หน้า 2 จากทั้งหมด 5

news17/07/07

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 17, 2007 11:13 am
โดย chartchai madman
สั่ง สัมพันธ์ พักรับประกันชั่วคราว - 17/7/2550

กรมการประกันภัยงัดมาตรา 52 กฎเหล็กประกันภัยให้บริษัทสัมพันธ์ประกันภัยหยุดรับประกันชั่วคราวแล้ว พร้อมตั้งคณะทำงานเข้าไปกำกับดูแลแล้ว จนกว่าจะแก้ไขฐานะเงินกองทุนขาดตามกฎหมายได้ลุล่วง แหล่งข่าวจากกรมการประกันภัย เปิดเผยว่า วานนี้(16 ก.ค.)นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัยได้เข้าพบนางอรนุช โอสถานุเคราะห์ รมช.พาณิชย์ และนายเกริกไกร จีระแพทย์ รมว.พาณิชย์เพื่อรายงานความคืบหน้าการแก้ไขฐานะการเงินของบริษัทประกันภัยที่มีเงินกองทุนขาดตามกฎหมายขณะนี้ พร้อมทั้งได้ขออนุญาตใช้มาตรา 52 ของพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ.2535 ออกประกาศให้บริษัทสัมพันธ์ประกันภัยหยุดรับประกันภัยเป็นการชั่วคราว เพื่อให้บริษัทแก้ไขฐานะเงินกองทุนที่ติดลบให้เป็นไปตามกฎหมาย โดยมาตรา 52 ได้ระบุให้อำนาจนายทะเบียนด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีสั่งให้หยุดรับประกันภัยเป็นการชั่วคราวได้

โดยนางจันทราได้ลงนามเป็นประกาศคำสั่งหยุดรับประกันภัยชั่วคราวให้มีผลนับตั้งแต่วันที่ 17 ก.ค.นี้เป็นต้นไป พร้อมกับได้ตั้งคณะกรรมการฯขึ้นชุดหนึ่งเข้าไปกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดในระหว่างที่ผู้บริหารของบริษัทดำเนินการแก้ไขฐานะการเงินให้เป็นไปตามกำหนดของนายทะเบียน
http://www.siamrath.co.th/Economic.asp?ReviewID=177648

news17/07/07

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 17, 2007 1:38 pm
โดย chartchai madman
แนะบ.ประกัน เลิกยึดตัวแทน เพิ่มช่องขายอื่น
โพสต์ทูเดย์ ประกันต่างชาติฟันธงต้องขายผ่านทุกช่องทางถึงรอด ชี้ขายผ่านตัวแทนอย่างเดียวอยู่ลำบาก

นายวิลฟ์ แบล็คเบิร์น กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี.ประกันชีวิต (เอเอซีพี) กล่าวว่า ปัจจุบันการรับรู้เรื่องประกันชีวิตของคนไทยและการมีช่องทางขายที่หลากหลายเพิ่มขึ้น ทำให้อัตราการถือเพิ่มของกรมธรรม์เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และเห็นได้ชัดว่าหากบริษัทประกันชีวิตรายใด ยังคงเน้นขายประกันผ่าน ตัวแทนอย่างเดียว ก็จะสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดไปให้บริษัทอื่นที่มีช่องทางที่หลากหลายกว่าแทน

ตอนนี้ลูกค้ารู้จักเรื่องการเงิน เรื่องประกันมากขึ้น เวลาซื้อประกันก็จะเลือกประกันที่มีคุณสมบัติตรงกับตัวมาก ขึ้น การขายจึงไม่ใช่แค่ขายแบบเดิมๆ ตัวแทนต้องมีความรอบรู้มากขึ้นด้วย ทำให้เอเอซีพีต้องหันมามุ่งเน้นว่าสิ่งที่ลูกค้าต้องการคืออะไรเป็นหลัก นายวิลฟ์ กล่าว

นายโดนอลด์ คาร์ดีน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต กล่าวว่า ในอดีตเมื่อช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ช่องทางขายที่สำคัญสุดคือ ช่องทางตัวแทน และบริษัทที่มีผลงานดีและเติบโตเร็วที่สุดจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่และต้องมีตัวแทนมากที่สุด

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันได้มีช่องทางขายมากขึ้น เช่น การขายผ่านเคาน์เตอร์ธนาคารพาณิชย์หรือแบงก์แอสชัวรันส์ ที่ขณะนี้ทุกบริษัทหันมาใช้เป็นช่องทางขายเพิ่มแล้ว และเป็นช่องทางที่ทำอัตราส่วนผู้ถือกรมธรรม์ของ คนไทยจาก 9% เพิ่มเป็น 19% ในปัจจุบัน

นายโดนอลด์ กล่าวว่า แบงก์แอสชัวรันส์ยังเป็นช่องทางที่สอดคล้องกับพฤติกรรมของลูกค้า ที่มีความใกล้ ชิดหรือใช้บริการกับธนาคารเป็นประจำอยู่แล้ว หรืออย่างช่องทางขายผ่านโทรศัพท์ที่ขณะนี้มีอยู่ประมาณ 7 บริษัทเท่านั้น ก็คาดว่าจะมีแนวโน้มที่มากขึ้น

ทั้งนี้ นอกจาก 2 บริษัทข้างต้นแล้ว บริษัทเมืองไทยประกันชีวิต บริษัท พรูเด็นเชียลทีเอสไลฟ์ บริษัท ธนชาตประกันชีวิต สามารถทำยอดขายผ่านช่องทางอื่นได้จำนวนมาก
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=179156

news18/07/07

โพสต์แล้ว: พุธ ก.ค. 18, 2007 2:58 pm
โดย chartchai madman
พาณิชย์อุ้มไม่ไหวสั่งเซ็งลี้หุ้นสหประกันชีวิต

โพสต์ทูเดย์ กระทรวงพาณิชย์ เร่ขายหุ้นเพิ่มทุนบริษัท สหประกันชีวิต ให้สิทธิต่างชาติถือหุ้นสูงสุด 25% แถมให้กุมอำนาจบริหาร
นายยรรยง พวงราช รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะคณะกรรมการควบคุมบริษัท สหประกันชีวิต กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์จะเปิดรับข้อเสนอซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัท สหประกันชีวิต จำนวน 275 ล้านบาทจากนักลงทุนทั่วไป ในราคาหุ้นละ 10 บาท โดยให้โอกาสทั้งนักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างประเทศ ตั้งแต่บัดนี้จนถึงสิ้นเดือน ก.ค. 2550
สำหรับนักลงทุนต่างประเทศให้สิทธิถือหุ้นตรงเต็มเพดาน 25% ตามกฎหมายกำหนด ส่วนนักลงทุนไทยไม่จำกัดจำนวน พร้อมกับมีสิทธิส่งตัวแทนเข้าเป็นคณะกรรมการคิดเป็น 2 ใน 3 ของคณะกรรมการทั้งหมด และมีสิทธิส่งผู้บริหารมืออาชีพมานั่งบริหาร เพื่อให้บริษัทสามารถขยายธุรกิจได้อย่างยั่งยืนและมั่นคงในอนาคต
ขณะนี้มีนักลงทุนแสดงความจำนงเข้ามาอย่างไม่เป็นทางการ แต่เพื่อความโปร่งใสในการขายหุ้น จึงเปิดโอกาสให้กลุ่มอื่นด้วย นายยรรยง กล่าว
นายยรรยง กล่าวว่า บริษัท สหประกันชีวิตมีอนาคตที่ดีหากได้กลุ่มผู้บริหารมืออาชีพเข้ามาดำเนินการ โดยขาดเงินกองทุนประมาณ 100 กว่าล้านบาท การเพิ่มทุนอีก 275 ล้านบาท จะทำให้เงินกองทุนเป็นบวกและมีเงินเหลือในการขยายธุรกิจ
ทั้งนี้ บริษัทมีจุดแข็งหลายด้าน คือมีฐานผู้ถือหุ้นเป็นสหกรณ์ทั่วประเทศ 2,220 แห่ง สมาชิกจำนวน 10 ล้านคน พร้อมจะเป็นฐานการตลาดที่แน่นอนให้กับบริษัทในระยะยาว มีหนี้สินเพียง 50 ล้านบาท และใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันชีวิตยังมีมูลค่าสูงในตลาด เพราะในระยะ 10 ปีข้างหน้า จะไม่มีการออกใบอนุญาตใหม่
ตอนนี้อยู่ในช่วงที่สหกรณ์แสดงความจำนงซื้อหุ้นเพิ่มทุนก่อนเป็นกลุ่มแรกจนถึง 31 ก.ค.นี้ มียอดจองซื้อหุ้นแล้ว 2.3 ล้านหุ้น เป็นเงิน 23 ล้านบาท แต่เพื่อไม่ให้แผนการเพิ่มทุนสะดุด จึงเชิญชวนคนนอกเข้ามาเพื่อให้แผนเพิ่มทุนเสร็จก่อนวันที่ 15 ส.ค. 2550 หลังเพิ่มทุนบริษัทจะมีทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท นายยรรยง กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=179346

news18/07/07

โพสต์แล้ว: พุธ ก.ค. 18, 2007 3:12 pm
โดย chartchai madman
แห่ซื้อประกันสินเชื่อรถ
โพสต์ทูเดย์ ความไม่สงบเป็นเหตุ หนุนคนภาคใต้แห่ซื้อประกันสินเชื่อรถยนต์ คุ้มครองความเสี่ยงให้ประกันจ่ายหนี้แทน


นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการอำนวยการสายสินเชื่อรายย่อย ธนาคารทิสโก้ กล่าวว่า จากการที่ธนาคารได้ร่วมกับบริษัท อเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนลแอสชัวรันส์ (เอไอเอ) เพื่อนำแบบประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ (Auto Loan Protection หรือ ALP) ซึ่งบริษัทประกันจะจ่ายค่างวดที่เหลือให้กรณีลูกค้าเสียชีวิต หรือทุพพลภาพ มาเสนอขายให้กับลูกค้าแบบสมัครใจ ตั้งแต่เดือน ม.ค.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี มีลูกค้าสินเชื่อเช่าซื้อใช้บริการไปแล้ว 1 หมื่นราย หรือประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งลูกค้ากว่า 50% มาจากภาคใต้ โดยเฉพาะสุราษฎร์ธานีและสงขลาเป็นหลัก และคาดว่าจะถึง 200 ล้านบาท ภายในสิ้นปีนี้
นายเสถียร เลี้ยววาริณ หัวหน้าประกันชีวิตธนกิจ ธนาคารทิสโก้ กล่าวว่า ลูกค้าในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะได้ประโยชน์จากแบบประกันสินเชื่อนี้มาก เนื่องจากตัวกรมธรรม์ได้ให้ความคุ้มครองไปถึงภัยก่อการร้ายด้วย โดยลูกค้าของทิสโก้ไม่ต้องเสียค่าเบี้ยประกันเพิ่มจากปกติแต่อย่างใด แต่หากเป็นของที่อื่นลูกค้าอาจต้องเสียค่าเบี้ยเพิ่ม และตั้งแต่เปิดให้บริการมาก็เพิ่งมีลูกค้ามาขอชดเชยค่าสินไหมแล้ว 2 ราย คือที่ขอนแก่นและกรุงเทพฯ แต่ก็ต้องติดตามดูในระยะยาวต่อไปว่าเป็นอย่างไร
นายศักดิ์ชัย กล่าวว่า จุดเด่นอีกอย่างของประกันสินเชื่อนี้คือ ผู้เอาประกันภัยจะได้รับความคุ้มครอง 24 ชั่วโมงทั่วโลก ซึ่งครอบคลุมถึงการเสียชีวิตทุกกรณีอันเกิดจากการเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ สูญเสียอวัยวะและทุพพลภาพ โดยในกรณีที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุจะได้รับความคุ้มครองเพิ่มอีก 50% ของทุนประกัน
ในกรณีที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุสาธารณภัย จะได้รับความคุ้มครองเพิ่มอีก 100% ของทุนประกัน และผู้ค้ำประกันยังสามารถได้รับสิทธิพิเศษในการซื้อกรมธรรม์นี้ได้ด้วย เช่น พ่อค้ำประกันสินเชื่อรถยนต์ให้ลูก ทั้งพ่อและลูกสามารถซื้อกรมธรรม์นี้ได้ทั้งคู่ ซึ่งในส่วนของค่าเบี้ยประกันนั้นสามารถรวมไปกับค่างวดได้ เช่น ค่างวดเดือนละ 1 หมื่นบาท จะเสียค่าเบี้ย 0.15% หรือจ่ายเพิ่มอีก 150 บาท และแม้ลูกค้าขาดส่งค่างวดกรมธรรม์ก็ยังมีผลคุ้มครองอยู่
นายอิสระ วงศ์รุ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย กล่าวว่า ทางลูกค้าในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดน ภาคใต้ มีความสนใจและติดต่อขอ ซื้อแบบประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ กับบริษัทมาเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะทางพื้นที่หาดใหญ่ ซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการขออนุมัติกับทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อให้นำค่าเบี้ยประกันรวมผ่อนไปกับค่างวดได้ จะได้เป็นการ ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายกับลูกค้า ได้ทางหนึ่ง
นายธวัชไชย สุทธิกิจพิศาล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคิน กล่าวว่า ธนาคารไม่ค่อยมีลูกค้าในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มากนัก โดยมีพื้นที่ใกล้เคียงสุดก็ที่หาดใหญ่ ซึ่งในส่วนพื้นที่หาดใหญ่เองขณะนี้ลูกค้าก็ลดหายไปประมาณ 50% ตามภาวะเศรษฐกิจในพื้นที่ ส่วนการทำประกันสินเชื่อเช่าซื้อนั้น อยู่ระหว่างเจรจากับบริษัทประกัน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=179382

news20/07/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 20, 2007 12:05 pm
โดย chartchai madman
กระตุ้นปปช.ประกันชีวิต  

โดย มติชน วัน ศุกร์ ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 09:53 น.
นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย เปิดเผยว่า กรม ร่วมกับสมาคมประกันชีวิตไทยและสมาคมตัวแทนประกันชีวิต จัดงาน วันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 8 ระหว่างวันที่ 28-30 กรกฎาคม 2550 ที่ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนเห็นความสำคัญของการทำประกันภัย และจะมีกิจกรรมบริการตรวจสุขภาพ 8 รายการ ในราคา 8 บาท อาทิ วัดความดันโลหิต ทันตกรรม ความแข็งแรงของปอด เป็นต้น มีการรับบริจาคโลหิตและจัดส่งยาสามัญประจำบ้านขององค์กรเภสัชกรรม มอบให้ผู้ประสบภัยทั่วประเทศ รวมถึงการแสดงด้านบันเทิงจากศิลปินอีกจำนวนมาก  
http://news.sanook.com/economic/economic_158969.php

news20/07/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 20, 2007 8:31 pm
โดย chartchai madman
ตัวแทนมึน!ผู้ซื้อประกันเริ่มเมิน [ ฉบับที่ 811 ประจำวันที่ 18-7-2007 ถึง 20-7-2007]  
>3 เดือนขายผ่านแบงก์ขยายตัวรดต้นคอ/ส่วนแบ่ง58-33

สมาคมประกันชีวิตไทย - แบงก์แอสชัวรันส์คึกคัก 11 ค่ายประกันชีวิตแข่งกันโกยเบี้ยไล่รดต้นคอช่องทางตัวแทน กางตัวเลขไตรมาสแรก แบงก์แอสชัวรันส์สร้างเบี้ยใหม่กินสัดส่วนถึง 33.7% ของเบี้ยปีแรกประเภทสามัญ พุ่งพรวดจากที่เคยอยู่ระดับเพียงไม่ถึง 20% ในปีที่ผ่านมา ไล่บี้ผลงานมือทองที่กอดไว้ 58.8% จากที่เคยครองตลาดถึง 70% ขณะช่องทางเทเลมาร์เก็ตติ้ง เริ่มตีตื้นแชร์ส่วนแบ่ง ได้ 4.1%
การขยายตัวในอัตราที่สูงลิ่วของธุรกิจประกันชีวิตในปีนี้ มาจากเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้นของบริษัทประกันชีวิต จากการขยายช่องทางจำหน่ายหลากหลายช่องทาง ซึ่งปัจจุบันนอกเหนือจากช่องทางจำหน่ายหลัก คือ ช่องทางตัวแทน (Agent) แล้ว ยังมีช่องทางนายหน้า (Broker), ช่องทางจำหน่ายผ่านธนาคาร หรือแบงก์แอสชัวรันส์ (Bancassurance), ช่องทางขายผ่านที่ทำการไปรษณีย์ (Post Office), ช่องทางขายตรงผ่านไปรษณีย์ (Direct Mail), ช่องทางติดต่อโดยตรงกับบริษัท (Walk in), ช่องทางขายผ่านโทรศัพท์ (Tele Marketing), ช่องทางขายผ่านองค์กร (Worksite Marketing) และช่องทางอื่นๆ (Others)
ช่องทางจำหน่ายใหม่ๆ ในบางช่องทาง สามารถสร้างผลงานให้บริษัทได้เป็นจำนวนมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และนับวันจะยิ่งทวีความโดดเด่นมากขึ้น โดยเฉพาะช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ที่มีการกล่าวถึงกันมาก ว่ายอดขายเริ่มไต่ระดับไล่หลังยอดขายจากช่องทางตัวแทนขึ้นมาทุกขณะ แต่กระนั้นที่ผ่านมาก็ยังไม่สามารถวัดผลงานของแต่ละช่องทางได้ชัดเจนนัก เพราะยังไม่มีการจัดเก็บข้อมูลกลางให้เห็นเป็นรูปธรรม เป็นเพียงข้อมูลที่แต่ละบริษัทนำเสนอเท่านั้น

อย่างไรก็ดี ภาพการขยายตัวแบบหายใจรดต้นคอของช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์กำลังฉายชัด เมื่อสมาคมประกันชีวิตไทย ได้แยกผลงานเบี้ยปีแรก (FYP) หรือเบี้ยใหม่เฉพาะประเภทสามัญ ซึ่งเป็นตลาดหลักของธุรกิจตามช่องทางจำหน่าย โดยในช่วงม.ค.-มี.ค.2550 ช่องทางตัวแทนมีเบี้ยปีแรกในประเภทสามัญทั้งสิ้น 4,660.427 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 58.8% ของเบี้ยปีแรกประเภทสามัญทั้งหมดที่มีจำนวน 7,923.152 ล้านบาท ขณะที่เบี้ยจากช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์มีจำนวน 2,669.159 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 33.7% ของเบี้ยปีแรกประเภทสามัญทั้งหมด

ทั้งนี้มีบริษัทประกันชีวิต 11 บริษัทด้วยกันที่มีผลงานในช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ โดยบริษัทที่ครองแชมป์ผลงานสูงสุดในช่องทางนี้ คือ บมจ.ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต ด้วยเบี้ยปีแรกประเภทสามัญจากช่องทางนี้จำนวน 846.775 ล้านบาท ครองส่วนแบ่งตลาดนี้ไป 31.72% ตามด้วย อันดับ 2 บ.เมืองไทยประกันชีวิต จก. ครองส่วนแบ่งตลาดนี้ไป 25.99% ด้วยเบี้ยจำนวน 693.644 ล้านบาท, อันดับ 3 บ.ไทยคาร์ดีฟ ประกันชีวิต จก. ครองส่วนแบ่งตลาดนี้ไป 17.31% ด้วยเบี้ยจำนวน 462.116 ล้านบาท, อันดับ 4 บมจ.อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี.ประกันชีวิต หรือเอเอซีพี ครองส่วนแบ่งตลาดนี้ไป 14.20% ด้วยเบี้ยจำนวน 379.120 ล้านบาท, อันดับ 5 บ.กรุงเทพประกันชีวิต จก. ครองส่วนแบ่งตลาดนี้ไป 4.70% ด้วยเบี้ยจำนวน 125.366 ล้านบาท

อันดับ 6 บ.กรุงไทย แอกซ่า ประกันชีวิต จก. ครองส่วนแบ่งตลาดนี้ไป 3.65% ด้วยเบี้ยจำนวน 97.360 ล้านบาท, อันดับ 7 บ.แมกซ์ประกันชีวิต จก. ครองส่วนแบ่งตลาดนี้ 0.86% ด้วยเบี้ยจำนวน 22.910 ล้านบาท, อันดับ 8 บมจ.มิลเลียไลฟ์อินชัวรันส์ (ประเทศไทย) ครองส่วนแบ่งตลาดนี้ 0.74% ด้วยเบี้ยจำนวน 19.800 ล้านบาท, อันดับ 9 บ.อเมริกัน อินเตอร์แนชชั่นแนล แอสชัวรันส์ จก. หรือเอไอเอ ครองส่วนแบ่งตลาดนี้ 0.56% ด้วยเบี้ยจำนวน 14.953 ล้านบาท, อันดับ 10 บมจ.พรูเด็นเชียล ทีเอสไลฟ์ ประกันชีวิต ครองส่วนแบ่งตลาดนี้ 0.26% ด้วยเบี้ยจำนวน 6.820 ล้านบาท และอันดับ 11 บ.ธนชาตประกันชีวิต จก. ครองส่วนแบ่งตลาดนี้ 0.01% ด้วยเบี้ยจำนวน 295,000 บาท ตามลำดับ

