หน้า 2 จากทั้งหมด 2

เหล็กเพิ่ม

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 24, 2009 9:42 am
โดย naijan
ไตรมาส2ราคาเหล็กฟื้น
วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2552

โพสต์ทูเดย์ บิ๊ก จีสตีล ชี้ไตรมาส 2 ธุรกิจเหล็กฟื้น หลังราคาเหล็กผงกหัวไม่เกินไตรมาส 4 ปิดดีลพันธมิตรธุรกิจ

นายสมศักดิ์ ลีสวัสดิ์ตระกูล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จีสตีล (GSTEEL) เปิดเผยว่า ราคาเหล็กรีดร้อนใน ตลาดโลกได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้วและเริ่มดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2 นี้เป็นต้นไป โดยราคาเหล็กได้ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 500 เหรียญสหรัฐ/ตัน คาดเฉลี่ยทั้งปี 550-600 เหรียญสหรัฐ/ตัน
นายสมศักดิ์ คาดว่าความต้องการเหล็กจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากประเทศเวียดนามได้ชะลอการสร้างโรงงานใหม่จากนี้ไปอีก 5 ปี ทำให้ไทยไม่มีคู่แข่งและมีความต้องการเข้ามาสูง นอกจากนี้โครงการขนาดใหญ่ทำให้ความต้องการใช้เหล็กเพิ่มขึ้นเช่นกัน
http://www.posttoday.com/stockmarket.php?id=44002

นายกฯประกาศเลิก พรก.ฉุกเฉิน  
วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2552 08:26

นายกรัฐมนตรี มั่นใจสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ หลังประกาศยกเลิก พรก.ฉุกเฉิน ฝากวิป 3 ฝ่าย ตั้งกก.สอบสลายม็อบ
เมื่อเวลา 01.45 น. ที่ผ่านมา การประชุมรัฐสภา เปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ เรื่องสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง ในวันที่ 2 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ลุกขึ้นกล่าวปิดการประชุมโดยขอบคุณสมาชิกรัฐสภาในการประชุมร่วมรัฐสภา ว่า การอภิปรายได้สะท้อนปัญหา การเมืองในปัจจุบัน พร้อมทั้งย้ำจุดยืนของตนไม่เคยเปลี่ยนแม้จะเป็นผู้นำฝ่ายค้าน หรือ นายกรัฐมนตรี ในเรื่องของการชุมนุมโดยเฉพาะเรื่องกรณีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ที่ต้องว่าไปตามข้อเท็จจริงถูกเป็นถูกผิดเป็นผิด ส่วนการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จะเปิดโอกาสให้เต็มที่ในเบื้องต้น หากไม่ทำผิดกฎหมาย ส่วนกรณีการประกาศพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น ยืนยันตนมีอำนาจ ในการประกาศและชอบด้วยกฎหมาย
http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=44043

ข่าวดีจากต่างแดน

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 24, 2009 9:47 am
โดย naijan
ข่าวดีจากต่างแดน

ราคาบ้านในสหรัฐฯ เงยหัวขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์

ราคาบ้านในสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น 0.7% ในเดือนกุมภาพันธ์ เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม ซึ่งผิดไปจากที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 0.7% และตัวเลขที่ออกมานี้ก็ถือเป็นการเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าเป็นครั้งแรกในรอบสองปี

รมว.คลังฮ่องกงเชื่อเศรษฐกิจฮ่องกงฟื้นเร็วเพราะได้แรงหนุนจากจีน
นายจอห์น ซัง รมว.คลังฮ่องกงคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจฮ่องกงที่กำลังชะลอตัวอยู่ในขณะนี้มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นเร็วกว่าที่ประเมินไว้ในเบื้องต้น เพราะได้รับแรงหนุนจากการรีบาวด์ของเศรษฐกิจจีน นายซังยังกล่าวด้วยว่า การทรุดตัวลงของยอดส่งออกและราคาอสังหาริมทรัพย์ทำให้เศรษฐกิจฮ่องกงมีแนวโน้มหดตัวราว 2-3% ในปีนี้

ผลสำรวจ API ชี้ราคาบ้านในซิดนีย์มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น 3 เท่าในต้นปีหน้า
ผลสำรวจจากสถาบันอสังหาริมทรัพย์ของออสเตรเลีย (API) ระบุว่า ราคาบ้านในกรุงซิดนีย์ปรับตัวสูงขึ้น 3 เท่าในช่วงต้นปีหน้า สำนักข่าวซินหัวรายงานอ้างผลสำรวจ API ว่า ตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงซิดนีย์จะสามารถฟื้นตัวขึ้นจากภาวะขาลงได้เป็นแห่งแรก แต่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเมลเบิร์นและบริสเบนจะต้องอาศัยเวลาในการฟื้นตัวไปอีกอย่างน้อยจนถึงช่วงครึ่งหลังของปี 2553
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

อิเลคทรอนิกส์

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 24, 2009 9:53 am
โดย naijan
'HTECH-HANA' ชี้ช่อง ชิ้นส่วนอิเล็กเริ่มผงกหัว
   บิ๊ก HTECH และ HANA มองทิศทางธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เริ่มฟื้นตัว หลังเห็นสัญญาณคำสั่งซื้อไหลเข้าอื้อ ด้านเซียนหุ้นมองไตรมาส 1/2552 ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เดี้ยงหลังคำสั่งซื้อหด-เศรษฐกิจโลก
พ่นพิษ
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 87190.html

news

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ เม.ย. 26, 2009 7:03 am
โดย naijan
ลุ้น!ศก.ไทยโงหัวไตรมาส3-4 เอกชนรอความหวังออร์เดอร์สั่งซื้อสินค้าล่วงหน้ารับไฮซีซัน  
ภาคเอกชนลุ้นการเมืองนิ่ง หวังไตรมาส3-4เศรษฐกิจรวมโงหัวได้ จับตา 2-3 เดือน ข้างหน้านี้ เป็นช่วงสำคัญเพราะจะมีการสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้าเพื่อขายในช่วงไฮซีซัน วอนยุติความขัดแย้งทางการเมือง ชี้แหล่งเงินกู้ต่างประเทศจับตาประเทศไทยอยู่

จากวิกฤติเศรษฐกิจโลกผนวกกับความปั่นป่วนทางการเมืองที่ยังร้อนแรง ส่งผลให้บริษัท ฟิทช์ เรตติ้งส์ฯ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินได้ลดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินของประเทศไทยถึง 2 ครั้งในระยะเวลาเพียงสัปดาห์เดียว ซึ่งล่าสุดได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือการชำระหนี้ระยะยาวของไทย จากระดับ BBB+ หรือทริปเปิลบีบวกลงมาเหลือ BBB หรือทริปเปิลบี และปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือการชำระหนี้ในประเทศจากระดับ A ลงมาเหลือ A-

โดยระบุว่า ความปั่นป่วนรุนแรงทางการเมืองได้บั่นทอนทำลายอำนาจรัฐและความน่าเชื่อถือในตัวผู้นำ โดยก่อนหน้านี้ บริษัทสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์สฯ (S&P) ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือการชำระหนี้ในประเทศของไทยจากระดับ A ลงมาเหลือ A- และมองอนาคตเป็นด้านลบ ซึ่งสามารถถูกปรับลดอันดับลงมาได้อีก

ต่อเรื่องนี้นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)เปิดเผยว่า เวลานี้ประเทศเพื่อนบ้านของไทย ชิงความได้เปรียบไปแล้ว ขณะที่คนไทยแตกแยก ไม่สามัคคีกัน ยกตัวอย่างประเทศเวียดนามที่จีดีพีเพิ่มขึ้นบวก 5% ขณะที่จีดีพีในประเทศไทยหลายสำนักคาดการณ์ว่าติดลบแล้ว 4.9% และเมื่อบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินได้ลดอันดับความน่าเชื่อถือลง ยิ่งตอกย้ำให้เศรษฐกิจไทยถดถอยลง เพียงแต่ประเทศไทยยังโชคดีที่มีอู่ข้าวอู่น้ำ มีพืชเกษตร ไม่มีสตางค์ก็ยังมีกิน
http://www.thannews.th.com/detialNews.p ... issue=2420

ขาขึ้นแล้วใช่ไหม

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ เม.ย. 26, 2009 9:09 am
โดย tum_H
ระวัง..SET พักฐานระยะสั้นๆโดย : AYS TALK



แม้ SET จะดูแข็งแกร่งกว่าที่คาดไว้ แต่ยังจำเป็นต้องระวังการพักฐานระยะสั้นๆ อยู่ดี

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา SET ปรับสูงขึ้น 3.8% ปิดตลาดที่ 474.07 จุด ผิดกับที่เราคาดไว้ในสัปดาห์ก่อนว่ามีความเสี่ยงจะเริ่มเห็นการพักฐานระยะสั้นๆ

