หน้า 2 จากทั้งหมด 2
ช่างไม้
โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 11, 2006 12:32 pm
โดย moo
กระทู้นี้ ดีจัง
ช่างไม้
โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 11, 2006 12:54 pm
โดย สุมาอี้
ถ้าคุณลืมเรื่อง Time Value of Money เอาไว้ชั่วคราวก่อนนะ การลงทุนทุกชนิดจะดีหรือไม่คิดง่ายๆ เลยว่า ถ้าคุณลงเงินสดไป 100 บาท แล้วสุดท้ายคุณได้เงินกลับมาทั้งหมดกี่บาท ถ้าเกิน 100 บาท การลงทุนนั้นก็คือการลงทุนที่ดี มันมีอยู่แค่นี้จริงๆ
แต่ว่าในความเป็นจริง การลงทุนส่วนใหญ่มักจะ on-going ไม่ได้ลงทุนครั้งเดียวจบแล้วรอผลตอบแทน ผลตอบแทนมันจะค่อยๆได้มาทีละน้อยเป็นเบี้ยหัวแตก แถมระหว่างทางยังต้องเอาเงินก้อนใหม่ใส่ลงไปอีก ทำให้เราไม่สามารถมองออกว่าตกลงแล้วเราได้กลับมามากหรือน้อยกว่าเงินที่ลงไป
ด้วยเหตุนี้ก็เลยเกิดการทำบัญชีแบบ accrual base ขึ้นมา เพื่อช่วยให้เราพอจะวัดคุณภาพของธุรกิจระหว่างทางได้ว่ามันน่าจะดีหรือไม่ พอนานๆ เข้าทุกคนก็เลยดูแต่ earnings (accrual-based profit) เลิกดู ROI กันหมด
ที่จริงแล้วธุรกิจที่ดีไม่ใช่ธุรกิจที่มีกำไรต่อรายได้มากๆ หรือว่ามีกำไรเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ ธุรกิจที่ดีคือธุรกิจที่กำไรสูงกว่าเงินที่ลงทุนไปมากๆ
earnings ไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย...
บางบริษัทกำไรเพิ่มขึ้นทุกปีด้วยการลงทุนให้หนักขึ้นเรื่อยๆ เงินลงทุนไม่พอก็ออกวอแรนท์เพิ่มทุนไปเรื่อยๆ บริษัทเหล่านี้ที่จริงแล้วไม่เคยสร้างผลตอบแทนใดๆ ให้กับผู้ถือหุ้นเลย...
ช่างไม้
โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 11, 2006 1:27 pm
โดย naris
ทางปู่บัฟ เลยเสนอวิธีคิดแบบง่ายๆในการติดตาม คือดูที่ผลตอบแทนย้อนหลังจากเงินลงทุน(กำไรสะสม) หรือถ้ามีการเพิ่มทุนก็ให้นำทุนใหม่เข้ามาคิดเฉลี่ยในตัวหารกำไร เช่น
บริษัทA10ปีที่ผ่านมา มีการสร้างผลกำไรได้20บาทต่อหุ้น ได้จ่ายปันผลไป10บาทต่อหุ้น มีกำไรสะสม10ปีที่ผ่านมา10บาทต่อหุ้น ไม่มีการเพิ่มทุน ใน10ปีที่แล้วมีกำไร0.5บาทต่อหุ้น ปีสุดท้ายกำไร2บาทต่อหุ้น
ส่วนต่างของปีแรกและปีสุดท้ายคือ 1.5 บาทต่อหุ้น จากกำไรสะสม10บาทต่อหุ้น เราสามารถกล่าวได้ว่า บ.Aได้นำกำไรสะสมจำนวน10บาทต่อหุ้นเป็นตัวที่สร้างผลกำไร1.5บาทในปัจจุบัน ซึ่งให้ผลตอบแทนคร่าวๆที่(1.5/10=15%ต่อปี)ครับ
ช่างไม้
โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 11, 2006 2:18 pm
โดย ลูกไม่ท้อ
สุมาอี้ เขียน:อีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้เราอยู่ "เหนือราคา" ได้ ก็คือ ราคาในกระดาน 3 บาท แต่ต้นทุนเราอยู่ที่ 5 บาท เช่นนี้เราก็อยู่เหนือราคาได้แล้วครับ
also known as ติดดอย
ฮาดี อิๆ
ช่างไม้
โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 11, 2006 3:14 pm
โดย Pupto
โอ้โหหหหห ได้ความรู้มากเลยครับ ผมมือใหม่ครับ ต้องเรียนรู้จากท่านผู้อาวุโสทั้งหลายครับ
ช่างไม้
โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 11, 2006 9:41 pm
โดย ดร.โหน่ง
สุมาอี้ เขียน:ถ้าคุณลืมเรื่อง Time Value of Money เอาไว้ชั่วคราวก่อนนะ การลงทุนทุกชนิดจะดีหรือไม่คิดง่ายๆ เลยว่า ถ้าคุณลงเงินสดไป 100 บาท แล้วสุดท้ายคุณได้เงินกลับมาทั้งหมดกี่บาท ถ้าเกิน 100 บาท การลงทุนนั้นก็คือการลงทุนที่ดี มันมีอยู่แค่นี้จริงๆ
