วันนี้จิตใจห่อเหี่ยวมากครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 360
- ผู้ติดตาม: 0
วันนี้จิตใจห่อเหี่ยวมากครับ
โพสต์ที่ 33
เป็นปัญหาที่แก้ไขยากมากๆ ทางเจ้าหน้าที่พยายามสมานฉันทน์แต่กลุ่มก่อการร้ายไม่สมานฉันทน์ ชาวบ้านยังไม่ไว้วางใจเจ้าหน้าที่ ยังไม่ค่อยให้ความร่วมมือ ต้องเอาคนผิดมาลงโทษให้ได้ อย่าให้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย ไม่อย่างนั้นจะเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน กรณีที่เขาอยากเป็นคนมาเลย์ก็น่าเปิดโอกาสให้เลือกไม่ต้อง 2 สัญชาติ ว่าแต่ไม่รู้มาเลย์จะเอาหรือเปล่า ตอนนี้สถานการณ์ในพื้นที่ยังไม่ดีขึ้น คนไทยพุทธใครที่ย้ายออกนอกพื้นที่ 3 จังหวัดได้ก็ย้าย สงสารคนที่ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะครอบครัวผู้สูญเสียมันเป็นอะไรที่ทุกข์ทรมาน ขอให้ทางการช่วยเหลือให้มากๆหน่อยนะครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
วันนี้จิตใจห่อเหี่ยวมากครับ
โพสต์ที่ 36
ปกติไม่ค่อยได้ดูทีวี และก็ไม่ค่อยได้อ่านข่าว มัวแต่ไปเล่นปังย่า
อิอิ
วันนี้ซื้อหนังสือพิมพ์บ้านเมืองมาอ่าน
โห เห็นภาพจะๆ มีคนเอามีดกำลังแทง นาวิกโยธิน ในขณะนอนอยู่แบบไม่มีทางสู้
ตายแบบเลือดเย็นจริงๆ
อืม เรื่องการตาย แบบนี้ ต้องหาผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้ กฎหมายต้องเป็นกฎหมายกฏหมู่จะมาอยู่เหนือกฏหมายไม่ได้
จบไปเรื่องหนึ่ง คือเรื่องหาผู้กระทำความผิด
..............................................................................................................
แต่เรื่องที่น่าสังเกตุเล็กน้อย
คือ
รูปที่ถ่ายมานั้น ใครเปงคนถ่าย แล้วถ่ายขณะมีการแทงเลยนะ
คนที่ถ่ายนั้น เปงฝ่ายใด และทำไมถึงส่งรูปให้หนังสือพิมพ์
มะทราบว่าส่งเพื่อวัตถุประสงค์อันใด
อืม ถ้าเปงนักหนังสือพิมพ์ถ่าย คนที่ฆ่า เขาจะไม่หันมาฆ่าคนถ่ายหรือ เพราะเปงหลักฐาน ลักษณะภาพที่เห็น ไม่ใช่การแอบถ่ายนะ ถ่ายกันให้เห็นจะๆ เลย เออ หรือว่าซูม แอบถ่ายแบบซูม เป็นไปได้มะ คือมืออาชีพจริงๆ ในขณะที่มีการปิดล้อมไม่ให้ทหาร ตำรวจเข้าไป ก็มีมืออาชีพในการถ่ายแอบเข้าไปแล้วก็ถ่ายภาพออกมา แล้วก็ส่งให้หนังสือพิมพ์ อืม
........................................................................................................
ลองคิดกันดูเล่นๆนะ ถ้าภาพนั้นเปงภาพจริง เจ้าโจร ที่ฆ่า ก็คงต้องหนาวหละ เพราะมีหลักฐานชัดเจน เป็นตัวคนเลยนะ
แต่ถ้าภาพนั้นไม่ใช่ภาพจริง ความรู้สึกของชาวบ้านเป็นร้อย เป็นพัน ก็จะส่งข่าวไปยังเพื่อนๆ พี่ๆน้องๆ ให้รับรู้ว่า สื่อเชื่อถือไม่ได้เลย นี่เป็นสาเหตุหรือไม่ ว่าเขาต้องการสื่อจากมาเลย์ ผมไม่ได้รู้ แต่มองได้อีกด้าน ว่า ตามรัฐบาลนะ ว่า ชาวบ้านต้องการยกระดับการก่อการร้าย ให้เป็นระดับชาติ ฟังขึ้น ไม่ขึ้น คิดกันเอาเองนะครับ
..........................................................................................................
อีกภาพในหนังสือพิมพ์บ้านเมืองนั้น มีภาพชาวบ้าน ผู้หญิงและเด็กๆ ถือป้ายประท้วง
" พวกก่อการร้าย ที่แท้ก็พวกแกนี่เอง "
อืม มองได้สองแง่นะ คือ พวกชาวบ้านโดนมอมเมาให้หลงเชื่อไปกับพวกก่อการร้าย ว่าทางการ เป็นพวกก่อการร้าย
อีกแง่คิดเอาเอง
.....................................................................................................
เรื่องที่น่าสังเกตุสุดท้าย ทำไม หนังสือพิมพ์บ้านเมือง ลงรูปสองรูป ที่ท่าคิดสักหน่อย มันดูขัดแย้งกัน
เปงไปได้หรือไม่ หนึ่งเพื่อให้หนังสือพิมพ์อยูได้ และอีกหนึ่ง เพื่อสะท้อนความจริงให้ผู้อ่านคิดเอาเอง
.....................................................................................................
ผมตั้งใจเลิกวิจารณ์เรื่องนี้แล้ว
กระแสมันแรงเกินกว่า ที่ผมจะไปดูมัน
อะไรจะเกิด ก็เกิด
สัตว์โลก เป็นไปตามกรรม
อิอิ
วันนี้ซื้อหนังสือพิมพ์บ้านเมืองมาอ่าน
โห เห็นภาพจะๆ มีคนเอามีดกำลังแทง นาวิกโยธิน ในขณะนอนอยู่แบบไม่มีทางสู้
ตายแบบเลือดเย็นจริงๆ
อืม เรื่องการตาย แบบนี้ ต้องหาผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้ กฎหมายต้องเป็นกฎหมายกฏหมู่จะมาอยู่เหนือกฏหมายไม่ได้
จบไปเรื่องหนึ่ง คือเรื่องหาผู้กระทำความผิด
..............................................................................................................
แต่เรื่องที่น่าสังเกตุเล็กน้อย
คือ
รูปที่ถ่ายมานั้น ใครเปงคนถ่าย แล้วถ่ายขณะมีการแทงเลยนะ
คนที่ถ่ายนั้น เปงฝ่ายใด และทำไมถึงส่งรูปให้หนังสือพิมพ์
มะทราบว่าส่งเพื่อวัตถุประสงค์อันใด
อืม ถ้าเปงนักหนังสือพิมพ์ถ่าย คนที่ฆ่า เขาจะไม่หันมาฆ่าคนถ่ายหรือ เพราะเปงหลักฐาน ลักษณะภาพที่เห็น ไม่ใช่การแอบถ่ายนะ ถ่ายกันให้เห็นจะๆ เลย เออ หรือว่าซูม แอบถ่ายแบบซูม เป็นไปได้มะ คือมืออาชีพจริงๆ ในขณะที่มีการปิดล้อมไม่ให้ทหาร ตำรวจเข้าไป ก็มีมืออาชีพในการถ่ายแอบเข้าไปแล้วก็ถ่ายภาพออกมา แล้วก็ส่งให้หนังสือพิมพ์ อืม
........................................................................................................
