หุ้น 2 ตัวนี้ ไม่มีคำว่าสาย..หากคิดจะซื้อ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
หุ้น 2 ตัวนี้ ไม่มีคำว่าสาย..หากคิดจะซื้อ
โพสต์ที่ 31
4.ผู้ถือหุ้นใหญ่ กลุ่มเบอร์ล่าเป็นกลุ่มอุตสหหกรรมอันดับ 2 ของอินเดีย ผู้สืบทอดตระกูลเบอร์ล่า ติดอันดับรวยที่สุดอันดับที่ 3 หรือ 4 ของอินเดียครับ รองจากเจ้าพ่อเหล็กโลกคุณมิตตัล โดยมีกลุ่มบริษัท 2 แห่งคือ India Rayon และ Grazim Industries ซึ่งเข้าใจว่าจดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นทั้งคู่ โดย India Rayon รับผิดชอบด้านสิ่งทอ และกราซิม รับผิดชอบกิจการด้านอุตสาหกรรมอื่นๆ ดังนั้นกลุ่มเบอร์ล่าไม่ใช่กลุ่มเล็กๆ นะครับ และดูจะโปร่งใสพอสมควร เพราะโดนกำกับจากกฎเกณฑ์ตลาดหุ้น
นอกเหนือจากทั้งสองบริษัทที่จดทะเบียนแล้ว มีอีก 2 บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นคือ TR TCB ในตลาดหุ้นไทย นั่นเอง
แต่เนื่องจากลุ่มนี้เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง และมีความอนุรักษ์นิยมมาก ดังนั้นการดำเนินงานมักมองประโยชน์ภาพรวมของกลุ่ม ทำให้ไม่ได้มองผลประโยชน์ของผู้ถืนมากนัก เงินสดที่ทำได้ ก็มักจะนำไปลงทุนต่อ ไม่นำมาปันผล แม้จะดีต่อกิจการในระยะยาว แต่ผู้ถือหุ้นอย่างเราๆ ท่านๆ คงไม่ชอบนัก
ประกอบกับ TR มีปริมาณหุ้นหมุนเวียนค่อนข้างต่ำ หุ้นส่วนใหญ่อยู่ในมือผู้ถือหุ้นใหญ่ ดังนั้นอำนาจการบริหารจะตกอยู่ในมือผู้ถือหุ้นกลุ่มเดียว นี่อาจจะเป็นความเสี่ยงเช่นกัน หากมีรายการกับบริษัทที่เกี่ยวข้องกันบ่อยๆ
แต่ข้อดีของการบริหารงานแบบกลุ่มอุตสาหกรรม ก็มีข้อดีมากเช่นกัน คือผู้บริหารงานเป็นมือปืนรับจ้าง ไม่ใช่ผู้ถือหุ้นใหญ่บริหาร ดังนั้นไม่มีใครที่จะเป็นตัวตายตัวแทนของบริษัท บางบริษัทผู้ถือหุ้นใหญ่เก่งมากๆ แต่หากเป็นอะไรไปที่ทำให้บริหารงานไม่ได้ บริษัทก็แทบล่มสลายไปเลย ตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทยคือ STA GROUP (ไม่ใช่ศรีตรังนะครับ) คนที่ลงทุนมาสัก 4-5 ปี คงยังจำกันไป และก็ยังมีอีกหลายบริษัทที่เราเห็นอยู่ในตลาดหุ้นทุกวันนี้ เช่น OISHI WORK ยกมาเป็นตัวอย่างนะครับ แต่สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นกับ TR แน่นอนครับ
นอกเหนือจากทั้งสองบริษัทที่จดทะเบียนแล้ว มีอีก 2 บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นคือ TR TCB ในตลาดหุ้นไทย นั่นเอง
แต่เนื่องจากลุ่มนี้เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง และมีความอนุรักษ์นิยมมาก ดังนั้นการดำเนินงานมักมองประโยชน์ภาพรวมของกลุ่ม ทำให้ไม่ได้มองผลประโยชน์ของผู้ถืนมากนัก เงินสดที่ทำได้ ก็มักจะนำไปลงทุนต่อ ไม่นำมาปันผล แม้จะดีต่อกิจการในระยะยาว แต่ผู้ถือหุ้นอย่างเราๆ ท่านๆ คงไม่ชอบนัก
ประกอบกับ TR มีปริมาณหุ้นหมุนเวียนค่อนข้างต่ำ หุ้นส่วนใหญ่อยู่ในมือผู้ถือหุ้นใหญ่ ดังนั้นอำนาจการบริหารจะตกอยู่ในมือผู้ถือหุ้นกลุ่มเดียว นี่อาจจะเป็นความเสี่ยงเช่นกัน หากมีรายการกับบริษัทที่เกี่ยวข้องกันบ่อยๆ
แต่ข้อดีของการบริหารงานแบบกลุ่มอุตสาหกรรม ก็มีข้อดีมากเช่นกัน คือผู้บริหารงานเป็นมือปืนรับจ้าง ไม่ใช่ผู้ถือหุ้นใหญ่บริหาร ดังนั้นไม่มีใครที่จะเป็นตัวตายตัวแทนของบริษัท บางบริษัทผู้ถือหุ้นใหญ่เก่งมากๆ แต่หากเป็นอะไรไปที่ทำให้บริหารงานไม่ได้ บริษัทก็แทบล่มสลายไปเลย ตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทยคือ STA GROUP (ไม่ใช่ศรีตรังนะครับ) คนที่ลงทุนมาสัก 4-5 ปี คงยังจำกันไป และก็ยังมีอีกหลายบริษัทที่เราเห็นอยู่ในตลาดหุ้นทุกวันนี้ เช่น OISHI WORK ยกมาเป็นตัวอย่างนะครับ แต่สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นกับ TR แน่นอนครับ
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
หุ้น 2 ตัวนี้ ไม่มีคำว่าสาย..หากคิดจะซื้อ
โพสต์ที่ 34
ประเด็นสุดท้ายสำหรับ TR นะครับ เป็นประเด็นที่สำคัญเช่นกัน
จบแล้วจะได้พูดถึงหุ้นตัวที่ 2 ต่อไป ซึ่งเป็นหุ้นที่น่าสนใจเช่นกัน
หุ้นตัวที่ 2 ซื้อกันที่พีอีค่อนข้างสูง แต่อัตราการเติบโตของกำไรกลับสูงกว่า
5.กลุ่มบริษัทร่วมของ TR ซึ่งแต่ละบริษัทเป็นบริษัทขนาดใหญ่ บางบริษัทมียอดขายมากกว่า TR แต่ทุกบริษัท น่าจะมียอดขายแต่ละบริษัทมากกว่าพันล้านบาท หากดูที่กำไรของ TR จะเห็นได้ว่าสัดส่วนกำไรที่เกิดจากบริษัทร่วมเหล่านี้ เริ่มจะมีสัดส่วนที่มากขึ้นและจะมีมากขึ้นในอนาคต มีความเป็นไปได้เช่นกันที่กำไรเหล่านี้จะสูงกว่า กำไรที่เกิดจากบริษัทแม่ซะอีก กำไรจากบริษัทร่วมจะบันทึกกำไรตามสัดส่วนที่ถือหุ้น ดังนั้นไม่ได้เกิดกระแสเงินสดเข้ามาจริง แต่ที่เป็นกระแสเงินสดจริงๆ คือเงินปันผลจากบริษัทร่วมเหล่านั้น ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกๆ ปีเช่นกัน
ลองมาดูกันว่าบริษัทร่วมเหล่านี้มีบริษัทอะไรกันบ้าง
TCB ที่เรารู้จักกันดี TR ถือหุ้นอยู่ประมาณ 25% และรับปันผลทุกๆปี ขออนุญาตินำข้อมูล TCB ที่ผมเคยโพสต์ไว้เร็วๆนี้ครับ
นอกจากนั้น TCB ยังถือหุ้นในหลายบริษัทร่วมกับ TR อีกคือ
PT liberty textile 40%
Thai organic chemical 44%
Alexzandria arylic fiber 27.5%
ยอดขายของ TCB ปีที่ผ่านมาประมาณ 4,400 ล้านบาท กำไร 634 ล้านบาท
ปีนี้ยอดขายและกำไรน่าจะเพิ่มขึ้นอีก
จบแล้วจะได้พูดถึงหุ้นตัวที่ 2 ต่อไป ซึ่งเป็นหุ้นที่น่าสนใจเช่นกัน
หุ้นตัวที่ 2 ซื้อกันที่พีอีค่อนข้างสูง แต่อัตราการเติบโตของกำไรกลับสูงกว่า
5.กลุ่มบริษัทร่วมของ TR ซึ่งแต่ละบริษัทเป็นบริษัทขนาดใหญ่ บางบริษัทมียอดขายมากกว่า TR แต่ทุกบริษัท น่าจะมียอดขายแต่ละบริษัทมากกว่าพันล้านบาท หากดูที่กำไรของ TR จะเห็นได้ว่าสัดส่วนกำไรที่เกิดจากบริษัทร่วมเหล่านี้ เริ่มจะมีสัดส่วนที่มากขึ้นและจะมีมากขึ้นในอนาคต มีความเป็นไปได้เช่นกันที่กำไรเหล่านี้จะสูงกว่า กำไรที่เกิดจากบริษัทแม่ซะอีก กำไรจากบริษัทร่วมจะบันทึกกำไรตามสัดส่วนที่ถือหุ้น ดังนั้นไม่ได้เกิดกระแสเงินสดเข้ามาจริง แต่ที่เป็นกระแสเงินสดจริงๆ คือเงินปันผลจากบริษัทร่วมเหล่านั้น ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกๆ ปีเช่นกัน
