Expected value analysis
-
- Verified User
- โพสต์: 2938
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 31
อืม ถ้าเป็นคู่ขาว ก็คงรู้ซิเนอะ
คู่แดงนี่ไม่รู้
ผมนี่ชอบตอบก่อนแก้ทีหลังเรื่อย อิอิ
อย่างนี้มันจะคล้ายinvest first ของปู่โซรอสเปล่า 555
อ่านบทความดร.โหน่งทีไร ปวดหัวทุกที
เหมือนกะเล่นหุ้นแบบExpectเลย
หลังๆเลยเลิกexpect ทำให้มีความสุขขึ้นเยอะ
คู่แดงนี่ไม่รู้
ผมนี่ชอบตอบก่อนแก้ทีหลังเรื่อย อิอิ
อย่างนี้มันจะคล้ายinvest first ของปู่โซรอสเปล่า 555
อ่านบทความดร.โหน่งทีไร ปวดหัวทุกที
เหมือนกะเล่นหุ้นแบบExpectเลย
หลังๆเลยเลิกexpect ทำให้มีความสุขขึ้นเยอะ
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 34
พี่โหน่งนี้ยอดอัจฉริยะจริงๆครับ
ผมเองก็คิดว่าจะไปซุ่มฝึกวิชาพอดีมาอ่านเจอ
ก็เลยคิดว่าอ่านได้ความเห็นดีๆไปต่อยอดเพื่อฝึกวิชา
ผมมีเรื่องอยากขอคำปรึกษาหน่อยครับ
ช่วยดูให้หน่อยนะครับว่าผมเข้าใจถูกต้องไหมครับ
coc เกิดจากการลองผิดลองถูก ---->การรู้ coc ทำให้เราระบุ prob ได้แม่นยำขึ้น-----> และ prob ที่ดีควรมาจาก
ส่วนที่เยอะถูกไหมครับ
ผมขอยกตัวอย่างจริงจากหนึ่ง prob ทาง fundflow
รูปนี้เป็นรูปที่ผมดูเมื่อปลายปีที่แล้ว
คำอธิบายรูปนี้ก็คือ
จากสถิติที่ผ่านมา ถ้า fedfund rate ถึงวงจรดอกเบี้ย ต่ำสุด
การลงทุนใน Set index ต่อจากนั้นอีก 6 เดือน จะมีโอกาส
ชนะ 80% ก็คือได้ผลตอบแทนเป็นบวก 4 ครั้งใน 5ครั้ง
แต่ถ้ารวมครั้งปลายปีที่แล้วก็คือ 5 ใน 6 ครั้ง
โดยครั้งที่ได้กำไรสูงสุดได้ถึง 80% คือปี 2003 แต่ครั้งที่ขาดทุนคือปี
1996 เพราะตอนนั้นตลาดมองถึงค่ามั่นคงค่าเงินบาท
แต่ก็ขาดทุนเพียง 20%
ส่วนตัวผมก็ดู prob อันนี้ในการลงทุนเหมือนกันครับ
แต่แบบนี้พี่โหน่งว่าส่วนมันน้อยไปใช่ไหมครับเพราะมันมีแค่ 6 ครั้ง
แต่ว่าการ last cut ของ fed ก็คงจะไม่เกิดบ่อยมากเช่น
40 ครั้ง พี่โหน่งคิดว่าผมควรจะทำยังไงให้ prob ของผมสมบูรณ์แบบมากขึ้นครับ
แล้วถ้า prob ของส่วนมันมีบ่อยในแง่สัญญาณซื้อขาย
เราจะไม่เสียค่า com เยอะไปหน่อยเหรอ
ข้อ 2 ในโลกการลงทุน 1+1ไม่เท่ากับ 2 เพราะมันมี
expectation ใช่ไหมครับ สมมุติว่าผมดู expectation
ของตลาดด้วย spread bond แต่มีปัญหาว่าพอถึงจุด
cm ตลาดมักจะขึ้นหรือลงโดยที่เราไม่สามารถใช้ทั้ง
1+1 และ การดู expectation ได้
แบบนี้ผมควรจะทำอย่างไรดีครับถึงจะสามารถหาประโยชน์จาก cm ได้มากขึ้น และช่วยยกตัวอย่างวิธีหา
ประโยชน์จาก cm ของจริงให้ดูหน่อยได้ไหมครับ
ผมเองก็คิดว่าจะไปซุ่มฝึกวิชาพอดีมาอ่านเจอ
ก็เลยคิดว่าอ่านได้ความเห็นดีๆไปต่อยอดเพื่อฝึกวิชา
ผมมีเรื่องอยากขอคำปรึกษาหน่อยครับ
ช่วยดูให้หน่อยนะครับว่าผมเข้าใจถูกต้องไหมครับ
coc เกิดจากการลองผิดลองถูก ---->การรู้ coc ทำให้เราระบุ prob ได้แม่นยำขึ้น-----> และ prob ที่ดีควรมาจาก
ส่วนที่เยอะถูกไหมครับ
ผมขอยกตัวอย่างจริงจากหนึ่ง prob ทาง fundflow
รูปนี้เป็นรูปที่ผมดูเมื่อปลายปีที่แล้ว
คำอธิบายรูปนี้ก็คือ
จากสถิติที่ผ่านมา ถ้า fedfund rate ถึงวงจรดอกเบี้ย ต่ำสุด
การลงทุนใน Set index ต่อจากนั้นอีก 6 เดือน จะมีโอกาส
ชนะ 80% ก็คือได้ผลตอบแทนเป็นบวก 4 ครั้งใน 5ครั้ง
แต่ถ้ารวมครั้งปลายปีที่แล้วก็คือ 5 ใน 6 ครั้ง
โดยครั้งที่ได้กำไรสูงสุดได้ถึง 80% คือปี 2003 แต่ครั้งที่ขาดทุนคือปี
1996 เพราะตอนนั้นตลาดมองถึงค่ามั่นคงค่าเงินบาท
แต่ก็ขาดทุนเพียง 20%
ส่วนตัวผมก็ดู prob อันนี้ในการลงทุนเหมือนกันครับ
แต่แบบนี้พี่โหน่งว่าส่วนมันน้อยไปใช่ไหมครับเพราะมันมีแค่ 6 ครั้ง
แต่ว่าการ last cut ของ fed ก็คงจะไม่เกิดบ่อยมากเช่น
40 ครั้ง พี่โหน่งคิดว่าผมควรจะทำยังไงให้ prob ของผมสมบูรณ์แบบมากขึ้นครับ
แล้วถ้า prob ของส่วนมันมีบ่อยในแง่สัญญาณซื้อขาย
เราจะไม่เสียค่า com เยอะไปหน่อยเหรอ
ข้อ 2 ในโลกการลงทุน 1+1ไม่เท่ากับ 2 เพราะมันมี
expectation ใช่ไหมครับ สมมุติว่าผมดู expectation
ของตลาดด้วย spread bond แต่มีปัญหาว่าพอถึงจุด
cm ตลาดมักจะขึ้นหรือลงโดยที่เราไม่สามารถใช้ทั้ง
1+1 และ การดู expectation ได้
แบบนี้ผมควรจะทำอย่างไรดีครับถึงจะสามารถหาประโยชน์จาก cm ได้มากขึ้น และช่วยยกตัวอย่างวิธีหา
ประโยชน์จาก cm ของจริงให้ดูหน่อยได้ไหมครับ
สนใจเรื่องบัญชี กลยุทธ์ลงทุน fundflow แจมได้ที่ blog ผม
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 35
. /:8)/ ..... ช่วยขยายความ dicision tree
puth กับการประเมินราคาบริษัทหน่อยครับ
||
45656555 8 882659 11
5856 85 Q62 3694 no 2365899
586 485 55Q555Q5555 4 56316 659 335989
4569 no Q89 566 55646 yes 64512365 Q 9856 yes 56
4555622145 yes Q63236 45123Q659664156Q59652
569 687 5844 69584 9745 23656 no 94Q53465456489
4569 yes 98Q45123 544546464646 46464684
47889 62133Q3545 37 6523 9856 no 589Q6454
5698 345Q67879 AOT 78484Q yes 62369874Q56
45669545465464546 2345 6983658 848 56 966
359Q789 no 565 4815245678884Q84884 yes 1223Q5564Q95
1548788154 yes 545 12165487984 no 235Q64587984 9
145156 48781 11 45Q465456 85599 569 69Q
5468542 23658 4 yes 789855 6 69562236 54Q12455
4254123657895641223635 no 9854544659
\ \ / | / /
\ * \ / | / /
\ \/ > |/ /
\ < * < /
\ < /
\ < # /
< > }
| * > >
{ < |
< > }
| < >
{ < > |
< # > >
| > }
{ < # >
< > } \.....Decision Tree
/ < \ U\
/ * * \ ||
= = = = = = = = = = = = = = = =
puth กับการประเมินราคาบริษัทหน่อยครับ
||
45656555 8 882659 11
5856 85 Q62 3694 no 2365899
586 485 55Q555Q5555 4 56316 659 335989
4569 no Q89 566 55646 yes 64512365 Q 9856 yes 56
4555622145 yes Q63236 45123Q659664156Q59652
569 687 5844 69584 9745 23656 no 94Q53465456489
4569 yes 98Q45123 544546464646 46464684
47889 62133Q3545 37 6523 9856 no 589Q6454
5698 345Q67879 AOT 78484Q yes 62369874Q56
45669545465464546 2345 6983658 848 56 966
359Q789 no 565 4815245678884Q84884 yes 1223Q5564Q95
1548788154 yes 545 12165487984 no 235Q64587984 9
145156 48781 11 45Q465456 85599 569 69Q
5468542 23658 4 yes 789855 6 69562236 54Q12455
4254123657895641223635 no 9854544659
\ \ / | / /
\ * \ / | / /
\ \/ > |/ /
\ < * < /
\ < /
\ < # /
< > }
| * > >
{ < |
< > }
| < >
{ < > |
< # > >
| > }
{ < # >
< > } \.....Decision Tree
/ < \ U\
/ * * \ ||
= = = = = = = = = = = = = = = =
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 37
. / / ...... ช่วยดูให้หน่อยนะครับว่าผมเข้าใจถูกต้องไหมครับ
ท่านฮง
/ \
....... สวัสดีครับท่านฮง เรื่อง Fund Flow ผมโง่ครับ
|O\ ผมไม่รู้หรอกครับ ต้องขอโทษด้วยครับ
|| ผมยังแอบอ่าน blog ท่านเลย ^ ^
ท่านฮงจำคำถามเซียนใส่หมวกที่ผมถามไปได้ไหม
คำตอบคือแดงครับ แต่ทั้งนี้ คำตอบอยู๋บนสมมุติฐาน
ทั้งเซียนกระทิงและเซียนเสือเป็นเซียนจริงๆ
เข้าใจเรื่องความน่าจะเป็น และไม่ได้จงใจตอบผิด
พี่เล็กแจ่มเรื่องนี้มากที่สุด
ท่านฮงจำเสือได้ไหมครับ
เสือมัน invest first แล้ว investigate later
เสือมีสมมุติฐาน แล้วมันลองทำดูครับ
สมมุติฐาน มาก่อนคำพิพากษาครับ
ส่วนสิ่งที่ก่อนสมมุติฐาน คือ สัณชาติญาณของเสือครับ
วันนี้ผมลองใช้กับ CPF สร้างสมมุติฐานขั้นมา
แล้ว Invest first, investigate later
ลงทุนทีละน้อย คอยดูว่าสมมุติฐานของเราถุกหรือผิด
บางทีก็สร้างสัมผัสขึ้นมา ขายก่อนแล้วค่อยซื้อ
ถ้ามีคนรับมาก ผมถึงจะซื้อ คือ ซื้อไปแล้ว มีคนมารอซื้อต่อแน่ๆ
การสร้างความรูสึกเกี่ยวตลาดขึ้นมานั้น ผมทำไม่บ่อยครับ
ทำต่อเมื่อ ไม่แน่ใจเท่านั้น
ถ้าอยากซื้อ ผมจะขายก่อน ถ้าอยากขาย ผมจะซื้อก่อน
ที่สำคัญ ต้องแยกอารมณ์และความรูสีกของตนออกจากตลาดให้ได้
ไม่ปล่อยให้ตันหาต่างๆ เข้ามาปน
ไม่ปล่อยให้อัตตามาปะปนกับการตัดสิน ใจทางการลงทุนอย่างเด็ดขาด
การที่ปราศจากอารมณ์ความรูสึกในการลงทุนนั้น ต้องอาสัยความมีวินัย
ต้องอาสัยความมั่นใจในตัวเองอย่างมากด้วยครับ
อีกทั้งต้องเข้าใจว่าตลาดมีทั้งด้านที่มีเหตุผล และไม่มีเหตุผล
และยังต้องยอมรับด้วยว่า เราไม่สามารถตัดสินใจได้ถุกต้องตลอดเวลา
หากมีโอกาส ต้องฉกฉวยให้เต็มที่
หากผิดพลาด ก็ยอมรับผิด สำคัญที่ต้องรูว่าเมื่อผิดแล้ว ต้องทำอย่างไรให้อยู่รอด
คนที่คิดอย่างนี้ได้ มีนับหลายเลย
พี่นันจังเก่งที่สุดครับ
ใน Thaivi นักลงทุนมีสมมุติฐาน
เชื่อว่าตลาดหุ้นมีเหตุผล เชื่อว่า ราคาหุ้นมีตรรกะฝังอยู๋ในตัวของมัน
เชื่อว่า ถ้าเขาสามารถวิเคราะห์ทำความเข้าใจตรรกะที่ว่านี้
ดังนั้น พวกเขาจะสามารถรวยได้
หลายท่านในไทวิเก่งในเรื่องหาตรรกะนี้นี้
ผมมีสมมุติฐาน prob ทุกอย่างมันอยู๋ที่ตรงนั้น
แต่ผมไม่เชื่อว่าตลาดมีตรรกะอย่างนั้นตลอดเวลา
ผมเชื่อว่าตลาดมีด้านที่ไร้ระเบียบ
ผมถนัดมองด้านอย่างนั้น
ถ้าวิเคราะห์ความไร้ระเบียบนี้ ผมก็รวยได้เช่นกัน
ผมไม่เชื่อว่าการเคลื่อนไหวตลาดหุ้นมีสูตรคณิตศาสตร์
คณิตศาสตร์ไม่ได้ควบคุมการเคลื่อนไหวของตลาด
ตลาดถูกควบคลุมด้วยจิตวิทยา พูดให้ชัดคือ
สัญชาติญาณในการอยู๋รวมกันเป้นกลุ่มหรือฝูงนั่นเองครับ
วันนี้ผมตั้ง สมมุติฐานว่า กลุ่มนักลงทุนจะวิ่งตาม CPF
ตลาดผันผวนเมื่อวาน คนเข้าหาหุ้นที่ผันผวนน้อย
ระบบที่ผมมีมันบอกอย่างนั้น มัน correlate กับ cpall
แต่ผมบอกระบบผมได้
ผมไม่ใจกว้างเหมือนท่านฮง ท่านฮงบอกหมดเลย
ท่านฮงน่านับถือมากกว่าผมเยอะ
เหมือนที่ท่านมัดบอก
โซรอสพยามชี้ให้เราเห็นถึงข้อจำกัดของการใช้สมองของมนุษย์ใน
การคิดหรือแก้ไขปัญหา
จากแนวคิดที่เขาพยามจะสือให้เห็นนั่นข้อผิดพลาดของมนุษย์
ก็เริ่มต้นตั้งแต่แรกอยุ๋แล้วคือสมมุติฐานที่เราคิดขึ้นมาใช้กันทุกวันนี้
เนื่องจากสมมุติฐานเป็นผลผลิตจากความคิดหรือจากสมองนั่นเอง
สมองของมนุษย์มีความจำกัดในการแก้ไขปัญหาอย่างมาก
ซึ่งโซรอสเสนอแนวทางที่น่าสนใจมากคือใช้ จิตใจในการแก้ปัญหา
ค่อนข้างจะเชื่อในจิตใต้สำนึกของแกเป็นอันดับแรกก่อนสมอง
เนื่องจากแกอยู่ในยุคสงคราม และการเอาตัวรอดนั้น
คนที่มัวใช้เวลาในการใช้สมองในการเอาตัวรอดนั้นอาจจะไม่มีชีวิตรอด
เขาอาจจะไม่รุ้ว่าพุทธเจ้าก็เห็นความสำคัญของการใช้
ปัญญาญาณมากกว่าสมองเช่นกัน
ผมถึงต้องฝึกสมาธิทุกวัน ผมเน้นการปฏิบัติวันละเล็กละน้อย
เพื่อพยามจะทำความเข้าใจถึงความจริงโดยการปฏิบัติตัว
ในสิ่งที่ต้องการจะเรียนรุ้ ผมทำสมาธฺกับทุกอย่าง
แม้กระทั่งในตลาดด้วย
สุดท้ายจากประสบการณ์ทั้งหมดมันก็ทำให้เราเข้าใจ
และเข้าถึงมันมากขึ้น จนเรียกได้ว่า
ไม่ว่าตลาดมันจะเป็นอย่างไร
เราก็จะดำรงอยุ่คุ่มันไปได้ตลอดตราบเท่าที่โลกนี้
ยังไม่เบื่อเกมส์ทุนนิยมแบบนี้
ส่วนตัว ผมยังต้องเรียนอีกเยอะ เรียนจนแก่เลย
มีคนบอกว่า "ไอ้โหน่งเป็นคนขี้โม้"
คำพูดของประโยคนี้กลับทำให้ความจริงของมัน
อยุ่กับบุคคลนั้นๆ เช่น คนที่ไม่ชอบปรัชญาเพราะคิดว่าฟุ้งซ่าน
ก็จะมองว่าผมเป็นคนบ้า 555555
อีกคนอาจจะมองว่าผมเป็นคนคอยช่วย
เหลือคนอื่นตลอด ก็จะมองว่าดีเป็นต้น
ผมมองว่านี่เป็นจุด เริ่มของ Reflexivity
เพราะมันเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาหากว่าเราได้รับข้อมูลแบบนี้
เราควรจะคบกับไอ้โหน่งดีหรือไม่
ซึ่งเราจะไม่มีทางรุ้ความจริงได้เลย จนกว่าจะลองคบดูนิสัย
ไปนาน ๆ ก่อนจนเห็นธาตุแท้
ธาตุผมเป้นธาตุหุ้น ไม่ใช่ ดิน น้ำ ลง ไฟ
เพราะคิดเกี่ยวกับหุ้นตลอดเวลา 5555
ถ้าเราตัดสินใจบนข้อมูลดิบ
หากเราใช้ความคิดของเราในการตีค่าความจริงนั้นออกมา
ที่ส่งผ่านมาทางสมมุติฐานตั้งแต่แรก
มันก็จะมีโอกาสผิดพลาดได้ เพราะสมมุติฐานมันมี prob ในตัวเอง
ผมจะยกตัวอย่างเคสจริงในตลาดหุ้น...
เราได้รับข้อมูลข่าวสารมาว่า...