ลองคิดกันดูเล่นๆนะ ถ้าภาพนั้นเปงภาพจริง เจ้าโจร ที่ฆ่า ก็คงต้องหนาวหละ เพราะมีหลักฐานชัดเจน เป็นตัวคนเลยนะ
แต่ถ้าภาพนั้นไม่ใช่ภาพจริง ความรู้สึกของชาวบ้านเป็นร้อย เป็นพัน ก็จะส่งข่าวไปยังเพื่อนๆ พี่ๆน้องๆ ให้รับรู้ว่า สื่อเชื่อถือไม่ได้เลย นี่เป็นสาเหตุหรือไม่ ว่าเขาต้องการสื่อจากมาเลย์ ผมไม่ได้รู้ แต่มองได้อีกด้าน ว่า ตามรัฐบาลนะ ว่า ชาวบ้านต้องการยกระดับการก่อการร้าย ให้เป็นระดับชาติ ฟังขึ้น ไม่ขึ้น คิดกันเอาเองนะครับ
..........................................................................................................
อีกภาพในหนังสือพิมพ์บ้านเมืองนั้น มีภาพชาวบ้าน ผู้หญิงและเด็กๆ ถือป้ายประท้วง
" พวกก่อการร้าย ที่แท้ก็พวกแกนี่เอง "
อืม มองได้สองแง่นะ คือ พวกชาวบ้านโดนมอมเมาให้หลงเชื่อไปกับพวกก่อการร้าย ว่าทางการ เป็นพวกก่อการร้าย
อีกแง่คิดเอาเอง
.....................................................................................................
เรื่องที่น่าสังเกตุสุดท้าย ทำไม หนังสือพิมพ์บ้านเมือง ลงรูปสองรูป ที่ท่าคิดสักหน่อย มันดูขัดแย้งกัน
เปงไปได้หรือไม่ หนึ่งเพื่อให้หนังสือพิมพ์อยูได้ และอีกหนึ่ง เพื่อสะท้อนความจริงให้ผู้อ่านคิดเอาเอง
.....................................................................................................
ผมตั้งใจเลิกวิจารณ์เรื่องนี้แล้ว
กระแสมันแรงเกินกว่า ที่ผมจะไปดูมัน
อะไรจะเกิด ก็เกิด
สัตว์โลก เป็นไปตามกรรม
- คัดท้าย
- Verified User
- โพสต์: 2917
- ผู้ติดตาม: 0
วันนี้จิตใจห่อเหี่ยวมากครับ
โพสต์ที่ 37
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews ... 0000130546
สงครามและการเมือง ปฐมเหตุการลี้ภัยของมลายูมุสลิม
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 23 กันยายน 2548 15:16 น.
ศูนย์ข่าวอิศรา...อารีฟิน บินจิ
เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ชาวมาลายูมุสลิมจากหลายอำเภอใน จ.นราธิวาส จำนวน 131 คน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ต่างอพยพลี้ภัยไปยังรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย กลายเป็นประเด็นร้อนที่ทั่วโลก สนใจ
การอพยพของชาวมลายูปัตตานี มิใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่ในอดีตนั้นเคยมีมาอย่างต่อเนื่อง
นับแต่สมัยสุลต่านอะหมัด ได้รับสถาปนาเป็นสุลต่านปัตตานีเมื่อปี 1776 (พ.ศ.2319) และได้เสียชีวิตจากสงคราม ปี ค.ศ 1785 (พ.ศ.2328) ผลของสงครามชาวมลายูถูกกวาดต้อนเข้าสู่บางกอกกว่า 4,000 คน ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งประมาณ 20,000 คน ก็อพยพลี้ภัยไปยังดินแดนเมืองมาลายูที่เป็นเพื่อนบ้าน จนมีการกล่าวกันว่ายุคนั้น ผู้ชายแม้จะเชือดไก่ทำแกงก็ไม่มี (เพราะตายในสงครามและอพยพลี้ภัย)
เมื่อต้นเดือนสิงหาคมนี้ ผู้เขียนได้ไปประชุมเรื่องปัญหาชายแดนที่ประเทศมาเลเซีย ได้พบวารสารที่ชื่อว่า Agama & Falsafah หรือแปลเป็นไทยว่า วารสาร ศาสนา และปรัชญา ประจำเดือนกรกฎาคม 2005 ก่อนเหตุการณ์อพยพที่นราธิวาส หน้าปกเป็นภาพของชายโพกศีรษะซึ่งเป็นแบบอย่างของ โต๊ะครู มีชื่อเรื่องข้างๆว่า Tuan Guru Haji Husien Penggerak Latihan Untuk Pejuang Pattani หรือแปลเป็นภาษาไทยว่า ต่วนฆูรู ฮัจญีฮุสเซ็น ผู้นำการต่อสู้เพื่อชาวปัตตานี โดย Ramli Abdul Halim เป็นผู้เขียน
จึงขอสรุป ส่วนที่น่าสนใจของวารสารดังกล่าวมานำเสนอ ณ ที่นี้
...การตกอยู่ภายใต้สยามของปัตตานีในปี พ.ศ.2328 มาจากความพยายามของสยามเมื่อก่อนหน้านั้น จนถึงครั้งนี้รวม 5 ครั้ง (ปี พ.ศ.2146, 2175, 2176 และ 2181)
ในคราวนั้น ได้มีการอพยพของบรรดาชาวปัตตานี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบรรดาอาลิม อูลามาอฺ หรือโต๊ะครู ซึ่งเป็นทั้งผู้นำศาสนาผู้ให้การศึกษาแก่ชุมชน และบางทีก็เป็นผู้นำการต่อสู้ ในหมู่นักต่อสู้ชาวมุสลิมปัตตานีด้วย
ในบรรดาผู้นำเหล่านั้นมี ต่วนฆูรู ฮุสเซ็น ปารัง ปันยัง หรือชื่อจริงว่า ต่วนฆูรู ฮัจญีฮุสเซ็น บิน ต่วนฆูรู ฮัจญีอิสมาแอล หรือ ต่วนฆูรู หะยีเจ๊ะโด บินมุสตาฟาร์ เป็นผู้ที่ถูกกล่าวขานกันมาก
ความจริงที่เกิดขึ้น หลังสงครามครั้งที่ห้าในปี พ.ศ.2328 ชาวมาลายูมุสลิมปัตตานี ไม่อาจจะต้านทานนโยบายที่เรียกว่า แบ่งแยกและปกครอง อันเป็นนโยบายหรือยุทธศาสตร์สำคัญที่จะรักษาอำนาจของสยามไว้
