" หุ้นที่น่าจะมีผลกระทบต่อพ.ร.บ นอมีนี่ "
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
" หุ้นที่น่าจะมีผลกระทบต่อพ.ร.บ นอมีนี่ "
โพสต์ที่ 32
ธุรกิจโรงแรม ขายอาหารและเครื่องดื่ม อยู่ในบัญชีสามครับ(ธุรกิจที่คนไทยยังไม่พร้อมแข่งขัน)
ให้แจ้งภายใน 90วัน และก็ดำเนินธุรกิจต่อไปจนกว่าจะเลิกกิจการ
ไม่ต้องทะเลาะกันครับ
ให้แจ้งภายใน 90วัน และก็ดำเนินธุรกิจต่อไปจนกว่าจะเลิกกิจการ
ไม่ต้องทะเลาะกันครับ
เป็นบุญหนักหนาเหลือเกินที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย เป็นคนไทยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ
-
- Verified User
- โพสต์: 1717
- ผู้ติดตาม: 0
" หุ้นที่น่าจะมีผลกระทบต่อพ.ร.บ นอมีนี่ "
โพสต์ที่ 38
[quote="ลุงทีม"]คงจะสรุปกันได้แล้วนะครับ...ว่าที่วิเคราะห์มาข้างบนมัน ...มั่วนิ่ม
โดยเฉพาะโบรคที่ไม่ขอเอ่ยนาม...
โดยเฉพาะโบรคที่ไม่ขอเอ่ยนาม...
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
" หุ้นที่น่าจะมีผลกระทบต่อพ.ร.บ นอมีนี่ "
โพสต์ที่ 39
บริษัท A เดิมผู้ถือหุ้นใหญ่เป็น Nominee และมีการจำกัดสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติที่ 49% ซึ่งก็มีต่างชาติรายอื่นๆถือหุ้นจนครบ 49% แล้ว
พอ พรบ.ฉบับนี้มีผลบังคับใช้ ผู้ถือหุ้นเดิมซึ่งเดิมมีสัญชาติไทย ก็กลายเป็นต่างชาติ ถึงแม้จะไม่ผิด พรบ. แต่จะเกินสัดส่วนต่างชาติ
แล้วจะแก้ปัญหาอย่างไรครับ หรือว่าก็แก้ง่ายๆ เพิ่มสัดส่วนต่างชาติเป็น 100% ไปเลย
หรือว่าไม่มีปัญหา
พอ พรบ.ฉบับนี้มีผลบังคับใช้ ผู้ถือหุ้นเดิมซึ่งเดิมมีสัญชาติไทย ก็กลายเป็นต่างชาติ ถึงแม้จะไม่ผิด พรบ. แต่จะเกินสัดส่วนต่างชาติ
แล้วจะแก้ปัญหาอย่างไรครับ หรือว่าก็แก้ง่ายๆ เพิ่มสัดส่วนต่างชาติเป็น 100% ไปเลย
หรือว่าไม่มีปัญหา
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
- โอ@
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4246
- ผู้ติดตาม: 0
" หุ้นที่น่าจะมีผลกระทบต่อพ.ร.บ นอมีนี่ "
โพสต์ที่ 42
ThaiNVDR มีสิทธิ์รับปันผลอย่างเดียวไม่มีสิทธิ์ออกเสียงไม่ใช่หรอครับMisterK เขียน:ผมชักงงแล้วว่าตามพรบ.นี้ ThaiNvdr นับเป็นต่างชาติด้วยหรือเปล่า เพราะมีสิทธิ์ออกเสียงในบริษัทได้ด้วย
_________
-
- Verified User
- โพสต์: 857
- ผู้ติดตาม: 0
" หุ้นที่น่าจะมีผลกระทบต่อพ.ร.บ นอมีนี่ "
โพสต์ที่ 44
อืมม์ เท่าทีไปอ่านมาคือ ThaiNVDR จะ vote ตามคนถือกรณีเดียวคือถ้ามีการเพิกถอนออกจากตลาด
แต่กรณีกฏหมายนี้ คิดไปเรื่อย ๆ ก็สนุกดี อย่างเช่น ถ้าบริษัทที่มีหลายกิจการจะตีความยังไง อย่างทำกิจการในกลุ่มสามเป็นหลัก แต่มีธุรกิจซื้อขายที่ดินหรืออื่น ๆ ด้วย จะห้ามไหม
หรืออย่างกรณีถ้าเราถือว่า Mint เป็นข้อยกเว้น เราสามารถใช้ Mint เข้าซื้อหุ้น Advanc 51% ได้หรือเปล่า :lol:
แต่กรณีกฏหมายนี้ คิดไปเรื่อย ๆ ก็สนุกดี อย่างเช่น ถ้าบริษัทที่มีหลายกิจการจะตีความยังไง อย่างทำกิจการในกลุ่มสามเป็นหลัก แต่มีธุรกิจซื้อขายที่ดินหรืออื่น ๆ ด้วย จะห้ามไหม
หรืออย่างกรณีถ้าเราถือว่า Mint เป็นข้อยกเว้น เราสามารถใช้ Mint เข้าซื้อหุ้น Advanc 51% ได้หรือเปล่า :lol:
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 192
- ผู้ติดตาม: 0
" หุ้นที่น่าจะมีผลกระทบต่อพ.ร.บ นอมีนี่ "
โพสต์ที่ 45
เอ่อ ThaiNvdr คืออะไรครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 189
- ผู้ติดตาม: 0
" หุ้นที่น่าจะมีผลกระทบต่อพ.ร.บ นอมีนี่ "
โพสต์ที่ 46
บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด จัดตั้งเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2543 มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วทั้งสิ้น 10 ล้านบาท โดยตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถือหุ้นร้อยละ 99.99 ของทุนจดทะเบียน บริษัทประกอบธุรกิจโดยการออกใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย (Non-Voting Depository Receipt :NVDR) เพื่อขายให้แก่ผู้ลงทุน 8)
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
" หุ้นที่น่าจะมีผลกระทบต่อพ.ร.บ นอมีนี่ "
โพสต์ที่ 47
THAINDVR นี้ไม่มีสิทธิในการออกเสียง
มีแต่สิทธิในการรับปันผล
เอาไว้สำหรับชาวต่างชาติ
แต่คนไทยก็สามารถใช้บริการได้ไม่ผิด
