หน้า 2 จากทั้งหมด 9

fundflow in q2 และ downside risk ในระยะถัดไป

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ค. 09, 2009 10:48 am
โดย i_sarut
hongvalue เขียน:ถ้าหุ้นถูกปริมาณเงินเยอะ = หุ้นขึ้นกระฉุดสุดๆ

ถ้าหุ้นปานกลางปริมาณเงินเยอะ = หุ้นขึ้นได้ระดับนึง

ถ้าหุ้นแพงปริมาณเงินเยอะ = upside ไม่น่าเยอะครับ
ถ้ามองว่า

ช่วงที่ผ่านมาราคาสินทรัพย์เสี่ยงถูกมาก SET 400 จุดนิดหน่อยๆ น้ำมันต่ำกว่า 40 เหรียญ ประกอบกับมีปริมาณเงินเยอะ ก็เลยวิ่งกระฉูดกันแบบนี้

ตอนนี้ก็น่าจะระยะที่ราคาโดยรวม ปานกลาง - แพง รึเปล่าครับ

แต่ไม่ได้มองรายตัวนะครับ บางตัวก็ยังถูกอยู่  :lol:

fundflow in q2 และ downside risk ในระยะถัดไป

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ค. 09, 2009 10:51 am
โดย Amadeus
ตอนที่ AOT 15.50 บาท เคยเรียงลำดับหุ้นตาม Market Cap
ในสามสิบตัวแรก AOT มีพีอีประมาณ 4 กว่าน้อยที่สุด(ถ้าจำไม่ผิด)ในกลุ่มบิ๊กแคปด้วยกัน
ราคาสองหมื่นกว่าล้าน ถูกกว่ามิ๊นอีก (ณ.วันนั้นนะ)
ถ้าเงินจากสถาบันต่างชาติรับความเสี่ยงได้มากขึ้น
และมาลงในหุ้นจริงๆ ผมว่าก็น่าจะเข้ามาที่พวกหุ้นใหญ่ที่ยังถูกอยู่(มั้ง)

แต่ อาจจะไม่เกี่ยวก็ได้นะครับ มั่วๆเอา
เพราะว่า ท็อปเนี่ยพีอีร้อยกว่าๆ ก็เห็นขึ้นเอาๆ  :lol:

fundflow in q2 และ downside risk ในระยะถัดไป

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ค. 09, 2009 10:56 am
โดย tum_H
[quote="Amadeus"]
เพราะว่า ท็อปเนี่ยพีอีร้อยกว่าๆ ก็เห็นขึ้นเอาๆ

fundflow in q2 และ downside risk ในระยะถัดไป

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ค. 09, 2009 11:17 am
โดย crazyrisk
[quote="tum_H"][quote="Amadeus"]
เพราะว่า ท็อปเนี่ยพีอีร้อยกว่าๆ ก็เห็นขึ้นเอาๆ

fundflow in q2 และ downside risk ในระยะถัดไป

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ค. 09, 2009 11:24 am
โดย GeneraX
Pattern เดิมๆอาจจะไม่ซ้ำรอยในวันนี้แล้วก็ได้ครับ โดยเฉพาะในเรื่องระยะเวลาที่ใช้ในการเกิด Pattern ต่างๆ ด้วยเหตุผลของ Globalization ทั้งในด้านความรวดเร็วในการรับรู้ข้อมูล การร่วมมือในการแก้ปัญหาต่างๆของทั้งโลก

ถ้าให้ผมเปรียบเทียบแบบบ้านๆ ถ้าย้อนไปซัก200ปีก่อน เวลาคนป่วยโรคๆนึงกว่าจะรักษาได้ก็อาจจะนานมาก ไม่ก็ตายกันไปเลย เพราะเครื่องมือแพทย์ในสมัยนั้นคงไม่สามารถที่จะแสกนร่างกายคนไข้เห็นต้นตอของโรคก็ได้แค่รักษาไปตามอาการ แต่ด้วยเทคโนโลยีการแพทย์ปัจจุบัน สามารถเอาเข้าเครื่องแสกน หรือไม่ก็เอาเครื่องอะไรมาจ่อๆก็รู้ถึงต้นตอปัญหาได้แล้ว พร้อมกับความก้าวหน้าในการรักษาต่างๆ โรคๆเดียวกันอาจจะแค่นอนเตียงไปโรงบาลอีก 2-3 วันก็เดินกลับบ้านได้แล้ว

อาจจะผิดหรืถูกไม่ทราบนะครับ แต่ก็ขอภาวนาให้เป็นแบบนั้น :pray:

fundflow in q2 และ downside risk ในระยะถัดไป

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ค. 09, 2009 4:07 pm
โดย romee
นั้นสินะ ผมอ่านข่าวเศรษฐกิจ ในเวบทั่วๆไป ก็ไม่เห็นมีข่าวดีมากตรงใหน

และนี้ เป็นครั้งแรกๆมั้ง ที่เห็นข่าวโบรกหลายๆเจ้า บอกว่า PE มันสูงไปแล้วนะ. แม้แต่เพื่อนที่ทำโบรก มันก็ยังงงๆ ว่าเม็ดเงินมาจากใหนกัน เหอๆๆ

ถ้ามองที่งบการเงิน Q1 ส่วนใหญ่ก็ไม่ดี ไม่แย่มากนัก ออกกลางๆ

ส่วนตัวผมว่ารอบนี้ มันมาเพราะข่าวน้ำมัน กับพวกข่าวควบกิจการ ของ พี่ิปอ ซะมากกว่า
แต่ถ้ามองรายตัว หุ้นบางตัว ก็ยังถือว่าถูกอยู่ดี.