ลองมาดูกันว่าบริษัทร่วมเหล่านี้มีบริษัทอะไรกันบ้าง
TCB ที่เรารู้จักกันดี TR ถือหุ้นอยู่ประมาณ 25% และรับปันผลทุกๆปี ขออนุญาตินำข้อมูล TCB ที่ผมเคยโพสต์ไว้เร็วๆนี้ครับ
TCB กำลังอยู่ในระหว่างเพิ่มกำลังการผลิตที่โรงงานอ่างทองอีกประมาณ 40,000 ตันทำให้เมื่อแล้วเสร็จ จะเป็นโรงงานเดี่ยวที่มีกำลังการผลิตสูงที่สุดในโลกครับ นอกจากนั้นเหลียวหนิงคาร์บอน ที่ TCB ถือหุ้นอยู่ประมาณ 70 กว่าเปอร์เซนต์ ก็กำลังอยู่ในระหว่างเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 50,000 ตันต่อปี และมีแนวโน้มน่าจะเพิ่มกำลังการผลิตอีกในอนาคต เพราะปริมาณการบริโภคผงคาร์บอนในจีน น่าจะสูงกว่าในไทยหลายเท่าตัวเอาเท่าที่ผมทราบนะครับ
คู่แข่งของกลุ่มเบอร์ล่าในตลาดโลกมีดังนี้ครับ
1.Cabot ของอเมริกา มีกำลังการผลิตรวมประมาณ 1.8 ล้านตัน
2.Degussa ของเยอรมัน มีกำลังการผลิตรวมประมาณ 1.4 ล้านตัน
3.Columbian Chemical ของอเมริกา มีกำลังการผลิต 1.1 ล้านตัน
4. หรือ5.Birla group มีกำลังการผลิตรวมประมาณ 6.1 แสนตัน แต่มีเป้าหมายจะเป็นผู้ผลิตอันดับ 1 ของโลก
อันดับถัดลงไปคือ Continental Carbon(มีกำลังการผลิตใกล้เคียงกับเบอร์ล่า), China Synthetic, Tokai Carbon ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ๆ เช่นกัน
Birla group ประกอบด้วยฐานการผลิต 4 ประเทศคือ
1.Indian Rayon มีฐานการผลิตประมาณ 3 แห่ง กำลังการผลิตรวมประมาณ 280,000 ตัน
2.TCB มีกำลังการผลิตประมาณ 160,000 ตันต่อปี (กำลังขยายเป็นประมาณ 200,000 ตันต่อปี)
3.Alexandria Carbon ประเทศอียิปต์ มีกำลังการผลิตประมาณ 161,000 ตันต่อปี เป็นโรงงานที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในแง่โรงงานเดี่ยว แต่ปีหน้าตำแหน่งนี้จะตกเป็นของ TCB
4. Liaoning Birla Carbon ประเทศจีน มีกำลังการผลิต 10,000 ตัน กำลังเพิ่มเป็น 50,000 ตัน
ที่กำลังการผลิต 3.1 แสนตัน Birla group มีส่วนแบ่งการตลาดโลกประมาณ 4% (หลายปีมาแล้ว) ดังนั้นกำลังการผลิตที่ 6.1 แสนตัน น่าจะมีส่วนแบ่งประมาณ 5-6% ของโลก ส่วนแบ่งเฉพาะของ TCB คงประมาณ 1.44 % มั้งครับ
คิดแบบมั่วๆ คร่าวๆ
เท่าที่ทราบการผลิตของ TCB ไม่ได้มีคอขวดนะครับ แต่ที่กำไรขึ้นลงเพราะต้นทุนวัตถุดิบและราคาขายผลิตภัณฑ์ผันผวน รวมถึงส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมก็มีส่วนครับ
นอกจากนั้น TCB ยังถือหุ้นในหลายบริษัทร่วมกับ TR อีกคือ
PT liberty textile 40%
Thai organic chemical 44%
Alexzandria arylic fiber 27.5%
ยอดขายของ TCB ปีที่ผ่านมาประมาณ 4,400 ล้านบาท กำไร 634 ล้านบาท
ปีนี้ยอดขายและกำไรน่าจะเพิ่มขึ้นอีก
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
หุ้น 2 ตัวนี้ ไม่มีคำว่าสาย..หากคิดจะซื้อ
โพสต์ที่ 36
บริษัทต่อไปคือ Thai polyphosphate and chemical หรือ TPC
tr ถือหุ้นถึงครึ่งนึ่งคือ 49%
ปีที่แล้วบริษัทนี้ทำกำไรได้ประมาณ 100 ล้าน ยอดขายไม่ทราบ
แต่ปีนี้ผ่านมา 6 เดือน ดูเหมือนจะมีกำไรลดลงเหลือ 25 ล้าน
บริษัทนี้ทำธุรกิจผลิตสารฟอสเฟตและอนุพันธ์ ที่ใช้กันอย่างหลากหลายมาก ทั้งในอุตสาหกรรมอาหาร การแพทย์
หุ้นส่วนที่เหลือถือโดยกลุ่มโรเดียของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ผลิตโพลี่ฟอสเฟสและอนุพันธ์รายใหญที่สุดของโลก โรงงานของ TPC ใหญ่ติดอันดับโลกเช่นกัน ผมไม่แน่ใจว่ามีการขยายกำลังการผลิตหรือเปล่า
บริษัทต่อมา PT liberty textile ซึ่ง TR ถือหุ้น 40% ส่วนที่เหลือถือโดย TCBตั้งอยู่ในประเทศอินโดนีเซีย ทำธุรกิจตัดเย็บสิ่งทอซึ่งผมไม่มีข้อมูลมากนัก บริษัททำกำไรดี แต่ไม่มากและไม่สม่ำเสมอมากนัก ผมไม่มีตัวเลขกำไร เพราะตัวเลขจะผันผวนตามอัตราแลกเปลี่ยนของค่าเงินรูเปียะอินโดนีเซีย
tr ถือหุ้นถึงครึ่งนึ่งคือ 49%
ปีที่แล้วบริษัทนี้ทำกำไรได้ประมาณ 100 ล้าน ยอดขายไม่ทราบ
แต่ปีนี้ผ่านมา 6 เดือน ดูเหมือนจะมีกำไรลดลงเหลือ 25 ล้าน
บริษัทนี้ทำธุรกิจผลิตสารฟอสเฟตและอนุพันธ์ ที่ใช้กันอย่างหลากหลายมาก ทั้งในอุตสาหกรรมอาหาร การแพทย์
หุ้นส่วนที่เหลือถือโดยกลุ่มโรเดียของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ผลิตโพลี่ฟอสเฟสและอนุพันธ์รายใหญที่สุดของโลก โรงงานของ TPC ใหญ่ติดอันดับโลกเช่นกัน ผมไม่แน่ใจว่ามีการขยายกำลังการผลิตหรือเปล่า
บริษัทต่อมา PT liberty textile ซึ่ง TR ถือหุ้น 40% ส่วนที่เหลือถือโดย TCBตั้งอยู่ในประเทศอินโดนีเซีย ทำธุรกิจตัดเย็บสิ่งทอซึ่งผมไม่มีข้อมูลมากนัก บริษัททำกำไรดี แต่ไม่มากและไม่สม่ำเสมอมากนัก ผมไม่มีตัวเลขกำไร เพราะตัวเลขจะผันผวนตามอัตราแลกเปลี่ยนของค่าเงินรูเปียะอินโดนีเซีย
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
หุ้น 2 ตัวนี้ ไม่มีคำว่าสาย..หากคิดจะซื้อ
โพสต์ที่ 37
บริษัทต่อมาคือ Thai organic chemical ซึ่งเป็นบริษัทที่สำคัญมากเช่นกัน toc เป็นกิจการผลิตโซดาไฟ ซึ่งมีผู้ผลิตเพียง 2 รายในประเทศไทย นอกจากนั้นยังผลิตสารเคมีอีก 2-3 ชนิด ซึ่งผมไม่เคยรู้จัก
TR ถือหุ้นอยู่ 49% อีก 40% ถือโดย TCB
ที่ผ่านมา TR ลงทุนไปกับบริษัทนี้รวมประมาณ 1,200 ล้านบาท
แต่ยังไม่สามารถทำกำไรจากเงินลงทุนได้ ไม่เคยได้รับเงินปันผล แต่ toc เริ่มมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในช่วงหลังๆ และเพื่อทำให้ toc มีกำไรที่ดีขึ้นแบบรวดเร็ว (ผมเรียกว่าการปัดกวาดให้ดูดี) ทางกลุ่มเบอร์ล่าเลยจัดการให้ toc เพิ่มทุน และนำเงินไปเทคโอเวอร์ บริษัทในกลุ่มอีกบริษัทนึ่งคือ Thai epoxy and alliance