จากนโยบายดังกล่าว ทำให้ปัตตานีถูกแยกออกเป็นเมืองเล็กเมืองน้อย (7 หัวเมือง) ได้ก่อให้เกิดการต่อต้านจากชาวมลายูปัตตานี คือตั้งแต่ 2330 เป็นต้นมา เหตุการณ์นั้นได้เพิ่มความรุนแรงในระดับสูงในปี 2493
การต่อต้านอำนาจสยามเริ่มตั้งแต่ เต็งกูลัมมีเด็น และดาโต๊ะปังกาลัน ได้ทำให้การปกครองของสยามต่อปัตตานีมีผลกระทบรุนแรง แม้บุคคลทั้งสองนั้นจะได้การแต่งตั้งเป็นผู้ปกครองปัตตานีจากสยาม ก็ตาม
ครั้นต่อมาสยามได้แต่งตั้ง เต็งกูสุหลง (พ.ศ.2358-2375) ซึ่งเป็นหลานของดาโต๊ะปังกาลัน เป็นเจ้าเมืองปัตตานีแทนเจ้าเมืองคนเก่าที่เป็นชาวสยาม ในสมัยของท่าน ท่านได้ซ่อมแซมมัสยิดกรือเซะที่เสียหายจากสงครามในปี 2328 ซึ่งในยุคนั้นปัตตานีได้ชื่อว่า เป็นศูนย์กลางที่ชาวเอเชียอาคเนย์ต่างมุ่งหน้ามาตักตวงความรู้ทางศาสนาอิสลามกันที่ปัตตานี
ในปี 2374 เต็งกูสุหลงได้ร่วมกับ ซัยค์ ซัยนัล อาบีดีน หรือรู้จักกันในนามว่า เต็งกู เด็น หลานสุลต่านเคดะห์ ทำสงครามกับสยามโดยมีเมืองต่างๆ ที่อยู่ภายใต้ปัตตานีมาก่อนให้การสนับสนุน
สงครามครั้งนั้น ซัยค์ ดาวูด อับดุลลอฮฺ อัล-ฟาฎอนี เลือดเนื้อชาวปัตตานีที่ไปอยู่มักกะฮ์ ก็เดินทางกลับปัตตานีเพื่อร่วมทำสงคราม ซัยค์ดาวูด เป็นอูลามะอฺ ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของมุสลิมในเอเชียอาคเนย์ ท่านเป็นผู้แต่งตำราทางศาสนาไม่น้อยกว่า 100 เรื่อง หลังสงครามครั้งนั้นท่านก็ได้เดินทางลี้ภัยไปยังเมือง มักกะฮฺ อีกครั้งหนึ่ง และท่านก็ได้เสียชีวิตที่นั่น
ในสงครามครั้งนั้นเช่นเดียวกัน ที่ แซะห์ อับดุซ ซามัด อัล- ฟาลิมบานี นักเขียนตำรา ตาซาวุฟ ที่โลกมลายูรู้จักดี ได้เข้าร่วมทำสงครามด้วย แต่ท่านได้เสียชีวิตในสงคราม (ศพท่านถูกฝังไว้ในเขต อ.จะนะ จ.สงขลา ยังปรากฎร่องรอยจนปัจจุบัน) นอกจากนั้น ยังมีการสนับสนุนกำลังคนในการทำศึกครั้งนี้จากรัฐกลันตันและตรังกานูอีกด้วย
ผลจากสงครามครั้งนี้คือความพ่ายแพ้ ชาวมลายูจำนวน 6,000 คนถูกจับเป็นเชลยเข้ากรุงเทพฯ และ 4,000 คนลี้ภัยสงครามไปยังรัฐมลายูอื่นๆ
แม้ว่าสงครามครั้งนั้นชาวมลายูได้รับความสูญเสีย แต่การต่อสู้ของบรรดาอูลามะอฺ ในปัตตานีก็ยังคงดำเนินต่อไป เช่น ซัยค์นิเดร์ อัล-ฟาฎอนี, ฮัจญี วันอะหมัด บินมูฮัมหมัดเซ็น บินมุสตาฟาร์ อัล-ฟาฎอนี, และซัยค์นิมะ กือจิ อัล-ฟาฎอนี เป็นต้น
แรงกดดันจากสยามที่มีต่อบรรดา อาลิม อูลามะอฺ รวมทั้งบรรดาโต๊ะครูโรงเรียนปอเนาะต่างๆโดยเฉพาะผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากฟากิฮ์ อาลี มัลบารี ต้องถอยร่นลี้ภัยไปยังแผ่นดินมาลายู รวมทั้งเกาะแก่งต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในบรรดาอูลามะอฺ ที่ลี้ภัยจากปัตตานีนั้น ก็มีซัยค์อับดุลกาเดร์ บูกิตบายะห์ ที่อพยพไปยังตรังกานู ซึ่งต่อมาท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นมุฟตี (ผู้ชี้ขาดข้อพิพาททางศาสนา หรือ ฟัตวา) ของรัฐตรังกานู ต่อมา ซัยค์อับดุลเลาะห์ หรือรู้จักกันในนาม โต๊ะกู ปูลาดูยง ท่านได้รับเกียรติและได้รับการขนามนามว่า ไซคุล อูลามะอฺ จนได้รับการแต่งตั้งเป็นมุฟตีของรัฐตรังกานูอีกผู้หนึ่งหลังจาก ท่านซัยค์อับดุลกาเดร์เสียชีวิต
อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีอูลามะอฺ อีกท่านหนึ่งอพยพไปยังตอนเหนือของแหลมมาลายู คือ ฮัจญีวันอิดริส ฮัจญีวันจามัล หรือที่รู้จักกันในนาม โต๊ะซัยค์ จารุม ท่านได้เปิดปอเนาะขึ้นที่บ้านดูรฆา ถนนลังงาร์ อลอสตาร์ รัฐเคดะห์
มีผู้อพยพไปยังเมืองเคดะห์อีกผู้หนึ่งคือ ฮัจญี อิสมาแอล์ หรือ ฮัจญีเจ๊ะโดล์ บินมุสตาฟาร์ ที่เปิดปอเนาะที่กูวา จือปือเดาะ รัฐเคดะห์ นอกจากนั้นยังมี ซัยค์ อิบราเฮ็ม บินซัยค์ อับดุลกาเดร์ มุสตาฟาร์ บินมูฮัมหมัด อัล-ฟาฎอนี ก็เปิดปอเนาะขึ้นที่ กาเญาะมาตี เคดะห์ เช่นกัน ท่านได้รับฉายาว่า ปะจูเฮ็ง ท่านคือบุตรชายของโต๊ะบันนังดายอ(ชื่อเรียกขานของบิดาท่าน) ซึ่งเป็นผู้แต่งตำราศาสนา ที่ชื่อว่า Fathul Jalil Wa-Sifatul-Jalil และแต่งตำราอูซุลลูดดีน ที่ชื่อว่า Kawaid ul-Fiqhiyah
ซัยค์ อะหมัด ตาญูดดีน ได้เปิดปอเนาะที่ เมอเลเล, เต็งกูมะหมูด ซูห์ดี เต็งกูอับดุลเราะห์มาน ได้อพยพไปยังสะลังงอ และได้รับเกียรติจากสุลต่านสะลังงอให้เป็นไซคุล อิสลาม แห่งรัฐสะลังงอ ขณะเดียวกันนั้น ฮัจญี ไซนัล อาบีดีน บินอะหมัดหรือมูฮัมหมัด หรือที่รู้จักกันในนามว่า ตูวันมีนาล์ ซึ่งเป็นผู้แต่งตำราศาสนาที่ชื่อว่า Aqidah an-Naajin ท่านได้อพยพและไปเปิดปอเนาะที่สุไหงดูวา ซือบือรังไปร (รัฐปีนัง)
