หน้า 2 จากทั้งหมด 19

รบกวนถามน้อง yoyo เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 28, 2009 11:57 am
โดย winkung
สวัสดีครับพี่ yoyo
เราคงไม่เคยคุยกันมาก่อน  ผมเป็นน้องใหม่เวปนี้ครับ
ตอนนี้กำลังไล่อ่าน blog ของพี่อยู่  ได้ความรู้เพิ่มขึ้นมาก  ขอบคุณมากๆครับ  :D
ตอนนี้ยังไม่มีคำถาม  แต่อยากบอกพี่ว่า ว่างๆก็อัพ blog อีกนะครับ
มีคนติดตามอ่านอยู่เยอะแยะเลยครับผม  :D

รบกวนถามน้อง yoyo เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 28, 2009 1:19 pm
โดย i_sarut
ขอบคุณมากครับ  :P

รบกวนถามน้อง yoyo เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 28, 2009 3:58 pm
โดย yoyo
[quote="winkung"]สวัสดีครับพี่ yoyo
เราคงไม่เคยคุยกันมาก่อน

รบกวนถามน้อง yoyo เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 28, 2009 4:09 pm
โดย yoyo
[quote="tummeng"]รบกวนขอถามเกี่ยวกับ property fund หน่อยครับ สงสัยมาพักใหญ่แล้วครับ

รบกวนถามน้อง yoyo เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 28, 2009 6:39 pm
โดย winkung
พี่ yoyo มีหนึ่งคำถามอยากขอถามหน่อยครับ
ผมได้ไปอ่านบล็อกพี่ entry เรื่อง "สัญญาณงบการเงิน"
บล็อกของพี่ทำให้ผมสามารถประเมินค่า p/e ที่เหมาะสมได้  ขอบคุณมากจริงๆครับ  :D

งั้นขอถามหน่อยนะครับ  หุ้นตัวนี้เลย MCS  

รูปภาพ

กรณีนี้ผมขอข้ามการมองภาพรวมงบการเงิน ผลประกอบการ ฯลฯ ไปนะครับ เพราะผมมองหุ้นตัวนี้อยู่ในเกณฑ์ที่ "น่าลงทุน"
เพียงอยากจะขอ concept การประเมินค่าหุ้นจากพี่ yoyo น่ะครับ

กรณีผมคิดว่ากำไรของอีกสองไตรมาสที่เหลือ จะเติบโตแบบปกติ
ผมขอจับคูณสองเลยนะครับ
ดังนั้น กำไรต่อหุ้น 1 ปี = 0.49 x2 = 0.98
ราคาล่าสุด = 3.98
เพราะฉะนั้น p/e จะมีค่า = 4.06  แต่ตลาดตีค่าให้ = 4.61 (เพราะว่าตลาดคิดกำไรย้อนหลังสองไตรมาส)

จากผลนี้ หมายความว่า ราคา ณ ตอนนี้ ยังถือว่าถูกอยู่  แต่ว่า upside หากเทียบกับค่าของตลาด ถือว่า "ไม่มากเท่าไหร่"  อย่างนี้ผมเข้าใจถูกไหมครับ   :?:

----------------------------------
กรณีถ้าผมคาดการณ์กำไรในสองไตรมาสที่เหลือว่าจะมีค่าเพิ่มมากขึ้น (โดยติดตามข่าวจากหน้าร้อยคนร้อยหุ้น)
ผมตีกำไรเพิ่ม 20%

ดังนั้นกำไรต่อหุ้น 1 ปี = 1.176
p/e ที่คิดใหม่ จะมีค่า = 3.38   ........... คิดแบบนี้ได้ไหมครับ ?


---------------------------------
สุดท้ายครับ
แล้วในกรณีที่ผมจะประเมินค่า "มูลค่าที่เหมาะสม"
โดยการกำหนดค่า p/e และ eps เอง

ในส่วนของ eps นั้น ผมพอเข้าใจวิธีการคิด
แต่ว่า p/e นั้น  มีหลักเกณฑ์ในการคาดการณ์อย่างไรครับพี่



ถามมากไปหน่อย  รบกวนหน่อยนะครับ  ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่  :cry: [/list]

รบกวนถามน้อง yoyo เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 28, 2009 10:39 pm
โดย yoyo
winkung ถามแบบทำการบ้านแบบนี้ผมชอบครับ ตอบง่ายหน่อย

ตัวเลขผมก็คำนวณประมาณนี้แหละครับ (แต่ผมจะเน้นในเรื่องของคุณภาพธุรกิจเพิ่มขึ้นด้วยเพื่อให้แน่ใจว่ากำไรครึ่งปีหลังจะไม่น้อยกว่าครึ่งปีแรกจริงๆ และแนวโน้มของบริษัทควรจะดีข้ามไปถึงปีต่อๆไปด้วย

แต่ยังมีจุดที่ผมแนะให้แก้อยู่จุดนึงใหญ่ๆครับ
ตรงประโยคนี้
แต่ตลาดตีค่าให้ = 4.61
กับดักอย่างหนึ่งที่ผมเห็นคนเป็นกันเยอะ คือ เรามักจะคิดว่าตลาด (ซึ่งก็คือคนส่วนใหญ่) นั้นถูกเสมอ ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนแบบแห่ตามกัน เพราะเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ถูก..