ส่วนช่องทางตัวแทน บริษัทประกันชีวิตที่มีผลงานสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ เอไอเอ ด้วยเบี้ยปีแรกประเภทสามัญจากช่องทางนี้จำนวน 1,823.855 ล้านบาท ตามด้วยบ.ไทยประกันชีวิต จก. ด้วยเบี้ยจำนวน 882.048 ล้านบาท, เอเอซีพี เบี้ยจำนวน 456.867 ล้านบาท, เมืองไทยประกันชีวิต เบี้ยจำนวน 300.715 ล้านบาท และไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ เบี้ยจำนวน 101.195 ล้านบาท ตามลำดับ

ด้านช่องทางเทเลมาร์เก็ตติ้ง ในช่วง 3 เดือนแรกปีนี้ มีเบี้ยปีแรกประเภทสามัญเข้ามาจำนวน 323.034 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 4.1% ของเบี้ยปีแรกประเภทสามัญทั้งหมด โดยมี 13 บริษัทที่มีผลงานในช่องทางนี้ นำโดยบ.ไอเอ็นจีประกันชีวิต จก. มีผลงานสูงสุด ด้วยเบี้ยปีแรกประเภทสามัญผ่านช่องทางนี้ 86.726 ล้านบาท ครองส่วนแบ่งตลาดนี้ไป 26.85% ตามด้วย อันดับ 2 บ.เจนเนอราลี่ประกันชีวิต (ไทยแลนด์) จก. ครองส่วนแบ่งตลาดนี้ไป 18.19% ด้วยเบี้ยจำนวน 58.758 ล้านบาท, อันดับ 3 พรูเด็นเชียล ทีเอสไลฟ์ฯ ครองส่วนแบ่งตลาดนี้ 18% ด้วยเบี้ยจำนวน 58.150 ล้านบาท, อันดับ 4 เอเอซีพี ครองส่วนแบ่งตลาดนี้ 8.37% ด้วยเบี้ยจำนวน 27.040 ล้านบาท และอันดับ 5 บ.เอซ ไลฟ์ แอสชัวรันซ์ จก. ครองส่วนแบ่งตลาดนี้ 6.06% ด้วยเบี้ยจำนวน 19.586 ล้านบาท ตามลำดับ

ช่องทางจำหน่ายองค์กร หรือ Worksite Marketing ในช่วง 3 เดือนแรกปีนี้มีเบี้ยปีแรกประเภทสามัญรวม 160.859 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2% ของเบี้ยปีแรกประเภทสามัญทั้งหมด โดยมี 6 บริษัทประกันชีวิตมีเปิดขายผ่านช่องทางนี้ นำโดยเอไอเอ ครองส่วนแบ่งตลาดนี้ไป 75.4% ด้วยเบี้ยจำนวน 121.285 ล้านบาท ตามด้วยบ.ฟินันซ่าประกันชีวิต จก. ครองส่วนแบ่งตลาดนี้ 23.3% ด้วยเบี้ยจำนวน 37.487 ล้านบาท, เอเอซีพี ครองส่วนแบ่งตลาดนี้ 0.45% ด้วยเบี้ยจำนวน 730,000 บาท, พรูเด็นเชียล ทีเอสไลฟ์ฯ ครองส่วนแบ่งตลาดนี้ 0.37% ด้วยเบี้ยจำนวน 603,000 บาท, กรุงเทพประกันชีวิต ครองส่วนแบ่งตลาดนี้ 0.27% ด้วยเบี้ยจำนวน 437,000 บาท และธนชาตประกันชีวิต ครองส่วนแบ่งตลาดนี้ 0.2% ด้วยเบี้ยจำนวน 317,000 บาท ตามลำดับ

ขณะที่ช่องทางนายหน้า หรือโบรกเกอร์ ในช่วง 3 เดือนแรกปีนี้มีสัดส่วน 1.3% ของเบี้ยปีแรกประเภทสามัญทั้งหมด ด้วยเบี้ยปีแรกประเภทนี้รวม 105.749 ล้านบาท นำโดยเมืองไทยประกันชีวิต ครองส่วนแบ่งตลาดนี้สูงสุด 54.87% ด้วยเบี้ยจำนวน 58.024 ล้านบาท รองลงมาเป็นไทยคาร์ดีฟประกันชีวิต ครองส่วนแบ่งตลาดนี้ไป 34.39% ด้วยเบี้ยจำนวน 36.369 ล้านบาท, เอเอซีพี ครองส่วนแบ่งตลาดนี้ 9.46% ด้วยเบี้ยจำนวน 10 ล้านบาท, ธนชาตประกันชีวิต ครองส่วนแบ่งตลาดนี้ 1.23% ด้วยเบี้ยจำนวน 1.305 ล้านบาท, ไทยประกันชีวิต ครองส่วนแบ่งตลาดนี้ 0.04% ด้วยเบี้ยจำนวน 460,000 บาท และบ.สยามซัมซุงประกันชีวิต จก. ครองส่วนแบ่งตลาดนี้ 0.005% ด้วยเบี้ยจำนวน 5,000 บาท ตามลำดับ

ส่วนอีก 2 ช่องทางอื่นๆ ทั้งช่องทางซื้อตรงกับบริษัท, ช่องทางขายผ่านไปรษณีย์, ช่องทางขายตรงผ่านไปรษณีย์ หรือไดเรคเมล และอื่นๆ มีเบี้ยไม่ถึง 1% ของทั้งหมด

ทั้งนี้หากเปรียบเทียบผลงานของช่องทางจำหน่ายต่างๆ ในช่วง 3 เดือนแรกปีนี้กับปีที่ผ่านมา จะเห็นว่าสัดส่วนเบี้ยของช่องทางตัวแทนเริ่มขยับลดลง ขณะที่สัดส่วนเบี้ยของช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ยิ่งขยับเพิ่มขึ้น โดยในช่วง ม.ค.-เม.ย.2549 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่สมาคมประกันชีวิตไทยได้ทดลองจัดเก็บสถิติแยกตามช่องทางจำหน่าย ปรากฏว่า ในตอนนั้นสัดส่วนเบี้ยจากช่องทางตัวแทนอยู่ที่ 74.45% ส่วนช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์มีสัดส่วนเพียง 16.25% เทียบกับ 3 เดือนแรกปีนี้สัดส่วนเบี้ยจากช่องทางตัวแทนเหลือเพียง 58.8% ขณะที่ช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 33.7%

รายงานข่าวจากวงการประกันชีวิต เปิดเผย สยามธุรกิจ ว่า การเปลี่ยนแปลงด้านช่องทางจำหน่ายที่เกิดขึ้น ทำให้สมาคมประกันชีวิตไทย ต้องจัดตั้งคณะอนุกรรมการใหม่ขึ้น 3 คณะ ได้แก่ คณะอนุกรรมการพัฒนาการตลาดระบบขายตรง (Direct Marketing), คณะอนุกรรมการส่งเสริมการประกันชีวิตผ่านธนาคาร (Bancassurance) และคณะอนุกรรมการสารสนเทศ (Information Technology) เพื่อให้เกิดความชัดเจนเป็นรูปธรรมในการควบคุมดูแลช่องทางจำหน่ายเหล่านี้ ดังนั้นสมาคมฯ จึงต้องเร่งจัดระบบการเก็บข้อมูลใหม่ แยกตามช่องทางจำหน่ายอย่างชัดเจน ซึ่งต่อไปแบบรายงานสถิติของสมาคมฯ จะต้องจัดทำรูปแบบใหม่ตามที่ได้จัดทำนี้ เพื่อที่จะเห็นภาพการขยายตัวของแต่ละช่องทางจำหน่าย และสภาพการแข่งขันของธุรกิจที่แท้จริง
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=4856

news20/07/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 20, 2007 8:46 pm
โดย chartchai madman
ไทยประกันยึดเอสพลานาด [ ฉบับที่ 811 ประจำวันที่ 18-7-2007 ถึง 20-7-2007]  
Entertainment Mall

โรงภาพยนตร์เอสพลานาด - ไทยประกันชีวิตปล่อยหมัดเด็ดเนรมิต เอส พลานาด เป็น Entertainment Mall ศูนย์ความบันเทิงครบวงจรสำหรับลูกค้า 3 ล้านรายทั่วประเทศและตัวแทนกว่า 3 หมื่นคน แย้มสุดยอดความบันเทิงที่เตรียมประเคนให้มีทั้งโรงหนัง โบว์ลิ่ง คาราโอเกะ เร่งรณรงค์ผู้เอาประกันทั่วไทยเปลี่ยนบัตรประจำตัวเป็น สีทองเพื่อรับสิทธิ์ พร้อมตัวภาพยนตร์ โฆษณาชุดใหม่ Sound Check ฉายใน โรงหนังเอสพลานาดและเครืออีจีวี 92 โรง ตอกย้ำเจ้าแห่งหนังโฆษณา
นางสาวภาสินี ปรีชาธนาพล ผู้จัดการฝ่ายสายงานสื่อสารองค์กร บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด เปิดเผย ว่า ในอนาคตอันใกล้นี้บริษัทจะสร้างศูนย์ การค้าเอสพลานาด ย่านรัชดาภิเษก เป็น Entertainment Mall หรือศูนย์ รวมความบันเทิงครบวงจรให้กับลูกค้าและตัวแทนไทยประกันชีวิต โดยลูกค้า ที่ถือบัตรประจำตัวผู้เอาประกันภัย รุ่นใหม่สีทอง สามารถนำบัตรดังกล่าวไปแสดงเพื่อขอรับบริการด้านความบันเทิงต่างๆ ที่ศูนย์การค้าได้ทันที อาทิ ในส่วนของโรงหนังที่อยู่ในเครืออีจีวี โบว์ลิ่ง คาราโอเกะ ไอซ์สเก็ต เป็นต้น

เงื่อนไขรายละเอียดตลอดจนสิทธิประโยชน์ต่างๆ ของบัตรนี้จะมีอะไรบ้างตอนนี้ยังบอกไม่ได้เพราะยังอยู่ระหว่างเจรจาเงื่อนไขกับทางเอส พลานาด ที่อยู่ในเครืออีจีวีอยู่ ซึ่งตอนนี้เรามีลูกค้า 3 ล้านราย และตัวแทนกว่า 30,000 คน โดยในส่วนลูกค้ากำลัง รณรงค์ให้ไปเปลี่ยนบัตร

ประจำตัวผู้เอาประกันภัยให้เป็นบัตรใหม่สีทองอยู่สามารถเปลี่ยนได้ที่สาขาไทยประกันชีวิตทั่วประเทศ ไม่ได้ใช้ได้เฉพาะที่กรุงเทพฯเท่านั้นในส่วนของต่างจังหวัดกำลัง ดิวอยู่เช่นกันเพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าไปรับบริการได้เพราะโรงหนังในเครืออีจีวีมีอยู่ในภูมิภาคต่างๆ เช่นกัน

สำหรับงบประมาณในการสร้าง Entertainment Mall นางสาวภาสินีกล่าวว่า อยู่ในหลักสิบล้านบาท ซึ่งเป็นงบก้อนเดียวกับการ ผลิตภาพยนตร์โฆษณาแบบ Sound Check ชุด Sound of Life ซึ่งเป็นภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ล่าสุดที่บริษัทเพิ่งออกมาถือเป็นค่ายแรกของวงการที่ออกภาพยนตร์โฆษณาลักษณะนี้ โดยภาพยนตร์ชุดนี้มีความยาว 20 วินาที และ 30 วินาทีจะแพร่ภาพในโรงภาพยนตร์เอส พลานาด ซีนีเพล็กซ์ จำนวน 12 โรงและโรงภาพยนตร์ในเครืออีจีวี 10 สาขาอีก 79 โรงรวมเป็น 91 โรง เป็นภาพยนตร์โฆษณาสำหรับ การเช็กระบบเสียงในโรงภาพยนตร์ก่อนฉาย

วัตถุประสงค์ของการทำโฆษณา Sound Check มุ่งเน้นแบรนดิ้งหรือการสร้างการรับรู้ต่อแบรนด์ผ่านกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาใช้บริการ ในโรงภาพยนตร์ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายคนละกลุ่มกับโฆษณาชุดก่อนๆ ของบริษัท

ปกติภาพยนตร์โฆษณาแต่ละชุดจะแพร่ภาพอยู่ประมาณ 6 เดือน-1 ปี คาดว่า Sound Check คงจะฉายอยู่ในโรงหนังประมาณ 6 เดือนเพื่อดูผลตอบรับก่อน หากผลตอบรับ ดี กระตุ้นการรับรู้ต่อแบรนด์ได้มากจะทำต่อ ซึ่งการวัดผลตอบรับใช้วิธีเดียวกับการวัดผลหนังโฆษณาทั่วไป เพียงแต่เป้าหมายคนละกลุ่ม กันเท่านั้น Sound Check วัดการรับรู้จากกลุ่ม คนดูหนัง โดยภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้ยิ่งตอกย้ำ บริษัทเราในฐานะเจ้าแห่งหนังโฆษณา ซึ่งภาพยนตร์โฆษณาชุดที่ผ่านๆ มาสร้างกระแสตอบรับได้พอสมควร

ไทยประกันชีวิตเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งแรกที่ออกภาพยนตร์โฆษณาเมื่อกว่า 20 ปีที่ผ่านมา โดยภาพยนตร์โฆษณาของบริษัทอยู่ภายใต้แนวคิด คุณค่าของชีวิต หรือ Value of life สามารถสร้างกระแสทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ ได้เกือบทุกชุด รวมถึงเป็นภาพยนตร์โฆษณาที่ให้แง่คิดแก่สังคมและมุ่งเสริมสร้างสถาบันครอบครัวมาโดยตลอด โดย Sound Check ชุด Sound of Life นี้อยู่ภายใต้แนว คิดคุณค่าของชีวิตเช่นกัน
http://www.siamturakij.com/home/index.html

NEWS24/07/07

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 24, 2007 11:33 am
โดย chartchai madman
สัมพันธ์ฯยันได้ผู้ร่วมทุนก.ค.นี้ - 24/7/2550
สัมพันธ์ฯยันได้ผู้ร่วมทุนก.ค.นี้
4ประกันในเอเชียแห่สนใจเพิ่ม


ผู้บริหารสัมพันธ์ประกันภัยมั่นใจหาผู้ร่วมทุนใหม่ลงตัวภายในสิ้นเดือนก.ค.นี้ ก่อนจะจัดทำแผนฟื้นฟูยื่นเสนอต่อกรมฯพิจารณาต่อไป เผยมีประกันในภาคพื้นเอเชียเพิ่มอีก 4 รายสนใจร่วมทุนกับบริษัทแล้ว

นายศรีศักดิ์ ณ นคร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทสัมพันธ์ประกันภัย จำกัด ได้ชี้แจงถึงกรณีที่กรมการประกันภัยได้มีคำสั่งให้บริษัทสัมพันธ์ฯงดรับประกันภัยชั่วคราวว่า มาตรการครั้งนี้เป็นมาตรการที่รุนแรง ส่งผลกระทบต่อภาพรวมธุรกิจและบริษัทสัมพันธ์ฯอย่างมาก ที่ผ่านมาบริษัทและผู้ประสานงานการร่วมทุนก็ได้รายงานความคืบหน้าการเจรจากับผู้ขอร่วมทุนให้ทราบเป็นระยะอยู่ตลอด แต่ก็เกิดปัญหาบางประการของผู้ขอร่วมทุนที่ต้องการปรับข้อมูลใหม่เพื่อให้ลงตัว ซึ่งต้องใช้เวลาอีกระยะ โดยขณะนั้นบริษัทฯก็ได้มีการเจรจากับผู้ที่จะขอร่วมทุนรายใหม่อีก 2 รายที่ได้ทำควบคู่กับรายเดิมเป็นการสำรองไว้อยู่แล้ว แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ย่อมทำให้การเจรจากับผู้ขอร่วมทุนรายอื่นลำบากมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามหลังจากที่กรมฯได้มีคำสั่งดังกล่าว สื่อต่างๆ ได้ทำข่าวกันอย่างคึกโครมและทั่วถึงทุกแห่ง ซึ่งก็มีทั้งผลดีและผลเสียต่อทางบริษัทฯทั้งสองด้าน

ในด้านผลเสียนั้นมีผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจอย่างใหญ่หลวงเพราะบริษัทสัมพันธ์ฯเป็นบริษัทที่มีเบี้ยประกันรถยนต์เป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ มีจำนวนผู้เอาประกันเกือบล้านคน อู่ซ่อมรถคู่สัญญากว่า 500 อู่ พนักงานกว่า 1,200 คน ตัวแทนกว่า 5,000 คน ต้องมีผลกระทบต่อการได้รับบริการและขาดรายได้ไปหมด ส่วนในด้านผลดีนั้นหลังจากมีข่าวแพร่หลายไปทั่วทำให้มีนักธุรกิจต่างชาติรายใหม่เห็นใจและสนใจติดต่อมาขอร่วมลงทุนกับบริษัทฯเพิ่มขึ้นอีก 4 ราย ทั้งหมดอยู่ในภาพพื้นเอเชียเป็นทั้งนักธุรกิจในวงการประกันภัยและนอกวงการ ซึ่งเราก็จะได้เร่งเจรจากับผู้ร่วมทุนรายใหม่ 4 รายเป็นทางการต่อไป โดยเริ่มตั้งแต่วันจันทร์ที่ 23 ก.ค.นี้เป็นต้นไป ซึ่งคาดว่าจะสรุปได้ภายในสิ้นเดือนนี้และจะได้ทำแผนฟื้นฟูการแก้ปัญหาเพื่อนำเสนอกรมการประกันภัยพิจารณาต่อไป
http://www.siamrath.co.th/Economic.asp?ReviewID=178199

news25/07/07

โพสต์แล้ว: พุธ ก.ค. 25, 2007 11:22 am
โดย chartchai madman
ลูกค้าเลิกผ่อนเบี้ยสัมพันธ์
โพสต์ทูเดย์ ลูกค้าเงินผ่อนส้มหล่น ยกเลิกกรมธรรม์สัมพันธ์ ไม่จ่ายเบี้ยส่วนที่เหลือ โบรกเกอร์หน้ามืดแทนหลังสำรองจ่ายเบี้ยเต็มไปให้ก่อนหน้า


นายผดุงสิน แต่รุ่งเรือง กรรมการบริหาร บริษัท อีซี่ อินชัวร์ โบรกเกอร์ กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีลูกค้าที่ใช้บริการและที่มีปัญหากับบริษัท สัมพันธ์ประกันภัย ประมาณ 200-300 ราย โดยส่วนหนึ่งยังเป็นลูกค้าเงินผ่อนที่ชำระค่าเบี้ยประกันภัยเป็นเวลา 6 เดือน เมื่อลูกค้าทราบว่าบริษัท สัมพันธ์ มีปัญหา ก็ได้มาขอยกเลิกกรมธรรม์ที่ทำกับบริษัท สัมพันธ์ ไว้ และเปลี่ยนไปทำกับบริษัทประกันอื่นแทน
กรณีนี้ทำให้อีซี่ต้องกลายเป็น เจ้าหนี้ของบริษัท สัมพันธ์ โดยอัตโนมัติ เนื่องจากอีซี่ได้สำรองจ่ายค่าเบี้ยประกันเต็มจำนวนให้กับบริษัท สัมพันธ์ ไปก่อนหน้านี้แล้ว และคงยังไม่สามารถเรียกร้องคืนกับบริษัท สัมพันธ์ ได้ในขณะนี้ นายผดุงสิน กล่าว
อย่างไรก็ตาม ค่าเบี้ยที่สำรองจ่ายไปก่อนนั้นก็อยู่ระดับแสนบาทเท่านั้น จึงไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัท ซึ่งก็มีลูกค้าบางส่วนที่เห็นใจว่าอีซี่ได้สำรองค่าเบี้ยไปแล้ว และยินดีจ่ายค่าเบี้ยส่วนที่เหลือให้ก่อนแล้วถึงขอยกเลิกกรมธรรม์ โดยลูกค้ายอมเป็นเจ้าหนี้โดยตรงเอง และก็ได้หันไปเริ่มต้นทำประกันใหม่กับบริษัทอื่นแทน ส่วนลูกค้าที่ยังถือกรมธรรม์อยู่ทางบริษัท สัมพันธ์ ก็ยังให้บริการด้านการเคลมเป็นปกติ แต่หากลูกค้าจะเอารถเข้าไปซ่อมในช่วงนี้อาจต้องสำรองเงินสดจ่ายไปก่อน แล้วถึงไปตามคืนกับบริษัท สัมพันธ์ ภายหลัง
นายผดุงสิน กล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา บริษัทมีอัตราเติบโตประมาณ 15% หรือมีเบี้ยรับ 200 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 20% เล็กน้อย ซึ่งก็เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจ แต่คาดว่าสถานการณ์ในครึ่งปีหลังนี้ยอดเบี้ยจะกระเตื้องขึ้นเหมือนกับทุกปี อย่างไรก็ตามเบี้ยปีนี้คงได้ไม่เกิน 400 ล้านบาท หรือโตประมาณ 20%
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนจะเปิดตัวสาขา อีซี่ อินชัวร์ ในต่างจังหวัดให้มากขึ้น ซึ่งเป็นลักษณะร่วมทุนกัน โดยนักลงทุนท้องถิ่นจะเป็นผู้ลงทุนในส่วนสำนักงาน พนักงาน ส่วนอีซี่ก็จะสนับสนุนเรื่องของเทคโนโลยี ความชำนาญ และยี่ห้ออีซี่ และขณะนี้ก็มีนักลงทุนท้องถิ่นจาก สุพรรณบุรี ชลบุรี นครปฐม ติดต่อ เข้ามาแล้ว ขณะที่อีซี่ก็มีสาขาที่ลงทุนเอง 100% จำนวน 5 แห่ง ในปัจจุบัน
แหล่งข่าวจากบริษัท โกลบอล คอฟเวอร์ กล่าวว่า ในส่วนของบริษัทเองแม้จะให้บริการเงินผ่อน แต่ก็ไม่ต้องสำรองจ่ายเบี้ยไปให้กับบริษัท สัมพันธ์ก่อน เนื่องจากลูกค้าต้องผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิต โดยบริษัทจะรับผิดชอบในส่วนของดอกเบี้ยแทนลูกค้าที่ผ่อนชำระกับผู้ให้บริการบัตรเครดิตเท่านั้น แต่ก็มีจำนวนไม่มากนัก ที่ผ่านมามีประมาณเดือนละ 15 รายเท่านั้น จากกรมธรรม์ประกันรถยนต์ที่ขายอยู่เดือนละ 200-300 กรมธรรม์
อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นหากลูกค้ามีปัญหาเรื่องเคลมค่าสินไหม บริษัท ก็ได้หาอู่ประกันในเครือบริษัท สัมพันธ์ ที่ยังรับงานอยู่ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 13-14 แห่ง ให้เข้าไปใช้บริการก่อน โดยหากเป็นอุบัติเหตุที่ซ่อมสีเพียงอย่างเดียวลูกค้าอาจไม่ต้องสำรองจ่าย เนื่องจากทางอู่มีวัสดุอุปกรณ์เดิมอยู่แล้ว สามารถแบกต้นทุนเพื่อรอไปเบิกกับบริษัท สัมพันธ์ได้ แต่หากเป็นการเปลี่ยนอะไหล่รถยนต์ที่อู่ต้องไปหาซื้อมาแล้ว ลูกค้าก็อาจต้องสำรองเงินสดจ่ายไปก่อนเหมือนกัน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=180803

news25/07/07

โพสต์แล้ว: พุธ ก.ค. 25, 2007 2:58 pm
โดย chartchai madman
จันทรา เล็งเพิ่มวงเงินลงทุนในต่างประเทศของ บ.ประกันชีวิต