ต้องตีประเด็นให้ออก
ประเด็นหลังคือ หลบว่า ตัวเองไม่อย่าเป็นผู้ถือหุ้นติด 0.5%ได้ด้วย
คิดกันให้ดีๆๆๆ
หนังสือนอนยันคือหนังสือ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ออกโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
หรือ www.set.or.th เองหาข้อมูลได้
มีแต่สิทธิในการรับปันผล
เอาไว้สำหรับชาวต่างชาติ
แต่คนไทยก็สามารถใช้บริการได้ไม่ผิด
ต้องตีประเด็นให้ออก
ประเด็นหลังคือ หลบว่า ตัวเองไม่อย่าเป็นผู้ถือหุ้นติด 0.5%ได้ด้วย
คิดกันให้ดีๆๆๆ
หนังสือนอนยันคือหนังสือ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ออกโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
หรือ www.set.or.th เองหาข้อมูลได้
-
- Verified User
- โพสต์: 857
- ผู้ติดตาม: 0
" หุ้นที่น่าจะมีผลกระทบต่อพ.ร.บ นอมีนี่ "
โพสต์ที่ 48
-
- Verified User
- โพสต์: 1301
- ผู้ติดตาม: 0
" หุ้นที่น่าจะมีผลกระทบต่อพ.ร.บ นอมีนี่ "
โพสต์ที่ 49
ThaiNDVR มีกม.ยกเว้นอย่างไรที่ไม่ผิด กม.นอมินี
ถ้าไม่มีกม.ยกเว้นไว้
ต่อไปเราคงเห็น
TescoNVDR
ToyotaNVDR
BlaBlaBlaNVDR
โดยพวก NVDR พวกนี้ไม่จำเป็นต้องเทรดในตลาด
ถ้าไม่มีกม.ยกเว้นไว้
ต่อไปเราคงเห็น
TescoNVDR
ToyotaNVDR
BlaBlaBlaNVDR
โดยพวก NVDR พวกนี้ไม่จำเป็นต้องเทรดในตลาด
-
- Verified User
- โพสต์: 1717
- ผู้ติดตาม: 0
" หุ้นที่น่าจะมีผลกระทบต่อพ.ร.บ นอมีนี่ "
โพสต์ที่ 51
เปิดโผหุ้นรับพิษ พ.ร.บ.ต่างด้าว
11 มกราคม 2550 08:11 น. กรุงเทพธุรกิจ
กลุ่มอสังหาฯ โดนหนัก พบ ไรมอนแลนด์-โกลเด้นแลนด์ ต่างชาติสิทธิออกเสียงเกิน 70%
เปิดโผหุ้นที่ได้รับผลกระทบจาก พ.ร.บ.ต่างด้าวฉบับแก้ไข กลุ่มอสังหาริมทรัพย์หนัก โดยเฉพาะไรมอนแลนด์ และโกลเด้นแลนด์ ที่ต่างชาติมีสิทธิออกเสียงเกิน 70% ขณะที่ผู้บริหาร บจ.ต่างชาติ รอความชัดเจนก่อนตัดสินใจขายหุ้น "วิชิต" ยืนยันไทยพาณิชย์ ไม่ได้รับผลกระทบจากกรณีของกุหลาบแก้ว
นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล รองกรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ กล่าวฝ่ายวิจัยได้ประเมินหุ้นที่มีความเสี่ยงได้รับผลกระทบจากการแก้ไข พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว โดยเป็นบริษัทที่มีต่างชาติถือหุ้นเกินเพดาน ประกอบด้วย 16 บริษัท และในกลุ่มบริษัทดังกล่าวมี 10 บริษัทที่เกินทั้งเพดานการถือหุ้นกับสิทธิในการออกเสียง
ประกอบด้วยบริษัท อาปิโก ไฮเทค(AH)ต่างชาติถือหุ้น 49% สิทธิในการออกเสียงสูง ถึง 56% บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) ต่างชาติถือหุ้น 48.7% สิทธิในการออกเสียง 52% บริษัท จรุงไทย ไวร์ แอนด์ เคเบิ้ล (CTW) ต่างชาติถือหุ้น 47.1% มีสิทธิในการออกเสียง 51% บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (GOLD) ถือหุ้น 49% มีสิทธิออกเสียง 73%
บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) มีต่างชาติถือหุ้น 37.5% สิทธิออกเสียง 51%บริษัท แอล.วี.เทคโนโลยี (LVT) ถือหุ้น 49% สิทธิออกเสียง 52%บริษัท ผาแดง อินดัสทรี (PDI) ถือหุ้น 49% สิทธิออกเสียง 59% บริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง (PSL)ถือหุ้น 48.7% และสิทธิออกเสียง 53%บริษัท ไรมอนแลนด์(RAIMON) ถือหุ้น 49% มีสิทธิออกเสียง 77%บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) ต่างชาติถือหุ้น 49% สิทธิออกเสียง 57% บริษัท ยูไนเต็ดคอมมูนิเกชั่น อินดัสตรี (UCOM) ถือหุ้น 48.9% สิทธิออกเสียง 50%
นอกจากนั้นยังมี บริษัทในกลุ่มชิน คอร์ป ประกอบด้วยบริษัท แอดวานซ์อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) บริษัท ไอทีวี (ITV) บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น (SHIN) ขณะเดียวกันนี้ ยังมีบริษัทที่ก่ำกึ่งที่ต่างชาติมีสิทธิออกเสียงได้เกือบครึ่งหนึ่งของจำนวนหุ้นที่ออกเสียงได้ ประกอบ บริษัท เคปเปล ไทย พร็อพเพอร์ตี้(KTP) จำนวนผู้ถือหุ้น 48.8% สิทธิออกเสียง 49.64% และบริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล(TICON) ผู้ถือหุ้น 49% สิทธิออกเสียง 49.42%