โดยที่ไทยอีพ็อคซี เป็นบริษัทร่วมทุนกับบริษัทญี่ปุ่น ทำธุรกิจผลิตสารอีพ็อคซี่ ซึ่งเป็นสารประกอบที่ผลิตจากปิโตรเลียม ใช้ในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย
ที่ผ่านมามีกำไรที่ดีมาก การเทคโอเวอร์ครั้งนี้เป็นการซื้อหุ้นจากกลุ่มญี่ปุ่น โดยมีการจ่ายปันผลออกมา เพื่อลดภาระภาษีการซื้อขายหุ้น สาเหตุนี้ทำให้ TR TCB ซึ่งถือหุ้นอยู่ในไทยอีพ็อคซีเช่นกัน มีรายได้จากเงินปันผลสูงผิดปกติอยู่ 1 ไตรมาส เมื่อเร็วๆนี้นั่นเอง
หลังจากซื้อหุ้นไทยอีพ็อคซี่ toc ก็ทำกำไรได้อย่างรวดเร็ว สมใจนึก และล้างขาดทุนสะสมได้ มีแนวโน้มที่จะจ่ายปันผลให้หุ้นบุริมสิทธิ์ ที่ทั้ง TR TCB ได้ถือไว้ และน่าจะเป็นบุริมสิทธ์ที่จะได้รับปันผลแบบสะสมด้วย (ได้รับปันผลชดเชยปีที่ขาดทุนไม่ได้จ่าย)
เหลืออีก 2 บริษัทย่อยที่สำคัญกับ TR มากเช่นกัน
ขอพักนะครับ ชักเหนื่อยแล้ว
TR ถือหุ้นอยู่ 49% อีก 40% ถือโดย TCB
ที่ผ่านมา TR ลงทุนไปกับบริษัทนี้รวมประมาณ 1,200 ล้านบาท
แต่ยังไม่สามารถทำกำไรจากเงินลงทุนได้ ไม่เคยได้รับเงินปันผล แต่ toc เริ่มมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในช่วงหลังๆ และเพื่อทำให้ toc มีกำไรที่ดีขึ้นแบบรวดเร็ว (ผมเรียกว่าการปัดกวาดให้ดูดี) ทางกลุ่มเบอร์ล่าเลยจัดการให้ toc เพิ่มทุน และนำเงินไปเทคโอเวอร์ บริษัทในกลุ่มอีกบริษัทนึ่งคือ Thai epoxy and alliance
โดยที่ไทยอีพ็อคซี เป็นบริษัทร่วมทุนกับบริษัทญี่ปุ่น ทำธุรกิจผลิตสารอีพ็อคซี่ ซึ่งเป็นสารประกอบที่ผลิตจากปิโตรเลียม ใช้ในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย
ที่ผ่านมามีกำไรที่ดีมาก การเทคโอเวอร์ครั้งนี้เป็นการซื้อหุ้นจากกลุ่มญี่ปุ่น โดยมีการจ่ายปันผลออกมา เพื่อลดภาระภาษีการซื้อขายหุ้น สาเหตุนี้ทำให้ TR TCB ซึ่งถือหุ้นอยู่ในไทยอีพ็อคซีเช่นกัน มีรายได้จากเงินปันผลสูงผิดปกติอยู่ 1 ไตรมาส เมื่อเร็วๆนี้นั่นเอง
หลังจากซื้อหุ้นไทยอีพ็อคซี่ toc ก็ทำกำไรได้อย่างรวดเร็ว สมใจนึก และล้างขาดทุนสะสมได้ มีแนวโน้มที่จะจ่ายปันผลให้หุ้นบุริมสิทธิ์ ที่ทั้ง TR TCB ได้ถือไว้ และน่าจะเป็นบุริมสิทธ์ที่จะได้รับปันผลแบบสะสมด้วย (ได้รับปันผลชดเชยปีที่ขาดทุนไม่ได้จ่าย)
เหลืออีก 2 บริษัทย่อยที่สำคัญกับ TR มากเช่นกัน
ขอพักนะครับ ชักเหนื่อยแล้ว
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
- ayethebing
- Verified User
- โพสต์: 2125
- ผู้ติดตาม: 0
หุ้น 2 ตัวนี้ ไม่มีคำว่าสาย..หากคิดจะซื้อ
โพสต์ที่ 38
ท่านพี่ลูกอีสาน สำหรับ TR สงสัยได้เด้งเดียวมั้ง ปันผลนะผมเลิกหวังนานแล้ว อิอิ
อีกตัว นึกไม่ออกเหมียนกัน (จริงๆ ก็นึก TR ไม่ออกครับถ้าไม่เฉลย)
รออ่านอยู่ครับ
อีกตัว นึกไม่ออกเหมียนกัน (จริงๆ ก็นึก TR ไม่ออกครับถ้าไม่เฉลย)
รออ่านอยู่ครับ
ขอนไม้อันนิ่งสงบ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
หุ้น 2 ตัวนี้ ไม่มีคำว่าสาย..หากคิดจะซื้อ
โพสต์ที่ 39
สุดท้ายกับ TR ครับ
บริษัทร่วมของ TR อีกบริษัทที่มีความสำคัญมากเช่นกันคือ
Thai Arcylic Fiber หรือ TAF ประกอบธุรกิจผลิตเส้นใยอคริลิค ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรมพรม ถุงเท้า ตั้งอยู่ที่จังหวัดสระบุรี มีกำลังการผลิตประมาณ 60,000 ตัน และจะเพิ่มเป็น 100,000 ตัน เพื่อที่จะทำให้มีกำลังการผลิตติด 1 ใน 10 ของโลก และมีเป้าหมายที่จะติด 3 อันดับแรกของโลกในปี 2008.
TAF มียอดขายประมาณ 5,000 ล้าน มีกำไรปีที่แล้วประมาณ 460 ล้าน 6 เดือนล่าสุดมีกำไรประมาณ 260 ล้าน โดยที่ TR ถือหุ้น TAF ทางตรง 30% และถือผ่าน TCB ที่ถือ TAF เช่นเดียวกันประมาณ 16%
TAF เป็นบริษัทแรกที่ได้รับรางวัลคุณภาพแห่งชาติของไทยในปี 2003
ในปี 2004 บริษัทที่ได้รางวัลเป็นบริษัทในเครือปูนซิเมนไทย และปีล่าสุดปีนี้จำได้ว่าไม่มีบริษัทไหนเลย ที่ได้รับรางวัลนี้
ลืมบอกไปว่า TCB ได้รับรางวัลเดมมิ่ง เป็นลำดับที่ 4 นอกประเทศญี่ปุ่น และบริษัทแรกของไทย ส่วน TR ก็ได้รับรางวัลคุณภาพมากมายเช่นกัน แม้กระทั่งปูนซิเมนต์ไทย หรือ กฟผ. ยังต้องมาศึกษาการจัดการด้านคุณภาพที่ TR
ที่โพสต์มาทั้งหมด เพียงเพื่ออยากแสดงความคิดเห็นว่า tr เป็นบริษัทที่น่าสนใจทีเดียวครับ น่าจะเป็นหุ้นตัวนึงที่ไม่มีคำว่าสายหากจะซื้อ แม้จะไม่สมบูรญ์แบบแต่ก็มีความเสี่ยงต่ำ เป็นหุ้นที่น่าจะฝากผีฝากไข้ได้ แต่ที่แน่นอนคือ TR เหมาะกับการถือยาวเท่านั้น สังเกตุได้ว่าหากผลประกอบการออกมาดี ราคาหุ้นจะตอบสนองไม่นานมาก หลังจากนั้นก็จะซบเซา และมีการเทขายออกมาอีกเสมอ จากนักลงทุนที่หมดความอดทนที่จะถือ :lol:
ผมเดาเล่นๆ ว่าในระยะยาว TR จะเป็นหุ้นที่มีราคาสูงที่สุดในตลาดหุ้นไทย
หากไม่มีการแตกพาร์หรือทำ tender offer ไปซะก่อน :lol:
หุ้นตัวที่ 2 น่าสนใจเช่นกัน
-หากใครได้อ่านรายงานประจำปีของบริษัทนี้ อาจจะคิดว่าเป็นรายงานประจำปีที่ดีที่สุด เท่าที่เคยอ่าน เพราะจัดทำขึ้นจากคนที่รู้ว่านักลงทุนต้องการอะไร และเข้าใจความต้องการของนักลงทุน เพื่อนๆที่ได้อ่านรายงานบริษัทนี้ ผมมั่นใจว่าคงจะประทับใจอย่างแน่นอน
-เป็นบริษัทที่คุณนิติ โอสถานุเคราะห์ถือหุ้นเป็นจำนวนเงินที่มากที่สุด และผู้ถือหุ้นอื่นๆก็เป็นผู้ถือหุ้นที่ดีที่สุดของตลาดหุ้นไทยบริษัทนึง
-เท่าที่มีข้อมูล ยอดขาย-กำไรเพิ่มขึ้นก้าวกระโดดติดต่อกันแล้ว 5 ปี และปีนี้ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นอีกครั้ง มองไกลออกไปอีกหลายปีข้างหน้า การเติบโตอย่างนี้ก็เป็นไปได้สูง :roll:
บริษัทร่วมของ TR อีกบริษัทที่มีความสำคัญมากเช่นกันคือ
Thai Arcylic Fiber หรือ TAF ประกอบธุรกิจผลิตเส้นใยอคริลิค ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรมพรม ถุงเท้า ตั้งอยู่ที่จังหวัดสระบุรี มีกำลังการผลิตประมาณ 60,000 ตัน และจะเพิ่มเป็น 100,000 ตัน เพื่อที่จะทำให้มีกำลังการผลิตติด 1 ใน 10 ของโลก และมีเป้าหมายที่จะติด 3 อันดับแรกของโลกในปี 2008.