"ตัวเลขการว่างงานในสหรัฐสูงถึง 1 ล้านต่ำแหน่ง
โอเคนี้เป็นตัวเลขการเก็บข้อมูลดิบจะเป็นดังเช่นประโยคแรก
เศรษฐกิจของโลกจะเลวร้ายลง ส่งผลร้ายต่อตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่อง
เนื่องจากตัวเลขว่างงานของอเมริกาสูงขึ้นอย่างมาก
เห็นมั้ยครับ นี่เป็นส่วนของ Reflexivity
เป็นประโยคที่ส่งผ่านความเห็นความเชื่อออกมาบนรากฐานของข้อมูล
ข้อมูลที่มันเป็นแบบนี้ ความจริงมันอาจจะเป็นแบบไหนก็ได้
ตลาดหุ้นอาจจะเริ่มก่อต่อฟองสบู่ Super Bubble รอบใหม่แล้วก็ได้
เพราะทุกประเทศต่างอัดฉีดเงินพร้อมๆกันทั่วโลกแบบนี้
หรือ จะเลวร้ายต่อเนื่องไปอีกก็ได้
ดังนั้นเมื่อโซรอสเห็นว่าทางไหนมีโอกาสเป็นจริงมากที่สุดแกก็จะถือหาง
ด้านที่เป้นความจริงนั่นเอง ทุกเช้ามันดิ้นได้
สมมุติฐานมันถึงต้องปรับตัวตลอดเวลา
ถ้าสมมุติฐานมันไม่ยึดหยุ่น เสร็จแน่ๆ
ขออนุญาติยกอีกตัวอย่างครับ
ปีที่แล้วเป้นปีที่กองทุนขนาดใหญ่ที่มีเม็ดเงิน
มหาศาลนั้นรอดได้แค่สองกองทุนแค่นั้น คือ
Soros Fund management
กับ Paulson ที่กรีนสแปนเป็นที่ปรึกษา
จริงๆแล้วมีเฮดจ์ฟันหลายแห่งที่ทำผลตอบแทนได้ดีมากกว่า
แต่กองทุนที่ขนาดใหญ่เนี่ย
ถ้าสถานการณ์เลวร้ายแล้วยังทำผลตอบแทนได้จะน่าประหลาดใจมาก
เพราะกองทุนขนาดใหญ่กุมเม็ดเงินมหาศาลในมือไว้
ทั้งยังสามารถเอาตัวรอดได้ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน
บัฟเฟตยังยอมรับเลยว่าปีที่แล้วเป็นปีที่ไม่ง่ายเลย
สำหรับการบริหารเงินลงทุนขนาดมากๆแบบนั้น
ตัวอย่างของโซรอสในปีที่แล้ว
ตอนแรกๆ ผิดพลาดเช่นคนอื่น ๆ ครับ
เพราะมนุษย์นั้นผิดพลาดได้เสมอตามความเชื่อของเขา
และเขาก็ผิดบ่อยมากๆ
เขาพยามย้ำให้เรายอมรับว่าเราผิดพลาดให้ได้
ไม่ใช่สิ่งที่น่าอายหรือปกปิด
ซึ่งสิ่งที่เขาบอกนั้นช่วยพัฒนาตัวผมอย่างมากครับ
ในตอนแรก..
โซรอสยังหาความจริงไม่ได้
จนมาถึงช่วงหนึ่งที่ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นไปสุงมาก
จุดนี้เป็นจุดเปลี่ยนเลย
ท่ามกลางข้อมูลดิบที่มา support ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญในวงการ
มากมายว่าน้ำมันจะต้องพุ่งทยานเนื่องจากปริมาณน้ำมันสำรอง
ไม่สอดคล้องกับความต้องการใช้ที่มหาศาลในโลกใบนี้
ปัญหาก็คือ ข้อมูลที่ support เหล่านั้นแน่นอนมันอาจทำให้ราคาสูงขึ้น
แต่มันก็เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้คนหันไปเร่งพัฒนา
พลังงานทดแทนกันมากขึ้นเช่นกัน
พอเขาเห็นสัญญาการพัฒนาพลังงานทดแทนที่มากขึ้นขนาดนั้น
รวมทั้งราคาพืชพลังงานที่พุ่งขึ้นเป็นประวัติการณ์
ทำให้เขามั่นใจในความจริงว่าจะอยุ่ด้านไหน
นี่คือบทเรียน Reflexivity ที่ผมได้รับจากปีที่แล้วเต็มตัว
ท่านฮงจำเกมของท่านสุมาอี้ได้ไหมครับ
กติกาของเกมนี้มีอยู่ว่า ให้ทุกคนเลือกตัวเลขหนึ่งตัวจาก 1-100 (เลข
0 ไม่เอานะ) เสร็จแล้ว PM มาให้ท่านแม่ทัพ
ผู้ที่จะชนะในเกมนี้คือผู้ที่เลือกตัวเลขที่ใกล้เคียงกับ 2/3 ของค่า
เฉลี่ย (mean) ของตัวเลขทีทุกคนส่งมา
เกมนี้ฝึกทักษะของการชิงไหวชิงพริบของการเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้น
ท่านแม่ทัพบอกว่า เกมนี้มีชื่อว่า Beauty Contest
ชื่อของเกมนี้มาจากความคิดเห็นของ John Maynard Keynes เกี่ยว
กับตลาดหุ้น JMK บอกว่า
ตลาดหุ้นในระยะสั้นมีลักษณะคล้ายกับเกมทายผลนางงามที่อยู่ตาม
หน้าหนังสือพิมพ์แบบที่มีรูปนางงามมาให้เลือกหลายคนแล้วให้ผู้อ่าน
ส่งชิงโชคทายผลว่า นางงามคนไหนจะได้รับการโหวตมากที่สุด
กติกาแบบนี้คนที่อยากได้รางวัลจะไม่เลือกนางงามคนที่ตัวเองคิดว่า
สวยที่สุด พวกเขาจะไม่เลือกแม้แต่นางงามที่ตัวเองคิดว่าน่าจะเป็น
คนที่คนส่วนใหญ่โดยเฉลี่ยน่าจะเห็นว่าสวยที่สุดด้วย พวกเขาจะคิด
สามตลบคือจะเลือกคนที่เขาคิดว่าคนส่วนใหญ่น่าจะคิดว่าคนส่วน
ใหญ่จะเห็นว่าสวยที่สุด
ตลาดหุ้นในระยะสั้นก็มีเช่นนี้ เพราะราคาหุ้นจะขึ้นได้
ถ้าหาก ที่ ณ ราคาเก่า จะทำให้มีคนที่ต้องการซื้อมากกว่าคนที่ต้องการ
ขาย การเล่นหุ้นให้ได้ตังค์จึงต้องเดาให้ออกว่าคนส่วนใหญ่กำลังจะคิด
ว่าหุ้นตัวไหนกำลังจะขึ้น ก็เลยทำให้คนที่เล่นหุ้นไม่ได้เลือกหุ้นโดยดู
จากปัจจัยพื้นฐานที่ดีในความคิดของตัวเอง ทุกคนใช้พยายามเดาว่า
คนอื่นจะคิดอย่างไร ก็กลายเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่จะอธิบายได้ว่า
ในระยะสั้น ทำไมหุ้นบางตัวจึงวิ่งขึ้น หุ้นบางตัวจึงวิ่งลง และการที่คน
ส่วนใหญ่ซื้อหุ้นโดยดูคนอื่นแทนที่จะเลือกหุ้นตามความคิดของตัวเอง
ทำให้ตลาดหุ้นมักเกิดฟองสบู่อยู่เรื่อยๆ
ผมชอบที่พี่หมอสามัญชนตอบมากที่สุดครับ
หมอเก่งเรื่อง prob ทุกคน เพราะรักษาคนำไข้ เจอกับ prob ตลอด
พี่หมอตอบว่า..
ถ้าโจทย์บอกว่า เอาค่าเฉลี่ยเป็นคำตอบ
คำตอบจะวิ่งเข้าสู่เลข 50 ยิ่งจำนวนคนทายมีมากๆโอกาสเป็น 50
ก็ยิ่งมากขึ้น เพราะค่าเฉลี่ยของตัวเลขที่ 0-99 อยู่ที่ 50 นั่นเอง อันนี้
เป็นหมากทั่วไป แต่เนื่องจากโจทย์บอกว่าคำตอบคือ 2/3 ของค่า
เฉลี่ย และทุกคนทราบแล้ว ดังนั้น
หมากทั่วไปของเกมส์นี้จึงต้องแทงที่ 2/3*50 = 33.3
แต่เนื่องจากทุกคนทราบแล้วนั่นเองและเดาว่าทุกคนจะต้องแทงที่
33 เมื่อแทง 33 มากขึ้นค่าเฉลี่ยก็จะลดลงเรื่อยๆ
หมากหนึ่งชั้นจึงต้องแทงที่เลข 2/3*33 = 22
และถ้าคิดสองชั้นก็จะต้องแทงที่ 2/3*22 = 14
เช่นกันถ้าคิดสามชั้น ก็ต้องแทงที่ 2/3*14 = 8
ถ้าคิดที่ร้อยชั้น ก็ต้องแทงที่ =1
ถ้าคำตอบของเกมส์ในครั้งนี้อยู่ที่ 22 ก็แปลว่าสมาชิกส่วนใหญ่คิดไกล
ไปหนึ่งชั้น
ถ้าคำตอบของเกมส์นี้อยู่ที่ 14 ก็แปลว่าสมาชิกส่วนใหญ่คิดไกลไปสองชั้น
ถ้าคำตอบอยู่ที่ 1 ก็แปลว่าสมาชิก TVI ของเราคิดไปไกลร้อยชั้น (เริ่มเข้าทำนอง คบไม่ได้ 555)
อ้อ.......ลืมไปครับ ถ้าคำตอบอยู่ที่ > 33
แปลว่าสมาชิกส่วนใหญ่(ไม่ใช่ทั้งหมดนะครับ) ไม่คิดอะไรเลย
แทงเอามันส์ลูกเดียว อันนี้คบได้ครับ 55555
ผมว่านั่นเป็นความคิดที่สุดยอดครับ
สวัสดีครับท่านฮง......
ท่านฮง
/ \
....... สวัสดีครับท่านฮง เรื่อง Fund Flow ผมโง่ครับ
|O\ ผมไม่รู้หรอกครับ ต้องขอโทษด้วยครับ
|| ผมยังแอบอ่าน blog ท่านเลย ^ ^
ท่านฮงจำคำถามเซียนใส่หมวกที่ผมถามไปได้ไหม
คำตอบคือแดงครับ แต่ทั้งนี้ คำตอบอยู๋บนสมมุติฐาน
ทั้งเซียนกระทิงและเซียนเสือเป็นเซียนจริงๆ
เข้าใจเรื่องความน่าจะเป็น และไม่ได้จงใจตอบผิด
พี่เล็กแจ่มเรื่องนี้มากที่สุด
ท่านฮงจำเสือได้ไหมครับ
เสือมัน invest first แล้ว investigate later
เสือมีสมมุติฐาน แล้วมันลองทำดูครับ
สมมุติฐาน มาก่อนคำพิพากษาครับ
ส่วนสิ่งที่ก่อนสมมุติฐาน คือ สัณชาติญาณของเสือครับ
วันนี้ผมลองใช้กับ CPF สร้างสมมุติฐานขั้นมา
แล้ว Invest first, investigate later
ลงทุนทีละน้อย คอยดูว่าสมมุติฐานของเราถุกหรือผิด
บางทีก็สร้างสัมผัสขึ้นมา ขายก่อนแล้วค่อยซื้อ
ถ้ามีคนรับมาก ผมถึงจะซื้อ คือ ซื้อไปแล้ว มีคนมารอซื้อต่อแน่ๆ
การสร้างความรูสึกเกี่ยวตลาดขึ้นมานั้น ผมทำไม่บ่อยครับ
ทำต่อเมื่อ ไม่แน่ใจเท่านั้น
ถ้าอยากซื้อ ผมจะขายก่อน ถ้าอยากขาย ผมจะซื้อก่อน
ที่สำคัญ ต้องแยกอารมณ์และความรูสีกของตนออกจากตลาดให้ได้
ไม่ปล่อยให้ตันหาต่างๆ เข้ามาปน
ไม่ปล่อยให้อัตตามาปะปนกับการตัดสิน ใจทางการลงทุนอย่างเด็ดขาด
การที่ปราศจากอารมณ์ความรูสึกในการลงทุนนั้น ต้องอาสัยความมีวินัย
ต้องอาสัยความมั่นใจในตัวเองอย่างมากด้วยครับ
อีกทั้งต้องเข้าใจว่าตลาดมีทั้งด้านที่มีเหตุผล และไม่มีเหตุผล
และยังต้องยอมรับด้วยว่า เราไม่สามารถตัดสินใจได้ถุกต้องตลอดเวลา
หากมีโอกาส ต้องฉกฉวยให้เต็มที่
หากผิดพลาด ก็ยอมรับผิด สำคัญที่ต้องรูว่าเมื่อผิดแล้ว ต้องทำอย่างไรให้อยู่รอด
คนที่คิดอย่างนี้ได้ มีนับหลายเลย
พี่นันจังเก่งที่สุดครับ
ใน Thaivi นักลงทุนมีสมมุติฐาน
เชื่อว่าตลาดหุ้นมีเหตุผล เชื่อว่า ราคาหุ้นมีตรรกะฝังอยู๋ในตัวของมัน
เชื่อว่า ถ้าเขาสามารถวิเคราะห์ทำความเข้าใจตรรกะที่ว่านี้
ดังนั้น พวกเขาจะสามารถรวยได้
หลายท่านในไทวิเก่งในเรื่องหาตรรกะนี้นี้
ผมมีสมมุติฐาน prob ทุกอย่างมันอยู๋ที่ตรงนั้น
แต่ผมไม่เชื่อว่าตลาดมีตรรกะอย่างนั้นตลอดเวลา
ผมเชื่อว่าตลาดมีด้านที่ไร้ระเบียบ
ผมถนัดมองด้านอย่างนั้น
ถ้าวิเคราะห์ความไร้ระเบียบนี้ ผมก็รวยได้เช่นกัน
ผมไม่เชื่อว่าการเคลื่อนไหวตลาดหุ้นมีสูตรคณิตศาสตร์
คณิตศาสตร์ไม่ได้ควบคุมการเคลื่อนไหวของตลาด
ตลาดถูกควบคลุมด้วยจิตวิทยา พูดให้ชัดคือ
สัญชาติญาณในการอยู๋รวมกันเป้นกลุ่มหรือฝูงนั่นเองครับ
วันนี้ผมตั้ง สมมุติฐานว่า กลุ่มนักลงทุนจะวิ่งตาม CPF
ตลาดผันผวนเมื่อวาน คนเข้าหาหุ้นที่ผันผวนน้อย
ระบบที่ผมมีมันบอกอย่างนั้น มัน correlate กับ cpall
แต่ผมบอกระบบผมได้
ผมไม่ใจกว้างเหมือนท่านฮง ท่านฮงบอกหมดเลย
ท่านฮงน่านับถือมากกว่าผมเยอะ
เหมือนที่ท่านมัดบอก
โซรอสพยามชี้ให้เราเห็นถึงข้อจำกัดของการใช้สมองของมนุษย์ใน
การคิดหรือแก้ไขปัญหา
จากแนวคิดที่เขาพยามจะสือให้เห็นนั่นข้อผิดพลาดของมนุษย์
ก็เริ่มต้นตั้งแต่แรกอยุ๋แล้วคือสมมุติฐานที่เราคิดขึ้นมาใช้กันทุกวันนี้
เนื่องจากสมมุติฐานเป็นผลผลิตจากความคิดหรือจากสมองนั่นเอง
สมองของมนุษย์มีความจำกัดในการแก้ไขปัญหาอย่างมาก
ซึ่งโซรอสเสนอแนวทางที่น่าสนใจมากคือใช้ จิตใจในการแก้ปัญหา
ค่อนข้างจะเชื่อในจิตใต้สำนึกของแกเป็นอันดับแรกก่อนสมอง
เนื่องจากแกอยู่ในยุคสงคราม และการเอาตัวรอดนั้น
คนที่มัวใช้เวลาในการใช้สมองในการเอาตัวรอดนั้นอาจจะไม่มีชีวิตรอด
เขาอาจจะไม่รุ้ว่าพุทธเจ้าก็เห็นความสำคัญของการใช้
ปัญญาญาณมากกว่าสมองเช่นกัน
ผมถึงต้องฝึกสมาธิทุกวัน ผมเน้นการปฏิบัติวันละเล็กละน้อย
เพื่อพยามจะทำความเข้าใจถึงความจริงโดยการปฏิบัติตัว
ในสิ่งที่ต้องการจะเรียนรุ้ ผมทำสมาธฺกับทุกอย่าง
แม้กระทั่งในตลาดด้วย
สุดท้ายจากประสบการณ์ทั้งหมดมันก็ทำให้เราเข้าใจ
และเข้าถึงมันมากขึ้น จนเรียกได้ว่า
ไม่ว่าตลาดมันจะเป็นอย่างไร
เราก็จะดำรงอยุ่คุ่มันไปได้ตลอดตราบเท่าที่โลกนี้
ยังไม่เบื่อเกมส์ทุนนิยมแบบนี้
ส่วนตัว ผมยังต้องเรียนอีกเยอะ เรียนจนแก่เลย
มีคนบอกว่า "ไอ้โหน่งเป็นคนขี้โม้"
คำพูดของประโยคนี้กลับทำให้ความจริงของมัน
อยุ่กับบุคคลนั้นๆ เช่น คนที่ไม่ชอบปรัชญาเพราะคิดว่าฟุ้งซ่าน
ก็จะมองว่าผมเป็นคนบ้า 555555
อีกคนอาจจะมองว่าผมเป็นคนคอยช่วย
เหลือคนอื่นตลอด ก็จะมองว่าดีเป็นต้น
ผมมองว่านี่เป็นจุด เริ่มของ Reflexivity
เพราะมันเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาหากว่าเราได้รับข้อมูลแบบนี้
เราควรจะคบกับไอ้โหน่งดีหรือไม่
ซึ่งเราจะไม่มีทางรุ้ความจริงได้เลย จนกว่าจะลองคบดูนิสัย
ไปนาน ๆ ก่อนจนเห็นธาตุแท้
ธาตุผมเป้นธาตุหุ้น ไม่ใช่ ดิน น้ำ ลง ไฟ
เพราะคิดเกี่ยวกับหุ้นตลอดเวลา 5555
ถ้าเราตัดสินใจบนข้อมูลดิบ
หากเราใช้ความคิดของเราในการตีค่าความจริงนั้นออกมา
ที่ส่งผ่านมาทางสมมุติฐานตั้งแต่แรก
มันก็จะมีโอกาสผิดพลาดได้ เพราะสมมุติฐานมันมี prob ในตัวเอง
ผมจะยกตัวอย่างเคสจริงในตลาดหุ้น...
เราได้รับข้อมูลข่าวสารมาว่า...