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 25 กรกฎาคม 2550 14:26 น.
      อธิบดีกรมการประกันภัยเตรียมเพิ่มวงเงินลงทุนในต่างประเทศของบริษัทประกันชีวิตจากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 8.5 ของทรัพย์สินของแต่ละบริษัท หวังช่วยทำให้มีผลต่อการทำค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพมากขึ้น
     
      นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย กล่าวว่า กรมฯ พร้อมสนับสนุนให้ภาคธุรกิจประกันชีวิตสามารถเพิ่มวงเงินสำรองประกันภัยออกไปลงทุนในต่างประเทศได้เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 8.5 ของทรัพย์สินของแต่ละบริษัท ซึ่งจะทำให้มีผลต่อการทำค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพมากขึ้น โดยลงทุนในต่างประเทศมี 2 ลักษณะ คือ การเพิ่มชนิดตราสารการลงทุนจากเดิมอนุญาตเฉพาะตราสารประเภทพันธบัตรและหุ้นกู้ ขณะนี้จะขยายขอบเขตให้รวมถึงกองทุนรวมและหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศที่มีสภาพคล่องดีและมีขนาดใหญ่ 2. การเพิ่มวงเงินการอนุญาต โดยกรมการประกันภัยจะเพิ่มวงเงินให้แก่บริษัทประกันชีวิตที่มีความพร้อมที่จะลงทุนในต่างประเทศได้มากขึ้น โดยกรมการประกันภัยกำลังเปิดรับคำขออนุญาตในการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มเติม คาดว่าจะอนุญาตให้บริษัทลงทุนเพิ่มได้อีก 12,000 ล้านบาท รวมเป็นยอดเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 56,000 ล้านบาท
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000086838

news25/07/07

โพสต์แล้ว: พุธ ก.ค. 25, 2007 9:23 pm
โดย chartchai madman
กมลจับมือตากาฟูลโลก [ ฉบับที่ 813 ประจำวันที่ 25-7-2007 ถึง 27-7-2007]  
>หวังยึดเบ็ดเสร็จตลาดประกันภัยมุสลิม/ตั้งเด่น โต๊ะมีนาแม่ทัพ

รร.สยามซิตี้ - กมลประกันภัย เปิดมิติใหม่ กรมธรรม์ตากาฟูล ย้ำตรงหลักศาสนาอิสลามทุกอย่าง แถม เด่น โต๊ะมีนา นั่งประธานกรรมการ ซาริอะฮ์ ดูแลพอร์ตลงทุนเพิ่มความน่าเชื่อถือพร้อมเป็นหัวหอก ขยายตลาดเจาะตรงสหกรณ์ออมทรัพย์ อิสลาม 36 แห่งทั่วไทยประเดิม 3 จว.ใต้ดึงมุสลิมที่ซื้อประกันกับมาเลเซียเป็นลูกค้า สกัดเงินออกนอกปีละ 400-500 ล้านบาท ประเดิมสิ้นปีเบี้ย 300 ล้านบาท คิดการใหญ่เจรจาสมาคมตากาฟูลโลกในมาเลย์และดูไบ รองรับประกันต่อหวังยึดตลาดเสร็จสรรพ ชูตากาฟูลดันเป้าติดท็อปเทนเบี้ยรวมใน 3 ปี

นายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานกรรมการ บริษัท กมลประกันภัย จำกัด(มหาชน) เปิดเผยถึงทิศทางกมลประกันภัยหลังจากนี้ว่า กมลประกันภัยยุคใหม่จะให้ความสำคัญกับการบริการเน้นความรวดเร็วและเป็นธรรมกับผู้บริโภคโดยมีเป้าหมายที่จะให้บริษัทเป็นค่ายประกันภัยตัวอย่างด้านจริยธรรมและคุณธรรมเห็นได้จากการการออกกรมธรรม์แต่ละประเภท เน้นเพื่อสังคมเป็นหลัก อาทิ กรมธรรม์มายเวย์ ซึ่งเป็นกรมธรรม์ที่ให้ความคุ้มครองการค้ำประกันการสมัครงาน กรมธรรม์มายแพลนที่ให้ความคุ้มครองลูกจ้างที่ ถูกเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรมรวมถึงกรมธรรม์ใหม่ ล่าสุด กมลตากาฟูล ที่จะให้ความคุ้ม ครองชาวไทยมุสลิมทั่วประเทศซึ่งที่ผ่านมาไม่สามารถเข้าถึงการประกันภัยที่ถูกหลักศาสนา อิสลามได้

กมลประกันภัยยุคใหม่ต้องเป็นบริษัทที่น่าเชื่อถือ เป็นบริษัทของประชาชนทุกคน จุดอ่อนของทุกบริษัทคือเวลาเกิดอุบัติเหตุพนักงาน เคลมจะไปถึงที่เกิดเหตุช้าหรือไปถึงแล้วแต่มีเงื่อนไขมากมาย เราได้ปรับบริการตรงนี้แจ้ง เหตุให้เร็วขึ้นมีคอล เซ็นเตอร์ รับแจ้งเหตุ ซึ่งจะมี หน้าที่ประจำตลอด 24 ชั่วโมงรับรองการไปถึงที่เกิดเหตุภายใน 15-20 นาที มีการวัดผลการให้บริการ อีกทั้งยังบริการให้คำปรึกษาด้านทนายความเกี่ยวกับข้อกฎหมายเวลาเกิดเหตุและเป็นคดีความที่มีเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศ

นายมนัส บินมะฮมุด ประธานกรรมการ บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กมลประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัทวางเป้า หมายมีเบี้ยรับรวมมากที่สุดติดอันดับ 1 ใน 10 ของอุตสาหกรรมภายใน 3 ปีนี้โดยจะเพิ่มสัด ส่วนเบี้ยไม่ใช่รถยนต์ (นอน มอเตอร์) ให้มากขึ้นเนื่องจากประกันภัยรถยนต์ ซึ่งเป็นงานหลัก ของบริษัทมีสัดส่วนถึง 80% การแข่งขันรุนแรง โดยเฉพาะการตัดราคาทำให้เบี้ยต่ำ ซึ่งการออก กรมธรรม์ข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของการเพิ่มตลาด นอน มอเตอร์ โดยเฉพาะกรมธรรม์ตากาฟูล ซึ่งทางกรมการประกันภัยเพิ่งอนุมัติให้เป็น กรมธรรม์ที่บริษัทคาดหวังมากและจะเป็นตัวหลักที่จะทำให้บริษัทไปถึงเป้าหมายเพราะเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับจากคนมุสลิมทั่วประเทศ ที่มีอยู่ประมาณ 10% ของประชากรทั้งหมดเนื่องจากถูกต้องตามหลัก ชาริอะฮ์ หรือหลักบัญญัติของศาสนาอิสลามทุกประการและ ยังมีคณะกรรมการชาริอะฮ์ดูแลเรื่องการลงทุน โดยเฉพาะ

สำหรับการขยายตลาดกรมธรรม์ตากาฟูลระยะแรกจะเริ่มจากฐานลูกค้ามุสลิมใน 3 จังหวัดภาคใต้ก่อนจะขยายไปยังพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศโดยจะเจาะเข้าไปทางคณะกรรมการชาริอะฮ์ที่ดูแลสหกรณ์ออมทรัพย์อิสลามในแต่ละจังหวัดอยู่ซึ่งมีทั้งหมด 36 สหกรณ์ทั่วประเทศเฉพาะสหกรณ์ใน 3 จังหวัดมีสมาชิกเป็นหลักแสนคนสาเหตุที่เจาะ 3 จังหวัดในภาค ใต้ก่อนเนื่องจากคนมุสลิมในพื้นที่นี้เคร่งครัดที่สำคัญหันไปทำประกันภัยกับมาเลเซียจำนวนมากทำให้เบี้ยไหลออกไปนอกประเทศ

เฉพาะสหกรณ์ออมทรัพย์อิสลามปัตตานี ที่มีสมาชิก 2 หมื่นคนทำประกันภัยกับทางมาเลเซียหมด ซึ่งในแต่ละเดือนสหกรณ์ออมทรัพย์ปัตตานีมีเงินหมุนเวียนประมาณ 300 ล้านบาท โดยกรมธรรม์ตากาฟูลที่จะนำออกขายในช่วงแรกจะมี 2 ประเภทคือกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (พีเอ) เบี้ยประมาณ 300 บาท วงเงินคุ้มครอง 30,000 บาท, กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ในอนาคตจะขยายไปยังกรมธรรม์อัคคีภัย

คนมุสลิมที่ไปซื้อประกันกับมาเลเซียเยอะมากเฉพาะพีเอเบี้ยไหลออกไปประมาณ 200-300 ล้านบาทต่อปีหากรวมรถยนต์ด้วยประมาณ 400-500 ล้านบาทต่อปี ตรงนี้เราจะ ดึงมาซื้อกมลตากาฟูลให้หมดเรามีกรรมการชาริอะฮ์อยู่ที่มาเลเซีย ช่องทางการตลาดจะผ่านคณะกรรมการอิสลามซึ่งจะทำหนังสือไปถึงโต๊ะอิหม่ามทุกมัสยิดเรามั่นใจในตัวสินค้าอย่างตากาฟูลรถยนต์หากปีนี้ลูกค้าไม่เกิดเคลมปีต่อไปเราจะคืนเบี้ยให้เขา 10% ไม่ว่าจะ ทำประกันกับเราหรือไม่ หากทำกับเราจะได้ No Claim Bonus อีก

นายมนัสกล่าวว่า กมลตากาฟูลดีกว่าประกันตากาฟูลของบริษัทอื่นที่ขายอยู่ในขณะนี้ไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิตหรือประกันวินาศภัยเพราะนอกจากมีหลักการการจัดทำบัญชีตลอด จนเงื่อนไขต่างๆ ตรงตามหลักศาสนาอิสลามทุกอย่างแล้ว สินค้าของบริษัทยังออกเป็นกรมธรรม์หลักไม่ใช่ออกเป็นบันทึกสลักหลังเหมือนของบริษัทอื่น อีกทั้งยังมีคณะกรรมการชาริอะฮ์ที่มีชื่อเสียงดูแล จนถึงสิ้นปีนี้ตั้งเป้ายอดขายกรมธรรม์ตากาฟูลประมาณ 200-300 ล้าน บาท ซึ่งจะส่งผลให้เบี้ยรวมของบริษัทขยับเพิ่ม เป็น 1,000 ล้านบาทจากเป้าเดิมที่ตั้งไว้ 800 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีเบี้ยรวมแล้ว 411 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.72%

อย่างไรก็ดี นายมนัสกล่าวว่า เพื่อรองรับ การขยายตลาดตากาฟูลเต็มรูปแบบรวมถึงการประกันภัยนอน มอเตอร์ที่มีทุนประกันสูงอาทิ ประกันอัคคีภัย ประกันภัยทางทะเลและขนส่ง (มารีน) บริษัทได้เตรียมเจรจากับพันธมิตร ทางการค้าคือธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย และสหกรณ์ออมทรัพย์อิสลามต่างๆ รวมถึงเจรจากับกลุ่มตากาฟูลอาเซียน ซึ่งมีลักษณะเป็น สมาคมอยู่ที่มาเลเซียเพื่อรองรับการประกันภัยต่อ (รีอินชัวรันส์) เนื่องจากตามหลักชาริอะฮ์ การประกันภัยต่อต้องอยู่ในไลน์ตากาฟูลเหมือนกัน อีกทั้งในประเทศแถบทวีปเอเชียยังมีประชากรเป็นมุสลิมและมีบริษัทประกันที่ดำเนินกิจการในรูปแบบตากาฟูลบริหารจัดการ ตามหลักชาริอะฮ์ เช่น มาเลเซีย บรูไน อินโดนีเซีย ศรีลังกา เป็นต้น ซึ่งนอกจากสมาคมตากาฟูลที่มาเลเซียแล้วยังขยายผลไปถึงสมาคมตากาฟูลที่ดูไบด้วย

เรามีเป้าหมายที่จะขยายสัดส่วนนอน มอเตอร์เป็น 40% ในปีหน้าโดยปีนี้จะเพิ่มเป็น 30% มาจากกรมธรรม์ตากาฟูลเป็นหลัก ขณะที่สินค้านอน มอเตอร์อื่นๆ จะขยายจากฐานลูกค้ารถยนต์เดิมที่มีอยู่ประมาณ 70,000-80,000 คัน โดยมีสำนักงานสาขาที่ถือใบอนุญาตเปิดให้บริการอยู่ 44 แห่งปีนี้จะเปิดเพิ่มอีก 2 แห่งที่ปัตตานีและนราธิวาส โดยมีแผนจะเปิดให้ครบ ทุกจังหวัดทั่วประเทศ

ด้านนายเด่น โต๊ะมีนา ประธานคณะกรรมการชาริอะฮ์กมลตากาฟูล กล่าวว่า ที่ผ่าน มาคนมุสลิมไม่สามารถเข้าถึงการประกันภัยที่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลามได้ เนื่องจากกรมธรรม์ของบริษัทอื่นๆ ที่ขายอยู่ไม่ถูกต้องตามหลักศาสนาไม่เหมือนกรมธรรม์ของกมลประกัน ภัยที่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลามทุกอย่างทั้งบริหารจัดการกองทุนผ่านธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยและมีคณะกรรมการชาริอะฮ์ซึ่งประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิในศาสนาอิสลามที่มีตนเป็นประธานเป็นผู้กำกับดูแลกองทุนของกรมธรรม์กมลตะกาฟูลเอง
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=5038

news26/07/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ค. 26, 2007 6:49 pm
โดย chartchai madman
ประกันภัยแบบใหม่คุ้มครองพืชผลการเกษตร ข่าว 16.00 น.

Posted on Thursday, July 26, 2007
นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย บอกว่ากรมฯ ร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และสมาคมประกันวินาศภัย จัดทำโครงการประกันภัยพืชผล โดยใช้ดัชนีภูมิอากาศเป็นตัวอ้างอิง ซึ่งจะวัดจากปริมาณน้ำฝน โดยเครื่องวัดอัตโนมัติ ซึ่งหากปริมาณน้ำฝนอยู่ในขั้นต่ำ ถือว่าเป็นภัยแล้งหนัก บริษัทประกันภัยที่รับประกันจะจ่ายเงินตามความคุ้มครองให้เกษตร

ซึ่งการประกันภัยเริ่มต้นด้วยการรับประกันสินค้าข้าวโพด อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา และในอนาคตจะขยายพื้นที่ออกไปให้ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูกอื่น รวมถึงอาจจะพิจารณาประกันภัยพืชผลชนิดอื่น ๆ ด้วย

ด้านนายสุจินต์ หวั่งหลี นายกสมาคมประกันวินาศภัย บอกว่า มีบริษัทประกันภัย 10 รายเข้าร่วมโครงการ มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการแล้ว 35 ราย จำนวน 36 กรมธรรม์ เบี้ยเอาประกันภัยรวม 89,030 บาท วงเงินคุ้มครอง 1,331,900 บาท
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx

news27/07/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 27, 2007 1:05 pm
โดย chartchai madman
วิริยะหั่นเบี้ยประกัน10% ให้รางวัลเก๋ง-ปิกอัพชนน้อย
โพสต์ทูเดย์ ผู้ใช้รถยิ้มออก วิริยะประกันภัยยึดสถิติอุบัติเหตุน้อยลง ลดเบี้ยลง 10%


นายกฤตวิทย์ ศรีพสุธา กรรมการ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะประกันภัย กล่าวว่า บริษัทได้ปรับลดเบี้ยประกันภัย รถยนต์นั่งของบริษัทลงมาประมาณ 10% เมื่อเทียบกับช่วง 3 ปีที่ผ่านมา การลดเบี้ย ดังกล่าวไม่ได้เกิดจากการตัดราคาเพื่อหาลูกค้า แต่เป็นผลจากการบริหารต้นทุนของบริษัทให้ ลดต่ำลง
นอกจากนี้ บริษัทได้นำสถิติที่เก็บไว้ประมาณ 20 ปี มาคิดเบี้ยประกันให้สอดคล้องกับลูกค้าในปัจจุบัน ซึ่งพบว่าแนวโน้มการเกิดอุบัติเหตุของรถได้ลดลง ทำให้การคิดเบี้ยก็ต้องลดลงไปด้วย เช่น รถเก๋ง หรือรถกระบะสองตอน จึงเห็นได้ว่าขณะนี้จำนวนกรมธรรม์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมากกว่าเบี้ยประกันภัย
อย่างไรก็ตาม หากเป็นรถบรรทุกหรือ รถสาธารณะแล้ว ต้องปรับเบี้ยให้สูงขึ้น เต็มเพดานที่กฎหมายกำหนด เนื่องจากอัตราเกิดอุบัติเหตุไม่ได้ลดลง และยังมีแนวโน้ม สูงขึ้นอีก
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรก ที่ผ่านมา บริษัทมีเบี้ยรับรวม 7,317 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.58% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยแบ่งเป็นเบี้ยประกันภัยรถยนต์ 6,933 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.25% และเบี้ยประกันภัยที่ไม่ใช่รถยนต์หรือนันมอเตอร์ 383 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.86 ล้านบาท
จึงเชื่อว่าในปีนี้บริษัทจะทำเบี้ยรับรวมได้ถึงเป้าที่ 1.5 หมื่นล้านบาท แม้ว่าหลายฝ่ายอาจมองว่าเศรษฐกิจจะไม่ดี แต่ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา คนไทยเริ่มให้ความสำคัญและหันมาทำประกันภัยมากขึ้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=181250

news28/07/07

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ค. 28, 2007 8:19 pm
โดย chartchai madman
อัด2แคมเปญเดินสายทั่วประเทศ "ไทยประกันฯ"เร่งเต็มสูบรีครูตตัวแทน

