. /
/ ...... ช่วยดูให้หน่อยนะครับว่าผมเข้าใจถูกต้องไหมครับ
ท่านฮง
/ \
....... สวัสดีครับท่านฮง เรื่อง Fund Flow ผมโง่ครับ
|O\ ผมไม่รู้หรอกครับ ต้องขอโทษด้วยครับ
|| ผมยังแอบอ่าน blog ท่านเลย ^ ^
ท่านฮงจำคำถามเซียนใส่หมวกที่ผมถามไปได้ไหม
คำตอบคือแดงครับ แต่ทั้งนี้ คำตอบอยู๋บนสมมุติฐาน
ทั้งเซียนกระทิงและเซียนเสือเป็นเซียนจริงๆ
เข้าใจเรื่องความน่าจะเป็น และไม่ได้จงใจตอบผิด
พี่เล็กแจ่มเรื่องนี้มากที่สุด
ท่านฮงจำเสือได้ไหมครับ
เสือมัน invest first แล้ว investigate later
เสือมีสมมุติฐาน แล้วมันลองทำดูครับ
สมมุติฐาน มาก่อนคำพิพากษาครับ
ส่วนสิ่งที่ก่อนสมมุติฐาน คือ สัณชาติญาณของเสือครับ
วันนี้ผมลองใช้กับ CPF สร้างสมมุติฐานขั้นมา
แล้ว Invest first, investigate later
ลงทุนทีละน้อย คอยดูว่าสมมุติฐานของเราถุกหรือผิด
บางทีก็สร้างสัมผัสขึ้นมา ขายก่อนแล้วค่อยซื้อ
ถ้ามีคนรับมาก ผมถึงจะซื้อ คือ ซื้อไปแล้ว มีคนมารอซื้อต่อแน่ๆ
การสร้างความรูสึกเกี่ยวตลาดขึ้นมานั้น ผมทำไม่บ่อยครับ
ทำต่อเมื่อ ไม่แน่ใจเท่านั้น
ถ้าอยากซื้อ ผมจะขายก่อน ถ้าอยากขาย ผมจะซื้อก่อน
ที่สำคัญ ต้องแยกอารมณ์และความรูสีกของตนออกจากตลาดให้ได้
ไม่ปล่อยให้ตันหาต่างๆ เข้ามาปน
ไม่ปล่อยให้อัตตามาปะปนกับการตัดสิน ใจทางการลงทุนอย่างเด็ดขาด
การที่ปราศจากอารมณ์ความรูสึกในการลงทุนนั้น ต้องอาสัยความมีวินัย
ต้องอาสัยความมั่นใจในตัวเองอย่างมากด้วยครับ
อีกทั้งต้องเข้าใจว่าตลาดมีทั้งด้านที่มีเหตุผล และไม่มีเหตุผล
และยังต้องยอมรับด้วยว่า เราไม่สามารถตัดสินใจได้ถุกต้องตลอดเวลา
หากมีโอกาส ต้องฉกฉวยให้เต็มที่
หากผิดพลาด ก็ยอมรับผิด สำคัญที่ต้องรูว่าเมื่อผิดแล้ว ต้องทำอย่างไรให้อยู่รอด
คนที่คิดอย่างนี้ได้ มีนับหลายเลย
พี่นันจังเก่งที่สุดครับ
ใน Thaivi นักลงทุนมีสมมุติฐาน
เชื่อว่าตลาดหุ้นมีเหตุผล เชื่อว่า ราคาหุ้นมีตรรกะฝังอยู๋ในตัวของมัน
เชื่อว่า ถ้าเขาสามารถวิเคราะห์ทำความเข้าใจตรรกะที่ว่านี้
ดังนั้น พวกเขาจะสามารถรวยได้
หลายท่านในไทวิเก่งในเรื่องหาตรรกะนี้นี้
ผมมีสมมุติฐาน prob ทุกอย่างมันอยู๋ที่ตรงนั้น
แต่ผมไม่เชื่อว่าตลาดมีตรรกะอย่างนั้นตลอดเวลา
ผมเชื่อว่าตลาดมีด้านที่ไร้ระเบียบ
ผมถนัดมองด้านอย่างนั้น
ถ้าวิเคราะห์ความไร้ระเบียบนี้ ผมก็รวยได้เช่นกัน