"ตัวเลขการว่างงานในสหรัฐสูงถึง 1 ล้านต่ำแหน่ง
โอเคนี้เป็นตัวเลขการเก็บข้อมูลดิบจะเป็นดังเช่นประโยคแรก
เศรษฐกิจของโลกจะเลวร้ายลง ส่งผลร้ายต่อตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่อง
เนื่องจากตัวเลขว่างงานของอเมริกาสูงขึ้นอย่างมาก
เห็นมั้ยครับ นี่เป็นส่วนของ Reflexivity
เป็นประโยคที่ส่งผ่านความเห็นความเชื่อออกมาบนรากฐานของข้อมูล
ข้อมูลที่มันเป็นแบบนี้ ความจริงมันอาจจะเป็นแบบไหนก็ได้
ตลาดหุ้นอาจจะเริ่มก่อต่อฟองสบู่ Super Bubble รอบใหม่แล้วก็ได้
เพราะทุกประเทศต่างอัดฉีดเงินพร้อมๆกันทั่วโลกแบบนี้
หรือ จะเลวร้ายต่อเนื่องไปอีกก็ได้
ดังนั้นเมื่อโซรอสเห็นว่าทางไหนมีโอกาสเป็นจริงมากที่สุดแกก็จะถือหาง
ด้านที่เป้นความจริงนั่นเอง ทุกเช้ามันดิ้นได้
สมมุติฐานมันถึงต้องปรับตัวตลอดเวลา
ถ้าสมมุติฐานมันไม่ยึดหยุ่น เสร็จแน่ๆ
ขออนุญาติยกอีกตัวอย่างครับ
ปีที่แล้วเป้นปีที่กองทุนขนาดใหญ่ที่มีเม็ดเงิน
มหาศาลนั้นรอดได้แค่สองกองทุนแค่นั้น คือ
Soros Fund management
กับ Paulson ที่กรีนสแปนเป็นที่ปรึกษา
จริงๆแล้วมีเฮดจ์ฟันหลายแห่งที่ทำผลตอบแทนได้ดีมากกว่า
แต่กองทุนที่ขนาดใหญ่เนี่ย
ถ้าสถานการณ์เลวร้ายแล้วยังทำผลตอบแทนได้จะน่าประหลาดใจมาก
เพราะกองทุนขนาดใหญ่กุมเม็ดเงินมหาศาลในมือไว้
ทั้งยังสามารถเอาตัวรอดได้ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน
บัฟเฟตยังยอมรับเลยว่าปีที่แล้วเป็นปีที่ไม่ง่ายเลย
สำหรับการบริหารเงินลงทุนขนาดมากๆแบบนั้น
ตัวอย่างของโซรอสในปีที่แล้ว
ตอนแรกๆ ผิดพลาดเช่นคนอื่น ๆ ครับ
เพราะมนุษย์นั้นผิดพลาดได้เสมอตามความเชื่อของเขา
และเขาก็ผิดบ่อยมากๆ
เขาพยามย้ำให้เรายอมรับว่าเราผิดพลาดให้ได้
ไม่ใช่สิ่งที่น่าอายหรือปกปิด
ซึ่งสิ่งที่เขาบอกนั้นช่วยพัฒนาตัวผมอย่างมากครับ
ในตอนแรก..
โซรอสยังหาความจริงไม่ได้
จนมาถึงช่วงหนึ่งที่ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นไปสุงมาก
จุดนี้เป็นจุดเปลี่ยนเลย
ท่ามกลางข้อมูลดิบที่มา support ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญในวงการ
มากมายว่าน้ำมันจะต้องพุ่งทยานเนื่องจากปริมาณน้ำมันสำรอง
ไม่สอดคล้องกับความต้องการใช้ที่มหาศาลในโลกใบนี้
ปัญหาก็คือ ข้อมูลที่ support เหล่านั้นแน่นอนมันอาจทำให้ราคาสูงขึ้น
แต่มันก็เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้คนหันไปเร่งพัฒนา
พลังงานทดแทนกันมากขึ้นเช่นกัน
พอเขาเห็นสัญญาการพัฒนาพลังงานทดแทนที่มากขึ้นขนาดนั้น
รวมทั้งราคาพืชพลังงานที่พุ่งขึ้นเป็นประวัติการณ์
ทำให้เขามั่นใจในความจริงว่าจะอยุ่ด้านไหน
นี่คือบทเรียน Reflexivity ที่ผมได้รับจากปีที่แล้วเต็มตัว
ท่านฮงจำเกมของท่านสุมาอี้ได้ไหมครับ
กติกาของเกมนี้มีอยู่ว่า ให้ทุกคนเลือกตัวเลขหนึ่งตัวจาก 1-100 (เลข
0 ไม่เอานะ) เสร็จแล้ว PM มาให้ท่านแม่ทัพ
ผู้ที่จะชนะในเกมนี้คือผู้ที่เลือกตัวเลขที่ใกล้เคียงกับ 2/3 ของค่า
เฉลี่ย (mean) ของตัวเลขทีทุกคนส่งมา
เกมนี้ฝึกทักษะของการชิงไหวชิงพริบของการเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้น
ท่านแม่ทัพบอกว่า เกมนี้มีชื่อว่า Beauty Contest
ชื่อของเกมนี้มาจากความคิดเห็นของ John Maynard Keynes เกี่ยว
กับตลาดหุ้น JMK บอกว่า
ตลาดหุ้นในระยะสั้นมีลักษณะคล้ายกับเกมทายผลนางงามที่อยู่ตาม
หน้าหนังสือพิมพ์แบบที่มีรูปนางงามมาให้เลือกหลายคนแล้วให้ผู้อ่าน
ส่งชิงโชคทายผลว่า นางงามคนไหนจะได้รับการโหวตมากที่สุด
กติกาแบบนี้คนที่อยากได้รางวัลจะไม่เลือกนางงามคนที่ตัวเองคิดว่า
สวยที่สุด พวกเขาจะไม่เลือกแม้แต่นางงามที่ตัวเองคิดว่าน่าจะเป็น
คนที่คนส่วนใหญ่โดยเฉลี่ยน่าจะเห็นว่าสวยที่สุดด้วย พวกเขาจะคิด
สามตลบคือจะเลือกคนที่เขาคิดว่าคนส่วนใหญ่น่าจะคิดว่าคนส่วน
ใหญ่จะเห็นว่าสวยที่สุด
ตลาดหุ้นในระยะสั้นก็มีเช่นนี้ เพราะราคาหุ้นจะขึ้นได้
ถ้าหาก ที่ ณ ราคาเก่า จะทำให้มีคนที่ต้องการซื้อมากกว่าคนที่ต้องการ
ขาย การเล่นหุ้นให้ได้ตังค์จึงต้องเดาให้ออกว่าคนส่วนใหญ่กำลังจะคิด
ว่าหุ้นตัวไหนกำลังจะขึ้น ก็เลยทำให้คนที่เล่นหุ้นไม่ได้เลือกหุ้นโดยดู
จากปัจจัยพื้นฐานที่ดีในความคิดของตัวเอง ทุกคนใช้พยายามเดาว่า
คนอื่นจะคิดอย่างไร ก็กลายเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่จะอธิบายได้ว่า
ในระยะสั้น ทำไมหุ้นบางตัวจึงวิ่งขึ้น หุ้นบางตัวจึงวิ่งลง และการที่คน
ส่วนใหญ่ซื้อหุ้นโดยดูคนอื่นแทนที่จะเลือกหุ้นตามความคิดของตัวเอง
ทำให้ตลาดหุ้นมักเกิดฟองสบู่อยู่เรื่อยๆ
ผมชอบที่พี่หมอสามัญชนตอบมากที่สุดครับ
หมอเก่งเรื่อง prob ทุกคน เพราะรักษาคนำไข้ เจอกับ prob ตลอด
พี่หมอตอบว่า..
ถ้าโจทย์บอกว่า เอาค่าเฉลี่ยเป็นคำตอบ
คำตอบจะวิ่งเข้าสู่เลข 50 ยิ่งจำนวนคนทายมีมากๆโอกาสเป็น 50
ก็ยิ่งมากขึ้น เพราะค่าเฉลี่ยของตัวเลขที่ 0-99 อยู่ที่ 50 นั่นเอง อันนี้
เป็นหมากทั่วไป แต่เนื่องจากโจทย์บอกว่าคำตอบคือ 2/3 ของค่า
เฉลี่ย และทุกคนทราบแล้ว ดังนั้น
หมากทั่วไปของเกมส์นี้จึงต้องแทงที่ 2/3*50 = 33.3
แต่เนื่องจากทุกคนทราบแล้วนั่นเองและเดาว่าทุกคนจะต้องแทงที่
33 เมื่อแทง 33 มากขึ้นค่าเฉลี่ยก็จะลดลงเรื่อยๆ
หมากหนึ่งชั้นจึงต้องแทงที่เลข 2/3*33 = 22
และถ้าคิดสองชั้นก็จะต้องแทงที่ 2/3*22 = 14
เช่นกันถ้าคิดสามชั้น ก็ต้องแทงที่ 2/3*14 = 8
ถ้าคิดที่ร้อยชั้น ก็ต้องแทงที่ =1
ถ้าคำตอบของเกมส์ในครั้งนี้อยู่ที่ 22 ก็แปลว่าสมาชิกส่วนใหญ่คิดไกล
ไปหนึ่งชั้น
ถ้าคำตอบของเกมส์นี้อยู่ที่ 14 ก็แปลว่าสมาชิกส่วนใหญ่คิดไกลไปสองชั้น
ถ้าคำตอบอยู่ที่ 1 ก็แปลว่าสมาชิก TVI ของเราคิดไปไกลร้อยชั้น (เริ่มเข้าทำนอง คบไม่ได้ 555)
อ้อ.......ลืมไปครับ ถ้าคำตอบอยู่ที่ > 33
แปลว่าสมาชิกส่วนใหญ่(ไม่ใช่ทั้งหมดนะครับ) ไม่คิดอะไรเลย
แทงเอามันส์ลูกเดียว อันนี้คบได้ครับ 55555
ผมว่านั่นเป็นความคิดที่สุดยอดครับ
สวัสดีครับท่านฮง......
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 38
[quote="nanchan"]ถ้าเมื่อไร hongถาม humตอบ
งานเข้าแน่
งานเข้าแน่
สนใจเรื่องบัญชี กลยุทธ์ลงทุน fundflow แจมได้ที่ blog ผม
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 40
พี่โหน่งจะไปจิบเบียร์ q2 ของ tvi ไหมครับ
ถ้าไป เผื่อผมจะไปด้วย
ผมสนใจเรื่อง expect value เผื่อไปคุยรายละเอียดกัน
ถ้าไป เผื่อผมจะไปด้วย
ผมสนใจเรื่อง expect value เผื่อไปคุยรายละเอียดกัน
สนใจเรื่องบัญชี กลยุทธ์ลงทุน fundflow แจมได้ที่ blog ผม
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
-
- Verified User
- โพสต์: 74
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 43
ดิฉันว่า money channel เป็นส่วนหนึ่งที่สะท้อนว่าคนกำลังคิดอะไร
เดือนที่แล้ว ก้อฟังนักวิเคราะห์ออกมาเดา(แช่ง)set ทุกวัน ว่าจะต้องตกมาเท่านั้นเท่านี้ 500 มั่ง 550 มั่ง แต่เดือนนี้เริ่มเปลี่ยนคำพูดกันแล้ว
ฟังหุ้นที่นักวิเคราะห์ เขาออกมาเชียร์ทุกวัน คนก้อจะเริ่มคล้อยตามบ้าง แต่ถ้าซื้อตามเขาโดยไม่รู้จริง ก้ออาจจะเจ็บกันได้ บางครั้งก้อออกมาเชียร์หลังสัญญาณเทคนิคให้เข้าซื้อได้ไปตั้งนานแล้ว บางครั้งก้อช่วยเชียร์ให้หุ้นที่ดูว่าแพงยังอยู่แพงต่อไปได้
ฟังคนที่โทรเข้ามาถาม ก้อสะท้อนความคิด ความรู้ สิ่งที่เขาคาดหวังกัน
ฟังแล้วก้อสนุกดีนะคะ
เดือนที่แล้ว ก้อฟังนักวิเคราะห์ออกมาเดา(แช่ง)set ทุกวัน ว่าจะต้องตกมาเท่านั้นเท่านี้ 500 มั่ง 550 มั่ง แต่เดือนนี้เริ่มเปลี่ยนคำพูดกันแล้ว
ฟังหุ้นที่นักวิเคราะห์ เขาออกมาเชียร์ทุกวัน คนก้อจะเริ่มคล้อยตามบ้าง แต่ถ้าซื้อตามเขาโดยไม่รู้จริง ก้ออาจจะเจ็บกันได้ บางครั้งก้อออกมาเชียร์หลังสัญญาณเทคนิคให้เข้าซื้อได้ไปตั้งนานแล้ว บางครั้งก้อช่วยเชียร์ให้หุ้นที่ดูว่าแพงยังอยู่แพงต่อไปได้
ฟังคนที่โทรเข้ามาถาม ก้อสะท้อนความคิด ความรู้ สิ่งที่เขาคาดหวังกัน
ฟังแล้วก้อสนุกดีนะคะ
-
- Verified User
- โพสต์: 2938
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 44
ตกลงสิงโต ใส่สีไรครับ
ผมว่าไม่แดง ก็ขาว :lol: ผมว่าสิงโต ไม่น่าจะรู้จริง เพราะยังExpectอยู่ หรือว่าไม่ได้Expect
เรียน เซียนนริศ
ผมคงไม่ใช่วิธีอะไรที่มันยากเกินความสามารถผม และมีต้นทุนเกินความจำเป็น ผมว่าการจะมองว่าแรงขายหมดหรือยัง ไม่จำเป็นต้องเอาเงินตัวเองไปใช้หรอก สิ้นแปลงเงินเป่าๆ ดูเค้าทำไปก็พอ อยากซื้อผมก็ไม่ทยอยซื้อทีละนิดหรอก เสียเวลา และรำคาญด้วย แต่เวลาซื้อเพิ่มผมจะซื้อน้อยกว่าประจำ
ระดับผมแล้ว ชอบเล่นแบบง่ายๆ วิธีง่ายๆครับ
วิธี งูๆปลาทู วิธีปล่อยไปงงๆ และ ท้ายสุดคือเดาธง
:lol:
ผมว่าไม่แดง ก็ขาว :lol: ผมว่าสิงโต ไม่น่าจะรู้จริง เพราะยังExpectอยู่ หรือว่าไม่ได้Expect
เรียน เซียนนริศ
ผมคงไม่ใช่วิธีอะไรที่มันยากเกินความสามารถผม และมีต้นทุนเกินความจำเป็น ผมว่าการจะมองว่าแรงขายหมดหรือยัง ไม่จำเป็นต้องเอาเงินตัวเองไปใช้หรอก สิ้นแปลงเงินเป่าๆ ดูเค้าทำไปก็พอ อยากซื้อผมก็ไม่ทยอยซื้อทีละนิดหรอก เสียเวลา และรำคาญด้วย แต่เวลาซื้อเพิ่มผมจะซื้อน้อยกว่าประจำ
ระดับผมแล้ว ชอบเล่นแบบง่ายๆ วิธีง่ายๆครับ
วิธี งูๆปลาทู วิธีปล่อยไปงงๆ และ ท้ายสุดคือเดาธง
:lol:
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 45
. \ /........ ผมจะตั้งกระทู้
hong ภาค 1 แล้วถามซัก 25 ข้อดูครับ
/ \
___________________
/ |
? /\ |
:x / / ))) |
U |
((( | \ |
___ / |_________ | O
\______________/======= | O =================== ====== = |
| O
| o
/\
/o \
/ \ / \
\/
/bore\
ชื่อ humdrum มันแปลว่า น่าเบื่อ
ชื่อก็บอกอยู่แล้ว ท่านฮงถามผม จะตกได้แต่ความน่าเบื่อ
นอกเสียจากท่านอยากตกความเบื่อหน่าย
ทุกคนในบ้านไม่มีใครถามผมหรอกครับ
ทุกคนรู้ว่าผมพูดยาวมาก ทุกคนรู้หมด
เวลาผมอยู๋บ้าน ผมจะเงียบมาก
ได้ทางเนตช่วยอธฺบายความคิด
ผมสำนึกขอบคุณพี่เล็กอีโต้เสมอ
ขนาดเวลาไปขี้นศาล ศาลยังบอกให้ผมพูดน้อยๆ
ท่านบอกไม่เอาปรัชญาแล้ว ท่านบอกเข้าเรื่องเลย
ผมบอกว่า มันเป็นวิธีที่ผมจะสื่อสารกับท่าน
ถ้าเขารู้ว่าท่านฮงจะถามผม
เขาคงตกใจกันมาก 5555555
ท่านฮงชอบตกปลาไหมครับ
เวลาใครไปตกปลา ก็อยากได้ปลากันทุกคน
ถ้าไมได้ปลาแล้วจะเสียเวลาทำไม
นอกเสียจากว่า....
ท่านฮงเข้าใจเรื่องความเบื่อหน่ายเป็นอย่างดี
ผมจะเล่าเรื่องน่าเบื่อให้ฟัง
ปีนี้เพื่อนสมัยเทพตั้งกองทุนให้ผมบริหารเงิน
ผมเลยชื่อกองทุนว่า humdrum บอกว่าถ้ามรึงไม่มีจิตสำนึก
เรื่องปรัชญา เอาแต่สนใจแต่เงินอย่างเดียวแต่ไม่มีจิตวิญาณ
อย่างนั้น กรูไม่เอาด้วย 555555
พวกมันชอบชวนไปตกปลาที่แม่น้ำบางปะกง
บ้านคนหนึ่งมันติดน้ำ แก้งไปกันทั้งหมด 5 คน
อายุปาเข้าไป 40 กันแล้ว ทุกคนล้วนแต่งงาน เลิกเหล้า
เลิกบุหรี่ กันหมดแล้ว แต่ทุกคนยังไม่เลิกตกปลา
ช่วง 10 ปี หลัง เหยื่อที่ผมใช้ส่วนใหญ่เป็นตุ๊กตุ่นยาง ไอ้มดแดง
โดเรมอน เซลามูน ไม่มีปลาอะไรกินไอ้มดแดง ปลากินหนอน
แต่คนขายเหยื่อเขาขายเหยื่อให้คน
เขาไม่เคยขายเหยื่อให้ปลา ปลาไม่ได้เป้นคนซื้อเหยื่อ
ในตลาดหุ้นก็เหมือนกัน นั่นปรัชญาล้วนๆ แต่มันตีความหมายได้หมด
ตกปลา แต่ไม่อยากได้ปลา ผมอยากตกความเบื่อหน่าย
สำหรับผม ความเบื่อหน่ายจำเป้นกับชีวิตนักลงทุน
ความเบื่อหน่ายเป็นช่วงเวลาที่สำคัญอย่างมากถ้าเราอยากประสบ
ความสำเร็จ เราต้องมีเวลาว่างเป้นของตัวเอง
ผมวิ่งเข้าหาความเบื่อหน่าย
การตกปลาให้ความเบื่อหน่ายผมได้เป้นอย่างดี
ในชีวิตการทำงาน ผมได้รับข่าวสารทุกวัน
สิ่งดึงดูด สิ่งเร้า internet มือถือ โทรทัศน์ วิทยุ นสพ
แต่นั่นคือชีวิตนักลงทุน
แต่วันเสาร์ ผมจะเป็นมนุษย์คนหนึ่ง
และผมเป้นมนุษย์มากที่สุดเมือผมรู้สึกเบื่อ
ผมจะปล่อยตัวตามสบาย มีเวลาที่ว่างเปล่า
เวลาที่ไม่ถูกแทนที่ด้วยนาฬิกา ไม่มีมือถือ ไมมี e-mail ไม่มีปฎิทิน
ให้เวลาเดินช้า ๆ ดำเนินจังหวะชีวิตที่เนิบนาบ
นั่งนิ่งๆ ไม่ทำอะไรเลย สมาธิจดจ่อที่สายน้ำ จิตใจที่สงบ
หายใจลึก ๆ ปฎิเสธความสมบูรณ์แบบ
ความเบื่อ คือ การหยุดตอบสนองกับโลกภายนอก
เริ่มสำรวจตัวเราเองจากภายใน
การ"มองหาหนทางอยู่รอด" ในตลาดหุ้น
ไม่อาจหาความเข้าใจที่ลึกซึ่งได้
เพราะการทำงานในตลาดต้องกระตือรือร้นตลอดเวลา
ผมไม่ชอบเครืองบินตอนขึ้น มันเป้นช่วงที่ผมเบื่อที่สุด
แต่ช่วงนั้นทำให้ผมมีมุมมองลุ่มลึกขึ้นต่อแผนงานต่างๆ ทุกครั้ง
แค่การการนั่งเหมื่อลอยมองสายน้ำไหลไปเอื่อยๆ
การนั่งขูดตาปลา นั่งแทะเล็บขบ การล้างจาน การซักผ้า
นั่งฟังแม่ยายบ่น หรือ เข้ามาอ่านกระทู้น่าเบื่อต่าง ๆ ที่ผมเขียน
ช่วงเวลาที่เบื่อหน่ายเหล่านี้
ลองทำให้กลายเป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่า
เป้นช่วงเวลาแห่งการพิจารณาเรื่องราวต่าง ๆ และบางที....
