
Ajaib ทำธุรกิจแพลทฟอร์มซื้อขายหุ้น ) เป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับประเทศไทย ที่จะมีธุรกิจดิจิตอลใหม่ๆ ที่สามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว และจะช่วยให้คุณภาพชีวิตของคนไทยดีขึ้น และยังเป็นแบบอย่าง กำลังใจ ให้กับสตาร์ทอัพรายใหม่ๆ ให้มีแรงใจสร้างธุรกิจต่อไป ถึงแม้ว่าสถานะสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นในวันนี้ ไม่ได้การันตีว่าธุรกิจจะประสบความสำเร็จในระยะยาวก็ตาม
X ขึ้นยานแม่ ปี 2564 มีอีกปรากฏการณ์ที่เด่นชัดในตลาดทุนนั่นคือกระแสการเปลี่ยนชื่อบริษัทให้มี
ตัวเอ็กซ์ นัยว่าเพื่อเน้นรุกธุรกิจดิจิตอลในอนาคต รับมือกับการดิสรัปชั่น ที่จะมาเปลี่ยนแปลงธุรกิจ หรือเพื่อล้างภาพเน่าๆ ของบริษัทในอดีตออกไป ซึ่งก็ได้ผลจริง แทบทุกบริษัทที่เปลี่ยนชื่อและเติมตัวเอ็กซ์ จะตามมาด้วยราคาหุ้นที่ร้อนแรง บริษัทใดอยากให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น เพียงแค่เปลี่ยนชื่อและเติมตัวเอ็กซ์เข้าไป นั่นเพราะตัวเอ็กซ์เป็นสัญลักษณ์ของ
ความเท่ห์ ความทันสมัย น่าค้นหา.. ในระยะสั้นการทำเช่นนี้ อาจจะมีผลผลักดันราคาหุ้นได้จริง แต่ในระยะยาว นักลงทุนย่อมรู้ดีว่า ราคาหุ้นจะขึ้นหรือลงขึ้นอยู่กับว่า ธุรกิจจะสามารถแข่งขันและสร้างผลกำไรให้กับผู้ถือหุ้นได้มากน้อยแค่ไหน
เราเลือกหุ้น หุ้นมันก็เลือกเรา ทุกบริษัทล้วนประชันขันแข่ง แต่งหน้าทาปาก เพื่อให้เราเลือกมัน แต่สุดท้ายบริษัทจะเป็นเงาะซ่อนรูป หรือสวยแต่รูปจูบไม่หอม การวิเคราะห์อย่างรอบคอบ ถี่ถ้วน มีเหตุมีผลเท่านั้น ที่จะให้คำตอบได้
เจอ จ่าย จบเห่ ปีที่ผ่านมา เป็นปีที่ไม่ปกติของแวดวงบริษัท
ประกันภัย บางบริษัทประกันภัยถูกปิดกิจการ บางบริษัทขาดทุนหนักต้องเพิ่มทุน สาเหตุเพราะเสียหายหนักจากประกันภัยโควิด ทั้งที่ปีก่อนหน้าสร้างกำไรมหาศาล จากกรมธรรม์ ชนิดเดียวกัน เรื่องราวอย่างนี้สอนอะไรเรา การละเลยการบริหารความเสี่ยง การมองแง่ดีมากเกินไป จุดอ่อนเพียงนิดเดียวก็ทำให้เกิดหายนะได้ ดังส้นเท้าของ
Achilles ..นักลงทุนที่อยู่รอดในระยะยาวได้ ต้องบาลานซ์ทั้งผลตอบแทนและความเสี่ยง จะมีประโยชน์อะไร หากบางปีเรากำไรมหาศาล หรือกระทั่งกำไรจนคนอื่นอิจฉาติดต่อกันหลายปี แต่พลาดเพียงครั้งเดียว เอาถึงตาย การยอมรับผลตอบแทนที่น้อยลง ย่อมดีกว่าการกลับไปเริ่มต้นใหม่ มิใช่หรือ ?