TAF มียอดขายประมาณ 5,000 ล้าน มีกำไรปีที่แล้วประมาณ 460 ล้าน 6 เดือนล่าสุดมีกำไรประมาณ 260 ล้าน โดยที่ TR ถือหุ้น TAF ทางตรง 30% และถือผ่าน TCB ที่ถือ TAF เช่นเดียวกันประมาณ 16%
TAF เป็นบริษัทแรกที่ได้รับรางวัลคุณภาพแห่งชาติของไทยในปี 2003
ในปี 2004 บริษัทที่ได้รางวัลเป็นบริษัทในเครือปูนซิเมนไทย และปีล่าสุดปีนี้จำได้ว่าไม่มีบริษัทไหนเลย ที่ได้รับรางวัลนี้
ลืมบอกไปว่า TCB ได้รับรางวัลเดมมิ่ง เป็นลำดับที่ 4 นอกประเทศญี่ปุ่น และบริษัทแรกของไทย ส่วน TR ก็ได้รับรางวัลคุณภาพมากมายเช่นกัน แม้กระทั่งปูนซิเมนต์ไทย หรือ กฟผ. ยังต้องมาศึกษาการจัดการด้านคุณภาพที่ TR
ที่โพสต์มาทั้งหมด เพียงเพื่ออยากแสดงความคิดเห็นว่า tr เป็นบริษัทที่น่าสนใจทีเดียวครับ น่าจะเป็นหุ้นตัวนึงที่ไม่มีคำว่าสายหากจะซื้อ แม้จะไม่สมบูรญ์แบบแต่ก็มีความเสี่ยงต่ำ เป็นหุ้นที่น่าจะฝากผีฝากไข้ได้ แต่ที่แน่นอนคือ TR เหมาะกับการถือยาวเท่านั้น สังเกตุได้ว่าหากผลประกอบการออกมาดี ราคาหุ้นจะตอบสนองไม่นานมาก หลังจากนั้นก็จะซบเซา และมีการเทขายออกมาอีกเสมอ จากนักลงทุนที่หมดความอดทนที่จะถือ :lol:
ผมเดาเล่นๆ ว่าในระยะยาว TR จะเป็นหุ้นที่มีราคาสูงที่สุดในตลาดหุ้นไทย
หากไม่มีการแตกพาร์หรือทำ tender offer ไปซะก่อน :lol:
หุ้นตัวที่ 2 น่าสนใจเช่นกัน
-หากใครได้อ่านรายงานประจำปีของบริษัทนี้ อาจจะคิดว่าเป็นรายงานประจำปีที่ดีที่สุด เท่าที่เคยอ่าน เพราะจัดทำขึ้นจากคนที่รู้ว่านักลงทุนต้องการอะไร และเข้าใจความต้องการของนักลงทุน เพื่อนๆที่ได้อ่านรายงานบริษัทนี้ ผมมั่นใจว่าคงจะประทับใจอย่างแน่นอน
-เป็นบริษัทที่คุณนิติ โอสถานุเคราะห์ถือหุ้นเป็นจำนวนเงินที่มากที่สุด และผู้ถือหุ้นอื่นๆก็เป็นผู้ถือหุ้นที่ดีที่สุดของตลาดหุ้นไทยบริษัทนึง
-เท่าที่มีข้อมูล ยอดขาย-กำไรเพิ่มขึ้นก้าวกระโดดติดต่อกันแล้ว 5 ปี และปีนี้ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นอีกครั้ง มองไกลออกไปอีกหลายปีข้างหน้า การเติบโตอย่างนี้ก็เป็นไปได้สูง :roll:
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 1608
- ผู้ติดตาม: 0
หุ้น 2 ตัวนี้ ไม่มีคำว่าสาย..หากคิดจะซื้อ
โพสต์ที่ 42
จะว่าไปจัดว่าเป็นหุ้นของบัฟเฟตต์ก็ได้นะครับเนี่ย TR เนี่ย
กำไรโตมากต่อเนื่อง ซื้อขายกันที่ราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
ตัวที่สองไม่น่าจะเป็น MINT นะครับเพราะกำไรหดๆไม่ใช่ก้าวกระโดดติดกัน 5 ปี
กำไรโตมากต่อเนื่อง ซื้อขายกันที่ราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
ตัวที่สองไม่น่าจะเป็น MINT นะครับเพราะกำไรหดๆไม่ใช่ก้าวกระโดดติดกัน 5 ปี
มนุษย์เห่อลูก :lol:
http://tyakon.multiply.com
http://tyakon.multiply.com
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 481
- ผู้ติดตาม: 0
หุ้น 2 ตัวนี้ ไม่มีคำว่าสาย..หากคิดจะซื้อ
โพสต์ที่ 45
ผมว่า Mint 4-5 ปีที่ผ่านมากำไรไม่หดนะครับ ออกจะกระโดดด้วยซ้ำDr.T เขียน:จะว่าไปจัดว่าเป็นหุ้นของบัฟเฟตต์ก็ได้นะครับเนี่ย TR เนี่ย
กำไรโตมากต่อเนื่อง ซื้อขายกันที่ราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
ตัวที่สองไม่น่าจะเป็น MINT นะครับเพราะกำไรหดๆไม่ใช่ก้าวกระโดดติดกัน 5 ปี
แต่คงไม่ใช่ที่คุณลูกอีสานว่าแน่ เนื่องจากที่ผ่านมารายได้รวมยังไม่เกิน
หมื่นล้าน แต่ปีนี้ไม่แน่ครับ ไตรมาสแรกมีรายได้รวม 2,635.89 ล้านเข้าไปแล้ว
และคงต้องย้ายกลุ่มจากกลุ่มโรงแรมไปอยู่กลุ่มอาหารแล้วล่ะครับเนื่องมาจาก
สัดส่วนรายได้จากอาหารมีมากกว่า 53% โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมนี้ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1608
- ผู้ติดตาม: 0
หุ้น 2 ตัวนี้ ไม่มีคำว่าสาย..หากคิดจะซื้อ
โพสต์ที่ 46
ของ MINT ครับ
อัตรากำไรสุทธิ(%) 11.40 8.64 8.58 12.57 12.60
อัตรากำไรสุทธิ(%) 11.40 8.64 8.58 12.57 12.60
มนุษย์เห่อลูก :lol:
http://tyakon.multiply.com
http://tyakon.multiply.com
- dr_norr
- Verified User
- โพสต์: 315
- ผู้ติดตาม: 0
หุ้น 2 ตัวนี้ ไม่มีคำว่าสาย..หากคิดจะซื้อ
โพสต์ที่ 47
MINT
เคยมีครับ...ปล่อยไปตั้งแต่ได้มา 18% แล้วครับ
ก็มองมาเรื่อยๆ แต่ยังไม่เข้าใหม่เลย......
...สนใจตั้งแต่ การลงทุนใน minor food ดูกิจการอาหารจะไปได้ดี
...ส่วนโรงแรมก็คงหวังจากการท่องเที่ยวให้มากขึ้นกว่านี้
...ไม่รู้ว่าจะไปลงทุนที่จีนเปิดสาขาเพิ่มจะเป็นอย่างไรบ้าง...
เคยมีครับ...ปล่อยไปตั้งแต่ได้มา 18% แล้วครับ
ก็มองมาเรื่อยๆ แต่ยังไม่เข้าใหม่เลย......
...สนใจตั้งแต่ การลงทุนใน minor food ดูกิจการอาหารจะไปได้ดี
...ส่วนโรงแรมก็คงหวังจากการท่องเที่ยวให้มากขึ้นกว่านี้
...ไม่รู้ว่าจะไปลงทุนที่จีนเปิดสาขาเพิ่มจะเป็นอย่างไรบ้าง...