อาจทำให้คุณถึงขั้นบรรลุผลสำเร็จของความเข้าใจ
ไม่ว่าจะเข้าใจสัมพันธ์ภาพของสรรพสิ่งต่างๆ
เข้าถึงทฤษฎีการลงทุนใหม่ ๆ
เข้าถึง วรรณกรรม ปรัชญา วิทยาศาสตร์ ศิลปะ หรือ แม้กระทั่ง.....
เรื่องครอบคัวที่ท่านไม่เคยเข้าใจเลย
ถ้ารู้สึกตัวว่าเบื่อ เอาหนังเสือ
เอาสิ่งพวกนี้กลับมาใคร่ครวญอีกครั้ง แล้วท่านอาจจะเข้าใจได้ดีขึ้น
ความสนุกสนานสร้างความเข้าใจไม่ลึกซึ้งเท่ากับความเบื่อ
แต่ต้องรู้จักใช้ความเบื่อให้เป็น
สร้างบรรยากาสให้น่าเบื่ออย่างมีข้อกำจัด
แล้วท่านจะพบกับความเข้าใจที่ไร้ขีดจำกัด
ผมไม่ได้ค้นพบวิธีนี้เอง
ผมสังเกตจากการอ่านประวัติบุคคลต่าง ๆ ที่ได้รับรางวัล Nobel
ซึ่งส่วนใหญ่จะน่าเบื่อมาก l
โดยเฉพาะ Einstein นั้น เข้าใจเรื่องนี้ดีกว่าใคร.....
"Boredom is the highest mental state."
-- Einstein
ถ้าท่านฮงมีอะไรที่น่าเบื่อทำ
แนะนำกันบ้างนะครับ
สวัสดีครับ......
hong ภาค 1 แล้วถามซัก 25 ข้อดูครับ
/ \
___________________
/ |
? /\ |
:x / / ))) |
U |
((( | \ |
___ / |_________ | O
\______________/======= | O =================== ====== = |
| O
| o
/\
/o \
/ \ / \
\/
/bore\
ชื่อ humdrum มันแปลว่า น่าเบื่อ
ชื่อก็บอกอยู่แล้ว ท่านฮงถามผม จะตกได้แต่ความน่าเบื่อ
นอกเสียจากท่านอยากตกความเบื่อหน่าย
ทุกคนในบ้านไม่มีใครถามผมหรอกครับ
ทุกคนรู้ว่าผมพูดยาวมาก ทุกคนรู้หมด
เวลาผมอยู๋บ้าน ผมจะเงียบมาก
ได้ทางเนตช่วยอธฺบายความคิด
ผมสำนึกขอบคุณพี่เล็กอีโต้เสมอ
ขนาดเวลาไปขี้นศาล ศาลยังบอกให้ผมพูดน้อยๆ
ท่านบอกไม่เอาปรัชญาแล้ว ท่านบอกเข้าเรื่องเลย
ผมบอกว่า มันเป็นวิธีที่ผมจะสื่อสารกับท่าน
ถ้าเขารู้ว่าท่านฮงจะถามผม
เขาคงตกใจกันมาก 5555555
ท่านฮงชอบตกปลาไหมครับ
เวลาใครไปตกปลา ก็อยากได้ปลากันทุกคน
ถ้าไมได้ปลาแล้วจะเสียเวลาทำไม
นอกเสียจากว่า....
ท่านฮงเข้าใจเรื่องความเบื่อหน่ายเป็นอย่างดี
ผมจะเล่าเรื่องน่าเบื่อให้ฟัง
ปีนี้เพื่อนสมัยเทพตั้งกองทุนให้ผมบริหารเงิน
ผมเลยชื่อกองทุนว่า humdrum บอกว่าถ้ามรึงไม่มีจิตสำนึก
เรื่องปรัชญา เอาแต่สนใจแต่เงินอย่างเดียวแต่ไม่มีจิตวิญาณ
อย่างนั้น กรูไม่เอาด้วย 555555
พวกมันชอบชวนไปตกปลาที่แม่น้ำบางปะกง
บ้านคนหนึ่งมันติดน้ำ แก้งไปกันทั้งหมด 5 คน
อายุปาเข้าไป 40 กันแล้ว ทุกคนล้วนแต่งงาน เลิกเหล้า
เลิกบุหรี่ กันหมดแล้ว แต่ทุกคนยังไม่เลิกตกปลา
ช่วง 10 ปี หลัง เหยื่อที่ผมใช้ส่วนใหญ่เป็นตุ๊กตุ่นยาง ไอ้มดแดง
โดเรมอน เซลามูน ไม่มีปลาอะไรกินไอ้มดแดง ปลากินหนอน
แต่คนขายเหยื่อเขาขายเหยื่อให้คน
เขาไม่เคยขายเหยื่อให้ปลา ปลาไม่ได้เป้นคนซื้อเหยื่อ
ในตลาดหุ้นก็เหมือนกัน นั่นปรัชญาล้วนๆ แต่มันตีความหมายได้หมด
ตกปลา แต่ไม่อยากได้ปลา ผมอยากตกความเบื่อหน่าย
สำหรับผม ความเบื่อหน่ายจำเป้นกับชีวิตนักลงทุน
ความเบื่อหน่ายเป็นช่วงเวลาที่สำคัญอย่างมากถ้าเราอยากประสบ
ความสำเร็จ เราต้องมีเวลาว่างเป้นของตัวเอง
ผมวิ่งเข้าหาความเบื่อหน่าย
การตกปลาให้ความเบื่อหน่ายผมได้เป้นอย่างดี
ในชีวิตการทำงาน ผมได้รับข่าวสารทุกวัน
สิ่งดึงดูด สิ่งเร้า internet มือถือ โทรทัศน์ วิทยุ นสพ
แต่นั่นคือชีวิตนักลงทุน
แต่วันเสาร์ ผมจะเป็นมนุษย์คนหนึ่ง
และผมเป้นมนุษย์มากที่สุดเมือผมรู้สึกเบื่อ
ผมจะปล่อยตัวตามสบาย มีเวลาที่ว่างเปล่า
เวลาที่ไม่ถูกแทนที่ด้วยนาฬิกา ไม่มีมือถือ ไมมี e-mail ไม่มีปฎิทิน
ให้เวลาเดินช้า ๆ ดำเนินจังหวะชีวิตที่เนิบนาบ
นั่งนิ่งๆ ไม่ทำอะไรเลย สมาธิจดจ่อที่สายน้ำ จิตใจที่สงบ
หายใจลึก ๆ ปฎิเสธความสมบูรณ์แบบ
ความเบื่อ คือ การหยุดตอบสนองกับโลกภายนอก
เริ่มสำรวจตัวเราเองจากภายใน
การ"มองหาหนทางอยู่รอด" ในตลาดหุ้น
ไม่อาจหาความเข้าใจที่ลึกซึ่งได้
เพราะการทำงานในตลาดต้องกระตือรือร้นตลอดเวลา
ผมไม่ชอบเครืองบินตอนขึ้น มันเป้นช่วงที่ผมเบื่อที่สุด
แต่ช่วงนั้นทำให้ผมมีมุมมองลุ่มลึกขึ้นต่อแผนงานต่างๆ ทุกครั้ง
แค่การการนั่งเหมื่อลอยมองสายน้ำไหลไปเอื่อยๆ
การนั่งขูดตาปลา นั่งแทะเล็บขบ การล้างจาน การซักผ้า
นั่งฟังแม่ยายบ่น หรือ เข้ามาอ่านกระทู้น่าเบื่อต่าง ๆ ที่ผมเขียน
ช่วงเวลาที่เบื่อหน่ายเหล่านี้
ลองทำให้กลายเป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่า
เป้นช่วงเวลาแห่งการพิจารณาเรื่องราวต่าง ๆ และบางที....
อาจทำให้คุณถึงขั้นบรรลุผลสำเร็จของความเข้าใจ
ไม่ว่าจะเข้าใจสัมพันธ์ภาพของสรรพสิ่งต่างๆ
เข้าถึงทฤษฎีการลงทุนใหม่ ๆ
เข้าถึง วรรณกรรม ปรัชญา วิทยาศาสตร์ ศิลปะ หรือ แม้กระทั่ง.....
เรื่องครอบคัวที่ท่านไม่เคยเข้าใจเลย
ถ้ารู้สึกตัวว่าเบื่อ เอาหนังเสือ
เอาสิ่งพวกนี้กลับมาใคร่ครวญอีกครั้ง แล้วท่านอาจจะเข้าใจได้ดีขึ้น
ความสนุกสนานสร้างความเข้าใจไม่ลึกซึ้งเท่ากับความเบื่อ
แต่ต้องรู้จักใช้ความเบื่อให้เป็น
สร้างบรรยากาสให้น่าเบื่ออย่างมีข้อกำจัด
แล้วท่านจะพบกับความเข้าใจที่ไร้ขีดจำกัด
ผมไม่ได้ค้นพบวิธีนี้เอง
ผมสังเกตจากการอ่านประวัติบุคคลต่าง ๆ ที่ได้รับรางวัล Nobel
ซึ่งส่วนใหญ่จะน่าเบื่อมาก l
โดยเฉพาะ Einstein นั้น เข้าใจเรื่องนี้ดีกว่าใคร.....
"Boredom is the highest mental state."
-- Einstein
ถ้าท่านฮงมีอะไรที่น่าเบื่อทำ
แนะนำกันบ้างนะครับ
สวัสดีครับ......
- naris
- Verified User
- โพสต์: 6726
- ผู้ติดตาม: 1
Expected value analysis
โพสต์ที่ 46
[quote="nanchan"]
ผมคงไม่ใช่วิธีอะไรที่มันยากเกินความสามารถผม และมีต้นทุนเกินความจำเป็น ผมว่าการจะมองว่าแรงขายหมดหรือยัง ไม่จำเป็นต้องเอาเงินตัวเองไปใช้หรอก สิ้นแปลงเงินเป่าๆ ดูเค้าทำไปก็พอ อยากซื้อผมก็ไม่ทยอยซื้อทีละนิดหรอก เสียเวลา และรำคาญด้วย แต่เวลาซื้อเพิ่มผมจะซื้อน้อยกว่าประจำ
ระดับผมแล้ว ชอบเล่นแบบง่ายๆ วิธีง่ายๆครับ
วิธี งูๆปลาทู วิธีปล่อยไปงงๆ และ ท้ายสุดคือเดาธง
ผมคงไม่ใช่วิธีอะไรที่มันยากเกินความสามารถผม และมีต้นทุนเกินความจำเป็น ผมว่าการจะมองว่าแรงขายหมดหรือยัง ไม่จำเป็นต้องเอาเงินตัวเองไปใช้หรอก สิ้นแปลงเงินเป่าๆ ดูเค้าทำไปก็พอ อยากซื้อผมก็ไม่ทยอยซื้อทีละนิดหรอก เสียเวลา และรำคาญด้วย แต่เวลาซื้อเพิ่มผมจะซื้อน้อยกว่าประจำ
ระดับผมแล้ว ชอบเล่นแบบง่ายๆ วิธีง่ายๆครับ
วิธี งูๆปลาทู วิธีปล่อยไปงงๆ และ ท้ายสุดคือเดาธง
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 47
. :wall:\ / ........ พี่โหน่งจะไปจิบเบียร์ q2 ของ tvi ไหมครับ
hum\\ hong ถ้าไป เผื่อผมจะไปด้วย
/ | | \ ผมสนใจเรื่อง expect value เผื่อไปคุยรายละเอียดกัน
ด้วยความเคารพ ผมไม่เก่งหรอกครับ
ถ้าท่านฮงว่างเหมือนผม เอารายชื่อคนไปทุกครั้งมาเปรียบเทียบกัน
ท่านฮงจะเห็นว่ารายชื่อซ้ำครั้งก่อนมันแค่ 9.8% เท่านั้น
ที่เหลือเป็นรายชื่อใหม่กว่า 90.2%
prob มันน้อยจริง แต่ EV มันเป็นบวกเสมอ
ท่านฮงมีสมมุติฐานถึงเหตุผลนี้ในใจแล้ว
พุดถึงงานชมรมไทวิ คิดถึงชมรม JUNTO
JUNTO เป็นชมรมที่ท่านเบนจามินตั้งขึ้น
ชมรมทุกอย่างในโลก ล้วนมาจากความคิดท่านเบนทั้งสิ้น
ผมเห็นท่านฮงครั้งแรก ผมคิดถึง Benjamin Flankin มาก
ท่านเบนเป้นฮี่โร่ของผมครับ
ท่านฮงก็เป้นฮี่โร่ในด้าน Fund Flow เช่นกัน
ผมอ่านท่านเบนจามิน ตั้งแต่ 8 ขวบ
ด้วยเหตพ่อบังคับให้อ่าน "ชอบแล้วอ่าน" เขาบอกแค่นั้น
อ่านไปแล้วมันชอบ ก็เลยอ่านตั้งแต่นั้นมา
ผมอ่านทุกอย่างที่เกี่ยวกับท่านเบน
จะบอกว่า ผมเสพติดท่านเบนจามินจนเกินขนาด
ก็พอจะว่ากันได้ ท่านเบนสร้างห้องสมุดแห่งแรก
สร้างสนาดับเพลิงแห่งแรก สร้างสถานีตำรวจ
สร้างโรงพยาบาลแห่งแรก สร้างเสาไฟฟ้าแห่งแรก
สร้าง University of Pennsylvania เป้นนักเขียน นักวิทยาศาสตร์
เป็นเอกอัครราชทูต นักปรัชญา นักการเมือง etc.
ผมตามท่านเบนมาเจอ Charlie Munger ตามต่อมาเจอ Warren
Buffett เพราะ Munger ก็บ้าเบนเอามาก ๆ
Warren ชอบล้อมังเกอร์ว่า เหมือน Ben กลับชาติมาเกิดประมาณนั้น
ก๊อปทุกอย่างมาเลย
ส่วน มังเกอร์ก็ชอบล้อ Buffett ว่า
"คุณนะเหมือนเบนจามินมากกว่าผมอีก"
เรื่องนี้สนุกมาก วันหลังผมจะเล่าให้ฟังครับ ^ ^
เรื่องของ JuNTO นั้นเป็นชมรมที่เจอกันวันศุกร์
ตอนนั้นสมาชิกเป็นพ่อค้าสายอาชีพแบบพื้นๆ
แล้วก็เรียกกันในหมู่เพื่อนฝูงว่า Leather apron club
ด้วยเหตุ ทุกคนที่มาจะมีหนังกั้นเปื้อนผูกไว้ที่เอว
อย่าง ช่างทำรองเท้า ช่างทำตู้ ช่างทำกระจก
คือ ยุคนั้น ช่างพวกนี้ เป็นยุคเริ่มต้นของอุตสาหกรรม
ทุกอย่างมันเริ่มต้นที่บ้าน และ ความชำนาญพวกนี้ มันหาได้ยาก
ต้องฝึกกันตั้งแต่อายุ 12-13 เป้นลูกมือช่างใหญ่
พอ 17-18 ถึงออกไปตั้งร้านของตัวเองได้
ชมรมนี่มาเจอกัน มาคุยกันในเรื่องที่ควรคุย
คือ ต้องเป็นเรื่องที่มีสาระ และ เขามี motto ประจำ
คือ มาเจอกันเพราะพวกเรามีความทะเยอทะยาน ใฝ่ความก้าวหน้า
สนใจในสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ และ ต้องการจะเป็นคนที่ดีขึ้น
นึกย้อนกลับไปเกิดยุคโน้น ไฟฟ้า ยังไม่ถูกคิดค้นขึ้น
ผมอดตื่นเต้นไม่ได้ มีอะไรที่คนยังไม่ได้ค้นพบอีมากมายเลยนะสมัยนั้น
อะไรก็เปิดใหม่ เหมือนทุกคนกำลังก้าวเข้าสู่จากเกตษรเข้าสู่ยุค
อุตสาหกรรม คิดแล้วมันตื่นเต้นมากครับ
ท่านเบนเป้นคนตั้งกฎว่าใครจะเข้ามาชมรมบ้าง
จะจัดวันไหน มีใครมาใหม่ในเมืองบ้าง จะชวนมาคุยได้หรือปล่าว
เขาทำอาชีพอะไรที่ทำให้กลุ่มดีขึ้น จะเป้นสมาชิกที่ดีไหม
ทำการค้าล้มมาหรือปล่าว ถ้าล้มชวนเข้ามาเลย มาเล่าให้ฟัง
พวกเราจะได้เรียนรู้ รวยหรือปล่าว เข้ามาเลย ทำอย่างไร บอกหน่อย
ที่สำคัญ สมาชิกทุกคน 4 ครั้ง/ปี ต้องเสนอ topic ทำ thesis
ทำการค้นคว้า ทดลอง สรุป แล้วมาคุยให้กลุ่มฟัง
ไม่ใช่ใครจะมาเป้นสมาชิกง่ายๆ ใครเข้ามา
ต้องมีอะไรมาคุนมาเสริมให้กลุ่มดีขึ้นด้วย
จะเห้นว่าการบังคับให้ไปทำเรื่องงานวิจัยนั้น
ทำให้สมาชิกกระตือรือล้นโดยอัตโนมัติ ประเภทเข้ามาฟัง
เขามาตักตวงความรู้อย่างเดียว ไม่มีทางได้เข้า JUNTO
เริ่มอย่างนี้ พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเป้นสาขาแยกออกไปทั้วอเมริกา
เป้น socity ชมรม ต่างๆ เป้นหน่วยงานต่าง อย่าง ดับเพลิง
สถานีตำรวจ โรงพยาบาล และบางส่วนพัฒนาไปเป้นองค์การค้าต่าง ๆ
ของโลก ทั้งนี้ล้วนมาจากความคิด JUNTO
คำถามที่ ท่านเบนกำหนดขึ้นมาใช้ใน JUNTO มีดังนี้ครับ...