ส่วนการประเมินเบื้องต้นของ บล.กรุงศรีอยุธยา ระบุว่า ผลกระทบของร่างแก้ไข พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว โดยใช้เกณฑ์ สัดส่วน Foreign Holding เกิน 50% และอยู่ในธุรกิจที่ห้ามบุคคลต่างด้าวทำตามบัญชี 1-3 ซึ่งพบว่าบริษัทที่เข้าข่ายมีผู้ถือหุ้นต่างด้าวเกิน 50% ส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าข่ายบัญชี 1-3 เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ หรืออยู่ในธุรกิจที่มีกฎหมายเฉพาะดูแลที่ได้รับการยกเว้น อาทิเช่น กลุ่มหลักทรัพย์ ส่วนกลุ่มธุรกิจโรงแรมที่อยู่ในบัญชี 3 ไม่มีบริษัทใดที่มีสัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างด้าวเกิน 50% ในการลดสัดส่วนการถือหุ้นและสิทธิในการออกเสียงให้ต่ำกว่า 50% เฉพาะบัญชี 1-2 ที่ไม่อนุญาตให้บุคคลต่างด้าวประกอบกิจการด้านถือหุ้น
เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนที่เข้าข่ายบัญชี 1-2 มีสัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างด้าวไม่เกิน 50% ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าการยกร่างแก้ไขดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนในตลาด อย่างเป็นนัยสำคัญ ยกเว้นกลุ่มสื่อสาร โดยเฉพาะกรณีกุหลาบแก้วที่หากถูกตีความเป็นนอมินี จะส่งผลให้บริษัทในเครือ SHIN รวมถึง บริษัท ยูคอม มีความเสี่ยงเข้าข่ายบุคคลต่างด้าว แต่ต้องรอดูผลการตรวจสอบกรณีกุหลาบแก้วให้ชัดเจนเสร็จสิ้นก่อน
โดยหาก กุหลาบแก้ว เป็นนอมินี ก็จะส่งผลให้บริษัท ชิน กลายเป็นบริษัทต่างชาติ ที่มีผู้ถือหุ้นต่างด้าวกว่า 96.3% ซึ่งหมายรวมถึงสิทธิออกเสียงก็จะมากกว่า 50% ตาม พ.ร.บ. ใหม่ด้วย ซึ่งจะส่งผลสะท้อนเป็นลูกโซ่ไปยังบริษัทในเครือ ให้กลายเป็นบริษัทต่างชาติ ส่วนหุ้นชินแซทเทลไลท์(SATTEL) และบริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ(CSL) แม้สัดส่วนผู้ถือหุ้นจะไม่เกิน 50% แต่คาดว่าสิทธิในการออกเสียงมีแนวโน้มที่จะมากกว่าเกณฑ์ แต่หากผลการตรวจสอบ บ.กุหลาบแก้ว ปรากฏว่าไม่เป็นนอมินี จะทำให้บริษัทชิน คอร์ป และบริษัทในเครือ คงสภาพเป็นบริษัทสัญชาติไทย
ในกรณีที่ บริษัท ชิน เป็นบริษัทต่างชาติ มองว่าแนวทางแก้ไขหนึ่งที่เป็นไปได้ คือ กลุ่มเทมาเส็ก ขายหุ้นชิน เพื่อลดสัดส่วนให้ไม่เกิน 50% ในเบื้องต้นเราคาดว่ากลุ่มเทมาเส็กต้องขายหุ้นกว่า 1,400 ล้านหุ้น หากเปรียบเทียบกับราคาหุ้นในปัจจุบันจะคิดเป็นมูลค่าประมาณ 32,900 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้ปัญหานอมินีภายในโครงสร้างผู้ถือหุ้นของกลุ่มชินหมดไป อย่างไรก็ดีอาจมีปัญหาว่าจะมีนิติบุคคลหรือบุคคลสัญชาติไทยคนใดสนใจซื้อหุ้น SHIN ด้วยจำนวนเงินมหาศาลนี้ ซึ่งอาจเป็นเหตุผลให้ต้องหาผู้ร่วมทุนมากกว่า 1 ราย รวมถึงอาจมีการขายหุ้นคืนให้นักลงทุนรายย่อย เพื่อเป็นการเพิ่ม Free Float จากปัจจุบันที่มีเพียง 3.7% ให้ไม่น้อยกว่า 15% ตามเกณฑ์ตลาด
11 มกราคม 2550 08:11 น. กรุงเทพธุรกิจ
กลุ่มอสังหาฯ โดนหนัก พบ ไรมอนแลนด์-โกลเด้นแลนด์ ต่างชาติสิทธิออกเสียงเกิน 70%
เปิดโผหุ้นที่ได้รับผลกระทบจาก พ.ร.บ.ต่างด้าวฉบับแก้ไข กลุ่มอสังหาริมทรัพย์หนัก โดยเฉพาะไรมอนแลนด์ และโกลเด้นแลนด์ ที่ต่างชาติมีสิทธิออกเสียงเกิน 70% ขณะที่ผู้บริหาร บจ.ต่างชาติ รอความชัดเจนก่อนตัดสินใจขายหุ้น "วิชิต" ยืนยันไทยพาณิชย์ ไม่ได้รับผลกระทบจากกรณีของกุหลาบแก้ว
นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล รองกรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ กล่าวฝ่ายวิจัยได้ประเมินหุ้นที่มีความเสี่ยงได้รับผลกระทบจากการแก้ไข พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว โดยเป็นบริษัทที่มีต่างชาติถือหุ้นเกินเพดาน ประกอบด้วย 16 บริษัท และในกลุ่มบริษัทดังกล่าวมี 10 บริษัทที่เกินทั้งเพดานการถือหุ้นกับสิทธิในการออกเสียง
ประกอบด้วยบริษัท อาปิโก ไฮเทค(AH)ต่างชาติถือหุ้น 49% สิทธิในการออกเสียงสูง ถึง 56% บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) ต่างชาติถือหุ้น 48.7% สิทธิในการออกเสียง 52% บริษัท จรุงไทย ไวร์ แอนด์ เคเบิ้ล (CTW) ต่างชาติถือหุ้น 47.1% มีสิทธิในการออกเสียง 51% บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (GOLD) ถือหุ้น 49% มีสิทธิออกเสียง 73%
บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) มีต่างชาติถือหุ้น 37.5% สิทธิออกเสียง 51%บริษัท แอล.วี.เทคโนโลยี (LVT) ถือหุ้น 49% สิทธิออกเสียง 52%บริษัท ผาแดง อินดัสทรี (PDI) ถือหุ้น 49% สิทธิออกเสียง 59% บริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง (PSL)ถือหุ้น 48.7% และสิทธิออกเสียง 53%บริษัท ไรมอนแลนด์(RAIMON) ถือหุ้น 49% มีสิทธิออกเสียง 77%บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) ต่างชาติถือหุ้น 49% สิทธิออกเสียง 57% บริษัท ยูไนเต็ดคอมมูนิเกชั่น อินดัสตรี (UCOM) ถือหุ้น 48.9% สิทธิออกเสียง 50%
นอกจากนั้นยังมี บริษัทในกลุ่มชิน คอร์ป ประกอบด้วยบริษัท แอดวานซ์อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) บริษัท ไอทีวี (ITV) บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น (SHIN) ขณะเดียวกันนี้ ยังมีบริษัทที่ก่ำกึ่งที่ต่างชาติมีสิทธิออกเสียงได้เกือบครึ่งหนึ่งของจำนวนหุ้นที่ออกเสียงได้ ประกอบ บริษัท เคปเปล ไทย พร็อพเพอร์ตี้(KTP) จำนวนผู้ถือหุ้น 48.8% สิทธิออกเสียง 49.64% และบริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล(TICON) ผู้ถือหุ้น 49% สิทธิออกเสียง 49.42%
ส่วนการประเมินเบื้องต้นของ บล.กรุงศรีอยุธยา ระบุว่า ผลกระทบของร่างแก้ไข พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว โดยใช้เกณฑ์ สัดส่วน Foreign Holding เกิน 50% และอยู่ในธุรกิจที่ห้ามบุคคลต่างด้าวทำตามบัญชี 1-3 ซึ่งพบว่าบริษัทที่เข้าข่ายมีผู้ถือหุ้นต่างด้าวเกิน 50% ส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าข่ายบัญชี 1-3 เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ หรืออยู่ในธุรกิจที่มีกฎหมายเฉพาะดูแลที่ได้รับการยกเว้น อาทิเช่น กลุ่มหลักทรัพย์ ส่วนกลุ่มธุรกิจโรงแรมที่อยู่ในบัญชี 3 ไม่มีบริษัทใดที่มีสัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างด้าวเกิน 50% ในการลดสัดส่วนการถือหุ้นและสิทธิในการออกเสียงให้ต่ำกว่า 50% เฉพาะบัญชี 1-2 ที่ไม่อนุญาตให้บุคคลต่างด้าวประกอบกิจการด้านถือหุ้น
เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนที่เข้าข่ายบัญชี 1-2 มีสัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างด้าวไม่เกิน 50% ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าการยกร่างแก้ไขดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนในตลาด อย่างเป็นนัยสำคัญ ยกเว้นกลุ่มสื่อสาร โดยเฉพาะกรณีกุหลาบแก้วที่หากถูกตีความเป็นนอมินี จะส่งผลให้บริษัทในเครือ SHIN รวมถึง บริษัท ยูคอม มีความเสี่ยงเข้าข่ายบุคคลต่างด้าว แต่ต้องรอดูผลการตรวจสอบกรณีกุหลาบแก้วให้ชัดเจนเสร็จสิ้นก่อน
โดยหาก กุหลาบแก้ว เป็นนอมินี ก็จะส่งผลให้บริษัท ชิน กลายเป็นบริษัทต่างชาติ ที่มีผู้ถือหุ้นต่างด้าวกว่า 96.3% ซึ่งหมายรวมถึงสิทธิออกเสียงก็จะมากกว่า 50% ตาม พ.ร.บ. ใหม่ด้วย ซึ่งจะส่งผลสะท้อนเป็นลูกโซ่ไปยังบริษัทในเครือ ให้กลายเป็นบริษัทต่างชาติ ส่วนหุ้นชินแซทเทลไลท์(SATTEL) และบริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ(CSL) แม้สัดส่วนผู้ถือหุ้นจะไม่เกิน 50% แต่คาดว่าสิทธิในการออกเสียงมีแนวโน้มที่จะมากกว่าเกณฑ์ แต่หากผลการตรวจสอบ บ.กุหลาบแก้ว ปรากฏว่าไม่เป็นนอมินี จะทำให้บริษัทชิน คอร์ป และบริษัทในเครือ คงสภาพเป็นบริษัทสัญชาติไทย
ในกรณีที่ บริษัท ชิน เป็นบริษัทต่างชาติ มองว่าแนวทางแก้ไขหนึ่งที่เป็นไปได้ คือ กลุ่มเทมาเส็ก ขายหุ้นชิน เพื่อลดสัดส่วนให้ไม่เกิน 50% ในเบื้องต้นเราคาดว่ากลุ่มเทมาเส็กต้องขายหุ้นกว่า 1,400 ล้านหุ้น หากเปรียบเทียบกับราคาหุ้นในปัจจุบันจะคิดเป็นมูลค่าประมาณ 32,900 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้ปัญหานอมินีภายในโครงสร้างผู้ถือหุ้นของกลุ่มชินหมดไป อย่างไรก็ดีอาจมีปัญหาว่าจะมีนิติบุคคลหรือบุคคลสัญชาติไทยคนใดสนใจซื้อหุ้น SHIN ด้วยจำนวนเงินมหาศาลนี้ ซึ่งอาจเป็นเหตุผลให้ต้องหาผู้ร่วมทุนมากกว่า 1 ราย รวมถึงอาจมีการขายหุ้นคืนให้นักลงทุนรายย่อย เพื่อเป็นการเพิ่ม Free Float จากปัจจุบันที่มีเพียง 3.7% ให้ไม่น้อยกว่า 15% ตามเกณฑ์ตลาด
-
- Verified User
- โพสต์: 697
- ผู้ติดตาม: 0
" หุ้นที่น่าจะมีผลกระทบต่อพ.ร.บ นอมีนี่ "
โพสต์ที่ 52
จากข่าวหุ้นที่ได้รับผลมีเปิดโผหุ้นรับพิษ พ.ร.บ.ต่างด้าว
11 มกราคม 2550 08:11 น.