"ไทยประกันชีวิต" เร่งเครื่องรีครูตตัวแทนครึ่งปีหลัง อัด 2 แคมเปญดึงตัวแทนเสริมทัพ เหตุครึ่งปีแรกยังห่างเป้า เร่งอัตรารีครูตแตะ 1.3 พันคนต่อเดือนให้ได้ หวังให้ทันเป้าใหญ่สิ้นปีที่ 1.6 หมื่นคน แถมเติมโปรโมชั่นให้เงินเพิ่มถ้าตัวแทนขายดี และมีสิทธิลุ้นทองหนัก 60 บาท เชื่อดอกเบี้ยต่ำคนหันมาซื้อประกันมากขึ้น
นายอังกูร ศรีกัลยาณบุตร ผู้จัดการฝ่ายสายงานสื่อสารการตลาด บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ครึ่งปีหลังนี้บริษัทให้ความสำคัญกับการรีครูตตัวแทนมาก โดยจัดแคมเปญรีครูต 2 แคมเปญ ได้แก่ "รวยและสุข" สำหรับรุกตลาดต่างจังหวัด และแคมเปญ "อะเมซิ่งไทยไลฟ์" เพื่อเข้ามาเสริมการรีครูตตัวแทนในเขตกรุงเทพฯ ซึ่งสาเหตุที่ต้องเพิ่มแคมเปญดังกล่าว เนื่องจากในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมามีตัวแทนเพิ่มขึ้นประมาณ 5,500 คน และอัตราการรีครูตตัวแทนในแต่ละเดือนมีเกือบ 1,000 คน ถือว่ายังต่ำกว่าเป้าหมายตัวแทนต่อเดือน ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1,300-1,400 คน เพื่อให้ได้จำนวนตัวแทนทั้งปีตามที่ตั้งเป้าเอาไว้ 16,000 คน
สำหรับแคมเปญ "รวยและสุข" จะเป็นแคมเปญที่เข้ามาเสริมกับแคมเปญหลักอย่าง "วันสดใสกับไทยประกัน" ซึ่งในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาจัดไปแล้วทั้งสิ้น 18 จุด จากที่ตั้งเป้าจัดงานดังกล่าวในปีนี้ไว้ถึง 30 จุด โดยแคมเปญ "รวยและสุข" จะเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 5 ส.ค.เป็นต้นไป และคาดว่าจะกระตุ้นอัตราการรีครูตตัวแทนให้อยู่ประมาณ 1,500 คน โดยกิจกรรมดังกล่าวจะเป็นการลงพื้นที่ มีขบวนแห่ และฝ่ายขายเข้าไปด้วยเพื่อชักชวนคนให้เข้าร่วมเป็นตัวแทนกับไทยประกันชีวิตเพิ่มขึ้น นอกจากนี้จะลงโฆษณาคลาสซิฟายในหนังสือพิมพ์เพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย

"แคมเปญนี้เราออกมาเสริม โดยต้องการสื่อสารให้กลุ่มเป้าหมายเข้าใจถึงการร่วมงานกับไทยประกันชีวิตว่า ไม่เพียงแค่สร้างรายได้ให้ตัวแทนเพียงอย่างเดียว หากแต่จะมีความสุขในการทำงาน เพราะเป็นอาชีพที่ช่วยสร้างความมั่นคงให้กับผู้อื่นได้ด้วย ซึ่งไทยประกันชีวิตทำในส่วนนี้มาตลอด และชื่อของบริษัทก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ลูกค้าเชื่อถือและมั่นใจได้ถึงความมั่นคงเช่นกัน"

นายอังกูรกล่าวว่า สำหรับแคมเปญ "อะเมซิ่งไทยไลฟ์" จะเริ่มตั้งแต่เดือน ก.ย.2550 เป็นต้นไป จนถึงสิ้นปี โดยจัดทุก 2 สัปดาห์ เพื่ออบรมและแนะนำการขายแบบอาชีพให้กับตัวแทน ซึ่งคาดว่าจะมีผู้สมัครเข้ามาในแคมเปญดังกล่าว สัปดาห์ละประมาณ 500 คน และตั้งเป้าในแคมเปญนี้จะสามารถผลิตตัวแทนไทยประกันชีวิตให้เพิ่มขึ้นได้อีกประมาณ 3,000 คนในสิ้นปีนี้อีกเช่นกัน และจะประเมินผลในช่วงปลายปี หากประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ จะจัดเป็นแคมเปญต่อเนื่องในปีต่อไปด้วย

ทั้งนี้ ไทยประกันชีวิตยังมีแคมเปญส่งเสริมการขายของตัวแทนทุกคน โดยตัวแทนที่ขายกรมธรรม์ได้ไม่ต่ำกว่า 3 กรมธรรม์ ภายใน 1-3 เดือนแรก และได้ค่าคอมมิสชั่นตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป จะได้รับเงินเพิ่มอีก 2,000 บาท และถ้าภายใน 4-6 เดือน ขายกรมธรรม์ได้ไม่ต่ำกว่า 5 กรมธรรม์ และได้ค่าคอมมิสชั่นตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป จะได้รับเงินเพิ่มอีก 4,000 บาท นอกจากนี้ยังมีสิทธิพิเศษให้แก่ตัวแทนเพิ่มขึ้น โดยทุก 5,000 บาทที่ขายกรมธรรม์ได้ ตัวแทนจะได้รับ 1 สิทธิ์ สำหรับลุ้นจับรางวัลทองคำหนัก 60 บาท ซึ่งคิดเป็นมูลค่ากว่า 600,000 บาท เพื่อกระตุ้นให้ตัวแทนทำงานได้มากขึ้น

"แม้ว่าการขายประกันจะยากในการชวนคนให้มาซื้อ แต่ถ้ามองอีกด้านหนึ่งจะเห็นว่าเป็นอาชีพที่ไม่ต้องลงทุน อาศัยเพียงแค่แรงและเวลาเท่านั้น ขณะที่ทิศทางของธุรกิจประกันในครึ่งปีหลังไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจมากนัก ทั้งยังเชื่อว่าจะดีขึ้นด้วย เพราะดอกเบี้ยเงินฝากต่ำ การซื้อประกันก็เป็นทางเลือกการลงทุนที่มีผลตอบแทนดี และหักภาษีได้ แต่เป็นหน้าที่ของบริษัทที่จะต้องระมัดระวังการบริหารการลงทุนให้ดี เพราะปัจจัยเสี่ยงและความผันผวนในตลาดช่วงนี้มีค่อนข้างมาก" นายอังกูรกล่าว
http://www.matichon.co.th/prachachat/pr ... ionid=0206

news30/07/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 30, 2007 9:02 pm
โดย chartchai madman
ครึ่งปีอลิอันซ์โตเข้าเป้า100% [ ฉบับที่ 814 ประจำวันที่ 28-7-2007 ถึง 31-7-2007]  
เรือเจ้าพระยาครุยส์ - อลิอันซ์ ซี.พี.ชี้คุยครึ่งปีเบี้ยโตตามเป้า ปลื้มลูกค้าราย ย่อยขยายตัวถึง 200% เหตุบริการดี ลูกค้าไว้ใจ ชี้ปีนี้จุดเปลี่ยนสำคัญอายุครบ 10 ปี โครงสร้างพื้นฐาน 4 ด้านทั้งช่องทางขายเครือข่ายบริการ ระบบ งาน สินค้าพร้อมลุยเพิ่มรายย่อยทั้งรถยนต์และนอน มอเตอร์ ดันสัดส่วนรายย่อยทะลุตามเป้า 50% ในอีก 2 ปีข้างหน้า ฮุบลูกค้าบ้านแมกโนเลียส์ฯ ทั้งพีเอและทรัพย์สินกว่า 500 ราย

นายปกิต เอี่ยมโอภาส ประธาน เจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัด การใหญ่ บริษัท อลิอันซ์ ซี.พี.ประกันภัย จำกัด เปิดเผยว่า ครึ่งปีแรกที่ผ่านมาเบี้ยประกันภัยเติบโตได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ โดยเฉพาะเบี้ยลูกค้ารายย่อยขยายตัวตัวเพิ่มขึ้นมากถึง 200% เนื่องจากคุณบริการและลูกค้ามีความไว้วางใจบริษัทมากขึ้นกว่าเดิม คาดว่าเมื่อถึงสิ้นปีเบี้ยจะเป็นไปตามเป้าคือ 1,700-1,900 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ดีต้องรอดูสถานการณ์ต่างๆด้วยว่าจะมีปัจจัยแวดล้อมหรืออะไรใหม่ๆ เกิดขึ้นบ้าง

"ตอนที่ผมเข้ามาเมื่อปี 2547 เรามีเบี้ย 1,100 ล้านบาทปีนี้จะเพิ่มเป็น 1,700-1,900 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยปีละ 17% ซึ่งนโยบายหลักของเราตั้งแต่แรกคือการเพิ่มฐานลูกค้ารายย่อยซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเราได้ลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ให้มีความพร้อมรองรับการขยายงานลูกค้ารายย่อยทั้งช่องทางการขาย เครือข่ายบริการ ระบบคอมพิวเตอร์รวมถึงสินค้าซึ่งทำให้ฐานลูกค้ารายย่อยของเราเพิ่มขึ้นมาตลอดจาก 7-8% ในช่วง 3 ปีก่อนปัจจุบันเพิ่มเป็น 1 ใน 3 ของลูกค้าทั้งหมดหรือคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 35% แล้ว

อย่างไรก็ดี ปีนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญเพราะนอกจากบริษัทจะมีอายุครบ 10 ปีแล้ว โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่ทุ่มพัฒนามาตลอดมีความพร้อมแล้วสามารถขยายตลาดรายย่อยได้เต็มที่ โดยมั่นใจว่าในอีก 2 -3 ปีข้างหน้าลูกค้ารายอยเพิ่มจะเป็น 45-50% ซึ่งเมื่อไปถึงจุดนั้นจะทำให้เบี้ยประกันภัยเพิ่มขึ้นเกินกว่า 2,000 ล้านบาทซึ่งจะทำให้บริษัทมีความได้เปรียบในเรื่องของขนาด หรือ Economic of Scale

บริษัทที่มีเบี้ยเกิน 2,000 ล้านบาทไปถึง 2,500 ล้านบาทถือว่าไม่เล็กแล้วหากเทียบกับบริษัทที่มีอายุเท่าเราถือว่าเราไปไกลแล้ว ยิ่งถ้าก้าวข้ามจุด 2,000 ล้านบาทไปได้ ถามว่าเมื่อถึงจุดนั้นเราจะอยู่อันดับใด ตอบยากเพราะในอนาคตจะมีเรื่องของการควบรวมกิจการของบริษัทต่างๆ มากขึ้น ทำให้จำนวนบริษัทน้อยลง แต่บริษัทที่เหลืออยู่จะแข็งแกร่งมากขึ้น"

สำหรับภาวะตลาดในช่วงครึ่งปีที่เหลือ นายปกิต กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจโดยรวมจะอยู่ในช่วงชะลอตัว แต่กว่าจะส่งผลกระทบถึงธุรกิจประกันภัยจะมีระยะเวลาช่วงหนึ่ง เมื่อถึงตอนนั้นต้องรอดูการต่ออายุกรมธรรม์ของลูกค้าซึ่งอาจจะมีผลกระทบบ้าง โดยประกันภัยรถยนต์ยังคงเป็นตลาดที่น่าจับตาเนื่องจากรถใหม่จะมีจำนวนน้อยลง ดังนั้นบริษัทต่างๆจะหันมาให้ความสนใจแย่งรถเก่ามากขึ้นหนีไม่พ้นการแข่งขันเรื่องราคาแต่ขณะเดียวกันผลจากการออกกรมธรรม์ใหม่ประเภท 3 พลัสรวมถึงประเภท 5 ที่จะออกมาจะเป็นสินค้าที่ช่วยขยายตลาดรถยนต์ แต่อาจจะทำให้โครงสร้างของเบี้ยรถยนต์เปลี่ยนไป ที่สำคัญเบี้ยที่จะเข้ามายังบริษัทต่างๆจะน้อยลงสินค้าทั้ง 2 ประเภทเบี้ยประกันถูกกว่าประกันประเภท 1 คงต้องดูว่ากรมธรรม์ทั้ง 2 ประเภทจะช่วยขยายลูกค้าใหม่หรือทดแทนลูกค้าเดิม

นายปกิต กล่าวว่า บริษัทมีเป้าหมายที่จะสร้างความสมดุลด้านต่างๆ ทั้งระหว่างงานรับประกันรถยนต์และงานประกันนอน มอเตอร์ ช่องทางการขาย ลูกค้ารายย่อยและลูกค้าองค์กรรวมถึงตลาดในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดโดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มเบี้ยลูกค้าต่างจังหวัดเป็น 25% จาก 10% ในปัจจุบัน เช่นเดียวกับการสร้างความสมดุลย์ด้านช่องทางการขาย ซึ่งขณะนี้มีตัวแทนที่แอคทีฟอยู่ประมาณ 500 คน โบรกเกอร์ท้องถิ่น( Local Brokers ) 70 รายและโบรกเกอร์ข้ามชาติ (Multi National Brokers) ประมาณ 6-7 ราย

อย่างไรก็ดี แม้บริษัทจะขยายประกันรถยนต์มากขึ้นแต่ยังเน้นตลาดนอน มอเตอร์เป็นหลักเพราะทำกำไรได้ดีกว่า ซึ่งล่าสุดได้ร่วมมือกับ บริษัทแมโนเลียส์ ควอลิตี้ ดีเวลอปเม้นท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ออกแบบกรมธรรม์ใหม่สำหรับลูกค้าที่ซื้อบ้านในโครงการแมกนีเลีย ภายใต้ชื่อ "แผนประกันภัย แมกโนเลียส์ แคร์" ที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมถึงการประกันอุบัติเหตุ(พีเอ)ของผู้ที่อาศัยในบ้านถึง 3 ชั่วอายุคน ตั้งแต่ปู่ ย่าตายาย พ่อแม่ลูก รวมถึงเจ้าหน้าที่ดูแลบ้านอีก 1 คน ซึ่งเป็นความคุ้มครองที่เพิ่มเติมเข้ามาและแตกต่างจากสินค้าทั่วไปในท้องตลาดที่จะคุ้มครองเฉพาะทรัพย์สินภายในบ้านเป็นหลัก หากเป็นบ้านเดี่ยวจะให้ความคุ้มครองผู้อาศัยในบ้านสูงสุดถึง 6 คนรวมแม่บ้าน 1 คนและหากเป็นคอนโดมีเนี่ยมจะให้ความคุ้มครอง 4 คนและแม่บ้านอีก 1 คน

โดยความคุ้มครองในส่วนของประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล จะคุ้มครองสมาชิกของครอบครัวในรูปแบบของบัตรทอง (PA Gold Card) ที่ครอบคลุมถึงการเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพถาวร รวมถึงค่ารักษาพยาบาลวงเงิน 20,000 บาท/ครั้ง ทุนประกัน 200,000 บาท โดยลูกค้าสามารถใช้บัตร PA Gold Card ได้ที่โรงพยาบาลในเครือข่าย 177 แห่งทั่วประเทศ ขณะที่วงเงินความคุ้มครองการประกันทรัพย์สินจะเท่ากับมูลค่าบ้าน กรมธรรม์นี้คุ้มครองระยะยาวอายุ 5 ปีซึ่งทางแมคโนเลียส์ฯเป็นผู้จ่ายค่าเบี้ยซึ่งจะชำระเป็นเงินก้อนครั้งเดียวในการซื้อประกันปีแรกโดยคาดว่าลูกค้าบ้านแมกโนเลียส์ฯระยะแรกมีไม่ต่ำกว่า 500 ราย
http://www.siamturakij.com/home/index.html

news01/08/07

โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 01, 2007 11:58 am
โดย chartchai madman
ประกันชีวิตไทย-เทศขาดทุนอ่วม - 1/8/2550

ประกันชีวิตไทย-เทศขาดทุนอ่วม
000 มีแค่13แห่งยังยิ้มได้-AIAขายสมบัติเก่าดันกำไรพุ่ง


ปี 2549 บ.ประกันชีวิตทั้งไทย-เทศกว่าครึ่งขาดทุนถ้วหน้า เหลือเพียง 13 บริษัททำกำไร ยักษ์ใหญ่เอไอเอยังดอดขายหลักทรัพย์ลงทุน ดันกำไรเพิ่มขึ้นเป็น 1.2 หมื่นล้าน แม้ว่าจะมีกำไรจากการดำเนินงานกว่า 8พันล.

รายงานข่าวจากกรมการประกันภัย เปิดเผยตัวเลขกำไรขาดทุนบริษัทประกันชีวิตทั้งระบบของปี 2549 ว่า ภาพรวมทั้งธุรกิจมีกำไรรวมทั้งสิ้น 16,676 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.54 จากปี 2548 มีกำไรรวม 14,067 ล้านบาท ทั้งนี้มีเพียง 13 บริษัทที่มีกำไร โดยเฉพาะบริษัทอเมริกันอินเตอร์แนชชันแนลแอสชัวรันส์ (เอไอเอ) รายเดียวกำไรสุทธิถึง 12,543 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 75.23 ของทั้งธุรกิจ เป็นที่น่าสังเกตุเอไอเอปีนี้มีกำไรจากดำเนินงาน(รับประกันและลงทุน)เพียง 8,758 ล้านบาท แต่กลับปรากฎตัวเลขกำไรสูงถึง 12,548 ล้านบาท เพราะมีการขายหลักทรัพย์ประเภทหน่วยลงทุนหรือหุ้นทำกำไร ส่งผลให้กำไรปีนี้สูงขึ้นมาก
ขณะเดียวกันยังมี 2 บริษัทที่มีกำไรลดลงจากปีก่อนคือ ไทยประกันชีวิต และอยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี.ประกันชีวิต(เอเอซีพี) และอีก 3 แห่งขาดทุนปีก่อนพลิกกลับมามีกำไรปีนี้คือไทยคาร์ดิฟฯ ,สยามซัมซุง และสยามประกันชีวิต อย่างไรก็ดีหากเทียบผลประกอบการกำไรสุทธิปีนี้กับปีก่อนแล้วกล่าวสรุปได้ว่าจะมีเหลือเพียง 11 บริษัทเท่านั้นมีกำไรเพิ่มขึ้น ทั้งนี้จะไม่นับรวมบริษัทธนชาตประกันชีวิตแม้จะมีกำไร 101 ล้านบาท แต่กำไรถือว่าเสมอตัวหรือเท่ากับปีก่อน

ส่วนที่เหลืออีก 10 แห่งขาดทุนถ้วนหน้าได้แก่ 1.ไอเอ็นจีประกันชีวิตขาดทุนสุทธิปีนี้ 497 ล้านบาท โดยขาดทุนจากการดำเนินงาน 494 ล้านบาท 2.พรูเดนเชียลทีเอสไลฟ์ฯขาดทุนสุทธิ 304 ล้านบาท โดยขาดทุนจากดำเนินงานถึง 315 ล้านบาท ขณะที่ปีก่อนขาดทุนสุทธิเพียง 168 ล้านบาท 3.ฟินันซ่าฯขาดทุนสุทธิ 189 ล้านบาท โดยมาจากขาดทุนจากดำเนินงาน 206 ล้านบาท ทั้งที่ปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1 ล้านบาท 4.เอชไลฟ์แอสชัวรันส์ขาดทุนสุทธิ 184 ล้านบาท โดยมาจากขาดทุนดำเนินงาน 179 ล้านบาท โดยปีก่อนขาดทุนสุทธิเพียง 93 ล้านบาท 5.มิลเลียไลฟ์ฯขาดทุนสุทธิ 159 ล้านบาท มาจากขาดทุนดำเนินงาน 160 ล้านบาท โดยปีก่อนขาดทุน 126 ล้านบาท

6.แม็กซ์ฯขาดทุนสุทธิ 136 ล้านบาท มาจากขาดทุนดำเนินงาน 118 ล้านบาท โดยปีก่อนขาดทุนเพียง 97 ล้านบาท 7.เจอเนอราลี่ฯขาดทุนสุทธิ 97 ล้านบาท มาจากขาดทุนดำเนินงาน 97 ล้านบาท โดยปีก่อนขาดทุนเพียง 69 ล้านบาท 8.แมนูไลฟ์ฯขาดทุนสุทธิ 85 ล้านบาท มาจากขาดทุนดำเนินงาน 94 ล้านบาท โดยปีก่อนขาดทุนเพียง 57 ล้านบาท 9.สหประกันชีวิตขาดทุนสุทธิ 35 ล้านบาท มาจากขาดทุนดำเนินงาน 35 ล้านบาทโดยปีก่อนขาดทุน 32 ล้านบาท 10.แอ๊ดวานซ์ไลฟ์ขาดทุนสุทธิ 25 ล้านบาท มาจากขาดทุนดำเนินงาน 27 ล้านบาท ขณะที่ปีก่อนขาดทุนเพียง 13 ล้านบาท
http://www.siamrath.co.th/Economic.asp?ReviewID=178594

news01/08/07

โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 01, 2007 1:13 pm
โดย chartchai madman
จ่อเชือดแอ๊ดวานซ์ประกัน
โพสต์ทูเดย์ กรมการประกันภัยลั่นถึงเวลาจัดการ บริษัท แอ๊ดวานซ์ ประกันภัย และแอ๊ดวานซ์ ประกันชีวิต แล้ว


นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย กล่าวว่า หลังจากสั่งบริษัท ธนสินประกันภัย และบริษัท สัมพันธ์ประกันภัย หยุดรับประกันเป็นการชั่วคราว ยังมีบริษัทประกันภัยและประกันชีวิตอีก 3 ราย ที่มีปัญหาเงินกองทุนต่ำกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ซึ่ง 2 ใน 3 รายนั้นเป็นบริษัทที่มีชื่อเดียวกัน ทำทั้งธุรกิจประกันวินาศภัยและธุรกิจประกันชีวิต มีผู้ถือหุ้นใหญ่ทำธุรกิจด้านการเกษตร โดยบริษัทประกันชีวิตเงินกองทุนขาดประมาณ 30 ล้านบาท จากเกณฑ์ขั้นต่ำที่กรมการประกันภัยกำหนดให้ดำรงไว้ 50 ล้านบาท