ตัวเลข trailing p/e ที่ 4.61 นี้ไม่เกี่ยวอะไรกับการตัดสินใจซื้อหุ้นของผมครับ p/e ที่เหมาะสมนั้นดูจากคุณภาพของ แนวโน้ม ฯลฯ ของบริษัทเป็นหลัก ไม่ใช่ p/e ที่เราเห็นว่าตลาดให้ ซึ่ง p/e ที่ผมเคยบอกว่ามันไม่มีสูตรตายตัวว่าหุ้นตัวไหนให้เท่าไหร่ แต่เราต้องฝึกๆดูไปเรื่อยๆจนเกิด sense ของการเปรียบเทียบขึ้นมาเอง หุ้นที่ดีกว่าควรจะมี p/e สูงกว่า นี่คือจุดคิดเริ่มต้น ส่วนเรื่องการเปรียบเทียบนั้นยิ่งเรามีประสบการณ์เยอะเท่าไหร่ เดี๋ยวมันมาเองครับ การอ่านเยอะๆ ไม่ว่าจะเป็น 56-1 annual report บทวิเคราะห์หรือ หนังสือพวกบริหารธุรกิจหรือการตลาด น่าจะช่วยให้ sense ตรงนี้เพิ่มขึ้นได้ครับ เพียงแต่ต้องใช้เวลา ไม่มีทางลัด

รบกวนถามน้อง yoyo เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 28, 2009 10:46 pm
โดย yoyo
เสริมต่อจากกระทู้เมื่อกี้

เรื่องของการตีมูลค่าของตลาด
ยกตัวอย่างที่เห็นอยู่บ่อยๆ คือเมื่อหลายปีก่อน หุ้นพวก Bigc Makro Trade กันที่ p/e ประมาณ 7-9 อยู่เป็นระยะเวลานาน ลองดูทุกวันนี้สิครับ p/e เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ... ถ้าเรายังคงติดกับดักว่าตลาดมักจะถูกเสมอ โอกาสที่เราจะทำกำไรได้เป็นเด้งแบบนี้คงยากครับ นอกจากหุ้นค้าปลีกที่มีการ Trade p/e สูงขึ้นเยอะ อีกกลุ่มนึงก็คือโรงพยายามครับ ก่อนหน้านี้โรงพยาบาลก็ซื้อขายกันด้วย p/e เป็นเลขหลักเดียวเท่านั้น ตอนนี้ Trade กันอยู่ตั้งแต่ 10-25 เลยด้วยซ้ำ.. ตลาดมองหุ้นโรงพยาบาลแบบต่ำๆมานาน อยู่ๆวันหนึ่งตลาดก็ค่อยมาตีมูลค่าความมั่นคง ความ Defensive ของหุ้นโรงพยาบาลกลายเป็น Premium จนสามารถ Trade ด้วย p/e ที่สูงขึ้นเยอะๆได้

case แบบนี้มีให้เห็นอยู่เรื่อยๆครับ ยิ่งคนที่อยู่ในตลาดมานานๆ แล้วศึกษาแนวทาง vi น่าจะเห็นอะไรตลกๆของ Mr.Market อยู่เป็นประจำ

รบกวนถามน้อง yoyo เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 28, 2009 11:25 pm
โดย อินทรีย์ทองแดง
yoyo เขียน: case แบบนี้มีให้เห็นอยู่เรื่อยๆครับ ยิ่งคนที่อยู่ในตลาดมานานๆ แล้วศึกษาแนวทาง vi น่าจะเห็นอะไรตลกๆของ Mr.Market อยู่เป็นประจำ
ขอบคุณพี่yoyo สำหรับคำแนะนำดีๆฮะ

รบกวนถามน้อง yoyo เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 28, 2009 11:26 pm
โดย yoyo
อินทรีย์ทองแดง เขียน: ขอบคุณพี่yoyo สำหรับคำแนะนำดีๆฮะ
พี่อ่ะต้องสอนผมเตะบอลนะ... อยากเตะเก่งๆกับเค้าบ้าง

รบกวนถามน้อง yoyo เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 28, 2009 11:42 pm
โดย vi_tal signs
yoyo เขียน:ต้องใช้เวลา ไม่มีทางลัด

:bow:  :bow:

รบกวนถามน้อง yoyo เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 29, 2009 9:15 am
โดย อินทรีย์ทองแดง
yoyo เขียน:พี่อ่ะต้องสอนผมเตะบอลนะ... อยากเตะเก่งๆกับเค้าบ้าง
แหมอุตส่าห์แอ๊บแบ๊วแล้วนะ  ยังงี้คนเค้ารู้หมดว่าแก่แล้ว
เสาร์ที่แล้วโยก็เล่นได้ดีนะ  ทำตามหน้าที่ได้สมบูรณ์  พี่ว่าเตะบอลบางทีก็คล้ายๆเล่นหุ้นเหมือนกัน  คือเราต้องรู้ว่าเราถนัดตำแหน่งไหน ตัวเองเล่นบอลสไตล์ยังไง  เหมือนกับเล่นหุ้น คนที่เล่นสั้น-กลาง-ยาว  เก็งกำไรรายวัน
หรือ  ไสตล์ลงทุนในกลุ่ม turn  กลุ่มgrowth  กลุ่มinside ข่าว ฯลฯ  ทุกแบบทุกประเภทมีรูปแบบแตกต่างกันเหมือนตำแหน่งนักฟุตบอล  และสไตล์การเล่นเฉพาะบุคคล  จุดสำคัญก็คือต้องรู้ว่าเราถนัดตำแหน่งไหน เล่นสไตล์ไหน ที่สำคัญคืออย่าฝืนธรรมชาติของตัวเอง  ยกตัวอย่างอีตาประชาใกล้ๆโยนี่แหละ  พี่เคยแนะนำแกว่าสไตล์การเล่นของแกไม่เหมาะที่จะพาบอลไปเอง (แกเลี้ยงบอลไม่ติดเท้า)เวลาได้บอลให้รีบจ่ายแล้วรีบวิ่งไปหาที่ว่างในกรอบเขตโทษรอทำประตู ถ้าจะพาบอลไปเองให้จิ้มแล้ววิ่งใช้ความเร็วกระชาก  ปรากฏว่าวันนั้นแกจัดการกดไป1เม็ด กับอีก1แอสซิส ไม่รู้ว่าคิดได้เองหรือจากที่เราพูด   สำหรับโยในตำแน่งกองหลังก็ทำได้ดี  ขาดแต่ความมั่นใจกับความมุ่งมั่นไปหน่อยเองครับ อย่าแหยง(ไม่เห็นเหมือนตอนเล่นหุ้นเลย)  หน้าที่หลักของกองหลังคือเกมรับ ไม่ให้อีกฝ่ายพาบอลผ่านไปยิง  เราไม่จำเป็นต้องเลี้ยงบอลได้ เปิดบอลแม่น อันนั้นสำหรับพวกกองหลังadvance ไม่ต้องคิดมากครับ เอาเป็นสูตรสำหรับมือใหม่เลยละกัน บอลมาเตะทิ้ง ถ้าบอลผ่านคนต้องไม่ผ่านแต่อย่าฟาวล์ วิ่งให้สุดตรีนทุกเคส   พยายามเข้าครับ เดี๋ยวก็เก่งแล้น  :lvp:

รบกวนถามน้อง yoyo เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 29, 2009 11:01 am
โดย kewin
ขอบคุณ คุณ โยโย่ มากครับถ้ามีโอกาศจะขอกราบแทบเท้างามๆ
1.ขอถามเกี่ยวกับที่เพิ่งเขียนใน blog เรื่องงบการเงินหน่อยครับ
เห็นเขียนว่า เราจะมีวิธีรู้ได้อย่างไรว่าบริษัทนั้นรับ order ของ
งวดต่อไปมาไว้งวดนี้ก่อนหรือเปล่า

2.คุณ yoyo ใช้อะไรในการดูจังหวะซื้อขายครับ เพราะไม่ได้ดูกราฟ
หลักการของคุณ Yoyo บอกจังหวะในการลงทุนอย่างไรบ้างครับ
ยกตัวอย่างของจริงที่เคยทำมาแล้วให้หน่อยได้ไหมครับ
ตัวอย่างในอดีตน่ะครับจะได้ไม่เป็นการชี้นำ

3.การลงทุนต่างประเทศตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างครับได้กำไรเยอะไหมครับ

รบกวนถามน้อง yoyo เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 29, 2009 5:48 pm
โดย yoyo
kewin เขียน:ขอบคุณ คุณ โยโย่ มากครับถ้ามีโอกาศจะขอกราบแทบเท้างามๆ
1.ขอถามเกี่ยวกับที่เพิ่งเขียนใน blog เรื่องงบการเงินหน่อยครับ
เห็นเขียนว่า เราจะมีวิธีรู้ได้อย่างไรว่าบริษัทนั้นรับ order ของ
งวดต่อไปมาไว้งวดนี้ก่อนหรือเปล่า

2.คุณ yoyo ใช้อะไรในการดูจังหวะซื้อขายครับ เพราะไม่ได้ดูกราฟ
หลักการของคุณ Yoyo บอกจังหวะในการลงทุนอย่างไรบ้างครับ
ยกตัวอย่างของจริงที่เคยทำมาแล้วให้หน่อยได้ไหมครับ
ตัวอย่างในอดีตน่ะครับจะได้ไม่เป็นการชี้นำ