กลุ่มอสังหาฯ โดนหนัก พบ ไรมอนแลนด์-โกลเด้นแลนด์ ต่างชาติสิทธิออกเสียงเกิน 70%
เปิดโผหุ้นที่ได้รับผลกระทบจาก พ.ร.บ.ต่างด้าวฉบับแก้ไข กลุ่มอสังหาริมทรัพย์หนัก โดยเฉพาะไรมอนแลนด์ และโกลเด้นแลนด์ ที่ต่างชาติมีสิทธิออกเสียงเกิน 70% ขณะที่ผู้บริหาร บจ.ต่างชาติ รอความชัดเจนก่อนตัดสินใจขายหุ้น "วิชิต" ยืนยันไทยพาณิชย์ ไม่ได้รับผลกระทบจากกรณีของกุหลาบแก้ว
นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล รองกรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ กล่าวฝ่ายวิจัยได้ประเมินหุ้นที่มีความเสี่ยงได้รับผลกระทบจากการแก้ไข พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว โดยเป็นบริษัทที่มีต่างชาติถือหุ้นเกินเพดาน ประกอบด้วย 16 บริษัท และในกลุ่มบริษัทดังกล่าวมี 10 บริษัทที่เกินทั้งเพดานการถือหุ้นกับสิทธิในการออกเสียง
ประกอบด้วยบริษัท อาปิโก ไฮเทค(AH)ต่างชาติถือหุ้น 49% สิทธิในการออกเสียงสูง ถึง 56% บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) ต่างชาติถือหุ้น 48.7% สิทธิในการออกเสียง 52% บริษัท จรุงไทย ไวร์ แอนด์ เคเบิ้ล (CTW) ต่างชาติถือหุ้น 47.1% มีสิทธิในการออกเสียง 51% บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (GOLD) ถือหุ้น 49% มีสิทธิออกเสียง 73%
บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) มีต่างชาติถือหุ้น 37.5% สิทธิออกเสียง 51%บริษัท แอล.วี.เทคโนโลยี (LVT) ถือหุ้น 49% สิทธิออกเสียง 52%บริษัท ผาแดง อินดัสทรี (PDI) ถือหุ้น 49% สิทธิออกเสียง 59% บริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง (PSL)ถือหุ้น 48.7% และสิทธิออกเสียง 53%บริษัท ไรมอนแลนด์(RAIMON) ถือหุ้น 49% มีสิทธิออกเสียง 77%บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) ต่างชาติถือหุ้น 49% สิทธิออกเสียง 57% บริษัท ยูไนเต็ดคอมมูนิเกชั่น อินดัสตรี (UCOM) ถือหุ้น 48.9% สิทธิออกเสียง 50%
นอกจากนั้นยังมี บริษัทในกลุ่มชิน คอร์ป ประกอบด้วยบริษัท แอดวานซ์อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) บริษัท ไอทีวี (ITV) บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น (SHIN) ขณะเดียวกันนี้ ยังมีบริษัทที่ก่ำกึ่งที่ต่างชาติมีสิทธิออกเสียงได้เกือบครึ่งหนึ่งของจำนวนหุ้นที่ออกเสียงได้ ประกอบ บริษัท เคปเปล ไทย พร็อพเพอร์ตี้(KTP) จำนวนผู้ถือหุ้น 48.8% สิทธิออกเสียง 49.64% และบริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล(TICON) ผู้ถือหุ้น 49% สิทธิออกเสียง 49.42%
ส่วนการประเมินเบื้องต้นของ บล.กรุงศรีอยุธยา ระบุว่า ผลกระทบของร่างแก้ไข พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว โดยใช้เกณฑ์ สัดส่วน Foreign Holding เกิน 50% และอยู่ในธุรกิจที่ห้ามบุคคลต่างด้าวทำตามบัญชี 1-3 ซึ่งพบว่าบริษัทที่เข้าข่ายมีผู้ถือหุ้นต่างด้าวเกิน 50% ส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าข่ายบัญชี 1-3 เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ หรืออยู่ในธุรกิจที่มีกฎหมายเฉพาะดูแลที่ได้รับการยกเว้น อาทิเช่น กลุ่มหลักทรัพย์ ส่วนกลุ่มธุรกิจโรงแรมที่อยู่ในบัญชี 3 ไม่มีบริษัทใดที่มีสัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างด้าวเกิน 50% ในการลดสัดส่วนการถือหุ้นและสิทธิในการออกเสียงให้ต่ำกว่า 50% เฉพาะบัญชี 1-2 ที่ไม่อนุญาตให้บุคคลต่างด้าวประกอบกิจการด้านถือหุ้น
เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนที่เข้าข่ายบัญชี 1-2 มีสัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างด้าวไม่เกิน 50% ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าการยกร่างแก้ไขดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนในตลาด อย่างเป็นนัยสำคัญ ยกเว้นกลุ่มสื่อสาร โดยเฉพาะกรณีกุหลาบแก้วที่หากถูกตีความเป็นนอมินี จะส่งผลให้บริษัทในเครือ SHIN รวมถึง บริษัท ยูคอม มีความเสี่ยงเข้าข่ายบุคคลต่างด้าว แต่ต้องรอดูผลการตรวจสอบกรณีกุหลาบแก้วให้ชัดเจนเสร็จสิ้นก่อน