เราได้เชิญมาหารือแล้ว โดยผู้บริหารบริษัทแจ้งว่า ในส่วนของบริษัทประกันชีวิต จะเพิ่มทุน 100 ล้านบาท และบริษัทประกันวินาศภัยก็จะเพิ่มทุนเช่นกัน เพื่อให้เงินกองทุนเป็นไปตามเกณฑ์คือขั้นต่ำ 30 ล้านบาท นางจันทรา กล่าว

นางจันทรา กล่าวว่า กรมการประกันภัยกำหนดให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 20 ก.ย.นี้ และในเร็วๆ นี้จะเชิญอีก 1 บริษัทที่เหลือมาหารือเพื่อให้แก้ไขปัญหาเงินกองทุนขาด

ทั้งนี้ บริษัทที่เข้าข่ายคำนิยามข้างต้นคือ บริษัท แอ๊ดวานซ์ อินชัวรันส์ ซึ่งปัจจุบันถูกกรมการประกันภัยสั่งปรับเป็นรายวัน วันละ 1 พันบาท ตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค.2549 เนื่องจากไม่สามารถดำรงเงินกองทุนได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด และบริษัท แอ๊ดวานซ์ไลฟ์ แอสชัวรันส์ โดยทั้ง 2 บริษัทมีกลุ่มเกษตรรุ่งเรืองพืชผลเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และอีกบริษัทคือ บริษัท ศูนย์สุขภาพประเทศไทย

นางจันทรา กล่าวว่า กรมการประกันภัยอยู่ระหว่างการจัดทำโครงการกำหนดกฎเกณฑ์ความเพียงพอของเงินกองทุน โดยการให้ดำรงเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยงภัย (Risk Base Capital Adequacy : RBC) 4 ด้าน คือ ด้านการบริหารจัดการ การพิจารณารับประกันภัย ด้านการลงทุน และด้านการเงิน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างให้เอกชนทดลองการดำรงเงินกองทุนตามสูตรที่ได้ตกลงกันไว้ และให้ส่งผลการคำนวณและข้อเสนอแนะกลับมาที่กรมการประกันภัย ภายในวันที่ 15 ส.ค.2550

ยกตัวอย่าง ประกันภัยอุบัติเหตุหากมีจำนวนกรมธรรม์น้อยกว่า 5 หมื่นฉบับ ค่าความเสี่ยงของการประกันภัยอยู่ที่ 164.49% จะต้องตั้งสำรองความเสี่ยง 20%

นายสาระ ล่ำซำ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวว่า กรมการประกันภัยยืนยันว่าจะให้ระยะเวลาภาคเอกชนได้ปรับตัว เพื่อรองรับการใช้เกณฑ์อาร์บีซีอีก 3-5 ปี เพราะถ้านำมาใช้ทันทีบริษัทเล็กๆ จะปรับตัวไม่ทัน อาจเกิดปัญหาได้

ยอมรับว่าการใช้อาร์บีซีกำกับดูแลความพอเพียงของเงินกองทุน จะทำให้บริษัทประกันมีความแข็งแกร่ง และเป็นการเสริมสร้างศักยภาพของธุรกิจในอนาคต นายสาระ กล่าว

นายสุจินต์ หวั่งหลี นายกสมาคมประกันวินาศภัย กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้สรุปเงื่อนไขหรือหลักเกณฑ์ที่แน่นอนในการดำรงเงินกองทุนตามความเสี่ยง คงต้องหารือกันอีกหลายครั้ง

สำหรับภาพรวมธุรกิจประกันวินาศภัยขณะนี้ยังถือว่าแข็งแกร่ง โดยช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ มีอัตราการเติบโตประมาณ 8% และมั่นใจว่าปีนี้จะมีเบี้ยรับรวมประมาณ 1 แสนล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=182273

news03/08/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 03, 2007 3:27 pm
โดย chartchai madman
"มนัส บินมะฮมุด" กุมกลยุทธ์ "กมลประกันภัย" ขอเวลา 3 ปี ขึ้น "ท็อปเทน"

เงียบหายไปนานสำหรับ "กมลสุโกศลประกันภัย" หลังจากที่กลุ่มทุนใหม่เข้ามาลงทุนและวางระบบการบริหารจัดการใหม่ พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น "บริษัท กมลประกันภัย" แต่สองปีจากวันนั้นถึงวันนี้ ทีมผู้บริหารใหม่พร้อมแล้วที่จะรีแบรนด์และเปิดแนวรบใหม่ที่จะขายความแตกต่าง ด้วยกลยุทธ์การรุกตลาดที่เข้มข้น เพื่อชูธงไปสู่การเป็น 1 ใน 10 ของธุรกิจประกันวินาศภัยเมืองไทยภายใน 3 ปีถัดจากนี้
"ประชาชาติธุรกิจ" ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ มนัส บินมะฮมุด กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กมลประกันภัย จำกัด (มหาชน) ผู้ซึ่งคลุกคลีอยู่ในวงการประกันภัยมานานกว่า 37 ปี ถึงแนวคิดการบริหารจัดการ และการรุกตลาดเพื่อให้ไปสู่เป้าหมายที่วางไว้

- 37 ปีในวงการประกันภัยเป็นมาอย่างไร

แม้จะจบปริญญาตรีพาณิชยศาสตร์บัญชีจากปากีสถาน แต่ไม่อยากทำงานบัญชี เมื่อกลับมาเมืองไทยน้าชายจึงแนะนำให้ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่สำรวจภัย (ผู้ทำเคลมประกัน) กับสยามประกันภัยเมื่อปี 2513 ซึ่งตอนนั้นยังขี่มอเตอร์ไซค์ทำเคลมอยู่เลย พอเกิดเหตุการณ์ 14 ต.ค.2516 ได้ย้ายมาอยู่ "ไทยพัฒนาประกันภัย" เป็นหัวหน้าเคลมจนปี 2519 มาอยู่ "นารายณ์สากลประกันภัย" เลื่อนเป็นผู้จัดการสินไหมรถยนต์ จากนั้นไต่เต้ามาเรื่อยๆ และช่วงชีวิตที่สำคัญคือ ได้ร่วมงานกับบริษัทยาซึดะที่ญี่ปุ่นซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับนารายณ์สากลฯ ดูแลลูกค้าญี่ปุ่นอยู่ 6 เดือนก่อนที่จะกลับมาเป็นผู้อำนวยการฝ่ายสินไหมทั้งหมดที่ดูแลทั้งมอเตอร์และน็อนมอเตอร์ของนารายณ์สากลฯ และเมื่อมาสุดทางของฝ่ายสินไหมก็ถูกโยกหน้าที่สำคัญไปทำการตลาด ตั้งเป้าสร้างเบี้ยรวมจากปีละ 800 ล้านบาท ให้เป็นปีละ 5,000 ล้านบาทในเวลา 5 ปี แต่เวลาเพียง 4 ปีก็สามารถสร้างเบี้ยได้ถึง 4.9 พันล้านบาทแล้ว

หลังจากน้าชาย คือ คุณองอาจ เหล่าพาณิชย์ ปลดเกษียณจากตำแหน่งอธิบดีกรมการประกันภัย ก็ถูกเชิญให้มาเป็นประธานกรรมการของ "กมล สุโกศลประกันภัย" จึงดึงให้มาช่วยงานด้วย ต่อมาเจ้าของกิจการอยากวางมือจึงชักชวนพรรคพวก
4-5 คนมาซื้อกิจการเพราะเห็นว่าสามารถบริหารกิจการให้โตได้อีก และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "กมลประกันภัย" เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา

- ทิศทางการทำตลาดที่คิดไว้จะทำอย่างไร

คงเริ่มต้นด้วยการรีแบรนด์ก่อน เพราะยอมรับว่าตอนนี้คนยังไม่ค่อยรู้จักชื่อ "กมลประกันภัย" มากนัก กลุ่มที่รู้จักส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าเก่า ซึ่งถ้าคิดจากยอดเบี้ยประกันจะมีถึง 80% ดังนั้นในครึ่งหลังของปี 2550 จะพยายามสร้างความรู้จักในแบรนด์ให้มากขึ้น โดยเฉพาะการรีแบรนด์ภาพลักษณ์ใหม่ให้เป็นประกันภัยเพื่อสังคม และมีกลุ่มเป้าหมายอยู่ที่ลูกค้าระดับรากหญ้าเป็นหลัก ซึ่งจะอาศัยการพูดปากต่อปากในการเข้าถึงลูกค้า

ส่วนโปรดักต์ใหม่ของเราจะเน้นขายที่ความแตกต่าง โปรดักต์ในตลาดไม่มี โดยจะเน้นไปในกลุ่มน็อนมอเตอร์ซึ่งถือเป็นนโยบายที่เราพยายามเพิ่มสัดส่วนของกลุ่มนี้ให้มากขึ้น เนื่องจากตลาดโปรดักต์ในกลุ่มมอเตอร์กำลังชะลอตัวจากภาวะแข่งขันด้านราคาที่สูงมากและมาร์จิ้นต่ำ ขณะเดียวกันเราก็เป็นบริษัทเล็กจะแข่งกับบริษัทใหญ่หรือกลุ่มธนาคารที่มารับทำประกันด้วยก็คงทำได้ยาก

ขณะเดียวกัน จะพยายามรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ให้เหนียวแน่นที่สุด มากกว่าจะมุ่งเน้นจับกลุ่มลูกค้าใหม่ เพราะฐานลูกค้าเดิมจะผูกพันและเข้าใจในลักษณะการบริการของเราเป็นอย่างดีอยู่แล้ว

- วางเป้าหมายในอนาคตให้กมลประกันภัยเป็นอย่างไร

เป้าหมายหรือแผนที่เราวางไว้ คือ กมลประกันภัยจะต้องติดอันดับ 1 ใน 10 ธุรกิจประกันวินาศภัยของไทย จากปัจจุบันอยู่ที่อันดับ 37 มีเบี้ยรวมในปีที่แล้วประมาณ 700 ล้านบาท และหากต้องการเข้าไปอยู่ในกลุ่มท็อปเทนให้ได้น่าจะต้องมีเบี้ยรวมไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านบาทต่อปี ซึ่งเชื่อว่าช่วงที่ยากและเหนื่อยที่สุดก็คือการสร้างยอดเบี้ยรวมให้ถึง 1 พันล้านบาทให้ได้ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่จะต้องทำให้ได้ภายในสิ้นปีนี้เช่นกัน และเชื่อว่าถ้าสามารถสร้างเบี้ยรวมได้ถึง 1 พันล้านบาทแล้ว ส่วนที่เหลือต่อๆ ไปจะบริหารได้ง่ายขึ้น โดยปีหน้าตั้งเป้าเบี้ยรวม 1,500 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯแม้ว่าจะจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนตั้งแต่ปี 2547 แล้วก็ตาม แต่ติดปัญหาขาดทุนที่มากถึง 40 ล้านบาท แต่ครึ่งปีที่ผ่านมาเริ่มมีกำไรแล้วกว่า 10 ล้านบาท ถ้าบริหารจัดการให้เกิดกำไรได้ต่อเนื่องถึง 3 ปีก็สามารถเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯได้ ซึ่งคาดว่าจะไม่เกินปี 2552

- การไปสู่ตำแหน่งท็อปเทนได้วางกลยุทธ์ไว้อย่างไร

อย่างแรกคงต้องทำความเข้าใจกับพนักงานและบุคลากรภายในบริษัทก่อน เพื่อให้เข้าใจว่าเป้าหมายของบริษัทจะเป็นอย่างไร แผนการทำงานระยะ 3 ปี หรือ 5 ปีต่อจากนี้จะมีอะไรบ้าง ทิศทางการพัฒนาจะให้ความสำคัญกับสิ่งใดบ้าง เพราะเชื่อว่าตอนนี้พนักงานต่างก็รักกมลประกันภัยอยู่แล้ว แต่เราจะต้องทำให้พวกเขารู้และเห็นภาพตรงกันว่า บริษัทเราจะพัฒนาไปสู่จุดใด ซึ่งเมื่อภายในเข้าใจทุกอย่างตรงกัน ขั้นต่อไปก็จะเริ่มขยายออกสู่ตลาดมากขึ้น โดยขณะนี้รับสมัครพนักงานอีก 100 กว่าคน และทุ่มงบฯโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อแมสต่างๆ อีกกว่า 10 ล้านบาท

ส่วนอีกด้านหนึ่งเราก็ต้องเพิ่มช่องทางบริการให้ครอบคลุมลูกค้าให้มากที่สุด ด้านการเข้าถึงลูกค้าก็จะต้องเพิ่มให้มีสาขาอยู่ครบทุกจังหวัดให้ได้ จากปัจจุบันที่มีอยู่เพียง 44 สาขา พร้อมกับหาผู้เชี่ยวชาญในแต่ละฝ่าย คือ ฝ่ายการตลาด ฝ่ายขาย และฝ่ายสาขา มาดูแลจัดการอย่างเต็มที่ พร้อมกับมีทีมขายที่จะช่วยสร้างเครือข่ายทั่วประเทศภายใน 6 เดือน ขณะที่ช่องทางที่ลูกค้าจะเข้าถึงบริษัท จะพัฒนาระบบ call center ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และเพิ่มบริการให้คำปรึกษาด้านกฎหมายแก่ลูกค้าจากทีมทนายมืออาชีพซึ่งกำลังวางระบบให้รองรับการบริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง

- โปรดักต์ที่ออกมาใหม่เป็นอย่างไรบ้าง

โปรดักต์ใหม่ที่กำลังเน้นจะมี 4 ตัวหลักๆ ได้แก่ My Way เป็นกรมธรรม์ที่มาค้ำประกันการรับพนักงานเข้าทำงาน คิดอัตราเบี้ยตั้งแต่ 1-4% ของทุนประกัน ซึ่งอัตราเบี้ยจะขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของอาชีพที่อาจจะเกิดปัญหาทุจริต เช่น พนักงานขายต้องถือเงินของบริษัทจะมีความเสี่ยงที่จะทุจริตมาก คิดเบี้ยในอัตรา 4% ตอนนี้ถือว่าโปรดักต์ตัวนี้ทำตลาดได้ดีเพราะบริษัทจะบังคับให้พนักงานในองค์กรซื้อเพื่อประกันความเสี่ยงของบริษัท จึงทำให้ได้วอลุ่มขนาดใหญ่ซึ่งขณะนี้ก็มีหลายบริษัทเป็นลูกค้า เช่น เซ็นทรัลพัฒนา และอิออน ซึ่งขณะนี้ครึ่งปีแรกทำได้แล้ว 20 ล้านบาท จากเป้าที่ตั้งไว้ 50 ล้านบาท แต่คาดว่าคงไม่ถึงเป้าที่ตั้งไว้เพราะจำนวนตัวแทนยังมีน้อย

ตัวที่ 2 คือ My Plan เป็นกรมธรรม์ที่คุ้มครองกรณีถูกเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรม โดยมีวงเงินชดเชย 10 เท่าของเงินเดือนล่าสุด และไม่เกิน 5 แสนบาท ขณะที่อัตราเบี้ยมีตั้งแต่ 1-4% ของวงเงินชดเชยที่จะได้รับ โดยโปรดักต์ตัวนี้ชะลอการขายอยู่เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย แต่หากเศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้นก็จะนำออกขายทันทีควบคู่กับ My Way

ตัวที่ 3 My Life Plus จะเป็นกรมธรรม์ฌาปนกิจสงเคราะห์ วงเงิน 3 หมื่นบาท และถ้าเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจะได้รับค่าปลงศพเพิ่มขึ้นอีก 3 หมื่นบาท โดยที่ลูกค้าชำระเบี้ยประกันเพียง 300 บาทเท่านั้น วางกลุ่มเป้าหมายลูกค้าระดับรากหญ้าเป็นหลัก

ตัวที่ 4 กรมธรรม์ "กมลตากาฟูล" ซึ่งเป็นกองทุนค้ำประกันร่วมกันที่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม จะมีทั้งประกันวินาศภัยและประกันอุบัติเหตุ มุ่งจับกลุ่มลูกค้ามุสลิมทั่วประเทศ โดยเฉพาะใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีกรมธรรม์นี้สำหรับพี่น้องมุสลิม ทำให้ต้องข้ามไปซื้อประกันกับบริษัทในประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีประมาณ 200-300 ล้านบาท ฉะนั้นต้องดึงพี่น้องมุสลิมพวกนี้กลับมาทำประกันในประเทศไทย ส่วนปีหน้ามีแผนจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เกี่ยวกับคนเพิ่มขึ้นอีก

- จุดแข็งของกมลประกันภัยที่จะใช้แข่งคืออะไร

จุดแข็งของเราคือ โปรดักต์ใหม่ที่ยังไม่มีในตลาด ซึ่งเป็นสิ่งที่ในวันนี้คู่แข่งยังสู้กับเราไม่ได้ ยกตัวอย่าง กมลตากาฟูล ซึ่งเป็นประกันภัยที่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลามอย่างแท้จริง เพราะมีคณะกรรมการซารีอะฮ์มากำกับดูแลกองทุนและ

บริหารจัดการกองทุนผ่านธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ทำให้สามารถเข้าถึงลูกค้ามุสลิมทั่วประเทศได้อย่างแน่นอน และจากจุดแข็งที่เรามีทั้งตากาฟูลและคณะกรรมการซารีอะฮ์ จึงมองเห็นช่องทางและมีแผนจะขยายไปสู่กรมธรรม์ประเภทอื่นๆ ที่อยู่ในกลุ่มฮาลาล (HALAL) ที่วันนี้ในประเทศไทยยังไม่มีกรมธรรม์ด้านนี้โดยเฉพาะ และกำลังมีประกันอัคคีภัยเพิ่มขึ้นด้วย

ยกตัวอย่างในธุรกิจขนส่งทางทะเลของสินค้าฮาลาลไปยังประเทศมุสลิมโดยเฉพาะในตะวันออกกลาง กรมธรรม์ตากาฟูลเป็นสิ่งที่สำคัญและจะทำให้การขนส่งสินค้าฮาลาลไปยังประเทศเหล่านี้ได้รับการยอมรับมากขึ้น เพราะแม้แต่การประกันภัยก็ยังถูกต้องตามหลักของศาสนา
http://www.matichon.co.th/prachachat/pr ... ionid=0206

news04/08/07

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 04, 2007 2:35 pm
โดย chartchai madman
บีบประกันแปลงร่างบมจ.8 ปีไม่ทำถอนใบอนุญาต [ ฉบับที่ 816 ประจำวันที่ 4-8-2007 ถึง 7-8-2007]  
ประกันหมดสิทธิ์ยื้อ กฤษฎีกาชี้เปรี้ยง 8 ปีหลังพ.ร.บ.ประกันชีวิตวินาศภัยฉบับใหม่ประกาศใช้ทุกบริษัท ต้องยกฐานะเป็นบมจ. ค่ายไหนยึกยักจบเห่ เหตุกฎเหล็กให้อำนาจรัฐมนตรีถอนใบอนุญาตทันที เผยตอนแรกกฤษฎีกาให้เวลาแค่ 5 ปีแต่เห็นใจธุรกิจยอมยืดให้อีก 3 ปีแต่มีข้อแม้ 3 ปีหลังห้ามขยายกิจการเด็ดขาดทั้งห้ามออกกรมธรรม์ใหม่ตั้งตัว แทนเพิ่มห้ามเพิ่มความเสี่ยงในการลงทุนห้ามโอน กิจการและห้ามก่อภาระผูกพันทุกอย่าง เตรียมชงครม.รับหลักการก่อนส่งร่างพ.ร.บ. ทั้ง 2 ฉบับเข้าสู่การพิจารณาของสนช.