หลานชาย ตูวัน มีนาล์ ที่มีนามว่า ต่วน ฆูรู ฮัจญีสุหลง บินอับดุลกาเดร์ ได้เป็นผู้สืบต่อเจตนาของบรรดาอูลามะอฺ สมัยก่อนหน้านั้น ในการต่อสู้เพื่อสิทธิของชาวมลายูปัตตานี ในโอกาสที่ ท่านได้เดินทางกลับไปปักหลักที่ปัตตานี ท่านได้พยายามพัฒนาการศึกษาในระบบปอเนาะรูปแบบเก่า ให้ทันสมัย โดยจัดให้เป็นรูปแบบโรงเรียนสอนศาสนา จากรากฐานของมัดราซะห์ ที่เรียกว่า อัล-มะอฺรีฟ อัลวาตาเนียะห์ มัดราซะห์นี้ เป็นเสมือนโรงเรียนศาสนาเริ่มแรกในปัตตานี ที่บรรดาผู้เล่าเรียนได้ใช้เป็นสถานที่สำหรับฝึกปฏิบัติในทางศาสนา
ฮัจญีสุหลง ได้ต่อสู้เพื่อชาวมลายูปัตตานีจนเสียชีวิตในเดือนสิงหาคม ค.ศ.1954 การเสียชีวิตของท่านเป็นที่รู้กันทั่วไปว่าเกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐ ในบทความเขียน เกี่ยวกับการเสียชีวิตของท่านเป็นสุภาษิตไว้ว่าmelempar batu sembunyi tanganหรือ ตรงกับภาษิตไทยว่า ช้างตายทั้งตัว เอาใบบัวมาปิด หรือ ความลับไม่มีในโลก
ในยุคเดียวกันนั้น ได้มี ต่วนฮัจญีฮุสเซ็น โต๊ะเจ๊ะโดล์ บินมุสตาฟาร์ ซึ่งเกี่ยวพันใกล้ชิดทางบิดา กับ ศูนย์การศึกษาศาสนาอิสลามที่ บ้านกูวา จือปือเดาะ (รัฐเคดะห์ )
ศูนย์การศึกษาศาสนาอิสลามหรือปอเนาะ ที่ชื่อว่าอัล- อัคลาฆียะห์ได้เป็นสถานที่ฝึกวิชาการต่อสู้ป้องกันตัวของชาวมาลายูอิสลามปัตตานี ต่วนฆูรู ฮัจญีฮุสเซ็น และคู่เขยที่ชื่อว่า ต่วนฆูรู ฮัจญีอึมบง ซึ่งเป็นบุตรชายของต่วนฆูรู ชาโอ๊ะ(Chaok) เป็นผู้มีบทบาทสำคัญมากในเรื่องดังกล่าว ต่วนฆูรุ ฮัจญีอึมบง หรือ ที่รู้กันในนามว่าต่วนฆูรู อับดุลมาญิด หรือ ต่วนฆูรูอับดุลมาญิด อึมบง เป็นนักปาฐกถที่สามารถปลุกขวัญกำลังใจได้ดีเยี่ยม
ต่วนฆูรู ฮัจญีฮุสเซ็น ซึ่งเก่งกาจในเรื่องศีละ ฆายง หรือการต่อสู้ป้องกันตัวแบบหนึ่งของชาวมาลายู ได้รับการขนามนามว่า โต๊ะ ฆูรู ฮัจญี ฮูสเซ็น ปือรังปันยังหรือ โต๊ะครูฮัจญีฮุสเซ็นพร้ายาว มีผลงานที่ร่ำลือของท่านและลูกศิษย์ คือการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์กลุ่ม 3 ดาว ที่ บูกิต ญือนุน พวกเขาใช้เพียงมีดพร้ายาวเป็นอาวุธ ทำให้พลพรรคพวกคอมมูนิสต์ ประมาณ 40 คนถูกสังหาร
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นแล้ว กลุ่มทหารป่าคอมมิวนิสต์ 3 ดาว ก็ไม่กล้าที่จะเข้ามาข่มเหงชาวบ้านอีก นาม ต่วนฆูรูฮัจญีฮุสเซ็น พร้ายาวนั้น เป็นชื่อที่ชาวจีนที่เคดะห์ตั้งให้ เพราะชาวจีนศรัทธาในความกล้าหาญของท่าน จนกระทั่งได้ยกย่องท่านว่าเป็นผู้วิเศษ
ต่วนฆูรู ฮุสซ็น มีความรู้ความสามารถเท่าเทียมกับคู่เขยของท่านคือ ต่วนฆูรู ฮัจญีอึมบงซึ่งเคยเป็นครูสอนศาสนาในพระราชวังของสุลต่านเคดะห์ ท่านได้รับการอนุคราะห์จากสุลต่าน พระราชทานรถยนต์คันหนึ่ง ซึ่งในสมัยนั้นทั่วไปไม่สามารถมีรถยนต์ใช้กันมาก่อน
การต่อสู้ของชาวมลายูปัตตานี ไม่อาจจะขยายไปได้อย่างกว้างขวาง เมื่อถึงวันบังเกิดขึ้น แล้วก็ต้องมีวันที่ต้องสูญสลายไป
อย่างไรก็ตาม เป็นที่กล่าวขานกันว่า ท่านต่วนฆูรู ฮัจญีวันฮุสเซ็น เป็นผู้นำศาสนา หรืออาลิ่ม อูลามะอฺ ที่มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว และได้กลายเป็นวีรบุรุษที่อยู่ในหัวใจของชาวปัตตานีทั่วแคว้นมลายูชั่วกาลนาน
ขอองค์อัลลอฮ์ ได้รับเอาดวงวิญญาณของท่าน ได้อยู่ในบรรดาผู้มุอฺมีนด้วยเถิด อามีน.
...จากบทความข้างต้นจะเห็นได้ว่า การฮิจเราะห์ หรือการอพยพของชาวมลายูปาตานีในอดีตจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม นอกจากเขาจะนำวิชาการศาสนาอิสลามไปเผยแผ่จนได้รับความเชื่อถือจากผู้นำรัฐแต่งตั้งให้มีตำแหน่งสำคัญแล้ว ยังได้จัดระบบการศึกษาที่เรียกว่า ปอเนาะ ให้แก่รัฐมลายูจนเจริญรุ่งเรือง แต่..ขณะเดียวกัน นักการเมืองไทยบางกลุ่มกำลังคิดจะยกเลิกปอเนาะ ขอถาม นักการเมืองมุสลิมในสภาไทย ยังพอมีบ้างไหม ...?
จึงเป็นบทเรียนของรัฐบาลไทย ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการทุกระดับในพื้นที่จะต้องเรียนรู้ปัญหาซ้ำซากที่เกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐ และนักการเมืองที่พยายามสร้างภาพเพื่อเอาหน้า ตลอดจนการกำหนดนโยบายที่ผิดพลาดในอดีตต่อมลายูมุสลิม ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากจะเป็นผลกระทบต่อการเมืองระหว่างประเทศแล้ว ยังมีผู้ได้รับประโยชน์เต็มๆ คือประเทศเพื่อนบ้าน
ในขณะที่ชาวมลายูปัตตานี และรัฐไทยเอง ต้องสูญเสียทรัพยากรบุคคลที่มีค่าของตนไปโดยไม่อาจจะเรียกกลับคืนมาได้
สงครามและการเมือง ปฐมเหตุการลี้ภัยของมลายูมุสลิม
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 23 กันยายน 2548 15:16 น.