โดยหาก กุหลาบแก้ว เป็นนอมินี ก็จะส่งผลให้บริษัท ชิน กลายเป็นบริษัทต่างชาติ ที่มีผู้ถือหุ้นต่างด้าวกว่า 96.3% ซึ่งหมายรวมถึงสิทธิออกเสียงก็จะมากกว่า 50% ตาม พ.ร.บ. ใหม่ด้วย ซึ่งจะส่งผลสะท้อนเป็นลูกโซ่ไปยังบริษัทในเครือ ให้กลายเป็นบริษัทต่างชาติ ส่วนหุ้นชินแซทเทลไลท์(SATTEL) และบริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ(CSL) แม้สัดส่วนผู้ถือหุ้นจะไม่เกิน 50% แต่คาดว่าสิทธิในการออกเสียงมีแนวโน้มที่จะมากกว่าเกณฑ์ แต่หากผลการตรวจสอบ บ.กุหลาบแก้ว ปรากฏว่าไม่เป็นนอมินี จะทำให้บริษัทชิน คอร์ป และบริษัทในเครือ คงสภาพเป็นบริษัทสัญชาติไทย
ในกรณีที่ บริษัท ชิน เป็นบริษัทต่างชาติ มองว่าแนวทางแก้ไขหนึ่งที่เป็นไปได้ คือ กลุ่มเทมาเส็ก ขายหุ้นชิน เพื่อลดสัดส่วนให้ไม่เกิน 50% ในเบื้องต้นเราคาดว่ากลุ่มเทมาเส็กต้องขายหุ้นกว่า 1,400 ล้านหุ้น หากเปรียบเทียบกับราคาหุ้นในปัจจุบันจะคิดเป็นมูลค่าประมาณ 32,900 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้ปัญหานอมินีภายในโครงสร้างผู้ถือหุ้นของกลุ่มชินหมดไป อย่างไรก็ดีอาจมีปัญหาว่าจะมีนิติบุคคลหรือบุคคลสัญชาติไทยคนใดสนใจซื้อหุ้น SHIN ด้วยจำนวนเงินมหาศาลนี้ ซึ่งอาจเป็นเหตุผลให้ต้องหาผู้ร่วมทุนมากกว่า 1 ราย รวมถึงอาจมีการขายหุ้นคืนให้นักลงทุนรายย่อย เพื่อเป็นการเพิ่ม Free Float จากปัจจุบันที่มีเพียง 3.7% ให้ไม่น้อยกว่า 15% ตามเกณฑ์ตลาด
AH
BH
CTW
GOLD
LPN
LVT
PSL
RAIMON
SINGER
UCOM
SHIN
ITV
ADVANC
พวกกล่ำกึ่งว่าจะโดนไม่โดนมี (สิทธิ์ออกเสียง 49.xx%)
TICON
KTP
- myclie
- Verified User
- โพสต์: 40
- ผู้ติดตาม: 0
" หุ้นที่น่าจะมีผลกระทบต่อพ.ร.บ นอมีนี่ "
โพสต์ที่ 54
MINT ก้าวกระโดดต่อพ.ร.บ.ต่างด้าวไม่กระทบ
Source - กระแสหุ้น
Thursday, 11 January 2007 05:11
ไมเนอร์ อินเตอร์ฯ ยืนยันไม่กระทบ พ.ร.บ.ธุรกิจคนต่างด้าว เผยต่างชาติถือหุ้นแค่ 20% ส่วนปัญหาระเบิดเชื่อกระทบช่วงสั้นๆมั่นใจธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร จะยังเติบโต 2 เท่าของจีดีพี เตรียมงบลงทุนเพิ่ม 5 พันล้าน ปี50 ตั้งเป้าเติบโตเพิ่ม 20% ด้านนักวิเคราะห์ประเมินหุ้น MINT พื้นฐานแข็งแกร่ง แนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง มูลค่าเหมาะสม 13.50 บาท
นางสาวประภารัตน์ ตังค์วัฒนา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการเงิน บริษัทไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานของบริษัทปี 2550 ในส่วนของธุรกิจโรงแรมนั้น บริษัทมีแผนที่จะเปิดโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ ที่สมุย ประมาณเดือนกุมภาพันธ์นี้ และยังมีโรงแรมที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปลายปีนี้ หรือต้นปี 2551 ได้แก่ โรงแรมอันนันทรา ภูเก็ต วิลล่า และโรงแรมไทม์แชร์ เฟส 3
ปี50 ตั้งงบลงทุนเพิ่ม 5 พันล้าน
สำหรับแผนการลงทุนเพิ่มในปี 2550 บริษัทได้เตรียมงบลงทุนทั้งในส่วนของธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหารไว้ประมาณ 5,000 ล้านบาท ในส่วนของธุรกิจโรงแรมมีแผนที่จะก่อสร้างโรงแรมที่ราชดำริ ติดอยู่กับโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ โดยตัวโรงแรมมีความสูงประมาณ 50 ชั้น โดยโรงแรมแห่งนี้จะแบ่งเป็นโซนที่เป็นโรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ และคอนโดมิเนียม ทั้งนี้ คาดว่าโรงแรมแห่งนี้จะทำการก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณปลายปี 2552 สำหรับในส่วนของธุรกิจอาหารนั้น ทางบริษัทมีแผนที่จะขยายสาขาเพิ่มในประเทศจีน โดยจะเพิ่มสาขาให้ได้ 50 สาขา จากเดิมที่มีสาขาอยู่ประมาณ 30 สาขา ส่วนสาขาในประเทศนั้น ปัจจุบันมีอยู่ทั้งสิ้น 630 สาขา และคาดว่าภายในปีนี้บริษัทจะมีสาขาทั้งสิ้นประมาณ 700 สาขา สำหรับแหล่งเงินทุนนั้นจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัททั้งหมด
ไม่กระทบต่างชาติถือหุ้นแค่ 20%
นางสาวประภารัตน์ กล่าวถึงประเด็นที่คณะรัฐมนตรี (ค.ร.ม.) เห็นชอบในหลักการร่าง พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ว่า ในเรื่องนี้ทางบริษัทไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด เพราะว่าปัจจุบันบริษัทมีผู้ถือหุ้นที่ป็นชาวต่างชาติ สัดส่วนเพียง 20% เท่านั้น
เหตุระเบิดกระทบสั้นๆ-เป้าปี 50โต 20%
