ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 1
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 31
วิธีคิดของคุณ anaconda คล้าย ๆ ผมนะครับ
โดยเฉพาะเรื่องเวลาเราจะเรียนรู้อะไร ต้องลืมอคติทุกอย่างให้หมดก่อนครับ
ทิ้งคำุถามว่า ทำำไม ๆ ออกไปก่อน รับฟัง คิดตามและคิดต่อไปข้างหน้าว่า
จะเป็นยังไงต่อ แล้วค่อยถามเวลาสงสัย
ผมชอบถามในเชิงว่า "ถ้าอย่างนั้นมันจะไม่เป็นอย่างนี้เหรอ" ครับ
ในความคิดผมการถาม "ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น อย่างนี้" ไม่ควรใช้ในการเรียนรู้สิ่งใหม่ครับ
ควรใช้เพื่อตรวจสอบ พิสูจน์หรือชี้แนะมากกว่าครับ
โดยเฉพาะเรื่องเวลาเราจะเรียนรู้อะไร ต้องลืมอคติทุกอย่างให้หมดก่อนครับ
ทิ้งคำุถามว่า ทำำไม ๆ ออกไปก่อน รับฟัง คิดตามและคิดต่อไปข้างหน้าว่า
จะเป็นยังไงต่อ แล้วค่อยถามเวลาสงสัย
ผมชอบถามในเชิงว่า "ถ้าอย่างนั้นมันจะไม่เป็นอย่างนี้เหรอ" ครับ
ในความคิดผมการถาม "ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น อย่างนี้" ไม่ควรใช้ในการเรียนรู้สิ่งใหม่ครับ
ควรใช้เพื่อตรวจสอบ พิสูจน์หรือชี้แนะมากกว่าครับ
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 32
:D
ขอบคุณทั้งคุณ anaconda และ พี่กล้วยไม้ขาวมากนะครับ
ที่ช่วยแสดงความคิดเห็น
จริงๆข้อดีข้อเสียในสวนของธุรกิจเครือข่าย
ผมได้เรียงไว้เป็นข้อๆด้านบนของกระทู้นี้ตั้งแต่แรกแล้วครับ
แต่สำหรับของตลาดหุ้นผมยังไม่ได้ทำครับ
ถ้าอย่างไรเดี๋ยวผมจะลองมาเรียงให้นะูครับ
เพื่อจะนำมาพูดตุยกันต่อไปได้
หรือถ้าไม่เป็นการรบกวนคุณ anaconda มีอะไรจะเสนอเพิ่มเติม
ผมยินดีมากนะครับ
ผมยังค่อนข้าง งงๆ อยู่นิดหน่อยครับ
คือ จริงๆผมคิดว่าเวลาเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
คำถามหลายๆรูปแบบและหลายๆลักษณะสามารถนำมาถามได้อะครับ
อย่างเช่น ตอนเป็นเด็กผมไม่เข้าใจว่าทำไมฟ้าถึงร้อง ผมจึงถามคุณพ่อว่า
ทำไมฟ้าถึงร้อง คุณพ่อก็จะอธิบายปรากฎการณ์ฟ้าร้องตามหลักวิทยาศาตร์
ให้ผมฟังจนผมเข้าใจ
ผมจึงคิดว่าคำถามลักษณะนี้น่าจะใช้ได้เช่นกันอะครับ
ขอบคุณมากนะครับ
ปล.ตอนแรกผมก็นึกว่าพี่กล้วยไม้ขาว คือใคร ที่แท้ พี่ Fantasia นี่เอง
:D เปลี่ยนเชื่อใหม่ แนวมากครับ :8)
ขอบคุณทั้งคุณ anaconda และ พี่กล้วยไม้ขาวมากนะครับ
ที่ช่วยแสดงความคิดเห็น
จริงๆข้อดีข้อเสียในสวนของธุรกิจเครือข่าย
ผมได้เรียงไว้เป็นข้อๆด้านบนของกระทู้นี้ตั้งแต่แรกแล้วครับ
แต่สำหรับของตลาดหุ้นผมยังไม่ได้ทำครับ
ถ้าอย่างไรเดี๋ยวผมจะลองมาเรียงให้นะูครับ
เพื่อจะนำมาพูดตุยกันต่อไปได้
หรือถ้าไม่เป็นการรบกวนคุณ anaconda มีอะไรจะเสนอเพิ่มเติม
ผมยินดีมากนะครับ
เป็นข้อคิดที่ดีครับกล้วยไม้ขาว เขียน: วิธีคิดของคุณ anaconda คล้าย ๆ ผมนะครับ
โดยเฉพาะเรื่องเวลาเราจะเรียนรู้อะไร ต้องลืมอคติทุกอย่างให้หมดก่อนครับ
รบกวนพี่กล้วยไม้ขาวช่วยขยายความหน่อยได้ไหมครับกล้วยไม้ขาว เขียน:ผมชอบถามในเชิงว่า "ถ้าอย่างนั้นมันจะไม่เป็นอย่างนี้เหรอ" ครับ
ในความคิดผมการถาม "ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น อย่างนี้" ไม่ควรใช้ในการเรียนรู้สิ่งใหม่ครับ
ควรใช้เพื่อตรวจสอบ พิสูจน์หรือชี้แนะมากกว่าครับ
ผมยังค่อนข้าง งงๆ อยู่นิดหน่อยครับ
คือ จริงๆผมคิดว่าเวลาเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
คำถามหลายๆรูปแบบและหลายๆลักษณะสามารถนำมาถามได้อะครับ
อย่างเช่น ตอนเป็นเด็กผมไม่เข้าใจว่าทำไมฟ้าถึงร้อง ผมจึงถามคุณพ่อว่า
ทำไมฟ้าถึงร้อง คุณพ่อก็จะอธิบายปรากฎการณ์ฟ้าร้องตามหลักวิทยาศาตร์
ให้ผมฟังจนผมเข้าใจ
ผมจึงคิดว่าคำถามลักษณะนี้น่าจะใช้ได้เช่นกันอะครับ
ขอบคุณมากนะครับ
ปล.ตอนแรกผมก็นึกว่าพี่กล้วยไม้ขาว คือใคร ที่แท้ พี่ Fantasia นี่เอง
:D เปลี่ยนเชื่อใหม่ แนวมากครับ :8)
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 33
ผมขอเสนอข้อดีข้อเสียของการลงทุนในหุ้นนะครับ
( ท่านใดมีอะไรเพิ่มเติม เสริมได้เลยนะครับ ยินดีอย่างยิ่งครับ )
ข้อดี
1. เป็นทางเลือกในการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนในระยะยาวเฉลี่ยมากกว่า
เงินฝาก หรือ ตราสารหนี้
2. ช่วยประหยัดเวลา ลดความเสี่ยงในการเริ่มต้นธุรกิจของตนเอง
เพราะสามารมร่วมลงทุนในกิจการที่มั่นคง และยอดเยี่ยมอยู่แล้ว
โดยใช้ความรู้ กับ เงินทุน เป็นสำคัญ
3. ไม่จำเป็นจะต้องรู้จักคนมากมาย พูดจาเก่ง หรือมีสถานะทางสังคมที่ดี
ีก็สามารถลงทุนให้ประสบความสำเร็จได้ ( ข้อนี้เป็นหัวใจสำหรับผมเลยครับ
ถ้าให้ผมเลือกที่จะต้องทำธุรกิจเอง กับ ลงทุนในหุ้น ผมเลือกลงทุนในหุ้น
เพราะ ความสะดวกสบาย b]และที่สำคัญไม่ต้องบริหารจัดการกับคน
[/b]ซึ่งเป็นอะไรที่ยุ่งยาก มากกว่าอะไรทั้งสิ้นเลยครับ
ผมชอบสิ่งที่ท่านบัฟเฟ็ตพูดอยู่ประโยคหนึ่ง ท่านบอกประมาณว่า ท่านจะไม่พยายามข้ามรั้วที่ท่านไม่สามารถข้ามได้ แต่ท่านเลือกจะข้ามรั้วที่ท่านสามารถเดินผ่านไปได้อย่างสบาย ซึ่งก็หมายถึงท่านเลือกทำสิ่งที่ท่านถนัดที่สุดครับ อาจจะหมายถึงลงทุนในหุ้นแบบ Focus รายตัวเฉพาะหุ้นที่ท่านมีความเข้าใจเป็นอย่างดีได้้เช่นกันครับ )
4. ช่วยสร้างาน และเสริมสร้างเศรษฐกิจให้กับประเทศ
5. ช่วยฝึกสมอง และ พัฒนาความคิดในเชิงการวิเคราะห์ธุรกิจ
6. ความเสียหายของการลงทุนถูกจำกัด แค่เงินลงทุนที่ลงไป
7. สามารถลงทุนได้ทุกที่ ที่อินเตอร์เน็ต หรือ โืทรศัพท์เข้าถึง
8. ช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน
9. เป็นอิสระอย่างมากไม่ต้องรายงานผลการลงทุนให้หัวหน้าฟัง ไม่ต้ิองมีประชุมตอนเช้า ตอนบ่าย ตอนเย็น
ข้อเสีย
1. มีความผันผวนในระดับสูง
2. ต้องทำความเข้าใจ และ ใช้ความรู้ในระดับหนึ่ง
3. ต้องมีอารมณ์ที่มั่นคงไม่อ่อนไหวไปตามสภาวะของตลาด
เท่าที่ผมพอจะนึกออกตอนนี้ก็มีประมาณนี้ครับ
ข้อเสียน้อยไปหน่อยนึง จริงๆผมคิดว่าคงมีเยอะกว่านี้อะครับ
แต่สำหรับผม ผมนึกได้เท่านี้จริงๆ
สำหรับสิ่งที่ผมได้รับจากการลงทุนในหุ้น
ผมคิดว่ามีเยอะมากเลยครับ ข้อเขียนเฉพาะที่สำคัญๆนะครับ
1. ความสุขครับ( แม้ว่าตอนนี้จะขาดทุนทางบัญชีก็ตาม 55+ ) อันนี้สำคัญที่สุดแล้วครับสำหรับผม
2. เวลาครับ ( สมมุติว่าผมไม่ต้ิองไปเรียนมหาวิทยาลัย และผมลงทุนในหุ้นอย่างเดียวผมคงมีเวลาเหลือเฟือที่จะทำกิจกรรมอย่างอื่น
ที่ผมชอบได้เยอะมากมาย)
3. ประสบการณ์ในการลงทุนครับ
4. ได้รู้จักเพื่อนๆพี่ๆนักลงทุนท่านอื่นจากการเข้าร่วมสัมนา
หรือการประชุมผู้ถือหุ้น
สำหรับธุรกิจเครือช่าย ผมยังไม่เคยได้ทดลองทำจริงๆจังๆ
หมายถึง ผมยังไม่เคยสมัครและแนะนำสินค้าใหลูกค้า
ผมจึงไม่สามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าได้อะไรจากธุรกิจเครือข่าย
ผมคิดว่าส่วนนี้ต้องขอรบกวนคุณ anaconda ช่วยมาแชร์ประสบการณ์ครับ
( ท่านใดมีอะไรเพิ่มเติม เสริมได้เลยนะครับ ยินดีอย่างยิ่งครับ )
ข้อดี
1. เป็นทางเลือกในการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนในระยะยาวเฉลี่ยมากกว่า
เงินฝาก หรือ ตราสารหนี้
2. ช่วยประหยัดเวลา ลดความเสี่ยงในการเริ่มต้นธุรกิจของตนเอง
เพราะสามารมร่วมลงทุนในกิจการที่มั่นคง และยอดเยี่ยมอยู่แล้ว
โดยใช้ความรู้ กับ เงินทุน เป็นสำคัญ
3. ไม่จำเป็นจะต้องรู้จักคนมากมาย พูดจาเก่ง หรือมีสถานะทางสังคมที่ดี
ีก็สามารถลงทุนให้ประสบความสำเร็จได้ ( ข้อนี้เป็นหัวใจสำหรับผมเลยครับ
ถ้าให้ผมเลือกที่จะต้องทำธุรกิจเอง กับ ลงทุนในหุ้น ผมเลือกลงทุนในหุ้น
เพราะ ความสะดวกสบาย b]และที่สำคัญไม่ต้องบริหารจัดการกับคน
[/b]ซึ่งเป็นอะไรที่ยุ่งยาก มากกว่าอะไรทั้งสิ้นเลยครับ
ผมชอบสิ่งที่ท่านบัฟเฟ็ตพูดอยู่ประโยคหนึ่ง ท่านบอกประมาณว่า ท่านจะไม่พยายามข้ามรั้วที่ท่านไม่สามารถข้ามได้ แต่ท่านเลือกจะข้ามรั้วที่ท่านสามารถเดินผ่านไปได้อย่างสบาย ซึ่งก็หมายถึงท่านเลือกทำสิ่งที่ท่านถนัดที่สุดครับ อาจจะหมายถึงลงทุนในหุ้นแบบ Focus รายตัวเฉพาะหุ้นที่ท่านมีความเข้าใจเป็นอย่างดีได้้เช่นกันครับ )
4. ช่วยสร้างาน และเสริมสร้างเศรษฐกิจให้กับประเทศ
5. ช่วยฝึกสมอง และ พัฒนาความคิดในเชิงการวิเคราะห์ธุรกิจ
6. ความเสียหายของการลงทุนถูกจำกัด แค่เงินลงทุนที่ลงไป
7. สามารถลงทุนได้ทุกที่ ที่อินเตอร์เน็ต หรือ โืทรศัพท์เข้าถึง
8. ช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน
9. เป็นอิสระอย่างมากไม่ต้องรายงานผลการลงทุนให้หัวหน้าฟัง ไม่ต้ิองมีประชุมตอนเช้า ตอนบ่าย ตอนเย็น
ข้อเสีย
1. มีความผันผวนในระดับสูง
2. ต้องทำความเข้าใจ และ ใช้ความรู้ในระดับหนึ่ง
3. ต้องมีอารมณ์ที่มั่นคงไม่อ่อนไหวไปตามสภาวะของตลาด
เท่าที่ผมพอจะนึกออกตอนนี้ก็มีประมาณนี้ครับ
ข้อเสียน้อยไปหน่อยนึง จริงๆผมคิดว่าคงมีเยอะกว่านี้อะครับ
แต่สำหรับผม ผมนึกได้เท่านี้จริงๆ
สำหรับสิ่งที่ผมได้รับจากการลงทุนในหุ้น
ผมคิดว่ามีเยอะมากเลยครับ ข้อเขียนเฉพาะที่สำคัญๆนะครับ
1. ความสุขครับ( แม้ว่าตอนนี้จะขาดทุนทางบัญชีก็ตาม 55+ ) อันนี้สำคัญที่สุดแล้วครับสำหรับผม
2. เวลาครับ ( สมมุติว่าผมไม่ต้ิองไปเรียนมหาวิทยาลัย และผมลงทุนในหุ้นอย่างเดียวผมคงมีเวลาเหลือเฟือที่จะทำกิจกรรมอย่างอื่น
ที่ผมชอบได้เยอะมากมาย)
3. ประสบการณ์ในการลงทุนครับ
4. ได้รู้จักเพื่อนๆพี่ๆนักลงทุนท่านอื่นจากการเข้าร่วมสัมนา
หรือการประชุมผู้ถือหุ้น
สำหรับธุรกิจเครือช่าย ผมยังไม่เคยได้ทดลองทำจริงๆจังๆ
หมายถึง ผมยังไม่เคยสมัครและแนะนำสินค้าใหลูกค้า
ผมจึงไม่สามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าได้อะไรจากธุรกิจเครือข่าย
ผมคิดว่าส่วนนี้ต้องขอรบกวนคุณ anaconda ช่วยมาแชร์ประสบการณ์ครับ
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
-
- Verified User
- โพสต์: 13
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 34
ผมยินดีครับ ที่คุณกล้วยไม้ขาว เห็นด้วยกับการเรียนรู้โดยไม่มีอคติ ถ้าเรามีคนแบบคุณกล้วยไม้ขาวมากๆ โลกเราคงจะสงบ กว่านี้เยอะ
ก่อนจะเข้าเรื่องการเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสีย ของการลงทุนในตลาดหุ้นกับการลงทุนในธุรกิจเครือข่าย ผมอยากจะสรุปสิ่งที่ผมนำเสนอสั้นๆ ก่อนดังนี้
1) การวิเคราะห์ธุรกิจ แบ่งเป็นส่วนๆ ดังนี้
- ตัวธุรกิจ
- กระบวนการ หรือ วิธีการ
- คนในธุรกิจ
2) เหรียญ มีอย่างน้อย 2 ด้าน ด้านที่คุณเห็น ด้านที่ผมเห็น ด้านที่เป็นความจริง
3) ความเหมาะสม ความถนัด ความชอบ เป็นกรอบที่เราต้องขึ้นมาจำกัด ตัวเราเอง มนุษย์เราต้องฝึก ทุกอย่าง แม้แต่กินข้าวเราก็ยังต้องฝึก