โดยแรงซื้อมีกลับเข้ามามากในช่วงปลายสัปดาห์ หลังจากรัฐบาลประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในเขตกรุงเทพฯ ซึ่งทำให้นักลงทุนกลับเข้าซื้อกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่เกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน ธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ และขนส่ง และส่งผลให้ SET ปิดตลาดที่สูงสุดของสัปดาห์ที่ 474.07 จุด เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ แม้ว่า SET จะแข็งแกร่งกว่าที่เราคาดไว้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่เรายังมีความกังวลต่อแนวโน้มการพักฐานระยะสั้นๆ ของตลาดหุ้นโลกเหมือนกับที่เราเคยวิเคราะห์ในสัปดาห์ก่อน เนื่องจาก 1.ตลาดหุ้นโลกหลักๆ หลายตลาด กำลังทดสอบแนวต้านสำคัญซึ่งอาจทำให้มีแรงขายออกมาในช่วงนี้

ประกอบกับความกังวลต่อผลการทำ STRESS TEST สถาบันการเงินสหรัฐฯ ในวันที่ 4 พ.ค.ที่จะถึงนี้ อาจทำให้เห็นแรงขายลดความเสี่ยงออกมาในช่วงสัปดาห์นี้ - สัปดาห์หน้า และ 2.SET ปรับสูงขึ้นมาแล้ว กว่า 15% ในช่วง 8 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้นักลงทุนบางส่วนเริ่มพิจารณาขายทำกำไรออกมาบ้าง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงาน ที่ปรับสูงขึ้นแรงก่อนหน้า

อย่างไรก็ตาม เรามองว่า การพักฐานของ SET จะไม่แรง โดยมองเป้าหมายการเข้าซื้ออีกครั้งที่บริเวณ 440 จุด หรือต่ำกว่า และคาดว่า SET จะค่อยๆ ปรับสูงขึ้นในระยะ 3 - 6 เดือนข้างหน้า เนื่องจาก

1. GDP จะหดตัวมากที่สุดใน 1Q09 และจะค่อยๆ ฟื้นตัว - แม้สถาบันวิจัยเศรษฐกิจหลายๆ แห่งจะมีการปรับลดประมาณการ GDP ปี 09 ลงจากประมาณการเดิม ไม่ว่าจะเป็น ธปท.ที่ปรับลดคาดการณ์ GDP ลงจากประมาณการเดิมเป็นหดตัว -1.5% - -3.5% และ ม.หอการค้า ปรับลดประมาณการ GDP ลงเป็น หดตัว -4.3% แต่เนื่องจากเราคาดว่า GDP จะหดตัวมากที่สุดใน 1Q09 และจะค่อยๆ ฟื้นตัวตั้งแต่ 2Q09 โดย GDP จะกลับมาขยายตัวอีกครั้งในช่วง 4Q09 ซึ่งทำให้เราคาดว่า SET ได้ทำจุดต่ำสุดไปในแล้ว 1Q09 และจะค่อยๆ ปรับสูงขึ้น ในช่วงที่เหลือของปี โดยการปรับสูงขึ้นจะเป็นไปในรูปแบบ SIDEWAYS UP โดยมีเป้าหมายปลายปี 2552 ที่ 520 จุด อิงจากวิธี BOTTOM UP APPROACH

2. นักวิเคราะห์เริ่มมีมุมมองที่ดีขึ้นต่อ แนวโน้มผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียน - แม้ว่าจะมีการปรับลดประมาณการ GDP ลงอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา แต่ถ้าพิจารณาจากมุมมองของนักวิเคราะห์ต่อแนวโน้มผลการดำเนินงานของหุ้นหลายๆ ตัว โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่อย่างกลุ่มพลังงาน จะเห็นว่านักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มีมุมมองดีขึ้นต่อแนวโน้มผลการดำเนินงาน และถ้าพิจารณาจาก REVISION RATIO จะเห็นว่านักวิเคราะห์เริ่มมีการปรับประมาณการมูลค่าพื้นฐานหุ้นหลายๆ ตัวเพิ่มขึ้นบ้างแล้วในช่วง 3 - 4 เดือนที่ผ่านมา ผิดจากช่วงปลายปี 2008 ที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ปรับลดมูลค่าพื้นฐานหุ้นเกือบทุกตัวในตลาด

วิเคราะห์ทางเทคนิค
แนวโน้มระยะกลางและแนวโน้มระยะสั้นของตลาดอยู่ในทิศทางขึ้นสอดคล้องกัน โดยดัชนี SET มีเป้าหมายทดสอบจุดสูงสุดเดิมเป็นแนวต้านที่บริเวณ 488 จุด ดังนั้นจากราคาปิดของ SET ที่ 474.07 จุด จึงมีช่องว่างขึ้นได้ต่อในสัปดาห์นี้อีกประมาณ 14 จุด และคาดว่าจะเกิดแรงขายทำกำไรระยะสั้น แต่ถ้า SET ทะลุ 488 จุด จะเกิดการยืนยันสัญญาณซื้อ มีเป้าหมายสำคัญถัดไปอยู่ที่กรอบเส้นขนานระยะกลางบริเวณ 520 จุด

พิจารณาจากกราฟรายสัปดาห์ พบสัญญาณการฟื้นตัวของเครื่องมือทางเทคนิค RSI ซึ่งหลังจากเกิดลักษณะ BULLISH DIVERGENCE ขึ้นมาจากจุดต่ำสุดเดือนต.ค. 2551 และมีการยกจุดต่ำสุดสูงขึ้น พร้อมกับทะลุแนวต้านได้เมื่อเดือนมี.ค. 2552 ยืนยันสัญญาณซื้อ และในสัปดาห์ที่แล้วขึ้นมาปิดที่ระดับ 50.20 จุด ทะลุระดับแนวสมดุลที่ระดับ 50 จุด

เช่นเดียวกับเครื่องมือ MACD รายสัปดาห์ กำลังฟื้นตัวขึ้นทดสอบแนวสมดุลที่ระดับศูนย์ และถ้ามีค่าเป็นบวกจะทำให้ SET มีโอกาสเปลี่ยนกลับมาเป็นแนวโน้มขึ้นระยะยาวด้วยการขึ้นทะลุ 488 จุด โดยมีเป้าหมายสำคัญด้วยการขึ้นไปที่ระดับ 580 จุด

news

โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 27, 2009 12:20 pm
โดย naijan
GDP สหรัฐไตรมาสแรกมีแนวโน้มหดตัวต่อ แต่เริ่มส่งสัญญาณเชิงบวก

เศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาสแรกไม่สดใสอีกครั้ง จากตัวเลขสต็อกสินค้าคงคลังของบริษัทต่าง ๆ ที่ลดต่ำลงมาก แต่ขณะเดียวกัน ก็ทำให้เชื่อได้ว่าทิศทางเศรษฐกิจจะกลับฟื้นตัวได้ เมื่อสินค้าคงคลังหมดไป และต้องกลับมาเริ่มผลิตอีกครั้ง

นักเศรษฐศาสตร์ที่สำรวจโดยบลูมเบิร์ก พบว่า ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าไตรมาสแรกของปี 2552 นี้ GDP สหรัฐ ร่วงลงไป 4.7 % หลังจากที่หดตัวลงไปถึง 6.3 % ในไตรมาส 4/51 โดยปัจจัยหลักที่นักเศรษฐศาสตร์กำลังจับตามองก็คือตัวเลขภาคการค้าและภาคการผลิต โดยในภาคการค้าเชื่อว่าจะมีสัญญาณของการจับจ่ายใช้สอยที่เพิ่มมากขึ้น และหยุดการร่วงลงของอุปสงค์ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 2 ทศวรรษได้จากมาตรการอัดฉีดเงินของธนาคารกลาง ขณะที่ภาคการผลิต ก็จะลดลงในอัตราที่ชะลอตัวลงไปเช่นกัน

อีธาน แฮร์ริส ผู้ช่วยหัวหน้าฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจของบาร์เคลย์ แคปปิตอลในนิวยอร์ค กล่าวว่า แม้การร่วงลงส่วนใหญ่ของ GDP ในไตรมาสนี้ จะมาจากสต็อกสินค้าคงคลังที่ลดลงไปอย่างมาก แต่ตัวเลขดังกล่าวก็สร้างความหวังว่าในอนาคต การผลิตจะกลับคืนมาอีกครั้งเมื่อสต็อกสินค้าหมดไปและกำลังซื้อกลับคืนมา

ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มีตัวเลขทางเศรษฐกิจหลายตัวที่ส่งสัญญาณในทางที่ดี ได้แก่ ตัวเลขยอดขายบ้าน การสร้างบ้าน และกำลังซื้อในเครื่องใช้สำนักงานทำให้เชื่อว่าเศรษฐกิจจะหดตัวในอัตราที่ชะลอลงในไตรมาสนี้