ศูนย์ข่าวอิศรา...อารีฟิน บินจิ
เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ชาวมาลายูมุสลิมจากหลายอำเภอใน จ.นราธิวาส จำนวน 131 คน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ต่างอพยพลี้ภัยไปยังรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย กลายเป็นประเด็นร้อนที่ทั่วโลก สนใจ
การอพยพของชาวมลายูปัตตานี มิใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่ในอดีตนั้นเคยมีมาอย่างต่อเนื่อง
นับแต่สมัยสุลต่านอะหมัด ได้รับสถาปนาเป็นสุลต่านปัตตานีเมื่อปี 1776 (พ.ศ.2319) และได้เสียชีวิตจากสงคราม ปี ค.ศ 1785 (พ.ศ.2328) ผลของสงครามชาวมลายูถูกกวาดต้อนเข้าสู่บางกอกกว่า 4,000 คน ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งประมาณ 20,000 คน ก็อพยพลี้ภัยไปยังดินแดนเมืองมาลายูที่เป็นเพื่อนบ้าน จนมีการกล่าวกันว่ายุคนั้น ผู้ชายแม้จะเชือดไก่ทำแกงก็ไม่มี (เพราะตายในสงครามและอพยพลี้ภัย)
เมื่อต้นเดือนสิงหาคมนี้ ผู้เขียนได้ไปประชุมเรื่องปัญหาชายแดนที่ประเทศมาเลเซีย ได้พบวารสารที่ชื่อว่า Agama & Falsafah หรือแปลเป็นไทยว่า วารสาร ศาสนา และปรัชญา ประจำเดือนกรกฎาคม 2005 ก่อนเหตุการณ์อพยพที่นราธิวาส หน้าปกเป็นภาพของชายโพกศีรษะซึ่งเป็นแบบอย่างของ โต๊ะครู มีชื่อเรื่องข้างๆว่า Tuan Guru Haji Husien Penggerak Latihan Untuk Pejuang Pattani หรือแปลเป็นภาษาไทยว่า ต่วนฆูรู ฮัจญีฮุสเซ็น ผู้นำการต่อสู้เพื่อชาวปัตตานี โดย Ramli Abdul Halim เป็นผู้เขียน
จึงขอสรุป ส่วนที่น่าสนใจของวารสารดังกล่าวมานำเสนอ ณ ที่นี้
...การตกอยู่ภายใต้สยามของปัตตานีในปี พ.ศ.2328 มาจากความพยายามของสยามเมื่อก่อนหน้านั้น จนถึงครั้งนี้รวม 5 ครั้ง (ปี พ.ศ.2146, 2175, 2176 และ 2181)
ในคราวนั้น ได้มีการอพยพของบรรดาชาวปัตตานี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบรรดาอาลิม อูลามาอฺ หรือโต๊ะครู ซึ่งเป็นทั้งผู้นำศาสนาผู้ให้การศึกษาแก่ชุมชน และบางทีก็เป็นผู้นำการต่อสู้ ในหมู่นักต่อสู้ชาวมุสลิมปัตตานีด้วย
ในบรรดาผู้นำเหล่านั้นมี ต่วนฆูรู ฮุสเซ็น ปารัง ปันยัง หรือชื่อจริงว่า ต่วนฆูรู ฮัจญีฮุสเซ็น บิน ต่วนฆูรู ฮัจญีอิสมาแอล หรือ ต่วนฆูรู หะยีเจ๊ะโด บินมุสตาฟาร์ เป็นผู้ที่ถูกกล่าวขานกันมาก
ความจริงที่เกิดขึ้น หลังสงครามครั้งที่ห้าในปี พ.ศ.2328 ชาวมาลายูมุสลิมปัตตานี ไม่อาจจะต้านทานนโยบายที่เรียกว่า แบ่งแยกและปกครอง อันเป็นนโยบายหรือยุทธศาสตร์สำคัญที่จะรักษาอำนาจของสยามไว้
จากนโยบายดังกล่าว ทำให้ปัตตานีถูกแยกออกเป็นเมืองเล็กเมืองน้อย (7 หัวเมือง) ได้ก่อให้เกิดการต่อต้านจากชาวมลายูปัตตานี คือตั้งแต่ 2330 เป็นต้นมา เหตุการณ์นั้นได้เพิ่มความรุนแรงในระดับสูงในปี 2493
การต่อต้านอำนาจสยามเริ่มตั้งแต่ เต็งกูลัมมีเด็น และดาโต๊ะปังกาลัน ได้ทำให้การปกครองของสยามต่อปัตตานีมีผลกระทบรุนแรง แม้บุคคลทั้งสองนั้นจะได้การแต่งตั้งเป็นผู้ปกครองปัตตานีจากสยาม ก็ตาม
ครั้นต่อมาสยามได้แต่งตั้ง เต็งกูสุหลง (พ.ศ.2358-2375) ซึ่งเป็นหลานของดาโต๊ะปังกาลัน เป็นเจ้าเมืองปัตตานีแทนเจ้าเมืองคนเก่าที่เป็นชาวสยาม ในสมัยของท่าน ท่านได้ซ่อมแซมมัสยิดกรือเซะที่เสียหายจากสงครามในปี 2328 ซึ่งในยุคนั้นปัตตานีได้ชื่อว่า เป็นศูนย์กลางที่ชาวเอเชียอาคเนย์ต่างมุ่งหน้ามาตักตวงความรู้ทางศาสนาอิสลามกันที่ปัตตานี
ในปี 2374 เต็งกูสุหลงได้ร่วมกับ ซัยค์ ซัยนัล อาบีดีน หรือรู้จักกันในนามว่า เต็งกู เด็น หลานสุลต่านเคดะห์ ทำสงครามกับสยามโดยมีเมืองต่างๆ ที่อยู่ภายใต้ปัตตานีมาก่อนให้การสนับสนุน
สงครามครั้งนั้น ซัยค์ ดาวูด อับดุลลอฮฺ อัล-ฟาฎอนี เลือดเนื้อชาวปัตตานีที่ไปอยู่มักกะฮ์ ก็เดินทางกลับปัตตานีเพื่อร่วมทำสงคราม ซัยค์ดาวูด เป็นอูลามะอฺ ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของมุสลิมในเอเชียอาคเนย์ ท่านเป็นผู้แต่งตำราทางศาสนาไม่น้อยกว่า 100 เรื่อง หลังสงครามครั้งนั้นท่านก็ได้เดินทางลี้ภัยไปยังเมือง มักกะฮฺ อีกครั้งหนึ่ง และท่านก็ได้เสียชีวิตที่นั่น
ในสงครามครั้งนั้นเช่นเดียวกัน ที่ แซะห์ อับดุซ ซามัด อัล- ฟาลิมบานี นักเขียนตำรา ตาซาวุฟ ที่โลกมลายูรู้จักดี ได้เข้าร่วมทำสงครามด้วย แต่ท่านได้เสียชีวิตในสงคราม (ศพท่านถูกฝังไว้ในเขต อ.จะนะ จ.สงขลา ยังปรากฎร่องรอยจนปัจจุบัน) นอกจากนั้น ยังมีการสนับสนุนกำลังคนในการทำศึกครั้งนี้จากรัฐกลันตันและตรังกานูอีกด้วย
ผลจากสงครามครั้งนี้คือความพ่ายแพ้ ชาวมลายูจำนวน 6,000 คนถูกจับเป็นเชลยเข้ากรุงเทพฯ และ 4,000 คนลี้ภัยสงครามไปยังรัฐมลายูอื่นๆ
แม้ว่าสงครามครั้งนั้นชาวมลายูได้รับความสูญเสีย แต่การต่อสู้ของบรรดาอูลามะอฺ ในปัตตานีก็ยังคงดำเนินต่อไป เช่น ซัยค์นิเดร์ อัล-ฟาฎอนี, ฮัจญี วันอะหมัด บินมูฮัมหมัดเซ็น บินมุสตาฟาร์ อัล-ฟาฎอนี, และซัยค์นิมะ กือจิ อัล-ฟาฎอนี เป็นต้น