แมงเม่าวันนี้ จะตัวใหญ่ขึ้นในวันหน้า
- BerZerK
- Verified User
- โพสต์: 128
- ผู้ติดตาม: 0
หุ้น 2 ตัวนี้ ไม่มีคำว่าสาย..หากคิดจะซื้อ
โพสต์ที่ 48
มีคำถามพื้น ๆ สองสามข้อครับ
1) เส้นใย RAYON ดีอย่างไรครับ แล้วเอาไปทำเสื้อผ้าประเภทไหน ยี่ห้ออะไรบ้างครับ
2) ผลิตภัณฑ์กลุ่มที่ไม่ใช่สินค้าถักทอ (non-woven) มีอะไรบ้างครับ จะหาตัวอย่างสินค้าดูได้ที่ไหนบ้างครับ
1) เส้นใย RAYON ดีอย่างไรครับ แล้วเอาไปทำเสื้อผ้าประเภทไหน ยี่ห้ออะไรบ้างครับ
2) ผลิตภัณฑ์กลุ่มที่ไม่ใช่สินค้าถักทอ (non-woven) มีอะไรบ้างครับ จะหาตัวอย่างสินค้าดูได้ที่ไหนบ้างครับ
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2448
- ผู้ติดตาม: 0
หุ้น 2 ตัวนี้ ไม่มีคำว่าสาย..หากคิดจะซื้อ
โพสต์ที่ 49
ผมก็สงสัยน่าจะเป็น MINT ที่เป็นหุ้นดีอีกตัว มีกับเขา พันหุ้น แถมได้ ลูกหุ้นมาอีก ร้อยหุ้น รวมเป็น 1100 หุ้น......รอซื้ออยู่เหมือนกัน แต่ไม่รู้จะลงมาให้รับหรือเปล่า....อยากได้ แถว 3.60 บาท.......สงสัยรอ เก้อ เป็นแน่ จะให้ซื้อแถว 4 บาท ก็ กลัวอยู่บนยอดเขา เลยได้แต่รอ
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
-
- Verified User
- โพสต์: 1688
- ผู้ติดตาม: 0
หุ้น 2 ตัวนี้ ไม่มีคำว่าสาย..หากคิดจะซื้อ
โพสต์ที่ 50
แหะๆ ผมก็สงสัยข้อนี้เหมือนกันCK เขียน:MINT? สอบตกข้อสามครับ
รอฟังคุณลูกอีสานเฉลยครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
หุ้น 2 ตัวนี้ ไม่มีคำว่าสาย..หากคิดจะซื้อ
โพสต์ที่ 51
เอาเท่าที่ผมทราบนะครับมีคำถามพื้น ๆ สองสามข้อครับ
1) เส้นใย RAYON ดีอย่างไรครับ แล้วเอาไปทำเสื้อผ้าประเภทไหน ยี่ห้ออะไรบ้างครับ
2) ผลิตภัณฑ์กลุ่มที่ไม่ใช่สินค้าถักทอ (non-woven) มีอะไรบ้างครับ จะหาตัวอย่างสินค้าดูได้ที่ไหนบ้างครับ
1.เคยโพสต์ไว้ใน 100 คนร้อยหุ้นบ้างแล้ว เรยอนมีความวาว นุ่ม ซับน้ำ ใส่แล้วรู้สึกสบาย ไม่ร้อน ย่อยสลายทางกายภาพได้ นิยมนำไปตัดเย็บเสื้อผ้า หรือนำไปผสมกับเส้นใยอื่นๆเพื่อให้ได้คุณสมบัติที่เหมาะสม
2.มีเยอะแยะมากมาย น่าจะมีข้อมูลใน 56-1 หรือที่เวปไซร์บริษัท แต่เท่าที่จำได้น่าจะใช้ใน ผ้าอ้อม filter หน้ากากอนามัย ผ้าก็อซ ผ้าพันแผล เสื้อคลุมของแพทย์ พรม ถุงนอน หมวกคลุมผมและหน้ากาก แผ่นดิสก์คอมพิวเตอร์ แผ่นป้าย พลาสเตอร์ปิดแผล แผ่นกั้นแบตเตอรี่ เสื้อชุดหมี ผ้าเช็ดตัวอนามัย ไส้กรองของปากกา ผ้าคลุมเบาะ ผ้าอ้อมแบบใช้แล้วทิ้ง ฉนวนกันความร้อน ผ้าซับใน แผ่นซับน้ำนม แผ่รองซับใน ผ้าซับของเหลว แผ่นกรองอากาศ ซองจดหมาย ไส้กรองน้ำมัน เต้นท์
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
หุ้น 2 ตัวนี้ ไม่มีคำว่าสาย..หากคิดจะซื้อ
โพสต์ที่ 52
เพื่อนๆเก่งหลายท่านเลยนะครับ
ผมพูดไปนิดหน่อย ก็เดากันถูกแล้ว
หุ้นตัวที่ 2 คือ Minor International หรือ MINT ครับ
หุ้นตัวนี้ต้องให้เครดิตคุณ Invisible Hand ที่เคยพูดถึงเอาไว้
ผมสนใจและศึกษาดูข้อมูล พบว่าเป็นธุรกิจที่น่าสนใจมากครับ
เคยซื้อพร้อมกับพี่ปรัชญาแถว ราคาต่ำกว่า 3 บาท แต่ขายไปหมดแล้วเหลือไว้ดูต่างหน้า 100 หุ้น ได้รับหุ้นปันผลเพิ่มอีก 10 หุ้น รวมเป็น 110 หุ้น
เพื่อนๆ อ่านแล้วโปรดใช้วิจารณญานด้วยนะครับ
เพราะสิ่งที่ผมแสดงความเห็นไป เป็นมุมมองของผมคนเดียว
ซึ่งอาจจะถูกหรือผิดก็ได้ หุ้นที่ผมเคยแสดงความคิดเห็นไว้หลายตัว
ก็ทำกำไรได้ลดลง ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ เช่น fancy sfp เป็นตัวอย่างครับ
อ่านแล้วยังไงเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย ก็แสดงความคิดเห็นได้นะครับ
จะได้เป็นประโยชน์ เพราะได้รับรู้มุมมองหลายด้าน
ผมจะเกริ่นนำธุรกิจของ MINT เท่าที่ทราบนะครับ จะได้เป็นประโยชน์สำหรับคนที่เคยรับรู้ หรือคนที่ไม่เคยรู้เลยว่า MINT ทำธุรกิจอะไร
MINT หรือ RGR ในชื่อเก่า เริ่มแรกประกอบกิจการด้านโรงแรมระดับ 5 ดาวหรือระดับบนครับ ต่อมาได้ขยายกิจการไปในธุรกิจที่เกี่ยวข้องได้แก่ ธุรกิจศูนย์การค้า ธุรกิจสปา ธุรกิจบันเทิง ธุรกิจให้เช่าเวลาโรงแรม และล่าสุดธุรกิจอาหาร บริษัทเคลมว่าเป็น Asia largest hospitality and leisure operator.
มาไล่ดูแต่ละธุรกิจนะครับ เริ่มกันที่
โรงแรม
MINT มีธุรกิจโรงแรม ณ.สิ้นปี 2004 จำนวน 2,241 ห้องพัก มากที่สุดอันดับ 1 หรือ 2 ของประเทศไม่แน่ใจ(อาจจะต้องถามท่านม้าเฉียว) ครอบคลุม 3 เครือข่ายคือ
1.เครือข่ายแมริออท 4 แห่งคือกรุงเทพ หัวหิน พัทยา และเจดับบลิวแมริออทภูเก็ต
2.เครือข่ายโฟซีซั่น คือที่กรุงเทพ เชียงใหม่ และที่กำลังก่อสร้างแล้วเสร็จปีหน้า ที่สมุย และโฟซีซั่น ช้าง แค็ม ที่เชียงราย แล้วเสร็จปีนี้
3.เครือข่ายอนันตรา ซึ่งเป็นแบรนด์โรงแรมของ MINT เอง มี 3 แห่งคือที่เชียงราย หัวหิน ล่าสุดที่สมุย ไม่รวมที่เขาหลักที่เสียหายทั้งหมด ปีนี้ที่กำลังก่อสร้างคือที่ประเทศมัลดีฟท์ 1 แห่งในปีนี้เป็นโรงแรม 4ดาว มีอัตราการจองเข้าพักแล้ว 66% ค่าห้องคืนละ 270 เหรียญ และอีก 2 แห่งในปีหน้าแบบหรูหรา ค่าห้องพักประมาณ 500 เหรียญต่อคืน
4.โรงแรมที่เวียดนาม ถือหุ้นส่วนน้อย
ที่กล่าวมาเป็นโครงการเฉพาะที่ยืนยันแน่นอนแล้วนะครับ ตามแผนงาน 5 ปี MINT จะต้องมีเครือข่ายโรงแรมเพิ่มอีกประมาณ 17 แห่ง ในหลายประเทศคือเวียดนาม บาหลี มัลดีฟ ศรีลังกา จะเห็นได้ว่า MINT เป็นผู้นำโรงแรมระดับบนของไทยอย่างแท้จริง เพราะมีเฉพาะโรงแรม 5 ดาวเท่านั้น เจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายต่างกัน การดำเนินงานโรงแรมระดับบน ทำให้มีกำไรสูงกว่าระดับล่าง และโรงแรมหลายแห่งใช้เงินลงทุนนับพันล้านบาท หลายที่ได้รับรางวัลจากนิตยสารท่องเที่ยวบ่อยๆ เช่น โฟซีซั่นเชียงใหม่ อนันตราเชียงราย เจดับบลิวแมริออทภูเก็ต
เท่าที่ผมมีข้อมูล กำไรและยอดขายของ MINT ก้าวกระโดดทุกปีนะครับ หลายปีมาแล้วติดต่อกันและปีนี้ก็เช่นกัน น่าจะมียอดขายมากกว่าหรือใกล้เคียง 10,000 ล้าน
ส่วนประเด็นธรรมภิบาล ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่จะไปคุยกันในหัวข้อผู้บริหารต่อไป
ผมพูดไปนิดหน่อย ก็เดากันถูกแล้ว
หุ้นตัวที่ 2 คือ Minor International หรือ MINT ครับ
หุ้นตัวนี้ต้องให้เครดิตคุณ Invisible Hand ที่เคยพูดถึงเอาไว้
ผมสนใจและศึกษาดูข้อมูล พบว่าเป็นธุรกิจที่น่าสนใจมากครับ
เคยซื้อพร้อมกับพี่ปรัชญาแถว ราคาต่ำกว่า 3 บาท แต่ขายไปหมดแล้วเหลือไว้ดูต่างหน้า 100 หุ้น ได้รับหุ้นปันผลเพิ่มอีก 10 หุ้น รวมเป็น 110 หุ้น
เพื่อนๆ อ่านแล้วโปรดใช้วิจารณญานด้วยนะครับ
เพราะสิ่งที่ผมแสดงความเห็นไป เป็นมุมมองของผมคนเดียว
ซึ่งอาจจะถูกหรือผิดก็ได้ หุ้นที่ผมเคยแสดงความคิดเห็นไว้หลายตัว
ก็ทำกำไรได้ลดลง ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ เช่น fancy sfp เป็นตัวอย่างครับ
อ่านแล้วยังไงเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย ก็แสดงความคิดเห็นได้นะครับ
จะได้เป็นประโยชน์ เพราะได้รับรู้มุมมองหลายด้าน
ผมจะเกริ่นนำธุรกิจของ MINT เท่าที่ทราบนะครับ จะได้เป็นประโยชน์สำหรับคนที่เคยรับรู้ หรือคนที่ไม่เคยรู้เลยว่า MINT ทำธุรกิจอะไร
MINT หรือ RGR ในชื่อเก่า เริ่มแรกประกอบกิจการด้านโรงแรมระดับ 5 ดาวหรือระดับบนครับ ต่อมาได้ขยายกิจการไปในธุรกิจที่เกี่ยวข้องได้แก่ ธุรกิจศูนย์การค้า ธุรกิจสปา ธุรกิจบันเทิง ธุรกิจให้เช่าเวลาโรงแรม และล่าสุดธุรกิจอาหาร บริษัทเคลมว่าเป็น Asia largest hospitality and leisure operator.