ทางด้าน Alan Mulally ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของฟอร์ด ก็ออกมาสนับสนุน โดยเชื่อว่าเสถียรภาพที่เพิ่มขึ้นในภาคธนาคาร การปล่อยกู้ที่เพิ่มขึ้น และแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งนโยบายการเงินและการคลัง จะช่วยให้เศรษฐกิจเป็นบวกได้ในไตรมาส 3 และ 4 ของปี
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 28, 2009 2:27 pm
โดย naijan
ICBC เผยกำไรไตรมาสแรกขยายตัว 6.2%
ธนาคารอินดัสเทรียล แอนด์ คอมเมอร์เชียล แบงค์ ออฟ ไชน่า (ICBC) ธนาคารรายใหญ่ที่สุดในโลกในแง่มูลค่าการตลาดเปิดเผยผลกำไรไตรมาสแรกที่เพิ่มขึ้น 6.2% จากอานิสงส์ของการปล่อยกู้ที่ขยายตัวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่อัตราหนี้เสียมีจำนวนลดลง รายได้สุทธิไต่ระดับขึ้นแตะที่ 3.515 หมื่นล้านหยวน (5.15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) หรือ 0.11 หยวน/หุ้น
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news

โพสต์แล้ว: พุธ เม.ย. 29, 2009 11:02 am
โดย naijan
ความเชื่อมั่นสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 4 ปี

สำนักงาน Conference Board ได้เปิดเผยตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นประจำเดือน เม.ย. ที่ออกมาสูงกว่าประมาณการของตลาด เนื่องจาก ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มปรับตัวดีขึ้น อัตราดอกเบี้ยอสังหาฯ ลดลง ชาวอเมริกันที่ว่างงานมีแนวโน้มที่จะได้งานเพิ่มขึ้น

ดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 26 จุดในเดือน มี.ค. มาอยู่ที่ 39.2 จุดในเดือน เม.ย. มาแตะระดับสูงที่สุดในรอบ 5 เดือน โดยการเปลี่ยนแปลงของตัวเลขจากมี.ค. มา เม.ย. นั้นเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2005 ขณะที่ดัชนีราคาบ้าน S&P / Case Shiller ของเดือน ก.พ. ที่ประกาศออกมานั้น แสดงให้ถึง อัตราราคาบ้านที่ลดลงนั้นมีการชะลอตัว เป็นครั้งแรกนับตั้งปี 2007

ดัชนีดังกล่าวลดลง 18.6 % จากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว โดยนักวิเคราะห์คาดว่าดัชนี S&P/Case-Shiller Index เดือนเม.ย.จะลดลง 18.7% นักวิเคราะห์ให้เหตุผลว่า ที่ผ่านมาธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) พยายามทำให้อัตราดอกเบี้ยกู้จำนองปรับตัวลดลงเพื่อกระตุ้นแรงซื้อของประชาชน นอกจากนี้ รัฐบาลยังพยายามใช้มาตรการเพิ่มยอดขายในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งทำให้ราคาบ้านปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ดัชนีดังกล่าวปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม อัตราว่างงานที่พุ่งสูงขึ้นอาจทำให้กำลังซื้อบ้านในสหรัฐยังไม่เพิ่มขึ้นมากนักในขณะนี้ นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า ตัวเลขที่ออกมาแย่น้อยลงหรือส่งสัญญานให้เห็นถึงทางที่ดีขึ้น อย่างไรก็ดีจุดต่ำสุดของวิกฤติน่าจะอยู่ในเดือน มิ.ย. ต.ค. แล้วถึงจะได้เห็นการฟื้นตัวหลังจากนั้น
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

ขาขึ้นแล้วใช่ไหม

โพสต์แล้ว: พุธ เม.ย. 29, 2009 1:21 pm
โดย นักธรรมตรี เด็กดีติดวัด
ศก.Q1/52ดีขึ้นจากมาตรการรัฐ

วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2552 11:47

สศค.เผย เศรษฐกิจไทย Q1/52 ได้อานิสงส์มาตรการรัฐช่วยลดผลกระทบลงทุน-บริโภคหด

สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ระบุว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐได้มีบทบาทสำคัญในการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1/52 ซึ่งเป็นช่วงที่การใช้จ่ายเอกชน ทั้งการบริโภคและการลงทุนหดตัวลงอย่างมาก
         

ขณะที่ภาคการส่งออกที่หดตัวมาตลาดทั้งไตรมาส แต่ในเดือนมี.ค.เริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้นในบางกลุ่มสินค้า โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเกษตร เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็คทรอนิคส์ ที่ส่งออกไปยัง จีน แอฟริกา ตะวันออกกลาง ด้านการนำเข้าที่ลดลงมากจากอุปสงค์ในประเทศที่หดตัวรุนแรงกว่า          
         

แต่อย่างไรก็ตาม ไทยยังมีความเสี่ยงจากอัตราการว่างงานที่สูงขึ้น ซึ่งไตรมาส 1/52 อยู่ที่ 2.1% เมื่อเทียบกำลังแรงงาน จากไตรมาส 4/51 อัตราการว่างงานอยู่ที่ 1.3%

http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=44834

news

โพสต์แล้ว: พุธ เม.ย. 29, 2009 6:40 pm
โดย naijan
ธอส. Q1/52 กำไรพุ่งกว่าพันล้านบาท ข่าว 17.00 น.

Posted on Wednesday, April 29, 2009
นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) บอกว่า ไตรมาสแรก ของปีนี้ ธอส. มีผลกำไรสุทธิ 1,095 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนที่ธนาคารมีผลประกอบการขาดทุน 607 ล้านบาท เนื่องจากในปีนี้ธนาคารมีการตั้งสำรองหนี้สูญลดลงมาอยู่ที่ 1,243 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อนที่ 2,640 ล้านบาท ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในไตรมาสแรกก็อยู่ในระดับที่ไม่สูงมาก โดยอยู่ที่ 10.51% หรือคิดเป็นมูลค่า 63,321 ล้านบาท

สำหรับการปล่อยสินเชื่อใหม่ของธนาคารในไตรมาสแรกอยู่ที่ 22,507 ล้านบาท โดยเฉพาะในเดือนมีนาคม ปล่อยสินเชื่อได้ถึง 10,491 ล้านบาท เนื่องจากเป็นเดือนที่จะครบกำหนดการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอน ทำให้มีการโอนบ้านเป็นจำนวนมาก จากปกติปล่อยสินเชื่อได้ 6,000 - 7,000 ล้านบาท

ส่วนการปล่อยสินเชื่อในไตรมาส 2/52 นายขรรค์ บอกว่า ในเดือนเมษายน มีวันหยุดยาวหลายวัน คาดว่าจะปล่อยสินเชื่อได้เพียง 5,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ ธอส. ได้ขยายช่องทางการชำระเงินให้กับลูกค้า โดยร่วมกับ ทรู มันนี่เอ็กซเพรส เพื่อใช้เป็นจุดบริการรับชำระค่างวดสินเชื่อบ้านของ ธอส. และเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้า โดยธนาคารมีเป้าหมายเพิ่มจุดบริการรับชำระค่าสาธารณูปโภคไปยังทั่วประเทศให้ได้ 20,000 จุด จากปัจจุบันที่มี 3,000 จุด
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx

news

โพสต์แล้ว: พุธ เม.ย. 29, 2009 8:35 pm
โดย naijan
คลังเผยว่างงานมี.ค.ลด-เชื่อไตรมาสแรกจุดต่ำสุดศก.ไทย
วันที่ 29 เมษายน 2552 - เวลา 17:03:03 น.  

นายเอกนิติ  นิติทัณฑ์ประภาศ  ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเศรษฐกิจมหภาค ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)เปิดเผยวันที่ 29 เมษายนถึงภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำไตรมาส 1 ว่า เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจบางตัวบ่งชี้ว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเริ่มมีบทบาทในการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ  โดยเฉพาะการเบิกจ่ายเงินงบประมาณและงบกลางปีที่มีการเบิกจ่ายไปแล้วกว่า 4.5 หมื่นล้านบาท หรือ 40% ส่งผลให้การว่างงานมีการชะลอตัวลง โดยเดือนกุมภาพันธ์มีอัตราว่างงานเพียง 1.9%หรือ 7.1 แสนคน จากมกราคมอยู่ในระดับ 2.1%หรือ 8.7 แสนคน    

นายเอกนิติกล่าวต่อว่า การส่งออกที่ชะลอตัวลงกว่า 20.6% นั้น หากพิจารณาในรายละเอียดพบว่า การส่งออกสินค้าบางตัวมีการยายตัวเป็นบวก  เช่น สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร และเครื่องไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ ในตลาดจีน ตะวันออกกลางและแอฟริกา ส่วนตลาดหลักทั้งสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น ยอมรับว่ายังหดตัวต่อเนื่อง  ขณะที่เครื่องบ่งชี้ทางด้านการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนยังหดตัวต่อเนื่อง จากการชะลอใช้จ่ายและไม่กล้าลงทุนทำให้ยอดนำเข้าสินค้าทุนติดลบอย่างหนัก รวมทั้งยอดขายรถจักรยานยนต์ รถยนต์และการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มล้วนติดลบทั้งสิ้น