1. Have you met with any thing in the author you last read, remarkable, or suitable to be communicated to the Junto? particularly in history, morality, poetry, physics, travels, mechanic arts, or other parts of knowledge?
2. What new story have you lately heard agreeable for telling in conversation?
3. Any citizen in your knowledge failed in his business lately, and what have you heard of the cause?
4. Have you lately heard of any citizens thriving well, and by what means?
5. Have you lately heard how any present rich man, here or elsewhere, got his estate?
6. Do you know of any fellow citizen, who has lately done a worthy action, deserving praise and imitation? or who has committed an error proper for us to be warned against and avoid?
7. What unhappy effects of intemperance have you lately observed or heard? of imprudence? of passion? or of any other vice or folly?
8.What happy effects of temperance? of prudence? of moderation? or of any other virtue?
9.Have you or any of your acquaintance been lately sick or wounded? If so, what remedies were used, and what were their effects?
10. Who do you know that are shortly going [on] voyages or journeys, if one should have occasion to send by them?
11. Do you think of any thing at present, in which the Junto may be serviceable to mankind? to their country, to their friends, or to themselves?
12. Hath any deserving stranger arrived in town since last meeting, that you heard of? and what have you heard or observed of his character or merits? and whether think you, it lies in the power of the Junto to oblige him, or encourage him as he deserves?
13. Do you know of any deserving young beginner lately set up, whom it lies in the power of the Junto any way to encourage?
14. Have you lately observed any defect in the laws, of which it would be proper to move the legislature an amendment? Or do you know of any beneficial law that is wanting?
15. Have you lately observed any encroachment on the just liberties of the people?
16. Hath any body attacked your reputation lately? and what can the Junto do towards securing it?
Is there any man whose friendship you want, and which the Junto, or any of them, can procure for you?
17. Have you lately heard any members character attacked, and how have you defended it?
18. Hath any man injured you, from whom it is in the power of the Junto to procure redress?
In what manner can the Junto, or any of them, assist you in any of your honourable designs?
19. Have you any weighty affair in hand, in which you think the advice of the Junto may be of service?
20. What benefits have you lately received from any man not present?
21. Is there any difficulty in matters of opinion, of justice, and injustice, which you would gladly have discussed at this time?
22. Do you see any thing amiss in the present customs or proceedings of the Junto, which might be amended?
ปัจจุบันนั้น มี Junto ต่างๆ ในโลกเกิดขึ้นมากมาย
แฟนคลับของท่านเบนก็ไปตั้ง JUNTO ในที่ต่าง ๆ
JUNTO ที่เกี่ยวกับหุ้น ท่านสนใจไปตามให้ลึกต่อก็มีเหมือนกัน
ในเมืองไทยไม่มี ใครเอาชื่อไปตั้ง Thaijunto
ก็จะได้ขึ้นรายชื่อขึ้น wiki ด้วยในหัวข้อ JUnto เหมือนกันครับ
History of the American Philosophical Society and the Junto
University of Chicago
globalideasbank.org
University of Delaware
The New York City Junto
The London Junto
The Silicon Valley Junto
.....เขียนให้มันรู้เรื่องหน่อยนะโหน่ง
.....คร๊าบบบ
|U|
| \
ท่านเบนมีกฎไว้ 13 ข้อ ให้ตัวเอง
เขาลง กฎ พวกนี้ไว้ในหนังสือชื่อ
The Private Life of the late Benjamin Franklin
กฎพวกนี้เบนเรียนรู้มาตลอดชีวิต เขาบอกว่า
พยายามไม่ให้หลุด ง่าย ๆ ครับ มันเป็นกฎที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ
ที่เขาทำ มี 13 ข้อ แต่บางข้อ เขียนได้เป้นเล่มเลย
และเขาส่งผ่านกฎเหล่านี้มาให้ลุกหลานด้วย
1. "TEMPERANCE. Eat not to dullness; drink not to elevation."
2."SILENCE. Speak not but what may benefit others or yourself; avoid trifling conversation."
3."ORDER. Let all your things have their places; let each part of your business have its time."
4."RESOLUTION. Resolve to perform what you ought; perform without fail what you resolve."
5."FRUGALITY. Make no expense but to do good to others or yourself; i.e., waste nothing."
6."INDUSTRY. Lose no time; be always employ'd in something useful; cut off all unnecessary actions."
7."SINCERITY. Use no hurtful deceit; think innocently and justly, and, if you speak, speak accordingly."
8."JUSTICE. Wrong none by doing injuries, or omitting the benefits that are your duty."
9."MODERATION. Avoid extremes; forbear resenting injuries so much as you think they deserve."
10."CLEANLINESS. Tolerate no uncleanliness in body, cloaths, or habitation."
11."TRANQUILLITY. Be not disturbed at trifles, or at accidents common or unavoidable."
12."CHASTITY. Rarely use venery but for health or offspring, never to dullness, weakness, or the injury of your own or another's peace or reputation."
13."HUMILITY. Imitate Jesus and Socrates."
สวัสดีครับ......
hum\\ hong ถ้าไป เผื่อผมจะไปด้วย
/ | | \ ผมสนใจเรื่อง expect value เผื่อไปคุยรายละเอียดกัน
ด้วยความเคารพ ผมไม่เก่งหรอกครับ
ถ้าท่านฮงว่างเหมือนผม เอารายชื่อคนไปทุกครั้งมาเปรียบเทียบกัน
ท่านฮงจะเห็นว่ารายชื่อซ้ำครั้งก่อนมันแค่ 9.8% เท่านั้น
ที่เหลือเป็นรายชื่อใหม่กว่า 90.2%
prob มันน้อยจริง แต่ EV มันเป็นบวกเสมอ
ท่านฮงมีสมมุติฐานถึงเหตุผลนี้ในใจแล้ว
พุดถึงงานชมรมไทวิ คิดถึงชมรม JUNTO
JUNTO เป็นชมรมที่ท่านเบนจามินตั้งขึ้น
ชมรมทุกอย่างในโลก ล้วนมาจากความคิดท่านเบนทั้งสิ้น
ผมเห็นท่านฮงครั้งแรก ผมคิดถึง Benjamin Flankin มาก
ท่านเบนเป้นฮี่โร่ของผมครับ
ท่านฮงก็เป้นฮี่โร่ในด้าน Fund Flow เช่นกัน
ผมอ่านท่านเบนจามิน ตั้งแต่ 8 ขวบ
ด้วยเหตพ่อบังคับให้อ่าน "ชอบแล้วอ่าน" เขาบอกแค่นั้น
อ่านไปแล้วมันชอบ ก็เลยอ่านตั้งแต่นั้นมา
ผมอ่านทุกอย่างที่เกี่ยวกับท่านเบน
จะบอกว่า ผมเสพติดท่านเบนจามินจนเกินขนาด
ก็พอจะว่ากันได้ ท่านเบนสร้างห้องสมุดแห่งแรก
สร้างสนาดับเพลิงแห่งแรก สร้างสถานีตำรวจ
สร้างโรงพยาบาลแห่งแรก สร้างเสาไฟฟ้าแห่งแรก
สร้าง University of Pennsylvania เป้นนักเขียน นักวิทยาศาสตร์
เป็นเอกอัครราชทูต นักปรัชญา นักการเมือง etc.
ผมตามท่านเบนมาเจอ Charlie Munger ตามต่อมาเจอ Warren
Buffett เพราะ Munger ก็บ้าเบนเอามาก ๆ
Warren ชอบล้อมังเกอร์ว่า เหมือน Ben กลับชาติมาเกิดประมาณนั้น
ก๊อปทุกอย่างมาเลย
ส่วน มังเกอร์ก็ชอบล้อ Buffett ว่า
"คุณนะเหมือนเบนจามินมากกว่าผมอีก"
เรื่องนี้สนุกมาก วันหลังผมจะเล่าให้ฟังครับ ^ ^
เรื่องของ JuNTO นั้นเป็นชมรมที่เจอกันวันศุกร์
ตอนนั้นสมาชิกเป็นพ่อค้าสายอาชีพแบบพื้นๆ
แล้วก็เรียกกันในหมู่เพื่อนฝูงว่า Leather apron club
ด้วยเหตุ ทุกคนที่มาจะมีหนังกั้นเปื้อนผูกไว้ที่เอว
อย่าง ช่างทำรองเท้า ช่างทำตู้ ช่างทำกระจก
คือ ยุคนั้น ช่างพวกนี้ เป็นยุคเริ่มต้นของอุตสาหกรรม
ทุกอย่างมันเริ่มต้นที่บ้าน และ ความชำนาญพวกนี้ มันหาได้ยาก
ต้องฝึกกันตั้งแต่อายุ 12-13 เป้นลูกมือช่างใหญ่
พอ 17-18 ถึงออกไปตั้งร้านของตัวเองได้
ชมรมนี่มาเจอกัน มาคุยกันในเรื่องที่ควรคุย
คือ ต้องเป็นเรื่องที่มีสาระ และ เขามี motto ประจำ
คือ มาเจอกันเพราะพวกเรามีความทะเยอทะยาน ใฝ่ความก้าวหน้า
สนใจในสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ และ ต้องการจะเป็นคนที่ดีขึ้น
นึกย้อนกลับไปเกิดยุคโน้น ไฟฟ้า ยังไม่ถูกคิดค้นขึ้น
ผมอดตื่นเต้นไม่ได้ มีอะไรที่คนยังไม่ได้ค้นพบอีมากมายเลยนะสมัยนั้น
อะไรก็เปิดใหม่ เหมือนทุกคนกำลังก้าวเข้าสู่จากเกตษรเข้าสู่ยุค
อุตสาหกรรม คิดแล้วมันตื่นเต้นมากครับ
ท่านเบนเป้นคนตั้งกฎว่าใครจะเข้ามาชมรมบ้าง
จะจัดวันไหน มีใครมาใหม่ในเมืองบ้าง จะชวนมาคุยได้หรือปล่าว
เขาทำอาชีพอะไรที่ทำให้กลุ่มดีขึ้น จะเป้นสมาชิกที่ดีไหม
ทำการค้าล้มมาหรือปล่าว ถ้าล้มชวนเข้ามาเลย มาเล่าให้ฟัง
พวกเราจะได้เรียนรู้ รวยหรือปล่าว เข้ามาเลย ทำอย่างไร บอกหน่อย
ที่สำคัญ สมาชิกทุกคน 4 ครั้ง/ปี ต้องเสนอ topic ทำ thesis
ทำการค้นคว้า ทดลอง สรุป แล้วมาคุยให้กลุ่มฟัง
ไม่ใช่ใครจะมาเป้นสมาชิกง่ายๆ ใครเข้ามา
ต้องมีอะไรมาคุนมาเสริมให้กลุ่มดีขึ้นด้วย
จะเห้นว่าการบังคับให้ไปทำเรื่องงานวิจัยนั้น
ทำให้สมาชิกกระตือรือล้นโดยอัตโนมัติ ประเภทเข้ามาฟัง
เขามาตักตวงความรู้อย่างเดียว ไม่มีทางได้เข้า JUNTO
เริ่มอย่างนี้ พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเป้นสาขาแยกออกไปทั้วอเมริกา
เป้น socity ชมรม ต่างๆ เป้นหน่วยงานต่าง อย่าง ดับเพลิง
สถานีตำรวจ โรงพยาบาล และบางส่วนพัฒนาไปเป้นองค์การค้าต่าง ๆ
ของโลก ทั้งนี้ล้วนมาจากความคิด JUNTO
คำถามที่ ท่านเบนกำหนดขึ้นมาใช้ใน JUNTO มีดังนี้ครับ...
1. Have you met with any thing in the author you last read, remarkable, or suitable to be communicated to the Junto? particularly in history, morality, poetry, physics, travels, mechanic arts, or other parts of knowledge?
2. What new story have you lately heard agreeable for telling in conversation?
3. Any citizen in your knowledge failed in his business lately, and what have you heard of the cause?
4. Have you lately heard of any citizens thriving well, and by what means?
5. Have you lately heard how any present rich man, here or elsewhere, got his estate?
6. Do you know of any fellow citizen, who has lately done a worthy action, deserving praise and imitation? or who has committed an error proper for us to be warned against and avoid?
7. What unhappy effects of intemperance have you lately observed or heard? of imprudence? of passion? or of any other vice or folly?
8.What happy effects of temperance? of prudence? of moderation? or of any other virtue?
9.Have you or any of your acquaintance been lately sick or wounded? If so, what remedies were used, and what were their effects?
10. Who do you know that are shortly going [on] voyages or journeys, if one should have occasion to send by them?
11. Do you think of any thing at present, in which the Junto may be serviceable to mankind? to their country, to their friends, or to themselves?
12. Hath any deserving stranger arrived in town since last meeting, that you heard of? and what have you heard or observed of his character or merits? and whether think you, it lies in the power of the Junto to oblige him, or encourage him as he deserves?
13. Do you know of any deserving young beginner lately set up, whom it lies in the power of the Junto any way to encourage?
14. Have you lately observed any defect in the laws, of which it would be proper to move the legislature an amendment? Or do you know of any beneficial law that is wanting?
15. Have you lately observed any encroachment on the just liberties of the people?
16. Hath any body attacked your reputation lately? and what can the Junto do towards securing it?
Is there any man whose friendship you want, and which the Junto, or any of them, can procure for you?
17. Have you lately heard any members character attacked, and how have you defended it?
18. Hath any man injured you, from whom it is in the power of the Junto to procure redress?
In what manner can the Junto, or any of them, assist you in any of your honourable designs?
19. Have you any weighty affair in hand, in which you think the advice of the Junto may be of service?
20. What benefits have you lately received from any man not present?
21. Is there any difficulty in matters of opinion, of justice, and injustice, which you would gladly have discussed at this time?
22. Do you see any thing amiss in the present customs or proceedings of the Junto, which might be amended?
ปัจจุบันนั้น มี Junto ต่างๆ ในโลกเกิดขึ้นมากมาย
แฟนคลับของท่านเบนก็ไปตั้ง JUNTO ในที่ต่าง ๆ
JUNTO ที่เกี่ยวกับหุ้น ท่านสนใจไปตามให้ลึกต่อก็มีเหมือนกัน
ในเมืองไทยไม่มี ใครเอาชื่อไปตั้ง Thaijunto
ก็จะได้ขึ้นรายชื่อขึ้น wiki ด้วยในหัวข้อ JUnto เหมือนกันครับ
History of the American Philosophical Society and the Junto
University of Chicago
globalideasbank.org
University of Delaware
The New York City Junto
The London Junto
The Silicon Valley Junto
.....เขียนให้มันรู้เรื่องหน่อยนะโหน่ง
.....คร๊าบบบ
|U|
| \
ท่านเบนมีกฎไว้ 13 ข้อ ให้ตัวเอง
เขาลง กฎ พวกนี้ไว้ในหนังสือชื่อ
The Private Life of the late Benjamin Franklin
กฎพวกนี้เบนเรียนรู้มาตลอดชีวิต เขาบอกว่า
พยายามไม่ให้หลุด ง่าย ๆ ครับ มันเป็นกฎที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ
ที่เขาทำ มี 13 ข้อ แต่บางข้อ เขียนได้เป้นเล่มเลย
และเขาส่งผ่านกฎเหล่านี้มาให้ลุกหลานด้วย
1. "TEMPERANCE. Eat not to dullness; drink not to elevation."
2."SILENCE. Speak not but what may benefit others or yourself; avoid trifling conversation."
3."ORDER. Let all your things have their places; let each part of your business have its time."
4."RESOLUTION. Resolve to perform what you ought; perform without fail what you resolve."
5."FRUGALITY. Make no expense but to do good to others or yourself; i.e., waste nothing."
6."INDUSTRY. Lose no time; be always employ'd in something useful; cut off all unnecessary actions."
7."SINCERITY. Use no hurtful deceit; think innocently and justly, and, if you speak, speak accordingly."
8."JUSTICE. Wrong none by doing injuries, or omitting the benefits that are your duty."
9."MODERATION. Avoid extremes; forbear resenting injuries so much as you think they deserve."
10."CLEANLINESS. Tolerate no uncleanliness in body, cloaths, or habitation."
11."TRANQUILLITY. Be not disturbed at trifles, or at accidents common or unavoidable."
12."CHASTITY. Rarely use venery but for health or offspring, never to dullness, weakness, or the injury of your own or another's peace or reputation."
13."HUMILITY. Imitate Jesus and Socrates."
สวัสดีครับ......
-
- Verified User
- โพสต์: 463
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 48
ลงทุนแบบ อาร์ตๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 463
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 49
[quote="naris"][quote="nanchan"]
ผมคงไม่ใช่วิธีอะไรที่มันยากเกินความสามารถผม และมีต้นทุนเกินความจำเป็น ผมว่าการจะมองว่าแรงขายหมดหรือยัง ไม่จำเป็นต้องเอาเงินตัวเองไปใช้หรอก สิ้นแปลงเงินเป่าๆ ดูเค้าทำไปก็พอ อยากซื้อผมก็ไม่ทยอยซื้อทีละนิดหรอก เสียเวลา และรำคาญด้วย แต่เวลาซื้อเพิ่มผมจะซื้อน้อยกว่าประจำ
ระดับผมแล้ว ชอบเล่นแบบง่ายๆ วิธีง่ายๆครับ
วิธี งูๆปลาทู วิธีปล่อยไปงงๆ และ ท้ายสุดคือเดาธง
ผมคงไม่ใช่วิธีอะไรที่มันยากเกินความสามารถผม และมีต้นทุนเกินความจำเป็น ผมว่าการจะมองว่าแรงขายหมดหรือยัง ไม่จำเป็นต้องเอาเงินตัวเองไปใช้หรอก สิ้นแปลงเงินเป่าๆ ดูเค้าทำไปก็พอ อยากซื้อผมก็ไม่ทยอยซื้อทีละนิดหรอก เสียเวลา และรำคาญด้วย แต่เวลาซื้อเพิ่มผมจะซื้อน้อยกว่าประจำ
ระดับผมแล้ว ชอบเล่นแบบง่ายๆ วิธีง่ายๆครับ
วิธี งูๆปลาทู วิธีปล่อยไปงงๆ และ ท้ายสุดคือเดาธง
ลงทุนแบบ อาร์ตๆ
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 50
[quote="humdrum"]
สนใจเรื่องบัญชี กลยุทธ์ลงทุน fundflow แจมได้ที่ blog ผม
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
-
- Verified User
- โพสต์: 2938
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 52
[quote="naris"][quote="nanchan"]
ผมคงไม่ใช่วิธีอะไรที่มันยากเกินความสามารถผม และมีต้นทุนเกินความจำเป็น ผมว่าการจะมองว่าแรงขายหมดหรือยัง ไม่จำเป็นต้องเอาเงินตัวเองไปใช้หรอก สิ้นแปลงเงินเป่าๆ ดูเค้าทำไปก็พอ อยากซื้อผมก็ไม่ทยอยซื้อทีละนิดหรอก เสียเวลา และรำคาญด้วย แต่เวลาซื้อเพิ่มผมจะซื้อน้อยกว่าประจำ
ระดับผมแล้ว ชอบเล่นแบบง่ายๆ วิธีง่ายๆครับ
วิธี งูๆปลาทู วิธีปล่อยไปงงๆ และ ท้ายสุดคือเดาธง
ผมคงไม่ใช่วิธีอะไรที่มันยากเกินความสามารถผม และมีต้นทุนเกินความจำเป็น ผมว่าการจะมองว่าแรงขายหมดหรือยัง ไม่จำเป็นต้องเอาเงินตัวเองไปใช้หรอก สิ้นแปลงเงินเป่าๆ ดูเค้าทำไปก็พอ อยากซื้อผมก็ไม่ทยอยซื้อทีละนิดหรอก เสียเวลา และรำคาญด้วย แต่เวลาซื้อเพิ่มผมจะซื้อน้อยกว่าประจำ
ระดับผมแล้ว ชอบเล่นแบบง่ายๆ วิธีง่ายๆครับ
วิธี งูๆปลาทู วิธีปล่อยไปงงๆ และ ท้ายสุดคือเดาธง
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 53
nanchan เขียน:
ฟันโฟมดมันกว่า ฟันโฟ
ระวังแฟนคลับ โฟมด
ไม่พอใจนะครับ :lol:
สนใจเรื่องบัญชี กลยุทธ์ลงทุน fundflow แจมได้ที่ blog ผม
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 54
\ /........ 1. ยังไม่เข้าใจว่า ทำไมการแบ่งทีมเป็น A และ B ไม่มีผลต่อ
nana การคำนวณ ดูเหมือนว่า ถ้าตั้งโจทย์ใหม่ ให้มีคน 10 คน
|| โดยไม่แบ่งเป็น 2 ทีม ก็จะได้คำตอบเท่าเดิม
?