แรงกดดันจากสยามที่มีต่อบรรดา อาลิม อูลามะอฺ รวมทั้งบรรดาโต๊ะครูโรงเรียนปอเนาะต่างๆโดยเฉพาะผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากฟากิฮ์ อาลี มัลบารี ต้องถอยร่นลี้ภัยไปยังแผ่นดินมาลายู รวมทั้งเกาะแก่งต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในบรรดาอูลามะอฺ ที่ลี้ภัยจากปัตตานีนั้น ก็มีซัยค์อับดุลกาเดร์ บูกิตบายะห์ ที่อพยพไปยังตรังกานู ซึ่งต่อมาท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นมุฟตี (ผู้ชี้ขาดข้อพิพาททางศาสนา หรือ ฟัตวา) ของรัฐตรังกานู ต่อมา ซัยค์อับดุลเลาะห์ หรือรู้จักกันในนาม โต๊ะกู ปูลาดูยง ท่านได้รับเกียรติและได้รับการขนามนามว่า ไซคุล อูลามะอฺ จนได้รับการแต่งตั้งเป็นมุฟตีของรัฐตรังกานูอีกผู้หนึ่งหลังจาก ท่านซัยค์อับดุลกาเดร์เสียชีวิต
อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีอูลามะอฺ อีกท่านหนึ่งอพยพไปยังตอนเหนือของแหลมมาลายู คือ ฮัจญีวันอิดริส ฮัจญีวันจามัล หรือที่รู้จักกันในนาม โต๊ะซัยค์ จารุม ท่านได้เปิดปอเนาะขึ้นที่บ้านดูรฆา ถนนลังงาร์ อลอสตาร์ รัฐเคดะห์
มีผู้อพยพไปยังเมืองเคดะห์อีกผู้หนึ่งคือ ฮัจญี อิสมาแอล์ หรือ ฮัจญีเจ๊ะโดล์ บินมุสตาฟาร์ ที่เปิดปอเนาะที่กูวา จือปือเดาะ รัฐเคดะห์ นอกจากนั้นยังมี ซัยค์ อิบราเฮ็ม บินซัยค์ อับดุลกาเดร์ มุสตาฟาร์ บินมูฮัมหมัด อัล-ฟาฎอนี ก็เปิดปอเนาะขึ้นที่ กาเญาะมาตี เคดะห์ เช่นกัน ท่านได้รับฉายาว่า ปะจูเฮ็ง ท่านคือบุตรชายของโต๊ะบันนังดายอ(ชื่อเรียกขานของบิดาท่าน) ซึ่งเป็นผู้แต่งตำราศาสนา ที่ชื่อว่า Fathul Jalil Wa-Sifatul-Jalil และแต่งตำราอูซุลลูดดีน ที่ชื่อว่า Kawaid ul-Fiqhiyah
ซัยค์ อะหมัด ตาญูดดีน ได้เปิดปอเนาะที่ เมอเลเล, เต็งกูมะหมูด ซูห์ดี เต็งกูอับดุลเราะห์มาน ได้อพยพไปยังสะลังงอ และได้รับเกียรติจากสุลต่านสะลังงอให้เป็นไซคุล อิสลาม แห่งรัฐสะลังงอ ขณะเดียวกันนั้น ฮัจญี ไซนัล อาบีดีน บินอะหมัดหรือมูฮัมหมัด หรือที่รู้จักกันในนามว่า ตูวันมีนาล์ ซึ่งเป็นผู้แต่งตำราศาสนาที่ชื่อว่า Aqidah an-Naajin ท่านได้อพยพและไปเปิดปอเนาะที่สุไหงดูวา ซือบือรังไปร (รัฐปีนัง)
หลานชาย ตูวัน มีนาล์ ที่มีนามว่า ต่วน ฆูรู ฮัจญีสุหลง บินอับดุลกาเดร์ ได้เป็นผู้สืบต่อเจตนาของบรรดาอูลามะอฺ สมัยก่อนหน้านั้น ในการต่อสู้เพื่อสิทธิของชาวมลายูปัตตานี ในโอกาสที่ ท่านได้เดินทางกลับไปปักหลักที่ปัตตานี ท่านได้พยายามพัฒนาการศึกษาในระบบปอเนาะรูปแบบเก่า ให้ทันสมัย โดยจัดให้เป็นรูปแบบโรงเรียนสอนศาสนา จากรากฐานของมัดราซะห์ ที่เรียกว่า อัล-มะอฺรีฟ อัลวาตาเนียะห์ มัดราซะห์นี้ เป็นเสมือนโรงเรียนศาสนาเริ่มแรกในปัตตานี ที่บรรดาผู้เล่าเรียนได้ใช้เป็นสถานที่สำหรับฝึกปฏิบัติในทางศาสนา
ฮัจญีสุหลง ได้ต่อสู้เพื่อชาวมลายูปัตตานีจนเสียชีวิตในเดือนสิงหาคม ค.ศ.1954 การเสียชีวิตของท่านเป็นที่รู้กันทั่วไปว่าเกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐ ในบทความเขียน เกี่ยวกับการเสียชีวิตของท่านเป็นสุภาษิตไว้ว่าmelempar batu sembunyi tanganหรือ ตรงกับภาษิตไทยว่า ช้างตายทั้งตัว เอาใบบัวมาปิด หรือ ความลับไม่มีในโลก
ในยุคเดียวกันนั้น ได้มี ต่วนฮัจญีฮุสเซ็น โต๊ะเจ๊ะโดล์ บินมุสตาฟาร์ ซึ่งเกี่ยวพันใกล้ชิดทางบิดา กับ ศูนย์การศึกษาศาสนาอิสลามที่ บ้านกูวา จือปือเดาะ (รัฐเคดะห์ )
ศูนย์การศึกษาศาสนาอิสลามหรือปอเนาะ ที่ชื่อว่าอัล- อัคลาฆียะห์ได้เป็นสถานที่ฝึกวิชาการต่อสู้ป้องกันตัวของชาวมาลายูอิสลามปัตตานี ต่วนฆูรู ฮัจญีฮุสเซ็น และคู่เขยที่ชื่อว่า ต่วนฆูรู ฮัจญีอึมบง ซึ่งเป็นบุตรชายของต่วนฆูรู ชาโอ๊ะ(Chaok) เป็นผู้มีบทบาทสำคัญมากในเรื่องดังกล่าว ต่วนฆูรุ ฮัจญีอึมบง หรือ ที่รู้กันในนามว่าต่วนฆูรู อับดุลมาญิด หรือ ต่วนฆูรูอับดุลมาญิด อึมบง เป็นนักปาฐกถที่สามารถปลุกขวัญกำลังใจได้ดีเยี่ยม
ต่วนฆูรู ฮัจญีฮุสเซ็น ซึ่งเก่งกาจในเรื่องศีละ ฆายง หรือการต่อสู้ป้องกันตัวแบบหนึ่งของชาวมาลายู ได้รับการขนามนามว่า โต๊ะ ฆูรู ฮัจญี ฮูสเซ็น ปือรังปันยังหรือ โต๊ะครูฮัจญีฮุสเซ็นพร้ายาว มีผลงานที่ร่ำลือของท่านและลูกศิษย์ คือการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์กลุ่ม 3 ดาว ที่ บูกิต ญือนุน พวกเขาใช้เพียงมีดพร้ายาวเป็นอาวุธ ทำให้พลพรรคพวกคอมมูนิสต์ ประมาณ 40 คนถูกสังหาร
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นแล้ว กลุ่มทหารป่าคอมมิวนิสต์ 3 ดาว ก็ไม่กล้าที่จะเข้ามาข่มเหงชาวบ้านอีก นาม ต่วนฆูรูฮัจญีฮุสเซ็น พร้ายาวนั้น เป็นชื่อที่ชาวจีนที่เคดะห์ตั้งให้ เพราะชาวจีนศรัทธาในความกล้าหาญของท่าน จนกระทั่งได้ยกย่องท่านว่าเป็นผู้วิเศษ
ต่วนฆูรู ฮุสซ็น มีความรู้ความสามารถเท่าเทียมกับคู่เขยของท่านคือ ต่วนฆูรู ฮัจญีอึมบงซึ่งเคยเป็นครูสอนศาสนาในพระราชวังของสุลต่านเคดะห์ ท่านได้รับการอนุคราะห์จากสุลต่าน พระราชทานรถยนต์คันหนึ่ง ซึ่งในสมัยนั้นทั่วไปไม่สามารถมีรถยนต์ใช้กันมาก่อน
การต่อสู้ของชาวมลายูปัตตานี ไม่อาจจะขยายไปได้อย่างกว้างขวาง เมื่อถึงวันบังเกิดขึ้น แล้วก็ต้องมีวันที่ต้องสูญสลายไป
อย่างไรก็ตาม เป็นที่กล่าวขานกันว่า ท่านต่วนฆูรู ฮัจญีวันฮุสเซ็น เป็นผู้นำศาสนา หรืออาลิ่ม อูลามะอฺ ที่มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว และได้กลายเป็นวีรบุรุษที่อยู่ในหัวใจของชาวปัตตานีทั่วแคว้นมลายูชั่วกาลนาน
ขอองค์อัลลอฮ์ ได้รับเอาดวงวิญญาณของท่าน ได้อยู่ในบรรดาผู้มุอฺมีนด้วยเถิด อามีน.