ผมไม่เชื่อว่าการเคลื่อนไหวตลาดหุ้นมีสูตรคณิตศาสตร์
คณิตศาสตร์ไม่ได้ควบคุมการเคลื่อนไหวของตลาด
ตลาดถูกควบคลุมด้วยจิตวิทยา พูดให้ชัดคือ
สัญชาติญาณในการอยู๋รวมกันเป้นกลุ่มหรือฝูงนั่นเองครับ
วันนี้ผมตั้ง สมมุติฐานว่า กลุ่มนักลงทุนจะวิ่งตาม CPF
ตลาดผันผวนเมื่อวาน คนเข้าหาหุ้นที่ผันผวนน้อย
ระบบที่ผมมีมันบอกอย่างนั้น มัน correlate กับ cpall
แต่ผมบอกระบบผมได้
ผมไม่ใจกว้างเหมือนท่านฮง ท่านฮงบอกหมดเลย
ท่านฮงน่านับถือมากกว่าผมเยอะ
เหมือนที่ท่านมัดบอก
โซรอสพยามชี้ให้เราเห็นถึงข้อจำกัดของการใช้สมองของมนุษย์ใน
การคิดหรือแก้ไขปัญหา
จากแนวคิดที่เขาพยามจะสือให้เห็นนั่นข้อผิดพลาดของมนุษย์
ก็เริ่มต้นตั้งแต่แรกอยุ๋แล้วคือสมมุติฐานที่เราคิดขึ้นมาใช้กันทุกวันนี้
เนื่องจากสมมุติฐานเป็นผลผลิตจากความคิดหรือจากสมองนั่นเอง
สมองของมนุษย์มีความจำกัดในการแก้ไขปัญหาอย่างมาก
ซึ่งโซรอสเสนอแนวทางที่น่าสนใจมากคือใช้ จิตใจในการแก้ปัญหา
ค่อนข้างจะเชื่อในจิตใต้สำนึกของแกเป็นอันดับแรกก่อนสมอง
เนื่องจากแกอยู่ในยุคสงคราม และการเอาตัวรอดนั้น
คนที่มัวใช้เวลาในการใช้สมองในการเอาตัวรอดนั้นอาจจะไม่มีชีวิตรอด
เขาอาจจะไม่รุ้ว่าพุทธเจ้าก็เห็นความสำคัญของการใช้
ปัญญาญาณมากกว่าสมองเช่นกัน
ผมถึงต้องฝึกสมาธิทุกวัน ผมเน้นการปฏิบัติวันละเล็กละน้อย
เพื่อพยามจะทำความเข้าใจถึงความจริงโดยการปฏิบัติตัว
ในสิ่งที่ต้องการจะเรียนรุ้ ผมทำสมาธฺกับทุกอย่าง
แม้กระทั่งในตลาดด้วย
สุดท้ายจากประสบการณ์ทั้งหมดมันก็ทำให้เราเข้าใจ
และเข้าถึงมันมากขึ้น จนเรียกได้ว่า
ไม่ว่าตลาดมันจะเป็นอย่างไร
เราก็จะดำรงอยุ่คุ่มันไปได้ตลอดตราบเท่าที่โลกนี้
ยังไม่เบื่อเกมส์ทุนนิยมแบบนี้
ส่วนตัว ผมยังต้องเรียนอีกเยอะ เรียนจนแก่เลย
มีคนบอกว่า "ไอ้โหน่งเป็นคนขี้โม้"
คำพูดของประโยคนี้กลับทำให้ความจริงของมัน
อยุ่กับบุคคลนั้นๆ เช่น คนที่ไม่ชอบปรัชญาเพราะคิดว่าฟุ้งซ่าน
ก็จะมองว่าผมเป็นคนบ้า 555555
อีกคนอาจจะมองว่าผมเป็นคนคอยช่วย
เหลือคนอื่นตลอด ก็จะมองว่าดีเป็นต้น
ผมมองว่านี่เป็นจุด เริ่มของ Reflexivity
เพราะมันเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาหากว่าเราได้รับข้อมูลแบบนี้
เราควรจะคบกับไอ้โหน่งดีหรือไม่
ซึ่งเราจะไม่มีทางรุ้ความจริงได้เลย จนกว่าจะลองคบดูนิสัย
ไปนาน ๆ ก่อนจนเห็นธาตุแท้
ธาตุผมเป้นธาตุหุ้น ไม่ใช่ ดิน น้ำ ลง ไฟ
เพราะคิดเกี่ยวกับหุ้นตลอดเวลา 5555
ถ้าเราตัดสินใจบนข้อมูลดิบ
หากเราใช้ความคิดของเราในการตีค่าความจริงนั้นออกมา
ที่ส่งผ่านมาทางสมมุติฐานตั้งแต่แรก
มันก็จะมีโอกาสผิดพลาดได้ เพราะสมมุติฐานมันมี prob ในตัวเอง
ผมจะยกตัวอย่างเคสจริงในตลาดหุ้น...
เราได้รับข้อมูลข่าวสารมาว่า...
"ตัวเลขการว่างงานในสหรัฐสูงถึง 1 ล้านต่ำแหน่ง
โอเคนี้เป็นตัวเลขการเก็บข้อมูลดิบจะเป็นดังเช่นประโยคแรก
เศรษฐกิจของโลกจะเลวร้ายลง ส่งผลร้ายต่อตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่อง
เนื่องจากตัวเลขว่างงานของอเมริกาสูงขึ้นอย่างมาก
เห็นมั้ยครับ นี่เป็นส่วนของ Reflexivity
เป็นประโยคที่ส่งผ่านความเห็นความเชื่อออกมาบนรากฐานของข้อมูล
ข้อมูลที่มันเป็นแบบนี้ ความจริงมันอาจจะเป็นแบบไหนก็ได้
ตลาดหุ้นอาจจะเริ่มก่อต่อฟองสบู่ Super Bubble รอบใหม่แล้วก็ได้
เพราะทุกประเทศต่างอัดฉีดเงินพร้อมๆกันทั่วโลกแบบนี้
หรือ จะเลวร้ายต่อเนื่องไปอีกก็ได้
ดังนั้นเมื่อโซรอสเห็นว่าทางไหนมีโอกาสเป็นจริงมากที่สุดแกก็จะถือหาง
ด้านที่เป้นความจริงนั่นเอง ทุกเช้ามันดิ้นได้
สมมุติฐานมันถึงต้องปรับตัวตลอดเวลา
ถ้าสมมุติฐานมันไม่ยึดหยุ่น เสร็จแน่ๆ
ขออนุญาติยกอีกตัวอย่างครับ
ปีที่แล้วเป้นปีที่กองทุนขนาดใหญ่ที่มีเม็ดเงิน
มหาศาลนั้นรอดได้แค่สองกองทุนแค่นั้น คือ
Soros Fund management
กับ Paulson ที่กรีนสแปนเป็นที่ปรึกษา
จริงๆแล้วมีเฮดจ์ฟันหลายแห่งที่ทำผลตอบแทนได้ดีมากกว่า
แต่กองทุนที่ขนาดใหญ่เนี่ย
ถ้าสถานการณ์เลวร้ายแล้วยังทำผลตอบแทนได้จะน่าประหลาดใจมาก
เพราะกองทุนขนาดใหญ่กุมเม็ดเงินมหาศาลในมือไว้
ทั้งยังสามารถเอาตัวรอดได้ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน
บัฟเฟตยังยอมรับเลยว่าปีที่แล้วเป็นปีที่ไม่ง่ายเลย
สำหรับการบริหารเงินลงทุนขนาดมากๆแบบนั้น
ตัวอย่างของโซรอสในปีที่แล้ว
ตอนแรกๆ ผิดพลาดเช่นคนอื่น ๆ ครับ
เพราะมนุษย์นั้นผิดพลาดได้เสมอตามความเชื่อของเขา
และเขาก็ผิดบ่อยมากๆ
เขาพยามย้ำให้เรายอมรับว่าเราผิดพลาดให้ได้
ไม่ใช่สิ่งที่น่าอายหรือปกปิด
ซึ่งสิ่งที่เขาบอกนั้นช่วยพัฒนาตัวผมอย่างมากครับ
ในตอนแรก..
โซรอสยังหาความจริงไม่ได้
จนมาถึงช่วงหนึ่งที่ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นไปสุงมาก
จุดนี้เป็นจุดเปลี่ยนเลย
ท่ามกลางข้อมูลดิบที่มา support ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญในวงการ
มากมายว่าน้ำมันจะต้องพุ่งทยานเนื่องจากปริมาณน้ำมันสำรอง
ไม่สอดคล้องกับความต้องการใช้ที่มหาศาลในโลกใบนี้
ปัญหาก็คือ ข้อมูลที่ support เหล่านั้นแน่นอนมันอาจทำให้ราคาสูงขึ้น
แต่มันก็เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้คนหันไปเร่งพัฒนา
พลังงานทดแทนกันมากขึ้นเช่นกัน
พอเขาเห็นสัญญาการพัฒนาพลังงานทดแทนที่มากขึ้นขนาดนั้น
รวมทั้งราคาพืชพลังงานที่พุ่งขึ้นเป็นประวัติการณ์
ทำให้เขามั่นใจในความจริงว่าจะอยุ่ด้านไหน
นี่คือบทเรียน Reflexivity ที่ผมได้รับจากปีที่แล้วเต็มตัว
ท่านฮงจำเกมของท่านสุมาอี้ได้ไหมครับ
กติกาของเกมนี้มีอยู่ว่า ให้ทุกคนเลือกตัวเลขหนึ่งตัวจาก 1-100 (เลข
0 ไม่เอานะ) เสร็จแล้ว PM มาให้ท่านแม่ทัพ
ผู้ที่จะชนะในเกมนี้คือผู้ที่เลือกตัวเลขที่ใกล้เคียงกับ 2/3 ของค่า
เฉลี่ย (mean) ของตัวเลขทีทุกคนส่งมา
เกมนี้ฝึกทักษะของการชิงไหวชิงพริบของการเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้น
ท่านแม่ทัพบอกว่า เกมนี้มีชื่อว่า Beauty Contest
ชื่อของเกมนี้มาจากความคิดเห็นของ John Maynard Keynes เกี่ยว
กับตลาดหุ้น JMK บอกว่า
ตลาดหุ้นในระยะสั้นมีลักษณะคล้ายกับเกมทายผลนางงามที่อยู่ตาม
หน้าหนังสือพิมพ์แบบที่มีรูปนางงามมาให้เลือกหลายคนแล้วให้ผู้อ่าน
ส่งชิงโชคทายผลว่า นางงามคนไหนจะได้รับการโหวตมากที่สุด
กติกาแบบนี้คนที่อยากได้รางวัลจะไม่เลือกนางงามคนที่ตัวเองคิดว่า
สวยที่สุด พวกเขาจะไม่เลือกแม้แต่นางงามที่ตัวเองคิดว่าน่าจะเป็น
คนที่คนส่วนใหญ่โดยเฉลี่ยน่าจะเห็นว่าสวยที่สุดด้วย พวกเขาจะคิด
สามตลบคือจะเลือกคนที่เขาคิดว่าคนส่วนใหญ่น่าจะคิดว่าคนส่วน
ใหญ่จะเห็นว่าสวยที่สุด
ตลาดหุ้นในระยะสั้นก็มีเช่นนี้ เพราะราคาหุ้นจะขึ้นได้
ถ้าหาก ที่ ณ ราคาเก่า จะทำให้มีคนที่ต้องการซื้อมากกว่าคนที่ต้องการ
ขาย การเล่นหุ้นให้ได้ตังค์จึงต้องเดาให้ออกว่าคนส่วนใหญ่กำลังจะคิด
ว่าหุ้นตัวไหนกำลังจะขึ้น ก็เลยทำให้คนที่เล่นหุ้นไม่ได้เลือกหุ้นโดยดู
จากปัจจัยพื้นฐานที่ดีในความคิดของตัวเอง ทุกคนใช้พยายามเดาว่า
คนอื่นจะคิดอย่างไร ก็กลายเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่จะอธิบายได้ว่า
ในระยะสั้น ทำไมหุ้นบางตัวจึงวิ่งขึ้น หุ้นบางตัวจึงวิ่งลง และการที่คน
ส่วนใหญ่ซื้อหุ้นโดยดูคนอื่นแทนที่จะเลือกหุ้นตามความคิดของตัวเอง
ทำให้ตลาดหุ้นมักเกิดฟองสบู่อยู่เรื่อยๆ
ผมชอบที่พี่หมอสามัญชนตอบมากที่สุดครับ
หมอเก่งเรื่อง prob ทุกคน เพราะรักษาคนำไข้ เจอกับ prob ตลอด
พี่หมอตอบว่า..
ถ้าโจทย์บอกว่า เอาค่าเฉลี่ยเป็นคำตอบ
คำตอบจะวิ่งเข้าสู่เลข 50 ยิ่งจำนวนคนทายมีมากๆโอกาสเป็น 50
ก็ยิ่งมากขึ้น เพราะค่าเฉลี่ยของตัวเลขที่ 0-99 อยู่ที่ 50 นั่นเอง อันนี้
เป็นหมากทั่วไป แต่เนื่องจากโจทย์บอกว่าคำตอบคือ 2/3 ของค่า
เฉลี่ย และทุกคนทราบแล้ว ดังนั้น
หมากทั่วไปของเกมส์นี้จึงต้องแทงที่ 2/3*50 = 33.3
แต่เนื่องจากทุกคนทราบแล้วนั่นเองและเดาว่าทุกคนจะต้องแทงที่
33 เมื่อแทง 33 มากขึ้นค่าเฉลี่ยก็จะลดลงเรื่อยๆ
หมากหนึ่งชั้นจึงต้องแทงที่เลข 2/3*33 = 22
และถ้าคิดสองชั้นก็จะต้องแทงที่ 2/3*22 = 14
เช่นกันถ้าคิดสามชั้น ก็ต้องแทงที่ 2/3*14 = 8
ถ้าคิดที่ร้อยชั้น ก็ต้องแทงที่ =1
ถ้าคำตอบของเกมส์ในครั้งนี้อยู่ที่ 22 ก็แปลว่าสมาชิกส่วนใหญ่คิดไกล
ไปหนึ่งชั้น
ถ้าคำตอบของเกมส์นี้อยู่ที่ 14 ก็แปลว่าสมาชิกส่วนใหญ่คิดไกลไปสองชั้น
ถ้าคำตอบอยู่ที่ 1 ก็แปลว่าสมาชิก TVI ของเราคิดไปไกลร้อยชั้น (เริ่มเข้าทำนอง คบไม่ได้ 555)
อ้อ.......ลืมไปครับ ถ้าคำตอบอยู่ที่ > 33
แปลว่าสมาชิกส่วนใหญ่(ไม่ใช่ทั้งหมดนะครับ) ไม่คิดอะไรเลย
แทงเอามันส์ลูกเดียว อันนี้คบได้ครับ 55555
ผมว่านั่นเป็นความคิดที่สุดยอดครับ
สวัสดีครับท่านฮง......