\.... สวัสดีครับ คำถามนี้ยากมากครับ อืมมม์...
/O คนถามเก่งเรื่อง prob มากครับ ผมตั้งสมมุติฐานว่าเป็นคุณหมอ
|| สมการที่ผมวาดรูปเกิดจากคำพูดของหลวงพ่อตอน
ไปฝึกสมาธิ ท่านสั่งว่า "ห้ามคุย" ท่านให้ความสำคัญอย่างมาก
ผมถามตัวเองว่า ทำไม? อะไรคือเหตุผลเบื้องหลังสิ่งที่หลวงพ่อพูด
ถ้ากลิ้งลูกเต๋า 1 ลูก ผลลัพธ์ได้ 6 แบบ
ถ้า 2 ลูกพร้อมกันได้ 36 แบบ
ถ้า 3 ลูก ได้ 216
ถ้ากลิ้งคน 1 คน จะได้เท่าไร
2 คนพร้อมกันเท่าไร แล้ว 3 คนละเท่าไร
คนแรกมีเหลี่ยม 6 มุม คนที่สอง 2 มีเหลี่ยม 6 เท่ากัน
ผลออกมาเท่าไร ผมคิดว่า ไม่ใช่ 36
ผมชอบดูคนเดินกันเยอะ ๆ ชอบไปเห็นความวุ่นวายในฝูงคน
ชอบดู herd instinct คนว่ามีคุณลักษะณะอย่างไร
เวลาอยู่ด้วยกัน มันเกิด critical mass ได้ทุกเมื่อ
เรื่อง prob ผมคิดถึงเพื่อนคนหนี่งสมัย ม.ปลาย
เพื่อนคนนี้ชอบเอา 1 บาท มาปั่นแปะปล่อยเป้นไป
ตามพรหมลิขิตแล้วนั่งทำข้อสอบ
ปกติจะออกตอน 15 นาทีหลังแจกข้อสอบ
มีครั้งหนึ่งสอบฟิสิกส์ ผ่านไป 30 นาที
ผมยังเห็นเขานั่งโยน 1 บาท อยู่ แถมยังทำหน้ามุ่ยคิ้วขมวดอีกด้วย
ผิดวิสัยของเพื่อนคนนี้อย่างมาก หลังออกจากห้องสอบ
ผมรีบเดินไปหาเพื่อนคนนี้แล้วถามถึงสาเหตุ
มันบอกว่าอย่างไรรู้ไหมครับ
กรูปั่นแปะทวนคำตอบโว้ย!
คิดถึงเพื่อนคนนี้ปั่นแปะหาความสมดุลของโชคชะตาทีไร
ผมยิ้มและคิดถึงทุกครั้ง ครั้งหนึ่ง เคยถามพวกผมว่า
มีแกะ 559 ตัวในคอก กระโดดออกไป 323 ตัวจะเหลือเท่าไร
"พวกมรึงรู้จักแต่ตัวเลข แต่ไม่รู้จักแกะ
ถ้าลองมันโดดมากขนาดนั้น มันตกใจกันทั้งฝูงแล้ว
ตัวหนึ่งมันโดด ตัวที่เหลือมันจะโดดตาม สุดท้ายไม่มีเหลือ"
มันบอกว่า prob ในห้องกับชีวีตจริง ไม่เหมือนกัน
prob ข้างนอกมันมี instinct อยู่ด้วย ในห้อง
"ตัวเลขมันไม่มีอารมณ์หรอก"
ผมคิดว่านั่นสุดยอดเรื่อง prob แล้ว
เป็นคนเรียนไม่เก่ง ชอบพนันขันต่อทุกชนิด
ทุกวันนี้ประสบความสำเร้จในฐานะพ่อค้าอย่างมาก
ในการทดลองกับเหรียญ 1 บาทนั้น
ถ้าลองไม่โยน 1 บาท เปลี่ยนเป็นทุบ
คือทุบแล้วให้มันล้ม เหมือนเราไปกำหนดโชคชะตาของ 1 บาท
แทนที่จะให้มันกำหนดชีวิตเรา
ความสมดุลของ 1 บาท มันมีอยู่จริงหรือไม่
บางทีเพื่อนผมคนนี้อาจจะคิดถูกมานานแล้ว
คิดแล้ว บ่ายนี้ผมลองตั้ง 1 บาท 100 อัน
เมื่อยหน่อยก็พักจิบกาแฟ ล้างหน้าล้างมือ มาตั้งใหม่
ดู ๆแล้ว เห็นความสมดุลมีอยู๋จริงถึงตั้งได้ ไม่มีเอนล้ม
คิดว่าถ้าลองทุบโต๊ ปัง สามัญสำนึกบอกว่า
คงล้มแบบ random ออกหัว/ก้อย เท่ากับ 50/50
ไม่ต้องคิดมากมันคือ คุณสมบัติของ 1 บาท ที่ติดตัวมา
เอ้ย...ลองทุบแล้ว ออกหัวมากกว่าก้อย 87/13 มีอะไรผิดปกติแล้ว!
บาทล้มเหมือนตอนปี 9 ก.ค 2540 แต่ไม่ได้ล้มลงไปสองด้านเท่า ๆ กัน
พิจารณาอีกครั้งที่แท้ โครงสร้างของ 1 บาท
ไม่สมมาตรเลยมีแนวโน้มทำให้ออกหัวมากกว่าก้อย
คราวนี้ทดลองปั่นใส่แรงกระทำตามกฎนิวตันข้อที่ 1 ลงใน 1 บาท
ให้ค่อย ๆ หยุดไปเอง โดยปราศจากกระทำของกฎนิวตันข้อที่ 2
เหมือนการฝากอนาคตไว้กับหุ้นบางตัวที่หมดแรงกระทำของนิวตัน 1
และไม่มีแรงกระทำอย่างต่อเนื่องของกฎนิวตัน 2 ราคาหุ้นหมุนช้าลง
และหยุดลงด้วยความมึนงงของนักลงทุนเกร็งกำไรทุกครั้ง
เอ้ยยยย.....คราวนี้ 100 ครั้ง 1 บาทกลับออกก้อย/หัว เท่ากับ 79/21
แม้เจ้า เกิดอะไรขึ้นนี้ ? หรือว่าเรามีอคติ
แต่ทำการทดลองด้วยความระมัดระวังแล้วนิ
แล้วทำไมไม่เป็นอย่างที่คิด
ในขณะที่ไม่มีค่อยมีใครอยากรู้นักกับปัญหานี้ แต่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ 1 คน
พบว่ามันน่าสนใจเหลือเกินกว่าที่จะให้การทดลองนี้ข้ามไปได้
ผมทำการทดลองซ้ำ ถ้าผมตอบได้ โลกจะเปลี่ยนแปลงไหมนะ
ว่าแล้วไม่มีใครรู้ ลองใหม่ ผลออกมา ปั่นแล้วปล่อยให้หยุดเอง
ผลออกมา ก้อย/หัว เท่ากับ 74/26 แจ่มเลยคราวนี้
คราวหน้า ไปกินกับสมาชิก Thaivi จะชวนพี่น้องเล่น
ถ้าใครทาย 1 บาท แล้วทายว่า "ก้อย" ผมจะทุบให้ 1 บาท ล้ม
แต่ถ้าทายว่า "หัว" ผมจะปล่อยให้หยุดเอง
อย่างนี้คงได้กินตังเป็นแน่แท้ ผมอิบไว้คนเดียวไม่บอกใคร
ผลการทดลอง ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด
เรืองนี่สอนให้เข้าใจถึงเรื่อง Instinct ของคน
" Invest first investigate later."
George Soros
ผมชอบนึกถึงประโยคนี้ แต่หาเหตุผลถอดรหัสไม่ค่อยได้
การเอาไปใช้โดยไม่ตั้งคำถามไม่ใช่วิสัย
การท่องจำเป็นอาขยานเหมือนสูตรคูณไม่ต่างอะไรจากเพื่อนผม
ที่โยน 1 บาท แล้วปล่อยให้เป็นไปตามยะถากรรมของ 1 บาท
ถ้าเรากำลังหาความสมดุลของโชคชะตาจากการอ่านปรัชญาการลงทุน
จากเซียนต่างๆ แล้วไม่เอามาทดลองตามจริตของเราเอง
แทนที่ปรัชญาเหล่านี้จะเป็นพรมให้เราได้เดินตามอย่างมั่นคง
มันกลับเป็นว่า ความเชื่อในหลักการลงทุนเหล่านั้นโน้มอียงเป็นไปตาม
พรหมลิขิตซะมากกว่า
บางที Instinct ของเราก็ขัดแย้งกับความเป็นจริง
แต่ Instinct ของ อ. Soros มันเป็นแบบเฉพาะตัว
แต่เราสามารถเลียนแบบได้ ถ้าเรารู้จักว่ามันหมายถึงเช่นไร
การทดลอง 1 บาท ทำให้เข้าถึงโลกความเป้นจริงมากขึ้น
แค่ 1 บาท แต่เป็นเครื่องมือในการพิเคราะห์ประเด็นในการลงทุน
แต่เราต้องเข้าใจสามัญสำนึกที่เป้นข้อเท็จจริงจากประสบการณ์ของเรา
เพราะ Instinct มาจากสองทาง หนึ่ง คือ ประสบการณ์
สอง คิอ การทดลอง ด้วยการทำสิ่งต่างๆ โดยปราศจากความกังวล
และเปิดใจให้กว้าง ในการดำเนินชีวิต การมองความจริงทางสถิติ
ข้อมูลที่ถูกต้องมีประโยชน์ในการประเมินความเสี่ยง prob อย่างมาก
เราเสี่ยงกันทุกวัน อยู่เฉย ๆ ไม่ทำอะไรก็เสี่ยงแล้ว
คือ เสี่ยงเป็นโรคหัวใจและเสี่ยงต่อสุขภาพ
แต่ถ้าละความสบาย เราก็ต้องเสี่ยงกับเรื่องอื่น
ที่สำคัญเราต้องสอนสามัญสำนึกของเรา
เกี่ยวกับการคาดการณ์เรื่องความน่าจะเป็นใหม่เสียอีกด้วย
เพราะสำหรับผมแล้ว คำว่า Instinct กับ คำว่า probability
มันคือคำคำเดียวกัน แม้ instinct จะโกหกไม่เป็น
แต่มันอาจลวงเราได้เพราะเราดันโกหกตัวเองจนสามัญสำนึกสับสน
อันที่จริง Instinct อาจเป็นต้นกำเนิดของความงมงายทั้งปวง!
" Probability is the very guide of life."
Marcus Tullius Cicero
สวัสดีครับ.....
nana การคำนวณ ดูเหมือนว่า ถ้าตั้งโจทย์ใหม่ ให้มีคน 10 คน
|| โดยไม่แบ่งเป็น 2 ทีม ก็จะได้คำตอบเท่าเดิม
?
\.... สวัสดีครับ คำถามนี้ยากมากครับ อืมมม์...
/O คนถามเก่งเรื่อง prob มากครับ ผมตั้งสมมุติฐานว่าเป็นคุณหมอ
|| สมการที่ผมวาดรูปเกิดจากคำพูดของหลวงพ่อตอน
ไปฝึกสมาธิ ท่านสั่งว่า "ห้ามคุย" ท่านให้ความสำคัญอย่างมาก
ผมถามตัวเองว่า ทำไม? อะไรคือเหตุผลเบื้องหลังสิ่งที่หลวงพ่อพูด
ถ้ากลิ้งลูกเต๋า 1 ลูก ผลลัพธ์ได้ 6 แบบ
ถ้า 2 ลูกพร้อมกันได้ 36 แบบ
ถ้า 3 ลูก ได้ 216
ถ้ากลิ้งคน 1 คน จะได้เท่าไร
2 คนพร้อมกันเท่าไร แล้ว 3 คนละเท่าไร
คนแรกมีเหลี่ยม 6 มุม คนที่สอง 2 มีเหลี่ยม 6 เท่ากัน
ผลออกมาเท่าไร ผมคิดว่า ไม่ใช่ 36
ผมชอบดูคนเดินกันเยอะ ๆ ชอบไปเห็นความวุ่นวายในฝูงคน
ชอบดู herd instinct คนว่ามีคุณลักษะณะอย่างไร
เวลาอยู่ด้วยกัน มันเกิด critical mass ได้ทุกเมื่อ
เรื่อง prob ผมคิดถึงเพื่อนคนหนี่งสมัย ม.ปลาย
เพื่อนคนนี้ชอบเอา 1 บาท มาปั่นแปะปล่อยเป้นไป
ตามพรหมลิขิตแล้วนั่งทำข้อสอบ
ปกติจะออกตอน 15 นาทีหลังแจกข้อสอบ
มีครั้งหนึ่งสอบฟิสิกส์ ผ่านไป 30 นาที
ผมยังเห็นเขานั่งโยน 1 บาท อยู่ แถมยังทำหน้ามุ่ยคิ้วขมวดอีกด้วย
ผิดวิสัยของเพื่อนคนนี้อย่างมาก หลังออกจากห้องสอบ
ผมรีบเดินไปหาเพื่อนคนนี้แล้วถามถึงสาเหตุ
มันบอกว่าอย่างไรรู้ไหมครับ
กรูปั่นแปะทวนคำตอบโว้ย!
คิดถึงเพื่อนคนนี้ปั่นแปะหาความสมดุลของโชคชะตาทีไร
ผมยิ้มและคิดถึงทุกครั้ง ครั้งหนึ่ง เคยถามพวกผมว่า
มีแกะ 559 ตัวในคอก กระโดดออกไป 323 ตัวจะเหลือเท่าไร
"พวกมรึงรู้จักแต่ตัวเลข แต่ไม่รู้จักแกะ
ถ้าลองมันโดดมากขนาดนั้น มันตกใจกันทั้งฝูงแล้ว
ตัวหนึ่งมันโดด ตัวที่เหลือมันจะโดดตาม สุดท้ายไม่มีเหลือ"
มันบอกว่า prob ในห้องกับชีวีตจริง ไม่เหมือนกัน
prob ข้างนอกมันมี instinct อยู่ด้วย ในห้อง
"ตัวเลขมันไม่มีอารมณ์หรอก"
ผมคิดว่านั่นสุดยอดเรื่อง prob แล้ว
เป็นคนเรียนไม่เก่ง ชอบพนันขันต่อทุกชนิด
ทุกวันนี้ประสบความสำเร้จในฐานะพ่อค้าอย่างมาก
ในการทดลองกับเหรียญ 1 บาทนั้น
ถ้าลองไม่โยน 1 บาท เปลี่ยนเป็นทุบ
คือทุบแล้วให้มันล้ม เหมือนเราไปกำหนดโชคชะตาของ 1 บาท
แทนที่จะให้มันกำหนดชีวิตเรา
ความสมดุลของ 1 บาท มันมีอยู่จริงหรือไม่
บางทีเพื่อนผมคนนี้อาจจะคิดถูกมานานแล้ว
คิดแล้ว บ่ายนี้ผมลองตั้ง 1 บาท 100 อัน
เมื่อยหน่อยก็พักจิบกาแฟ ล้างหน้าล้างมือ มาตั้งใหม่
ดู ๆแล้ว เห็นความสมดุลมีอยู๋จริงถึงตั้งได้ ไม่มีเอนล้ม
คิดว่าถ้าลองทุบโต๊ ปัง สามัญสำนึกบอกว่า
คงล้มแบบ random ออกหัว/ก้อย เท่ากับ 50/50
ไม่ต้องคิดมากมันคือ คุณสมบัติของ 1 บาท ที่ติดตัวมา
เอ้ย...ลองทุบแล้ว ออกหัวมากกว่าก้อย 87/13 มีอะไรผิดปกติแล้ว!
บาทล้มเหมือนตอนปี 9 ก.ค 2540 แต่ไม่ได้ล้มลงไปสองด้านเท่า ๆ กัน
พิจารณาอีกครั้งที่แท้ โครงสร้างของ 1 บาท
ไม่สมมาตรเลยมีแนวโน้มทำให้ออกหัวมากกว่าก้อย
คราวนี้ทดลองปั่นใส่แรงกระทำตามกฎนิวตันข้อที่ 1 ลงใน 1 บาท
ให้ค่อย ๆ หยุดไปเอง โดยปราศจากกระทำของกฎนิวตันข้อที่ 2
เหมือนการฝากอนาคตไว้กับหุ้นบางตัวที่หมดแรงกระทำของนิวตัน 1
และไม่มีแรงกระทำอย่างต่อเนื่องของกฎนิวตัน 2 ราคาหุ้นหมุนช้าลง
และหยุดลงด้วยความมึนงงของนักลงทุนเกร็งกำไรทุกครั้ง
เอ้ยยยย.....คราวนี้ 100 ครั้ง 1 บาทกลับออกก้อย/หัว เท่ากับ 79/21
แม้เจ้า เกิดอะไรขึ้นนี้ ? หรือว่าเรามีอคติ
แต่ทำการทดลองด้วยความระมัดระวังแล้วนิ
แล้วทำไมไม่เป็นอย่างที่คิด
ในขณะที่ไม่มีค่อยมีใครอยากรู้นักกับปัญหานี้ แต่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ 1 คน
พบว่ามันน่าสนใจเหลือเกินกว่าที่จะให้การทดลองนี้ข้ามไปได้
ผมทำการทดลองซ้ำ ถ้าผมตอบได้ โลกจะเปลี่ยนแปลงไหมนะ
ว่าแล้วไม่มีใครรู้ ลองใหม่ ผลออกมา ปั่นแล้วปล่อยให้หยุดเอง
ผลออกมา ก้อย/หัว เท่ากับ 74/26 แจ่มเลยคราวนี้
คราวหน้า ไปกินกับสมาชิก Thaivi จะชวนพี่น้องเล่น
ถ้าใครทาย 1 บาท แล้วทายว่า "ก้อย" ผมจะทุบให้ 1 บาท ล้ม
แต่ถ้าทายว่า "หัว" ผมจะปล่อยให้หยุดเอง
อย่างนี้คงได้กินตังเป็นแน่แท้ ผมอิบไว้คนเดียวไม่บอกใคร
ผลการทดลอง ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด
เรืองนี่สอนให้เข้าใจถึงเรื่อง Instinct ของคน
" Invest first investigate later."