ในที่สุดข้อถกเถียงเรื่องเงื่อนเวลาที่จะบังคับให้บริษัทประกันภัยทุกแห่งต้องแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด(บมจ.)ตามข้อกำหนดในร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิตและพระราชบัญญัติประกันวินาศภัยฉบับใหม่ที่อยู่ระหว่างการปรับปรุงแก่ไขและอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาซึ่งจะเป็นผู้ชี้ขาดข้อเสนอล่าสุดที่กรมการประกันภัยและบริษัทประกันภัยขอขยายเวลาออกไปเป็น 15-20 ปีจากเดิมกำหนดไว้ 5 ปีหลังกฎหมายใหม่มีผลบังคับใช้โดยให้เหตุผลว่าเร็วเกินไปเพราะการแปรสภาพเป็นบมจ.ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนเและจะยิ่งเพิ่มภาระทำให้บริษัทเล็กแบกต้นทุนเพิ่มขึ้นก็ได้ข้อสรุปเป็นเอกฉันท์

เมื่อสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกายืนยันในการพิจารณารอบสุดท้ายให้ยึดเกณฑ์เดิมคือ 5 ปีหลังกฎหมายมีผลบังคับใช้แต่ยอมให้ขยายเวลาออกไปอีกไม่เกิน 3 ปีรวมเป็น 8 ปีซึ่งกรอบเวลานี้เป็นกรอบเดิมที่กฤษฎีกาเคยมีความเห็นชอบตั้งแต่ในการพิจารณารอบแรกที่กรมการประกันภัยเข้าไปชี้แจงหลังจากได้ข้อสรุปกับภาคเอกชนครั้งล่าสุดที่ขอขยายเวลากันออกไปยาวเหยียดเป็น 15-20 ปี ซึ่งภายใน 8 ปีหลังกฎหมายประกาศใช้หากบริษัทใดไม่แปรสภาพเป็นบมจ.กฎหมายกำหนดชัดเจนให้รัฐมนตรีที่รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ในขณะนั้นเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการได้ทันที

อย่างไรก็ดี กรอบเวลา 3 ปีหลังที่ยืดออกไปสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากำหนดเพิ่มเติมไว้ในกฎหมายใหม่อีกเช่นกันบริษัทใดที่ยังไม่ยอมแปรสภาพเป็นบมจ.ภายใน 5 ปีแรกห้ามขยายธุรกิจใดๆทั้งสิ้นประกอบด้วย 1.ห้ามออกกรมธรรม์ใหม่ 2.ห้ามตั้งตัวแทนเพิ่ม 3.ห้ามเพิ่มความเสี่ยงในการลงทุน 4.ห้ามรับโอนกิจการและ5.ห้ามก่อภาระผูกพันธ์เพิ่มเติม อาทิ ค้ำประกันต่างๆ เป็นต้น

"อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่แรกว่าการแปรสภาพเป็นบมจ.ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากหรือมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมากมายเพราะกฎหมายไม่ได้บังคับให้เข้าจดทะเบบียนในตลาดหุ้น ซึ่งจะมีขั้นตอนยุ่งยากมากกว่าเยอะ ในทางตรงกันข้ามหากบริษัทประกันภัยเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นจะสามารถระดมทุนได้ง่ายขึ้นซึ่งบริษัทประกันภัยสามารถนำเงินทุนดังกล่าวมาจดทะเบียนเพิ่มทุนเพื่อเพิ่มเงินกองทุนให้เพียงพอตามหลักเกณฑ์การดำรงเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง (Risk-based Capital:RBC: RBC) ที่กรมการประกันภัยจะนำมาใช้กำกับขนาดเงินกองทุนบริษัทหลังกฎหมายใช้ไปแล้ว 5 ปี"

แหล่งข่าวรายเดิมกล่าวว่า เมื่อสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ข้อสรุปเรื่องกรอบเวลาการแปรสภาพเป็นบมจ.ซึ่งเป็นเพียงหัวข้อเดียวในร่างพ.ร.บ.ใหม่ทั้ง 2 ฉบับที่ครม.ขอให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทบทวนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใหม่อีกครั้งหลังมีเสียงคัดค้านจากภาคเอกชนและเป็นตัวที่ทำให้ร่างพ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับยังติดหล่มอยู่ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎกีกาไม่คืบหน้าหรือเดินไปตามกระบวนการพิจารณากฎหมายได้เร็วเหมือนพ.ร.บ.คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยพ.ศ....ที่ผ่านเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ไปนานแล้วและผ่านการพิจารณาวาระแรกไปแล้วทั้งที่เป็นกฎหมายที่มาทีหลัง

อย่างไรก็ดี ขณะนี้ทางเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากำลังรวบรวมเพื่อนำเสนอร่างพ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับเข้าสู่ที่ประชุมครม.เพื่อรับทราบหลักการก่อนที่จะนำร่างพ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับเสนอเข้าสู่สนช.ต่อไป

ก่อนหน้านี้ภาคธุรกิจทั้งบริษัทประกันชีวิตและประกันวินาศภัยเสนอให้ขยายเวลาการแปรสภาพเป็นบมจ.ออกไปเป็น 15-20 ปีหลังกฎหมายมีผลบังคับใช้โดยให้เหตุผลว่าการเป็นบมจ.ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนและทำให้บริษัทต้องแบกภาระต้นทุนเพิ่มเนื่องจากในช่วงเวลาเดียวกันบริษัทประกันต้องเตรียมความพร้อมรองรับกติกา RBC ที่กรมการประกันภัยมีกำหนดใช้เต็มรูปแบบหลังกฎหมายบังคับใช้แล้ว 5 ปีเช่นกันโดยเกณฑ์ RBC จะทำให้บริษัทต้องเพิ่มทุนจำนวนมากเพื่อให้ขนาดเงินกองทุนเพียงพอกับความเสี่ยงทุกด้าน

อีกทั้งยังต้องแบกภาระส่งเงินสมทบเข้ากองทุนคุ้มครองผู้เอาประกันภัย(Policy Holder Protection Fund) ที่จะเริ่มมีผลทันทีหลังกฎหมายใหม่ใช้บังคับเช่นกัน

อนึ่ง สาเหตุหลักที่ทำให้ประเด็นการให้บริษัทประกันภัยแปรสภาพเป็นบมจ.ยืดเยื้อเนื่องจากสาขาบริษัทประกันภัยต่างประเทศโดยเฉพาะยักษ์ใหญ่ฝั่งประกันชีวิต บริษัท อเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนลแอสชัวรันส์ จำกัดหรือเอไอเอไม่ยอมแปรสภาพเป็นบมจ.ขอคงสถานะความเป็นสาขาต่างประเทศเหมือนเดิมโดยใช้อิทธิพลของบริษัทแม่คือ อเมริกันอินเตอร์ เนชั่นแนล กรุ๊ป (เอไอจี) กดดันกระทรวงพาณิชย์ผ่านเวทีเจรจาการค้าระหว่างประเทศจนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ต้องทำหนังสือไปถึงครม.ขอเพิ่มหลักการในร่างพ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับโดยขอยกเว้นสาขาบริษัทประกันชีวิตและประกันวินาศภัยต่างประเทศทุกแห่งไม่ต้องแปลงเป็นบมจ.

แต่ล้มเหลวเนื่องจากครม.ยืนยันหลักการเดียวกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาคือให้บริษัทประกันภัยทั้งหมดรวมถึงสาขาบริษัทต่างประเทศแปรสภาพเป็นบมจ.โดยให้เหตุผลว่าบริษัทที่ประกอบธุรกิจประกันภัยมีความสำคัญต่อประชาชนและระบบเศรษฐกิจของประเทศ  
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=5281

news04/08/07

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 04, 2007 2:42 pm
โดย chartchai madman
ครึ่งปีหลังฟินันซ่าเพิ่มเลือดใหม่อีก500 [ ฉบับที่ 816 ประจำวันที่ 4-8-2007 ถึง 7-8-2007]  
>เปิดโครงการอบรมถี่ยิบผู้บริหารฝ่ายขายหนุนสร้างทีม

ฟินันซ่าประกันชีวิต - กางแผนสร้างคนครึ่งปีหลัง ค่ายฟินันซ่าประกันชีวิต ตั้งเป้ารีครูตคนใหม่เพิ่มอีก 500 คน ระบุแต่ละคนต้องมีผลงานคอมมิสชั่นครบ 20,000 บาท หรือเบี้ย 4-5 หมื่นบาท จึงนับเป็น 1 ราย เร่งออกแคมเปญกระตุ้นมือทองชวนตัวแทนเสริม ความแกร่งทัพ พร้อมให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมรีครูตทั่วประเทศ หวังพิชิตเป้าหมายตามที่ตั้งไว้

นายสุรเทพ โลหิตกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝึกอบรมตัวแทน บริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต จำกัด เปิดเผย สยามธุรกิจ ว่า ตนเข้ามาร่วมงานกับฟินันซ่าได้ประมาณ 4 เดือนแล้ว โดยรับผิดชอบโดยตรงในส่วนของการฝึกอบรมฝ่ายขายทั้งหมดของบริษัท รวมถึงการประสานงานให้กับฝ่ายขายด้วย เช่น เมื่อตัวแทนมีปัญหาต้องเข้าไปดูแลและให้คำปรึกษาและแก้ไขให้ เป็นต้น

ผมเข้ามาอยู่ที่นี่ 4 เดือนแล้ว ซึ่งในการทำงานก็ดี เพราะรับผิดชอบโดยตรงในงานส่วนที่มีความถนัด คือการดูแลฝ่ายขายของบริษัททั้งหมด อาทิ การจัดอบรมให้ความรู้ต่างๆ การจัดกิจกรรมกระตุ้นให้ตัวแทนทำงานอย่างเต็มที่ เป็นต้น ซึ่งผลงานหลังจากที่ตนเข้ามา ได้เริ่มจัดอบรมตัวแทนไปแล้ว โดยโครงการแรก คือ Finansa Leader School ซึ่งเป็นหลักสูตสำหรับเอเจนซี่ เมเนเจอร์

หลังจากที่ตนเข้ามาได้เปิดโครงการอบรมต่างๆเพื่อเสริมความรู้สำหรับตัวแทนให้มากขึ้นโดยโครงการแรก คือ Finansa Leader School ที่เพิ่งจบการอบรมรุ่นแรกไปเมื่อช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โคงงการดังกล่าวเป็นการฝึกอบรมสำหรับผู้บริหารทีมงานฝ่ายขายของบริษัทซึ่งในขณะนี้มีอยู่จำนวนประมาณ 310 คน ใช้เวลาในการอบรม 2 วัน เป็นการอบรมวิชาการเชิงปฏิบัติโดยมุ่งเป้าหมายไปที่การสร้างตัวแทนและกระบวนการสร้างทีมงานให้มีความแข็งแกร่งและยั่งยืน

นอกจากนั้นยังมีโครงการสำหรับตัวแทนใหม่ Learning by doing เป็นหลักสูตรอบรมเพื่อให้ตัวแทนใหม่มีความรู้ความเข้าในการประกันชีวิต และการขาย ก่อนที่จะออกตลาดเพื่อพบลูกค้าจริง ซึ่งในการอบรมจะใช้เวลา 3 ชั่วโมง/สัปดาห์ เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์

อย่างไรก็ดี ในการสร้างตัวแทนในช่วง 4 เดือนที่เหลือ (บริษัทปิดบัญชีในช่วงเดือนพฤศจิกายน) บริษัทกำหนดเป้าหมาย สร้างตัวแทนใหม่เพิ่มอีก 500 คนจากเดิมที่มีตัวแทนอยู่ประมาณ 5,300 ราย โดยแต่ละคนต้องมีผลงานคอมมิชชั่น 20,000 บาทขึ้นไป หรือคิดเป็นเบี้ยประกันภัยประมาณ 40,000-50,000 บาท จึงจะนับเป็นตัวแทนสแตนดาร์ด 1 รายดังนั้นเพื่อให้ได้ตามเป้าหมาย บริษัทจะมีแคมเปญการรีครูต การสร้างตัวแทนทั่วประเทศ รวมถึง
การซัพพอร์ตการจัดกิจกรรมตัวแทนต่างๆให้กับตัวแทนด้วย

สำหรับเป้าหมายเพิ่มตัวแทนอีก 500 คนนั้น ขณะนี้เหลือเวลาการทำงานแค่ 3-4 เดือนเท่านั้น เพราะฟินันซ่าจะปิดบัญชีกันในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งในการนับเป็นตัวแทน 1 โค้ส ตัวแทนจะต้องมีผลงานเบี้ยส่งบริษัทประมาณ 4-5 หมื่นบาท หรือมีค่าคอมมิชชั่น 20,000 บาท ดังนั้นนอกจากการรีครูตตัวแทนใหม่แล้ว จะต้องผลักดันให้ตัวแทนมีผลงานตามที่กำหนดด้วย นายสุรเทพกล่า
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=5302

news06/08/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 06, 2007 1:50 pm
โดย chartchai madman
4ประกันใหม่เร่งปั๊มเบี้ย
โพสต์ทูเดย์ 4 บริษัทประกันชีวิตรายใหม่ เร่งปั๊มเบี้ยลดต้นทุนจากขนาดธุรกิจเพิ่มกำไร


กรมการประกันภัย รายงานผลกำไร ขาดทุน บริษัทประกันชีวิตปี 2549 พบว่า ในจำนวนบริษัทประกันชีวิต รายใหม่ 11 แห่ง ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจในปี 2540 มีเพียง 4 บริษัทที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว และขึ้นระดับบริษัทประกันชีวิตขนาดกลาง โดยมีเบี้ยประกันภัยรับรวมตั้งแต่ 1 พันล้านบาทขึ้นไป ประกอบด้วย บริษัท กรุงไทยแอกซ่า ประกันชีวิต, บริษัท ไอเอ็นจี ประกันชีวิต, บริษัท ธนชาต ประกันชีวิต และบริษัท แมกซ์ ประกันชีวิต

ทั้งนี้ ในปี 2549 บริษัท ไอเอ็นจี ประกันชีวิต ยังคงมีผลการดำเนินงานขาดทุนต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 โดยขาดทุน 497 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากปี 2548 อย่างไรก็ตาม การขาดทุนมีอัตราที่ลดลงเมื่อเทียบกับปี 2548 ที่มีการขาดทุนเพิ่มขึ้น 27.60% เมื่อเทียบกับปี 2547

ขณะที่บริษัทในเครือธนาคาร เริ่มทำกำไรได้แล้ว โดยบริษัท กรุงไทย แอกซ่า ประกันชีวิต มีกำไรเป็นปีแรก 74 ล้านบาท บริษัท ธนชาต ประกันชีวิต มีกำไร 101 ล้านบาทติดต่อกันเป็นปีที่ 2 แต่บริษัท แมกซ์ ประกันชีวิต ยังคงขาดทุนต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยขาดทุน 245 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.51% จากปี 2548

นายไมค์ แพล็กซ์ตัน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กรุงไทยแอกซ่า ประกันชีวิต กล่าวว่า กำไรที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายที่ลดลงจากขนาดของธุรกิจที่ใหญ่ขึ้น และมีแผนเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยปี 2550 ตั้งเป้าหมายเบี้ยรับรวม 4.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% ปี 2551 ตั้งเป้าเบี้ยรับรวม 7 พันล้านบาท

ปี 2549 ค่าใช้จ่ายคงที่ของเราเหลือ 20% ถึงปัจจุบันลดลงเหลือ 16% เพราะเบี้ยประกันที่เพิ่มขึ้นทำให้ค่าใช้จ่ายต่อหน่วยลดลงและหวังว่าในอีก 2 ปีข้างหน้าตัวเลขค่าใช้จ่ายจะเหลือตัวเลขหนึ่งหลักเท่านั้น เราหวังว่าจะสามารถล้างการขาดทุนสะสมที่มีอยู่ได้หมดในปี 2551 และปี 2552 จะเริ่มจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นได้เป็นครั้งแรก นายแพล็กซ์ตัน กล่าว

ทางด้าน นายจิม บราวน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอเอ็นจี ประกันชีวิต กล่าวว่า 6 เดือนแรกของปีนี้ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำมาก จากการเพิ่มขึ้นของเบี้ยประกันลูกค้ารายใหม่ที่โตมากถึง 44% และบริษัทมีแผนเพิ่มยอดขายแบบ ก้าวกระโดดไปถึงปี 2553 ซึ่งเป็นปีที่บริษัทตั้งเป้าหมายจะถึงจุดคุ้มทุน ไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุนใหม่ สำหรับปี 2550 ตั้งเป้าหมายเบี้ยรับรวม 4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 35%

นายปีเตอร์ สไมท์ ผู้จัดการทั่วไประดับภูมิภาคไอเอ็นจีกรุ๊ป กล่าวว่า การเติบโตของบริษัท ไอเอ็นจี ประกันชีวิต เป็นไปตามแผนที่ไอเอ็นจีคาดหวังไว้ และได้สำรองงบประมาณไว้สำหรับเพิ่มทุนตามที่จำเป็น เพื่อสนับสนุนการเติบโตตามแผนงานใน 2-3 ปีข้างหน้าไว้เรียบร้อยแล้ว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=183247

news07/08/07

โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 07, 2007 1:23 pm
โดย chartchai madman
ทั่วโลกพึ่งประกันชีวิต
โพสต์ทูเดย์ สวิสรี ชี้ปี 2550 ธุรกิจประกันชีวิตทั่วโลกเติบโตแรง ผลจากประชาชนหนีดอกเบี้ยเงินฝากต่ำ


บริษัท สวิสรี บริษัทรับประกันภัยต่อชั้นนำของโลก รายงานมุมมองธุรกิจประกันภัยปี 2550 ว่า ในปีนี้ประชาชนจะหันมาทำประกันชีวิตมากขึ้น ทำให้ธุรกิจประกันชีวิตทั่วโลกเติบโตมากกว่าธุรกิจประกันวินาศภัย
ทั้งนี้ สาเหตุมาจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของโลกลดลงอย่างต่อเนื่อง เช่น ประเทศญี่ปุ่น ประชาชนทำประกันชีวิตมากที่สุดในเอเชีย เนื่องจากอัตราเบี้ยเงินฝากอยู่ในระดับต่ำ ทำให้เบี้ยประกันชีวิตของญี่ปุ่นติดอันดับ 4 ของเบี้ยประกันชีวิต 88 ประเทศทั่วโลก ซึ่งรวมกันมีจำนวน 2,209,317 ล้านเหรียญสหรัฐ

นอกจากนี้ ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีเบี้ยประกันชีวิตรับรวมสูงสุดอันดับ 1 ของโลก ประชาชนได้หันมาทำประกันชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างมาก จากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่อยู่ในระดับต่ำ
รวมถึงยุโรปก็มีทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะประกันบำนาญได้รับความนิยมสูงมากในยุโรป
ด้านตลาดเกิดใหม่ในเอเชียมีทิศทางเดียวกับตลาดที่พัฒนาแล้ว ประชาชนหันมาทำประกันชีวิตมากขึ้น จากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง รายได้ที่สูงขึ้น และเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่อเนื่อง

สำหรับประเทศไทยหนึ่งในตลาดเกิดใหม่ มีเบี้ยประกันชีวิตรวมติดอันดับที่ 33 ของโลก โดยปี 2549 มีเบี้ยรับรวม 3,887 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 10.6% จากปี 2548

อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบเฉพาะประเทศในแถบเอเชีย 25 ประเทศ เบี้ยประกันชีวิตของไทยจัดอยู่อันดับที่ 9 เป็นรอง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน ไต้หวัน อินเดีย อิสราเอล สิงคโปร์ และมาเลเซีย ตามลำดับ

นายสาระ ล่ำซำ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวว่า ผลจากที่ธนาคารพาณิชย์คงนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำ ส่งผลให้ประชาชนหันมาออมผ่านประกันชีวิตมากขึ้น ซึ่งปีนี้คาดว่าจะมีกรมธรรม์ประกันชีวิตรายใหม่ประมาณ 2.1 ล้านฉบับ มีเบี้ยประกันรับรวม 1.8 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากปี 2549

นางบุษรา อึ๊งภากร ผู้อำนวยการสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวว่า 6 เดือนแรกปี 2550 ธุรกิจประกันชีวิต มีเบี้ยรับรวม 9.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากงวดเดียวกันของปี 2549 ที่เบี้ยรับรวมเพิ่มขึ้นเพียง 2%
ที่ 6 เดือนแรกเพิ่มขึ้นมากเพราะปีนี้อัตราดอกเบี้ยลดลงมากเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ผลตอบแทนเฉลี่ยของประกันชีวิตอยู่ระดับสูงที่ 4% เมื่อเทียบกับดอกเบี้ยเงินฝากที่อยู่ประมาณ 1-2% และการเมืองก็เริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น นางบุษรา กล่าว
นางบุษรา กล่าวว่า ในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2550 คาดว่าเบี้ยประกันชีวิตรับรวมจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% เนื่องจากปัจจัยบวกยังคงส่งผลต่อเนื่อง แตกต่างจากปี 2549 ที่เบี้ยรับรวมทั้งปีเพิ่มขึ้นเพียง 4% เท่านั้น เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากสูงกว่าผลตอบแทนของประกันชีวิต และการเมืองมีความไม่ชัดเจน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=183450

news08/08/07

โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 08, 2007 12:37 pm
โดย chartchai madman
ขีดเส้นตายสัมพันธ์ฯ60วัน
โพสต์ทูเดย์ กรมประกันภัยต่อลมหายใจบริษัท สัมพันธ์ ขีดเส้นตายให้หาผู้ร่วมทุนใหม่ใน 60 วัน


นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย กล่าวว่า บริษัท สัมพันธ์ประกันภัย ได้ส่งแผนธุรกิจเพื่อแก้ไขปัญหาขาดสภาพคล่องมาให้กรมการประกันภัยพิจารณาแล้วตามเวลาที่กำหนดเมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยบริษัทจะต้องเจรจาหาผู้ร่วมทุนรายใหม่ให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน เพื่อแก้ไขเรื่องเงินกองทุนที่ขาดอยู่ 777 ล้านบาท ให้ได้ แต่คาดว่าบริษัทคงต้องเพิ่มทุนไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาท ถึงจะมีสภาพคล่องเพียงพอที่จะกลับมาดำเนินธุรกิจอีกได้ หลังจากที่กรมได้มีคำสั่งให้หยุดขายประกันไปตั้งแต่วันที่ 16 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งบริษัทแจ้งว่าขณะนี้มีผู้ลงทุนจากต่างประเทศ 4 รายที่แสดงความสนใจเข้ามาร่วมทุนแล้ว