มาไล่ดูแต่ละธุรกิจนะครับ เริ่มกันที่
โรงแรม
MINT มีธุรกิจโรงแรม ณ.สิ้นปี 2004 จำนวน 2,241 ห้องพัก มากที่สุดอันดับ 1 หรือ 2 ของประเทศไม่แน่ใจ(อาจจะต้องถามท่านม้าเฉียว) ครอบคลุม 3 เครือข่ายคือ
1.เครือข่ายแมริออท 4 แห่งคือกรุงเทพ หัวหิน พัทยา และเจดับบลิวแมริออทภูเก็ต
2.เครือข่ายโฟซีซั่น คือที่กรุงเทพ เชียงใหม่ และที่กำลังก่อสร้างแล้วเสร็จปีหน้า ที่สมุย และโฟซีซั่น ช้าง แค็ม ที่เชียงราย แล้วเสร็จปีนี้
3.เครือข่ายอนันตรา ซึ่งเป็นแบรนด์โรงแรมของ MINT เอง มี 3 แห่งคือที่เชียงราย หัวหิน ล่าสุดที่สมุย ไม่รวมที่เขาหลักที่เสียหายทั้งหมด ปีนี้ที่กำลังก่อสร้างคือที่ประเทศมัลดีฟท์ 1 แห่งในปีนี้เป็นโรงแรม 4ดาว มีอัตราการจองเข้าพักแล้ว 66% ค่าห้องคืนละ 270 เหรียญ และอีก 2 แห่งในปีหน้าแบบหรูหรา ค่าห้องพักประมาณ 500 เหรียญต่อคืน
4.โรงแรมที่เวียดนาม ถือหุ้นส่วนน้อย
ที่กล่าวมาเป็นโครงการเฉพาะที่ยืนยันแน่นอนแล้วนะครับ ตามแผนงาน 5 ปี MINT จะต้องมีเครือข่ายโรงแรมเพิ่มอีกประมาณ 17 แห่ง ในหลายประเทศคือเวียดนาม บาหลี มัลดีฟ ศรีลังกา จะเห็นได้ว่า MINT เป็นผู้นำโรงแรมระดับบนของไทยอย่างแท้จริง เพราะมีเฉพาะโรงแรม 5 ดาวเท่านั้น เจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายต่างกัน การดำเนินงานโรงแรมระดับบน ทำให้มีกำไรสูงกว่าระดับล่าง และโรงแรมหลายแห่งใช้เงินลงทุนนับพันล้านบาท หลายที่ได้รับรางวัลจากนิตยสารท่องเที่ยวบ่อยๆ เช่น โฟซีซั่นเชียงใหม่ อนันตราเชียงราย เจดับบลิวแมริออทภูเก็ต
เท่าที่ผมมีข้อมูล กำไรและยอดขายของ MINT ก้าวกระโดดทุกปีนะครับ หลายปีมาแล้วติดต่อกันและปีนี้ก็เช่นกัน น่าจะมียอดขายมากกว่าหรือใกล้เคียง 10,000 ล้าน
ส่วนประเด็นธรรมภิบาล ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่จะไปคุยกันในหัวข้อผู้บริหารต่อไป
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
หุ้น 2 ตัวนี้ ไม่มีคำว่าสาย..หากคิดจะซื้อ
โพสต์ที่ 53
ผมขอเล่าเกี่ยวกับแต่ละธุรกิจของ MINT ก่อนนะครับ
ก่อนที่จะเข้าประเด็นว่าทำไม MINT เป็นหุ้นท่ี่ไม่มีคำว่าสาย หากคิดจะซื้อ
ธุรกิจต่อไปคือ
ธุรกิจปันส่วนเวลา หรือ time sharing
โดยบริษัทสร้างห้องพัก และขายให้กับนักลงทุน โดยที่นักลงทุนสามารถเข้ามาพักได้ตลอดเวลาที่ต้องการ และหากไม่ได้พัก ก็สามารถให้คนอื่นๆที่เป็นแขกเข้าพักได้ โดยเจ้าของที่พักจะได้รับเงินค่าเช่า
ส่วนบริษัทก็ได้ค่าจัดการต่างๆ โดยที่บริษัทจะบริหารและให้บริการห้องพัก เป็น มาตรฐานเดียวกันกับโรงแรมนั้นๆ และสามารถใช้บริการต่างๆของโรงแรมได้ด้วย
ดังนั้นธุรกิจปันส่วนเวลานี้ จะต้องสร้างในบริเวณที่ติดกับโรงแรม เท่าที่ผ่านมา MINT ได้ร่วมทุนกับกลุ่มแมริออก 50/50 บริหารไม้ขาว เวเคชั่น คลับ ตั้งติดกับเจดับบลิวแมริออก ภูเก็ต ปิดการขายเฟสแรกไปแล้ว และกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างเฟส 2 จำนวน 84 ห้อง MINT มีแผนที่จะขยายธุรกิจนี้ไปยังโรงแรมใรเครืออื่นๆ ที่มีศักยภาพ เพราะธุรกิจนี้ให้กำไรที่ดีมาก อย่างโครงการเฟส 2 คาดการกำไรเกือบๆ พันล้านบาทเลยทีเดียว (บทสัมภาษณ์จาก tisco ast) เท่าๆกับกำไรที่ทำได้ทั้งเครือใน 1ปี
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
เป็นธุรกิจให้เช่าศูนย์การค้าในชื่อ รอยัล การ์เดน พลาซ่า มี 2 แห่งคือ
1.รอยัลการ์เดน พลาซ่า กรุงเทพ อยู่ติดกับแมริออท แอนด์ สปา กรุงเทพ เจริญกรุง
2.รอยัลการ์เดน พลาซ่า พัทยา อยู่ที่บริเวณหาดพัทยา เพิ่งเสร็จสิ้นการขยายพื้นที่ให้เช่า ทำให้มีรายได้ค่าเช่าเพิ่มขึ้นมากในปีนี้ โครงการที่พัทยาค่อนข้างประสบความสำเร็จมากเพราะทำเลที่ดี และไม่มีคู่แข่งโดยตรง ทั้งสองโครงการมีอัตราการเช่า 100%
ปีที่ผ่านมาธุรกิจให้เช่าพื้นที่มีรายได้ประมาณ 320 ล้านบาท และมีต้นทุนทางตรงแค่ 80 ล้าน นับว่าเป็นธุรกิจ cash cow อย่างแท้จริง และศูนย์การค้าเหล่านี้ยังเป็นช่องทางในธุรกิจร้านอาหารในเครือด้วย MINT พยายามที่จะพัฒนาศูนย์การค้าเพิ่มเติมขึ้นอีกในทำเลที่มีศักยภาพ เช่นที่หัวหิน
ธุรกิจบันเทิง
MINT มีธุรกิจบันเทิงในรูปแบบพิพิธพันธ์ริบลี่ย์ทั้งในไทย และฮ่องกง (ที่ฮ่องกง ศูนย์การค้าที่ตั้งอยู่ ขอปิดปรับปรุง ทำให้ต้องหยุดดำเนินการและ ตั้งค่าสำรองไว้ทั้งหมดแล้ว) ปีที่ผ่านมาได้เปลี่ยนบริการเครื่องเล่น laser trek และ laser bumb เป็นบ้านผีสิง และ Mirror maze ซึ่งประสบความสำเร็จด้วยดี โครงการเหล่านี้ตั้งอยู่ในศูนย์การค้ารอยัล การ์เดน พลาซ่า พัทยา
ก่อนที่จะเข้าประเด็นว่าทำไม MINT เป็นหุ้นท่ี่ไม่มีคำว่าสาย หากคิดจะซื้อ
ธุรกิจต่อไปคือ
ธุรกิจปันส่วนเวลา หรือ time sharing
โดยบริษัทสร้างห้องพัก และขายให้กับนักลงทุน โดยที่นักลงทุนสามารถเข้ามาพักได้ตลอดเวลาที่ต้องการ และหากไม่ได้พัก ก็สามารถให้คนอื่นๆที่เป็นแขกเข้าพักได้ โดยเจ้าของที่พักจะได้รับเงินค่าเช่า
ส่วนบริษัทก็ได้ค่าจัดการต่างๆ โดยที่บริษัทจะบริหารและให้บริการห้องพัก เป็น มาตรฐานเดียวกันกับโรงแรมนั้นๆ และสามารถใช้บริการต่างๆของโรงแรมได้ด้วย
ดังนั้นธุรกิจปันส่วนเวลานี้ จะต้องสร้างในบริเวณที่ติดกับโรงแรม เท่าที่ผ่านมา MINT ได้ร่วมทุนกับกลุ่มแมริออก 50/50 บริหารไม้ขาว เวเคชั่น คลับ ตั้งติดกับเจดับบลิวแมริออก ภูเก็ต ปิดการขายเฟสแรกไปแล้ว และกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างเฟส 2 จำนวน 84 ห้อง MINT มีแผนที่จะขยายธุรกิจนี้ไปยังโรงแรมใรเครืออื่นๆ ที่มีศักยภาพ เพราะธุรกิจนี้ให้กำไรที่ดีมาก อย่างโครงการเฟส 2 คาดการกำไรเกือบๆ พันล้านบาทเลยทีเดียว (บทสัมภาษณ์จาก tisco ast) เท่าๆกับกำไรที่ทำได้ทั้งเครือใน 1ปี
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
เป็นธุรกิจให้เช่าศูนย์การค้าในชื่อ รอยัล การ์เดน พลาซ่า มี 2 แห่งคือ
1.รอยัลการ์เดน พลาซ่า กรุงเทพ อยู่ติดกับแมริออท แอนด์ สปา กรุงเทพ เจริญกรุง