George Soros
ผมชอบนึกถึงประโยคนี้ แต่หาเหตุผลถอดรหัสไม่ค่อยได้
การเอาไปใช้โดยไม่ตั้งคำถามไม่ใช่วิสัย
การท่องจำเป็นอาขยานเหมือนสูตรคูณไม่ต่างอะไรจากเพื่อนผม
ที่โยน 1 บาท แล้วปล่อยให้เป็นไปตามยะถากรรมของ 1 บาท
ถ้าเรากำลังหาความสมดุลของโชคชะตาจากการอ่านปรัชญาการลงทุน
จากเซียนต่างๆ แล้วไม่เอามาทดลองตามจริตของเราเอง
แทนที่ปรัชญาเหล่านี้จะเป็นพรมให้เราได้เดินตามอย่างมั่นคง
มันกลับเป็นว่า ความเชื่อในหลักการลงทุนเหล่านั้นโน้มอียงเป็นไปตาม
พรหมลิขิตซะมากกว่า
บางที Instinct ของเราก็ขัดแย้งกับความเป็นจริง
แต่ Instinct ของ อ. Soros มันเป็นแบบเฉพาะตัว
แต่เราสามารถเลียนแบบได้ ถ้าเรารู้จักว่ามันหมายถึงเช่นไร
การทดลอง 1 บาท ทำให้เข้าถึงโลกความเป้นจริงมากขึ้น
แค่ 1 บาท แต่เป็นเครื่องมือในการพิเคราะห์ประเด็นในการลงทุน
แต่เราต้องเข้าใจสามัญสำนึกที่เป้นข้อเท็จจริงจากประสบการณ์ของเรา
เพราะ Instinct มาจากสองทาง หนึ่ง คือ ประสบการณ์
สอง คิอ การทดลอง ด้วยการทำสิ่งต่างๆ โดยปราศจากความกังวล
และเปิดใจให้กว้าง ในการดำเนินชีวิต การมองความจริงทางสถิติ
ข้อมูลที่ถูกต้องมีประโยชน์ในการประเมินความเสี่ยง prob อย่างมาก
เราเสี่ยงกันทุกวัน อยู่เฉย ๆ ไม่ทำอะไรก็เสี่ยงแล้ว
คือ เสี่ยงเป็นโรคหัวใจและเสี่ยงต่อสุขภาพ
แต่ถ้าละความสบาย เราก็ต้องเสี่ยงกับเรื่องอื่น
ที่สำคัญเราต้องสอนสามัญสำนึกของเรา
เกี่ยวกับการคาดการณ์เรื่องความน่าจะเป็นใหม่เสียอีกด้วย
เพราะสำหรับผมแล้ว คำว่า Instinct กับ คำว่า probability
มันคือคำคำเดียวกัน แม้ instinct จะโกหกไม่เป็น
แต่มันอาจลวงเราได้เพราะเราดันโกหกตัวเองจนสามัญสำนึกสับสน
อันที่จริง Instinct อาจเป็นต้นกำเนิดของความงมงายทั้งปวง!
" Probability is the very guide of life."
Marcus Tullius Cicero
สวัสดีครับ.....
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 55
.
\:lol:/..... 2. 82% จะมีความหมายอะไรที่มีประโยชน์หรือไม่
nana
/ \
ผมสนใจตรงความไร้ระเบียบ 82% ที่จะเกิด critical mass (CM)
1. ใช้ forcast
2. ใช้ในการสร้าง Critical mass ซะเอง
3. ใช้ Critical mass สร้าง stability
1. forcast - ผมไม่เชื่อว่าทายระยะยาวไม่ได้
ทายได้แต่ถูกเท่านั้นเอง แต่สั้นเป็นไปได้
ถ้าเรามีโมเดลอีกตัว หรืออีกหลายตัวมาใช้อธิบายพฤติกรรม
ของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น สำคัญต้องรู้สภาวะเริ่มต้นอย่างแม่นยำก่อน
ว่าอะไรเป้นตัวเริ่ม ผมขอยกตัวอย่าง เท่าที่อ่านเจอ ที่สถาบัน Santafe
Institute เขาจัดเป้นการแข่งขันประเพณี CM ประจำปี
ปีก่อนมีนักเรียนเอา CM ใช้ทำนาย demand ใช้ไฟฟ้าสูงสุด /day
บริษัท Kunsai พี่ยุ่นลองเอาไปลองใช้จริงๆ
มีนักเรียนอีกคนพบเอา CM ไปหาปริมาณความต้องการใช้น้ำ
ในแต่ละวัน บริษัท Meda ของญึ่ปุ่น ท่านก็เอาไป adapt เหมือนกัน
ส่วนการ forcast ที่มีความสำเร็จอยู่บ้าง ไม่สำเร็จบ้าง
คือการทำนาย stock price, currency exchange, derivatives market
เพราะคนไม่ใช่วัตถุทดลองเหมือนไฟฟ้า คนมี emotional เขามาเกี่ยว
และเปลียนแปลง expectation ได้ตลอด
อ้อ.....ถึงสำเร็จ เขาก็ไม่บอกเราหรอกครับ
เพราะมันเป็น zero-sum game ไม่ต้องห่วงเลย
ว่ามันจะเป็นความลับตลอดกาล
2) ใช้ในการสร้าง CM ซะเอง
อยู่ดี ๆ ทำไมเราต้องสร้าง CM ขึ้นมาด้วย
เคยสังเกตไหมครับ ร้านก๋วยเตี๋ยวร้านไหนคนกินกันเยอะ
คนขายหน้าเป็นส้นทีนนเลย ถ้ายิ้มแล้วกลัวขายไม่ได้
CM ในร้านขายอาหารนั้นเป้นสากลไปแล้วระบบแบบนี้
ร้านไหนไม่มีใครมุง ก็ไปจ้างคนมามุง
ระบบมุงมันดีกว่าระบบระเบียบแบบง่าย ๆ คนเรานี่แปลก ร้านไหน
กินง่ายๆ ไม่ชอบ ชอบไปมุงร้านคนเยอะๆ
สมัยก่อน เชื่อกันว่า อุณหภูมิที่ดีสำหรับคนคืออุณหภูมิคงที่ พอนัก
เรียนที่ Santafe เอา CM ไปทดลอง
ถึงทราบว่าอุณหภูมิที่คนสบายตัวกว่าเป้นอุณหภูมิที่ต้องเปลี่ยนไปมา
แนวคิดนี้ Sanyo เอาไปทำเครืองทำความร้อน กลายเป็นเครื่องใช้
ไฟฟ้าในบ้านชนิดแรกที่ใช้ CM อ้อ....มีอีกครับ
บริษัท Mutsishita เอา CM ไปควบคุมหัวฉีดของเครื่องล้างจาน
เพราะล้างจานได้แจ่มกว่า โดยประหยัดน้ำได้มากกว่าเครื่องล้างจาน
ไปพบว่า....พอลอง CM แล้ว เส้นทางการเคลื่อนที่ของหัวฉีดที่ไร้
ระเบียบครอบคลุมพื้นที่ได้ดีกว่าการเคลื่อนที่ตามสมการเส้นตรง
ใน นสพ. เจอบ่อย ๆ คนร้ายหาหลักฐานปลอมแปลงสถานที่เกิดเหตุ
ไม่ให้ Sherlock Homes ถอดรหัสการก่อคดี
ด้วยการใช้ CM ในการปกปิด สร้างความไร้ระเบียบแบบแผน
ทำให้ไขว้เขว จนตำรวจไม่สามารถถอดรูปคดีได้
3) ใช้ CM สร้าง stability
ระบบ CM ไวต่อสภาวะเริ่มต้นมาก
เหมือนน้องชายของผมที่ไวต่อสภาวะตั้งต้นเหมือนกัน
ผมต้องคอยดีดให้เจ็บๆ ใช้ CM เข้าช่วย
โดยเฉพาะ เวลามันตั้งขึ้นผิดที่ ผิดเวลา
จะว่าไป อะไรที่มันมี function 2 อย่างในตัวมันเอง
เหมือน sim สองเบอร์ในเครื่องเดียว หรือ ปืนฉีดน้ำที่ใช้พ้นน้ำฉี่ด้วย
ใช้ปล่อยน้ำอาสุกะด้วย มันมักมีปัญหาเสมอๆ
ปัญหาอย่างหนึ่งคือ การรบกวนเพียงเล็กน้อย
อาจก่อให้เกิดผลขยายตัวได้มากกก
การช๊อตไฟฟ้าช่วยรักษาโรคหัวใจล้มเหลว
ช่วยทำให้หัวใจเต้นตามจังหวะปรกติเป้นการใช้ CM ครับ
หนัง U52 หรือ รหัสลับทั้งหลาย สืบสวน
ผู้กำกับใช้ CM มาช่วยในการเขียนบท
CM ช่วยให้การหาค่าที่ดีที่สุด ช่วยสร้าง emotional optimization
ช่วยสร้าง Theme ที่ดีที่สุดได้ง่ายขึ้น
ทำให้หนังไม่บังเอิญซ้ำกับเรื่องอื่นได้โดยง่าย
สวัสดีครับ....
\:lol:/..... 2. 82% จะมีความหมายอะไรที่มีประโยชน์หรือไม่
nana
/ \
ผมสนใจตรงความไร้ระเบียบ 82% ที่จะเกิด critical mass (CM)
1. ใช้ forcast
2. ใช้ในการสร้าง Critical mass ซะเอง
3. ใช้ Critical mass สร้าง stability
1. forcast - ผมไม่เชื่อว่าทายระยะยาวไม่ได้
ทายได้แต่ถูกเท่านั้นเอง แต่สั้นเป็นไปได้
ถ้าเรามีโมเดลอีกตัว หรืออีกหลายตัวมาใช้อธิบายพฤติกรรม
ของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น สำคัญต้องรู้สภาวะเริ่มต้นอย่างแม่นยำก่อน
ว่าอะไรเป้นตัวเริ่ม ผมขอยกตัวอย่าง เท่าที่อ่านเจอ ที่สถาบัน Santafe
Institute เขาจัดเป้นการแข่งขันประเพณี CM ประจำปี
ปีก่อนมีนักเรียนเอา CM ใช้ทำนาย demand ใช้ไฟฟ้าสูงสุด /day
บริษัท Kunsai พี่ยุ่นลองเอาไปลองใช้จริงๆ
มีนักเรียนอีกคนพบเอา CM ไปหาปริมาณความต้องการใช้น้ำ
ในแต่ละวัน บริษัท Meda ของญึ่ปุ่น ท่านก็เอาไป adapt เหมือนกัน
ส่วนการ forcast ที่มีความสำเร็จอยู่บ้าง ไม่สำเร็จบ้าง
คือการทำนาย stock price, currency exchange, derivatives market
เพราะคนไม่ใช่วัตถุทดลองเหมือนไฟฟ้า คนมี emotional เขามาเกี่ยว
และเปลียนแปลง expectation ได้ตลอด
อ้อ.....ถึงสำเร็จ เขาก็ไม่บอกเราหรอกครับ
เพราะมันเป็น zero-sum game ไม่ต้องห่วงเลย
ว่ามันจะเป็นความลับตลอดกาล
2) ใช้ในการสร้าง CM ซะเอง
อยู่ดี ๆ ทำไมเราต้องสร้าง CM ขึ้นมาด้วย
เคยสังเกตไหมครับ ร้านก๋วยเตี๋ยวร้านไหนคนกินกันเยอะ
คนขายหน้าเป็นส้นทีนนเลย ถ้ายิ้มแล้วกลัวขายไม่ได้
CM ในร้านขายอาหารนั้นเป้นสากลไปแล้วระบบแบบนี้
ร้านไหนไม่มีใครมุง ก็ไปจ้างคนมามุง
ระบบมุงมันดีกว่าระบบระเบียบแบบง่าย ๆ คนเรานี่แปลก ร้านไหน
กินง่ายๆ ไม่ชอบ ชอบไปมุงร้านคนเยอะๆ
สมัยก่อน เชื่อกันว่า อุณหภูมิที่ดีสำหรับคนคืออุณหภูมิคงที่ พอนัก
เรียนที่ Santafe เอา CM ไปทดลอง
ถึงทราบว่าอุณหภูมิที่คนสบายตัวกว่าเป้นอุณหภูมิที่ต้องเปลี่ยนไปมา
แนวคิดนี้ Sanyo เอาไปทำเครืองทำความร้อน กลายเป็นเครื่องใช้
ไฟฟ้าในบ้านชนิดแรกที่ใช้ CM อ้อ....มีอีกครับ
บริษัท Mutsishita เอา CM ไปควบคุมหัวฉีดของเครื่องล้างจาน
เพราะล้างจานได้แจ่มกว่า โดยประหยัดน้ำได้มากกว่าเครื่องล้างจาน
ไปพบว่า....พอลอง CM แล้ว เส้นทางการเคลื่อนที่ของหัวฉีดที่ไร้
ระเบียบครอบคลุมพื้นที่ได้ดีกว่าการเคลื่อนที่ตามสมการเส้นตรง
ใน นสพ. เจอบ่อย ๆ คนร้ายหาหลักฐานปลอมแปลงสถานที่เกิดเหตุ
ไม่ให้ Sherlock Homes ถอดรหัสการก่อคดี
ด้วยการใช้ CM ในการปกปิด สร้างความไร้ระเบียบแบบแผน
ทำให้ไขว้เขว จนตำรวจไม่สามารถถอดรูปคดีได้
3) ใช้ CM สร้าง stability
ระบบ CM ไวต่อสภาวะเริ่มต้นมาก
เหมือนน้องชายของผมที่ไวต่อสภาวะตั้งต้นเหมือนกัน
ผมต้องคอยดีดให้เจ็บๆ ใช้ CM เข้าช่วย
โดยเฉพาะ เวลามันตั้งขึ้นผิดที่ ผิดเวลา
จะว่าไป อะไรที่มันมี function 2 อย่างในตัวมันเอง
เหมือน sim สองเบอร์ในเครื่องเดียว หรือ ปืนฉีดน้ำที่ใช้พ้นน้ำฉี่ด้วย
ใช้ปล่อยน้ำอาสุกะด้วย มันมักมีปัญหาเสมอๆ
ปัญหาอย่างหนึ่งคือ การรบกวนเพียงเล็กน้อย
อาจก่อให้เกิดผลขยายตัวได้มากกก
การช๊อตไฟฟ้าช่วยรักษาโรคหัวใจล้มเหลว
ช่วยทำให้หัวใจเต้นตามจังหวะปรกติเป้นการใช้ CM ครับ
หนัง U52 หรือ รหัสลับทั้งหลาย สืบสวน
ผู้กำกับใช้ CM มาช่วยในการเขียนบท
CM ช่วยให้การหาค่าที่ดีที่สุด ช่วยสร้าง emotional optimization
ช่วยสร้าง Theme ที่ดีที่สุดได้ง่ายขึ้น
ทำให้หนังไม่บังเอิญซ้ำกับเรื่องอื่นได้โดยง่าย
สวัสดีครับ....
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 56
.
\/..... หลักการคือ ฝึกเดาบ่อยๆ เดาบ่อยๆ แล้วสัญชาติญาณจะมา
nan เองสัญชาติญาณ ไม่มีใครสอนได้หรอกครับ
| \
\ ...... พี่นันพุดหมดแล้ว
O\ ผมว่าตรงนั้น ไม่มีใครกล้าสอนอย่างนั้น แต่พี่นั้นกล้าพูด
/ |
ผมคิดถึงคนตาบอด เพราะผมชอบไปคุยกับคนตาบอด
คุยแล้วก็อุดนุนซื้อล๊อตเตอรี่ ผมขอบคุณที่ถ่ายทอดสิ่งที่ผมกระผม
ไม่เคยรูจัก กระผมไม่เคยถูกหวยเลยสักครั้ง
ไม่เคยหวังว่าจะถูก เพราะการคาดหวังอันตราย
พวกเขามีประสาทสัมผัสทั้งหกอันยอดเยี่ยมที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน
เป็นระดับที่เราไม่สามารถเข้าใจได้ แต่ก็มีบางสิ่งพวกเขา
ไม่สามารถเข้าใจได้เช่นกัน
เหมือนครั้งหนึ่งเล่าเรื่องแสงให้คนตาบอดฟัง สื่อสารอย่างไร
คนตาบอดไม่มีประสบการณ์ พูดเรื่องแสงพูดให้ฟังได้
จากแสง ยังสร้างทฤษฎีขึ้นมายังได้ คนตาบอดได้ยินเรื่องแสงทุกวัน
ในที่สุดกลายเปนผู้เชี่ยวชาญ เขาเข้าใจว่าแสงคืออะไร
ประกอบด้วยอะไร เข้าใจฟิสิกส์ของแสง เข้าใจเคมีของแสง
เข้าใจชีวะของแสง เข้าใจคณิตศาสตร์ของแสง
บางท่านไปไกลกว่าจนเข้าใจถึงบทกวีของแสง แต่เขาไม่มี
ประสบการณ์ ถึงมีจินตนาการ ยังคงต้องเกี่ยวพันโยงกับเรื่องอื่น
แต่นั่นไม่ใช่แสงเอง เพราะแสงไม่อาจสื่อสารด้วยคำพูดได้
เพื่อที่จะสังเกตเหนบัฟเฟต เราไม่จำเป็นต้องเปนบัฟเฟต
แต่เพื่อจะสังเกตเห็นคนตาบอด เราต้องเป็นคนตาบอด
ไม่เช่นนั้นก้เปนไปไม่ได้ ตาดีแต่ยอมรับว่าตนตาบอด
จึงเริ่มเหนแสง วิธียอมรับ วิธีปล่อยวาง เมื่อเราเปนเด้กอีกครั้ง
เราจะกลายเป็นปราชญ์ นั่นคือการเกิดครั้งที่สองในขณะที่เรามีชีวิตอยู่
บนโลก เรากลายเปนเด็กอีกครั้ง ความไร้เดียงสาแบบเดิม
ภาวะเปลือยอาบน้ำในคลอง การไม่ยึดติด การไม่ครอบครองปริญญา
ความไม่มีการยึดมั่นว่าเราคือใคร เราจะกลัวอะไรอีกเหล่า
เราไม่รู้อะไรเลย จึงไม่มีอะไรให้กังวล อย่าเสียเวลาอยู่เลย
เพราะเราเปนเด็ก เราจึงเริ่มเหนแสงเหมือนกับเด็กเหน เพราะผู้ใหญ่
เป็นนักธุรกิจ อยู๋ในโลกของทำไม เพราะอะไร เหตผลอยู่ไหน
เขาจะไม่เคยพบแสงจนกว่าจะกลับเปนเด็กอีกครั้ง
เหมือน สตีฟ จ๊อป ที่บอกว่า....