การส่งออกที่หดตัวยังได้สินค้ากลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรเป็นพระเอกช่วยพยุงไม่ให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงมากนัก โดยเฉพาะ 3 ตลาดหลักดังกล่าวที่เปรียบเสมือนขอนไม้ให้เราได้เกาะในช่วงนี้ และถือเป็นสัญญาณที่ดีเพราะเริ่มมีการจ้างงานกลับเข้ามามากขึ้น รวมทั้งการว่างงานที่ลดลงน้อยกว่าที่คาดส่าวนหนึ่งเกิดจากการย้ายเข้าไปสู่ภาคการผลิตที่ยังไปได้ดีนายเอกนิติกล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้สถานการณ์ที่ดีขึ้น แต่ยังไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ต้องติดตามตัวเลขในช่วง 2-3 เดือนนี้อย่างใกล้ชิด โดยรัฐบาลยังต้องเร่งสร้างความเข้มแข็งในประเทศ รวมทั้งเร่งใช้จ่ายเงินงบประมาณ โดยเฉพาะงบลงทุนให้เร็วขึ้น เชื่อว่าไตรมาสแรกน่า จะเป็นจุดต่ำสุดของเศรษฐกิจไทยแล้ว และน่าจะเห็นสัญญาณดีขึ้นในไตรมาส 2
http://www.matichon.co.th/prachachat/ne ... p?id=10146

news

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. เม.ย. 30, 2009 11:25 am
โดย naijan
คาดสถาบันการเงินอย่างน้อย 6 ใน 19 แห่ง ไม่ผ่าน Stress Test และอาจต้องเพิ่มทุน

Posted on Thursday, April 30, 2009
- เฟดคงดอกเบี้ยไว้ที่ 0-0.25% ส่งสัญญานจุดต่ำสุดของการถดถอยได้ผ่านพ้นไปแล้ว โดยการประชุมคณะกรรมการ FOMC ได้กล่าวในแถลงการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะยังคงถดถอยต่อไป แต่อัตราการถดถอยจะช้าลง ส่วนการใช้จ่ายครัวเรือนเริ่มที่จะดีขึ้นบางภาพแต่ถูกจำกัดด้วยเรื่องการว่างงาน ราคาบ้านที่ลดลงและสินเชื่อที่ตึงตัว

- ผู้ถือหุ้นโหวต ปลด เคนเน็ธ เลวิส หลังมีเสียงวิจารณ์เรื่องการควบรวมระหว่างแบงก์ออฟอเมริกาและเมอร์ริล ลินซ์ นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลว่า เลวิสจะสามารถนำพา แบงก์ออฟอเมริกาไปได้อีกไกลแค่ไหนโดย นายวอลเตอร์ อี เมสซี่ จะก้าวขึ้นมาเป็นประธานเจ้าหน้าบริหารเป็นคนต่อจากนายลูวิส

- ยอดค้าปลีกยุโรปปรับตัวดีขึ้นในเดือนเม.ย.จากอานิสงส์แผนกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยทำสถิติลงลงน้อยที่สุดในรอบ 11 เดือน ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของบลูมเบิร์กที่จัดทำโดยมาร์กิท อีโคโนมิกส์ผ่านการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารกว่า 1,000 คนปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 48.4 จุด จาก 44.1 จุดในเดือนมี.ค.

เฟดเผยอาจจะมีอย่างน้อย 6 แบงก์ที่ต้องการเพิ่มทุน

แหล่งข่าวกล่าวว่า อาจจะมีอย่างน้อย 6 ธนาคาร จาก 19 ธนาคารที่เข้ารับการตรวจสอบสถานะทางการเงิน (Stress Test) อาจจะต้องการเพิ่มทุน หลังจากการเปิดเผยผลการตรวจสอบสถานะในวันที่ 4 พ.ค.

แหล่งข่าวยังได้ให้รายละเอียดอีกว่า ธนาคารที่จะต้องขอเงินทุนเพิ่มเติมจากรัฐบาลนั้นจะต้องมีการแลกเปลี่ยนโดยการแลกหุ้น จากหุ้นบุริมสิทธิ์ เป็นหุ้นสามัญ นอกจากนี้ เฟด ยังได้รับขอเรียกร้องเรื่องเงินทุนจาก ซิตี้ กรุ๊ป และ แบงก์ออฟอเมริกา หลังจากผู้ควบคุมกล่าวว่าทั้งสองบริษัทมีความจำเป็นต้องได้เงินทุนเพิ่มและเพื่อเป็นการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่มากการว่าการช่วยเหลือจากเฟด รัฐบาลอาจต้องอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ช่วยเหลือตัวเอง โดยปราศจากการแทรกแซงทางการเมือง ซึ่งส่งผลเสียทั้งในวอลสตรีทและคองเกรส ทั้งนี้ การที่ถ้ารัฐบาลจะเข้าไปถือหุ้นในธนาคารพาณิชย์ เพื่อแลกกับเงินช่วยเหลือ ก็จะมีความเสี่ยงที่น่าสนใจก็คือ การดำเนินการชองรัฐฯ จะไม่เข้มแข็งเพียงพอ

เดวิด กรีนลอว์ CFO จากมอร์แกนกล่าวว่า ความท้าทาย ณ ปัจจุบัน ก็คือ สิ่งที่ผู้กำหนดนโยบายจะต้องเผชิญคือความต้องการการช่วยเหลือที่มากขึ้น ซึ่งก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีทรัพยากรเพียงพอ หรือความสามารถในทางการเมืองที่จะตอบสนองกับความต้องการนั่นหรือไม่

ความเชื่อมั่นผู้บริโภคยุโรปขยับขึ้นครั้งแรกในรอบ 11 เดือน

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยุโรปเดือนเม.ย.ปรับตัวขึ้นครั้งแรกในรอบ 11 เดือน ขณะที่เงินเฟ้อชะลอตัวลงและรัฐบาลได้เพิ่มการใช้จ่าย เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย

ดัชนีความเชื่อมั่นในกลุ่มประเทศที่ใช้เงินยูโร 16 ประเทศเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 67.2 ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2551 โดยดัชนีความเชื่อมั่นเดือนเม.ย.สูงกว่าคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่บลูมเบิร์กได้สำรวจความคิดเห็นว่าน่าจะอยู่ที่ 65.6 จุด นอกจากนี้ ตัวเลขเดือนเม.ย.ยังสูงกว่าเดือนมี.ค.ที่ 64.7 จุดด้วย

คอลลิน เอลลิส นักเศรษฐศาสตร์ของบล.ไดว่า ซิเคียวริตีส์ เอสเอ็มบีซี ยุโรป กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นดังกล่าวจะช่วยเพิ่มความหวังที่ว่าเศรษฐกิจอาจจะหลุดพ้นช่วงที่ตกต่ำที่สุดของภาวะถดถอยไปแล้ว โดยดีมานด์โลกที่ขยายตัวขึ้นจะช่วยเพิ่มดีมานด์ภายในยุโรปซึ่งมีแนวโน้มว่าจะยังคงอ่อนตัวต่อไปให้ฟื้นตัวตามไปด้วย ผู้บริหารของธนาคารกลางยุโรปกำลังถกเถียงกันถึงเรื่องการดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจว่า จะเดินตามประเทศคู่ค้าอย่างสหรัฐและอังกฤษที่เข้าซื้อสินทรัพย์หรือไม่ ซึ่งที่ประชุมมีความเห็นที่แตกต่างกันถึงวิธีการเชิงรุกที่จะนำมาใช้ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยก็อยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์อยู่แล้วที่ 1.25%

เกาหลีใต้คาดดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจพุ่งสูงสุดในรอบ 1 ปี
ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเกาหลีใต้ในเดือนพ.ค.พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 1 ปี จากกระแสคาดการณ์ที่ว่าเศรษฐกิจในประเทศจะฟื้นตัวขึ้น ผลสำรวจจากสมาพันธ์อุตสาหกรรมเกาหลีใต้ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจซึ่งเป็นตัวชี้วัดแนวโน้มการดำเนินธุรกิจของบริษัทต่างๆในเดือนหน้านั้น คาดว่าจะพุ่งขึ้นสู่ระดับ 103.8 จุด เมื่อเทียบกับระดับ 86.7 จุดในเดือนเม.ย.
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

visa

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. เม.ย. 30, 2009 2:31 pm
โดย naijan
Global Money: ผลประกอบการไตรมาส 2 ของ Visa ออกมาเหนือความคาดหมาย

Posted on Thursday, April 30, 2009
บริษัท Visa Inc รายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 2 ของปีงบประมาณปัจจุบันที่ออกมาสูงเกินกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เอาไว้ ด้วยตัวรายได้สุทธิที่เติบโตถึง 70% มาที่ 536 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

นักวิเคราะห์บอกว่า ปัจจัยที่ทำให้ Visa สามารถทำกำไรได้มากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา คือ การปรับลดต้นทุนอย่างหนัก ภายใต้ภาวะวิกฤติในปัจจุบัน ซึ่งแสดงให้ถึงความยืดหยุ่นในการปรับตัวเพื่อทำกำไร ที่โดดเด่นของธุรกิจบัตรเครดิต

นอกจากนั้น Visa เองก็ดูจะปลอดภัยจากปัญหาวิกฤติการเงินมากพอควร เนื่องจากบริษัทเป็นผู้ดำเนินการรายการใช้จ่ายมากกว่าเป็นผู้ออกสินเชื่อ ทำให้ผลกระทบกลับเป็นการใช้จ่ายของผู้ถือบัตรเครดิตที่ลดลงมากกว่า ขณะที่ยอดผู้ใช้บัตรเดบิตกลับเพิ่มมากขึ้น

สำหรับปัญหาการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่เม็กซิโกในช่วงนี้ Visa มั่นใจว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะไม่มีผลกระทบหนักต่อธุรกิจและการเติบโตด้านรายได้เท่าไรนัก  
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx

news

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. เม.ย. 30, 2009 7:00 pm
โดย naijan
ประธาน ตลท.ระบุหุ้นไทยผ่านจุดต่ำสุดแล้ว ข่าว 18.00 น.