ส่วนเหตุการณ์ระเบิดหลายแห่งในกรุงเทพฯเมื่อวันที่ 31 ธันวาคมที่ผ่านมา คาดว่าจะส่งผลกระทบในแง่จิตวิทยาของผู้บริโภคในระยะสั้นๆประมาณ 6-8 สัปดาห์เท่านั้น และถ้าเหตุการณ์ทุกอย่างไม่มีอะไรที่เลวร้าย หรือรุนแรงไปมากกว่านี้ เชื่อว่าทุกอย่างน่าจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ อย่างไรก็ดีบริษัทได้ตั้งเป้าอัตราการเติบโตปี 2550 เพิ่มขึ้นจากปี 2549 เพิ่มขึ้นประมาณ 20% สำหรับสัดส่วนรายได้ของบริษัท จะมาจากธุรกิจโรงแรมประมาณ 50% และอีก 50% มาจากธุรกิจอาหาร
ธุรกิจโรงแรมยังขยายตัวกว่า10%
สำหรับแนวโน้มธุรกิจโรงแรมนั้น มองว่า น่าจะยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง เนื่องจากมีการเพิ่มสายการบินและเที่ยวบินเพิ่มขึ้น ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมีเหตุการณ์ระเบิดเกิดขึ้นก็ตาม เชื่อว่า หลังจากที่สถานการณ์สงบ และไม่มีเหตุการณ์อะไรที่เลวร้ายเชื่อว่านักท่องเที่ยวน่าจะกลับเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยตามปกติ ดังนั้นทางบริษัทจึงได้ประเมินอัตราการเติบโตของธุรกิจโรงแรมปีนี้ อยู่ที่ประมาณ 10% ส่วนแนวโน้มธุรกิจอาหารนั้น มองว่าการเติบโตจะเติบโตตาม จีดีพีของประเทศ ซึ่งการเติบโตของธุรกิจอาหารมักจะเติบโตเป็น 2 เท่าของจีดีพีประเทศ
พื้นฐานแกร่ง-มูลค่าเหมาะสม 13.50 บ.
นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท หลักทรัพย์ แอ๊ดคินซัน จำกัด (มหาชน) หรือ ASL ประเมินว่า MINT อาจจะได้รับผลกระทบด้านจิตวิทยาในเรื่องของ พ.ร.บ.ต่างด้าว แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่า จะเข้าข่ายประเด็นนี้ด้วยหรือไม่ เพราะว่า MINT เองก็มีถือหุ้นที่เป็นต่างชาติถือหุ้นอยู่ด้วยแต่ในเบื้องต้นนั้น คาดว่า MINT คงจะไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องดังกล่าว อย่างไรก็ดี มองในแง่ของปัจจัยพื้นฐานแล้วถือว่า ปัจจัยพื้นฐานของ MINT ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และมีอัตราการเติบโตที่ต่อเนื่อง ดังนั้นจึงได้ประเมินราคาพื้นฐานของหุ้น MINT ปี 2550 อยู่ที่ 13.50 บาทและได้ราคาทางเทคนิคให้แนวรับอยู่ที่ 10.20 บาท และแนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 10.80 บาท
ประเมินแนวต้านสำคัญ 11 บาท
นายอภิศักดิ์ ลิมป์ธำรงกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ บริษัท หลักทรัพย์นครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCIS เปิดเผยว่า ระดับราคาหุ้นของ MINT ที่เทรดอยู่ในกระดานถือว่าราคาสูงเกินไป มองว่าราคาที่ปรับขึ้นมานั้นค่อนข้างที่จะเต็มมูลค่าแล้ว ดังนั้นโอกาสที่ระดับราคาหุ้นจะปรับขึ้นไปได้อีกค่อนข้างที่จะไปได้ยาก ส่วนในแง่ของปัจจัยพื้นฐานถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ดังนั้นจึงได้ประเมินกรอบราคาทางเทคนิคโดยให้แนวรับอยู่ที่ 8 บาท ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 11 บาท
Source - กระแสหุ้น
Thursday, 11 January 2007 05:11
ไมเนอร์ อินเตอร์ฯ ยืนยันไม่กระทบ พ.ร.บ.ธุรกิจคนต่างด้าว เผยต่างชาติถือหุ้นแค่ 20% ส่วนปัญหาระเบิดเชื่อกระทบช่วงสั้นๆมั่นใจธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร จะยังเติบโต 2 เท่าของจีดีพี เตรียมงบลงทุนเพิ่ม 5 พันล้าน ปี50 ตั้งเป้าเติบโตเพิ่ม 20% ด้านนักวิเคราะห์ประเมินหุ้น MINT พื้นฐานแข็งแกร่ง แนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง มูลค่าเหมาะสม 13.50 บาท
นางสาวประภารัตน์ ตังค์วัฒนา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการเงิน บริษัทไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานของบริษัทปี 2550 ในส่วนของธุรกิจโรงแรมนั้น บริษัทมีแผนที่จะเปิดโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ ที่สมุย ประมาณเดือนกุมภาพันธ์นี้ และยังมีโรงแรมที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปลายปีนี้ หรือต้นปี 2551 ได้แก่ โรงแรมอันนันทรา ภูเก็ต วิลล่า และโรงแรมไทม์แชร์ เฟส 3
ปี50 ตั้งงบลงทุนเพิ่ม 5 พันล้าน