ถิ่นกาขาว ผู้ดีเดินตรอกขี้ครอกเดินถนน กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย - น้ำเต่าน้อยกลับถอยจม เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ท่านคิดว่าสุภาษิตใดเหมาะสุด ที่จะใช้อธิบายตลาดหุ้นไทยในปี 2564 ?.. ตลาดทุนที่ควรจะมีบทบาทจัดสรรเงินทุนให้กับธุรกิจที่ดีที่สุด กลับไหลไปสู่บริษัทที่น่ากังขา เมื่อหันไปดู
20 อันดับแรก หุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในตลาด แทบไม่มีตัวใด ที่ราคาขึ้นมาแบบปกติ ตามพื้นฐานที่ควรจะเป็น เราอยากเห็นตลาดหุ้นเราเป็นเช่นนี้หรือ
การเก็งกำไรไม่ใช่สิ่งผิดหรือเลวร้าย แต่อะไรที่สุดโต่งเกินไป
มักจบไม่สวย หากสังเกตสักนิด หุ้นที่ขาดทุนมากสุดของทุกปี ก็คือหุ้นที่เคยมีการเก็งกำไรสุงสุดในปีก่อนหน้านั่นเอง .. ปี 64 นักลงทุนได้เห็นทั้งการปั่นหุ้นที่ไม่พื้นฐานรองรับ หรือหุ้นที่พื้นฐานธรรมดาๆ ให้ดูเหมือนเป็นหุ้นที่ดีมาก พร้อมกับราคาที่ขึ้นไปหลายเท่าตัว ก่อนประกาศเพิ่มทุนที่ราคาต่ำกว่าตลาด แต่สูงกว่าราคาพื้นฐานมาก แล้วได้เงินก้อนโตจากนักลงทุน เรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นวิธีการเดิมๆ ที่ยังได้ผลดี ไม่เคยล้าสมัย
ปีที่ผ่านมาเช่นกัน น่าจะเป็นปีที่ตลาดหลักทรัพย์ใช้มาตรการการสกัดการเก็งกำไร มากที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหุ้นมา แต่ดูเหมือนมาตรการเหล่านี้แทบไม่ระคายผิว หลายกรณีเมื่อประกาศ ราคาหุ้นกลับขึ้นเย้ย นั่นแสดงว่าอาวุธหรือเครื่องมือของทางการใช้ไม่ได้ผลแล้ว แม้จะมีข่าวการปรับปรุงให้เข้มข้นขึ้น แต่นั่นจะทันกับโจรหรือเปล่า เมื่อโจรไม่กลัวตำรวจ มี
DELTA ได้ ไม่โดนจับ ก็ย่อมมี
JTS ...เมื่อไม่มีใครคุ้มหัวเราได้ เรานักลงทุน ก็ต้องปกป้องตัวเอง อย่าเห็นผิดเป็นชอบ แยกให้ออก ทองหรือกรวด อย่าให้การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นบิดเบือนให้เราเขว
เล่นขายของกันเอง ปี 2564 มีปรากฏการณ์เด่นชัดในแวดวงบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยนั่นคือ การจับคู่ซื้อขายหุ้นกันเองของบริษัทจดทะเบียน โดยแทบไม่ได้มีการสร้างธุรกิจใหม่ๆ ส่วนใหญ่มักซื้อขายในสัดส่วนที่ไม่ถูกบังคับให้ต้องทำ tender offer และซื้อขายในระดับราคาสูงๆ จนน่าสงสัยว่าเบื้องหลังมีผลประโยชน์ตอบแทนกันหรือไม่ หลายบริษัทเอาบริษัทลูกมา spin off เพื่อหาเงินจากนักลงทุนอีกรอบ หรือบางบริษัทก็เอาธุรกิจเดิมมาทำเป็น PO หาเงินอีกครั้ง การจับคู่ซื้อขายกันเองเช่นนี้ อดคิดไม่ได้ว่าตลาดหุ้นไทยอยู่ในสภาวะที่ตีบตัน เงินล้น แต่ไม่มีของใหม่ๆ ก็ต้องหมุนของเก่า มาซื้อๆขายๆ ไป
อนึ่ง ปี 2564 ที่ผ่านมาเป็นปีที่น่า
“ ใจหาย ” สำหรับวงการนักลงทุนวีไอ เมื่อเพื่อนของเราบางท่านได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ โดยไม่ทันได้ร่ำลา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ทราบมาว่า 4-5 ปี ที่ผ่านมา มีสุภาพบุรุษนักลงทุนวีไอได้จากเราไปถึง 4-5 คน ด้วยเหตุผลต่างๆ นานา หลายคนผมรู้จักดี บางคนรู้จักผิวเผิน แต่ทุกคนล้วนอายุน้อยกว่าผมทั้งสิ้น ความเกิดแก่เจ็บตาย ทุกคนหลีกไม่พ้น หนีไม่ได้ แต่การจากไป ก่อนกาลอันควร เป็นเรื่องที่สะเทือนใจ ..ขอให้น้องๆ ทุกท่านได้เจอกับภพภูมิที่ดี หากชาติหน้ามีจริง เราจะได้เจอกันอีกครั้ง
หากมีอะไรที่เราจะเรียนรู้ได้บ้าง ในฐานะนักลงทุน เมื่อเรายังหนุ่มสาว คงไม่มีใครคาดคิด ว่าตัวเราจะเป็นอะไรในวันนี้ แต่อย่างที่เราเห็น มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป ในเมื่อเราหลีกเลี่ยงไม่พ้น และไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ สิ่งที่เราพอจะทำได้ คือการเตรียมตัว ตายก่อนตาย เพื่อที่ว่าเราจะจากไปอย่างสบายใจ และไม่ทำให้คนที่อยู่ข้างหลังเดือดร้อน.. อย่างน้อยๆ คนในครอบครัวควรรู้ว่าเมื่อถึงเวลานั้น จะต้องทำอย่างไรกับพอร์ตการลงทุน ทำอย่างไรกับสินทรัพย์นั้น มีสินทรัพย์อะไรที่เราซ่อนเร้นไว้หรือเปล่า มีรหัสอะไรที่จำเป็นต่อการเข้าถึงสินทรัพย์นั้นๆหรือไม่ วันนี้เราได้เตรียมตัวกับ “
วันนั้น” หรือยัง ?
“เมื่อเราสุขสบาย ความปรารถนามีหมื่นอย่าง แต่เมื่อป่วยไข้ ความปรารถนาเหลืออย่างเดียว”
กฤษฎา บุญเรือง
(กระทู้นี้ล็อค อ่านได้เพียงอย่างเดียวครับ)