ทั้งนี้ หากครบกำหนด 60 วันแล้ว บริษัทยังไม่สามารถดำเนินการได้ตามแผน กรมจะดำเนินการตามกฎหมายถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาต อย่างไรก็ตามจากการที่ผู้บริหารบริษัทเข้าหารือ เห็นว่าไม่น่ากังวล เพราะมีผู้สนใจเข้าร่วมทุนและพอใจกับแผนการกำกับดูแลของกรม เพราะจะช่วยให้การประเมินสถานภาพที่แท้จริงของบริษัทได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้ ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ 14 ส.ค.นี้ บริษัทต้องจ่ายหนี้ค่าสินไหมให้กับผู้เอาประกัน 2,426 ราย เป็นเงิน 182 ล้านบาท จ่ายหนี้ให้กับอู่กลางและผู้จำหน่ายอะไหล่ 444 ล้านบาท และจ่ายหนี้ภาษีมูลค่าเพิ่ม 46 ล้านบาท ให้ครบตามกำหนด

นางจันทรา กล่าวว่า สำหรับปัญหาของบริษัท ธนสินประกันภัย ขณะนี้ได้ทยอยจ่ายหนี้ค้างชำระค่าสินไหมและค่าซ่อมแล้วประมาณ 80% และในสัปดาห์นี้จะนำเงินอีกจำนวนหนึ่งเพิ่มในกองทุนตามแผนทางธุรกิจ และคาดว่าภายในเดือน ก.ย.นี้ จะยกเลิกคำสั่งหยุดรับประกันภัยชั่วคราวได้

นางจันทรา กล่าวว่า ในวันที่ 9 ส.ค.นี้ กรมจะเชิญสมาคมประกันวินาศภัยและบริษัทประกันภัย 5 ราย ได้แก่ บริษัท กมลประกันภัย บริษัท เอช.อินชัวรันส์ บริษัท เอ็มเอสไอจีประกันภัย บริษัท ไทยประกันภัย และบริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ (ไทยรี) เพื่อหารือถึงการขายกรมธรรม์การว่างงาน หรือกรมธรรม์ประกันภัยชดเชยรายได้การถูกเลิกจ้างโดยไม่สมัครใจ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของแรงงานที่ถูกเลิกจ้าง รวมทั้งให้บริษัทอื่นๆ ขายกรมธรรม์ดังกล่าวมากขึ้น

นางจันทรา กล่าวว่า จะมีการหารือถึงความเหมาะสมในการกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัย เงื่อนไขการคุ้มครองและชดเชย รูปแบบกรมธรรม์ และแผนการรณรงค์ ซึ่งเบื้องต้นเบี้ยประกันอยู่ในอัตรา 0.5-5% ของทุนประกันภัย คุ้มครองการว่างงาน 30 วัน และ 60 วัน เป็นการประกันภัยแบบสมัครใจ ต่ออายุปีต่อปี ซึ่งเดิมมีเพียงไม่กี่บริษัทที่รับประกันภัยการว่างงาน และในไทยมีพนักงานที่ทำประกันภัยชนิดนี้เพียง 268 รายเท่านั้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=183692

news09/08/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 09, 2007 3:24 pm
โดย chartchai madman
จ่อขึ้นเบี้ยประกันรถชั้น1

โพสต์ทูเดย์ กรุงเทพประกันภัยจ่อคิวปรับเบี้ยประกันชั้น 1 เพิ่มหลังต้นทุนพุ่ง แถมเจอพิษลูกค้าเคลมแหลกไม่คุ้มค่าเบี้ย

นายชัย โสภณพนิช ประธานกรรมการ และกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย กล่าวว่า บริษัทจำเป็นต้องปรับเบี้ยประกันรถชั้น 1 ขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าที่มีประวัติไม่ดีหรือเคลมบ่อยจนเกินเหตุ เพื่อเป็นการคัดเลือกฐานลูกค้าที่ดีไปในตัว

ทั้งนี้ เพราะในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาบริษัทไม่มีกำไรจากการรับประกันภัยรถแม้แต่น้อย เนื่องจากมีต้นทุนค่าเคลม และอัตราความเสียหายต่อเบี้ยประกันที่สูงขึ้น

นายชัย กล่าวว่า หากบริษัทยังคงยืนพื้นที่จะขายประกันชั้น 1 อย่างเดียวเหมือนเดิม อาจทำให้ฐานลูกค้าหายไปได้ จึงได้ออกแบบประกันรถชั้น 2 พิเศษขึ้นมาเป็นทางเลือก มีค่าเบี้ยเริ่มต้นที่ 8.3 พันบาท คุ้มครองที่ทุนประกัน 3.5 แสนบาท ถูกกว่าประกันชั้น 1 ถึง 30-50% และจะให้ความคุ้มครองเหมือนกับประกันชั้น 1 ทุกอย่าง ยกเว้นกรณีที่ต้องซ่อมรถให้ผู้เอาประกันจะต้องมีคู่กรณีเป็นยานพาหนะทางบกและต้องเป็นฝ่ายถูกเท่านั้น

ทั้งนี้ หากรถผู้เอาประกันเป็นฝ่ายผิดก็ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายส่วนแรก 2 พันบาทต่อครั้งด้วย ในการนี้บริษัทตั้งเป้าว่าจะมีลูกค้าเพิ่มขึ้น 1.5 หมื่นรายในปีนี้ จากฐานลูกค้าที่มีอยู่ 2 แสนราย

ก็ได้แต่หวังว่าช่วงครึ่งปีหลังนี้ อัตราความเสียหายต่อเบี้ยประกันจะไม่เพิ่มขึ้นอีก แต่ยังดีที่ช่วงครึ่งปีแรกเรายังได้กำไรจากการลงทุนมาชดเชยอยู่ ซึ่งต่อไปเราก็จะต้องคัดเลือกลูกค้าให้มากขึ้น หากเห็นว่าลูกค้านั้นไม่ดีก็ต้องขึ้นค่าเบี้ยแน่ เพื่อให้ไปใช้บริการที่อื่นแทน นายชัย กล่าว

นายชัย กล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมีเบี้ยประกันรับรวม 4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และต่ำกว่าที่เคยตั้งไว้ที่ 13% ซึ่งถือว่าผิดเป้าไปมาก เพราะเบี้ยที่เพิ่มขึ้นน้อยลง เนื่อง จากยอดขายรถป้ายแดงในครึ่งปีแรกติดลบไป 13% ขณะที่ช่องทางขายผ่านธนาคาร หรือแบงก์แอสชัวรันส์ ทำยอดได้เพียง 50 ล้านบาทเท่านั้น

นายอานนท์ วังวสุ ผู้อำนวยการฝ่ายสินไหมทดแทนยานยนต์ บริษัท กรุงเทพประกันภัย กล่าวว่า ถ้าหากบริษัทไหนยังอยากทำประกันชั้น 1 เป็นหลักต่อไป ก็เชื่อว่าในปีหน้าคงต้องมีการปรับเบี้ยขึ้นแน่นอน เพราะที่ผ่านมาแต่ละบริษัทแข่งขันลดราคากันมาก แต่อัตราความเสียหายต่อเบี้ยประกันภัยปรับสูงขึ้นเฉลี่ยถึง 70% จากเดิมที่อยู่ประมาณ 60% ทำให้แต่ละบริษัททำธุรกิจลำบาก

ปัญหาส่วนใหญ่ตอนนี้เกิดจากการเคลมแห้งที่ไม่มีคู่กรณีของรายย่อยที่สูงถึง 60% คิดเป็นความเสียหายถึง 40-50% นายอานนท์ กล่าว

แหล่งข่าวจากธุรกิจประกันภัย เปิดเผยว่า ตลาดคงจะมีการแข่งขันกันสูง แต่ผู้ประกอบการหลายรายคงจะไม่มีการขึ้นเบี้ยตามบริษัท กรุงเทพประกันภัยแน่ เพราะจะหันไปเน้นการขายประกันชั้น 2 พิเศษแทน เพราะมีโอกาสจะดึงลูกค้ามาใช้บริการมากกว่าหากเพิ่มเงื่อนไขในการซ่อม ทั้งนี้อัตราเบี้ยประกันชั้น 1 นั้น ถ้าทุนประกันอยู่ที่ 4.8 แสนบาทนั้น เบี้ยประกันซ่อมห้างนั้นจะตกอยู่ที่ 1.46-1.73 หมื่นบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=183845

news09/08/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 09, 2007 3:26 pm
โดย chartchai madman
แห่สอบตัวแทนแสนคน

โพสต์ทูเดย์ 7 เดือนแรกประชาชนแห่สอบเป็นตัวแทนประกันชีวิต 1.07 แสนราย เพิ่มขึ้นร่วม 30%

สมาคมประกันชีวิตไทย รายงานสถิติการสอบตัวแทนประกันชีวิตทั่วประเทศ 7 เดือนแรกของปี 2550 (ม.ค.-ก.ค.) มีประชาชนสมัครเข้าสอบใบอนุญาตตัวแทนประกันชีวิตทั่วประเทศ 107,487 คน เฉลี่ยเดือนละ 15,355 คน เพิ่มขึ้น 29.09% จากช่วงเดียวกันของปี 2549 ที่มีผู้สมัครเข้าสอบเดือนละ 11,894 คน

ทั้งนี้ แยกเป็นต่างจังหวัดที่สมัครสอบด้วยระบบกระดาษ 84,506 คน และสมัครสอบที่ส่วนกลางคือที่กรุงเทพฯ ซึ่งสอบด้วยระบบคอมพิวเตอร์ 22,981 คน

อย่างไรก็ตาม จากจำนวนผู้สมัครสอบ 107,487 คน สอบผ่าน 44,679 คน มีอัตราการสอบผ่าน 54.96% เพิ่มขึ้นจากปี 2549 ที่มีอัตราการสอบผ่านอยู่ในระดับ 45%

นางบุษรา อึ๊งภากรณ์ ผู้อำนวยการสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวว่า บริษัทประกันชีวิตมีการจัดกิจกรรมเพื่อหา ตัวแทนใหม่อย่างรุนแรง ทำให้จำนวนตัวแทนใหม่เพิ่มขึ้นอย่างมาก การ จัดสอบด้วยระบบกระดาษไม่สามารถรองรับได้ทัน

ดังนั้น สมาคมประกันชีวิตไทยจะยกเลิกระบบการสอบด้วยกระดาษ เป็นสอบด้วยระบบคอมพิวเตอร์ในต่างจังหวัดได้เป็นครั้งแรก ปลายเดือน ส.ค.นี้เป็นต้นไป

ทั้งนี้ จะเริ่มสอบครั้งแรกพร้อมกัน 3 จังหวัด คือ จ.เชียงใหม่ ขอนแก่น สุราษฎร์ธานี และเดือน ก.ย.จะจัดสอบ 7 จุด ที่ จ.เชียงใหม่ ขอนแก่น สุราษฎร์ธานี พิษณุโลก นครราชสีมา สงขลา และ ชลบุรี

นายรุ่งโรจน์ กิติยานุภาพ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงาน ตัวแทนประกันชีวิต บริษัท ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต กล่าวว่า บริษัทได้รับการอัดฉีดเม็ดเงินสนับสนุนเพิ่มจากนิวยอร์คไลฟ์ บริษัทแม่ในการจัดแคมเปญ Recruiting Bonus เพื่อกระตุ้นการสรรหาตัวแทนใหม่ช่วงเดือน ก.คธ.ค.ปีนี้ ให้บรรลุเป้าหมายที่จะเพิ่มตัวแทนใหม่ 2 พันคนภายในสิ้นปี โดยจะให้โบนัสพิเศษแก่ผู้บริหารหน่วยอีก 15% ของเบี้ยปีแรกที่ตัวแทนทำได้ โดยตัวแทนใหม่จะต้องส่งผลงานไม่น้อยกว่า 1 ราย ต่อเดือน ในอัตราเบี้ยประกันขั้นต่ำ 1.5 หมื่นบาทต่อราย

นายวิลฟ์ แบล็คเบิร์น กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี.ประกันชีวิต (เอเอซีพี) ได้ตั้งงบประมาณในการจ่ายค่านายหน้าตัวแทนไว้ประมาณ 3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากปี 2549 ที่ใช้ไป 1.4 พันล้านบาท โดย 6 เดือนหลังตั้งเป้าหมายที่จะหาตัวแทนใหม่ให้ได้ 1 หมื่นคน

นายสมโพชน์ เกียรติไกรวัล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานบริหารตัวแทน บริษัท ไอเอ็นจี กล่าวว่า บริษัทจะจัดสัมมนาตัวแทนผู้บริหารกลางเดือนนี้เพื่อให้ความรู้และแนวทางในการนำไปพัฒนาตัวแทนให้สามารถอยู่ในอาชีพตัวแทนได้อย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ บริษัทประกันชีวิตจะใช้ค่าตอบแทนที่สูงเป็นแรงจูงใจในการดึงคนเข้าสู่อาชีพตัวแทน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=183944

news11/08/07

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 11, 2007 9:14 pm
โดย chartchai madman
ภาพลวงตาแบงก์แอสชัวรันส์เบี้ยปี 2..หายวับ! [ ฉบับที่ 818 ประจำวันที่ 11-8-2007 ถึง 14-8-2007]  
หวั่นแบงก์แอสชัวรันส์ไม่แจ๋วจริง เบี้ยใหม่โตแต่เบี้ยต่ออายุกลับหด สัดส่วนเบี้ยเหลือแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับขายผ่าน ตัวแทน ค่ายประกันชีวิตแบงก์แอสชัวรันส์แจงเหตุทันควัน เพิ่งเปิดขายจริงจังไม่กี่ปี จึงสะสมเบี้ยปีแรกไว้น้อยแถมที่ผ่านมาค่อยๆ โต ส่งผลเก็บเบี้ยต่ออายุได้น้อยกว่าช่องทางตัวแทนที่ขายมานานหลายสิบปี มั่นใจ 2-3 ปีเห็นภาพชัดสูสีรดต้นคอแน่

ธุรกิจประกันชีวิตสร้างปรากฏการณ์ตั้งแต่ต้นปี ด้วยผลงานการเติบโตยอดเยี่ยม โดยเฉพาะเบี้ยใหม่ หรือเบี้ยปีแรก (FYP) ที่เข้าสู่ธุรกิจ ที่การเติบโตพุ่งสูงเกิน 30% ต่อเนื่อง โดยในเดือนม.ค.เติบโต 32% ต่อมาช่วง 2 เดือนแรก(ม.ค.-ก.พ.2550)เติบโต 33% ก่อนที่จะทะยานขึ้น 39% ในช่วงไตรมาสแรก (ม.ค.-มี.ค.2550) จากนั้นค่อยลดดีกรีความแรงลงเล็กน้อยเป็น 37%ในช่วง 4 เดือนแรก (ม.ค.-เม.ย.2550) จากนั้นก็อ่อนแรงลงมาเป็น 35% ในช่วง 5 เดือนแรก(ม.ค.-พ.ค.) และถึงครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย.2550)เติบโต 34%

อันเป็นผลมาจากตลาดหลักของธุรกิจอย่างตลาดประกันชีวิตประเภทสามัญ ที่เบี้ยใหม่เติบโตเพิ่มขึ้นสูงมาก โดยในเดือนม.ค.เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 37% จากนั้นก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น 41% ในช่วง 2 เดือนแรก กระทั่งสูงถึง 48% ในช่วงไตรมาสแรก ก่อนจะลดความแรงลงมาเติบโตได้ 44% ในช่วง 4 เดือนแรกต่อเนื่องถึงช่วง 5 เดือนแรกเติบโตได้ 43% และปิดผลงานครึ่งปีแรกเติบโต 41% ตามลำดับ

ทั้งนี้ช่องทางสร้างผลผลิตของธุรกิจประกันชีวิต ยังมาจากช่องทางหลัก คือ ช่องทางตัวแทน และที่กำลังมาแรง คือ ช่องทางขายผ่านธนาคาร หรือแบงก์แอสชัวรันส์ (Bancassurance) ซึ่งในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ สามารถสร้างผลงานคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 33.69% ของเบี้ยปีแรกทั้งหมดในช่วงนั้น โดยจากข้อมูลของสมาคมประกันชีวิตไทย ระบุว่า ในช่วง ม.ค.-มี.ค.2550 ธุรกิจประกันชีวิตมีเบี้ยปีแรกประเภทสามัญทั้งสิ้น 7,923.152 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นเบี้ยที่มาจากช่องทางตัวแทน 4,660.427 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 58.82% ของเบี้ยปีแรกประเภทสามัญทั้งหมด ตามด้วยช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์มีเบี้ยจำนวน 2,669.159 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 33.7% ของเบี้ยปีแรกประเภทสามัญทั้งหมด, ช่องทางเทเลมาร์เก็ตติ้งมีเบี้ย 323.034 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 4.1%, ช่องทางตลาดองค์กร เวิร์คไซต์ มาร์เก็ตติ้งมีเบี้ย 160.859 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2%, ช่องทางนายหน้า หรือโบรกเกอร์มีเบี้ย 105.749 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 1.3% ส่วนอีก 4 ช่องทางจำหน่ายที่เหลือทั้งช่องทางไดเร็คเมล ช่องทางขายผ่านไปรษณีย์ ช่องทางซื้อตรงกับบริษัท และช่องทางอื่นๆ สัดส่วนเบี้ยไม่มากนักรวมกันไม่ถึง 1%ของเบี้ยปีแรกประเทสามัญที่เข้ามาในช่วงนั้นด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ดี แม้ว่าช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ จะสร้างผลผลิตให้กับธุรกิจประกันชีวิตได้มากกว่าครึ่งหนึ่งของเบี้ยที่มาจากช่องทางตัวแทนก็ตาม แต่ในแง่ของเบี้ยรับปีต่อไป หรือเบี้ยต่ออายุยังไม่มากนักเมื่อเทียบกับเบี้ยที่มาจากช่องทางหลักอย่างช่องทางตัวแทน โดยในช่วงไตรมาสแรกธุรกิจประกันชีวิตมีเบี้ยปีต่ออายุทั้งสิ้น 29,659.445 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นเบี้ยจากช่องทางตัวแทนมากถึง 26,911.212 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนถึง 90.73% ของเบี้ยปีต่ออายุทั้งหมด ตามด้วยเบี้ยจากช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ 1,839.522 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนเพียง 6.2% ของเบี้ยต่ออายุทั้งหมดเท่านั้น และเบี้ยจากช่องทางเวิร์คไซต์ มาร์เก็ตติ้ง 471.604 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 1.59% ส่วนอีก 6 ช่องทางที่เหลือมีเบี้ยไม่มากนักมีสัดส่วนเบี้ยไม่ถึง 1% เมื่อเทียบกับเบี้ยปีต่ออายุทั้งหมด

ด้วยเหตุที่ปริมาณเบี้ยต่ออายุของช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ไม่สูงนัก เมื่อเทียบสัดส่วนกับเบี้ยต่ออายุทั้งหมดดังกล่าว ทำให้เกิดข้อกังขาขึ้นมาทันใดว่า ช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์มีปัญหาในด้านการต่ออายุหรือไม่ เพราะแม้ว่าจะเติบโตด้านเบี้ยใหม่อย่างรวดเร็ว แต่หากเบี้ยต่ออายุมีปริมาณไม่มากนัก ก็อาจกลายเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น ไม่ได้สะท้อนความเป็นไปที่แท้จริงของการขายในภาวะปัจจุบันที่ทำให้ธุรกิจต้องกลับมาฉุกคิดถึงการขยายงานผ่านช่องทางนี้ในระยะยาวมากขึ้น เพราะหัวใจหลักที่แท้จริงของการประกันชีวิต คือ ความคงอยู่ของกรมธรรม์ หรือความยั่งยืนกรมธรรม์ (Persistency) เพื่อให้ลูกค้ายังคงถือสัญญากรมธรรม์ไปจนครบสัญญาไม่ใช่เพียงขายได้เบี้ยปีแรกเท่านั้น

นายพิชา สิริโยธิน ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สมาคมประกันชีวิตไทย ให้ความเห็นกับ สยามธุรกิจว่า ต้องยอมรับว่าการขยายตัวของช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ค่อนข้างสูง เห็นได้ชัดจากเบี้ยปีแรก (FYP) ของบริษัทประกันชีวิตที่รุกหนักในช่องทางนี้อย่างจริงจัง ทั้งบมจ.ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไฟล์ประกันชีวิต บ.เมืองไทยประกันชีวิต จก. หรือจะเป็นบ.ไทยคาร์ดีฟ ประกันชีวิต จก. แต่หากมองในแง่ของเบี้ยปีต่ออายุข้อมูลอาจจะไม่สะท้อนความเป็นจริง เนื่องจากจริงๆ แล้วช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์เพิ่งเกิดได้ไม่นาน เพียง 6-7 ปีเท่านั้น และกว่าจะเริ่มดำเนินงานอย่างจริงจังเพียงไม่กีปี เช่น แมกซ์ประกันชีวิต เริ่มมาเพียง 5-6 ปี ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ฯ เริ่มเพียง 4 ปี ส่วนเมืองไทยประกันชีวิตเริ่มจริงเพียงปีกว่าๆ เท่านั้น จึงเท่ากับว่าแบงก์แอสชัวรันส์เพิ่งจะมีเบี้ยปีต่ออายุไม่กี่ปี เมื่อเทียบกับช่องทางตัวแทนที่ทำมานานหลายสิบปี ดังนั้นเบี้ยจากช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์จะมีสัดส่วนน้อยกว่าเบี้ยจากช่องทางตัวแทน