3.การลงทุนต่างประเทศตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างครับได้กำไรเยอะไหมครับ
1. จะรู้ได้อย่างไร? ก็มีหลายทางนะครับ อ่านบทวิเคราะห์ อ่านข่าว อ่านคำบรรยายงบ และทางสุดท้ายก็ถามครับ ส่วนใหญ่หุ้นที่ผมลงทุนมักจะมา oppday ที่ตลาด ผมก็อาศัยโอกาสนี้ถามครับ

2. จังหวะซื้อขายของผมเกิดมาจากการประยุกต์ portfolio management ครับ การบริหาร port นั้นทำโดยการถือหุ้นกระจายหลายๆตัวเพื่อลดความเสี่ยง แรกๆผมก็ทำการจัด port เพื่อลดความเสี่ยง แต่ไปๆมาๆ พอจัดไปจัดมาอยู่ๆ ผมก็เห็นว่าเอ๊ะ... ไอ้การจัด port โดยดูจากความถูกความแพงของหุ้นนี่มันช่วยบอกจังหวะซื้อขายให้เราได้ดีมากๆ ซึ่งผมอ่านหนังสือมาหลายเล่ม ฟังสัมมนามาหลายงาน ก็ยังไม่เคยเจอใครที่เอาเรื่องนี้มาเขียนหรือมาพูดเป็นชิ้นเป็นอัน ผมถือว่าเรื่องนี้สำคัญเป็นอันดับ 2 รองจาก Stock Selection เลยครับ

ผมเคยเขียนไว้ใน Blog www.yoyoway.com
"การบริหาร Port style yoyo" ลองไปอ่านดู

ผมจะเอามา Replay ใหม่อีกรอบแบบมีภาพประกอบด้วย เพื่อจะได้เข้าใจง่ายขึ้น

หลักการคร่าวๆคือ สมมติผมถือหุ้น 2 ตัว คือ
หุ้น A ราคา 10 บาท เป้าหมาย 16
และ B ราคา 10 บาท เป้าหมาย 16
ทั้ง 2 ตัวมี Upside ที่ 60% เท่ากัน

รูปภาพ

ผมแบ่งสถานะ port ออกมาเป็น 7 ช่วงเวลา

1. ผมควรจะถือหุ้นทั้ง 2 ตัว ตัวละกี่ % ดีครับ... ใช้ common sense ทั่วไปก็พอจะเดาได้ว่าควรจะถือหุ้นอย่างละครึ่ง เพราะทั้งคู่มี Upside เท่ากัน

2. ที่นี้สมมติว่าหุ้น A ขึ้นไป 12 บาท หุ้น B ลงมาเหลือ 8 บาท
ณ จุดนี้หุ้น A จะมีสัดส่วน 60% ในขณะที่ B จะลดเหลือ 40%
แต่เมื่อดู upside แล้ว A จะมี upside ที่ 33% ขณะที่ B จะมี 100%
ในเมื่อ B มี Upside ที่สูงกว่า A ตั้งเยอะ ทำไมเราจะไม่ถือ B เยอะกว่า A ล่ะครับ...

3. ที่นี้ผมก็จะขายหุ้น A มาซื้อหุ้น B เพื่อปรับสัดส่วนใหม่ สมมติว่าเป็น 30:70

4. เมื่อเวลาผ่านไป สมมติต่ออีกว่าหุ้น A ลดลงมาเหลือ 8 บาท หุ้น B วิ่งขึ้นไปเป็น 12 แทน สัดส่วนหุ้น B ใน port ผมจะยิ่งสูงขึ้นจาก 70 กลายมาเป็น 84% ...

5. แน่นอนครับ ในเมื่อ Upside หุ้น A กลับมาสูงถึง 100 แล้ว B ลดลงเหลือ 33% ผมก็ขายหุ้น B แล้วก็ไปซื้อหุ้น A อีกครั้ง เพื่อปรับสัดส่วนหุ้นใน port ใหม่เป็น 70:30

6. ตลาดหุ้นเล่นตลกกับเราอีกแล้วครับ... หุ้น A เพิ่มขึ้นมาเป็น 10 หุ้น B ลดลงมาเหลือ 10 บาท....

7. ในเมื่อ Upside มันเท่ากับ ผมก็ขายหุ้น A ซื้อหุ้น B จนกลายเป็น 50:50
สุดท้ายผมถือหุ้นไปตั้งนาน ราคาหุ้นมันกลับมายืนที่เดิมอีกแล้วมันน่าเซ็งมั๊ยล่ะ ... แต่เอ๊ะ มาดูมูล port รวมของผมซิครับ ทั้งๆที่ ราคาหุ้นทั้ง 2 ตัวไม่ไปไหนเลย port ผมโตขึ้นมา 40% จาก 1 ล้านบาท กลายเป็น 1.4 ล้านบาท

เห็นมั๊ยครับ ไม่ต้องดูกราฟ ไม่ต้องดู Fund flow ... ใช้หลักการแบบ VI ง่ายๆ ซื้อหุ้นถูกขายหุ้นแพง แม้ว่าหุ้น A และ B มันจะต่ำกว่ามูลค่าเหมาะสมที่ 16 บาทอยู่ตลอดเวลา แต่ความถูกความแพงมันเป็นเรื่องของการเปรียบเทียบ

เมื่อ A ถูกกว่า B ผมก็ขาย B ซื้อ A ...
เมื่อ B ถูกกว่า A ผมก็ขาย A ซื้อ B ...