Posted on Thursday, April 30, 2009
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บอกว่า ขณะนี้ มีสัญญาณว่าราคาหลักทรัพย์ถึงจุดต่ำสุดแล้ว โดยในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาซื้อสุทธิ ซึ่งหากสถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลาย จะทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นไทย ปรับตัวดีขึ้น พร้อมประเมินว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในไตรมาส 1/52 จะติดลบอย่างแน่นอน และคาดว่าจะติดลบต่อเนื่อไปจนถึงไตรมาส 3/52 ก่อนปรับตัวเป็นบวกในไตรมาส 4/52

ด้านนายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บอกว่า สมาคมฯ ได้ส่งแบบสอบถามไปยังนักวิเคราะห์ โบรกเกอร์ต่างๆ เพื่อทบทวนเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยในปีนี้ใหม่ หลังจากดัชนีปรับตัวดีขึ้น ใกล้เคียงเป้าหมายที่ประเมินไว้ที่ 495 จุดแล้ว โดยหุ้นไทยมีโอกาสขยับสูงขึ้นเหนือ 500 จุด ตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลก ที่ปรับตัวดีขึ้นในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่จีดีพีของไทยในปีนี้ คาดว่าจะขยายตัวติดลบไปจนถึงไตรมาส 3/52 และปรับตัวเป็นบวกได้ในไตรมาส 4/52

นายสมบัติยังเชื่อด้วยว่า ข่าวการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก จะมีผลต่อราคาหุ้นไทยในระยะสั้นเท่านั้น แต่จะกระทบการท่องเที่ยวโดยตรง รวมทั้งการบริโภคที่อาจลดลง เนื่องจากประชาชนไม่กล้าเดินทาง และไม่ออกมาใช้จ่าย ซึ่งจะส่งผลกระทบทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงไปอีก
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx

news

โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ค. 01, 2009 10:17 am
โดย naijan
เศรษฐกิจอินโดนีเซียปีนี้ยังโต 4.5% - ข่าว 21.00 น.

Posted on Thursday, April 30, 2009
นางศรี มุลยา อิทราวาตี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลังอินโดนีเซีย บอกว่า เศรษฐกิจอินโดนีเซียมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นในปีหน้า แม้จะไม่แข็งแกร่งเหมือนเมื่อปี 2550 ก็ตาม โดยคาดว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะขยายตัว 5-6% ขณะที่คาดว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะขยายตัว 4.5%

ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจอินโดนีเซียในปีนี้จะขยายตัวได้ 2.5%

ด้านสำนักงานสถิติแห่งชาติอินโดนีเซียบอกว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจมีอิทธิพลต่อตัวเลขการจ้างงานภายในประเทศมาโดยตลอด โดยหากสถานการณ์เศรษฐกิจอยู่ในขั้นปกติ เมื่อเศรษฐกิจขยายตัวได้ 1% ก็จะมีการสร้างงานใหม่ 7 แสนตำแหน่ง และคาดว่าเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งขึ้นจะทำให้ตัวเลขจ้างงานสูงขึ้นด้วย แต่ปัจจุบันเศรษฐกิจกำลังเผชิญวิกฤตการณ์ จึงคาดว่า เมื่อมีการขยายตัว 1% จะทำให้มีการจ้างงานเพียง 3 - 4 แสนตำแหน่งเท่านั้น  
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx

ขาขึ้นแล้วใช่ไหม

โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ค. 01, 2009 11:42 am
โดย Quadrifoglio Verde
อินโดเค้าไปไกลกว่าเราหลายช่วงตัวแล้ว  :roll:

รายสัปดาห์

โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ค. 01, 2009 5:08 pm
โดย naijan
ตลาดหุ้นในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา
-ปรับตัวเพิ่มขึ้น 17.62 จุด หรือ 3.72%
-PER อยู่ที่ 12.67 เท่า
-สถาบันและ foreign เป็นผู้ซื้อสุทธิ
-Fund flow สัปดาห์ที่ผ่านมาเข้าทั่วเอเชีย
-Foreign ซื้อหุ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง ตั้งแต่ 6/08
-Foreign สะสม long open tfex....ต้นทุนเฉลี่ยค่อนข้างต่ำ
-หุ้นที่ foreign เพิ่มการถือครองในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา
-หุ้นที่ foreign ลดการถือครองในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา
-หุ้นใน set 50 ....ที่ underperform set index ในรอบเดือนที่ผ่านมา

ขอขอบคุณ คุณwarm_up&down แห่งสินธร พันทิพ
ดูข้อมูลตามลิงค์

http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 14824.html

ขาขึ้นแล้วใช่ไหม

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ค. 02, 2009 8:02 am
โดย tum_H
ดร.ดูมชี้วิกฤติศก.สหรัฐดิ่งสุดกลางปี53 โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


ในวงวิชาการระดับโลกขณะนี้ มีผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจสหรัฐเพียงไม่กี่ราย ที่กล้าพยากรณ์อาการป่วยของอเมริกา ซึ่งเป็นต้นตอหรือศูนย์กลางของการก่อหายนภัยทางการเงิน และจุดระเบิดฟองสบู่บ้านอันเนื่องมาจากปัญหาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยปล่อยกู้ลูกค้าความน่าเชื่อถือต่ำ หรือซับไพร์ม จนกลายเป็นสึนามิคลื่นลูกใหญ่ ที่พัดซัดกระหน่ำโลกรวมทั้งไทย แบบฟันธงว่าจะเป็นอย่างไรและตกถึงจุดต่ำสุดเมื่อใด ซึ่งเป็นข้อมูลช่วยหาจุดยุติของวิกฤติการเงินโลกที่กำลังเกิดขึ้นนี้ได้

โดย "ดร.นูเรียล รูบินิ" นักวิชาการดังจากนิวยอร์กยูนิเวอร์ซิตี ผู้ได้ฉายา ดร.ดูม หรือผู้หยั่งรู้หายนภัย ซึ่งต้นเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว "ฟอร์จูน" นิตยสารเศรษฐกิจชั้นนำของสหรัฐ ได้เลือกให้เป็นหนึ่งใน 8 กูรูเศรษฐกิจคนสำคัญ ถือเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจโลกเพียงไม่กี่รายข้างต้น ที่กล้าฟันธงประเมินตัวเลขเศรษฐกิจไว้ชัดเจน เป็นการหาจุดตกต่ำสุดของสหรัฐผ่าน "นิวส์วีค" นิตยสารเศรษฐกิจการเมืองชั้นนำของสหรัฐฉบับล่าสุด 24 เม.ย.นี้

โดยปลายปีที่ผ่านมา ดร.รูบินิได้พยากรณ์ไว้ว่า สหรัฐอยู่ในช่วงกลางของความตกต่ำรุนแรงมาก และภาวะนี้ยังคงเกิดขึ้นตลอดปี 2552 ถือเป็นความถดถอยเลวร้ายสุดในรอบ 50 ปี และเป็นระเบิดของฟองสบู่สินเชื่อครั้งใหญ่มาก

ล่าสุด ดร.รูบินิยังคงเฝ้าติดตาม ตรวจดูอาการป่วยของเศรษฐกิจสหรัฐ ก่อนจะสรุปคำวินิจฉัยให้นิวส์วีค เป็นการมองที่ยังคงสวนทางกับกลุ่มมองแง่ดี ที่พูดถึงการหดตัวของเศรษฐกิจสหรัฐว่ามากถึง 6% ช่วง 2 ไตรมาสที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้เศรษฐกิจกำลังชะลอตัวลงแล้ว และจากนี้จะได้เห็นการเติบโตเป็นบวกไตรมาส 3 กับ 4 ปีนี้ โดยจีดีพีทั้งสองไตรมาสจะขยายตัวได้ 2% ส่วนปีหน้าการเติบโตจะกลับมาอยู่ที่มากกว่า 2%

"ผมเชื่อว่าอัตราการหดตัวของเศรษฐกิจ กำลังชะลอตัวช้าลง จากติดลบ 6% ช่วง 2 ไตรมาสที่ผ่านมา เหลือเพียงติดลบ 2% ภายในไตรมาส 4 ปีนี้ ส่วนปีหน้าผมเชื่อว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยของสหรัฐจะเท่ากับ 0.5% และแม้ทางเทคนิคบ่งบอกว่าเราหลุดพ้นจากความถดถอย แต่พวกเรารู้สึกได้ว่าตัวเองยังอยู่กับความถดถอย จุดต่ำสุดของเศรษฐกิจสหรัฐไม่ใช่อีก 3 เดือนข้างหน้า แต่น่าจะเป็นช่วงต้นปีหรือกลางปีหน้ามากกว่า" ดร.ดูมพยากรณ์