จากข้อหนึ่ง ถ้าคุณ kornjackrit ย้อนกลับไปดูข้อเสีย ของธุรกิจเครือข่ายในกระทู้แรก คุณ kornjackrit กำลังวิเคราะห์ คนในธุรกิจเครือข่ายและกระบวนการเป็นหลัก ถ้าจะดูถึงความเป็นจริงแล้ว เราก็จะพบ คนแบบนี้ ในทุกๆ ธุรกิจ ทุกๆสาขาอาชีพ ทุกๆองค์กร ทุกๆศาสนา ทุกๆประเทศ ทุกๆ เมือง หรือก็อาจจะไม่เว้นแม้แต่ในครอบครัวของเราเอง
ผมตั้งใจจะถามคำถาม เรื่องข้อดีข้อเสีย ของธุรกิจ ซ้ำเพื่อชี้ประเด็น ว่าคนส่วนใหญ่ ไม่ได้เห็นธุรกิจเครื่อข่าย ในสิ่งที่เป็น แต่เห็นในสิ่งที่คนในธุรกิจนี้ทำ ถ้าคุณkornjackrit เห็นความแตกต่างนี้ สิ่งที่ผมจะขอนำเสนอต่อ คือ
1) จะมีความเป็นไปได้มั้ย ถ้าจะมีคนที่จริงใจ และไม่โลภ ในธุรกิจเครือข่าย เช่นเดียวกับธุรกิจอื่นๆ
2) จะเป็นไปได้มั้ย ที่จะมีวิธีการหรือกระบวนการทำธุรกิจเครือข่ายที่แตกต่างจากวิธีที่คุณkornjackrit ประสบมา
ส่วนข้อสอง ข้อดีก็อาจจะเปลี่ยนเป็นข้อเสียด้วยก็ได้ขึ้นอยู่กับมุมมอง ของแต่ละคนที่จะเลือกมอง เช่นถ้าคุณรู้จักคนเยอะแล้วคิดว่าธุรกิจเครือข่ายจะง่าย มันก็ไม่แน่เสมอไป ถ้าคนที่คุณรู้จัก เห็นว่าคุณเป็นคนที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ หรือยังไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรเลย ในกรณีนี้คุณจะพบว่าทำกับคนแปลกหน้าอาจจะง่ายกว่า
หรือข้อที่บอกว่าลงทุนต่ำ ก็เป็นข้อดี และในขณะเดียวกันก็เป็นข้อเสียเพราะลงทุนต่ำทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ศึกษาและเรียนรู้อย่างจริงจัง ถ้าคุณต้องลงทุนซัก 5 ล้านเพื่อเปิด 7-11 ผมเชื่อว่าคุณคงจะใส่ความพยายามเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า
ส่วนเรื่องการทำธุรกิจเครือข่ายแล้วได้อะไร ในความเห็นส่วนตัวผม ผมเห็นว่าธุรกิจเครือข่าย มีรูปแบบการทำอยู่ 4 แบบ
1) ทำแบบ E หรือลูกจ้าง
2) ทำแบบ S หรือธุรกิจส่วนตัว
3) ทำแบบ B หรือเจ้าของกิจการ
4) ทำแบบ I หรือนักลงทุน
สิ่งที่เราจะได้ก็คงแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับ รูปแบบที่คุณเลือกใช้ เช่นสำหรับผม ผมชอบการลงทุนในธุรกิจหรือ I ผมพบว่า การที่จะวิเคราะห์หุ้นได้ดีคุณต้องมีความเข้าใจธุรกิจด้าน B แบบลึ้กซึ้ง ผมเชื่อว่าคนที่ทำธุรกิจ ด้าน B จะมีมุมมองที่แตกต่างจาก E และ S ลองคิดเล่นๆดูนะครับ ว่าถ้าเรากำลังวิเคราะห์สิ่งที่เราไม่รู้ ด้วยความรู้ที่เรามี ผมไม่แน่ใจว่าผลที่ได้ จะมีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน
อีกเรื่องที่ธุรกิจเครือข่ายให้ได้คือทักษะเรื่องคนเพราะถ้าเราจะเป็นนักลงทุนที่เก่งเราคงต้องดูออกว่า ทีมผู้บริหาร จริงๆแล้วกำลังทำอะไรอยู่ อีกอย่างการเรียนรู้เรื่องคนจะทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น และรู้จักให้อภัยคนอื่นมากขึ้นด้วยครับ
ก่อนที่ผมจะแสดงความคิดเห็นต่อไป ผมขอรับทราบความคิดเห็นของเพื่อนๆก่อนครับ ขอบคุณครับ
ก่อนจะเข้าเรื่องการเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสีย ของการลงทุนในตลาดหุ้นกับการลงทุนในธุรกิจเครือข่าย ผมอยากจะสรุปสิ่งที่ผมนำเสนอสั้นๆ ก่อนดังนี้
1) การวิเคราะห์ธุรกิจ แบ่งเป็นส่วนๆ ดังนี้
- ตัวธุรกิจ
- กระบวนการ หรือ วิธีการ
- คนในธุรกิจ
2) เหรียญ มีอย่างน้อย 2 ด้าน ด้านที่คุณเห็น ด้านที่ผมเห็น ด้านที่เป็นความจริง
3) ความเหมาะสม ความถนัด ความชอบ เป็นกรอบที่เราต้องขึ้นมาจำกัด ตัวเราเอง มนุษย์เราต้องฝึก ทุกอย่าง แม้แต่กินข้าวเราก็ยังต้องฝึก
จากข้อหนึ่ง ถ้าคุณ kornjackrit ย้อนกลับไปดูข้อเสีย ของธุรกิจเครือข่ายในกระทู้แรก คุณ kornjackrit กำลังวิเคราะห์ คนในธุรกิจเครือข่ายและกระบวนการเป็นหลัก ถ้าจะดูถึงความเป็นจริงแล้ว เราก็จะพบ คนแบบนี้ ในทุกๆ ธุรกิจ ทุกๆสาขาอาชีพ ทุกๆองค์กร ทุกๆศาสนา ทุกๆประเทศ ทุกๆ เมือง หรือก็อาจจะไม่เว้นแม้แต่ในครอบครัวของเราเอง
ผมตั้งใจจะถามคำถาม เรื่องข้อดีข้อเสีย ของธุรกิจ ซ้ำเพื่อชี้ประเด็น ว่าคนส่วนใหญ่ ไม่ได้เห็นธุรกิจเครื่อข่าย ในสิ่งที่เป็น แต่เห็นในสิ่งที่คนในธุรกิจนี้ทำ ถ้าคุณkornjackrit เห็นความแตกต่างนี้ สิ่งที่ผมจะขอนำเสนอต่อ คือ
1) จะมีความเป็นไปได้มั้ย ถ้าจะมีคนที่จริงใจ และไม่โลภ ในธุรกิจเครือข่าย เช่นเดียวกับธุรกิจอื่นๆ
2) จะเป็นไปได้มั้ย ที่จะมีวิธีการหรือกระบวนการทำธุรกิจเครือข่ายที่แตกต่างจากวิธีที่คุณkornjackrit ประสบมา
ส่วนข้อสอง ข้อดีก็อาจจะเปลี่ยนเป็นข้อเสียด้วยก็ได้ขึ้นอยู่กับมุมมอง ของแต่ละคนที่จะเลือกมอง เช่นถ้าคุณรู้จักคนเยอะแล้วคิดว่าธุรกิจเครือข่ายจะง่าย มันก็ไม่แน่เสมอไป ถ้าคนที่คุณรู้จัก เห็นว่าคุณเป็นคนที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ หรือยังไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรเลย ในกรณีนี้คุณจะพบว่าทำกับคนแปลกหน้าอาจจะง่ายกว่า
หรือข้อที่บอกว่าลงทุนต่ำ ก็เป็นข้อดี และในขณะเดียวกันก็เป็นข้อเสียเพราะลงทุนต่ำทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ศึกษาและเรียนรู้อย่างจริงจัง ถ้าคุณต้องลงทุนซัก 5 ล้านเพื่อเปิด 7-11 ผมเชื่อว่าคุณคงจะใส่ความพยายามเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า
ส่วนเรื่องการทำธุรกิจเครือข่ายแล้วได้อะไร ในความเห็นส่วนตัวผม ผมเห็นว่าธุรกิจเครือข่าย มีรูปแบบการทำอยู่ 4 แบบ
1) ทำแบบ E หรือลูกจ้าง
2) ทำแบบ S หรือธุรกิจส่วนตัว
3) ทำแบบ B หรือเจ้าของกิจการ
4) ทำแบบ I หรือนักลงทุน
สิ่งที่เราจะได้ก็คงแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับ รูปแบบที่คุณเลือกใช้ เช่นสำหรับผม ผมชอบการลงทุนในธุรกิจหรือ I ผมพบว่า การที่จะวิเคราะห์หุ้นได้ดีคุณต้องมีความเข้าใจธุรกิจด้าน B แบบลึ้กซึ้ง ผมเชื่อว่าคนที่ทำธุรกิจ ด้าน B จะมีมุมมองที่แตกต่างจาก E และ S ลองคิดเล่นๆดูนะครับ ว่าถ้าเรากำลังวิเคราะห์สิ่งที่เราไม่รู้ ด้วยความรู้ที่เรามี ผมไม่แน่ใจว่าผลที่ได้ จะมีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน
อีกเรื่องที่ธุรกิจเครือข่ายให้ได้คือทักษะเรื่องคนเพราะถ้าเราจะเป็นนักลงทุนที่เก่งเราคงต้องดูออกว่า ทีมผู้บริหาร จริงๆแล้วกำลังทำอะไรอยู่ อีกอย่างการเรียนรู้เรื่องคนจะทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น และรู้จักให้อภัยคนอื่นมากขึ้นด้วยครับ
ก่อนที่ผมจะแสดงความคิดเห็นต่อไป ผมขอรับทราบความคิดเห็นของเพื่อนๆก่อนครับ ขอบคุณครับ
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 35
ก่อนอื่นผมต้องยอมรับว่าในตอนแรกที่ผมเขียน ผมค่อนข้างมีอคติเล็กน้อยanaconda เขียน: 1) จะมีความเป็นไปได้มั้ย ถ้าจะมีคนที่จริงใจ และไม่โลภ ในธุรกิจเครือข่าย เช่นเดียวกับธุรกิจอื่นๆ
2) จะเป็นไปได้มั้ยที่จะมีวิธีการหรือกระบวนการทำธุรกิจเครือข่าย
ที่แตกต่างจากวิธีที่คุณkornjackrit ประสบมา
ทำให้สิ่งที่เป็นข้อดีข้อเสีย อาจจะไม่ค่อยเป็นความเห็นในมุมกว้าง
ขออภัยนะครับ
แต่ประเด็นที่คุณ anaconda ยกมาน่าสนใจครับ
รบกวนคุณ anaconda ขยายความส่วนนี้ให้หน่อยนะครับ
ี้ผมคิดว่าจริงๆแล้วเป็นไปได้ทั้ง 2 ข้ิอครับ
โดยเฉพาะข้อ 2 ผมคิดว่าน่าสนใจมากถ้ากระบวนการของธุรกิจเครือข่าย
หรือลักษณะของมันแตกต่างจะที่ผมเคยพบมา
เท่าที่ผมพอจะทราบวิธีการทำธุรกิจเครือข่ายที่ถูกต้อง
คือ การทำในลักษณะคล้ายๆ
กับแนะนำสินค้าให้คนรู้จัก ว่าสินค้าที่เราใช้้หรือบริโภคอยู่นั้นมีคุณสมบัติที่ดี
หรือมีประโยชน์มากกว่าสินค้าอื่น
ถ้าทำแบบไม่โลภ
หรือทำแบบถูกต้อง ในการตัดสินใจซื้อหรือไม่ซื้อ
คงจะต้องให้คนที่เราแนะนำหรือผู้บริโภคเลือกซื้อเองใช่ไหมครับ
แต่สิ่งที่ผมไม่ชอบคือการแนะนำสินค้าเนี่ยละครับ
จริงๆผมคงจะต้องพูดว่าผมชอบมันน้อยกว่า
การวิเคราะห์ธุรกิจ เพื่อการลงทุน
ผมเลยเลือกที่จะทำสิ่งที่อชอบมากกว่าแทน
แต่ถ้าผมไม่ได้เลือกที่จะเป็นนักลงทุน
ผมก็คงจะเป็นนักธุรกิจที่ต้องแนะนำสินค้าหรือบริการ
แต่ถ้ากระบวนการทางธุรกิจ หรือวิธีการทำ ที่คุณ anaconda ได้ประสบมาก
แตกต่างจะที่ผมได้เล่าไปข้างต้น ผมจะขอบคุณและยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ถ้าคุณ anaconda จะช่วยอธิบายให้ฟังครับ
anaconda เขียน:อีกเรื่องที่ธุรกิจเครือข่ายให้ได้คือทักษะเรื่องคน
เพราะถ้าเราจะเป็นนักลงทุนที่เก่งเราคงต้องดูออกว่า ทีมผู้บริหาร จริงๆแล้วกำลังทำอะไรอยู่อีีกอย่างการเรียนรู้เรื่องคนจะทำให้เราเข้าใจ
ตัวเองมากขึ้น และรู้จักให้อภัยคนอื่นมากขึ้นด้วยครับ
น่าสนใจครับ ทักษะเรื่องคนผมเห็นด้วยอย่างมากครับ
การเรียนรู้เรื่องคนเป็นสิ่งจำเป็นจริงๆสำหรับนักลงทุน
อย่างที่คุณ anaconda ว่ามา
ทักษะเรื่องคนสำหรับนักลงทุนน่าจะเป็นทักษะการมองคน
และทักษะการประเมินคน มากกว่าทักษะการเลือกคน
หรือ การเจรจากับคน
แน่นอนครับ ทักษะสองอันหลังที่ผมพูดถึง เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน
แต่น่าจะสำคัญสำหรับนักธุรกิจมากกว่า
"คน" เป็นสิ่งที่ผมคิดว่าจัดการยากที่สุดในโลก
( พูดถึงในแง่ที่เราต้องควบคุมจัดการคนในฐานะลูกจ้างหรือลูกน้อง
หรือ คนทีี่มีผลประโยชน์ร่วมกัน ไม่เกี่ยวกับคนในฐานะเพื่อน
หรือ ญาติพี่น้อง )
ถ้าผมต้องเจอกับปัญหาว่าพอจะคุยธุระสำคัญ คนนี้ติดงาน
คนนั้นลาป่วย คนโน่นไม่ว่าง อีกคนมาไม่ได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดอยู่
ผมคิดว่าชีวิตผมคงยุ่งมากแน่นอนครับ ต้องเที่ยวโทรติดต่องาน
ซึ่งผมชอบชีวิตที่เรียบง่ายไม่ต้องปวดหัวกับเรื่องเหล่านี้มากกว่า
ในทางกลับกันผมจะไม่สนใจเรื่องเหล่านี้เลย ถ้าคนที่ผมกล่าวข้างต้นเป็นเพื่อน หรือญาติพี่น้องไม่ใช่คนที่เกี่ยวข้องในเชิงธุรกิจ
ซึ่งหมายความว่า ถ้าผมนัดเพื่อนแล้ว(แน่นอนว่าต้องไม่ได้นัดมาคุยเรื่องธุรกิจ)
อาจจะนัดไปสังสรรค์ พูดคุยเรื่องราวจิปาถะในชีวิต
ถ้าเพื่อนผมบางคนไม่ว่าง ผมก็ไม่รู้สึก
ผิดหวังแต่ประการใด เพราะมันไม่ได้เป็นไปในเชิงธุรกิจ ที่ทุกอย่างจะต้องถูกจัดการ เช่น ถ้าคนนี้ไปพูดคุยกับลูกค้าไม่ได้
ผมต้องโทรเรียกอีกคนไปจัดการแทน ซึ่งเวลาที่ผมต้องติดต่อธุระอาจจะเป็นเวลาที่ผมกำลังพักผ่อน
อยู่กับครอบครัว
แต่ในการลงทุน ผมสามารถคลิกอินเตอร์เน็ตเพื่อซื้อ - ขาย หุ้น
โดยไม่ต้องแม้แต่จะโทรหาโบรกเกอร์ หรือนายธนาคาร
เพราะเงินที่ผมซื้อก็จะถูกโอนเข้าธนาคารโดยไม่ต้องติดต่อนายธนาคาร
จะเห็นว่าผมแทบไม่ต้องติดต่อกับคนในเชิงธุรกิจเลย
และแน่นอนว่าเวลาที่่ผมพักผ่อนอยู่กับครอบครัว
ผมก็ไม่จำเป็นต้องไปโทรหาใคร หรือไปติดต่อธุระกับใคร
ผมจะต้องติดต่อเชิงธุรกิจกับคนอื่นจริงๆ็
ก็เฉพาะเวลาที่ไปประชุมผู้ถือหุ้น
ไปเยี่ยมชมกิจการ หรือ ติดต่อ IR ฯลฯ
เพื่อหาข้อมูซึ่งผมคิดว่าเป็นเวลาเพียงเล็กน้อย