2.รอยัลการ์เดน พลาซ่า พัทยา อยู่ที่บริเวณหาดพัทยา เพิ่งเสร็จสิ้นการขยายพื้นที่ให้เช่า ทำให้มีรายได้ค่าเช่าเพิ่มขึ้นมากในปีนี้ โครงการที่พัทยาค่อนข้างประสบความสำเร็จมากเพราะทำเลที่ดี และไม่มีคู่แข่งโดยตรง ทั้งสองโครงการมีอัตราการเช่า 100%
ปีที่ผ่านมาธุรกิจให้เช่าพื้นที่มีรายได้ประมาณ 320 ล้านบาท และมีต้นทุนทางตรงแค่ 80 ล้าน นับว่าเป็นธุรกิจ cash cow อย่างแท้จริง และศูนย์การค้าเหล่านี้ยังเป็นช่องทางในธุรกิจร้านอาหารในเครือด้วย MINT พยายามที่จะพัฒนาศูนย์การค้าเพิ่มเติมขึ้นอีกในทำเลที่มีศักยภาพ เช่นที่หัวหิน
ธุรกิจบันเทิง
MINT มีธุรกิจบันเทิงในรูปแบบพิพิธพันธ์ริบลี่ย์ทั้งในไทย และฮ่องกง (ที่ฮ่องกง ศูนย์การค้าที่ตั้งอยู่ ขอปิดปรับปรุง ทำให้ต้องหยุดดำเนินการและ ตั้งค่าสำรองไว้ทั้งหมดแล้ว) ปีที่ผ่านมาได้เปลี่ยนบริการเครื่องเล่น laser trek และ laser bumb เป็นบ้านผีสิง และ Mirror maze ซึ่งประสบความสำเร็จด้วยดี โครงการเหล่านี้ตั้งอยู่ในศูนย์การค้ารอยัล การ์เดน พลาซ่า พัทยา
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2448
- ผู้ติดตาม: 0
หุ้น 2 ตัวนี้ ไม่มีคำว่าสาย..หากคิดจะซื้อ
โพสต์ที่ 54
อยากรู้ธรรมภิบาลแค่ไหน ต้องไปหัดขี่ ช๊อปเปอร์ หรือ หัด ขับเครื่องบินเล็ก กับเจ้าของเขาซิครับ....... ผมว่า เขาเก่งหลายด้านนะ เคยเข้าไปดูงบ เห็นมีการซื้อเครื่องบินเล็กด้วยใช่ไหมครับ ทำให้ ผม ผวา ไป พักหนึ่ง หันกลับมาคิด เขามีกิจการมากมาย โรงแรมก็อยู่ไกล เวลาเป็นเงินเป็นทอง ก็ เลย หลับตามองข้ามไปหน่อยนึง.... แต่อนาคต หุ้นตัวนี้น่าจะเป็น holding company ที่แข็งแกร่งตัวหนึ่ง คุณลูกอิสาน ลองว่าต่อซิครับ (เล่น style แบบผมเลยนะครับ เหลือไว้ดูต่างหน้า 100 หุ้น ผมเหลือไว้ 1000 หุ้น)
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
หุ้น 2 ตัวนี้ ไม่มีคำว่าสาย..หากคิดจะซื้อ
โพสต์ที่ 55
ธุรกิจสปา
สปา แปลได้ว่าการบำบัดด้วยน้ำ มูลค่าตลาดของธุรกิจสปาในเมืองไทย เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จนบางท่านบอกว่าประเทศไทยกำลังจะได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงแห่งสปา ซึ่งน่าจะเป็นอย่างนั้นเพราะเมื่อนำการบำบัดสปาแบบตะวันตก มาผสมผสานกับการบริการและการนวดแบบไทยๆ ทำให้สปาหลายแห่งในไทยติดอันดับ 1และ top 10 อันดับแรกของโลกเลยทีเดียว (ที่มีชื่อเสียงคือสปาของชีวาศม มันดาราสปา) และธุรกิจสปาของ MINT ก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย ภายใต้ชื่อ มันดาราสปา และอนันตราสปา ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ MINT พัฒนาขึ้นมาเอง
มันดาราสปาเป็นกิจการร่วมทุนระหว่าง MINT และกลุ่มสเติร์นของอเมริกา แต่เมื่อปีที่แล้ว MINT ได้ซื้อหุ้นทั้งหมดจากกลุ่มเสติร์น โดยได้สิทธิ์ใช้ชื่่อมันดาราสปา ในไทย จีน อินเดีย เวียดนาม ลาว กัมพูชา ปัจจุบัน MINT มีสปาให้บริการประมาณ 13 แห่ง มีห้องบำบัดนับร้อยห้อง ส่วนใหญ่เป็นสปาที่ตั้งอยู่ในรีสอทร์ของกลุ่ม รวมถึงโรงแรมบางแห่งนอกกลุ่ม เช่น เชอราตัน นอกจากนั้นยังมีสปาที่ตั้งในโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ รวมถึงสปา 2 แห่งในจีน
รวยได้รวมธุรกิจสปาปีที่แล้วประมาณ 300 ล้านบาท และมีต้นทุนทางตรงแค่ 120 ล้านบาท โดยที่รายได้และกำไรเติบโตก้าวกระโดดทุกปี นับว่าเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการทำกำไรที่ดีมาก
สปาในกลุ่มของ MINT มีความได้เปรียบสปาอื่นๆอย่างชัดเจนคือเป็นสปาที่อยู่ในโรงแรม ทำให้มีกลุ่มลูกค้าชัดเจน สม่ำเสมอ สามารถคิดค่าบริการสูงกว่าปกติได้ สปาที่จะมีชื่อเสียงขึ้นมาได้จะต้องอาศัยความรู้ ความชำนาญค่อนข้างมาก จะต้องมีการฝึกพนักงานเป็นอย่างดี สาเหตุเหล่านี้ทำให้สปาที่เกิดขึ้นจำนวนมาก ต้องออกจากตลาดไปหลังจากทำธุรกิจได้ไม่นาน ก่อนหน้านี้ MINT เคยเข้าสู่ธุรกิจสปาตามลำพัง แต่ไม่มีความรู้ ความชำนาญ ทำให้ไม่ประสบความสำเร็จ จึงต้องมีการตัดสินใจร่วมทุนกับกลุ่มสเติร์น
สปา แปลได้ว่าการบำบัดด้วยน้ำ มูลค่าตลาดของธุรกิจสปาในเมืองไทย เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จนบางท่านบอกว่าประเทศไทยกำลังจะได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงแห่งสปา ซึ่งน่าจะเป็นอย่างนั้นเพราะเมื่อนำการบำบัดสปาแบบตะวันตก มาผสมผสานกับการบริการและการนวดแบบไทยๆ ทำให้สปาหลายแห่งในไทยติดอันดับ 1และ top 10 อันดับแรกของโลกเลยทีเดียว (ที่มีชื่อเสียงคือสปาของชีวาศม มันดาราสปา) และธุรกิจสปาของ MINT ก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย ภายใต้ชื่อ มันดาราสปา และอนันตราสปา ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ MINT พัฒนาขึ้นมาเอง
มันดาราสปาเป็นกิจการร่วมทุนระหว่าง MINT และกลุ่มสเติร์นของอเมริกา แต่เมื่อปีที่แล้ว MINT ได้ซื้อหุ้นทั้งหมดจากกลุ่มเสติร์น โดยได้สิทธิ์ใช้ชื่่อมันดาราสปา ในไทย จีน อินเดีย เวียดนาม ลาว กัมพูชา ปัจจุบัน MINT มีสปาให้บริการประมาณ 13 แห่ง มีห้องบำบัดนับร้อยห้อง ส่วนใหญ่เป็นสปาที่ตั้งอยู่ในรีสอทร์ของกลุ่ม รวมถึงโรงแรมบางแห่งนอกกลุ่ม เช่น เชอราตัน นอกจากนั้นยังมีสปาที่ตั้งในโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ รวมถึงสปา 2 แห่งในจีน
รวยได้รวมธุรกิจสปาปีที่แล้วประมาณ 300 ล้านบาท และมีต้นทุนทางตรงแค่ 120 ล้านบาท โดยที่รายได้และกำไรเติบโตก้าวกระโดดทุกปี นับว่าเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการทำกำไรที่ดีมาก
สปาในกลุ่มของ MINT มีความได้เปรียบสปาอื่นๆอย่างชัดเจนคือเป็นสปาที่อยู่ในโรงแรม ทำให้มีกลุ่มลูกค้าชัดเจน สม่ำเสมอ สามารถคิดค่าบริการสูงกว่าปกติได้ สปาที่จะมีชื่อเสียงขึ้นมาได้จะต้องอาศัยความรู้ ความชำนาญค่อนข้างมาก จะต้องมีการฝึกพนักงานเป็นอย่างดี สาเหตุเหล่านี้ทำให้สปาที่เกิดขึ้นจำนวนมาก ต้องออกจากตลาดไปหลังจากทำธุรกิจได้ไม่นาน ก่อนหน้านี้ MINT เคยเข้าสู่ธุรกิจสปาตามลำพัง แต่ไม่มีความรู้ ความชำนาญ ทำให้ไม่ประสบความสำเร็จ จึงต้องมีการตัดสินใจร่วมทุนกับกลุ่มสเติร์น