ส่วนไอ้กระผม หุ้นที่ติดอยู่ ตั้งแต่ก่อนตลาดฟุบ...ตอนนี้กำลังวัดใจ ว่าจะทยอยขายออกไปก่อนดีมั้ยว้า.... :lol:

fundflow in q2 และ downside risk ในระยะถัดไป

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ค. 09, 2009 4:45 pm
โดย surachaichia
เคยตามอ่าน ของคุณฮง ที กระทิงเขียวกับ IH

                   ยอมรับว่า หาข้อมูลในหลายมุมที่ดี มาก

                 การกลับมา ของ ฟันด์ ใหญ่ๆ ก็ไม่พ้น ที่กลุ่มพลังงาน

                   ทีถึงจะมีแรง ดึง เซ็ท ขึ้นมาได้

                 องค์ประกอบ ของ เซ็ท ในอดีต กับ ปัจจุบัน ก็ต่างกัน

                 ฟันด์ใหญ่ ที่จะเข้า มา ก็คงมองว่า ไทย เป็นหุ้นตัวหนึ่ง

               ซึ่ง ถ้า พลังงาน ดู ไม่ดี  โอกาส ที่พวกนี้จะกลับมา ในวอลุ่ม

                 มากๆ แล้ว ทำให้ เซ็ท ขึ้น มากๆ  ก็ยาก

         ว่า แต่ aot จะ ขึ้น และ sustain ได้ นาน?  นั่นซิขึ้น เพราะ                 ราคา                     ถูก? :roll:

fundflow in q2 และ downside risk ในระยะถัดไป

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ค. 09, 2009 6:10 pm
โดย Neocapritermes
คุณฮงสุดยอดเลยครับ ถ้าสนใจหาความรู้แนวๆนี้ไม่ทราบว่าจะศึกษาได้จากไหนบ้างครับ
แล้ว recession กับ stagflation นี่คืออะไรเหรอครับ

fundflow in q2 และ downside risk ในระยะถัดไป

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ค. 09, 2009 6:40 pm
โดย GeneraX
Neocapritermes เขียน:คุณฮงสุดยอดเลยครับ ถ้าสนใจหาความรู้แนวๆนี้ไม่ทราบว่าจะศึกษาได้จากไหนบ้างครับ
แล้ว recession กับ stagflation นี่คืออะไรเหรอครับ
recession คือช่วงเวลาที่เศรษฐกิจถดถอยในช่วงเวลาหนึ่ง ตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆเช่น GPD การจ้างงาน การใช้จ่าย การลงทุนต่างๆ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทั้งหมด

stagflation นี่หนักว่าครับ ถือเป็นช่วงที่เศรษฐกิจถดถอยด้วย แต่แถมด้วยเงินเฟ้อที่สูง ซึ่งถือเป็นสิ่งซ้ำร้ายให้การใช้จ่าย การจ้างงาน รวมถึงการลงทุนต่างๆยิ่งหดตัวลงไปอีก

พี่ๆคนไหนจะแก้เติมเสริมแต่งอะไร ยินดีครับ  :lol:

fundflow in q2 และ downside risk ในระยะถัดไป

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ค. 09, 2009 9:03 pm
โดย mongkol
คุณฮง นี่ใจดีจัง นะคับ ชอบครับ
ได้ความรู้มากมายเลย :D

fundflow in q2 และ downside risk ในระยะถัดไป

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ค. 09, 2009 9:17 pm
โดย Linzhi
เห็นเพื่อน ๆ คุยเรื่อง PE กัน

ระวังนะครับ PE เป็น earning ปีที่แล้ว รวมถึงสถานการณ์ปีนี้ค่อนข้างเปลี่ยนไปมาก

ผมว่า PE ในหนังสือพิมพ์ หรือในเวป ตอนนี้ดูแทบไม่ได้ครับ

forward PE 09 ผมว่า ยังใช้ไม่ค่อยจะดีเลย ถ้าจะให้ดี ต้องเฉลี่ย ๆ หลายปีหน่อย

valuation ในเวลานี้ ผมว่าต้องรอบคอบนิดนึง

คอยดูสิครับ บทวิเคราะห์ที่โบร๊คคิด ผิดกระจุยแน่ ๆ สำหรับปีนี้
(ยกเว้นจะออกตอนใกล้ ๆ งบออกนะครับ ตรงอย่างบอกไม่ถูกเลย  :lol: )

fundflow in q2 และ downside risk ในระยะถัดไป

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ค. 09, 2009 9:22 pm
โดย hongvalue
[quote="i_sarut"]



ตอนนี้ก็น่าจะระยะที่ราคาโดยรวม ปานกลาง - แพง รึเปล่าครับ

แต่ไม่ได้มองรายตัวนะครับ บางตัวก็ยังถูกอยู่

fundflow in q2 และ downside risk ในระยะถัดไป

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ค. 09, 2009 9:26 pm
โดย hongvalue
crazyrisk เขียน: ถาม ฮงหน่อยว่า  เม็ดเงิน จาก fundflow ที่รอบแรก
แค่ recovery short  

สว่นตอนนี้ เป็นก้อนโตๆที่พัดเข้ามาเป็นพายุนั้น
ฮงรู้ไหมว่า ตอนนี้  เม็ดเงิน จากสภาพคล่อง