ทั้งนี้ ดร.รูบินิออกตัวว่า จากการพยากรณ์เศรษฐกิจใหญ่อันดับหนึ่งของโลกในเชิงลบกว่าคนอื่นนั้นไม่ได้เป็นการตอกย้ำว่า เขาเป็นผู้หยั่งรู้หายนภัย แต่แท้จริงแล้วเขาเชื่อว่าตัวเองเป็น ดร.เรียลลิสต์ หรือ ผู้นิยมความจริงมากกว่า และยอมรับว่าตอนนี้รู้สึกมองเศรษฐกิจสหรัฐในแง่ลบน้อยลง

ทั้งนี้เนื่องจากเมื่อ 6 เดือนก่อน ดร.ดูมรู้สึกกังวลอย่างมากว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอยยาวนานเหมือนรูปตัวแอล และส่อแววว่าจะเป็นความตกต่ำครั้งใหญ่ แต่ตอนนี้เขาเห็นว่า การดำเนินปฏิบัติตามนโยบายในเชิงรุกของสหรัฐและอีกหลายประเทศ ทำให้โลกเสี่ยงที่จะเกิดความตกต่ำครั้งใหญ่ต่อเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยเป็นรูปตัวแอล ลดน้อยลงจาก 30% เหลือ 15% หรือ 20% ซึ่งเขาคิดว่าสหรัฐจะถดถอยอยู่ในรูปตัวยูมากกว่า

แต่หากสรุปสภาพเศรษฐกิจสหรัฐนับจากนี้ไปแล้ว ดร.รูบินิไม่คาดว่าการฟื้นตัวของสหรัฐจะทำได้หรือเกิดขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว เพราะความถดถอยจะยังไม่หมดไปจนกว่าจะก้าวข้ามผ่านพ้นปี 2552 ไปแล้ว และตลอดปีนี้เศรษฐกิจอเมริกาจะหดตัวแรง 4-5% อัตราการว่างงานจะพุ่งสูงสุดที่ระดับกว่า 9% ภายในปี 2553

ขณะเดียวกัน ดร.รูบินิประเมินว่าตลาดหุ้นสหรัฐจะปรับตัวลงต่อเนื่อง เป็นการบ่งบอกว่าดัชนีดาวโจนส์อาจแตะถึงจุดต่ำสุดที่ระดับประมาณ 7,000 จุด และการปรับลดลงแตะระดับต่ำสุด ทำให้ตลาดหุ้นอาจใกล้ถึงระดับที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมสำหรับตลาดแล้ว และจากคำเตือนเหล่านี้ทำให้ ดร.รูบินิคิดว่าการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ถือเป็นการปรับขึ้นของตลาดหมีที่ยังอยู่ในภาวะซบเซา

ต่อข้อถามเกี่ยวกับคณะบริหารภายใต้การนำของนายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐคนปัจจุบันนั้น ดร.รูบินิกล่าวยอมรับและให้ความเชื่อถือหรือเครดิตแก่รัฐบาลสหรัฐชุดปัจจุบันว่า ในช่วง 30 วันที่คณะรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ ได้ใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ มีแผนการใหม่ที่จะจัดการกับสินเชื่อบ้านและการบังคับคดีจดจำนอง

"แผนต่างๆ ใช้แก้ปัญหาภาคธนาคาร ซึ่งทิม ไกธ์เนอร์ รมว.คลังสหรัฐนำมาออกมาใช้พร้อมกับรายละเอียดต่างๆ ทำให้ตลาดทุกแห่งปรับขึ้นมาก แต่ทั้งแผนแก้ปัญหาตลาดสินเชื่อบ้าน การบังคับคดีจดจำนองและแผนใช้กับแบงก์ ล้วนมีช่องโหว่ อย่างมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจเพิ่มเงินทุนได้อีก ตลาดสินเชื่อบ้านยังจำเป็นต้องตัดลดมูลค่าเงินต้น ส่วนแบงก์มีอยู่หลายแห่งติดกลุ่มที่มีขนาดใหญ่สุด ไม่สามารถรับซื้อหนี้เสียได้ จำเป็นที่รัฐบาลต้องเทคโอเวอร์แบงก์เหล่านี้ชั่วคราว สะสางให้สะอาดก่อนจะขายกลับไปให้ภาคเอกชน" ดร.ดูมกล่าวแนะนำ

เมื่อถามความเห็นเกี่ยวกับจีน ในการเข้ามาซื้อถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐไว้มากมายนั้น ดร.รูบินิมองว่าในระยะสั้น จีนไม่มีทางเลือกแต่ต้องสะสมทุนสำรองเพิ่มเติม เป็นทุนสำรองสกุลเงินดอลลาร์ เพราะหากจีนหยุดดำเนินการเช่นนั้น ค่าเงินหยวนจะแข็งค่าขึ้นเร็วขณะที่การส่งออกกำลังตกต่ำ ดังนั้นระยะสั้นนี้จีนจะยังคงซื้อตุนพันธบัตรสหรัฐไว้

"ผมได้เห็นความริเริ่มใหม่ๆ ออกมามากมายช่วงเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา บ่งชี้ว่าจีนกำลังผลักดันให้หยวนกลายเป็นสกุลเงินสากล และเป็นสกุลเงินใช้เป็นทุนสำรอง ทางการจีนกำลังดำเนินการเจรจาแบบทวิภาคีกับประเทศต่างๆ เช่น อาร์เจนตินาและประเทศอื่นๆ อีก 6 ประเทศ เพื่อร่วมมือกันให้ความสำคัญกับหยวนไม่ใช่ดอลลาร์ และประเทศเหล่านี้กำลังเคลื่อนไหวหนีห่างจากดอลลาร์

ซึ่งอันดับแรกที่ประเทศเหล่านี้ต้องทำ คือ จัดตั้งสกุลเงินตัวเองให้เป็นสกุลเงินสากลเสียก่อน ซึ่งต้องใช้เวลาหลายปี และช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาพวกเขาได้ทำมากกว่าที่เคยทำมาแล้วช่วง 10 ปีที่ผ่านมา" ดร.รูบินิกล่าวปิดท้าย

news

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ค. 04, 2009 2:55 pm
โดย naijan
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสพุ่ง หลังตัวเลขความมั่นใจผู้บริโภคในสหรัฐฯ ปรับตัวดีขึ้น

Posted on Monday, May 04, 2009
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์ก ส่งมอบเดือน มิ.ย. ปรับเพิ่มขึ้น 2.23 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ 53.20 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หลังความมั่นใจของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ในเดือน เม.ย. 52 แตะระดับ 65.1 ซึ่งสูงสุดตั้งแต่เดือน ก.ย. 51 ที่มีการล้มละลายของ Lehman Brothers ทำให้นักลงทุนเชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจมีแนวโน้มฟื้นดัวดีขึ้น

ส่วนจำนวนผู้เข้าขอรับสิทธิประโยชน์จากการว่างงานประจำสัปดาห์ ปรับตัวลดลง สวนทางกับการคาดการณ์ของนักลงทุน ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีต่อสภาวะเศรษฐกิจเช่นกัน

โอเปคผลิตน้ำมันดิบลดลงอีกในเดือน เม.ย. 52 ทำให้เหลือกำลังการผลิตที่ต้องลดอีกเพียง 680,000 บาร์เรลต่อวัน จากที่ประกาศไว้ทั้งหมดที่ 4.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน

ตัวเลขทางภาคอุตสาหกรรม (Perchasing Manager's Index: PMI ) ของจีนในเดือน เม.ย.52 ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 53.5 จากเดือน มี.ค. 52 ที่ 52.4 แสดงให้เห็นถึงกิจกรรมในภาคอุตสาหกรรมเของจีนที่เริ่มฟื้นตัว

ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ตลาดลอนดอน ส่งมอบเดือน มิ.ย. ปรับเพิ่มขึ้น 2.07 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ 52.85 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

ราคาน้ำมันดิบดูไบ ตลาดสิงคโปร์ ปิดตลาดวันที่ 1 พ.ค. 52 เนื่องในวันแรงงาน  
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx

ขาขึ้นแล้วใช่ไหม

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ค. 04, 2009 10:44 pm
โดย kornjackrit
รู้สึกช่วงนี้มีแต่ข่าวดีนะคับ
ค่อยทำให้จิตใจชุ่มชิ้นหน่อย
:D  :D  :D

ขาขึ้นแล้วใช่ไหม

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ค. 04, 2009 11:26 pm
โดย Hughes
ข่าวดีเยอะผมเสียวๆนะครับ  :lol:

ขาขึ้นแล้วใช่ไหม

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 05, 2009 10:23 am
โดย sorawut
นึกว่าจะมีเวลาให้หาหุ้นเยอะกว่านี้ ต้องรีบๆและ :lol:

ขาขึ้นแล้วใช่ไหม

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 05, 2009 1:14 pm
โดย SV2
เกรงว่าถ้าขึ้นเร็วเกินไป เวลาปรับฐานจะลงแรง
แต่ยังไงถ้ามีเงินก็คงต้องซื้อ ซื้อ และก็ซื้อ

news

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ค. 07, 2009 5:14 pm
โดย naijan
Global Money: Cisco ประเมินวิกฤติเริ่มทรงตัว หลังผลประกอบการดีเกินคาด