เค้าบอกกันว่า VI ถือหุ้นระยะยาว ถือแล้วไม่ขายจนกว่าราคาหุ้นจะเกินพื้นฐาน ... ผมบอกว่าผมขายถ้ามีตัวอื่นที่น่าสนใจกว่า

สุดท้ายหลักการข้อนี้เลยทำให้หลักการซื้อหุ้นพื้นฐานแบบ VI สามารถบอกจังหวะซื้อขายได้ด้วยตัวมันเอง และช่วยทำให้ port ผมโตได้ แม้ราคาหุ้นโดยรวมอาจจะไม่ได้ไปไหนเลย แบบตัวอย่างข้างต้น

ตัวอย่างนี้เป็นแบบง่ายๆมีหุ้น 2 ตัว... ปกติถ้าผมจะมีหุ้นประมาณ 4-5 ตัว ก็ใช้หลักการเดียวกันครับ Upside เยอะกว่าก็ควรจะมีสัดส่วนสูงกว่า

3. เรื่องลงทุนต่างประเทศ... เปิด port ไว้แล้วครับ แต่ยังไม่ได้เอาเงินออกไปเลย ... กะว่าขอเวลาศึกษาอีกสักพักก่อนครับ ข้อมูลมันอยู่ไกลทำความเข้าใจยากกว่าหุ้นไทยเยอะ

หมายเหตุ. ในตารางพิมพ์คำว่า Upside เป็น upide .. ตก S ไปตัวนึง ขี้เกียจแก้แล้ว เอาว่าน่าจะเข้าใจตรงกันนะครับ

รบกวนถามน้อง yoyo เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 29, 2009 5:57 pm
โดย McDull
ขอความรู้จากคุณ yoyo เกี่ยวกับสูตรของเคลลี่ที่ใช้ช่วยในการจัดพอร์ทครับ ผมใช้แบบหารสองตอนสุดท้ายเพื่อไม่ให้สัดส่วนสูงเกินไปด้วย

มันเหมาะที่จะใช้ได้ในทุกสภาพตลาด หรือว่าใช้เฉพาะเวลาที่อาจมีขาลงมาเกี่ยวข้อง ส่วนเวลาที่เป็นขาขึ้นแรงๆ ก็ควรเปรียบเทียบกันจาก upside อย่างเดียวเลย ขอบคุณครับ

รบกวนถามน้อง yoyo เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 29, 2009 6:06 pm
โดย yoyo
McDull เขียน:ขอความรู้จากคุณ yoyo เกี่ยวกับสูตรของเคลลี่ที่ใช้ช่วยในการจัดพอร์ทครับ ผมใช้แบบหารสองตอนสุดท้ายเพื่อไม่ให้สัดส่วนสูงเกินไปด้วย

มันเหมาะที่จะใช้ได้ในทุกสภาพตลาด หรือว่าใช้เฉพาะเวลาที่อาจมีขาลงมาเกี่ยวข้อง ส่วนเวลาที่เป็นขาขึ้นแรงๆ ก็ควรเปรียบเทียบกันจาก upside อย่างเดียวเลย ขอบคุณครับ
มันมีชื่อว่า เคลลี่หรือครับ... เออ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยแฮะ
ผมก็ใช้วิธีนี้ทุกสภาพตลาดนะครับ ไม่ว่าขายขึ้น ขาลง แต่เรื่องของสัดส่วนที่เหมาะสมจริงๆ ถ้าจะให้เขียนออกมาเป็นสูตรมันก็ไม่ยากครับ แต่ผมว่าใช้วิจารณาณคร่าวๆ ก็น่าจะพอแล้ว ขึ้นอยู่กับความมั่นใจของหุ้นแต่ละตัวด้วย

รบกวนถามน้อง yoyo เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 29, 2009 6:28 pm
โดย McDull
yoyo เขียน: มันมีชื่อว่า เคลลี่หรือครับ... เออ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยแฮะ
ผมก็ใช้วิธีนี้ทุกสภาพตลาดนะครับ ไม่ว่าขายขึ้น ขาลง แต่เรื่องของสัดส่วนที่เหมาะสมจริงๆ ถ้าจะให้เขียนออกมาเป็นสูตรมันก็ไม่ยากครับ แต่ผมว่าใช้วิจารณาณคร่าวๆ ก็น่าจะพอแล้ว ขึ้นอยู่กับความมั่นใจของหุ้นแต่ละตัวด้วย
คงไม่ตรงกันเป๊ะ แต่ใช้หลักการเดียวกันครับ

ของเคลลี่นี่มีการนำ downside มาคิดด้วยครับ ผมดูมาจากหนังสือของพี่สุมาอี้อีกทีครับ เคยอ่านบทความของดร. ท่านแนะนำให้หารสองอีกทีนึง
สัดส่วนที่เหมาะสมในพอร์ท=(upside%*probability%-downside%*probability%)/upside