แต่ว่าในความเป็นจริง การลงทุนส่วนใหญ่มักจะ on-going ไม่ได้ลงทุนครั้งเดียวจบแล้วรอผลตอบแทน ผลตอบแทนมันจะค่อยๆได้มาทีละน้อยเป็นเบี้ยหัวแตก แถมระหว่างทางยังต้องเอาเงินก้อนใหม่ใส่ลงไปอีก ทำให้เราไม่สามารถมองออกว่าตกลงแล้วเราได้กลับมามากหรือน้อยกว่าเงินที่ลงไป
ด้วยเหตุนี้ก็เลยเกิดการทำบัญชีแบบ accrual base ขึ้นมา เพื่อช่วยให้เราพอจะวัดคุณภาพของธุรกิจระหว่างทางได้ว่ามันน่าจะดีหรือไม่ พอนานๆ เข้าทุกคนก็เลยดูแต่ earnings (accrual-based profit) เลิกดู ROI กันหมด
ที่จริงแล้วธุรกิจที่ดีไม่ใช่ธุรกิจที่มีกำไรต่อรายได้มากๆ หรือว่ามีกำไรเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ ธุรกิจที่ดีคือธุรกิจที่กำไรสูงกว่าเงินที่ลงทุนไปมากๆ
earnings ไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย...
บางบริษัทกำไรเพิ่มขึ้นทุกปีด้วยการลงทุนให้หนักขึ้นเรื่อยๆ เงินลงทุนไม่พอก็ออกวอแรนท์เพิ่มทุนไปเรื่อยๆ บริษัทเหล่านี้ที่จริงแล้วไม่เคยสร้างผลตอบแทนใดๆ ให้กับผู้ถือหุ้นเลย...
ไม่คิดเลยว่า สายเส้นลากสีลากข้อคิดของท่านแม่ทัพความยาวแค่เพียงสองฝ่ามือจะนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ความคิดผมเช่นนี้ นี่กระมังคือ "บันทึก" ชิ้นสำคัญที่ทำให้ผมหันกลับมามองตัวเองเพื่อจะพบว่าแท้จริงเราละเลยสิ่งสำคัญมากมายถึงเพียงใดแล้ว........
ช่างไม้
โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 11, 2006 10:16 pm
โดย nearly_vi
ROI?
จากข้างบนนี้ earnings หมายความคล้ายๆ ROA
แล้วก็ ROI ความหมายคล้ายๆ ROE รึเปล่าครับ??
ข้าน้อยยังไม่ค่อยเข้าใจ
ช่างไม้
โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 11, 2006 10:24 pm
โดย yoyo
สุมาอี้ เขียน:ถ้าคุณลืมเรื่อง Time Value of Money เอาไว้ชั่วคราวก่อนนะ การลงทุนทุกชนิดจะดีหรือไม่คิดง่ายๆ เลยว่า ถ้าคุณลงเงินสดไป 100 บาท แล้วสุดท้ายคุณได้เงินกลับมาทั้งหมดกี่บาท ถ้าเกิน 100 บาท การลงทุนนั้นก็คือการลงทุนที่ดี มันมีอยู่แค่นี้จริงๆ
แต่ว่าในความเป็นจริง การลงทุนส่วนใหญ่มักจะ on-going ไม่ได้ลงทุนครั้งเดียวจบแล้วรอผลตอบแทน ผลตอบแทนมันจะค่อยๆได้มาทีละน้อยเป็นเบี้ยหัวแตก แถมระหว่างทางยังต้องเอาเงินก้อนใหม่ใส่ลงไปอีก ทำให้เราไม่สามารถมองออกว่าตกลงแล้วเราได้กลับมามากหรือน้อยกว่าเงินที่ลงไป
ด้วยเหตุนี้ก็เลยเกิดการทำบัญชีแบบ accrual base ขึ้นมา เพื่อช่วยให้เราพอจะวัดคุณภาพของธุรกิจระหว่างทางได้ว่ามันน่าจะดีหรือไม่ พอนานๆ เข้าทุกคนก็เลยดูแต่ earnings (accrual-based profit) เลิกดู ROI กันหมด
ที่จริงแล้วธุรกิจที่ดีไม่ใช่ธุรกิจที่มีกำไรต่อรายได้มากๆ หรือว่ามีกำไรเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ ธุรกิจที่ดีคือธุรกิจที่กำไรสูงกว่าเงินที่ลงทุนไปมากๆ
earnings ไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย...
บางบริษัทกำไรเพิ่มขึ้นทุกปีด้วยการลงทุนให้หนักขึ้นเรื่อยๆ เงินลงทุนไม่พอก็ออกวอแรนท์เพิ่มทุนไปเรื่อยๆ บริษัทเหล่านี้ที่จริงแล้วไม่เคยสร้างผลตอบแทนใดๆ ให้กับผู้ถือหุ้นเลย...