จงหิวและโง่เขลา
นั่นคือวิธีเดียวที่จะเห็นแสง ไม่อย่างนั้น ท่านก็เพียงดูแต่แสง
แต่ไม่เคยเหนแสงจริงๆ การใช้ความคิดเขียนถึงสิ่งที่รับรู้จาก
ประสบการณ์ เป็นเรื่องของการแยกย่อยในเรื่องนั้นๆ
ผู้รู้กับแสงจะถูกแยกออกจากกัน แสงจึงเปลี่ยนจากผู้สังเกตมาเปนผู้ถูก
สังเกต มีเพีงเท่านั้นจึงเกิดความรู้เรื่องแสงได้
เหมือนนักวิทยาศาสตร์ไม่อาจเปนนักวิทยาศาสตร์ได้ถ้าไม่แยกวัตถุ
ทดลองจากสิ่งที่เขากำลังทำ ผู้ทดลองไม่เอาตัวเองให้กลายเปนตัว
ทดลองเสียเอง ตราบที่ใช้ตรรกะในเรื่องนี้
แสงจะไม่เคยถูกอธิบายได้ถูกต้องเลย
คนตาบอดพูดเกี่ยวกับกำไรที่โตอย่างต่อเนื่อง
แต่กำไรไม่พูดออกด้วยตัวมันเอง ยังคงเปนเรื่องที่ต้องโยงกับเรื่องอื่น
การฝึกฝน การเรียนรู้จากแรบไบที่เก่ง
ยังไม่อาจเทียบเท่าประสบการณ์จริง
ความจริงของแสงแสดงออกมาไม่ได้ แสงพูดไม่ได้
ต้องเรียนรู้เอง ถ้าไม่มีประสบการณ์ฉะไหนเลยจะสื่อสารออกมาได้โดยไม่
ทิ้งความจริงไป เมื่อได้ยินเกี่ยวกับแสง เรารับรู้ความหมาย
แต่ไม่อาจรับรู้ความจริง เหมือนดูพจนานุกรม
รับรู้ความหมายของคำว่าแสง แต่คนตาบอดไม่เคยเอาแสงไปใช้
เขาจะไม่มีทางรับรู้ความจริงแห่งแสง ความหมายที่แท้จริงต้องมา
จากประสบการณ์ ความหมายที่บอกเล่าผ่านตัวหนังสือ เปนเพียง
ความหมายในไวยากรณ์เท่านั้น แต่ความหมายในประสบการณ์
ความหมายดำรงอยู่ในตัวตน ความหมายที่แท้จริงแห่งแสง
ต้องมาจากการผ่านประสบการณ์ ท่านต้องรู้เอง ไม่มีวิธีอื่นเลย
วิทยาศาสตร์แบ่งเป็นสิ่งที่รู้กับไม่รู้
ถ้ามองการลงทุนเป็นวิทยาศาสตร์ สิ่งที่รู้วันนี้คือสิ่งที่ไม่รู้เมื่อวาน
สิ่งที่ไม่รู้จะกลายเปนสิ่งที่รู้ในวันพรุ่งนี้ ช่องว่างเกิดได้เพราะความคิด
ตรรกะทำให้เกิดความฉลาด ความฉลาดลบช่องว่าง แต่ความฉลาด
กลายเปนอดีตไปแล้ว ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป เมื่อเรารู้เราจะกลาย
เป็นคนฉลาด แต่เมื่อเรารู้เราจะสูญเสียความไร้เดียงสาของเด็ก การรู้คือ
ไม่จำเป็นต้องรู้ เหมือนกับโสกราติสที่มีนิสัยเหมือนเด็กตลอดเวลา ก่อน
ท่านตายท่านกล่าวประโยคไว้ว่า....
"ตอนเปนหนุ่ม ข้ารู้ทุกอย่าง ช่วงกลางคน ข้ารู้บ้างไม่รู้บ้าง ตอนชรา ข้าไม่รู้อะไรเลย"
นี่คือเรื่องที่ต้องเข้าใจ เมื่อใดที่ท่านค้นพบความลี้ลับนี้
ท่านจะพบว่าไม่มีช่องว่างใดที่เหมือนกันเลย ไม่มีแสงใดๆ
ที่เหมือนกันทุกครั้งเช่นกัน ไม่มีอะไรคงที่ในทุกเวลา
ไม่ว่าสถานการณ์ใด สิ่งเดียวกันอาจเปนสิ่งดีในเวลาหนึ่ง
เลวร้ายในอีกเวลาหนึ่ง ท่านไม่อาจข้ามลำธารเดิมซ้ำสองครั้งได้
เพราะครั้งที่สองนั้น ลำธารได้เคลื่อนไปแล้ว แม้กระทั่งคนคนเดียวกัน
พบคนเดิมซ้ำสอง ท่านคือคนเดิมในวันนี้เหมือนกับเมื่อวานหรือ เปน
ไปไมได้ ท่านเปรคนเดิมเฉพาะผิวนอก ไม่เพียงลำธารเปลี่ยน แต่ใจ
คนก็เปลี่ยนไปด้วย นั่นคือชีวิต สรรพสิ่งปลี่ยนไป ท่านอาจสงสัยและ
ไม่ยอมรับ มันอาจทำให้อีโก้ของท่านเจ้บปวด
แต่ท่านไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงนี้.....
สวัสดีครับ
\/..... หลักการคือ ฝึกเดาบ่อยๆ เดาบ่อยๆ แล้วสัญชาติญาณจะมา
nan เองสัญชาติญาณ ไม่มีใครสอนได้หรอกครับ
| \
\ ...... พี่นันพุดหมดแล้ว
O\ ผมว่าตรงนั้น ไม่มีใครกล้าสอนอย่างนั้น แต่พี่นั้นกล้าพูด
/ |
ผมคิดถึงคนตาบอด เพราะผมชอบไปคุยกับคนตาบอด
คุยแล้วก็อุดนุนซื้อล๊อตเตอรี่ ผมขอบคุณที่ถ่ายทอดสิ่งที่ผมกระผม
ไม่เคยรูจัก กระผมไม่เคยถูกหวยเลยสักครั้ง
ไม่เคยหวังว่าจะถูก เพราะการคาดหวังอันตราย
พวกเขามีประสาทสัมผัสทั้งหกอันยอดเยี่ยมที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน
เป็นระดับที่เราไม่สามารถเข้าใจได้ แต่ก็มีบางสิ่งพวกเขา
ไม่สามารถเข้าใจได้เช่นกัน
เหมือนครั้งหนึ่งเล่าเรื่องแสงให้คนตาบอดฟัง สื่อสารอย่างไร
คนตาบอดไม่มีประสบการณ์ พูดเรื่องแสงพูดให้ฟังได้
จากแสง ยังสร้างทฤษฎีขึ้นมายังได้ คนตาบอดได้ยินเรื่องแสงทุกวัน
ในที่สุดกลายเปนผู้เชี่ยวชาญ เขาเข้าใจว่าแสงคืออะไร
ประกอบด้วยอะไร เข้าใจฟิสิกส์ของแสง เข้าใจเคมีของแสง
เข้าใจชีวะของแสง เข้าใจคณิตศาสตร์ของแสง
บางท่านไปไกลกว่าจนเข้าใจถึงบทกวีของแสง แต่เขาไม่มี
ประสบการณ์ ถึงมีจินตนาการ ยังคงต้องเกี่ยวพันโยงกับเรื่องอื่น
แต่นั่นไม่ใช่แสงเอง เพราะแสงไม่อาจสื่อสารด้วยคำพูดได้
เพื่อที่จะสังเกตเหนบัฟเฟต เราไม่จำเป็นต้องเปนบัฟเฟต
แต่เพื่อจะสังเกตเห็นคนตาบอด เราต้องเป็นคนตาบอด
ไม่เช่นนั้นก้เปนไปไม่ได้ ตาดีแต่ยอมรับว่าตนตาบอด
จึงเริ่มเหนแสง วิธียอมรับ วิธีปล่อยวาง เมื่อเราเปนเด้กอีกครั้ง
เราจะกลายเป็นปราชญ์ นั่นคือการเกิดครั้งที่สองในขณะที่เรามีชีวิตอยู่
บนโลก เรากลายเปนเด็กอีกครั้ง ความไร้เดียงสาแบบเดิม
ภาวะเปลือยอาบน้ำในคลอง การไม่ยึดติด การไม่ครอบครองปริญญา
ความไม่มีการยึดมั่นว่าเราคือใคร เราจะกลัวอะไรอีกเหล่า
เราไม่รู้อะไรเลย จึงไม่มีอะไรให้กังวล อย่าเสียเวลาอยู่เลย
เพราะเราเปนเด็ก เราจึงเริ่มเหนแสงเหมือนกับเด็กเหน เพราะผู้ใหญ่
เป็นนักธุรกิจ อยู๋ในโลกของทำไม เพราะอะไร เหตผลอยู่ไหน
เขาจะไม่เคยพบแสงจนกว่าจะกลับเปนเด็กอีกครั้ง
เหมือน สตีฟ จ๊อป ที่บอกว่า....
จงหิวและโง่เขลา
นั่นคือวิธีเดียวที่จะเห็นแสง ไม่อย่างนั้น ท่านก็เพียงดูแต่แสง
แต่ไม่เคยเหนแสงจริงๆ การใช้ความคิดเขียนถึงสิ่งที่รับรู้จาก
ประสบการณ์ เป็นเรื่องของการแยกย่อยในเรื่องนั้นๆ
ผู้รู้กับแสงจะถูกแยกออกจากกัน แสงจึงเปลี่ยนจากผู้สังเกตมาเปนผู้ถูก
สังเกต มีเพีงเท่านั้นจึงเกิดความรู้เรื่องแสงได้
เหมือนนักวิทยาศาสตร์ไม่อาจเปนนักวิทยาศาสตร์ได้ถ้าไม่แยกวัตถุ
ทดลองจากสิ่งที่เขากำลังทำ ผู้ทดลองไม่เอาตัวเองให้กลายเปนตัว
ทดลองเสียเอง ตราบที่ใช้ตรรกะในเรื่องนี้
แสงจะไม่เคยถูกอธิบายได้ถูกต้องเลย
คนตาบอดพูดเกี่ยวกับกำไรที่โตอย่างต่อเนื่อง
แต่กำไรไม่พูดออกด้วยตัวมันเอง ยังคงเปนเรื่องที่ต้องโยงกับเรื่องอื่น
การฝึกฝน การเรียนรู้จากแรบไบที่เก่ง
ยังไม่อาจเทียบเท่าประสบการณ์จริง
ความจริงของแสงแสดงออกมาไม่ได้ แสงพูดไม่ได้
ต้องเรียนรู้เอง ถ้าไม่มีประสบการณ์ฉะไหนเลยจะสื่อสารออกมาได้โดยไม่
ทิ้งความจริงไป เมื่อได้ยินเกี่ยวกับแสง เรารับรู้ความหมาย
แต่ไม่อาจรับรู้ความจริง เหมือนดูพจนานุกรม
รับรู้ความหมายของคำว่าแสง แต่คนตาบอดไม่เคยเอาแสงไปใช้
เขาจะไม่มีทางรับรู้ความจริงแห่งแสง ความหมายที่แท้จริงต้องมา
จากประสบการณ์ ความหมายที่บอกเล่าผ่านตัวหนังสือ เปนเพียง
ความหมายในไวยากรณ์เท่านั้น แต่ความหมายในประสบการณ์
ความหมายดำรงอยู่ในตัวตน ความหมายที่แท้จริงแห่งแสง
ต้องมาจากการผ่านประสบการณ์ ท่านต้องรู้เอง ไม่มีวิธีอื่นเลย
วิทยาศาสตร์แบ่งเป็นสิ่งที่รู้กับไม่รู้
ถ้ามองการลงทุนเป็นวิทยาศาสตร์ สิ่งที่รู้วันนี้คือสิ่งที่ไม่รู้เมื่อวาน
สิ่งที่ไม่รู้จะกลายเปนสิ่งที่รู้ในวันพรุ่งนี้ ช่องว่างเกิดได้เพราะความคิด
ตรรกะทำให้เกิดความฉลาด ความฉลาดลบช่องว่าง แต่ความฉลาด
กลายเปนอดีตไปแล้ว ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป เมื่อเรารู้เราจะกลาย
เป็นคนฉลาด แต่เมื่อเรารู้เราจะสูญเสียความไร้เดียงสาของเด็ก การรู้คือ
ไม่จำเป็นต้องรู้ เหมือนกับโสกราติสที่มีนิสัยเหมือนเด็กตลอดเวลา ก่อน
ท่านตายท่านกล่าวประโยคไว้ว่า....
"ตอนเปนหนุ่ม ข้ารู้ทุกอย่าง ช่วงกลางคน ข้ารู้บ้างไม่รู้บ้าง ตอนชรา ข้าไม่รู้อะไรเลย"
นี่คือเรื่องที่ต้องเข้าใจ เมื่อใดที่ท่านค้นพบความลี้ลับนี้
ท่านจะพบว่าไม่มีช่องว่างใดที่เหมือนกันเลย ไม่มีแสงใดๆ
ที่เหมือนกันทุกครั้งเช่นกัน ไม่มีอะไรคงที่ในทุกเวลา
ไม่ว่าสถานการณ์ใด สิ่งเดียวกันอาจเปนสิ่งดีในเวลาหนึ่ง
เลวร้ายในอีกเวลาหนึ่ง ท่านไม่อาจข้ามลำธารเดิมซ้ำสองครั้งได้
เพราะครั้งที่สองนั้น ลำธารได้เคลื่อนไปแล้ว แม้กระทั่งคนคนเดียวกัน
พบคนเดิมซ้ำสอง ท่านคือคนเดิมในวันนี้เหมือนกับเมื่อวานหรือ เปน
ไปไมได้ ท่านเปรคนเดิมเฉพาะผิวนอก ไม่เพียงลำธารเปลี่ยน แต่ใจ
คนก็เปลี่ยนไปด้วย นั่นคือชีวิต สรรพสิ่งปลี่ยนไป ท่านอาจสงสัยและ
ไม่ยอมรับ มันอาจทำให้อีโก้ของท่านเจ้บปวด
แต่ท่านไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงนี้.....
สวัสดีครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Expected value analysis
โพสต์ที่ 57
จอร์จ โซรอส กังขาว่าการเปิดเผยต่อสื่อมวลชนนั้นน่าปรารถนาจริงหรือ เพราะปรากฏว่าไม่กี่เดือนหลังจากลงปกนิตยสารดังกล่าว โซรอสก็ต้องประสบกับปีที่ขาดทุนซึ่งเป็นเพียงปีเดียวในชีวิตการลงทุนของเขา สำหรับจอร์จแล้ว นี่เกือบจะเรียกว่าเป็นสาเหตุของการสูญเสียครั้งนั้นก็ว่าได้ จอร์จรู้ว่า การหลงเชื่อภาพพจน์ของตัวเองไปตามสื่อนั้นเป็นความเสี่ยง ดังนั้นในช่วงต้นและกลางทศวรรษ 1980 นโยบายการข่าวของโซรอสก็คือ ไม่มีการออกข่าวใด ๆ เลย ไม่มีโฆษก และไม่มีการเปิดแถลงข่าว อย่างไรก็ตามหากจะเปรียบก็เหมือนกับโซรอสกำลังเล่นชักเย่อกับตัวเอง ปลายข้างหนึ่งเป็นการลงทุนซึ่งดึงเขาเข้าไปสู่ความลึกลับ ส่วนปลายเชือกอีกข้างคือโครงการอุปถัมภ์ ก็พยายามดึงเขาออกมาเปิดเผยตัวเอง
....ล่าก่อนครับทุกท่าน
| O\
||
- naris
- Verified User
- โพสต์: 6726
- ผู้ติดตาม: 1
Expected value analysis
โพสต์ที่ 58
[quote="nanchan"][quote="naris"][quote="nanchan"]
ผมคงไม่ใช่วิธีอะไรที่มันยากเกินความสามารถผม และมีต้นทุนเกินความจำเป็น ผมว่าการจะมองว่าแรงขายหมดหรือยัง ไม่จำเป็นต้องเอาเงินตัวเองไปใช้หรอก สิ้นแปลงเงินเป่าๆ ดูเค้าทำไปก็พอ อยากซื้อผมก็ไม่ทยอยซื้อทีละนิดหรอก เสียเวลา และรำคาญด้วย แต่เวลาซื้อเพิ่มผมจะซื้อน้อยกว่าประจำ
ระดับผมแล้ว ชอบเล่นแบบง่ายๆ วิธีง่ายๆครับ
วิธี งูๆปลาทู วิธีปล่อยไปงงๆ และ ท้ายสุดคือเดาธง
ผมคงไม่ใช่วิธีอะไรที่มันยากเกินความสามารถผม และมีต้นทุนเกินความจำเป็น ผมว่าการจะมองว่าแรงขายหมดหรือยัง ไม่จำเป็นต้องเอาเงินตัวเองไปใช้หรอก สิ้นแปลงเงินเป่าๆ ดูเค้าทำไปก็พอ อยากซื้อผมก็ไม่ทยอยซื้อทีละนิดหรอก เสียเวลา และรำคาญด้วย แต่เวลาซื้อเพิ่มผมจะซื้อน้อยกว่าประจำ
ระดับผมแล้ว ชอบเล่นแบบง่ายๆ วิธีง่ายๆครับ
วิธี งูๆปลาทู วิธีปล่อยไปงงๆ และ ท้ายสุดคือเดาธง
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 1
Expected value analysis
โพสต์ที่ 59
ตรงนี้เขาเอาเงิน T แลก เงิน C ที่ประเทศ T และก็เอาเงิน C ที่ำได้ไปแลก T ที่ประเทศ C กลับไปกลับมาใช่ไหมครับประเทศ T และ C ติดกัน ร่ำรวยพอๆ กัน แต่ไม่ยักถูกกัน
สินค้าก็แลกเปลี่ยนกันตรงชายแดนอยู่เป็นปกติ ช่วงไหนรบกัน ก็
ต่างคนต่างปิดชายแดนเอาดื้อ ๆ
วันหนึ่ง T เลยประกาศกฎหมายออกไปว่า "ตั้งแต่นี้ไป
ค่าเงินประเทศ C 1 เฟื้อง แลกเงิน T ได้ไม่เต็มเฟื่องแล้ว ได้
แค่ .90 เฟื่อง นะเฟ้ย"
C ก็เอาบ้าง ก็ตะโกนกลับไปบ้างว่า เอ้ย..
."ค่าเงินของยูนะเจ้าคน T มีค่าเท่ากับ .90 เฟื่องของเฮาบ้างเหมือนกัน"
ปรากฎว่า คนยิวคนหนึ่งอาศัยตรงชายแดนหากินมานาน
พอทราบข่าวนี้ ก็เกิดไอเดียอันบันเจิด
สามารถสร้างกำไรเป็นกอบเป็นกำ กลายเป็นเศรษฐีด้วยเพราะเหตุจาก
กฎหมายที่ทั้งสองประเทศประกาศออกมา
ถามว่า พ่อค้าชาวยิวคนนั้นทำได้อย่างไรครับ?