...จากบทความข้างต้นจะเห็นได้ว่า การฮิจเราะห์ หรือการอพยพของชาวมลายูปาตานีในอดีตจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม นอกจากเขาจะนำวิชาการศาสนาอิสลามไปเผยแผ่จนได้รับความเชื่อถือจากผู้นำรัฐแต่งตั้งให้มีตำแหน่งสำคัญแล้ว ยังได้จัดระบบการศึกษาที่เรียกว่า ปอเนาะ ให้แก่รัฐมลายูจนเจริญรุ่งเรือง แต่..ขณะเดียวกัน นักการเมืองไทยบางกลุ่มกำลังคิดจะยกเลิกปอเนาะ ขอถาม นักการเมืองมุสลิมในสภาไทย ยังพอมีบ้างไหม ...?
จึงเป็นบทเรียนของรัฐบาลไทย ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการทุกระดับในพื้นที่จะต้องเรียนรู้ปัญหาซ้ำซากที่เกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐ และนักการเมืองที่พยายามสร้างภาพเพื่อเอาหน้า ตลอดจนการกำหนดนโยบายที่ผิดพลาดในอดีตต่อมลายูมุสลิม ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากจะเป็นผลกระทบต่อการเมืองระหว่างประเทศแล้ว ยังมีผู้ได้รับประโยชน์เต็มๆ คือประเทศเพื่อนบ้าน
ในขณะที่ชาวมลายูปัตตานี และรัฐไทยเอง ต้องสูญเสียทรัพยากรบุคคลที่มีค่าของตนไปโดยไม่อาจจะเรียกกลับคืนมาได้
The crowd, the world, and sometimes even the grave, step aside for the man who knows where he's going, but pushes the aimless drifter aside. -- Ancient Roman Saying
- คัดท้าย
- Verified User
- โพสต์: 2917
- ผู้ติดตาม: 0
วันนี้จิตใจห่อเหี่ยวมากครับ
โพสต์ที่ 38
ก็ว่ากันไปครับ บทความที่เอามาให้อ่านก็เป็นเรื่องนึง ที่น่าจะทำให้เห็นว่า ทำไมคนแถบนั้น เค้าดูเหมือนไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นคนไทย
... ก็เป็นไปด้วยประการฉะนี้
... ก็เป็นไปด้วยประการฉะนี้
The crowd, the world, and sometimes even the grave, step aside for the man who knows where he's going, but pushes the aimless drifter aside. -- Ancient Roman Saying
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
วันนี้จิตใจห่อเหี่ยวมากครับ
โพสต์ที่ 40
ยาว ขี้เกียจอ่าน
และเรื่องราวในอดีตแบบนี้แหละ ที่ศาสนาอิสลาม และศาสนาคริส ต้องรบกันอยู่เรื่อย
ไม่รู้จักจบซะที อ้างกันไปอ้างกันมา
สรุปว่า ประเทศต่างๆก็ยึดกันไปยึดกันมาทั้งนั้นแหละ อย่างเมกา ก็ไปยึดจากอินเดียนแดง
ออสเตรเลีย ก็ไปยึดจากชนเผ่าเดิม
.............................................................................................
หน้าที่ของรัฐบาล ก็ต้องปกครองให้ได้ก็เท่านั้นเอง
.............................................................................................
แต่ต้องยุติธรรมนะ อย่าเลือกปฎิบัติ หากมีการเลือกปฎิบัติ สุดท้าย ปัญหาจะบานปลายไปเรื่อยๆ
และเรื่องราวในอดีตแบบนี้แหละ ที่ศาสนาอิสลาม และศาสนาคริส ต้องรบกันอยู่เรื่อย
ไม่รู้จักจบซะที อ้างกันไปอ้างกันมา
สรุปว่า ประเทศต่างๆก็ยึดกันไปยึดกันมาทั้งนั้นแหละ อย่างเมกา ก็ไปยึดจากอินเดียนแดง
ออสเตรเลีย ก็ไปยึดจากชนเผ่าเดิม
.............................................................................................
หน้าที่ของรัฐบาล ก็ต้องปกครองให้ได้ก็เท่านั้นเอง
.............................................................................................