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
หุ้น 2 ตัวนี้ ไม่มีคำว่าสาย..หากคิดจะซื้อ
โพสต์ที่ 56
อ้าว...ลุงขวดเหลืออยู่แค่ 1000 หุ้นเองเหรอครับ :lol: :lol:ลุงขวด เขียน:อยากรู้ธรรมภิบาลแค่ไหน ต้องไปหัดขี่ ช๊อปเปอร์ หรือ หัด ขับเครื่องบินเล็ก กับเจ้าของเขาซิครับ....... ผมว่า เขาเก่งหลายด้านนะ เคยเข้าไปดูงบ เห็นมีการซื้อเครื่องบินเล็กด้วยใช่ไหมครับ ทำให้ ผม ผวา ไป พักหนึ่ง หันกลับมาคิด เขามีกิจการมากมาย โรงแรมก็อยู่ไกล เวลาเป็นเงินเป็นทอง ก็ เลย หลับตามองข้ามไปหน่อยนึง.... แต่อนาคต หุ้นตัวนี้น่าจะเป็น holding company ที่แข็งแกร่งตัวหนึ่ง คุณลูกอิสาน ลองว่าต่อซิครับ (เล่น style แบบผมเลยนะครับ เหลือไว้ดูต่างหน้า 100 หุ้น ผมเหลือไว้ 1000 หุ้น)
เคยทราบว่าลุงมีอยู่พอสมควร ตอนเพิ่มทุนปีที่แล้วจำได้ว่าลุงก็ใส่เงินเพิ่ม คงจะเหมือนกันตรงที่ เห็นราคาขึ้นมา อดไม่ได้เลยขายไป ที่ไหนได้ ราคาไม่ยอมลงมาอีกเลย ผมลืมไปว่ามีหุ้นปันผล 10/1 ไม่อย่างนั้นคงถือสัก 1000 หุ้น จะได้หุ้นลงตัวที่ 1100 ร้อยหุ้น เวลาขายจะได้ไม่มีปัญหาเศษหุ้น เหมือนตอนนี้
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 593
- ผู้ติดตาม: 0
หุ้น 2 ตัวนี้ ไม่มีคำว่าสาย..หากคิดจะซื้อ
โพสต์ที่ 58
พี่ลูกอีสานครับ ผมเองก็อ่าน 56-1 ของทั้งคู่ มาบ้างครับ
TR อ่านตอนต้นปี MINT อ่านและลงทุนตอนยังเป็น RGR
เนื่องจาก TR เจ้าของเป็นแขก เก็บเงินไว้ขยาย ปันผลน้อย
ก็เลย ไม่ค่อยชอบมาก เลยไม่ได้ศึกษาให้ลึกขึ้นครับ เลยไม่ขอออกความเห็น
ส่วน RGR
1.เป็นกิจการที่มีความสามารถในการแข่งขันที่โดดเด่น เห็นด้วยครับ
2.กิจการมีการขยายตัวทั้งคู่ เห็นด้วยครับ
3.ผู้บริหารเก่ง และน่าจะมีธรรมภิบาล
สำหรับ RGR ครับ เก่งนะเก่งแน่ครับมาก ๆ ด้วย แต่ผมติดว่าเขามีคนดูแลหุ้นครับ
ราคาก็เลยวิ่งแปลก ๆ ครับ แถมมีทั้งแยก ๆ รวม ๆ เดี๋ยวก็มีแจกหุ้น
ปรับไปมาซะจนจำที่มาไม่ค่อยได้แล้วครับ
4.มีความเสี่ยงต่ำทั้งในแง่ตัวกิจการเอง และความต่อเนื่องของผู้บริหาร ทำให้ถือหุ้นได้อย่างสบายใจไปอีกหลายปี
ผมว่าลักษณะกิจการบริษัทนี้ ตรงกับจุดแข็งประเทศไทยมากที่สุดครับ
Service(คนไทยบริการอันดับ 1) พักผ่อน(จุดเด่นการท่องเที่ยว) อาหาร (ครัวโลก)
Margin สูง (หากินกับคนที่มีรายได้ค่อนมาทางดีถึงรวย) และที่สำคัญไม่ใช่ไทยแท้
แต่เป็นไทยผสม คุณเจ้าของบริหารงานเป็นระบบที่ดีมากครับ
5.เป็นหุ้นขนาดกลางถึงเล็ก ครับ
6.ยอดขายรวมบริษัทย่อย มากกว่า 10,000 ล้านทั้งคู่ ครับ
7.นักลงทุนมีโอกาสได้รับปันผลและส่วนต่างราคาหุ้น ทั้ง 2 เด้ง
ปันผลนะใช่แน่ครับ
แต่ส่วนต่างนี่ ผมตอบไม่ได้เลยไม่ได้ลงทุนกันอีกเลยครับ ตั้งแต่อยู่ ๆ ก็วิ่งขึ้น
เลย 4 ทั้ง ๆ ที่พึ่งมี Tsunami ไม่นาน
เคยมีตอนประมาณ 3 บาท ครับ แล้วก็อ่อนหัดไม่มีหลักการ
ขายไปที่ 3.3-3.4 ครับ ทั้ง ๆ ที่ใจอยากจะถือยาว
เจอกันตอนยังเด็กไปนิดนึง
บริษัทใหญ่ขนาดนี้ผมก็วิแคะไม่ถูกครับ ว่าราคานี้ถูกหรือแพง เมื่อเทียบกับอนาคต
แต่แพงพอควรเมื่อเทียบกับตอนที่แยกทางกันครับ
ใจนะรักมาก แต่ราคานี่สิครับ พี่ลูกอีสานพอมีข้อแนะนำไหมครับ
ถ้าจะลืมอดีตแล้วเริ่มต้น ใหม่ รอซักแค่ไหนถึงมี Margin of safty ครับ:?:
TR อ่านตอนต้นปี MINT อ่านและลงทุนตอนยังเป็น RGR
เนื่องจาก TR เจ้าของเป็นแขก เก็บเงินไว้ขยาย ปันผลน้อย
ก็เลย ไม่ค่อยชอบมาก เลยไม่ได้ศึกษาให้ลึกขึ้นครับ เลยไม่ขอออกความเห็น
ส่วน RGR
1.เป็นกิจการที่มีความสามารถในการแข่งขันที่โดดเด่น เห็นด้วยครับ
2.กิจการมีการขยายตัวทั้งคู่ เห็นด้วยครับ
3.ผู้บริหารเก่ง และน่าจะมีธรรมภิบาล
สำหรับ RGR ครับ เก่งนะเก่งแน่ครับมาก ๆ ด้วย แต่ผมติดว่าเขามีคนดูแลหุ้นครับ
ราคาก็เลยวิ่งแปลก ๆ ครับ แถมมีทั้งแยก ๆ รวม ๆ เดี๋ยวก็มีแจกหุ้น
ปรับไปมาซะจนจำที่มาไม่ค่อยได้แล้วครับ
4.มีความเสี่ยงต่ำทั้งในแง่ตัวกิจการเอง และความต่อเนื่องของผู้บริหาร ทำให้ถือหุ้นได้อย่างสบายใจไปอีกหลายปี
ผมว่าลักษณะกิจการบริษัทนี้ ตรงกับจุดแข็งประเทศไทยมากที่สุดครับ
Service(คนไทยบริการอันดับ 1) พักผ่อน(จุดเด่นการท่องเที่ยว) อาหาร (ครัวโลก)
Margin สูง (หากินกับคนที่มีรายได้ค่อนมาทางดีถึงรวย) และที่สำคัญไม่ใช่ไทยแท้
แต่เป็นไทยผสม คุณเจ้าของบริหารงานเป็นระบบที่ดีมากครับ
5.เป็นหุ้นขนาดกลางถึงเล็ก ครับ
6.ยอดขายรวมบริษัทย่อย มากกว่า 10,000 ล้านทั้งคู่ ครับ
7.นักลงทุนมีโอกาสได้รับปันผลและส่วนต่างราคาหุ้น ทั้ง 2 เด้ง
ปันผลนะใช่แน่ครับ
แต่ส่วนต่างนี่ ผมตอบไม่ได้เลยไม่ได้ลงทุนกันอีกเลยครับ ตั้งแต่อยู่ ๆ ก็วิ่งขึ้น
เลย 4 ทั้ง ๆ ที่พึ่งมี Tsunami ไม่นาน
เคยมีตอนประมาณ 3 บาท ครับ แล้วก็อ่อนหัดไม่มีหลักการ
ขายไปที่ 3.3-3.4 ครับ ทั้ง ๆ ที่ใจอยากจะถือยาว
เจอกันตอนยังเด็กไปนิดนึง
บริษัทใหญ่ขนาดนี้ผมก็วิแคะไม่ถูกครับ ว่าราคานี้ถูกหรือแพง เมื่อเทียบกับอนาคต
แต่แพงพอควรเมื่อเทียบกับตอนที่แยกทางกันครับ
ใจนะรักมาก แต่ราคานี่สิครับ พี่ลูกอีสานพอมีข้อแนะนำไหมครับ
ถ้าจะลืมอดีตแล้วเริ่มต้น ใหม่ รอซักแค่ไหนถึงมี Margin of safty ครับ:?:
ต้องเรียนรู้ให้ได้
Li .. Zhi .. Ren
Li .. Zhi .. Ren
- คนขายของ
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 792
- ผู้ติดตาม: 0
หุ้น 2 ตัวนี้ ไม่มีคำว่าสาย..หากคิดจะซื้อ
โพสต์ที่ 60
เรื่อง MINT กับ TSUNAMI ครับ เท่าที่ทราบจากคนในวงการ MINT ได้รับผลดีจาก TSUNAMI ครับ เพราะโรงแรม JW MARRIOTT อยู่ใกล้กับ สนามบิน และมีห้องประชุมใหญ่สุดในระแวกนั้น ทำให้คณะทำงาน และ องค์กรต่างๆมาพักกันจำนวนมาก ค่าห้องเท่าที่เช็คล่าสุด ยังขายห้องราคาสูงกว่า 100 USD/คืน ครับ แต่โรงแรมที่ภูเก็ตที่ขนาดกลางถึงเล็กนี่โดนหนักครับ Occupancy Rate ประมาณ 10% อย่างไรก็ตาม JW มีส่วนในกำไรของ MINT น้อยมากครับ ไม่น่าเกิน 5%
อดทนไว้ กำไรยั่งยืน