แบบนี้การดูงบกระแสเงินสดก็สามารถแก้ปัญหานี้ได้เหมือนกันใช่มั๊ยครับ
ช่างไม้
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ต.ค. 12, 2006 8:42 am
โดย ไม่บังอาจ
อื่ม ได้รับความรู้มากมายจริงๆครับ ขอบคุณเซียนทุกท่าน
อันว่าราคาหุ้น หรือ p นี้ถูกมัดด้วยเชือก 2 เส้น ยักษ์ตนหนึ่ง ที่ซื่อ ผลประกอบการ e ถือเชือกด้านหนึ่ง และเชือกอีกด้านหนึ่งก็มียักษ์อีกตนหนึ่ง ชื่อ ความโลภ ถืออยู่
บางครั้ง ยักษ์สองตนนี้ครึ้มอกครึ้มใจ ก็มองหน้ากันแล้วยิ้ม ว่าแล้วก็วิ่งไปข้างหน้าด้วยกัน แต่บางครั้งบางช่วง อากาศแปรปรวน ยักษ์ตนหนึ่งพยายามฉุดไปข้างหน้า แต่อีกตนหนึ่งฉุดไปข้างหลัง
เซียนหุ้นบางคนก็เลือกที่เดาใจยักษ์ที่ชื่อความโลภ อาจเป็นเพราะยักษ์ตนนี้เข้าใจได้ง่ายกว่า ยักษ์ที่ชื่อ ผลประกอบการ e ซึ่งมักเก็บตัวเงียบ นานๆทีถึงจะเอ่ยปากพูดคุยกับเซียนหุ้นซักครั้งหนึ่ง
แต่เซียนหุ้นที่สามารถอ่านใจของยักษ์ ที่ซื่อ ผลประกอบการ e ได้ทะลุปรุโปร่ง ก็มักจะได้ชื่นชมความหอมหวนของดอกไม้วิเศษที่ยักษตนนั้นมอบให้
อย่างไรก็ดี การอ่านใจยักษ์ที่ชื่อ ผลประกอบการ e นี้ เซียนแต่ละคนก็มีมุมมองต่างกันออกไป แต่ที่แน่ๆคือ ไม่ใช่ ตัวเลขบรรทัดสุดท้ายอย่างแน่นอน
ผลประกอบการ e นี้ แต่ละคนก็มีความซาบซึ่งที่ต่างกันออกไปอีก
บางคนก็พูดถึง กระแสเงินสดอิสระ
แน่หละ กระแสเงินสดอิสระที่มองก็ต่างกันไปอีก บางคนก็มองตามตำราว่ามา บางคนก็มองกระแสเงินสดที่ผู้ถือหุ้นได้รับประโยชน์จริงๆ ซึ่งก็ตีความต่างกันไป ตามแต่จะตีความ แต่เรื่องดังกล่าวก็ไม่ใช่ประเด็นหลัก เพราะประเด็นหลักไม่ใช่อยู่ที่ว่า มีเงินสดเหลืออยู่เท่าไร แต่สิ่งที่สำคัญคือ ในแต่ละปีสามารถหาเงินสดเพิ่มได้มากน้อยแค่ไหน
และภาพเดียวกันนั้น มันก็เกิดขึ้นกับ กำไร e ซึ่งเป็นบรรทัดสุดท้าย ที่คนจำนวนมากมองกัน เพื่อเป็นสารอาหารให้ยักษ์อีกตนที่ชื่อ ความโลภ ได้มีแรงฉุดกระชาก
ภาพนั้นไม่ว่ามันจะเกิดตรงไหน มันก็ชวนให้เวียนหัว ท่านแม่ทัพจึงลั่นกลองบอกข้าพเจ้าเป็นสัญญาณว่า ROI ซิ
แม้ข้าพเจ้าจะเวียนหัวกับการอ่านใจยักษ์ที่ชื่อ ผลประกอบการ จนบางครั้งก็ทำให้ธาตุไฟเข้าแทรก แต่ข้าก็ข้าพเจ้าก็เป็นสุขยิ่งนัก
ช่างไม้
โพสต์แล้ว: เสาร์ ต.ค. 14, 2006 12:03 pm
โดย Kitcat
ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอกระทู้ดีๆ จากหัวข้อ"ช่างไม้" ที่เกือบจะมองข้ามไป
Re: ช่างไม้
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 11, 2013 12:14 pm
โดย บุณยา
อ่านเพลินมากเลยครับ
Re: ช่างไม้
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 11, 2013 9:07 pm
โดย copterkorn
ขอเก็บไว้อ่าน ด้วยครับ
Re: ช่างไม้
โพสต์แล้ว: เสาร์ ต.ค. 12, 2013 7:44 pm
โดย untrataro25
เพราะเรียบง่าย จึงชนะ ^^