มันเข้ามาได้สักกี่ % แล้ว  

หมอเคครับ หมายความว่าไง

คือ % เนี้ยหมายถึง % ของสภาพคล่องทั่วโลก

หรือว่า ลงที่เกิดจาก qe

แต่จริงๆแล้วก็ต้องบอกว่า

ผมคิดว่าไม่มีวิธีวิเคราห์นะครับว่าเข้ามาได้กี่ % แล้ว

อันนี้ไม่ทราบจริงๆครับ

crazyrisk เขียน: ผมรู้ว่า รายใหญ่ เวลาไล่หุ้น เขาจะตั้งขายไว้ล่วงหน้า
เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ต ขณะไล่หุ้นไปเรื่อยๆ
ดังนั้น คนส่วนมากจึงคิดว่า รายใหญ่ต้นทุนโคตรถูก
แต่จริงๆ เป็นเพราะว่า เขาเก็บกำไรไประหว่างทางหมดแล้วต่างหาก

ส่วนพวก fundflow เนี่ย ไม่รู้ว่าใช้วิธีเดียวกันหรือเปล่า
ผมทราบมาว่า model ของฝรั่งค่อนข้างซับซ้อนและรองรับความเสี่ยงได้ดี

แต่ผมคิดว่าแต่ละกองทุนคงมีวิธีซื้อขาย มีการ set ระบบไม่เหมือนกันครับ

เท่าที่สังเกตุเมื่อไหร่ volume เยอะๆพอที่เขาจะออกของได้แบบไม่เสียราคา

เขาก็จะทิ้ง ตูมๆๆๆ ครับ

:lol:

fundflow in q2 และ downside risk ในระยะถัดไป

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ค. 09, 2009 9:29 pm
โดย hongvalue
Neocapritermes เขียน:คุณฮงสุดยอดเลยครับ ถ้าสนใจหาความรู้แนวๆนี้ไม่ทราบว่าจะศึกษาได้จากไหนบ้างครับ
แล้ว recession กับ stagflation นี่คืออะไรเหรอครับ
เคยตอบไปแล้ว แต่ตอบอีกก็ได้

ต้องไปศึกษาเรื่องเศรษฐศาสตร์ก่อนครับ

มีกี่เล่มอ่านให้หมดเลยครับ

แล้วก็เข้าเว็บแบงค์ชาติบ่อยๆ

ดู cnbc บ่อยๆครับ

หรือ สนใจให้ผมสอนให้ก็ได้นะครับ

แต่ต้องเลี้ยง oishi grand  ผมนะ

อิอิ :lol:

fundflow in q2 และ downside risk ในระยะถัดไป

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ค. 09, 2009 9:43 pm
โดย Neocapritermes
ขอบคุณคุณฮงและคุณ GeneraX ครับ
เอาไว้ถ้ามีโอกาสอาจจะเข้าไปขอความรู้พร้อมโออิชิแกรนด์ ว่าแต่มีหนังสือแนะนำมั่งรึป่าวครับ

fundflow in q2 และ downside risk ในระยะถัดไป

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ค. 09, 2009 10:02 pm
โดย hongvalue
Neocapritermes เขียน:ขอบคุณคุณฮงและคุณ GeneraX ครับ
เอาไว้ถ้ามีโอกาสอาจจะเข้าไปขอความรู้พร้อมโออิชิแกรนด์ ว่าแต่มีหนังสือแนะนำมั่งรึป่าวครับ
ลองหาหนังสือชื่อ

when market collide มาอ่านดูสิครับ

แล้วจะ get

fundflow in q2 และ downside risk ในระยะถัดไป

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ค. 09, 2009 10:05 pm
โดย hongvalue
GeneraX เขียน:Pattern เดิมๆอาจจะไม่ซ้ำรอยในวันนี้แล้วก็ได้ครับ โดยเฉพาะในเรื่องระยะเวลาที่ใช้ในการเกิด Pattern ต่างๆ ด้วยเหตุผลของ Globalization ทั้งในด้านความรวดเร็วในการรับรู้ข้อมูล การร่วมมือในการแก้ปัญหาต่างๆของทั้งโลก


อาจจะผิดหรืถูกไม่ทราบนะครับ แต่ก็ขอภาวนาให้เป็นแบบนั้น :pray:
(ขอบคุณที่ช่วยตอบเรื่อง recession กับ stagflation

ด้วยนะครับ)


ประเด็นนี้ก็น่าสนใจดีนะครับ

เพราะการแก้ปัญหาของรอบนี้กับรอบปี 1929 ต่างกันราวฟ้ากับเหว

ฉะนั้น สิ่งที่น่าจะบอกได้แน่นอนก็คือ dowjone จะไม่ลงไปเหลือ

10% นับจาก peak ส่วนจะใช้เวลากี่ปีในการถึง bottom

อันนี้ยังเป็นคำถาม

แต่ผมถือคติว่า

อะไรที่มันไม่เคยเกิดขึ้น ผมจะไม่หวังให้มันเกิดขึ้นครับ

fundflow in q2 และ downside risk ในระยะถัดไป

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ค. 09, 2009 10:10 pm
โดย hongvalue
auspicja เขียน:ยกเลิก mark to market อย่างนี้ ก้อทำให้ d/e ดูดีขึ้นเยอะเลยเพราะ asset ที่ใช้ค้ำประกันเงินกู้ มูลค่ามันหายไปเยอะ แต่ยกเลิกmtm ทำให้ใช้มูลค่าตอนปล่อยกู้