สำหรับแผนการลงทุนเพิ่มในปี 2550 บริษัทได้เตรียมงบลงทุนทั้งในส่วนของธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหารไว้ประมาณ 5,000 ล้านบาท ในส่วนของธุรกิจโรงแรมมีแผนที่จะก่อสร้างโรงแรมที่ราชดำริ ติดอยู่กับโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ โดยตัวโรงแรมมีความสูงประมาณ 50 ชั้น โดยโรงแรมแห่งนี้จะแบ่งเป็นโซนที่เป็นโรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ และคอนโดมิเนียม ทั้งนี้ คาดว่าโรงแรมแห่งนี้จะทำการก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณปลายปี 2552 สำหรับในส่วนของธุรกิจอาหารนั้น ทางบริษัทมีแผนที่จะขยายสาขาเพิ่มในประเทศจีน โดยจะเพิ่มสาขาให้ได้ 50 สาขา จากเดิมที่มีสาขาอยู่ประมาณ 30 สาขา ส่วนสาขาในประเทศนั้น ปัจจุบันมีอยู่ทั้งสิ้น 630 สาขา และคาดว่าภายในปีนี้บริษัทจะมีสาขาทั้งสิ้นประมาณ 700 สาขา สำหรับแหล่งเงินทุนนั้นจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัททั้งหมด
ไม่กระทบต่างชาติถือหุ้นแค่ 20%
นางสาวประภารัตน์ กล่าวถึงประเด็นที่คณะรัฐมนตรี (ค.ร.ม.) เห็นชอบในหลักการร่าง พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ว่า ในเรื่องนี้ทางบริษัทไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด เพราะว่าปัจจุบันบริษัทมีผู้ถือหุ้นที่ป็นชาวต่างชาติ สัดส่วนเพียง 20% เท่านั้น
เหตุระเบิดกระทบสั้นๆ-เป้าปี 50โต 20%
ส่วนเหตุการณ์ระเบิดหลายแห่งในกรุงเทพฯเมื่อวันที่ 31 ธันวาคมที่ผ่านมา คาดว่าจะส่งผลกระทบในแง่จิตวิทยาของผู้บริโภคในระยะสั้นๆประมาณ 6-8 สัปดาห์เท่านั้น และถ้าเหตุการณ์ทุกอย่างไม่มีอะไรที่เลวร้าย หรือรุนแรงไปมากกว่านี้ เชื่อว่าทุกอย่างน่าจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ อย่างไรก็ดีบริษัทได้ตั้งเป้าอัตราการเติบโตปี 2550 เพิ่มขึ้นจากปี 2549 เพิ่มขึ้นประมาณ 20% สำหรับสัดส่วนรายได้ของบริษัท จะมาจากธุรกิจโรงแรมประมาณ 50% และอีก 50% มาจากธุรกิจอาหาร
ธุรกิจโรงแรมยังขยายตัวกว่า10%
สำหรับแนวโน้มธุรกิจโรงแรมนั้น มองว่า น่าจะยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง เนื่องจากมีการเพิ่มสายการบินและเที่ยวบินเพิ่มขึ้น ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมีเหตุการณ์ระเบิดเกิดขึ้นก็ตาม เชื่อว่า หลังจากที่สถานการณ์สงบ และไม่มีเหตุการณ์อะไรที่เลวร้ายเชื่อว่านักท่องเที่ยวน่าจะกลับเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยตามปกติ ดังนั้นทางบริษัทจึงได้ประเมินอัตราการเติบโตของธุรกิจโรงแรมปีนี้ อยู่ที่ประมาณ 10% ส่วนแนวโน้มธุรกิจอาหารนั้น มองว่าการเติบโตจะเติบโตตาม จีดีพีของประเทศ ซึ่งการเติบโตของธุรกิจอาหารมักจะเติบโตเป็น 2 เท่าของจีดีพีประเทศ
พื้นฐานแกร่ง-มูลค่าเหมาะสม 13.50 บ.
นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท หลักทรัพย์ แอ๊ดคินซัน จำกัด (มหาชน) หรือ ASL ประเมินว่า MINT อาจจะได้รับผลกระทบด้านจิตวิทยาในเรื่องของ พ.ร.บ.ต่างด้าว แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่า จะเข้าข่ายประเด็นนี้ด้วยหรือไม่ เพราะว่า MINT เองก็มีถือหุ้นที่เป็นต่างชาติถือหุ้นอยู่ด้วยแต่ในเบื้องต้นนั้น คาดว่า MINT คงจะไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องดังกล่าว อย่างไรก็ดี มองในแง่ของปัจจัยพื้นฐานแล้วถือว่า ปัจจัยพื้นฐานของ MINT ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และมีอัตราการเติบโตที่ต่อเนื่อง ดังนั้นจึงได้ประเมินราคาพื้นฐานของหุ้น MINT ปี 2550 อยู่ที่ 13.50 บาทและได้ราคาทางเทคนิคให้แนวรับอยู่ที่ 10.20 บาท และแนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 10.80 บาท
ประเมินแนวต้านสำคัญ 11 บาท
นายอภิศักดิ์ ลิมป์ธำรงกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ บริษัท หลักทรัพย์นครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCIS เปิดเผยว่า ระดับราคาหุ้นของ MINT ที่เทรดอยู่ในกระดานถือว่าราคาสูงเกินไป มองว่าราคาที่ปรับขึ้นมานั้นค่อนข้างที่จะเต็มมูลค่าแล้ว ดังนั้นโอกาสที่ระดับราคาหุ้นจะปรับขึ้นไปได้อีกค่อนข้างที่จะไปได้ยาก ส่วนในแง่ของปัจจัยพื้นฐานถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ดังนั้นจึงได้ประเมินกรอบราคาทางเทคนิคโดยให้แนวรับอยู่ที่ 8 บาท ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 11 บาท