Posted on Thursday, May 07, 2009
ในรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสล่าสุด Cisco Systems สามารถทำกำไรสุทธิได้ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดเล็กน้อย ซึ่งก็ทำให้ผู้บริหารของบริษัทออกมาแสดงความมั่นใจว่า ปัญหาผลกระทบจากภาวะวิกฤติที่ดำเนินอยู่นี้น่าจะเริ่มทรงตัวและไม่ย่ำแย่ไปกว่าในปัจจุบันแล้ว

John Chambers ซีอีโอ ของ Cisco ยังเชื่อด้วยว่า ลูกค้าของบริษัทเริ่มที่จะรู้สึกแล้วว่าปัญหาทุกอย่างที่ภาคธุรกิจกำลังเผชิญเริ่มที่จะซาลง และวงจรของการฟื้นตัวก็น่าจะใกล้เข้ามาถึงแล้วด้วย

Chambers ยังมั่นใจว่า อนาคตของบริษัทในระยะยาวน่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น พร้อมกับยืนยันที่จะตั้งเป้าอัตราการเติบโตรายได้ต่อปีไว้ที่ 12 ? 17% แม้ว่านักวิเคราะห์จะบอกว่า เป็นตัวเลขที่เป็นไปได้ยากในอนาคตอันใกล้นี้ก็ตาม
ติดตามรายการ Global Money ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 13.00 น. ทาง Money Channel
ช่องทางการรับชม Money Channel: True Visions ช่อง 80 - เคเบิลทีวีท้องถิ่นทั่วประเทศ ช่อง 30 - จานดาวเทียม Samart DTH และ DTV ช่อง 08
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx

กำไรไตรมาสแรกธนาคารบาร์เคลย์สโต 12% - ข่าว 17.00 น.

Posted on Thursday, May 07, 2009
บาร์เคลย์ส แบงก์ ธนาคารรายใหญ่อันดับ 3 ของอังกฤษ รายงานผลกำไรในไตรมาสแรกที่พุ่งทะยานขึ้น แม้ภาคธนาคารต้องเผชิญวิกฤตการเงินที่รุมเร้า โดยกำไรสุทธิของธนาคารอยู่ที่ 826 ล้านปอนด์ หรือ1,250 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบระยะเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 736 ล้านปอนด์ ขณะที่รายได้เพิ่มขึ้น 42% แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 8,150 ล้านปอนด์ เนื่องจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของธุรกิจวาณิชธนกิจของธนาคาร โดยกำไรสุทธิก่อนหักภาษีของแผนกวาณิชธนกิจพุ่งขึ้น 189% มาอยู่ที่ 1,050 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นผลมาจากการซื้อสินทรัพย์ของเลห์แมน บราเธอร์สในสหรัฐอเมริกา

ทั้งนี้ บาร์เคลย์ส แตกต่างจากธนาคารรายอื่นของอังกฤษ เช่น ลอยด์ส แบงกิ้ง กรุ๊ป และ โรยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ เนื่องจากบาร์เคลย์สหลีกเลี่ยงที่จะขอรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล แต่เลือกที่จะระดมทุนด้วยตนเอง อย่างไรก็ตาม กำไรก่อนหักภาษีจากธุรกิจธนาคารพาณิชย์และธนาคารเพื่อรายย่อยของบาร์เคลย์ส ลดลง 45% มาอยู่ที่ 586,000 ล้านปอนด์
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx

news

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ค. 11, 2009 9:58 am
โดย naijan
เศรษฐกิจสหรัฐส่งสัญญาณฟื้นตัว หลังยอดขายบ้าน-ตลาดแรงงานดีขึ้น

เศรษฐกิจสหรัฐเริ่มมีสัญญาณบ่งชี้ถึงการฟื้นตัว หลังจากยอดขายบ้านในสหรัฐเริ่มกระเตื้องขึ้นโดยเฉพาะในเขตชายฝั่งตะวันออก ซึ่งมีชาวสหรัฐยื่นเรื่องขอเงินกู้จำนองบ้านกับธนาคารพาณิชย์หลายแห่ง

ขณะที่สถานการณ์ในตลาดแรงงานก็เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ถึงกระนั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะหลุดพ้นจากภาวะถดถอยได้อย่างสิ้นเชิง ก่อนหน้านี้ ทางการสหรัฐได้เปิดเผยยอดทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขายซึ่งขายตัว 3.2% ในเดือนมี.ค. สูงขึ้น 1.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว

ลอเรนซ์ ยูน นักวิเคราะห์จากสมาคมนนายหน้าค้าอสังหาริมทรัพย์กล่าวว่า ตลาดอาจต้องใช้เวลาอีก 2-3 เดือนกว่าฟื้นตัวขึ้นอย่างเต็มที่ แต่การซื้อบ้านที่เพิ่มขึ้นอาจบ่งชี้ได้ว่าผู้ซื้อบ้านหลังแรกยินดีที่จะทำตามเงื่อนไขการกู้เงิน และยินดีที่จะจ่ายดอกเบี้ยตามที่ธนาคารกำหนด ซึ่งการปล่อยเงินกู้ช่วยเพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภคได้มากขึ้น ขณะที่โครงการที่อยู่อาศัยบางแห่งมีข้อเสนอพิเศษด้วยการให้ผู้ซื้อบ้านจ่ายเงินผ่อนได้โดยไม่ต้องดาวน์

นักวิเคราะห์กล่าวว่า หากเทียบสถานการณ์ปีนี้กับปีที่แล้ว จะเห็นว่าหลายครอบครัวผ่อนชำระเงินกู้บ้านในอัตราที่ต่ำมาก หรือเรียกได้ว่าพวกเขาสามารถซื้อบ้านที่ดีกว่าเดิมได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินอย่างมากมายในแต่ละเดือน ขณะเดียวกัน เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า ตลาดที่อยู่อาศัยในสหรัฐที่ซบเซามา 3 ปีใกล้ฟื้นตัวแล้ว และภาวะถดถอยน่าจะสิ้นสุดลงได้ในปีนี้ อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินกล่าวแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนซื้อบ้านเพื่อเก็งกำไรว่ายังเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาว่ามูลค่าบ้านจะขยายตัวขึ้นมากน้อยแค่ไหนในระยะนี้ เนื่องจากอัตราว่างงานยังคงพุ่งสูง โดยเมื่อคืนนี้กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยอัตราว่างงานในเดือนเม.ย.ที่เพิ่มขึ้น 8.9% จากระดับ 8.5% ในเดือนมี.ค. ขณะที่ตัวเลขจ้างงานไม่ได้ลดลงไปมากอย่างที่ตลาดคาดการณ์ไว้


ยอดลงทุนในจีนส่อแววเร่งตัว หลังภาวะส่งออกดีขึ้น

ผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์คาดว่าตัวเลขการลงทุนในเขตเมืองของจีน จะขยายตัว 29.1% ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีที่แล้ว โดยเร่งตัวขึ้นเล็กน้อยจาก 28.6% ในช่วง 3 เดือนแรก

ขณะเดียวกัน นักเศรษฐศาสตร์ก็คาดด้วยว่าตัวเลขการส่งออกอาจจะออกมาปรับตัวลง 15.3% ในเดือนที่แล้ว ซึ่งตัวเลขดังกล่าวถือเป็นอัตราการหดตัวที่น้อยที่สุดในรอบ 4 เดือน และจากทั้งตัวเลขการลงทุนและการส่งออก ถ้าหากเป็นไปตามคาดก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นว่าเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ 3 ของโลกนี้กำลังฟื้นตัว ความคาดหวังต่อการกลับมาของเศรษฐกิจจีนหลักๆ ก็อยู่ที่มาตรการอัดฉีดเงินจากรัฐบาลมูลค่า 4 ล้านล้านหยวน หรือประมาณ 586,000 ล้านหยวน ซึ่งที่ผ่านมาได้ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ อย่างเช่น ทองแดง ในตลาดโลกดีดตัวขึ้น และยังส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ถีบตัวขึ้นไปแล้วกว่า 44% นับตั้งแต่ต้นปี

อย่างไรก็ดี ธนาคารกลางของจีนเองยังได้เตือนผ่านรายงานประจำไตรมาสที่ออกมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า การฟื้นตัวยังไม่แข็งแกร่งพอ แม้ตัวเลขทางเศรษฐกิจจะออกมาดีเหนือความคาดหมายในไตรมาสแรกก็ตาม เมื่อหันไปดูตัวเลขล่าสุดที่บ่งบอกถึงความซบเซาของเศรษฐกิจจีนก็พบว่ายังมีอยู่ อย่างเช่น รายงานยอดการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ยังร่วงลง 3.6% ในเดือนเมษายน เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์จาก Macquaries Securities ในฮ่องกงก็เตือนว่า ตัวเลขที่เห็นอยู่ในตอนนี้จะมีก็แต่เครื่องชี้ที่เป็นดัชนีชี้นำทางเศรษฐกิจ แต่ยังไม่เห็นรายงานตัวเลขที่เป็นภาคเศรษฐกิจจริงที่ฟื้นตัวขึ้นได้เลยในตอนนี้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 13, 2009 7:54 am
โดย naijan
สมาคมนักวิเคราะห์ปรับเพิ่มเป้าดัชนีหุ้นปีนี้เป็น 535 จุด - ข่าว 18.00 น.

Posted on Tuesday, May 12, 2009
สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ปรับเป้าดัชนีหุ้นไทยปีนี้เป็น 535 จุด ขึ้นสูงสุดที่ 582 จุดในไตรมาส 4/2552 ขานรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั่วโลก ไม่กังวลหวัดใหญ่ 2009

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บอกถึงผลการสำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ 23 แห่งว่า นักวิเคราะห์ได้ปรับเป้าดัชนีหุ้นไทยเฉลี่ยสิ้นปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 535 จุด จาก 495 จุด ในการสำรวจครั้งก่อน เป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกที่สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน โดยนักวิเคราะห์คาดว่า จุดสูงสุดของดัชนีในปีนี้จะอยู่ที่ 582 จุด ซึ่งน่าจะได้เห็นในช่วงไตรมาสที่ 4/2552 และต่ำสุดอยู่ที่ 391 จุด ซึ่งผ่านไปแล้วในไตรมาส 1/2552

สำหรับอัตรการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยปีนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า จะหดตัวมากขึ้นเป็นติดลบ 3.6% จากการประเมินครั้งก่อนที่ 1.8% และผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนคาดว่าจะเติบโต 5% เท่ากับการสำรวจครั้งก่อน

นายสมบัติบอกด้วยว่า นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ค่าเงินบาทเฉลี่ยในช่วงสิ้นปี 2552 แข็งค่าขึ้นอยู่ที่ 33.8 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากมีเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเป็นจำนวนมาก

ส่วนการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ 74% มองว่า มีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจน้อย เพราะการแพร่กระจายของโรคไม่กว้างมากเมื่อเทียบกับโรคซาร์ส หรือไข้หวัดนก และอัตราการเสียชีวิตอยู่ในระดับต่ำ

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังเห็นว่า ปัญหาที่รัฐบาลต้องจับตาและเตรียมการรองรับมากที่สุด คือ เสถียรภาพของรัฐบาล และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รองลงมาคือ ปัญหาว่างงาน การส่งออกที่ชะลอตัว หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของธนาคาร และการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx

ขาขึ้นแล้วใช่ไหม

โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ค. 15, 2009 6:38 pm
โดย Pekko
เมื่อวานขึ้นมาก่ายหน้าผาก แต่วันนี้ค่อยยังชั่ว  :oops:

news

โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ค. 15, 2009 8:25 pm
โดย naijan
หุ้นไทยมีโอกาสพุ่งทะลุ 552 จุด หลังปรับฐาน แนะติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด

Posted on Thursday, May 14, 2009
นายสุขวัฒน์ ประเสริฐยิ่ง ประธานเจ้าหน้าที่สายการลงทุน บลจ.แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money channel ว่า สาเหตุที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก เป็นเพราะมีกระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น หลังพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ให้ผลตอบแทนในระดับที่ต่ำมาก โดยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 3 ปี เดิมให้อัตราดอกเบี้ย 4% ปัจจุบันลดลงเหลือเพียง 0.18% เท่านั้น ประกอบกับตลาดหุ้นไทยมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) คิดเป็น 1% ของตลาดหุ้นเอเชีย ดังนั้น เมื่อมีเงินทุนไหลเข้ามา ก็ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นมาก

อย่างไรก็ตาม ถ้าพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานแล้ว พบว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัว แม้ที่ผ่านมาตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯดีขึ้นเล็กน้อย โดยส่วนตัวมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเริ่มฟื้นตัวได้ในปี 2553 เนื่องจากวิกฤติครั้งนี้เกิดจากสถาบันการเงินของสหรัฐฯ ทำให้สหรัฐฯต้องใช้ระยะเวลาในการแก้ไขปัญหาพอสมควร

นายสุขวัฒน์บอกด้วยว่า ในช่วง 3 4 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติมองตลาดหุ้นไทยไว้สำหรับการเก็งกำไร ไม่ได้เป็นการลงทุนระยะยาว เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของไทยไม่เอื้ออำนวย ทั้งเรื่องปัญหาการเมือง และความไม่ต่อเนื่องของนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ ดังนั้น ในช่วงนี้ควรลงทุนด้วยความระมัดระวัง เพราะเมื่อมีเหตุมากระทบ นักลงทุนต่างชาติก็อาจจะเทขายหุ้นได้ อย่างไรก็ตาม หากบริษัทจดทะเบียนมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี และให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ ก็เชื่อว่านักลงทุนต่างชาติจะยังคงลงทุนในหุ้นของบริษัทนั้นต่อ

นายสุขวัฒน์บอกด้วยว่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน พอร์ตการลงทุนของบลจ.แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) มีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าดัชนีตลาดหุ้นไทย เนื่องจาก บลจ.แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) ลงทุนในหุ้นในสัดส่วนที่สูงมาก และถือครองเงินสดเพียง 5% ของพอร์ต นอกจากนี้ยังเลือกลงทุนหุ้นเป็นรายบริษัท ดังนั้น เมื่อดัชนีตลาดหุ้นปรับเพิ่มขึ้น ผลตอบแทนจึงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย


นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการบริหารและหัวหน้างานสายวิจัย บล.ทิสโก้ บอกว่า กระแสเงินที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นช่วงนี้ มีที่มาจาก 3 แหล่ง คือ

1. เงินออกจากตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ เนื่องจากปัจจุบันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯไม่น่าสนใจ ทำให้นักลงทุนโยกเงินออกจากตลาดพันธบัตรมาลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง เช่น ตลาดหุ้น และสินค้าโภคภัณฑ์ แทน เพราะในบางช่วงเวลาตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรถึง 14% ทั้งนี้ ปัจจุบันตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ มีเงินลงทุนสูงถึง 3.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

2. การอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่ได้อัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบไปแล้ว 1.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีแผนที่จะอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเป็น 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะทำให้เกิดสภาพคล่องส่วนเกินสูงถึง 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

3. การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้นักลงทุนมองหาการลงทุนในสกุลเงินที่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า

นายวิศิษฐ์ประเมินว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในช่วงขาขึ้น เพียงแต่ช่วงนี้ดัชนีอาจจะมีการปรับฐานอยู่บ้าง โดยเชื่อว่า หลังจากการปรับฐานแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทยก็มีโอกาสที่จะพุ่งขึ้นสูงกว่า 552 จุด อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยภายนอกประเทศที่นักลงทุนควรจะติดตามคือ การเพิ่มทุนของสถาบันการเงินสหรัฐฯ หลังจากที่มีการทำผลทดสอบความสามารถในการรักษาฐานะทางการเงิน (Stress Test) รวมถึงปัญหาการว่างงานของประเทศต่าง ๆ ที่คาดว่ายังไม่ถึงจุดสูงสุดของปัญหา ซึ่งจะทำให้การใช้จ่ายและการลงทุนลดลงตามไปด้วย

ส่วนปัจจัยภายในประเทศที่จะต้องติดตามคือ ปัญหาอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น หลังประเมินว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ประชาชนมีกำลังซื้อลดลง ทั้งนี้ บล.ทิสโก้คาดว่า ในไตรมาสที่ 2-3/2552 อัตราเงินเฟ้อจะติดลบ 4 5% ส่วนไตรมาสที่ 4/2552 อัตราเงินเฟ้อจะพลิกกลับเป็นบวก และไตรมาสที่ 1/2553 อัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 2% ส่วนราคาน้ำมันเฉลี่ยปีนี้จะอยู่ที่ 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

นายวิศิษฐ์บอกด้วยว่า แม้ที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับเพิ่มขึ้นมาแล้วกว่า 100 จุด แต่ก็ยังมีบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งที่ราคาหุ้นยังค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัท ดังนั้น หากเข้าลงทุนในหุ้นเหล่านี้ ก็มีโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับเพิ่มขึ้นอีก

ติดตาม Hard Topic ทุกวันจันทร์ ศุกร์ เวลา 13.00 น. ทาง Money Channel
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Cli ... fault.aspx

แต่ความคิดเห็นส่วนตัว ดูจากผลประกอบการQ1/52 กำไรบริษัทลดลงกันมากพอสมควร หากไตรมาสที่2 กำไรของบริษัทส่วนใหญ่ไม่ดีขึ้น ด้วยset ที่เกินกว่า520จุด ถือว่าแพงเกินไปแล้ว 1-2สัปดาห์หลังรับรู้ผลประกอบการ คงมีการปรับพอร์ต ขายบริษัทที่กำไรแย่กว่าที่คาด ไปซื้อบริษัทที่ทำกำไรได้ดี หลังจากนั้น เซตคงค่อยๆปรับตัวซึมลง ครับ