ผมเข้าใจถูกมั้ยครับ
ถ้ากำไรดีขึ้นก็จะทำให้ d/e ลด

เพราะว่าถ้ามีกำไรก็หักเข้ากำไรสะสมได้ตามหลักบัญชี



ส่วนประเด็นเรื่องปล่อยกู้ไม่ค่อยแน่ใจนะครับ :lol:

fundflow in q2 และ downside risk ในระยะถัดไป

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ค. 09, 2009 10:23 pm
โดย hongvalue
เพื่อความมันของกระทู้

ขอถามพี่หมอสามัญชนประธานเว็บหน่อยนะครับ

ทราบมาว่าพี่หมอเก่งเรื่องหุ้น cyclical  

ผมขอถามประเด็นที่เกี่ยวกับ economic เสริมหน่อยครับ


1.พี่หมอจะประเมิน demand ของหุ้นวัฏจักรอย่างไรครับ

เพราะมันขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจค่อนข้างมาก

เช่น ถ้าเศรษฐกิจดี น้ำมัน ปิโตร ค่าระวางก็ขึ้น

อย่างรอบนี้ดูเหมือนประเทศจีนจะสวนกระแสได้เร็วกว่าเพื่อน

ทำให้ค่าระวางเรือขึ้นมา

ซึ่งคงจะต่างจากรอบที่แล้วที่ tta psl วิ่งจาก 1 ไป 50

เพราะตอนนี้จีนยังไม่ค่อยโต แต่ตอนนี้เหมือนจีนจะโตขึ้นมาเยอะแล้ว

ถ้าผมจะสรุปว่าวิกฤติรอบนี้หุ้น cyclical อย่างเดินเรือหรือปิโตร

ไม่น่าจะให้ผลตอบแทนได้เหมือนช่วงปี 2002-2003

เพราะว่าประเทศจีนฐานการบริโภคใหญ่กว่าตะก่อน

พี่หมอจะมีความเห็นว่าอย่างไรครับ



2.พี่หมอคิดว่าการเล่นหุ้น cyclical จำเป็นต้องมีความรู้ทางเศรษฐศาสตร์มากน้อยแค่ไหนครับ

เพราะว่าถ้าเศรษฐกิจซึมยาว demand ก็ไม่มาซะที
ถ้าซึมแป๊ปเดียวหุ้นวัฏจักรก็อาจจะ bottom เร็วกว่าที่คิด

ไม่รู้ว่าพี่หมอคิดว่าเรื่องเศรษฐกิจสำคัญมากน้อยแค่ไหนครับ



ขอบคุณครับ

fundflow in q2 และ downside risk ในระยะถัดไป

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ค. 10, 2009 9:13 am
โดย tum_H
[quote="crazyrisk"]
ส่วนใครว่า ราคาน้ำมันร้อย แล้วหุ้นน้ำมันไม่ขึ้น
แรกๆ ก็ไม่ค่อยเชื่อ หลังๆเริ่มเชื่อ
อยากรู้เหลือเกิน ว่า

fundflow in q2 และ downside risk ในระยะถัดไป

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ค. 10, 2009 9:35 am
โดย hongvalue
การแก้ปัญหาด้วยการลดดือกเบี้ยคราวที่แล้ว

ทำให้เกิดฟองสบู่ภาคอสังหริมทรัพย์

การลดดอกเบี้ยคราวนี้ไม่รู้จะทำให้มีปัญหาอะไรตามมาในอนาคต

แต่จริงๆแล้วไม่ว่าจะเกิดประเด็นอะไรขึ้นมาเราก็ต้องลงทุนได้หมดแหละ

เพียงแต่เราต้องรู้ว่ามันเป็น theme อะไรก็เท่านั้น

นักลงทุนแนว

top-down นั้นจะต้องเข้าใจภาพใหญ่ให้ดี

ลองไล่จากของเก่าดูก็ได้

รูปภาพ


จริงๆแล้วผมไปนั่งเก็บข้อมูลมาหมดเลยว่า

ในแต่ละภาวะ sector ไหนให้ผลตอบแทนกันเท่าไหร่บ้าง

เช่น  q1-q2 51 เป็น  looming inflation

หุ้นที่มีโครงสร้างแบบไหนจะให้ return สูงสุด

หรือช่วง disinflation หุ้นแบบไหนให้ผลตอบแทนดีที่สุด

ranking เป็นราย sector

ถ้าเรามอง theme ข้างหน้าออก

เราก็ไปขุดข้อมูลของเก่าออกมาว่า

เราควรจะเอาเงินของเราไปแช่เอาไว้ที่ไหน

ก็เท่านั้นเอง




ไม่ใช่ว่ามันเกิดขึ้นแล้วคุณค่อยมานั่งคิดว่าตอนนี้เป็นภาวะอะไร

แล้วภาวะนั้นๆลงทุนอะไรดี

มันไม่ทันกินน่ะ



สำหรับคนที่อยากเล่นแนว top-down ผมว่าคุณต้องมีข้อมูล
มหาศาลมากกว่าคนเล่นแนว bottom-up นะ
ถ้าคนเล่นแนว bottom-up  เล่นแค่ 1-2 ตัวในอุตสาหกรรมที่เขาถนัด เขาก็ไม่ต้องทำการบ้านเยอะมาก

แต่ top-down ต่อให้เล่นแค่ตัวเดียวก็ยังต้องทำการบ้านเยอะมากๆอยู่ดี

ฉะนั้นเพื่อให้คุ้มกับค่าเสียเวลา

เราต้อง short หุ้นด้วยเมื่อเรามองว่า fundflow จะไหลออก
:lol:

fundflow in q2 และ downside risk ในระยะถัดไป

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ค. 10, 2009 9:43 am
โดย hongvalue
ผมมีข้อสงสัยว่า



vi นั้นถ้า short หุ้นจะเรียกว่า vi หรือไม่


ถ้านิยามของ vi คือ ซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่มันควรจะเป็น



แล้วถ้าผมนิยามขึ้นมาใหม่ว่า


นิยามของ vi รวมถึง ขายหุ้นที่มองว่าราคาแพงกว่าที่มันควรจะเป็นออกไปก่อนแล้วค่อยซื้อมันกลับในราคาที่เหมาะสมหรือมีส่วนลดจากราคาที่เหมาะสมล่ะ



มี vi ท่านไหน short หุ้นไหมครับ

แล้วการ short หุ้นถ้ามองที่กิจการ เราจะถือว่าผิดศีลของ

vi หรือไม่ครับ


ผมว่า vi ส่วนใหญ่ไม่ short เพราะว่ามีต้นทุนก็คือดอกเบี้ยในการกู้ยืมซึ่งไม่เหมือนซื้อหุ้นธรรมดาที่ไม่มีต้นทุนส่วนนี้

fundflow in q2 และ downside risk ในระยะถัดไป

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ค. 10, 2009 9:49 am
โดย hongvalue
[quote="surachaichia"]

fundflow in q2 และ downside risk ในระยะถัดไป

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ค. 10, 2009 10:16 am
โดย oatty
ป่านฉะนี้ น้องฮงยังสับสนกับนิยามของ VI อยู่หรือ  :D  :D
งั้นผมนิยามให้แล้วกันว่า ทำอีท่าไหนก็ได้ให้ได้ตามกฏของบัพเฟตต์

กระทู้นี้ดีนะ..ว่าต่อไปเรื่อย ๆ ตามอ่านอยู่ จะแจมด้วย ความรู้ก็ไม่ค่อยถึง คอยลอกอย่างเดียว อิิอิ.. :P  :P

fundflow in q2 และ downside risk ในระยะถัดไป

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ค. 10, 2009 12:21 pm
โดย สามัญชน
hongvalue เขียน: 1.พี่หมอจะประเมิน demand ของหุ้นวัฏจักรอย่างไรครับ

เพราะมันขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจค่อนข้างมาก

เช่น ถ้าเศรษฐกิจดี น้ำมัน ปิโตร ค่าระวางก็ขึ้น

อย่างรอบนี้ดูเหมือนประเทศจีนจะสวนกระแสได้เร็วกว่าเพื่อน

ทำให้ค่าระวางเรือขึ้นมา

ซึ่งคงจะต่างจากรอบที่แล้วที่ tta psl วิ่งจาก 1 ไป 50

เพราะตอนนี้จีนยังไม่ค่อยโต แต่ตอนนี้เหมือนจีนจะโตขึ้นมาเยอะแล้ว

ถ้าผมจะสรุปว่าวิกฤติรอบนี้หุ้น cyclical อย่างเดินเรือหรือปิโตร

ไม่น่าจะให้ผลตอบแทนได้เหมือนช่วงปี 2002-2003

เพราะว่าประเทศจีนฐานการบริโภคใหญ่กว่าตะก่อน

พี่หมอจะมีความเห็นว่าอย่างไรครับ
ผมมองว่าสำคัญทั้งดีมานด์/ซัพพลาย
อย่างเหตุการณ์สดๆร้อนๆเรื่องราคาน้ำมันที่ดิ่งเหวจาก 147 มา 30+
ถ้ามองแต่ซัพพลายเราจะบอกว่ามันเพิ่มมาไม่เท่าไหร่และอาจจะลดลงด้วย
แต่ดีมานด์มันลดเยอะ
ราคาก็เลยร่วง

เรื่องเรือถ้าเรามองแต่ดีมานด์เราอาจจะหวังว่าค่าระวางน่าจะเพิ่มขึ้น
เพราะจีนน่าจะเริ่มฟื้นส่งผลให้ดีมานด์โต
แต่ถ้ามองซัพพลายด้วย
เราจะพบว่ามีการต่อเรือเพิ่มขึ้นจำนวนมาก
ผมจึงเดาว่าต่อให้ค่าระวางเพิ่ม
ก็จะไม่เพิ่มรุนแรงเหมือนเมื่อหกปีก่อน
แต่ก็อาจจะมีผลบ้าง  คล้ายๆอาฟเตอร์ช็อคเวลาเกิดแผ่นดินไหว
ซึ่งความแรงจะน้อยกว่าเยอะ
ไม่แรงเท่าช่วง 2002 -2003 อย่างที่น้องฮงว่าแหละครับ

และโดยธรรมชาติของวัฏจักรกลุ่มเรือ
จะใช้ระยะเวลามากพอสมควร
ที่ผ่านมาแต่ละรอบก็ใช้เวลา 15-25 ปี
เพราะสัมพันธ์กับอายุของเรือ
จนกระทั่งผู้ประกอบการเดินเรือถอดใจกันหมดนั่นแหละครับ
รอบใหญ่จึงจะเกิดขึ้นอีก

เคมีก็เช่นกัน
เพิ่งผ่านรอบใหญ่ไปไม่นาน
มีการสร้างโรงงานเคมีมากมายโดยเฉพาะที่จีน
ดังนั้นรอบใหญ่น่าจะอีกนานครับ
หมายถึงได้กำไร 10-20 เท่านะ
แต่รอบเล็กก็เกิดขึ้นได้เสมออาจจะได้กำไรบ้าง 0.5-1 เท่า
แต่ความเสี่ยงที่จะขาดทุนก็สูงเช่นกัน
hongvalue เขียน:2.พี่หมอคิดว่าการเล่นหุ้น cyclical จำเป็นต้องมีความรู้ทางเศรษฐศาสตร์มากน้อยแค่ไหนครับ

เพราะว่าถ้าเศรษฐกิจซึมยาว demand ก็ไม่มาซะที
ถ้าซึมแป๊ปเดียวหุ้นวัฏจักรก็อาจจะ bottom เร็วกว่าที่คิด
พอดีผมไม่มีความรู้ทางเศรษฐศาสตร์เลย
ก็เลยยึดเรื่องดีมานด์/ซัพพลายเท่านั้นเอง

อย่างเราเดาว่าเศรษฐกิจซึมยาว(ซึ่งไม่รู้ว่าเราจะเดาผิดหรือถูก)
มันก็จะสะท้อนมาที่ดีมานด์ให้เราเห็น
หรือเศรษฐกิจจะรุ่งด้วย indicator หลายๆตัวทางเศรษฐศาสตร์
สุดท้ายก็จะลงเอยที่ดีมานด์เหมือนเดิม
อันที่จริงตัวดีมานด์/ซัพพลาย เป็น indicator ตัวหนึ่งที่สำคัญมากทางเศรษฐศาสตร์เลยทีเดียว

การโฟกัสไปที่หุ้นที่เราจะซื้อ
น่าจะเป็นประโยชน์กับเราโดยตรง
การโฟกัสไปที่ภาพรวมน่าจะเป็นประโยชน์กับเราโดยอ้อม
มีบ่อยไปที่ภาพรวมของอุตสาหกรรมหนึ่งไม่ดี
แต่หุ้นในกลุ่มนั้นตัวใดตัวหนึ่งหรือหลายๆตัวกลับดีสวนกระแสด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง
และทำกำไรให้เรางามๆ

หรือภาพรวมของอุตสาหกรรมหนึ่งดีมากๆ
แต่ตัวที่เราซื้อกลับแย่กว่าภาพรวม
ก็เจอได้บ่อยๆ

เรื่องภาพรวมนั้นขนาดลินช์และบัฟเฟตต์ยังบอกว่า
เขาเดาไม่ถูก
และจริงๆแล้วกระทั่งสถาบันที่เก่งๆก็เดาถูกเดาผิดพอๆกัน
หายากที่จะเดาถูก 80% ขึ้นไป

ส่วนเรื่อง fund flow
ผมไม่มีความรู้ครับ
เพราคิดว่าเป็นเรื่องยาก
เนื่องจากมีความไม่แน่นอนสูงในการวินิจฉัยให้แม่นในระดับที่เราพอใจ

fundflow in q2 และ downside risk ในระยะถัดไป

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ค. 10, 2009 12:42 pm
โดย สามัญชน
hongvalue เขียน: แล้วถ้าผมนิยามขึ้นมาใหม่ว่า

นิยามของ vi รวมถึง ขายหุ้นที่มองว่าราคาแพงกว่าที่มันควรจะเป็นออกไปก่อนแล้วค่อยซื้อมันกลับในราคาที่เหมาะสมหรือมีส่วนลดจากราคาที่เหมาะสมล่ะ
โดยตรรกกะก็น่าจะถูกนะครับ
ถ้าไม่มีหลักเกณฑ์ใดๆเลยของตลาดหลักทรัพย์ที่จะกระทบเราทางลบ

เช่นเวลาเราช็อตหุ้น
เราสามารถรอได้ตลอดไปจนกระทั่งเราพอใจเราถึงค่อยคืนหุ้น
ถ้าเป็นอย่างนี้ ผมก็ทำครับ
ใครจะว่าเป็นวีไอหรือไม่  ไม่สำคัญ
เพราะผมคิดว่าเราทำในสิ่งที่คุ้มค่า
แถมช่วยร่นระยะเวลาและเพิ่มเงินทุนและเพิ่มโอกาสให้เราอีก

แต่กฏเกณ์ต่างๆที่ออกมาควบคุมนั้น
ส่งผลในทางลบต่อพอร์ทเราค่อนขางมาก
ที่ต้องมีกฏเกณฑ์ก็เพื่อคุ้มครองผู้อื่นนอกจากตัวเราด้วย
เกิดราคาหุ้นกระชากตัวขึ้นแล้วเขาอยากได้หุ้นคืนทันที
เราไม่มีให้  เจ้าของหุ้นก็เสียหาย
โบรคก็ต้องไปหาหุ้นมาคืนแทนเรา โบรคก็เสียหาย

ที่สำคัญการช็อตหุ้นนั้น
มักจะให้ระยะเวลาที่จำกัดกับเรา
ไม่ใช่ให้ยาวนานเป็นปีๆหรือหลายๆปี
การเดิมพันในระยะเวลาสั้นๆนั้น
จะกลายเป็นการพนันแทนที่จะเป็นการลงทุน

เพราะระยะเวลาที่สั้นๆ
ราคาหุ้นไม่จำเป็นต้องตอบสนองกับมูลค่าที่แท้จริงอย่างที่เราคาดไว้สวยหรู
เพราะมี mr.market เป็นคนคุมนั่นเอง
และ mr.market ที่คุ้มดีคุ้มร้าย
แม้อาจจะเคยดีกับเราแต่ก็อาจจะร้ายอย่างมหันต์ต่อเราในอนาคตก็ได้

เรื่องดอกเบี้ยผมมองว่าเป็นเรื่องเล็ก
ถ้าเทียบกับดอกเบี้ยที่เราต้องไปกู้

และที่สำคัญ
การซื้อหุ้นเราอาจจะได้กำไรกี่ร้อยกี่พันเปอร์เซนต์ก็ได้
แต่เราขาดทุนอย่างมากก็แค่ 100 %

แต่การช็อตเรากำไรสูงสุดแค่ 100%
แต่ขาดทุนกี่ร้อยกี่พันเปอร์เซนต์ก็ได้

fundflow in q2 และ downside risk ในระยะถัดไป

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ค. 10, 2009 12:47 pm
โดย noooon010
hongvalue เขียน:ผมมีข้อสงสัยว่า



vi นั้นถ้า short หุ้นจะเรียกว่า vi หรือไม่


ถ้านิยามของ vi คือ ซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่มันควรจะเป็น



แล้วถ้าผมนิยามขึ้นมาใหม่ว่า


นิยามของ vi รวมถึง ขายหุ้นที่มองว่าราคาแพงกว่าที่มันควรจะเป็นออกไปก่อนแล้วค่อยซื้อมันกลับในราคาที่เหมาะสมหรือมีส่วนลดจากราคาที่เหมาะสมล่ะ



มี vi ท่านไหน short หุ้นไหมครับ

แล้วการ short หุ้นถ้ามองที่กิจการ เราจะถือว่าผิดศีลของ

vi หรือไม่ครับ


ผมว่า vi ส่วนใหญ่ไม่ short เพราะว่ามีต้นทุนก็คือดอกเบี้ยในการกู้ยืมซึ่งไม่เหมือนซื้อหุ้นธรรมดาที่ไม่มีต้นทุนส่วนนี้
ผมพึ่งเริ่มอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับ Warren buffett นะครับ
มีคนถามเค้า เรื่อง การ short หุ้น

เค้าตอบว่า ในระยะยาว
ราคาหุ้นจะไปสู่ราคาที่เหมาะสม

และส่วนใหญ่ ราคาหุ้น จะมีราคาสูงขึ้น
เค้าจึงไม่แนะนำการ short

ผมคิดว่า อาจเป็นเพราะ

1.Buffett ลงทุนระยะยาวมาก
เค้าลงทุนทั้งชีวิต

2.เค้าไม่ สนใจ Mr.market
เค้าสนใจที่ value และถ้าเป็นบริษัทที่ เข้า criteria ของเค้า และยังไงก็ไม่ล้มละลาย ราคาหุ้นมี MOS เค้าก็ซื้อครับ

น้องฮงเคยอ่าน winning habits of warren buffett & george soros ไหมครับ

พี่ชอบนะครับ

เค้าเขียนว่า จริงๆ นักลงทุนแต่ละคน จะมี philosophy ในการลงทุนคนละแบบ

แต่ละคน มอง แต่ละสิ่งต่างกัน
อาจมี indicator ที่เค้า follow up ต่างกัน

แต่นักลงทุนที่ไม่ประสบความสำเร็จหลายคน
นำ philosophy ของคนอื่นๆ มาลงทุน
โดยที่ว่า บางครั้ง philosophy ดังกล่าว ไม่ได้เหมาะกับตนเอง
สุดท้าย นักลงทุนคนนั้นก็ไม่ประสบความสำเร็จ

แล้วเค้าก็เปลี่ยน philosophy ให้เหมือนกับนักลงทุนคนอื่น
(ที่ไม่เข้ากับเค้าอีก)

ผมว่า แต่ละคน ต่างกันจริงๆครับ
ดังนั้น การเลือก philosophy ในการลงทุนของแต่ละคนนั้นสำคัญมากๆครับ

ตอบคำถาม(ซะที  :lol: )

ผมเคย short set 50 เพราะคาดว่า จะลง
แต่ไปๆมาๆ กลับตรงกันข้าม
โดน ระเบิดนาปาล์ม ทำลายล้างไปแล้ว  :D

ตอนหลังคิดว่า หุ้นในระยะยาวจะขึ้น
เลย long ในแบบที่เรียนกับพี่มนน่ะครับ

เพราะผมเชื่อว่า ในระยะยาว หุ้นจะไปสู่มูลค่าที่แท้จริง
ดังนั้น .. ณ ตอนนั้น ใครก็บอกได้ว่า หุ้น under- value

สำหรับผม ไม่ต้อง คิดมาก อะไร ก็เลย ซื้อหุ้น ครับ

แต่ ก็ต้องแบ่งเงินให้เป็นด้วยนะครับ
ไม่งั้นไม่มีเงินซื้อข้าว
ต้องขายหุ้นเพื่อซื้อข้าวทานเหมือนกัน :lol:


มีช่วงหนึ่งที่ temple จะฮิตเรื่องการลงทุนของ soros เนื่องจากคุณ
mudley group เป็นคนจุดประกาย

Sorosเค้าจะตั้ง hypothesis ขึ้นมา
แล้วเค้าก็ ค่อยๆแหย่ toe(นิ้วเท้า) (ในหนังสือเค้าเขียนแบบนี้จริงๆครับ)
ถ้า แหย่ toe แล้วปรากฏว่า hypothesis เค้าถูก เค้าก็จะ action ทันที

โดยหลายครั้ง เค้าใช้ future ในการลงทุน


ผมคิดว่า ใครจะลงทุนโดยใช้หลักการใดก็ได้
ขอแค่มัน ok กับตัวคุณก็พอแล้ว จริงไหมเอ่ย  :D
(แต่ต้องไม่ผิด จรรยาบรรณ & ศีลธรรมนะครับ พี่ฉัตรอุตส่าห์เป็นห่วงผม :D )

ผมว่า ใน thaivi เป็นสังคมแห่งความมีน้ำใจ นะครับ
เคยเข้า web board อื่น(เกี่ยวกับกล้อง)

แทบโดนมองว่า เป็นพวกตกยุคเหรอ ใช้ photoshop ยังไม่เป็นเลย  :oops:

fundflow in q2 และ downside risk ในระยะถัดไป

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ค. 10, 2009 12:48 pm
โดย sorawut
เยี่ยมมากครับ น้องฮง... :cool:  :cool:  :cool:

ช่วยเปิดหูเปิดตาได้มาก :D

ผมว่า short หุ้นจะผิดศีลหรือไม่ขึ้นอยู่กับเหตุผลที่ซื้อหุ้นตัวนั้นมาน่ะครับ

ถ้าซื้อมาเพราะมูลค่ากิจการ (ในระยะยาว) ที่คำนวนได้สูงกว่าราคาตลาดในปัจจุบันพอสมควร
การ short หุ้นเพื่อหวัง cap gain ของการ swing ของราคาหุ้นน่าจะผิดศีลข้อที่ว่า "ไม่มีใครคาดเดาตลาดได้" :lol:

แต่ถ้าซื้อมาเพราะว่าค่า P/E PEG และเห็นว่าอนาคต 1-2 ปี ผลประกอบการน่าจะแย่ลง
ก็อาจจะขายไปก่อนเพื่อรอให้ P/E PEG อยู่ที่ระดับที่เหมาะสมอีกครั้งแล้วค่อยกลับมาซื้อ :wink:

fundflow in q2 และ downside risk ในระยะถัดไป

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ค. 10, 2009 1:44 pm
โดย tum_H
สามัญชน เขียน: ที่สำคัญการช็อตหุ้นนั้น
มักจะให้ระยะเวลาที่จำกัดกับเรา
ไม่ใช่ให้ยาวนานเป็นปีๆหรือหลายๆปี
การเดิมพันในระยะเวลาสั้นๆนั้น
จะกลายเป็นการพนันแทนที่จะเป็นการลงทุน
ชอบประโยคนี้จัง ผมเองก็ไม่กล้าและไม่เคยคิดที่จะเล่น short อาจเป็น
เพราะเป็นโรคปอดแหกก็ได้ :lol:

กลัว  ที่จะต้องโดนบังคับขายหากไม่มีเงินมาเพิ่มกรณีหุ้นขึ้น
กลัว  ที่จะขาย หากขาดทุนเยอะๆ
กลัว  ที่หากติดหุ้นแล้วไม่มีเงินปันผลตอบแทน คอยปลอบใจ
กลัว  ที่ต้องคอยลุ้นเป็นรายวัน รายชั่วโมง

หึหึ สาระพัดความกลัวจริงๆเลยสำหรับผม ขนาดกู้เงินมาซื้อหุ้นเพิ่มยังไม่
กล้าเลย เพราะกลัวดอกเบี้ย

ทุกวันนี้ เงินทุกบาททุกสตางค์ ก็มาจากการทำงาน กำไรจากการลงทุนก็ลง
ทุนเพิ่มไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ลงทุนมายังไม่เคยถอนเงินจากบัญชีหุ้นมาใช้เลย

ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจในหลักการของการ short หุ้นสักเท่าไหร่ เลยไม่ค่อย
สนใจ แต่คนที่เข้าใจก็อาจมีประโยชน์ก็ได้นะครับ

สรุป ทำอะไรก็ตามที่เรามั่นใจและมีข้อมูลเพียงพอ ผมว่าความสำเร็จคงไม่หนี
ไปไหนหรอกครับ

:wink:

fundflow in q2 และ downside risk ในระยะถัดไป

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ค. 10, 2009 6:20 pm
โดย Linzhi
ชอบพี่หมอว่าเรือ่ง commodity จังเลยครับ
ขอบคุณฮงที่ชงคำถาม และพี่หมอแวะมาตอบ

คิดถึงช่วงเวปบอร์ดปี 2004-2005 จัง พี่ ๆ ตอนนี้คงร่ำรวยไปหมดแล้ว :)

ธุรกิจที่ไม่อิง กับภาพตลาดโลกมาก ๆ อย่างปิโตร หรือ เรือ
ผมว่าวัฏจักรรอบนี้จะกลับมาเร็ว

แต่ก็ต้องระวังบางธุรกิจที่เหมือนกับธุรกิจในประเทศ แต่ก็อิงกับตลาดโลกมาก ๆ
เช่น โรงแรม เพราะการลงทุนช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างเยอะมาก
หรือการบิน ที่คนอื่น ลงทุน เยอะ (ยกเว้นสนามบิน ที่ไม่ได้ขยาย :) เห็นกำลังอินเทรน)

ส่วนที่เหลือไม่ได้ขยายกำลังการผลิตอะไรใหญ่โต หลังจาก 40 เลย

อย่างอสังหา ผมว่า stock ไม่ได้เยอะเลย
โรงพยาบาล ผมก็ว่าไม่ได้ขยาย
ค้าปลีก ผมว่าเหมือนผู้เล่นเข้า infinitely long game แล้ว

ผมว่าภาพการลงทุนในอนาคตสามสี่ปีข้างหน้า
theme ที่ทำกำไรอาจจะเปลี่ยนไปเยอะ

แต่ผู้เล่นในตลาด คงยังวงเวียนกับพลังงาน แบงค์ อสังหา อยู่เหมือนเดิม