เมื่อเปรียบเทียบกับการทำธุรกิจเอง
สิ่งที่ผมนำเสนอก็คือข้อแตกต่างหนึ่งในหลายๆข้อของนักลงทุน
(โดยเฉพาะลงทุนในหุ้น)กับนักธุรกิจที่ทำธุรกิจเอง
มีข้อหนึ่งที่คุณ anaconda ยกมา แล้วผมเห็นว่าเป็นสิ่งจำเป็น
และสำคัญมากๆ
ผมคิดว่าถูกต้องที่สุดครับ แต่การที่ผมอยากทำงานเป็น E หลังเรียนจบanaconda เขียน: ผมพบว่า การที่จะวิเคราะห์หุ้นได้ดีคุณต้องมีความเข้าใจธุรกิจด้าน B แบบลึ้กซึ้ง ผมเชื่อว่าคนที่ทำธุรกิจ ด้าน B จะมีมุมมองที่แตกต่างจาก E และ S ลองคิดเล่นๆดูนะครับ ว่าถ้าเรากำลังวิเคราะห์สิ่งที่เราไม่รู้ ด้วยความรู้ที่เรามี ผมไม่แน่ใจว่าผลที่ได้ จะมีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน
เป็นเพราะผมชอบลักษณะงานมากกว่าการทำธุรกิจด้วยตัวเอง
(ขอย้ำว่าลักษณะงาน ไม่ใช่ชอบทำงานด้าน E )
และผมคิดว่าอาชีพที่ผมอยากจะเป็นในช่วงที่ผมมีรายได้จากด้าน E ัจะให้ความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์ในเชิงธุรกิจ
หรือในด้าน B ได้เป็นอย่างดี เพราะถึงแม้ผมจะทำงานในด้าน E
แต่ผมก็เลือกที่จะใช้มุมมองเวลาทำงานและหาประสบการณ์
แบบด้าน I กับ B
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
-
- Verified User
- โพสต์: 13
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 36
คุณkornjackrit การที่คุณมีอคติเป็นเรื่องธรรมดาครับ เพราะนั่นคือประสบการณ์ที่คุณเจอมา จริงๆแล้ว ผมก็เคยเจอประสบการณ์คล้ายๆกับคุณครับ
ธุรกิจเครือข่ายก็มี บริษัทที่ดีและไม่ดี มีทั้งจริงและหลอกลวง ในความเห็นของผม เรื่องแบบนี้ก็เกิดขึ้นได้ในทุกๆธุรกิจ ดังนั้นการที่จะทำความเข้าใจธุรกิจนี้เราจำเป็นต้องลืมความรู้ที่เราสะสมมาทั้งหมดก่อน แล้วมาเริ่มต้นใหม่ ผมจะพยายามอธิบายในมุมมองของผมเองนะครับ
1) ธุรกิจเครื่อข่าย เป็นธุรกิจของคุณเอง ไม่มีใครเป็นนายเป็นหัวหน้าเป็นลูกน้อง ทุกคนอยู่ในฐานะที่เท่าเทียมกันหมด ไม่มีใครสั่งคุณให้ทำอะไรได้และคุณก็สั่งให้ใครทำอะไรไม่ได้
2) ธุรกิจเครื่อข่ายเป็นการสร้างกลุ่มคน สินค้าเป็นเพียงตัวเชื่อม ที่เชื่อมคนเข้าด้วยกัน
3) การเรียนรู้ทักษะเรื่องคนในที่นี้ ไม่ใช่ให้เราไปประเมินหรือตัดสินคนอื่นๆ นะครับ แต่เป็นการเรียนรู้เพื่อที่เราจะเข้าใจคนอื่นๆมากขึ้น โดยเฉพาะตัวเราเอง
4) ธุรกิจเครือข่ายเริ่มจากตัวเราเอง อย่าไปมองคนอื่น เราเรียนรู้ ที่จะดูแลความคิดของตัวเอง สุขภาพของตัวเอง การพูดการจาของเราเอง ความสัมพันธ์ของเรากับคนรอบข้าง และอื่นๆ อีกหลายเรื่อง พูดง่ายๆ คือการพัฒนาบุคลิกภาพและทัศนคติของตัวเราเอง
5) ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่เราจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น ไม่ใช่ให้เราไปเปลี่ยนคนอื่น ถ้าคนที่ทำธุรกิจนี้ โดยเอาผลประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง โอกาศที่จะประสบความสำเร็จมีน้อยมากๆ และถ้ามีความสำเร็จก็จะเป็นความสำเร็จสั้นๆที่ไม่ยั่งยืนถาวร
จริงๆแล้วยังมีมากกว่านี้เยอะครับ เอาเท่านี้ก่อนนะครับ
ส่วนเรื่อง E S B I ผมก็คิดไม่ต่างจากคุณkornjackrit ครับ ผมก็ยังเป็นลูกจ้างอยู่เพราะผมชอบงานที่ทำ ในขณะเดียวกัน ผมก็พยายามก้าวข้ามมาเป็นคนทางฝั่งขวา ผมเปลี่ยนงานหลายครั้งไม่ใช่เพราะเรื่องเงินเป็นหลัก แต่ผมเปลี่ยนงานที่ผมเห็นว่ามันเป็นงานที่จะช่วยให้ผมก้าวข้ามมาทางขวาได้ ผมขอบอกว่ามันเป็นกระบวนการที่ช้ามากๆ สำหรับผมนะ เนี่ยเป็นทางอ้อมไม่ใช่ทางตรงครับ ถ้าคุณkornjackrit ลองดูคนที่ประสบความสำเร็จด้าน B คนเหล่านั้นไม่ได้ขายสินค้านะครับ คนเหล่านั้นขายวิสัยทัศน์และบุคลิคภาพของตัวเอง ในงานประจำโอกาศที่เราจะพัฒนาตัวเองให้เป็นแบบนั้นมันยากเพราะบรรยากาศไม่เอื้ออำนวยครับ
ต้องขอทำความเข้าใจนะครับว่าที่เขียนมา ไม่ได้มาบอกว่าใครถูกใครผิดครับ เป็นเพียงการนำเสนอความคิดและการกระบวนการที่อาจจะแตกต่างกันเท่านั้น
ธุรกิจเครือข่ายก็มี บริษัทที่ดีและไม่ดี มีทั้งจริงและหลอกลวง ในความเห็นของผม เรื่องแบบนี้ก็เกิดขึ้นได้ในทุกๆธุรกิจ ดังนั้นการที่จะทำความเข้าใจธุรกิจนี้เราจำเป็นต้องลืมความรู้ที่เราสะสมมาทั้งหมดก่อน แล้วมาเริ่มต้นใหม่ ผมจะพยายามอธิบายในมุมมองของผมเองนะครับ
1) ธุรกิจเครื่อข่าย เป็นธุรกิจของคุณเอง ไม่มีใครเป็นนายเป็นหัวหน้าเป็นลูกน้อง ทุกคนอยู่ในฐานะที่เท่าเทียมกันหมด ไม่มีใครสั่งคุณให้ทำอะไรได้และคุณก็สั่งให้ใครทำอะไรไม่ได้
2) ธุรกิจเครื่อข่ายเป็นการสร้างกลุ่มคน สินค้าเป็นเพียงตัวเชื่อม ที่เชื่อมคนเข้าด้วยกัน
3) การเรียนรู้ทักษะเรื่องคนในที่นี้ ไม่ใช่ให้เราไปประเมินหรือตัดสินคนอื่นๆ นะครับ แต่เป็นการเรียนรู้เพื่อที่เราจะเข้าใจคนอื่นๆมากขึ้น โดยเฉพาะตัวเราเอง
4) ธุรกิจเครือข่ายเริ่มจากตัวเราเอง อย่าไปมองคนอื่น เราเรียนรู้ ที่จะดูแลความคิดของตัวเอง สุขภาพของตัวเอง การพูดการจาของเราเอง ความสัมพันธ์ของเรากับคนรอบข้าง และอื่นๆ อีกหลายเรื่อง พูดง่ายๆ คือการพัฒนาบุคลิกภาพและทัศนคติของตัวเราเอง
5) ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่เราจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น ไม่ใช่ให้เราไปเปลี่ยนคนอื่น ถ้าคนที่ทำธุรกิจนี้ โดยเอาผลประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง โอกาศที่จะประสบความสำเร็จมีน้อยมากๆ และถ้ามีความสำเร็จก็จะเป็นความสำเร็จสั้นๆที่ไม่ยั่งยืนถาวร
จริงๆแล้วยังมีมากกว่านี้เยอะครับ เอาเท่านี้ก่อนนะครับ
ส่วนเรื่อง E S B I ผมก็คิดไม่ต่างจากคุณkornjackrit ครับ ผมก็ยังเป็นลูกจ้างอยู่เพราะผมชอบงานที่ทำ ในขณะเดียวกัน ผมก็พยายามก้าวข้ามมาเป็นคนทางฝั่งขวา ผมเปลี่ยนงานหลายครั้งไม่ใช่เพราะเรื่องเงินเป็นหลัก แต่ผมเปลี่ยนงานที่ผมเห็นว่ามันเป็นงานที่จะช่วยให้ผมก้าวข้ามมาทางขวาได้ ผมขอบอกว่ามันเป็นกระบวนการที่ช้ามากๆ สำหรับผมนะ เนี่ยเป็นทางอ้อมไม่ใช่ทางตรงครับ ถ้าคุณkornjackrit ลองดูคนที่ประสบความสำเร็จด้าน B คนเหล่านั้นไม่ได้ขายสินค้านะครับ คนเหล่านั้นขายวิสัยทัศน์และบุคลิคภาพของตัวเอง ในงานประจำโอกาศที่เราจะพัฒนาตัวเองให้เป็นแบบนั้นมันยากเพราะบรรยากาศไม่เอื้ออำนวยครับ
ต้องขอทำความเข้าใจนะครับว่าที่เขียนมา ไม่ได้มาบอกว่าใครถูกใครผิดครับ เป็นเพียงการนำเสนอความคิดและการกระบวนการที่อาจจะแตกต่างกันเท่านั้น
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 37
เรื่องนี้ผมไม่ติดใจและไม่เคยนำมาคิดเลยครับanaconda เขียน:ต้องขอทำความเข้าใจนะครับว่าที่เขียนมา ไม่ได้มาบอกว่าใครถูกใครผิดครับ เป็นเพียงการนำเสนอความคิดและการกระบวนการที่อาจจะแตกต่าง
กันเท่านั้น
ผมชอบการสนทนาลักษณะที่มีความเห็นแตกต่างกันอยู่แล้วครับ
โดยเฉพาะหัวข้อที่มีหลายมุมมองให้ได้คิดได้ศึกษา
ดังนั้นผมจึงไม่เคยคิดว่าการพูดคุยลักษณะนี้เป็นการ
ตัดสินหรือหาคนถูกคนผิดเลยครับ
:D
น่าสนใจดีครับ หลายข้อanaconda เขียน: 1) ธุรกิจเครื่อข่าย เป็นธุรกิจของคุณเอง ไม่มีใครเป็นนายเป็นหัวหน้าเป็นลูกน้อง ทุกคนอยู่ในฐานะที่เท่าเทียมกันหมด ไม่มีใครสั่งคุณให้ทำอะไรได้และคุณก็สั่งให้ใครทำอะไรไม่ได้
2) ธุรกิจเครื่อข่ายเป็นการสร้างกลุ่มคน สินค้าเป็นเพียงตัวเชื่อม
ที่เชื่อมคนเข้าด้วยกัน
3) การเรียนรู้ทักษะเรื่องคนในที่นี้ ไม่ใช่ให้เราไปประเมินหรือตัดสินคนอื่นๆ นะครับ แต่เป็นการเรียนรู้เพื่อที่เราจะเข้าใจคนอื่นๆมากขึ้น
โดยเฉพาะตัวเราเอง
4) ธุรกิจเครือข่ายเริ่มจากตัวเราเอง อย่าไปมองคนอื่น เราเรียนรู้ ที่จะดูแลความคิดของตัวเอง สุขภาพของตัวเอง การพูดการจาของเราเอง ความสัมพันธ์ของเรากับคนรอบข้าง และอื่นๆ อีกหลายเรื่อง พูดง่ายๆ คือการพัฒนาบุคลิกภาพและทัศนคติของตัวเราเอง
5) ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่เราจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น ไม่ใช่ให้เราไปเปลี่ยนคนอื่น ถ้าคนที่ทำธุรกิจนี้ โดยเอาผลประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง โอกาศที่จะประสบความสำเร็จมีน้อยมากๆ และถ้ามีความสำเร็จก็จะเป็นความสำเร็จสั้นๆที่ไม่ยั่งยืนถาวร
จริงๆแล้วยังมีมากกว่านี้เยอะครับ เอาเท่านี้ก่อนนะครับ
จากที่คุณ anaconda เล่ามาเป็นลักษณะในทางบวก
ไม่ทราบว่าคุณ anaconda พอจะอธิบายลักษณะในทางลบ
หรือข้อด้อยของธุรกิจเครือข่ายเพิ่มเติมได้ไหมครับ
เห็นด้วยครับanaconda เขียน:ถ้าคุณkornjackrit ลองดูคนที่ประสบความสำเร็จด้าน B คนเหล่านั้นไม่ได้ขายสินค้านะครับ คนเหล่านั้นขายวิสัยทัศน์และบุคลิคภาพของตัวเอง ในงานประจำโอกาศที่เราจะพัฒนาตัวเองให้เป็นแบบนั้นมันยากเพราะบรรยากาศไม่เอื้ออำนวยครับ
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
-
- Verified User
- โพสต์: 13
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 38
คุณkornjackrit ที่ผมเขียนย้ำถึงความคิดที่แตกต่าง เนื่องจากที่ตรงนี้เป็นที่เปิด เรื่องที่ผมเขียน ผมเขียนตามความรู้ความเข้าใจของผม ผมเชื่อว่ายังมีผู้รู้อีกเยอะที่รู้มากกว่า เท่านั้นเองครับ ไม่ได้มีจุดประสงค์ อื่นใด
สำหรับจุดอ่อนของธุรกิจเครือข่าย บอกตามตรงผมเข้ามาศึกษาธุรกิจ เพื่อจับผิดและต้องการความรู้จากธุรกิจนี้ไปใช้ในธุรกิจส่วนตัวของผม ตอนแรกๆผมก็เหมือนคุณkornjackrit ที่พุ่งประเด็นไปที่ กระบวนการและคนในธุรกิจ ดังนั้นผมจึงเข้าใจความรู้สึกของคุณได้ดี
ในความเห็นของผม ธุรกิจเครือข่ายเป็นธุรกิจที่ดีและมีอนาคตอีกไกล จุดอ่อนที่ผมพอจะจับได้คือ ตัวบริษัท และ ตัวเราเอง
เนื่องจากธุรกิจนี้เป็นการลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนระยะยาว (ยาวมากๆๆ เป็น 50 80 หรืออาจจะเป็น 100 ปี) บริษัทที่เราจะเข้าร่วมด้วยต้องเป็นบริษัท ที่ดีมากๆๆ ถ้าจะเปรียบไป ในที่นี้ก็เหมือนเราจะเข้าซื้อหุ้นของบริษัท แต่บริษัทให้เราซื้อหุ้นด้วยแรงกายและแรงใจของเรา ไม่ใช่ใช้เงินซื้อ ถ้ามองในแง่นี้ ผมเชื่อว่าคุณkornjackrit คงจะวิเคราะห์ ได้ดีอยู่แล้ว
จุดอ่อนข้อที่สองคือจุดอ่อนในตัวเราเอง ซึ่งก็แตกต่างกันไปในแต่ละคน สิ่งที่เราทำคือ เราก็เรียนรู้ที่จะ ก้าวข้ามจุดอ่อนเหล่านั้นครับ
อาจจะมีอย่างอื่นอีกที่ผมมองไม่เห็น คิดไม่ถึง หรือ ยังไม่เคยเจอนะครับ
สำหรับจุดอ่อนของธุรกิจเครือข่าย บอกตามตรงผมเข้ามาศึกษาธุรกิจ เพื่อจับผิดและต้องการความรู้จากธุรกิจนี้ไปใช้ในธุรกิจส่วนตัวของผม ตอนแรกๆผมก็เหมือนคุณkornjackrit ที่พุ่งประเด็นไปที่ กระบวนการและคนในธุรกิจ ดังนั้นผมจึงเข้าใจความรู้สึกของคุณได้ดี
ในความเห็นของผม ธุรกิจเครือข่ายเป็นธุรกิจที่ดีและมีอนาคตอีกไกล จุดอ่อนที่ผมพอจะจับได้คือ ตัวบริษัท และ ตัวเราเอง