แต่ต้องยุติธรรมนะ อย่าเลือกปฎิบัติ หากมีการเลือกปฎิบัติ สุดท้าย ปัญหาจะบานปลายไปเรื่อยๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 2326
- ผู้ติดตาม: 0
วันนี้จิตใจห่อเหี่ยวมากครับ
โพสต์ที่ 41
เมื่อก่อนมันเป็นดินแดนของข้า ข้ามีสิทธิ์เรียกร้องเอาคืน
อ้างกันไปแบบนี้แหละ มันเลยไม่สงบซะที
อ้างแบบนี้ก็แฟร์ๆเลย เราไปอ้างเอาดินแดนคืน จากมลายูทั้งหมดก็ได้ซิครับ เพราะก่อนหน้านั้นก็เป็นดินแดนของชาวพุทธมาก่อน รวมถึงอัฟกานิสถาน,ปากีสถาน ด้วยเอาคืนมาให้หมด เพราะเมื่อก่อนไม่ใช่ดินแดนของชาวมุสลิม ชาวพุทธเป็นเจ้าของแต่ตั้งเดิม
อ้างกันไปแบบนี้แหละ มันเลยไม่สงบซะที
อ้างแบบนี้ก็แฟร์ๆเลย เราไปอ้างเอาดินแดนคืน จากมลายูทั้งหมดก็ได้ซิครับ เพราะก่อนหน้านั้นก็เป็นดินแดนของชาวพุทธมาก่อน รวมถึงอัฟกานิสถาน,ปากีสถาน ด้วยเอาคืนมาให้หมด เพราะเมื่อก่อนไม่ใช่ดินแดนของชาวมุสลิม ชาวพุทธเป็นเจ้าของแต่ตั้งเดิม
งด เลิก เสพ สุรา บุหรี่ วันนี้ เพื่อชีวิตที่ดีของท่าน
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
วันนี้จิตใจห่อเหี่ยวมากครับ
โพสต์ที่ 42
เพิ่งกลับมาจากไปเที่ยวกับ พี่ชาย พี่สาว ที่พัทยา + เขาเขียว
อืม พี่ชาย พี่สาว เล่าให้ฟังว่า เมื่อสมัย 30 ปี ก่อน ที่นราธิวาส ตันหยงมัส ก็อยู่กันอย่างสงบร่มเย็น ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย
งงเหมือนกัน ว่าปัจจุบันมีเรื่องอะไรกัน
ก็เป็นแค่ข้อมูลนะครับ
คุณแม่ผมเองเคยอยู่ที่ มะรึโบ ( มะรู้เรียกถูกหรือเปล่า ) ส่วนคุณพ่อเปิดร้านขายทอง ซึ่งต้องทำเอง เพราะสมัยนั้น ไม่มีเครื่องทำสร้อย ที่ตันหยงมัส
ผมคิดว่า ตันหยงมัส ก็คงจะใกล้ตันหยงลิมอร์ อะไรนี่แหละ
พี่สาวบอกว่าแปลกมาก ที่เกิดเรื่องแบบนี้ เท่าที่จำได้ คนอิสลามนี่รักพระราชินีมากเลย โดยให้สังเกตุว่า เวลาใครขอปฎิทิน จะขอแต่รูปพระราชินี
อืม พี่ชาย พี่สาว เล่าให้ฟังว่า เมื่อสมัย 30 ปี ก่อน ที่นราธิวาส ตันหยงมัส ก็อยู่กันอย่างสงบร่มเย็น ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย
งงเหมือนกัน ว่าปัจจุบันมีเรื่องอะไรกัน
ก็เป็นแค่ข้อมูลนะครับ
คุณแม่ผมเองเคยอยู่ที่ มะรึโบ ( มะรู้เรียกถูกหรือเปล่า ) ส่วนคุณพ่อเปิดร้านขายทอง ซึ่งต้องทำเอง เพราะสมัยนั้น ไม่มีเครื่องทำสร้อย ที่ตันหยงมัส
ผมคิดว่า ตันหยงมัส ก็คงจะใกล้ตันหยงลิมอร์ อะไรนี่แหละ
พี่สาวบอกว่าแปลกมาก ที่เกิดเรื่องแบบนี้ เท่าที่จำได้ คนอิสลามนี่รักพระราชินีมากเลย โดยให้สังเกตุว่า เวลาใครขอปฎิทิน จะขอแต่รูปพระราชินี
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
วันนี้จิตใจห่อเหี่ยวมากครับ
โพสต์ที่ 43
ถ้าผมเป็นนายก เกี่ยวกับเรื่องนาวิกโยธิน ถูกฆ่า
ผมจะให้สัมภาษณ์ว่า
เป็นเรื่องที่รับไม่ได้เลย เหตุการที่เกิดขึ้นนี้ จะต้องหาผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้ และใครก็ตามที่ให้ความร่วมมือกับผู้กระทำผิด ก็จะถูกจับมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม
เรื่องแบบนี้ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ไหนก็ตาม จะเกิดขึ้นกับใครก็ตาม ที่เป็นประชาชนคนไทย ผมในฐานะนายกรัฐมนตรี ไมสามารถยอมรับได้
ต่อไปนี้ หากมีการกระทำที่ส่อเจตนาไปในลักษณะนี้อีก เจ้าหน้าที่ จะเข้าปฎิบัติงาน อย่างเฉียบขาด
ขอให้ประชาชนที่บริสุทธิ์ ทุกคน โปรดถอยห่างออกจากการร่วมชุมนุมในลักษณะนี้ เพราะว่า ท่านอาจจะเป็นเครื่องมือ หรือเป็นแพะรับบาปของคนที่มีเจตนาไม่ดี
ผมขอย้ำนะครับ ที่นี่ประเทศไทย และมีกฎหมาย มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศ ผมหวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าจะไม่เกิดเรื่องนี้อีก และ อย่าพยายามรวมตัวกันอีก หากว่ามีการตายด้วยความผิดพลาดจากเจ้าพนักงานที่เข้าไปปฎิบัติหน้าที่ ท่านต้องคิดนะครับ ว่าถ้าท่านไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ จะมีอะไรทีทำให้ลูกหลานของท่านสูญเสีย
ผมจะให้สัมภาษณ์ว่า
เป็นเรื่องที่รับไม่ได้เลย เหตุการที่เกิดขึ้นนี้ จะต้องหาผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้ และใครก็ตามที่ให้ความร่วมมือกับผู้กระทำผิด ก็จะถูกจับมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม
เรื่องแบบนี้ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ไหนก็ตาม จะเกิดขึ้นกับใครก็ตาม ที่เป็นประชาชนคนไทย ผมในฐานะนายกรัฐมนตรี ไมสามารถยอมรับได้
ต่อไปนี้ หากมีการกระทำที่ส่อเจตนาไปในลักษณะนี้อีก เจ้าหน้าที่ จะเข้าปฎิบัติงาน อย่างเฉียบขาด
ขอให้ประชาชนที่บริสุทธิ์ ทุกคน โปรดถอยห่างออกจากการร่วมชุมนุมในลักษณะนี้ เพราะว่า ท่านอาจจะเป็นเครื่องมือ หรือเป็นแพะรับบาปของคนที่มีเจตนาไม่ดี
ผมขอย้ำนะครับ ที่นี่ประเทศไทย และมีกฎหมาย มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศ ผมหวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าจะไม่เกิดเรื่องนี้อีก และ อย่าพยายามรวมตัวกันอีก หากว่ามีการตายด้วยความผิดพลาดจากเจ้าพนักงานที่เข้าไปปฎิบัติหน้าที่ ท่านต้องคิดนะครับ ว่าถ้าท่านไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ จะมีอะไรทีทำให้ลูกหลานของท่านสูญเสีย
-
- Verified User
- โพสต์: 424
- ผู้ติดตาม: 0
วันนี้จิตใจห่อเหี่ยวมากครับ
โพสต์ที่ 44
ผมก็เหมือนคุณ jeng ครับ
ยาว ขี้เกียจอ่าน
ตัองข้อสังเกตุแล้วกัน
พอได้ฟังมาเหมือนกันว่าเราไปรุกรานเขา
ไม่เหมือนคนจีนที่มาอาศัยคนไทย
จึงสำนึกบุญคุณ
คิดแล้วปวดหัว
กิ๊กสาวดีกว่ามั้งเนี่ย
ส่วนรูปถ่ายคุ้น ๆ ว่ามันเคยใช้
กับอเมริกา ให้คนเกลียด
ตอนไปทารุณคนอิรักนะ
มัน copy แผนกันมาป่าวเนี่ย
สถานการณ์สร้างฮีโร่
กรุงศรีไม่เคยสิ้นคนดี
ปรากฎตัวหน่อย
ยาว ขี้เกียจอ่าน
ตัองข้อสังเกตุแล้วกัน
พอได้ฟังมาเหมือนกันว่าเราไปรุกรานเขา
ไม่เหมือนคนจีนที่มาอาศัยคนไทย
จึงสำนึกบุญคุณ
คิดแล้วปวดหัว
กิ๊กสาวดีกว่ามั้งเนี่ย
ส่วนรูปถ่ายคุ้น ๆ ว่ามันเคยใช้
กับอเมริกา ให้คนเกลียด
ตอนไปทารุณคนอิรักนะ
มัน copy แผนกันมาป่าวเนี่ย
สถานการณ์สร้างฮีโร่
กรุงศรีไม่เคยสิ้นคนดี
ปรากฎตัวหน่อย