ผมมี Excel เทียบสูตรนี้กับวิธีของคุณ yoyo โดยส่วนใหญ่จะได้ค่าใกล้เคียงกัน ยกเว้นเวลาหุ้นพุ่งเข้าใกล้เป้าหมาย สูตรนี้จะยังคงแนะนำถือ ขณะที่ของคุณ yoyo จะเริ่มขายลดสัดส่วนครับ เลยอยากขอความเห็นนะครับ ผมบางทีไม่รู้จะทำไง ก็เลยใช้ค่าตรงกลางระหว่างสองวิธีครับ

รบกวนถามน้อง yoyo เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 29, 2009 6:55 pm
โดย McDull
McDull เขียน: คงไม่ตรงกันเป๊ะ แต่ใช้หลักการเดียวกันครับ

ของเคลลี่นี่มีการนำ downside มาคิดด้วยครับ ผมดูมาจากหนังสือของพี่สุมาอี้อีกทีครับ เคยอ่านบทความของดร. ท่านแนะนำให้หารสองอีกทีนึง
สัดส่วนที่เหมาะสมในพอร์ท=(upside%*probability%-downside%*probability%)/upside

ผมมี Excel เทียบสูตรนี้กับวิธีของคุณ yoyo โดยส่วนใหญ่จะได้ค่าใกล้เคียงกัน ยกเว้นเวลาหุ้นพุ่งเข้าใกล้เป้าหมาย สูตรนี้จะยังคงแนะนำถือ ขณะที่ของคุณ yoyo จะเริ่มขายลดสัดส่วนครับ เลยอยากขอความเห็นนะครับ ผมบางทีไม่รู้จะทำไง ก็เลยใช้ค่าตรงกลางระหว่างสองวิธีครับ
อ้อ ลืมบอกไปว่าวิธีของคุณ yoyo ที่ผมใช้อยู่คืออันที่คุณ yoyo สอนทำตาราง Excel แล้วให้ใส่ "ค่าความมั่นใจ" เข้าไปด้วยน่ะครับ

ป.ล. จริงๆ แล้วไม่ได้ถามต่อยอดจากคำถามของท่านก่อนนะครับ ผมกำลังพยายามปรับพอร์ทอยู่ submit ก็พอดีคุณ yoyo ตอบท่านก่อนด้วยเรื่องคล้ายๆ กัน

รบกวนถามน้อง yoyo เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 29, 2009 6:57 pm
โดย winkung
หุ้นที่มีคุณภาพแย่ (หุ้นเกรด F) กิจการที่ขาดทุน หนี้สินเยอะๆ หรือกำไรเอาแน่เอานอไม่ได้ปีนึงกำไรปีนึงขาดทุน หรือพวกที่ผู้บริหารไว้ใจไม่ได้ พวกนี้ไม่ต้องประเมิน pe หรอกครับอย่าไปซื้อมันเลยดีกว่า

หุ้นที่มีคุณภาพกลางๆ(หุ้นเกรด C) หนี้สินกลางๆ รายได้และกำไรไม่ค่อยเติบโต หรือเติบโตช้าไม่เกิน 5% ต่อปี pe ควรจะอยู่แถวๆ 5-6

หุ้นคุณภาพดีพอใช้ (หุ้นเกรด B) หนี้ไม่มาก รายได้ไม่ผันผวนโตอย่างสม่ำเสมอ กำไรในอนาคตเติบโตระดับ 5-15% ต่อปี pe น่าจะประมาณ 6-9

หุ้นคุณภาพดี (เกรด A) หนี้น้อย หรือไม่มีเลย รายได้โตอย่างต่อเนื่อง กำไรในอนาคตคาดว่าจะโตในระดับ 15% ขึ้นไป pe เหมาะสมประมาณ 9-12

หุ้นสุดยอด (Super stock) หนี้น้อยหรือไม่มี รายได้มั่นคงมากและโตขึ้นอย่างสม่ำเสมอ กำไรโตขึ้นในระดับ 20-30% ผู้บริหารเก่ง ขยัน ซื่อสัตย์ แนวโน้มธุรกิจดี มีอำนาจในการต่อรองต่อ supplier สูง อยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่แข่งขันกันเรื่องราคาเป็นหลัก สามารถผลักภาระให้ลูกค้าได้ ฯลฯ พวกหุ้นชั้นยอดพวกนี้ pe ตั้งแต่ 12 ขึ้นไปจนถึง 20
งั้นผมขอลองประเมินหุ้นตัวนี้หน่อยนะครับ (ไม่ได้เชียร์หุ้นนะ)  MCS

รูปภาพ

มองภาพกว้างๆ หนี้น้อย รายได้เติบโตอย่างสม่ำเสมอ (และอื่นๆอีกมากมาย)
มองอย่าง conservative สุดๆ ก็น่าจะเป็นหุ้น หุ้นคุณภาพดีพอใช้  แต่ผมว่าน่าจะมากกว่านั้นนะ