เนื่องจากธุรกิจนี้เป็นการลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนระยะยาว (ยาวมากๆๆ เป็น 50 80 หรืออาจจะเป็น 100 ปี) บริษัทที่เราจะเข้าร่วมด้วยต้องเป็นบริษัท ที่ดีมากๆๆ ถ้าจะเปรียบไป ในที่นี้ก็เหมือนเราจะเข้าซื้อหุ้นของบริษัท แต่บริษัทให้เราซื้อหุ้นด้วยแรงกายและแรงใจของเรา ไม่ใช่ใช้เงินซื้อ ถ้ามองในแง่นี้ ผมเชื่อว่าคุณkornjackrit คงจะวิเคราะห์ ได้ดีอยู่แล้ว
จุดอ่อนข้อที่สองคือจุดอ่อนในตัวเราเอง ซึ่งก็แตกต่างกันไปในแต่ละคน สิ่งที่เราทำคือ เราก็เรียนรู้ที่จะ ก้าวข้ามจุดอ่อนเหล่านั้นครับ
อาจจะมีอย่างอื่นอีกที่ผมมองไม่เห็น คิดไม่ถึง หรือ ยังไม่เคยเจอนะครับ
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 39
ขอบคุณ คุณ anaconda มากครับ
ขอโทษอย่างยิ่งที่ผมมาตอบช้า
ทั้งๆที่ผมเข้ามาอ่านความคิดเห็นของคุณ anaconda ตั้งนานแล้ว
พอดีผมเปิดเทอมแล้วน่ะครับ
เลยไม่ค่อยมีเวลา
ผมเห็นด้วยกับจุดอ่อนของธุรกิจเครือข่ายที่คุณ anaconda ว่ามานะครับ
ผมคิดว่าจริงๆแล้วทุกอย่างก็มีข้อดีข้อเสียของมัน
เพียงแต่คนจะใช้มันในทางที่ดีหรือไม่ดีเท่านั้นเอง
( ถ้าพูดถึงสิ่งของหรือวัตถุ หรือ อะไรสักอย่าง
ผมเชื่อว่าเราบอกไม่ได้ว่ามันดีหรือไม่ดี
จนกว่า " คน " จะนำมันไปใช้ เราถึงจะบอกได้ว่าสิ่งนั้นดีหรือไม่ดี
ต่อให้สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดีมากๆ แต่ถ้าคนใช้แล้วใช้ไม่เป็น
หรือใช้ไปในทางที่ไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนส่วนใหญ่
สิ่งของนั้นหรือวัตถุนั้นก็คงจะถูกมองในแง่ร้าย
ยกตัวอย่างเ้ช่น ยาเสพติด
บางชนิดที่แพทย์ใช้กับผู้ป่วย(ผมไม่แน่ใจว่าใช่ มอร์ฟีนหรือเปล่า)
เพื่อทำให้ไม่ต้องเจ็บปวดกับบาดแผลมาก
คนส่วนใหญ่ก็คิดว่า มันเป็นสิ่งเสพติดที่มีอันตราย
น้อยคนนักที่มองมันเป็นยาหรือสิ่งที่มีประโยชน์ )
ผมคิดว่าจุดอ่อนของธุรกิจนี้โดยเฉพาะในเมืองไทย
เป็นจุดอ่อนที่เรียกว่าเปราะบางมากๆ ซึ่งแทนที่นักธุรกิจเครือข่ายส่วนใหญ่
จะทำธุรกิจเพื่อลบจุดอ่อนตรงนี้ กลับทำธุรกิจแบบเน้นย้ำจุดอ่อนให้เห็น
หรือเพิ่มเติมจุดอ่อนให้กับธุรกิจเครือข่ายเข้าไปอีก
จนสุดท้ายแล้ว ผมคิดว่ามีน้อยคนมากๆที่จะทำได้ในลักษณะ
แบบที่คุณ anaconda ว่ามา (ไม่ใช่ไม่มีนะครับ แต่มีน้อยจริงๆ
และส่วนใหญ่แล้วคนที่ทำจนประสบความสำเร็จก็จะไม่ออกมาหาลูกค้า
หรือแนะนำสินค้าแบบที่ผมเคยเจอ)
ในเรื่องการพัฒนาตัวเอง ผมก็เห็นด้่วยอย่างยิ่งว่าตัวธุรกิจเครือข่าย
ช่วยให้เรามองเห็นจุดอ่อนของตัวเองได้ แต่ผมก็คิดว่ามีน้อยคนอีกเช่นกัน
ที่จะทำธุรกิจเครือข่ายโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาตัวเอง
และเพื่อนเรียนรู้ที่จะแก้ไขจุดอ่อนของตัวเอง ส่วนใหญ่แล้วเมื่อมาทำธุรกิจเครือข่าย
เขาเหล่านั้นกลับคิดว่ามันคือทางลัดไปสู่ความร่ำรวย
หรือการประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ซึ่งผมว่าทางลัดสู่ความร่ำรวย
และความสำเร็จไม่มีในโลกนี้ ที่มีก็เพียงแต่ทางที่ค่อยๆเป็น ค่อยๆไป
อย่างมุ่งมั่นตั้งใจและแน่วแน่
โดยสรุป ผมต้องขอบคุณ คุณ anaconda เป็นอย่างยิ่ง
ที่อธิบายความเกี่ยวกับตัวธุรกิจเครือข่ายอย่างชัดเจน
ด้วยความจริงใจ จนทำให้ผมมองเห็น "ตัว" ธุรกิจเครือข่าย
เป็นธุรกิจที่ดีมากธุรกิจหนึ่ง ผมคิดว่าสักวันผมอาจจะลองทำ
ธุรกิจเครือข่าย และผมจะทำเพื่อวัตถุประสงค์ในการพัฒนาตัวเอง
เพื่อนำมาปรับใช้กับชีวิตและการงานของผมต่อไป
ขอบคุณมากครับ
ขอโทษอย่างยิ่งที่ผมมาตอบช้า
ทั้งๆที่ผมเข้ามาอ่านความคิดเห็นของคุณ anaconda ตั้งนานแล้ว
พอดีผมเปิดเทอมแล้วน่ะครับ
เลยไม่ค่อยมีเวลา
ผมเห็นด้วยกับจุดอ่อนของธุรกิจเครือข่ายที่คุณ anaconda ว่ามานะครับ
ผมคิดว่าจริงๆแล้วทุกอย่างก็มีข้อดีข้อเสียของมัน
เพียงแต่คนจะใช้มันในทางที่ดีหรือไม่ดีเท่านั้นเอง
( ถ้าพูดถึงสิ่งของหรือวัตถุ หรือ อะไรสักอย่าง
ผมเชื่อว่าเราบอกไม่ได้ว่ามันดีหรือไม่ดี
จนกว่า " คน " จะนำมันไปใช้ เราถึงจะบอกได้ว่าสิ่งนั้นดีหรือไม่ดี
ต่อให้สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดีมากๆ แต่ถ้าคนใช้แล้วใช้ไม่เป็น
หรือใช้ไปในทางที่ไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนส่วนใหญ่
สิ่งของนั้นหรือวัตถุนั้นก็คงจะถูกมองในแง่ร้าย
ยกตัวอย่างเ้ช่น ยาเสพติด
บางชนิดที่แพทย์ใช้กับผู้ป่วย(ผมไม่แน่ใจว่าใช่ มอร์ฟีนหรือเปล่า)
เพื่อทำให้ไม่ต้องเจ็บปวดกับบาดแผลมาก
คนส่วนใหญ่ก็คิดว่า มันเป็นสิ่งเสพติดที่มีอันตราย
น้อยคนนักที่มองมันเป็นยาหรือสิ่งที่มีประโยชน์ )
ผมคิดว่าจุดอ่อนของธุรกิจนี้โดยเฉพาะในเมืองไทย
เป็นจุดอ่อนที่เรียกว่าเปราะบางมากๆ ซึ่งแทนที่นักธุรกิจเครือข่ายส่วนใหญ่
จะทำธุรกิจเพื่อลบจุดอ่อนตรงนี้ กลับทำธุรกิจแบบเน้นย้ำจุดอ่อนให้เห็น
หรือเพิ่มเติมจุดอ่อนให้กับธุรกิจเครือข่ายเข้าไปอีก
จนสุดท้ายแล้ว ผมคิดว่ามีน้อยคนมากๆที่จะทำได้ในลักษณะ
แบบที่คุณ anaconda ว่ามา (ไม่ใช่ไม่มีนะครับ แต่มีน้อยจริงๆ
และส่วนใหญ่แล้วคนที่ทำจนประสบความสำเร็จก็จะไม่ออกมาหาลูกค้า
หรือแนะนำสินค้าแบบที่ผมเคยเจอ)
ในเรื่องการพัฒนาตัวเอง ผมก็เห็นด้่วยอย่างยิ่งว่าตัวธุรกิจเครือข่าย
ช่วยให้เรามองเห็นจุดอ่อนของตัวเองได้ แต่ผมก็คิดว่ามีน้อยคนอีกเช่นกัน
ที่จะทำธุรกิจเครือข่ายโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาตัวเอง
และเพื่อนเรียนรู้ที่จะแก้ไขจุดอ่อนของตัวเอง ส่วนใหญ่แล้วเมื่อมาทำธุรกิจเครือข่าย
เขาเหล่านั้นกลับคิดว่ามันคือทางลัดไปสู่ความร่ำรวย
หรือการประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ซึ่งผมว่าทางลัดสู่ความร่ำรวย
และความสำเร็จไม่มีในโลกนี้ ที่มีก็เพียงแต่ทางที่ค่อยๆเป็น ค่อยๆไป
อย่างมุ่งมั่นตั้งใจและแน่วแน่
โดยสรุป ผมต้องขอบคุณ คุณ anaconda เป็นอย่างยิ่ง
ที่อธิบายความเกี่ยวกับตัวธุรกิจเครือข่ายอย่างชัดเจน
ด้วยความจริงใจ จนทำให้ผมมองเห็น "ตัว" ธุรกิจเครือข่าย
เป็นธุรกิจที่ดีมากธุรกิจหนึ่ง ผมคิดว่าสักวันผมอาจจะลองทำ
ธุรกิจเครือข่าย และผมจะทำเพื่อวัตถุประสงค์ในการพัฒนาตัวเอง
เพื่อนำมาปรับใช้กับชีวิตและการงานของผมต่อไป
ขอบคุณมากครับ
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
-
- Verified User
- โพสต์: 13
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 40
ยินดีครับ จริงๆแล้ว ธุรกิจเครือข่าย ยังมีรายละเอียดที่ลึกซึ้ง กว่านี้อีกเยอะมาก บางสิ่งบางอย่างก็อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ ต้องเห็นเองสัมผัสเอง เหมือนคนที่นั่งสมาธิแล้วเห็นอะไรบางอย่างแต่คนเหล่านั้นก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าเห็นอะไร
สำหรับผม จริงๆแล้ว โชคดีมากๆ ที่มีคนทำธุระกิจเครือข่ายแบบผิดๆ เยอะเพราะนี่คือโอกาศที่ดีที่สุดสำหรับคนที่เห็น ถ้าคุณเข้าใจคุณก็จะรู้ว่าโอกาศที่ดีต้องเป็นความลับ และ นี่คือวิธีเก็บความลับที่ดีที่สุดในโลก
ขอให้ประสบคามสำเร็จในสิ่งที่ตั้งใจครับ
สำหรับผม จริงๆแล้ว โชคดีมากๆ ที่มีคนทำธุระกิจเครือข่ายแบบผิดๆ เยอะเพราะนี่คือโอกาศที่ดีที่สุดสำหรับคนที่เห็น ถ้าคุณเข้าใจคุณก็จะรู้ว่าโอกาศที่ดีต้องเป็นความลับ และ นี่คือวิธีเก็บความลับที่ดีที่สุดในโลก
ขอให้ประสบคามสำเร็จในสิ่งที่ตั้งใจครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 41
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 41
สวัสดีครับ
ต้องออกตัวก่อนเลยนะครับ ว่าผมเป็นคนหน่ง ที่ลงทุนในหุ้น แนว VI มา ตั้งแต่ปี 47
และ ปี 50 ได้ทำการ สมัครทำ Amway
ถามผมตอนนี้ ว่าสามารถตอบได้ 100% เลยว่า ผมชอบลงทุนมากๆๆๆๆๆๆๆๆ ไม่ว่า จะเป็น หุ้น ตราสารต่างๆ อสังหาริมทรัพย์ หรืออะไร ก็ตามที่สามารถลงทุนได้ ผมพยายามที่จะมีส่วนเข้าร่วมตลอด
ไม่ทราบว่าผมตอบช้าไป จนกระทู้นี้ เค้ายกเลิก ไปหรือยังครับ ถ้ายัง ช่วยส่งเสียงหน่อย ผมจะได้กลับมาอธิบายได้ต่อ ถึงทัศนคติที่มีต่อ Amway ในมุมมองของนักลงทุน (มุมมองของผม)
รวมทั้ง จะทำการเปรียบเทียบ ว่าหุ้น กับ Amway มันมีข้อดีข้อเสีย ต่างกันอย่างไร (ในมุมมอง ของการ return of income)
ต้องออกตัวก่อนเลยนะครับ ว่าผมเป็นคนหน่ง ที่ลงทุนในหุ้น แนว VI มา ตั้งแต่ปี 47
และ ปี 50 ได้ทำการ สมัครทำ Amway
ถามผมตอนนี้ ว่าสามารถตอบได้ 100% เลยว่า ผมชอบลงทุนมากๆๆๆๆๆๆๆๆ ไม่ว่า จะเป็น หุ้น ตราสารต่างๆ อสังหาริมทรัพย์ หรืออะไร ก็ตามที่สามารถลงทุนได้ ผมพยายามที่จะมีส่วนเข้าร่วมตลอด
ไม่ทราบว่าผมตอบช้าไป จนกระทู้นี้ เค้ายกเลิก ไปหรือยังครับ ถ้ายัง ช่วยส่งเสียงหน่อย ผมจะได้กลับมาอธิบายได้ต่อ ถึงทัศนคติที่มีต่อ Amway ในมุมมองของนักลงทุน (มุมมองของผม)
รวมทั้ง จะทำการเปรียบเทียบ ว่าหุ้น กับ Amway มันมีข้อดีข้อเสีย ต่างกันอย่างไร (ในมุมมอง ของการ return of income)
-
- Verified User
- โพสต์: 41
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 43
การขายตรง เนี่ย ผมว่าจะมี 2 อย่าง คือ ขายของ กับ ขายแผน
ที่เป็นเดี๋ยวนี้นี้ส่วนใหญ่เป็นการขายแผน คือ ไปหาเครือข่ายเยอะๆ จะได้กิน
ส่วนแบ่งเยอะๆ ผมเลยไม่ค่อยชอบตามที่เจอนะครับ
ถ้าเป็น Amway รายได้ จะมีอยู่ 10 ขั้นตอนครับ แต่ที่คุณ เข้าใจ ว่า ขายของ กับ ขายแผน มันจะทำแค่ให้ได้มาซึ่ง รายได้ 2 ขั้นตอนแรกเท่านั้นครับ ถ้าทำแค่นี้ อย่างเก่ง ก็ทำได้จะได้แค่ 50k - 100k เท่านั้น (รายได้จากขั้นตอนที่ 2 มัน limit แค่นี้แหละ limit ตามแรงของแต่ละคน) และก็จะไม่ใช่เป็น passive income ด้วย (เมื่อไหร่หมดแรงขายก็ไม่มีรายได้)
และที่สำคัญ มันไม่ใช่รายได้หลักของคนที่สำเร็จ Amway ด้วยครับ
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 44
55+ ยังไม่ยกเลิกครับ
ถ้าจะเลิกก็คงต้องรอเว็บนี้ปิดก่อนครับซึ่งผมว่าคงอีกนาน
:8)
แต่ต้องขอโทษอย่างยิ่งครับที่ผมมาตอบช้า(อีกแล้ว)
ยินดีอย่างยิ่งครับที่คุณ MMX อยากเข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
:D
งั้นผมรบกวนคุณ MMX ช่วยอธิบายให้ฟังได้ไหมครับ
ขอบคุณมากครับ
ถ้าจะเลิกก็คงต้องรอเว็บนี้ปิดก่อนครับซึ่งผมว่าคงอีกนาน
:8)
แต่ต้องขอโทษอย่างยิ่งครับที่ผมมาตอบช้า(อีกแล้ว)
ยินดีอย่างยิ่งครับที่คุณ MMX อยากเข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
:D
งั้นผมรบกวนคุณ MMX ช่วยอธิบายให้ฟังได้ไหมครับ
ขอบคุณมากครับ
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
-
- Verified User
- โพสต์: 41
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 45