หากจะวัดให้เห็นผลชัด คงต้องดูที่ความยั่งยืนกรมธรรม์ หรือ Persistency ของการขายผ่านช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ ซึ่งอยู่ในอัตราที่ดี คาดว่าน่าจะถึง 90% ขึ้นไป เพราะส่วนใหญ่ใช้วิธีหักจากบัญชีเงินฝากของลูกค้า ทำให้การต่ออายุสูง หากว่ายอดเบี้ยใหม่ของช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ยังคงเติบโตสูงเช่นนี้ เชื่อว่าอีก 2-3 ปีจะยิ่งเห็นภาพชัดเจนของปริมาณเบี้ยต่ออายุที่แท้จริง

ด้านนายโดนอลด์ คาร์ดีน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต จำกัด ผมหาชน) เปิดเผยสยามธุรกิจว่า ในส่วนของบริษัทนั้น อัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ของช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ สูงกว่าช่องทางตัวแทน ดังนั้นประเด็นนี้จึงไม่ได้เป็นปัญหา นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถรักษาการขยายตัวเบี้ยประกันจากช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ในอัตราที่สูงได้อย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงครึ่งปีแรก เบี้ยปีแรก (FYP) ทั้งหมดของแบงก์แอสชัวรันส์เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 65% ส่วนเบี้ยปีแรกประเภทรายบุคคล เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 161%

ด้านนายพีระพงศ์ อุ่นจิตต์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท แมกซ์ประกันชีวิต จำกัด เปิดเผยสยามธุรกิจ ว่า หากดูเฉพาะตัวเลขเบี้ยคงจะบอกได้ไม่ชัดเจนนักในเรื่องนี้ เพราะส่วนหนึ่งเป็นช่องทางที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานเมื่อเทียบกับช่องทางขายผ่านตัวแทน และอาจจะมีบ้างที่มองว่าเบี้ยปีต่ออายุจะน้อย เพราะต้องอย่าลืมว่าสินค้าของแบงก์แอสชัวรันส์ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทสะสมทรัพย์ (Saving) ซึ่งบางแบบเป็นแบบชำระเบี้ยระยะสั้น เช่น 4 ปี, 5 ปี ที่ครบกำหนดการชำระเบี้ยไปแล้ว ก็อาจทำให้เบี้ยต่ออายุของกรมธรรม์ในส่วนนั้นหายไป แต่หากดูที่อัตราความยั่งยืนกรมธรรม์จะเห็นภาพชัดกว่า ว่าช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์มีการเติบโตต่อเนื่อง เพราะอัตราความยั่งยืนกรมธรรม์สูง เช่นแมกซ์ประกันชีวิตเองส่วนใหญ่เป็นการขายผ่านช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ มีอัตราความยั่งยืนกรมธรรม์เฉลี่ยถึง 80%

คงต้องดูที่แบบประกันด้วยว่า มีระยะเวลาชำระเบี้ยกี่ปี ซึ่งของแมกซ์เองมีบางแบบที่ชำระเบี้ย 4 ปี ก็ทะยอยครบกำหนดไปแล้ว จึงทำให้เบี้ยต่ออายุในส่วนนี้หายไปในปีนี้บ้างประมาณ 100 ล้านบาท เป็นต้น ก็ต้องรอการต่ออายุของกรมธรรม์ที่ขายได้ใหม่ในปีต่อไปว่าจะเป็นอย่างไร แต่การต่ออายุดีอยู่แล้ว เพราะใช้วิธีหักบัญชี อีกทั้งกรมธรรม์ประเภทสะสมทรัพย์ที่ขายผ่านแบงก์ส่วนใหญ่เบี้ยมักจะแพง เพราะให้ผลตอบแทนสูง ลูกค้าไม่กล้าที่จะทิ้งกรมธรรม์
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=5454

news14/08/07

โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 14, 2007 1:16 pm
โดย chartchai madman
ประกันตื่นภัยธรรมชาติ
โพสต์ทูเดย์ บริษัทประกันภัยตื่นน้ำท่วม พายุ แผ่นดินถล่ม เผยปีนี้มีแนวโน้มรุนแรง


นายอานนท์ โอภาสพิมลธรรม ประธานคณะอนุกรรมการประกันภัยทรัพย์สินและผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะประกันภัย กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยถูกบริษัทประกันภัยต่อต่างประเทศจัดอยู่ในเขตที่เสี่ยงกับภัยน้ำท่วม พายุ แผ่นดินถล่ม และแผ่นดินไหว เนื่องจากประสบภาวะน้ำท่วมใหญ่ ท่วมซ้ำซาก มหันตภัยสึนามิ และยังมีแผ่นดินไหว แผ่นดินถล่ม สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะน้ำท่วม เพราะปีนี้ทางกรมอุตุนิยมวิทยามีการประเมินภัยน้ำท่วมหนักทุกพื้นที่ทั่วประเทศ สร้างความเสียหายให้กับอสังหาริมทรัพย์หนักแน่ เนื่องจากย้ายหนีไม่ได้ ส่วนรถยนต์เคลื่อนย้ายได้ และที่จะตามมากับน้ำท่วมซึ่งเห็นบ่อยคือดินถล่ม จะทำให้รีสอร์ต โรงแรม ที่พัก บริเวณริมแม่น้ำ มีความเสี่ยงที่จะได้รับความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินสูงขึ้น แต่ถ้าดินถล่มแล้วไม่มีน้ำ ประกันภัยน้ำท่วมไม่คุ้มครอง นายอานนท์ กล่าว

นายอานนท์ กล่าวว่า น่าเห็นใจประชาชนซึ่งมีที่อยู่อาศัยริมแม่น้ำพื้นที่ท่วมซ้ำซาก คือท่วมทุกปี ทำให้ไม่มีบริษัทประกันภัยกล้ารับประกัน เพราะเบี้ยประกันภัยน้ำท่วมต่ำมากเฉลี่ย 1 พันบาทต่อความคุ้มครอง 1 ล้านบาท เมื่อเกิดความเสียหายต้องจ่ายเป็นล้านบาท ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 1 พันปี ถึงจะเก็บเบี้ยประกันภัยได้ 1 ล้านบาท พื้นที่ใดที่ท่วมประจำทุกปีบริษัทประกันภัยจะไม่กล้ารับประกัน เพื่อความมั่นคงของบริษัท เพราะบริษัทประกันภัยในไทยมีขีดจำกัดเรื่องเงินทุน การรับประกันภัยจึงต้องใช้ความระมัดระวังสูง

เราได้มีการหารือกับกรมการประกันภัย ถึงวิธีการที่จะเข้าไปรับความเสี่ยงประชาชนที่อาศัยอยู่ริมน้ำ ซึ่งพบว่าทำได้ถ้าประชาชนมีการซื้อประกันภัยน้ำท่วมกระจายทั่วประเทศ เช่น จ.จันทบุรี ซึ่งกำลังประสบปัญหาน้ำท่วมหนัก ถ้าบ้านส่วนใหญ่ในจังหวัดทำประกันภัย ก็จะมีทุนพอที่จะไปดูแลกลุ่มที่เสี่ยงสูงได้ แต่ในความเป็นจริง คนถ้าไม่เสี่ยงเขาก็ไม่ซื้อ นายอานนท์ กล่าว

นายอานนท์ กล่าวว่า ปัจจุบันธุรกิจประกันภัยไทยยังไม่เคยทำการศึกษาถึงระดับความเสียหายจากน้ำท่วมที่เกินกว่าจะรับได้ จึงไม่ทราบว่าความเสียหายที่ระดับเท่าไหร่ ถึงเป็น ความเสี่ยงสูงสุด ซึ่งขณะนี้มีบริษัทประกันภัยต่างประเทศอาสาเข้ามาทำการจัดทำแบบจำลองน้ำท่วม (Flood Model) เพื่อหาระดับความเสียหายจากน้ำท่วมที่เกินกว่าบริษัทประกันภัยจะรับได้ โดยทำการรวบรวมข้อมูลจากกรมการประกันภัย บริษัทประกันภัย แล้วนำมาคำนวณเบี้ยประกันน้ำท่วมให้ตรงกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง และรองรับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=184903

news18/08/07

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 18, 2007 3:50 pm
โดย chartchai madman
"ประกันชีวิต"เปิดศึกรีครูตตัวแทนอัดฉีดปั๊มยอดสิ้นปี

ธุรกิจประกันชีวิตแข่งดุส่งท้ายปี งัดกลยุทธ์ รีครูต "ตัวแทน" อุตลุด อัดฉีดทุกรูปแบบ "ไอเอ็นจี" พาเที่ยวญี่ปุ่นเมื่อทำยอดเบี้ยได้ 8 แสนบาทภายใน 2 เดือน "ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์" อัดโบนัสพิเศษให้หัวหน้าหน่วยอีก 15% เมื่อทำผลงานเพิ่ม ส่วน "เอเอซีพี" ไม่น้อยหน้ามีแคมเปญไปสวิตเซอร์แลนด์และซีอาน ขณะที่ "เอไอเอ" เพิ่มโบนัสหวังกระตุ้นยอดตัวแทนใหม่ ฝั่ง "ไทยประกันชีวิต" อัดซ้อนโปรแกรม ขาย 1 รายแต่นับได้ทั้ง 2 แคมเปญ เจาะกลุ่มตัวแทนใหม่ชิงรางวัลทองคำหนัก 65 บาท

"ไอเอ็นจี" พาทัวร์ญี่ปุ่นหวังยอดพุ่งเท่าตัว

นายสมโพชน์ เกียรติไกรวัล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Agency Officer บริษัท ไอเอ็นจีประกันชีวิต จำกัด เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า บริษัทได้ทุ่มงบฯกว่า 10 ล้านบาท จัดแคมเปญรีครูตตัวแทนและกระตุ้นยอดขายในช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย. โดยตัวแทนที่สร้างเบี้ยได้ตั้งแต่ 8 แสนบาทขึ้นไปจะได้เดินทางไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นฟรี 5 วันเต็ม ส่วนตัวแทนที่สร้างเบี้ยได้ถึง 5 แสนบาทจะได้รับแอลซีดีทีวียี่ห้อพานาโซนิค ขณะที่ตัวแทนที่สร้างเบี้ยได้ถึง 2.5 แสนบาท จะได้รับกล้องดิจิทัลแคนนอนเป็นรางวัล

ขณะที่บริษัท อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี. ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือเอเอซีพี ก็มีแคมเปญส่งเสริมในลักษณะดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยช่วงเดือนเม.ย.-ก.ย. ได้จัดแคมเปญ "The Greatest Star Awards ครั้งที่ 2" ผู้ชนะจะได้ไปท่องเที่ยวประเทศสวิตเซอร์แลนด์ 7 วัน โดยผู้ที่จะแข่งขันได้จะต้องเป็นตัวแทนที่คะแนนสะสมขั้นต่ำ 2.5 ล้านคะแนนขึ้นไป หรือผู้บริหารตัวแทนที่มีคะแนนสะสมขั้นต่ำ 5 ล้านคะแนน หรือผู้บริหารฝ่ายขาย (นับผลงานตามกลุ่มตรงเท่านั้น) จะต้องมีคะแนนขั้นต่ำ 15 ล้านคะแนน

"นิวยอร์คไลฟ์" เพิ่มโบนัสหัวหน้าหน่วย

ด้านนายรุ่งโรจน์ กิติยานุภาพ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายตัวแทนประกันชีวิต บริษัท ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าบริษัทได้ทำแคมเปญ "Recruiting Bonus" เป็นการเพิ่มเงินโบนัสพิเศษแก่ผู้บริหารหน่วยอีก 15% ของเบี้ยปีแรกที่ตัวแทนทำได้ โดยตัวแทนใหม่จะต้องมีอัตราการทำงานสม่ำเสมอ และนำส่งผลงานไม่น้อยกว่า 1 รายต่อเดือน ในอัตราเบี้ยประกันขั้นต่ำ 1.5 หมื่นบาทต่อราย ซึ่งแคมเปญนี้จะช่วยสร้างตัวแทนใหม่ในช่วงเดือน ก.ค.-ธ.ค.ปีนี้ เพื่อให้ได้ตัวแทนใหม่ตามเป้าทั้งปีที่ 2,000 คน

"เอไอเอ" อัดฉีดตัวแทนใหม่

ด้านค่ายยักษ์ใหญ่ เอไอเอ ก็มีโปรโมชั่นแข่งขันเพื่อกระตุ้นยอดทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ตั้งแต่ระยะ 1 สัปดาห์ 2 สัปดาห์ 1 เดือน ไปจนถึงระยะ 1 ปี ขณะเดียวกันยังมีโบนัสสำหรับตัวแทนใหม่ที่ที่ผลิตเบี้ยประกันชีวิตสามัญได้ 3 ราย โดยได้รับค่าบำเหน็จปีแรกตั้งแต่ 15,000 บาทขึ้นไปภายใน 3 เดือนแรก จะได้รับโบนัสเพิ่ม 4,000บาท และหากในเดือนที่ 4-6 สามารถหาลูกค้าใหม่ได้ 5 ราย และได้รับค่าบำเหน็จปีแรกตั้งแต่ 2 หมื่นบาทขึ้นไป จะได้รับโบนัสเพิ่มอีก 6,000 บาท

"ไทยประกัน" อัดเงินเพิ่มแถมนับซ้อนแคมเปญ

ขณะที่บริษัทประกันชีวิตสัญชาติไทย อย่างบริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด โดยนายอังกูร ศรีกัลยาณบุตร ผู้จัดการฝ่ายสายงานสื่อสารการตลาด เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือน ต.ค.ปีนี้บริษัทจะเริ่มแคมเปญการแข่งขันระยะสั้นให้กับตัวแทนที่ขายกรมธรรม์ได้ 3 ราย โดยจะแบ่งค่าบำเหน็จที่ตัวแทนได้รับเป็น 3 ระดับ และให้เงินเพิ่มให้แก่ตัวแทนตามค่าบำเหน็จที่ได้รับ โดยเน้นกลุ่มเป้าหมายที่ตัวแทนระดับล่างที่มีผลงานเฉลี่ยต่อเดือนค่อนข้างน้อย โดยคาดว่าจะมีตัวแทนทำได้ประมาณ 3,000 ราย

สำหรับภาพรวมของธุรกิจประกันชีวิตในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2550 ข้อมูลจากสมาคมประกันชีวิตไทยพบว่า เอไอเอ ยังคงมีมาร์เก็ตแชร์เป็นอันดับที่ 1 ประมาณ 39.1% มีเบี้ยประกันภัยรวม 35,947.6 ล้านบาท อันดับที่ 2 เป็นไทยประกันชีวิต มีส่วนแบ่ง 14.8% เบี้ยประกันภัยรวม 13,557.9 ล้านบาท อันดับที่ 3 เป็นเอเอซีพี มีแชร์อยู่ 9.4% เบี้ยประกันภัยรวม 8,590.2 ล้านบาท ส่วนอันดับที่ 4 เป็น เมืองไทยประกันชีวิต ส่วนแบ่ง 7.1% เบี้ยประกันภัยรวม 6,483 ล้านบาท และอันดับที่ 5 ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ มีส่วนแบ่ง 6.7% เบี้ยประกันภัยรวม 6,121 ล้านบาท
prachacharthttp://www.matichon.co.th/prachachat/pr ... ionid=0201

news20/08/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 20, 2007 8:20 pm
โดย chartchai madman
สัมพันธ์ประกัน วิ่งทาบต่างชาติ ออสซี่-ผู้ดี-กาตาร์ ร่วมทุนแก้วิกฤติ

บริษัทสัมพันธ์ประกันภัย เร่งยุติปัญหาเงินกองทุนกว่า 777 ล้านบาท ก่อนถึงเส้นตาย ลุ้นผู้ร่วมทุนรายใหม่เข้ามาเจรจาเพิ่มเงินกองทุนนับ 1,000 ล้านบาท

แหล่งข่าวจาก กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยความคืบหน้าในการฟื้นฟูกิจการ บริษัท สัมพันธ์ประกันภัย จำกัด ประสบปัญหาขาดเงินกองทุนสำรองกว่า 777 ล้านบาทว่า ล่าสุดบริษัทได้เจรจากับผู้ร่วมทุนจากต่างประเทศที่จะนำเงินมาปรับปรุงแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น หลังจากกลุ่มผู้ถือหุ้นได้เปิดโอกาสให้กลุ่มนักลงทุนจากประเทศกาตาร์เข้ามาร่วมทุน โดยการเจรจาได้คืบหน้าไปกว่า 95% นอกจากกลุ่มกาตาร์แล้ว ยังมีบริษัทประกันต่างชาติอีก 2 แห่งที่อยู่ระหว่างการเจรจาด้วยเช่นกัน คือ บริษัทด้านรี-อินชัวรันส์จากประเทศออสเตรเลีย และบริษัทประกันภัยจากประเทศอังกฤษ

ส่วนทางด้านนักลงทุนจากประเทศกาตาร์ได้ส่งทีมงานเข้ามาทำเรื่องตรวจสอบบัญชีเรียบร้อยแล้ว ผู้ร่วมทุนรายใหม่จากกาตาร์ที่จะเข้ามาซื้อหุ้นของทางบริษัทนั้น ประกอบด้วยบริษัท อัลไดเซลจะนำเงินเข้ามาซื้อหุ้นจำนวน 26 ล้านเหรียญสหรัฐและอีกบริษัทคือ บริษัทประกันรายหนึ่งของกาตาร์ จะซื้อหุ้นอีก 10 ล้านเหรียญสหรัฐ รวมเป็น 36 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าการซื้อขายหุ้นจะมีในไม่ช้า อย่างไรก็ตามบริษัทจะเปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามาร่วมลงทุนตามสัดส่วนที่กฎหมายกำหนดไม่เกิน 25% เท่านั้น และไม่มีนโยบายขายกิจการให้แก่ต่างชาติแต่อย่างใด

แหล่งข่าวกล่าวว่า บริษัทต้องนำเงินสดเข้ามาเพิ่มเงินกองทุนอีก 1,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มีสภาพคล่องทางการเงินเพียง 22.19% มีทรัพย์สิน 1,938 ล้านบาท มีหนี้สินมากกว่า 1,000 ล้านบาท บริษัทยังคงค้างจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เอาประกัน 1,285 ราย คิดเป็นเงินค้างจ่ายกว่า 100 ล้านบาท และยังค้างจ่ายค่าซ่อมรถกับสมาคมอู่กลางอยู่

สาเหตุที่บริษัทประสบปัญหาขาดเงินกองทุนสำรองนั้น เนื่องมาจากการบริหารงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ ทั้งการรับประกันภัยและการบริหารเงิน ทำให้เงินกองทุนขาดสภาพคล่องเกิดปัญหาการจ่ายสินไหมทดแทนตามมา ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีฐานลูกค้าเดิม 1 ล้านกรมธรรม์ ส่วนใหญ่เป็นรถ ขสมก. และรถแท็กซี่ ในส่วนของเงินกองทุนที่ขาดอยู่นั้นได้ทำการแก้ไขไปแล้วกว่า 70%  
http://www.naewna.com/news.asp?ID=72023

news28/08/07

โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 28, 2007 2:24 pm
โดย chartchai madman
ประกันตบเท้าลงทุนพันธบัตร อุ้มสร้างเมกะฯ

โพสต์ทูเดย์ สมาคมประกันพร้อมอุดหนุนเงิน 2 หมื่นล้านบาท ซื้อพันธบัตรเมกะโปรเจกต์ บุกพบคลัง


นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต ในฐานะนายกสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวว่า บริษัทประกันมีความพร้อมที่จะนำเงินไปลงทุนสนับสนุนภาครัฐในการออกพันธบัตรเพื่อนำไปใช้ในโครงการก่อสร้างเมกะโปรเจกต์

เบื้องต้นบริษัทประกันมีวงเงินที่พร้อมรองรับในการออกพันธบัตร 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่น้อยมากหากเทียบกับเบี้ยประกันใหม่ในแต่ละปีที่เข้ามา โดยปี 2550 อยู่ที่ 2 แสนล้านบาท ขณะที่ปี 2549 อยู่ที่ 1.7 แสนล้านบาท

นายสาระ กล่าวว่า สมาคมได้นำประเด็นดังกล่าวหารือกับทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แล้ว แต่ ไม่ได้ภาพที่ชัดเจนและอาจไม่ตรงกับเป้าหมาย หลังจากนี้ไปสมาคมจะรีบนำประเด็นดังกล่าวไปหารือกับสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.)

สำหรับกรณีที่นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์คนใหม่ จะผลักดันให้ทางบริษัทประกันเข้าสู่งวงการตลาดหุ้นมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันบริษัทประกันมีสินทรัพย์ทั้งหมด 6 แสนล้านบาทนั้นเห็นด้วยอย่างมาก และถ้านำไปลงทุนในตลาดหุ้นเพียง 10% ของจำนวนเงินทั้งหมด ก็ถือว่าเป็นจำนวนเงินที่เยอะแล้ว แต่ปัจจุบันบริษัทประกันกลับนำเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นในสัดส่วนเพียง 5-6% หรือ 3 หมื่นล้านบาทเท่านั้น

ที่ผ่านมาบริษัทประกันต่างๆ ให้ความสนใจในการลงทุนในตลาดหุ้นน้อยมาก เนื่องจากผู้เอาประกัน ส่วนใหญ่มีการลงทุนระยะยาวเฉลี่ย 20-25 ปี นายสาระ กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=187691