แต่ p/e ปัจจุบันอยู่ที่แค่ 4.75  :shock:

พี่ yoyo มีความเห็นอย่างไรบ้างครับ  :?:

รบกวนถามน้อง yoyo เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 29, 2009 7:17 pm
โดย winkung
จาก entry นี้นะครับ http://thai-value-investor.blogspot.com/2006/08/pe.html
เรื่องที่เกิดขึ้นกับกลุ่มเดินเรือข้างต้น ก็เป็นเรื่องปกติที่เกิดในตลาดหุ้นที่ธุรกิจก็มีขึ้นมีลง ราคาหุ้นก็มีขึ้นมีลง เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่คนเล่นหุ้นอย่างเราต้องยอมรับกันแต่มีเรื่องที่น่าสังเกตอยู่อย่างหนึ่งก็คือ เราสามารถใช้ pe ในการวิเคราะห์หุ้นเรือได้รึเปล่า? เนื่องจากค่าระวางเรือที่เพิ่มสูงขึ้นมากในช่วงนั้นทำให้ผลประกอบการที่ผ่านมาของกลุ่มเรือสูงมาก การใช้ pe ที่คำนวณจากผลประกอบการในอดีต (ที่เห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์) จะทำให้หุ้นกลุ่มนี้มี pe ต่ำมากๆ บางตัวอาจจะมี pe เพียงแค่ 3-4 เท่านั้น แต่หุ้นเรือนี้ราคาถูกจริงรึเปล่า? ผมว่าเนื่องจากความเป็นวัฏจักรของธุรกิจเดินเรือที่จะมีช่วงที่ ค่าระวางเพิ่มขึ้นสูงจนกำไรดีมาก และช่วงที่ค่าระวางลดลงจนถึงกับทำให้บริษัทเหล่านี้ขาดทุนได้ง่ายๆ ถ้าค่าระวางเรือเป็นขาลง ผลกำไรของกลุ่มจะลดลง จนทำให้ e ที่ใช้คำนวณนั้นลดลง ถ้าหุ้นราคาไม่ลง pe ก็จะทำให้ pe นั้นเพิ่มขึ้นอย่างมากหุ้นก็จะมีถูกอีกต่อไป ใครซื้อเข้าไปตอน pe ต่ำๆก็อาจจะขาดทุนได้ง่ายๆเหมือนกัน
ผมอ่านแล้วงงนิดหน่อยครับ

เข้าใจว่าการประเมิน p/e ไม่ควรใช้กับหุ้นวัฏจักร เพราะ p/e กับสภาพแนวโน้มของธุรกิจ ณ ตอนนั้น อาจไม่ได้สอดคล้องกันก็ได้

จาก quote ข้างต้น
กรณีที่ราคาของกลุ่มเดินเรือมีค่ามาก แต่ในความเป็นจริงบริษัทกำัลังขาดทุน (เพราะแนวโน้มเป็นลง)

ราคาจะยังคงทรงตัว (เพราะคนยังไม่เอะใจ) ในขณะที่ eps เริ่มปรับตัวลดลง
จากผลนี้จะส่งผลให้ p/e มีค่าเพิ่มมากขึ้น  (ผมเข้าใจถูกไหม)

แต่ผมงงกับประโยคนี้น่ะครับพี่  ช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยครับ  :cry:
ถ้าหุ้นราคาไม่ลง pe ก็จะทำให้ pe นั้นเพิ่มขึ้นอย่างมากหุ้นก็จะมีถูกอีกต่อไป ใครซื้อเข้าไปตอน pe ต่ำๆก็อาจจะขาดทุนได้ง่ายๆเหมือนกัน

รบกวนถามน้อง yoyo เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 29, 2009 8:14 pm
โดย sathaporne
[quote="winkung"]

แต่ผมงงกับประโยคนี้น่ะครับพี่

รบกวนถามน้อง yoyo เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 29, 2009 8:28 pm
โดย uncleBE
ขอย้อนกลับไปถามคุณโยเรื่องการปรับพอร์ตที่ยกตัวอย่างมา 7 ช่วงเวลา
อยากทราบระยะเวลาในการปรับแต่ละช่วงว่าถี่-ห่างมากน้อยขนาดไหน
เป็นเดือน เป็นไตรมาส หรือเป็นปีครับ
หรือแล้วแต่สถานการณ์

รบกวนถามน้อง yoyo เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 29, 2009 8:42 pm
โดย นกน้อย
จากห้อง CPNRF ครับ
yoyo เขียน: ก็เอา NAV มาคำนวณไงคับ
รบกวนคุณโยช่วยอธิบายแบบคร่าวๆให้ฟังหน่อยได้มั้ยครับ ว่าคำนวณยังไง (ผมงง เพราะ NAV ดูได้จากงบดุล แต่กำไรนี่ดูจากงบกำไรขาดทุน เลยไม่รู้ว่าจะจับมันมาเชื่อมกันยังไง  :wall: )
ขอบคุณครับ
:bow:[/quote]