ครับยินดีครับ ผมก็เพิ่งเข้ามาอ่าน กระทู้นี้ ก็เลยอ่านตั้งแต่คนตอบคนแรก อ่านต่อๆมา อ่านข้ามๆบ้าง (ต้องเห็นใจผมหน่อยนะครับ เพราะมันยาวมาก อ่านทุกคำตอบคงไม่ไหว ตาลายซะก่อน)
อ่านแล้ว ทำให้ผมเข้าใจว่า คุณ kornjackrit ยังไม่เข้าใจ เกี่ยวกับ แผนและแนวคิดทางธุรกิจดีนัก ยกตัวอย่าง กระทู้ ที่คุณ Post มาก่อนน่านี้
แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรนะครับ (ฟังรอบเดียว และยังไม่เคยสมัครทำ จะไปเข้าใจได้อย่างไร)
อ่านแล้ว ทำให้ผมเข้าใจว่า คุณ kornjackrit ยังไม่เข้าใจ เกี่ยวกับ แผนและแนวคิดทางธุรกิจดีนัก ยกตัวอย่าง กระทู้ ที่คุณ Post มาก่อนน่านี้
kornjackrit
Regular
Joined: 15 May 2006
Posts: 937
Location: Thailand
Posted: Tue Oct 07, 2008 3:56 pm Post subject:
--------------------------------------------------------------------------------
banjobe wrote:
ข้อดี ความสำเร็จ คือการช่วยให้คนอื่นสำเร็จก่อน มีคุณค่าดีครับ
คุณ banjobe หมายถึงคนซื้อช่วยให้คนขายสำเร็จก่อนใช่ไหมครับ
kornjackrit
Regular
Joined: 15 May 2006
Posts: 937
Location: Thailand
Posted: Thu Dec 11, 2008 10:00 am Post subject:
--------------------------------------------------------------------------------
Quote:
งานขายเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจครับ งานนี้ถ้าทำมากอาจจะแซงคนที่ชวนก็ได้น่ะครับ
ช่วย หมายถึง ช่วยให้ D/L หรือคนที่เราไปชวน ให้เค้าเป็นเถ้าแก่ก่อนครับ หรือทำให้เป็น B (เงินสี่ด้าน) เราก็จะได้ค่าลิขสิทธิ์ ====>นี่คือแก่นของธุรกิจ
ผมว่าเป็นงานที่ทำให้เราได้รับอิสรภาพทางด้านการเงินให้เร็วขึ้นกว่าเดิมครับ
Amway ช่วยคน 6 คน เป็น B = portfolio ในหุ้น ประมาณ 15-20 ล้านบาท
ขอบคุณสำหรับคำตอบนะครับ
พอดีผมเพิ่งอ่านเจอ
ขอทวนความเข้าใจนะครับ
การที่เราไปช่วย D/L ให้ประสบความสำเร็จก่อนต้องทำให้เขาเป็นเถ้าแก่
หมายความว่า ก็ต้องให้เขา(คนที่ถูกชวน) ไปแนะนำสินค้าต่อให้กับคนอื่นๆ
ใช่ไหมครับ
ผมสงสัยอีกนิดนึงนะครับว่าทำไม ทำมากถึงจะแซงคนที่ชวนละครับ
เพราะเท่าที่ผมทราบคือคนที่ชวนจะได้แน่นอนคือ ค่าแนะนำคนมาสมัครเครือข่าย และ ส่วนแบ่งจากการที่เรา(ในฐานะคนถูกชวน) ซื้อสินค้า หรือ แนะนำให้คนอื่นใช้สินค้า ไม่ทราบผมเข้าใจผิดถูกประการใดครัีบ
ขอบคุณครับ
แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรนะครับ (ฟังรอบเดียว และยังไม่เคยสมัครทำ จะไปเข้าใจได้อย่างไร)
-
- Verified User
- โพสต์: 41
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 46
ก่อนอื่น ต้องขอบอกก่อนเลยนะครับ ว่าธุรกิจ Amway ไม่ได้ลงทุน แค่ 900 บาท เพราะ เมื่อสมัครแล้ว เราต้องลองซื้อสินค้ามาใช้ ไปประชุม ไปงานสัมนา และผมก็ไม่เห็นด้วย ที่จะให้ยืม upline ทั้งสินค้า เงินค่าบัตร หรือแม้กระทั้งค่ารถ ก็ควรจะช่วยแชร์ upline ในกรณีที่ไปด้วยกัน
เพราะอะไร นะหรือครับ ก็เพราะว่ามันเป็นธุรกิจของคุณเอง ยิ่งคุณสำเร็จ upline ก็ยิ่งจะไม่ได้อะไรจากคุณเลย ตอนแรกที่คุณเข้ามา คุณยังไม่เก่ง ยังไม่มีผลงาน ผู้นำ หรือ ที่เค้าเรียกกันว่าแพททินัมในสายงาน จะลงมาช่วนเหลือคุณ ถ้า คุณเป็น 0% เค้าจะได้จากคุณ 21%
ถ้า คุณเป็น 3% เค้าจะได้จากคุณ 18%
ถ้า คุณเป็น 6% เค้าจะได้จากคุณ 15%
ถ้า คุณเป็น 9% เค้าจะได้จากคุณ 12%
ถ้า คุณเป็น 12% เค้าจะได้จากคุณ 9%
ถ้า คุณเป็น 15% เค้าจะได้จากคุณ 6%
ถ้า คุณเป็น 18% เค้าจะได้จากคุณ 3%
ถ้า คุณเป็น 21% เค้าจะไม่ได้อะไรจากคุณเลย ถ้าตัวเค้าไม่มีคุณสมบัติตามที่ Amway กำหนด
คุณเห็นหรือยังครับ ว่ายิ่งคุณเก่ง เค้าก็ยิ่งจะไม่ได้อะไรจากคุณ (ตรงนี้ คุณอาจจะงง ว่าแบบนี้ เค้ามาทำกันทำใม) แนวคิด หรือแผนตรงนี้ ค่อยว่ากันทีหลังครับ
เอา ตรงที่ บอกว่า Amway ลงทุนสูงก่อน ทั้งค่าบัตร ค่ารถ ค่าสินค้า
ผมฝากให้คุณไปคิด ว่า ถ้าคุณต้องการ passive income เดือนละ 30,000 คุณคิดว่า น่าจะใช้เงิน + เวลา + ความทุ่มเท เท่าไหร่ในการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นธุกิจตัวอื่นๆ เป็นอสังหา เป็นพันธบัตร หุ้น เงินฝาก .... แล้วค่อยมาคุยกันต่อครับ
เพราะอะไร นะหรือครับ ก็เพราะว่ามันเป็นธุรกิจของคุณเอง ยิ่งคุณสำเร็จ upline ก็ยิ่งจะไม่ได้อะไรจากคุณเลย ตอนแรกที่คุณเข้ามา คุณยังไม่เก่ง ยังไม่มีผลงาน ผู้นำ หรือ ที่เค้าเรียกกันว่าแพททินัมในสายงาน จะลงมาช่วนเหลือคุณ ถ้า คุณเป็น 0% เค้าจะได้จากคุณ 21%
ถ้า คุณเป็น 3% เค้าจะได้จากคุณ 18%
ถ้า คุณเป็น 6% เค้าจะได้จากคุณ 15%
ถ้า คุณเป็น 9% เค้าจะได้จากคุณ 12%
ถ้า คุณเป็น 12% เค้าจะได้จากคุณ 9%
ถ้า คุณเป็น 15% เค้าจะได้จากคุณ 6%
ถ้า คุณเป็น 18% เค้าจะได้จากคุณ 3%
ถ้า คุณเป็น 21% เค้าจะไม่ได้อะไรจากคุณเลย ถ้าตัวเค้าไม่มีคุณสมบัติตามที่ Amway กำหนด
คุณเห็นหรือยังครับ ว่ายิ่งคุณเก่ง เค้าก็ยิ่งจะไม่ได้อะไรจากคุณ (ตรงนี้ คุณอาจจะงง ว่าแบบนี้ เค้ามาทำกันทำใม) แนวคิด หรือแผนตรงนี้ ค่อยว่ากันทีหลังครับ
เอา ตรงที่ บอกว่า Amway ลงทุนสูงก่อน ทั้งค่าบัตร ค่ารถ ค่าสินค้า
ผมฝากให้คุณไปคิด ว่า ถ้าคุณต้องการ passive income เดือนละ 30,000 คุณคิดว่า น่าจะใช้เงิน + เวลา + ความทุ่มเท เท่าไหร่ในการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นธุกิจตัวอื่นๆ เป็นอสังหา เป็นพันธบัตร หุ้น เงินฝาก .... แล้วค่อยมาคุยกันต่อครับ
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 47
ขอบคุณมากครับที่ช่วยกรุณามาอธิบายให้
[quote"MMX"]ผมฝากให้คุณไปคิด ว่า ถ้าคุณต้องการ passive income เดือนละ 30,000 คุณคิดว่า น่าจะใช้เงิน + เวลา + ความทุ่มเท เท่าไหร่ในการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นธุกิจตัวอื่นๆ เป็นอสังหา เป็นพันธบัตร หุ้น เงินฝาก .... แล้วค่อยมาคุยกันต่อครับ[/quote]
ได้ Passive เดือนละ 3 หมื่นใช่ไหมครับ
1 ปี 12 *30000 = 360,000
ผมคิดว่าจะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น, พันธบัตร
และอสังหาริมทรัีพย์โดยเฉลี่ย 10 % ต่อปีครับ
ดังนั้นผมจะต้องมีเงินต้นทั้งหมด 3,600,000
ถ้าคิดว่าผมจบปริญญาตรีได้เงินเดือนเริ่มต้น 10,000 บาท
เก็บได้ 50 % ของเงินเดือน ผมจะมีเงินเก็บเดือนละ 5000 บาท
ดังนั้น 1 ปี 12*5000 = 60,000 ครับ
ถ้าผมเอาเงินเก็บไปลงทุนทุกๆปีและได้ผลตอบแทน 10 % ต่อปี
ผมจะต้องใช้เวลาทั้งสิ้น ประมาณ 20 ปี ( ไม่คิดว่าได้เงินเดือนเพิ่มทุกปี
และไม่คิืดว่ามีเงินเก็บก่อนจะเริ่มทำงาน )
ในกรณีที่คิืดว่ามีเงินเดือนเพิ่มและมีเงินเก็บก่อนการทำงาน
ผมคิดว่าตัวเลขน่าจะอยู่ที่ 12-13 ปี โดยประมาณครับ
ในกรณีที่ผมยกตัวอย่างเป็นการลงทุนในตลาดหุ้น
กองทุนพันธบัตร และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ และเป็นการลงทุนระยะยาว
ดังนั้นเวลาที่ใช้ในการวิเคราะห์ + วางแผนการลงทุนจริงๆ
ผมคิดว่าอาทิตย์ละ 2 วัน ( จริงๆเยอะไปด้วยซ้ำครับตอนแรกๆอาจจะใช้ 2 วัน
แต่หลังๆ พอเช็คแต่ข้อมูลก็ใช้แค่ 1 -2 ชม )
1 ปี = 52*2 = 104 วันหรือประมาณ 3 เดือน ครับ
ส่วนเวลาที่ใช้ในการหาความรู้เรื่องการลงทุนผมคิดว่ามันสามารถ
หาความรู้ได้เกือบตลอดเวลา เช่นเดียวกับการลงทุนในรุปแบบอื่ร
ดังนั้นผมไม่ขอเอามาคิดนะครับ
สรุปแล้ว เวลา+ความทุ่มเทที่ใช้จริงๆ ก็ประมาณ 3 เดือนต่อปี
เมื่อนำไปคูณกับจำนวนปีที่ลงทุนคือ 12 ปี ก็จะได้ 12*3 = 36 เดือนหรือ 3 ปี
ถึงจะได้ Passive income เท่ากับ 30,000 หมื่น/เดือน
ถ้าดูตามตัวเลข 3 ปี
ธุรกิจเครือข่ายน่าจะได้เร็วกว่าใช่ไหมครับ ??
แล้วถ้าผมเป็น 3 % จะหมายถึงอะไรอะครับ
:oops:
รบกวนอธิบายเพิ่มเติมให้หน่อยได้ไหมครับ ??
ขอบคุณครับ
[quote"MMX"]ผมฝากให้คุณไปคิด ว่า ถ้าคุณต้องการ passive income เดือนละ 30,000 คุณคิดว่า น่าจะใช้เงิน + เวลา + ความทุ่มเท เท่าไหร่ในการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นธุกิจตัวอื่นๆ เป็นอสังหา เป็นพันธบัตร หุ้น เงินฝาก .... แล้วค่อยมาคุยกันต่อครับ[/quote]
ได้ Passive เดือนละ 3 หมื่นใช่ไหมครับ
1 ปี 12 *30000 = 360,000
ผมคิดว่าจะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น, พันธบัตร
และอสังหาริมทรัีพย์โดยเฉลี่ย 10 % ต่อปีครับ
ดังนั้นผมจะต้องมีเงินต้นทั้งหมด 3,600,000
ถ้าคิดว่าผมจบปริญญาตรีได้เงินเดือนเริ่มต้น 10,000 บาท
เก็บได้ 50 % ของเงินเดือน ผมจะมีเงินเก็บเดือนละ 5000 บาท
ดังนั้น 1 ปี 12*5000 = 60,000 ครับ
ถ้าผมเอาเงินเก็บไปลงทุนทุกๆปีและได้ผลตอบแทน 10 % ต่อปี
ผมจะต้องใช้เวลาทั้งสิ้น ประมาณ 20 ปี ( ไม่คิดว่าได้เงินเดือนเพิ่มทุกปี
และไม่คิืดว่ามีเงินเก็บก่อนจะเริ่มทำงาน )
ในกรณีที่คิืดว่ามีเงินเดือนเพิ่มและมีเงินเก็บก่อนการทำงาน
ผมคิดว่าตัวเลขน่าจะอยู่ที่ 12-13 ปี โดยประมาณครับ
ในกรณีที่ผมยกตัวอย่างเป็นการลงทุนในตลาดหุ้น
กองทุนพันธบัตร และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ และเป็นการลงทุนระยะยาว
ดังนั้นเวลาที่ใช้ในการวิเคราะห์ + วางแผนการลงทุนจริงๆ
ผมคิดว่าอาทิตย์ละ 2 วัน ( จริงๆเยอะไปด้วยซ้ำครับตอนแรกๆอาจจะใช้ 2 วัน
แต่หลังๆ พอเช็คแต่ข้อมูลก็ใช้แค่ 1 -2 ชม )
1 ปี = 52*2 = 104 วันหรือประมาณ 3 เดือน ครับ
ส่วนเวลาที่ใช้ในการหาความรู้เรื่องการลงทุนผมคิดว่ามันสามารถ
หาความรู้ได้เกือบตลอดเวลา เช่นเดียวกับการลงทุนในรุปแบบอื่ร
ดังนั้นผมไม่ขอเอามาคิดนะครับ
สรุปแล้ว เวลา+ความทุ่มเทที่ใช้จริงๆ ก็ประมาณ 3 เดือนต่อปี
เมื่อนำไปคูณกับจำนวนปีที่ลงทุนคือ 12 ปี ก็จะได้ 12*3 = 36 เดือนหรือ 3 ปี
ถึงจะได้ Passive income เท่ากับ 30,000 หมื่น/เดือน
ถ้าดูตามตัวเลข 3 ปี
ธุรกิจเครือข่ายน่าจะได้เร็วกว่าใช่ไหมครับ ??
เป็น % หมายถึงอะไรหรอคับ เช่น ผมเป็น 0% คือผมมียอดขาย = 0 หรอครับเพราะอะไร นะหรือครับ ก็เพราะว่ามันเป็นธุรกิจของคุณเอง ยิ่งคุณสำเร็จ upline ก็ยิ่งจะไม่ได้อะไรจากคุณเลย ตอนแรกที่คุณเข้ามา คุณยังไม่เก่ง ยังไม่มีผลงาน ผู้นำ หรือ ที่เค้าเรียกกันว่าแพททินัมในสายงาน จะลงมาช่วนเหลือคุณ ถ้า คุณเป็น 0% เค้าจะได้จากคุณ 21%
ถ้า คุณเป็น 3% เค้าจะได้จากคุณ 18%
ถ้า คุณเป็น 6% เค้าจะได้จากคุณ 15%
ถ้า คุณเป็น 9% เค้าจะได้จากคุณ 12%
ถ้า คุณเป็น 12% เค้าจะได้จากคุณ 9%
ถ้า คุณเป็น 15% เค้าจะได้จากคุณ 6%
ถ้า คุณเป็น 18% เค้าจะได้จากคุณ 3%
ถ้า คุณเป็น 21% เค้าจะไม่ได้อะไรจากคุณเลย ถ้าตัวเค้าไม่มีคุณสมบัติตามที่ Amway กำหนด
แล้วถ้าผมเป็น 3 % จะหมายถึงอะไรอะครับ
:oops:
รบกวนอธิบายเพิ่มเติมให้หน่อยได้ไหมครับ ??
ขอบคุณครับ
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
-
- Verified User
- โพสต์: 41
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 48
ได้ Passive เดือนละ 3 หมื่นใช่ไหมครับ
1 ปี 12 *30000 = 360,000
ผมคิดว่าจะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น, พันธบัตร
และอสังหาริมทรัีพย์โดยเฉลี่ย 10 % ต่อปีครับ
ดังนั้นผมจะต้องมีเงินต้นทั้งหมด 3,600,000
ผมว่าต้องคิดจากเงินปันผล ไม่ใช่เหรอครับ ไม่ใช่คิดว่าผลตอบแทนที่ทำให้ มูลค่า port เพิ่มขึ้นครับ ผมว่าลงทุนให้หุ้น ในสภาพปก โดยเฉลี่ย เงินปันผลที่ได้ 5% ถ้าเป็นอสังหา 7%
-
- Verified User
- โพสต์: 41
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 49
ผมเอาเลข 12-13 ปี ละกันครับในกรณีที่คิืดว่ามีเงินเดือนเพิ่มและมีเงินเก็บก่อนการทำงาน
ผมคิดว่าตัวเลขน่าจะอยู่ที่ 12-13 ปี โดยประมาณครับ
ส่วน
ผมว่ามันรวมอยู่ใน 12-13 ปี อะครับ เพราะในความเป็นจริง คุณก็ต้องศึกษาไป ลงทุนไป รอเงินที่จะลงก้อนใหม่ไป รอจังหวะไป......สรุปแล้ว เวลา+ความทุ่มเทที่ใช้จริงๆ ก็ประมาณ 3 เดือนต่อปี
เมื่อนำไปคูณกับจำนวนปีที่ลงทุนคือ 12 ปี ก็จะได้ 12*3 = 36 เดือนหรือ 3 ปี
ถึงจะได้ Passive income เท่ากับ 30,000 หมื่น/เดือน
แล้วช่วงจังหวะที่รอ คุณจะทำอะไรเหรอครับ เหมือนกับว่า เครื่องจักร คุณใช้กำลังการผลิตเต็มที่ 16 hr แต่คุณ ใช้กำลังการผลิต จริงๆ แค่ 10hr แล้ว อีก 6hr ล่ะ
-
- Verified User
- โพสต์: 41
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 50
ในหุ้น ใช้เงินต้น 3,600,000 ใช้เวลา 12-13 ปี
แต่ถ้าใน ธุรกิจเครือข่าย ถ้าทำแบบนักลงทุน คุณต้องมี PT 2 สายงาน
วิธีการที่จำให้เกิด PT 2 สายงาน
1. เข้า center เข้างานสัมนา (ตค่าใช้จ่า ค่าบัตร ค่ารถ รวมๆ เดือนละ 2000) ปีละ 24,000 (นี่เป็นค่าใช้จ่ายจริงๆ ที่ผมจ่ายอยู่น่ะ)
2. ค่าสินค้า (ถ้าเราไม่ใช้ เราจะแนะนำคนได้อย่างไร แล้วDL เค้าจะคิดอย่างไร ถ้าแม้แต่เรายังไม่ใช้) ตีซักเดือนละ 3000 ละกัน (กินชุด โปรตืน 2000 และ สิ้นค้าอื่นๆ 1000) ปีหนึ่งก็ 36,000
3 ออกไปชวนคน (ไม่ต้องตามง้อ ชวนคนที่อยากทำเท่านั้น ก็เราจะทำแบบนักลงทุนนี่) ตามปกติ ถ้าทำแบบนี้ได้ ปีที่ 2 จะช่วนได้ 1 คน และปีที่ 4 จะชวนได้ อีก 1 คน จากนั้น ปีที่ 6 คนสองคน ที่ชวนมาก ก็จะเป็น PT
อันนี้ ทำอย่างเรื่อยๆน่ะ ไม่ได้ออกไปขายสินค้าเลยน่ะ
แต่โดยส่วนใหญ่ ถ้าทำจริงจัง 4 ปี เค้าได้กันเป็น แสนแล้วครับ
แต่โดยส่วนตัวผม ทำมา 1 ปีกว่าๆ ตอนนี้ มี DL ตามมาเรีนรู้ 6 สาย ได้ passive income เฉลี่ยเดือนละ 10000 ก็สามารถเอา เงินหมื่นนั้น มาลงทุนต่าบัตร ค่าสินค้า ต่อได้
ปกติ ผมเห็นใน center เยอะแยะ คนที่ทำมา 1 ปี ได้ 30000 -50000 มีถมไป
ถ้าจะว่าไป ลงทุนจริงๆ 60000 ปีแรก และปี่ต่อๆ เอากระแสเงินสดที่ได้มาลงทุนต่อ อย่างเรือยๆ 6 ปี ได้ 2 PT ได้ passive income เดือนละ 30000
ปล. ผมไม่ได้เชียร์ ธุรกิจเครือข่ายนะครับ ในระยะยาว หุ้นยังจะดีกว่า แต่คุณจะต้องเข้าใจ ธรรมชาติของเครื่องมือ ที่จะนำไปสู่ อิสระภาพทางการเงิน 3 อย่างให้ดีก่อน คือ หุ้น อสังหา ธุรกิจ และตัวเร่ง 1 ตัว คือ ภาษี
เดี๋ยวค่อยมาคุยกันต่อครับ
ส่วนที่คุณถามนั้น
แต่ถ้าใน ธุรกิจเครือข่าย ถ้าทำแบบนักลงทุน คุณต้องมี PT 2 สายงาน
วิธีการที่จำให้เกิด PT 2 สายงาน
1. เข้า center เข้างานสัมนา (ตค่าใช้จ่า ค่าบัตร ค่ารถ รวมๆ เดือนละ 2000) ปีละ 24,000 (นี่เป็นค่าใช้จ่ายจริงๆ ที่ผมจ่ายอยู่น่ะ)
2. ค่าสินค้า (ถ้าเราไม่ใช้ เราจะแนะนำคนได้อย่างไร แล้วDL เค้าจะคิดอย่างไร ถ้าแม้แต่เรายังไม่ใช้) ตีซักเดือนละ 3000 ละกัน (กินชุด โปรตืน 2000 และ สิ้นค้าอื่นๆ 1000) ปีหนึ่งก็ 36,000
3 ออกไปชวนคน (ไม่ต้องตามง้อ ชวนคนที่อยากทำเท่านั้น ก็เราจะทำแบบนักลงทุนนี่) ตามปกติ ถ้าทำแบบนี้ได้ ปีที่ 2 จะช่วนได้ 1 คน และปีที่ 4 จะชวนได้ อีก 1 คน จากนั้น ปีที่ 6 คนสองคน ที่ชวนมาก ก็จะเป็น PT
อันนี้ ทำอย่างเรื่อยๆน่ะ ไม่ได้ออกไปขายสินค้าเลยน่ะ
แต่โดยส่วนใหญ่ ถ้าทำจริงจัง 4 ปี เค้าได้กันเป็น แสนแล้วครับ
แต่โดยส่วนตัวผม ทำมา 1 ปีกว่าๆ ตอนนี้ มี DL ตามมาเรีนรู้ 6 สาย ได้ passive income เฉลี่ยเดือนละ 10000 ก็สามารถเอา เงินหมื่นนั้น มาลงทุนต่าบัตร ค่าสินค้า ต่อได้
ปกติ ผมเห็นใน center เยอะแยะ คนที่ทำมา 1 ปี ได้ 30000 -50000 มีถมไป
ถ้าจะว่าไป ลงทุนจริงๆ 60000 ปีแรก และปี่ต่อๆ เอากระแสเงินสดที่ได้มาลงทุนต่อ อย่างเรือยๆ 6 ปี ได้ 2 PT ได้ passive income เดือนละ 30000
ปล. ผมไม่ได้เชียร์ ธุรกิจเครือข่ายนะครับ ในระยะยาว หุ้นยังจะดีกว่า แต่คุณจะต้องเข้าใจ ธรรมชาติของเครื่องมือ ที่จะนำไปสู่ อิสระภาพทางการเงิน 3 อย่างให้ดีก่อน คือ หุ้น อสังหา ธุรกิจ และตัวเร่ง 1 ตัว คือ ภาษี
เดี๋ยวค่อยมาคุยกันต่อครับ
ส่วนที่คุณถามนั้น
เดี๋ยวโอกาสหน้าค่อยตอบครับ มันอยู่ในแผนการตลาดเป็น % หมายถึงอะไรหรอคับ เช่น ผมเป็น 0% คือผมมียอดขาย = 0 หรอครับ
แล้วถ้าผมเป็น 3 % จะหมายถึงอะไรอะครับ
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 51
จริงๆผมก็เห็นด้วยกับตัวเลข 12-13 ปีนะครับMMX เขียน:ผมว่ามันรวมอยู่ใน 12-13 ปี อะครับ เพราะในความเป็นจริง คุณก็ต้องศึกษาไป ลงทุนไป รอเงินที่จะลงก้อนใหม่ไป รอจังหวะไป......
แล้วช่วงจังหวะที่รอ คุณจะทำอะไรเหรอครับ เหมือนกับว่า เครื่องจักร คุณใช้กำลังการผลิตเต็มที่ 16 hr แต่คุณ ใช้กำลังการผลิต จริงๆ แค่ 10hr แล้ว อีก 6hr ล่ะ
เพียงแต่ถ้านับจำนวนชั่วโมงที่ใช้แรงกาย+ความทุ่มเทจริงๆ
(หมายถึงการวิเคราะห์ทางเลือกการลงทุน,ไปทำธุรกรรมที่
ธนาคาร ฯลฯ ) สาเหตุที่ผมไม่นับจำนวนชั่วโมงที่รอ เพราะชั่วโมงที่รอ เราไม่จำเป็นที่จะต้องไปคิดหรือพิจารณาการลงทุน เราสามารถ
นำเอาเวลาตรงส่วนนั้นไปทำกิจกรรมอย่างอื่นได้ ซึ่งต่างจากการทำธุรกิจเอง
ซึ่งแม้ว่าจะไม่ใช่เวลาทำงานแต่ก็อาจจะต้องนั่งวางแผน หรือ พูดคุยกับลูกค้า
อยู่ตลอดเวลา
อย่างไรก็ตามผมแค่ชี้แจงเหตุผลน่ะคับ ผมยังถือว่า 12-13 ปี
เป็นปีที่เราจะใช้ในการพูดคุยกันครับ เพราะผมถือว่าต้องใช้เวลารอด้วย
ในการที่จะได้ Passive Income เดือนละ 30000 บาท
ปล.ด้านล่างจะเป็นส่วนที่ผมขอถามความรู้จากคุณ MMX นะครับ
อาจจะมีบางคำถามที่ดูแล้วเหมือนผมมีอคติต่อธุรกิจเครือข่าย
แต่ผมก็คิดว่าถ้าหากคนที่ไม่ชอบธุรกิจเครือข่าย หรือ มีอคติได้เข้าใจ
ก็คงจะทำให้เขาไม่ต่อต้านหรือเปิดใจมากขึ้น
ผมจึงต้องขอโทษคุณ MMX ไว้ก่อนนะครับ
ผมจำเป็นต้องทำครบทั้ง 3 ข้อเลยใช่ไหมครับธุรกิจเครือข่าย ถ้าทำแบบนักลงทุน คุณต้องมี PT 2 สายงาน
วิธีการที่จำให้เกิด PT 2 สายงาน
ถึงจะได้ PT ( PT หมายถึงอะไรหรอครับ ?? ผมขอเดาว่าเครือข่าย หรือ สายงาน ใช่ไหมครับ)
ถ้าผมซื้อสินค้าอย่างเดียวโดนไม่ได้ชวนใคร จะทำให้ผมมี Passive Income ไหมคับ ??
แล้วถ้ามีจะได้น้อยกว่าราคาสินค้าที่ซื้อไปใช่ไหมคับ ??
ตรงนี้น่าสนใจครับออกไปชวนคน (ไม่ต้องตามง้อ ชวนคนที่อยากทำเท่านั้น ก็เราจะทำแบบนักลงทุนนี่) ตามปกติ ถ้าทำแบบนี้ได้ ปีที่ 2 จะช่วนได้ 1 คน
และปีที่ 4 จะชวนได้ อีก 1 คน จากนั้น ปีที่ 6 คนสองคน
ที่ชวนมาก ก็จะเป็น PT
ถ้าสมมุิติว่าผมชวนมาได้ 2 คน แล้วต่อมามีคนเลิกทำไป 1 คน
แสดงว่ารายได้ของผมจะเหลือแค่ 1 คนใช่ไหมครับ ???
ถ้้าใช่ก็แสดงว่า Passive Income เราก็อาจจะไม่มั่นคงเท่าไหร่นัก
เพราะอาจจะมีคนที่อยากทำแต่พอเข้ามาแล้วไม่ชอบ ก็คงจะต้องเลิกทำไป
และการออกจากธุรกิจนี้ก็คงจะทำได้ยาก เพราะ Upline ของเรา
ก็คงไม่อยากให้เราเลิกเป็นสมาชิกเพราะจะทำให้เขามีรายได้น้อยลง
ดังนั้นคนที่อยากจะเลิกก็อาจจะเกิดความเกรงใจ และทำให้ต้องเป็นสมาชิก
และซื้อสินค้าทั้งๆที่ไม่ได้่อยากทำเช่นนั้นจริงๆ
ผมเข้าใจถูกต้องไหมครับ ???
ผมเห็นด้วยกับการเข้าใจเครื่องมือในการลงทุนทุกประเภทปล. ผมไม่ได้เชียร์ ธุรกิจเครือข่ายนะครับ ในระยะยาว หุ้นยังจะดีกว่า
แต่คุณจะต้องเข้าใจ ธรรมชาติของเครื่องมือ ที่จะนำไปสู่ อิสระภาพทางการเงิน 3 อย่างให้ดีก่อน คือ หุ้น อสังหา ธุรกิจ และตัวเร่ง 1 ตัว คือ ภาษี
แต่สุดท้ายผมเชื่อว่าการทำในสิ่งที่ตนเองถนัดที่สุด และชอบที่สุด
น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการทำทุกอย่่างไปพร้อมๆกัน
เพราะเวลาและความพยายามก็จะถูกหารเฉลี่ยแบ่งกันไป
ทำให้สุดท้ายเราอาจจะดูแลได้ไม่ทั่วถึง หรือ ไม่สามารถทำสิ่งนั้นๆให้ดีที่สุดได้
ถ้าในกรณีนี้(ระยะยาวหุ้นดีกว่า) เพราะสาเหตุใดผมจึงต้องทำธุรกิจเครือข่ายละครับ ???
ในเมื่อผม(ตอนนี้ 19 ปี) คิดจะลงทุนในหุ้นไปตลอดชีวิต
(เพราะความชอบในกระบวนการวิเคราะห์ธุรกิจ)
ดังนั้นระยะเวลาการลงทุนของผมจึงยาวนาน อย่างน้อยๆก็อีก 50 ปี
( 70 ปี อายุขัยของผู้ชายไทยโดยเฉลี่ย )
หรือธุรกิจเครือข่ายให้ผลตอบแทนและผลประโยชน์ในรูปแบบอื่นๆที่การลงทุนในหุ้นไม่มี ???
เช่นเดียวกับที่ คุณ anaconda ได้เคยอธิบายให้ผมฟัง
แต่ถ้าไม่ใช่เช่นนั้นผม็้ต้องขอรบกวนคุณ MMX ช่วยอธิบายให้ฟังด้วยครับ ??
ขอบคุณมากครับ
ี
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
-
- Verified User
- โพสต์: 41
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 52
ผมขออนุญาตตอบข้อนี้ ก่อนนะครับ ส่วนข้ออื่นๆ จะมาตอบทีหลัง พอดีผมต้องรีบไปทำธุระ
ถ้าในกรณีนี้(ระยะยาวหุ้นดีกว่า) เพราะสาเหตุใดผมจึงต้องทำธุรกิจเครือข่ายละครับ ???
ในเมื่อผม(ตอนนี้ 19 ปี) คิดจะลงทุนในหุ้นไปตลอดชีวิต
(เพราะความชอบในกระบวนการวิเคราะห์ธุรกิจ)
ดังนั้นระยะเวลาการลงทุนของผมจึงยาวนาน อย่างน้อยๆก็อีก 50 ปี
( 70 ปี อายุขัยของผู้ชายไทยโดยเฉลี่ย )
ถ้าคุณใช้เวลาลงทุน 50 ปีน่ะหรือครับ คุณจะมี passive income มากกว่าเพชรหรือ มงกุฑูต ซะอีก (เพชร ได้ 4 แสนบาทต่อเดือน มุงกุฎฑูต ได้ 2 ล้านบาทต่อเดือน)
แต่ถ้าคิดใน excel
สมมุติว่า หุ้นปันผล 10% (ในความเป็นจริง มีน้อย)
ให้ port คุณโต ปีล่ะ 15%
ให้คุณลงทุน เดือนล่ะ 5000 ปีล่ะ 5000*12 = 60000 บาท (จริงๆ อนาคตคุณน่าจะมีการเพิ่มทุนมากกว่านี้)
เดินละ 30000 คุณต้องมี port ใหญ่ 3600000
=nper(15%,60000,,-3600000) = 16.47 ปี ครับ
สมมุติว่ามัน เป็น 12 ปีตามที่คุณบอกละกัน ที่คุณต้องรอ passive income เดือนละ 30000 คุณต้องทนขมขื่นน่ะ
เงินเดือน 10,000 ใช้ 5000 ที่เหลือลงทุน ถ้าสังคมมอง จะมองว่าว่าเป็นคนขี้เหนียว สุดๆ
ข่มขื่นกับการ ไม่ได้ตอบแทนให้คนที่คุณรัก เช่น สร้างบ้านให้เค้า พาเค้าไปเที่ยว ถ้าเค้าเป็นไรไปจะเอาเงินที่ไหนรักษา ...
ข่มขื่นกับการ ที่ไม่ได้ซื้อรถ
หรืออาจจะข่มขื่นกับการที่ไม่ม่ผู้หญิงคนไหนมอง
ข่มขื่นกับการมีครอบครัวไม่ได้ (เพราะการแต่งงาน มันต้องมีบ้าน มีรถ มีเงินไปขอ มีลูก)
ข่มขื่นกับการที่คนรอบข้างไม่เข้าใจ
...
คนส่วนใหญ่ ที่เค้าไม่ลงทุน ไม่ทำธุรกิจ ที่เค้ามีสิ่งเหล่านี้ กันเพราะเค้ายอมเป็นหนี้ ครับ
ถ้าคุณ+คนที่คุณรัก รอได้มันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร[quote][/quote]
ถ้าในกรณีนี้(ระยะยาวหุ้นดีกว่า) เพราะสาเหตุใดผมจึงต้องทำธุรกิจเครือข่ายละครับ ???
ในเมื่อผม(ตอนนี้ 19 ปี) คิดจะลงทุนในหุ้นไปตลอดชีวิต
(เพราะความชอบในกระบวนการวิเคราะห์ธุรกิจ)
ดังนั้นระยะเวลาการลงทุนของผมจึงยาวนาน อย่างน้อยๆก็อีก 50 ปี
( 70 ปี อายุขัยของผู้ชายไทยโดยเฉลี่ย )
ถ้าคุณใช้เวลาลงทุน 50 ปีน่ะหรือครับ คุณจะมี passive income มากกว่าเพชรหรือ มงกุฑูต ซะอีก (เพชร ได้ 4 แสนบาทต่อเดือน มุงกุฎฑูต ได้ 2 ล้านบาทต่อเดือน)
แต่ถ้าคิดใน excel
สมมุติว่า หุ้นปันผล 10% (ในความเป็นจริง มีน้อย)
ให้ port คุณโต ปีล่ะ 15%
ให้คุณลงทุน เดือนล่ะ 5000 ปีล่ะ 5000*12 = 60000 บาท (จริงๆ อนาคตคุณน่าจะมีการเพิ่มทุนมากกว่านี้)
เดินละ 30000 คุณต้องมี port ใหญ่ 3600000
=nper(15%,60000,,-3600000) = 16.47 ปี ครับ
สมมุติว่ามัน เป็น 12 ปีตามที่คุณบอกละกัน ที่คุณต้องรอ passive income เดือนละ 30000 คุณต้องทนขมขื่นน่ะ
เงินเดือน 10,000 ใช้ 5000 ที่เหลือลงทุน ถ้าสังคมมอง จะมองว่าว่าเป็นคนขี้เหนียว สุดๆ
ข่มขื่นกับการ ไม่ได้ตอบแทนให้คนที่คุณรัก เช่น สร้างบ้านให้เค้า พาเค้าไปเที่ยว ถ้าเค้าเป็นไรไปจะเอาเงินที่ไหนรักษา ...
ข่มขื่นกับการ ที่ไม่ได้ซื้อรถ
หรืออาจจะข่มขื่นกับการที่ไม่ม่ผู้หญิงคนไหนมอง
ข่มขื่นกับการมีครอบครัวไม่ได้ (เพราะการแต่งงาน มันต้องมีบ้าน มีรถ มีเงินไปขอ มีลูก)
ข่มขื่นกับการที่คนรอบข้างไม่เข้าใจ
...
คนส่วนใหญ่ ที่เค้าไม่ลงทุน ไม่ทำธุรกิจ ที่เค้ามีสิ่งเหล่านี้ กันเพราะเค้ายอมเป็นหนี้ ครับ
ถ้าคุณ+คนที่คุณรัก รอได้มันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร[quote][/quote]
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 53
การทำธุรกิจเครือข่ายสามารถตอบสนองสิ่งเหล่านี้ได้จริงๆหรอครับ ??MMX เขียน:สมมุติว่ามัน เป็น 12 ปีตามที่คุณบอกละกัน
ที่คุณต้องรอ passive income เดือนละ 30000 คุณต้องทนขมขื่นน่ะ
เงินเดือน 10,000 ใช้ 5000 ที่เหลือลงทุน ถ้าสังคมมอง
จะมองว่าว่าเป็นคนขี้เหนียว สุดๆ
ข่มขื่นกับการ ไม่ได้ตอบแทนให้คนที่คุณรัก เช่น สร้างบ้านให้เค้า
พาเค้าไปเที่ยว ถ้าเค้าเป็นไรไปจะเอาเงินที่ไหนรักษา ...
ข่มขื่นกับการ ที่ไม่ได้ซื้อรถ
หรืออาจจะข่มขื่นกับการที่ไม่ม่ผู้หญิงคนไหนมอง
ข่มขื่นกับการมีครอบครัวไม่ได้
(เพราะการแต่งงาน มันต้องมีบ้าน มีรถ มีเงินไปขอ มีลูก)
ข่มขื่นกับการที่คนรอบข้างไม่เข้าใจ
เพราะถ้าธุรกิจเครือข่ายทำได้เช่นนี้จริงๆ ทำไมคนส่วนใหญ่ยังมองในแง่ลบละครับ ( ผมไม่ได้ไม่เชื่อนะครับ เพียงแต่ผมไม่ทราบเหตุผลจริงๆ )
ถ้าธุรกิจเครือข่ายให้สิ่งที่ดีขนาดนี้ ทำไมคนส่วนใหญ่จึงมองว่ามันเป็น
การเอาเปรียบ และ ไม่จริงใจ
... สังคมและเพื่อนๆจะไม่มองว่าการทำธุรกิจเครือข่ายจะเป็นการเอาเปรียบคนอื่น หรือ ใช้ความเกรงใจเป็นหลักในการขายของหรือชวนคนเข้าเครือข่ายอย่างที่คนส่วนใหญ่รู้สึกอยู่หรอครับ
... ถ้าสมมุติว่าผมไปคุยกับใครสักคนที่ผมอาจจะยังไม่รู้จักแล้วบอกว่า
ผมทำธุรกิจเครือข่าย เขาจะคิดในแง่บวกหรือแง่ลบกับผมหรอครับ ??
(ส่วนใหญ่ผมว่าเขาจะมองในแง่ลบ
จากประสบการณ์ที่เคยเจอมานะครับ)
คนรอบข้างเขาจะเข้าใจผมหรอครับ ว่าธุรกิจเครือข่ายที่ผมทำนั้น
เป็นธุรกิจที่ดี สุจริต จริงใจ ไม่เอารัดเอาเปรียบ และช่วยให้ผมและคนอื่นๆ
ได้ประโยชน์
ผมยอมรับในไอเดียของธุรกิจเครือข่ายนะครับ
เพียงแต่ในทางปฎิบัติมันค่อนข้างยากที่จะทำให้ได้ถูกต้อง
และทำให้คนอื่นๆยอมรับจากใจจริง
ผมเห็นด้วยครับว่าการลงทุนในหุ้นต้องใช้เวลาและความอดทน
แต่ผมคิดว่าถึงแม้ผมอาจจะสร้างบ้านหลังโตๆได้ช้า
ไปเที่ยวต่างประเทศได้ไม่บ่อย
แต่ผมมีความสุขกับสิ่งที่ผมทำ
ผมก้เชื่อว่าคนรอบข้างจะพอใจครับ
ผมคิดว่าสาเหตุหนึ่งที่ผมไม่ทำธุรกิจเครือข่าย
เพราะจริงๆแล้วผมพอใจในชีวิตที่เรียบง่าย
ไม่ยุ่งยากซับซ้อน
และคนรอบข้างของผมก็พอใจเหมือนผมเช่นกัน
การลงทุนในหุ้นกับการทำธุรกิจเองนั้นสำหรับผมแตกต่างกันมาก
อย่างที่ผมเคยคุยคุณกับ anaconda การทำธุรกิจเองการทำงานเกี่ยวกับคน
เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งผมคิดว่า " คน " เป็นอะไรที่จัดการได้ยากมากๆ
และทำให้ชีวิตผมคงวุ่นวายแน่นอน ผมลองคิดดูว่าถ้าผมทำธุรกิจส่วนตัว
มีลูกจ้าง 2 คนซึ่งต้องไปติดต่อกับลูกค้าในวันรุ่งขึ้น ถ้าหาก คนหนึ่งโทรมาลาป่วยตอน 4 ทุ่ม(ซึ่งเป็นเวลาที่ผมอยู่กับครอบครัว) ผมจะต้องโทรไปหาอีกคนให้ช่วยทำแทน หรือจะต้องโทรขอเลื่อนนัดกับลูกค้า
ซึ่งผมไม่จำเป็นต้องกลุ้มใจและเจอกับปัญหาเช่นนี้เลยถ้าผมลงทุนในหุ้น
ปล.ผมรอคุณ MMX มาอธิบายต่อนะครับ
สำหรับคำอธิบายทั้งหมดที่ผ่านมา ผมต้องขอบคุณอย่างยิ่งอีกครั้งครับ
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
-
- Verified User
- โพสต์: 41
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 54
คุณเป็น VI ไหม, VI มันดีจริงหรือ มันใช้กับตลาดหุ้นไทยได้จริงเหรอ ทำใมคนส่วนใหญ่ ในตลาดหุ้นไทยจึงนิยมเล่นเก็งกำไรล่ะเพราะถ้าธุรกิจเครือข่ายทำได้เช่นนี้จริงๆ ทำไมคนส่วนใหญ่ยังมองในแง่ลบละครับ ( ผมไม่ได้ไม่เชื่อนะครับ เพียงแต่ผมไม่ทราบเหตุผลจริงๆ )
ถ้าธุรกิจเครือข่ายให้สิ่งที่ดีขนาดนี้ ทำไมคนส่วนใหญ่จึงมองว่ามันเป็น
การเอาเปรียบ และ ไม่จริงใจ
คุณบอกว่าเป็นนักลงทุนไม่ต้องติดต่อกับคน ต้องถามว่าเป้าหมายคุณใหญ่แค่ไหน ถ้าคุณต้องการ ถึงขั้น บัฟเฟต จอชโซรอส หรือ เป็นรายใหญ่ คุณต้องติดต่อกับคน ดูอย่างตอนทักษิณขายหุ้นซิ เค้าติดต่อกับคนไหม
เอาแบบนี้ดีกว่า คุณว่านิติบุคลซื้อหุ้น กับ บุคคลธรรมดาซื้อหุ้น อันไหนมันดีกว่ากัน
ถ้าคุณมีความเชื่อว่า คนรอบข้างเค้าพอใจ เค้าเข้าใจคุณ คุณก็ไม่จำเป็นมารับรู้หรือทำธุรกิจอื่น เพราะหุ้นก็ตอบสนองความต้องการของคุณได้อยู่แล้วผมเห็นด้วยครับว่าการลงทุนในหุ้นต้องใช้เวลาและความอดทน
แต่ผมคิดว่าถึงแม้ผมอาจจะสร้างบ้านหลังโตๆได้ช้า
ไปเที่ยวต่างประเทศได้ไม่บ่อย
แต่ผมมีความสุขกับสิ่งที่ผมทำ
ผมก้เชื่อว่าคนรอบข้างจะพอใจครับ
แต่เราไม่รู้อนาคต ไม่รู้ว่าคนที่เรารัก เค้าคิดอย่างไร ที่เค้าบอกว่าไม่ต้องการๆ เค้าอาจจะไม่ต้องการจริงๆ หรือว่า เค้าบอกว่าไม่ต้องการ เพราะไม่อยากทนเห็นเราลำบาก หรือทุกข์ใจที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการให้ท่านได้
แต่มันก็ดีไม่ใช้เหรอครับ ถ้าเรามีอิสระภาพทางการเงินสามารถประสบความเร็จให้ท่านเห็นได้ เพราะเราไม่รู้ว่าอีก 10 กว่าปีท่านจะมีแรง หรืออยู่รอ ที่จะชื่นชมความสำเร็จ ของเราหรือป่าว
ปล.
คำถามอื่นๆ ผมยังไม่ตอบนะครับ เพราะว่าถ้าคุณพอใจที่จะรู้แค่หุ้น มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ที่คุณจะรู้ว่า มันมีสิ่งอื่นที่ตอบสนองได้จริงเหรอ และสิ่งนั้นมันดีไหมมันเอาเปรียบคนไหม และที่สำคัญต้องง้อคนไหม
แต่ผมขอบอกตรงนี้ เลยนะครับ ว่าผมทำ Amway ถ้าคนนั้น ไม่ถูกชะตากับผม หรือผมไม่อยากยุ่ง ผมก็จะไม่ไปชวน และ ผมจะง้อ เฉพาะคนที่ผมรัก และอยากช่วยเหลือเค้ามากๆ เท่านั้น
ธุรกิจนี้ เราเป็นผู้เลือกครับ เลือกว่าจะช่วยเหลือใคร....
ไม่เหมือน เราไปสมัครงาน เป็นลูกจ้าง เพราะนั่น เราเป็นผู้ถูกเลือก
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 55
ตรงนี้ผมต้ิองขอบอกตามตรงครับว่าMMX เขียน:ปล.คำถามอื่นๆ ผมยังไม่ตอบนะครับ เพราะว่าถ้าคุณพอใจที่จะรู้แค่หุ้น มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ที่คุณจะรู้ว่า มันมีสิ่งอื่นที่ตอบสนองได้จริงเหรอ และสิ่งนั้นมันดีไหมมันเอาเปรียบคนไหม และที่สำคัญต้องง้อคนไหม
ผมพอใจและรักในการลงทุนหุ้นจริงๆครับ
แต่ สิ่งที่ผมต้องการคือการเรียนรู้เกี่ยวกับธุรกิจเครือข่ายครับ
อย่างที่ผมเคยได้โพสต์ไปแล้วว่าคำถามที่ผมถามนั้นจะถามในเชิง
คำถามของคนมีอคติ เพราะผมคิดว่าคำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่คนส่วนใหญ่
ที่ไม่เข้าใจธุรกิจเครือข่ายต้องการทราบ ผมคิดว่าถ้าเขายังไม่เข้าใจในคำถามเหล่านั้น เขาจะเปิดใจยอมรับกับธุรกิจเครือข่ายไำด้ยากมากๆ
สำหรับคำถามของคุณ MMX ว่าเป้าหมายของผมใหญ่แค่ไหน
ผมก็ขอตอบตามตรงเลยครับว่าเป้าหมาของผมในแง่ตัวเงิน
คือการมีพอร์ตระดับ 50 ล้านบาท และใช้ชีวิตเรียบง่าย
กับครอบครัว ชื่นชมกับความงามของธรรมชาติรอบตัว
และใช้ชีวิตอิสระ อ่านหนังสือบ้าง ฟังเพลงบ้าง
ไปวิ่งเล่นในสวนสาธารณะบ้าง ไปเที่ยวทะเลบ้าง
แค่นั้นละครับ
ความร่ำรวยระดับอภิมหาเศรษญฐีนั้นผมเคยคิดไว้
และตั้งเป้าหมายเหมือนกันครับแต่ก็เป็นเวลาหลายปีแล้ว
ตอนนี้ผมไม่เคยคิดถึงเป้าหมายนั้นแล้วครับ เพราะผมรู้ว่าชีวิตของผมต้องการอะไร
ความร่ำรวยสำหรับผมเป็นแค่บันได เพื่อทำให้ชีวิตผมง่ายขึ้นในระดับที่ผมพอใจ
แต่ความสุขทางใจต่างหากที่เป็นผลลัพธ์ซึ่งผมต้องการ
และผมก็คิดว่าผมเจอผลลัพธ์ของผมอยู่ทุกวันอยู่แล้วครับ
สาเหตุที่ผมสนใจศึกษาธุรกิจเครือข่าย เพราะตั้งแต่เกิดจนปัจจุบัน
ผมได้พบเจอแต่ผู้ที่ไม่เห็นด้วย และมีอคติกับธุรกิจแบบนี้
ผมเจอคำถามแบบที่ผมได้ถามคุณ MMX ซ้ำไปซ้ำมา
ได้รับฟังเพื่อนๆที่บ่นให้ฟัง ผมจึงอยากถามคำถามเหล่านี้
เพื่อจะได้เข้าใจอย่างแท้จริงว่าที่แท้แล้วธุรกิจเครือข่ายเป็นเช่นไร
ถ้าคุณ MMX ไม่พอใจในคำถามที่ผมถามหรือเห็นว่า
ผมไม่อยากเข้าใจธุรกิจเครือข่าย สนใจก็แต่เพียงการลงทุนในหุ้น
ผมก้คงต้องบอกว่าไม่ใช่เช่นนั้นจริงๆครับด้วยเหตุผล
อย่างที่ผมได้อธิบายไว้ข้างต้น
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 56
ผมลืมเล่าไปนิดนึงครับว่าผมเคยไปอบรมของ Amway
มาทั้งหมด 2 ครั้ง วันนี้ก็ไปมาครับ เป็นครั้งที่สอง
ผมชอบเนื้อหาการบรรยายมากครับ
ผู้บรรยายเริ่มอธิบายถึงสภาพเศรษฐกิจ
ไล่ตั้งแต่ยุคเศรษฐกิจแต่ละยุค
Asset ของแต่ละยุคคืออะไรจนกระทั่งถึงอยู่ปัจจุบัน
ที่เรียกว่ายุคของ Network และยุคของ Biotechnology
กับ Nano Technology
เขาอธิบายให้เห็นถึงความสำคัญของ Network
ซึ่งผมยอมรับครับว่ามันสำคัญมากๆ ตัวอย่างที่เขายกให้ดู
ก็คงหนีไม่พ้นพวก Modern Trade เช่น 7-11 , Lotus
และเขาก็อธิบายเป็นเชิงกึ่งคำถามว่า
จะดีกว่าไหมถ้า แทนที่โรงงานจะผลิตสินค้าและส่งต่อมาเป็นทอดๆ
จนถึงมือผู้บริโภค เปลี่ยนเป็นผู้บริโภคเป็นเครือข่ายเอง
และรายได้จากการที่เราซื้อสินค้าก็มาแบ่งกันในลักษณะคล้ายสหกรณ์
ผมชอบมากนะครับเพียงแต่ผมติดอยู่นิดเดียวครับ
ผู้บรรยายอธิบายได้ดีทุกอย่างยกเว้นเรื่องเดียว คือ เขาไม่บอกว่า
สิ่งที่เขาพูดถึง คือ Amway แน่นอนครับว่าเขาพูดถึง Alticor ( พูดอ้อมๆ )
ซึ่งถ้าเป็นคนทั่วไปก็คงจะไม่รู้จัก แต่ผมพอทราบมาบ้าง
ก็เลยรู้ว่า Alticor คือบริษัทแม่ของ Amway ซึ่งถือว่าเป็นบริษัทเอกชน
ขนาดใหญ่มากๆติดอันดับในสหรัฐ
นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งซึ่งผมเจอและคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยจริงใจนัก
ลองคิดดูซิครับว่า ถ้าผมไม่รู้มาก่อนว่าเป็น Amway และัผมเข้าไปฟังบรรยาย
( ต้องเสียค่าห้อง จริงๆเรื่องนี้ผมคิดว่ายุติธรรมนะครับเพราะเนื้อหา
การบรรยายให้ความรู้คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายครับ) และสมมุติต่อไปว่าผมรู้สึกชอบมากกับการบรรยาย
( ผมยอมรับจริงๆครับว่าเนื้อหาการบรรยายดีมากๆ คนที่เคยฟังครั้งแรกคงจะต้องทึ่งและอึ้งแน่นอนครับ)
แตถ้า่ตอนสุดท้ายมารู้ว่าที่เขาพูดทั้งหมดเพื่อจะชวนผม
ให้เป็นสมาชิก Amway
ความน่าเชื่อถือ และ ความจริงใจจะไม่ถูกมองในแง่ลบหรอกหรือคับ ??
มาทั้งหมด 2 ครั้ง วันนี้ก็ไปมาครับ เป็นครั้งที่สอง
ผมชอบเนื้อหาการบรรยายมากครับ
ผู้บรรยายเริ่มอธิบายถึงสภาพเศรษฐกิจ
ไล่ตั้งแต่ยุคเศรษฐกิจแต่ละยุค
Asset ของแต่ละยุคคืออะไรจนกระทั่งถึงอยู่ปัจจุบัน
ที่เรียกว่ายุคของ Network และยุคของ Biotechnology
กับ Nano Technology
เขาอธิบายให้เห็นถึงความสำคัญของ Network
ซึ่งผมยอมรับครับว่ามันสำคัญมากๆ ตัวอย่างที่เขายกให้ดู
ก็คงหนีไม่พ้นพวก Modern Trade เช่น 7-11 , Lotus
และเขาก็อธิบายเป็นเชิงกึ่งคำถามว่า
จะดีกว่าไหมถ้า แทนที่โรงงานจะผลิตสินค้าและส่งต่อมาเป็นทอดๆ
จนถึงมือผู้บริโภค เปลี่ยนเป็นผู้บริโภคเป็นเครือข่ายเอง
และรายได้จากการที่เราซื้อสินค้าก็มาแบ่งกันในลักษณะคล้ายสหกรณ์
ผมชอบมากนะครับเพียงแต่ผมติดอยู่นิดเดียวครับ
ผู้บรรยายอธิบายได้ดีทุกอย่างยกเว้นเรื่องเดียว คือ เขาไม่บอกว่า
สิ่งที่เขาพูดถึง คือ Amway แน่นอนครับว่าเขาพูดถึง Alticor ( พูดอ้อมๆ )
ซึ่งถ้าเป็นคนทั่วไปก็คงจะไม่รู้จัก แต่ผมพอทราบมาบ้าง
ก็เลยรู้ว่า Alticor คือบริษัทแม่ของ Amway ซึ่งถือว่าเป็นบริษัทเอกชน
ขนาดใหญ่มากๆติดอันดับในสหรัฐ
นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งซึ่งผมเจอและคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยจริงใจนัก
ลองคิดดูซิครับว่า ถ้าผมไม่รู้มาก่อนว่าเป็น Amway และัผมเข้าไปฟังบรรยาย
( ต้องเสียค่าห้อง จริงๆเรื่องนี้ผมคิดว่ายุติธรรมนะครับเพราะเนื้อหา
การบรรยายให้ความรู้คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายครับ) และสมมุติต่อไปว่าผมรู้สึกชอบมากกับการบรรยาย
( ผมยอมรับจริงๆครับว่าเนื้อหาการบรรยายดีมากๆ คนที่เคยฟังครั้งแรกคงจะต้องทึ่งและอึ้งแน่นอนครับ)
แตถ้า่ตอนสุดท้ายมารู้ว่าที่เขาพูดทั้งหมดเพื่อจะชวนผม
ให้เป็นสมาชิก Amway
ความน่าเชื่อถือ และ ความจริงใจจะไม่ถูกมองในแง่ลบหรอกหรือคับ ??
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
-
- Verified User
- โพสต์: 41
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 58
ผมไม่ได้ไม่พอใจหรือโกรธ อะไรนะครับ ถ้าใช้คำพูดแรงไปก็ต้องขอโทษด้วยครับถ้าคุณ MMX ไม่พอใจในคำถามที่ผมถามหรือเห็นว่า
ผมไม่อยากเข้าใจธุรกิจเครือข่าย สนใจก็แต่เพียงการลงทุนในหุ้น
ผมก้คงต้องบอกว่าไม่ใช่เช่นนั้นจริงๆครับด้วยเหตุผล
อย่างที่ผมได้อธิบายไว้ข้างต้น
ดูเหมือนว่าคุณกำลังต้องการให้มีคนมาชวนว่า "ป่ะ ไปฟัง Amway กัน" แบบนี้ถึงเรียกว่าจริงใจ ใช่ไหมครับนี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งซึ่งผมเจอและคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยจริงใจนัก
ลองคิดดูซิครับว่า ถ้าผมไม่รู้มาก่อนว่าเป็น Amway และัผมเข้าไปฟังบรรยาย
( ต้องเสียค่าห้อง จริงๆเรื่องนี้ผมคิดว่ายุติธรรมนะครับเพราะเนื้อหา
การบรรยายให้ความรู้คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายครับ) และสมมุติต่อไปว่าผมรู้สึกชอบมากกับการบรรยาย
( ผมยอมรับจริงๆครับว่าเนื้อหาการบรรยายดีมากๆ คนที่เคยฟังครั้งแรกคงจะต้องทึ่งและอึ้งแน่นอนครับ)
แตถ้า่ตอนสุดท้ายมารู้ว่าที่เขาพูดทั้งหมดเพื่อจะชวนผม
ให้เป็นสมาชิก Amway
ความน่าเชื่อถือ และ ความจริงใจจะไม่ถูกมองในแง่ลบหรอกหรือคับ ??
ok สมมุติว่าคุณกับคนชวนเป็นคนแปลกหน้ากัน (เพราะตอนแรกคุณบอกว่ามีคนแปลกหน้ามาชวนคุณ)
ลองคิดตามนะครับ เงื่อนไขคือ
1. คุณมีเวลาคุยกับเค้าไม่ถึง นาที (ลองสังเกตดูครับ ว่าคุณคุยกับคนแปลกหน้าที่ป้ายรถเมล์ ส่วนใหญ่ใช้เวลาเท่าไหร่)
2. คุณไม่รู้จัก amway หรืออาจจะรู้ในแบบที่ผิดๆ
นี่เป็นเรื่องจริงนะครับ หลายคนที่บอกว่ารู้แล้ว ก็รู้แบบผิด นี่คือตัวอย่างของคนที่บอกว่ารู้นะครับ
1. Amway ขายของแล้วได้ค่าคอม
2. Amway กินหัวคิว
3. มันไม่ชวนคนก็ขายของ
(หรือแม้แต่ตัวคุณ ผมอ่านกระทู้แรกๆ ก็พอจะรู้ว่าคุณยังไม่เข้าใจแผนดีพอ)
ถ้ามีคนไปบอกว่า ชวนไปฟัง Amway คุณว่าจะมีคนไปไหม (เพราะ เค้ามอง Amway และพิพากษาไปแล้ว ) แล้วเค้าก็ตอบว่า ไม่ แล้วเค้าก็เดินจากไป ...
ส่วนเรื่องชวนแล้วมีคนปฎิเสธ ผมว่ามีทุกวงการครับ ไม่ใช่เพราะมันไม่ดี แต่คนฟังอาจไม่เข้าใจ คิดว่ามันไม่ใช่เค้า
เอางี้ คุณเคยชวนเพื่อน หรือคนรอบข้าง เล่นหุ้น ไหม
ผมว่าก็โดนปฏิเสธ เหมือนกัน พอๆกับ ชวนทำ Amway แหละ
คนทั่วไปก็มองหุ้นเป็นภาพลบเหมือนกัน
เค้ามองว่า
1. หุ้นเป็นการพนัน
2. เล่นหุ้นเสี่ยง มีแต่คนเจ๊ง
3. เล่นหุ้นต้องคนมีเงิน
...
ในการที่จะทำให้คนสนทนากับเรา เราต้องคุยเรื่องที่เค้าสนใจครับ
(ไม่รู้ว่าตอบตรงประด็นหรือป่าวครับ)
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 59
ตอบตรงประเด็นครับMMX เขียน:ในการที่จะทำให้คนสนทนากับเรา เราต้องคุยเรื่องที่เค้าสนใจครับ
(ไม่รู้ว่าตอบตรงประด็นหรือป่าวครับ)
ผมค่อนข้างเคลีย์กับประเด็นนี้แล้วครับ
ต้องขอบคุณ คุณ MMX ที่ช่วยชี้แจงเหตุผลคับ
จะว่าไปก็ใช่นะครับ ผมคิดว่าบางทีการชวนลักษณะนี้ดูเหมือนว่าคุณกำลังต้องการให้มีคนมาชวนว่า "ป่ะ ไปฟัง Amway กัน" แบบนี้ถึงเรียกว่าจริงใจ ใช่ไหมครับ
เป็นการแสดงออกซึ่งความจริงใจครับ เพราะเราได้บอกให้รู้เลยว่า
เรากำลังทำอะไรอยู่ และ คิดว่ามันดีจริงๆสำหรับคนที่เราชวน
เราจึงกล้าชวนเขาแบบเปิดเผยตรงไปตรงมา
แต่ผมก็เข้าใจครับว่าถ้าชวนแบบนี้ "ภาพลบ" ที่เคยมีในอดีต
ก็คงจะทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ไปตามคำชวนอย่างที่คุณ MMX ว่ามา
แต่ประเด็นที่ผมกำลังจะสื่อก็คือ " ทำไมถึงต้องชวนละครับ "
( ผมขอตอบคำถามตัวเองตามความเข้าใจของผมนะครับ
ผิดถูกอย่างไร รบกวนคุณ MMX ช่วยชี้แจงด้วยละกานครับ )
ที่ต้องชวนก็เพราะคนทำธุรกิจเครือข่ายต้องการสร้างเครือข่าย
เพื่อให้ตัวเขาเกิด Passive Income ถูกต้องไหมครับ ( แน่นอนครับ
คนถูกชวนก็จะสามารถสร้าง Passive Income ได้เช่นกัน แต่ในข้อแม้ว่า
ต้องบริโภคสินค้าของ Amway และ ต้องชวนคนอื่นเขามาเป็นเครือข่าย )
ดังนั้นจึงเกิดการชวนคนจำนวนมากรวมทั้งคนแปลกหน้าตามสถานที่
สาธารณะทั่วไป แล้วยิ่งถ้าการชวนไม่ได้บอกว่าชวนไปทำอะไร
ส่วนใหญ่จะบอกแต่ชวนไปทำ Project ซึ่งก็ไม่รู้ว่า Project คือการทำอะไร
มันจะไม่ยิ่งตอกย้ำให้เห็นหรอครับว่าเรามีผลประโยชน์่ร่วมในการชวน
ให้คนคนนั้นเป็นสมาชิกเครือข่ายของเรา และถ้าเป็นเช่นนั้นคนก็จะยิ่งมอง
ในทางลบเข้าไปใหญ่ ว่าที่เราทำนั้นไม่ได้ต้องการช่วยคนอื่น
แต่เป็นการช่วยตัวเอง
ตรงนี้ผมคิดว่าต่างจากการแนะนำให้ลงทุนในหุ้นนะคับ
อย่างน้อยก็สำหรับผม ถ้าผมแนะนำเพื่อนให้ลงทุนในหุ้นก็จะ็แนะนำเฉพาะ
เพื่อนที่สนิทกันมากๆจริง ไม่ได้ไปชวนหรือแนะนำให้คนทั่วไปหรือคนแปลกหน้าที่เจอกัน
โดยบังเอิญให้ลงทุนในหุ้น ( เพราะผมไม่จำเป็นต้องมีเพื่อนลงทุนในหุ้นเยอะ
ถึงจะได้่ผลตอบแทนหรือส่วนแบ่ง )
สาเหตุที่ผมแนะนำเพื่อนให้ลงทุนในหุ้นนั้นเป็นเพราะผมคิดว่าการลงทุนในหุ้น
ระยะยาวเป็นสิ่งที่ให้ผลตอบแทนที่สมเหตุสมผลกับความเสี่ยง โดยที่ผมจะได้ผลประโยชน์ร่วมจากการแนะนำเพื่อนให้ลงทุนในหุ้นน้อยมาก
( อาจจะมีบ้าง เช่น ถ้าเพื่อนลงทุนแล้วร่ำรวย เราก็อาจจะพึ่งพาเขาได้ )
การที่ผมมีผลประโยชน์ร่วมน้อยมากในการแนะนำเพื่อนให้่ลงทุนในหุ้น
ผมเรียกมันว่า " การแนะนำอย่างจริงใจ" ครับ
อย่างไรก็ตามผมพอจะเข้าใจประเด็นครับว่า
เราอยู่ในโลกที่ต่างฝ่ายต่างต้องมีผลประโยชน์ต่อกัน
คนส่วนใหญ่ทำอะไรบางอย่างก็หวังผลตอบแทนด้วยกันทั้งนั้น
( ผมก็ยอมรับว่าหลายครั้งผมเองก็เป็นเช่นนั้น )
จะว่าไปการชวนทำ Amway ก็ดูจะดีกว่าการแนะนำหรือชวนทำ
อะไรอย่างอื่นมากมายเพราะอย่างน้อยมันก็น่าจะ Win-Win ด้วยกันทั้งสองฝ่าย ผมเข้าใจถูกต้องไหมคับ ??
ถ้ามองในมุมกว้างผมก็ต้องยอมรับอย่างปฎิเสธไม่ได้ว่า
มีนักธุรกิจเครือข่ายที่ทำด้วยความจริงใจจริงๆจำนวนหนึ่งเช่นกัน
แต่ผมก็คิดว่านักธุรกิจเครือข่ายที่ทำด้วยความจริงใจเหล่านี้
จะไม่่ชวนบุคคลตามที่สาธารณะโดยระบุเพียงแต่ว่าทำ Project สักอย่างอยูู่่และอยากชวนให้เราไปทำเพราะมันจะทำให้เราได้โอกาส
ที่จะเป็นอิสรภาพทางการเงินและผลประโยชน์อื่นๆอีกมากมาย
ุ้
นักธุรกิจเครือข่ายที่จริงใจคงจะใช้วิธีการอื่น(ซึ่งผมก็ไม่ทราบ)
ที่ดูแล้วมีความจริงใจ เปิดเผย มากกว่าในการทำธุรกิจเครือข่าย
จนประสบความสำเร็จ
ปล.ขอพูดถึงสินค้านิดนึงนะคับ ผมชอบสินค้าหลายตัวของ Amway ครับ
ทั้งในแง่ของคุณภาพและราคาที่คุ้มค่า(ถ้ารู้วิธีใช้สินค้าอย่างถูกต้อง)
จริงๆผมคงอาจจะเป็นผู้บริโภคของ Amway ในอนาคตก็ได้ครับ
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
-
- Verified User
- โพสต์: 41
- ผู้ติดตาม: 0
ว่าด้วยธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย หรือ AMWAY
โพสต์ที่ 60
การชวนเป็นการชวน ให้คนมาร่วมเครื่องข่ายเรา ถูกต้องครับ ตอนแรกผมก็มีความคิดแบบนี้เหมือนกัน เคยถามคำถามนี้กับ upline upline ตอบผมว่าแต่ประเด็นที่ผมกำลังจะสื่อก็คือ " ทำไมถึงต้องชวนละครับ "
( ผมขอตอบคำถามตัวเองตามความเข้าใจของผมนะครับ
ผิดถูกอย่างไร รบกวนคุณ MMX ช่วยชี้แจงด้วยละกานครับ )
ลองดูบ้านเราซิ เดือนๆหนึ่งต้องซื้อของเข้าบ้านเดือนละเท่าไหร่ ทั้งสบู่ ผงซักฟอก ยาสีฟัน ... แสดงว่าบ้านเราคือขุมทรัพย์ ที่ให้คนอื่น (BigC Lotus seven) ไปขุดใช่ไหม มันจะดีกว่ามันถ้าตอนนี้เรา(เจ้าของบ้าน) เป็นคนขุดเอง
แล้วนายก็แบ่งให้เรา(คนชวน)บ้างเล็กน้อยในฐานะเราเป็นคนแนะนำ
แล้วเรื่องชวนใช้สินค้าเนี่ย มันเป็นเรื่องปกติ ไม่เห็นโฆษณาเหรอครับ ทั้งธนาคาร BigC Lotus Seven พวกนี้ล้วนชวนให้ผู้บริโภค เป็นเครือข่ายเค้าทั้งนั้น
แต่อาจเป็นเพราะ สังคมมันยอมรับกันยังไงครับ (มันเห็นจนชิน ว่าโฆษณามีมาตั้งนาน) จริงๆแล้วมันยัดเยียดให้พวกเราดูมากกว่าคนมาชวนเราทำ Amway ซะอีก
หรือแม้แต่ตัวผมเอง ผมยังเคยชวนหรือแนะนำคน ไปใช้บริการ หรือสินค้า กับบริษัทที่ผมถือหุ้น อยู่เลย
ไม่ว่าจะเป็น
SE-ED
SAUCE
TNH
....
เป็นต้น
ถึงไม่ชวนมากเท่า Amway แต่มีโอกาสเป็นชวนอ่ะ บ้างครั้งก็ยังโฆษณาให้เลย มา ซอสภูเขาทองดีกว่าซอสแมคกี้ยังไง
และบางครั้งก็โดนคนปฎิเสธ มาด้วยซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ
แต่ผมมีมีส่วนได้เสียกับมันน้อยไงครับ เพราะผมถือหุ้นรายย่อย แต่ Amway ถ้าเปรียบไปผมก็เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ผมถึงต้องทุ่มเท ชวนมากหน่อย
ปล.
Amway เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคน คนแบบคุณก็มี (ผมก็เป็นคนแบบคุณ) คนที่ไม่ใช่แบบคุณก็มีจะว่าไปก็ใช่นะครับ ผมคิดว่าบางทีการชวนลักษณะนี้
เป็นการแสดงออกซึ่งความจริงใจครับ เพราะเราได้บอกให้รู้เลยว่า
เรากำลังทำอะไรอยู่ และ คิดว่ามันดีจริงๆสำหรับคนที่เราชวน
เราจึงกล้าชวนเขาแบบเปิดเผยตรงไปตรงมา
คำชวนบางคำ ใช้กับคนนี้ได้ ใช้กับอีกคนไม่ได้ แต่คุณต้องเข้าใจนะครับ ว่าคนที่มาชวนคุณ (หรือแม้แต่คนรู้จัก) เค้าไม่รู้จักใจคุณ เค้าถึงต้องเสี่ยงพูดแบบนั้นไป เพราะคำพูดที่เค้าใช้ ส่วนใหญ่มันใช้แล้วได้ผลกัน ได้ผลนี่คือ ทำให้เค้า มาหยุดคุย หรือได้สานสัมพันธ์ กับเราต่อนะครับ