รบกวนถามน้อง yoyo เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 29, 2009 9:50 pm
โดย Juninho
ดีใจที่มีกระทู้นี้ขึ้นมา ขอบคุณพี่โยมากสำหรับบล๊อกของพี่
ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการเรียนรู้การลงทุนแนววีไอของผม  :bow:

อ่านการบริหารพอร์ตของพี่แล้วอึ้งเลยครับ หุ้นอยู่ที่เดิมแต่ได้เงินด้วย
น่าก๊อปมาใช้จริง ๆ  
แต่คิดไปคิดมา หากเราวิเคราะห์อัพไซด์ถูกต้องทุกครั้งก็คงไม่มีปัญหาอะไร
แต่ พี่ไม่คิดว่า เราจะวิเคราะห์หุ้นผิด  เลือกหุ้นพลาดมั่งหรือครับ

สมมติเราเลือกหุ้นไว้ ห้าตัว ทุกตัวเราคาดไว้ว่า มีอัพไซด์ตัวละ 50 %
หุ้นสี่ตัวขึ้นไปเยอะแล้ว  
แต่หุ้นตัวที่ห้าลงมาสามสิบเปอร์เซ็นต์
(จากพื้นฐานไม่ใช่จาก mr.market ซึงตอนนั้นเรายังไม่รู้ว่าพื้นฐานเปลี่ยน)
ทำให้เราต้องขายหุ้นสี่ตัวนั้น เพื่อมา
เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นตัวที่ห้า ตามหลักการ

แล้วพี่ไม่กลัวว่า กลับกลายเป็นว่า
เราจะขายหุ้นผู้ชนะ เพื่อมาเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นผู้แพ้หรือครับ
เพราะว่า ไม่มีทางเลยที่เราจะเลือกหุ้นถูกทุกครั้ง
พี่มีความเห็นกับเหตุการณ์ดังกล่าวยังไงบ้างครับ

รบกวนถามน้อง yoyo เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 29, 2009 10:32 pm
โดย Highway_Star
[quote="happiness"]ดีใจที่มีกระทู้นี้ขึ้นมา ขอบคุณพี่โยมากสำหรับบล๊อกของพี่
ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการเรียนรู้การลงทุนแนววีไอของผม

รบกวนถามน้อง yoyo เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนครับ

โพสต์แล้ว: พุธ ก.ย. 30, 2009 12:52 am
โดย crazyrisk
:bow:

รบกวนถามน้อง yoyo เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ต.ค. 01, 2009 11:23 pm
โดย Jimmy
เพิ่งเห็นกระทู้ ตามมาด้วยคนครับคุณโย :bow:  :bow:  :bow:

รบกวนถามน้อง yoyo เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 02, 2009 9:30 am
โดย yoyo
[quote="sathaporne"][quote="winkung"]

แต่ผมงงกับประโยคนี้น่ะครับพี่

รบกวนถามน้อง yoyo เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 02, 2009 9:33 am
โดย yoyo
uncleBE เขียน:ขอย้อนกลับไปถามคุณโยเรื่องการปรับพอร์ตที่ยกตัวอย่างมา 7 ช่วงเวลา
อยากทราบระยะเวลาในการปรับแต่ละช่วงว่าถี่-ห่างมากน้อยขนาดไหน
เป็นเดือน เป็นไตรมาส หรือเป็นปีครับ
หรือแล้วแต่สถานการณ์
ผมจะปรับเมื่อ Upside มีการเปลี่ยนแปลงแบบมีนัยสำคัญครับ เช่น
- มีหุ้นตัวใดเพิ่มขึ้นเยอะๆ หรือลดลงเยอะๆ Upside จะเปลี่ยน
- มีข้อมูลใหม่ๆเพิ่มทำให้ราคาเป้าหมายเปลี่ยนแปลง ทั้งทาง + หรือทาง -

ปรับบ่อยเกินก็ไม่ดี เพราะเอาเข้าจริงๆแล้ว Upside มันเป็นตัวเลขประมาณการณ์คร่าวๆ มันไม่ได้เป็นตัวเลขตายตัว ถ้าปรับถี่เกินค่าเดี๋ยว Marketing จะรวยเกินเราครับ :lol:

รบกวนถามน้อง yoyo เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 02, 2009 9:38 am
โดย yoyo
[quote="happiness"]อ่านการบริหารพอร์ตของพี่แล้วอึ้งเลยครับ หุ้นอยู่ที่เดิมแต่ได้เงินด้วย
น่าก๊อปมาใช้จริง ๆ

รบกวนถามน้อง yoyo เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 02, 2009 9:57 am
โดย McDull
ขอรบกวนถามอีกนิดนะครับ ถ้ามีหุ้นตัวนึงที่คุณ yoyo วิเคราะห์ข้อมูลจนครบทุกด้านเห็นทะลุปรุโปร่งแล้ว จากคะแนน 0-100 คุณ yoyo จะให้คะแนนความมั่นใจ"สูงที่สุด"ไม่เกินเท่าไหร่ครับ ขอบพระคุณล่วงหน้าครับผม :bow: