หน้า 2 จากทั้งหมด 3

อสังหาฯ ตัวไหนมียอดขาย ต่อ มูลค่าตลาด สูงกว่า 2 เท่าบ้าง

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 27, 2009 11:30 am
โดย nanoVI
[quote="อะไรดีละ"][quote="nanoVI
ยอดขายของ 3 หุ้นนั่นเอามาจากไหนครับ...
ยอดขาย คือ พรีเซลนะครับ... ปรีชาไม่ถึงแน่ๆ

อสังหาฯ ตัวไหนมียอดขาย ต่อ มูลค่าตลาด สูงกว่า 2 เท่าบ้าง

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 27, 2009 11:35 am
โดย nanoVI
:8) ชอบแนวคิดพี่ ได้มุมมองใหม่ๆ เดี๋ยวจะลองหาข่าวพรีเซลของบริษัทอื่นๆดูอีกครับ


ถ้า PRIN ได้แค่ 3,200 ล้าน แบบนี้ก็ไม่เข้าเกณฑ์  3,200/1950= 1.64<2 :x

อสังหาฯ ตัวไหนมียอดขาย ต่อ มูลค่าตลาด สูงกว่า 2 เท่าบ้าง

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 27, 2009 11:36 am
โดย อะไรดีละ
ใช่ครับ..พรีเซล หามาจากโบรกเกอร์  และ ข่าวที่ผู้บริหารให้สัมภาษณ์
แต่ของจริง น่าจะมีลดลงกว่านั้นหน่อย...เพราะ ผู้บริหารหลายคนชอบตั้งตัวเลขไว้สูงกว่าความเป็นจริงเล็กน้อย   :)

อสังหาฯ ตัวไหนมียอดขาย ต่อ มูลค่าตลาด สูงกว่า 2 เท่าบ้าง

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 27, 2009 11:41 am
โดย อะไรดีละ
ทันหุ้น-ผู้บริหาร AP

อสังหาฯ ตัวไหนมียอดขาย ต่อ มูลค่าตลาด สูงกว่า 2 เท่าบ้าง

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 27, 2009 11:57 am
โดย nanoVI
ผมชอบบริษัทนี้ แต่ประเมินยากจัง มีรายได้หลากหลายเกิน..

ขายและการก่อสร้างโครงการแรกเป็นไปด้วยดี ทั้งนี้ ทางบริษัท. ROJNAรายงานว่ายอดขายทะลุ 70% ในเดือนกันยายน
จาก 60% ในเดือนมิถุนายน โดยตลาดคาดว่าจะสามารถทำยอดขายได้ประมาณ 80-
90% ณ สิ้นปี 2009 สำหรับรายได้จากโครงการนี้ ทางบริษัทคาดว่าจะสามารถรับรู้ราย
ได้จำนวน 1 พันล้านบาท ในปี 2009

รวมกับ...

ในปี 52 นี้ ROJNA มีแนวโน้มสูงแล้ว ที่จะพลิกมาเป็นผู้นำการขายพื้นที่นิคมฯ
ได้มากที่สุดในอุตสาหกรรม ทั้งนี้ใน 3Q52 บริษัทสามารถขายพื้นที่นิคมให้กับ โรงงานยาสูบที่
อยุธยาได้ในจำนวน 242 ไร่ และล่าสุดใน 4Q52 ก็สามารถขายนิคมฯที่ระยองให้กับผู้ประกอบ
การชาวจีน ซึ่งทำธุรกิจผลิตและจำหน่ายกรดมะนาวได้อีก 100 ไร่


mcap 9,150 ล้าน สงสัยจะไม่ผ่านอีก...เพราะขายคอนโดที่จีน 2 โครงการหมดยังได้แค่ 6,900 ขายที่โรงงานยาสูบ 500 ล้าน

สงสัยผมจะหลงทาง :o

อสังหาฯ ตัวไหนมียอดขาย ต่อ มูลค่าตลาด สูงกว่า 2 เท่าบ้าง

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 27, 2009 12:01 pm
โดย nanoVI
ผู้บริหาร ROJNA ระบุ ขอเวลาศึกษารายละเอียดทำธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสง
อาทิตย์ 6-7 เดือน ก่อนดำเนินการเชิงพาณิชย์ หลังบอร์ดไฟเขียว ขณะที่หวังกวาดรายได้ปีนี้แตะ
6.6 พันลบ. เพราะขายที่ดินได้แล้ว 400 ไร่ จากเป้าหมายที่ 500 ไร่-ศก.ฟื้นหนุน    


ไม่ได้พูดถึงพรีเซลคอนโดอีก พันล้าน  อืมมม..ไม่เท่า Mcap อยู่ดี

อสังหาฯ ตัวไหนมียอดขาย ต่อ มูลค่าตลาด สูงกว่า 2 เท่าบ้าง

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 27, 2009 12:03 pm
โดย อะไรดีละ
หายากมาๆ เลยใช่ไหม  จะมียอดขาย 2 เท่าของ มาร์เก็ตแคป ...
ผมก็เชื่อว่ายากครับ  
แต่ไปดูในหุ้นพีอีต่ำ 5 ....  ก็จะเห็นผมนำเสนอไว้แล้วครับ  แต่เชื่อว่ายังพอมีอีกหลายตัวอยู่ครับ  
:)

อสังหาฯ ตัวไหนมียอดขาย ต่อ มูลค่าตลาด สูงกว่า 2 เท่าบ้าง

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 27, 2009 12:09 pm
โดย nanoVI
นายเศรษฐา กล่าวว่า กลยุทธ์โรดโชว์ในช่วงปลายปีนี้จะส่งผลให้แสนสิริมียอดขายไตรมาสสุดท้ายปีนี้อยู่ที่กว่า 4,800 ล้านบาท จากเป้าหมายยอดขายรวมทั้งปี 2552 ที่ 20,000 ล้านบาท....


เป้าเวอร์กว่า มาร์เก็ตแค็ป 6,277 ล้านบาท มากมาย....

ให้แค่ 80% ของเป้า => 16,000/6,277= 2.55  :D  :D

อสังหาฯ ตัวไหนมียอดขาย ต่อ มูลค่าตลาด สูงกว่า 2 เท่าบ้าง

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 27, 2009 12:12 pm
โดย อะไรดีละ
นั่นใช่เลย...ปัญหาก็คือ "แสนสิริ" จะเพิ่มทุนเท่าตัว
ทำให้ มาร์เก็ตแคป เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าของปัจจุบัน  
เมื่อรวมกับ วอแรนท์  ซึ่งต้องปรับเป็นจำนวนหุ้นเพิ่มด้วยในอนาคตแล้ว
ก็ทำให้หุ้นตัวนี้  มีมาร์เก็ตแคปสูงถึง 1.5 หมื่นล้าน (รวมเพิมทุน PP และ วอแรนท์ในอนาคต)  
ดังนั้น  ยอดขาย ต่อ มาร์เก็ตแคป ก็เลยทำไม่ได้ 2 เท่าไงครับ   :cry:

อสังหาฯ ตัวไหนมียอดขาย ต่อ มูลค่าตลาด สูงกว่า 2 เท่าบ้าง

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 27, 2009 12:21 pm
โดย nanoVI
[quote="อะไรดีละ"]นั่นใช่เลย...ปัญหาก็คือ "แสนสิริ" จะเพิ่มทุนเท่าตัว
ทำให้ มาร์เก็ตแคป เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าของปัจจุบัน

อสังหาฯ ตัวไหนมียอดขาย ต่อ มูลค่าตลาด สูงกว่า 2 เท่าบ้าง

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 27, 2009 12:41 pm
โดย อะไรดีละ
มิกล้ารับคำชมจากท่านน้อง หรอกครับ
:wink:

อสังหาฯ ตัวไหนมียอดขาย ต่อ มูลค่าตลาด สูงกว่า 2 เท่าบ้าง

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 27, 2009 12:45 pm
โดย nanoVI
เจอแล้วครับ...เจอพี่ "อะไรดีล่ะ" ด้วย :D


NOBLE คาดปีนี้รายได้พุ่ง 15% จากปีก่อน ผู้บริหาร "ธงชัย บุศราพันธ์" ชี้ครึ่งปีหลังโตก้าวกระโดด มั่นใจสัปดาห์หน้าขายโครงการโนเบิล รีไฟน์หมดเกลี้ยงทั้งโครงการ 1.4 พันล้านบาท ดันยอดขายไตรมาส 3/2552 พุ่ง 3.5 พันล้านบาท หนุดยอดรอรับรู้รายได้พุ่ง 4 พันล้านบาท



Mcap 1,825 >> 4,000/1,825= 2.19  :shock:

อสังหาฯ ตัวไหนมียอดขาย ต่อ มูลค่าตลาด สูงกว่า 2 เท่าบ้าง

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 27, 2009 12:48 pm
โดย อะไรดีละ
ใช่เลย...ถูก 1 ตัวแล้ว  อย่างน้อยๆ ยังมีอีก 2 ตัวครับ...จะเจอไหมเอ่ย
:roll:

อสังหาฯ ตัวไหนมียอดขาย ต่อ มูลค่าตลาด สูงกว่า 2 เท่าบ้าง

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 27, 2009 12:54 pm
โดย nanoVI
อีกหนึ่งบริษัท.. :D

CI ประมาณการว่าในปีนี้จะสามารถทำยอดรับรู้รายได้เติบโตจากปีที่ผ่านมา5-10 % จากปีที่ผ่านมา จากการรับรู้รายได้ในโครงการที่ทยอยมอบอยู่ในปัจจุบันทั้ง4โครงการ


เอาขายเท่าปีก่อนก็พอ >> 1,100 ล้านบาท/Mcap 429 ล้าน =2.56 :shock:  :shock:

อสังหาฯ ตัวไหนมียอดขาย ต่อ มูลค่าตลาด สูงกว่า 2 เท่าบ้าง

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 27, 2009 1:04 pm
โดย อะไรดีละ
ก็น่าจะใช่นะ...ปัญหาก็คือ  ระวังสับสนระหว่าง "ยอดขาย" และ "ยอดรับรู้รายได้"  2 เรื่องนี้ต่างกัน

ยอดขาย คือ พรีเซล  ขายไว้ก่อน แต่ยังไม่โอน  ยังไม่รับรู้รายได้

ส่วนยอดรับรู้รายได้ คือ รายได้ที่เกิดจากการโอนอสังหาฯ แล้ว หรือ รายได้คอนโดฯ ที่รับเงินดาวน์มากกว่า 20 เปอร์เซนต์  จะคิดตามสัดส่วนเปอร์เซนต์ของการก่อสร้างครับ  

ของ CI นี่ไม่แน่ใจว่า เขาพูดถึงยอดรับรู้รายได้...ไม่ใช่ยอดขาย  
แต่ก็ถือว่าสูงมาก  น่าสนใจครับสำหรับบริษัทนี้  
ถือว่า "ถูกต้อง" แล้วครับ  
18 หุ้นเงา ที่ผมทำตกหล่นไป...คงนำไปใส่ไว้ในเดือนหน้าครับ  
:)  
ยังมี 1 บริษัท...จะเจอไหมครับ  ท็อปเทนเลยนะนั่น

อสังหาฯ ตัวไหนมียอดขาย ต่อ มูลค่าตลาด สูงกว่า 2 เท่าบ้าง

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 27, 2009 1:25 pm
โดย nanoVI
:D  PF มียอด presales ถึงปัจจุบัน[21/09/09]ประมาณ 5 พันล้านบาทและเราคาดว่าจะทำได้ตามที่วางไว้ที่ 7 พันล้านบาทได้จากยอดขายที่เข้ามาอย่างต่อเนื่องประมาณเดือนละ 600-700
ล้านบาทส่วนใหญ่จากโครงการ Perfect Place สุวรรณภูมิ ในขณะที่การรับรู้รายได้ในไตรมาส 3/52 เรายังคงคาดที่
1.5 พันล้านบาทและเพิ่มเป็น 2 พันล้านบาทในไตรมาส 4/52


เอาแค่ 6,500ล้านบาท/Mcap 3,229 = 2.01 :D  :D


เหมือนว่า "ราคา" เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว pe ไปอยู่แถวๆ 6 เท่าแล้วครับ

อสังหาฯ ตัวไหนมียอดขาย ต่อ มูลค่าตลาด สูงกว่า 2 เท่าบ้าง

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 27, 2009 1:27 pm
โดย อะไรดีละ
ถูกต้องแล้ว...เก่งเหมือนกันนะครับนี่
ยังมีอีกไหมครับ   :roll:

อสังหาฯ ตัวไหนมียอดขาย ต่อ มูลค่าตลาด สูงกว่า 2 เท่าบ้าง

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 27, 2009 1:57 pm
โดย nanoVI
พอร์ตงานของ SYNTEC เป็นงานอาคารสูงเป็นหลักเช่น โรงพยาบาล, โรงแรม และคอนโดฯมีเนียม  ในครึ่งปีหลังผู้ประกอบการอสังหาฯเริ่มกลับมาออกโครงการอีกครั้ง ทำให้ทางฝ่ายคาดว่าปีนี้น่าจะจบที่ 4.7 พันล้านบาท..



รับสร้างอาคารแบบนี้ใช้ได้ไหมครับ...คงไม่ได้เพราะ มาร์จิ้น มันไม่เท่ากันแต่ยอดขายต่อมาร์เก็ตแคปสูงดี :D

รายได้ 4,500/Mcap 960 = 4.68 :shock:  :shock:

อสังหาฯ ตัวไหนมียอดขาย ต่อ มูลค่าตลาด สูงกว่า 2 เท่าบ้าง

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 27, 2009 2:01 pm
โดย i_sarut
20 ปีอสังหาฯ กรุงเทพฯ พัฒนาการสู่การเติบโตที่ยั่งยืน

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

วันที่ 20 ตุลาคม 2552


โจนส์ แลง ลาซาลล์เสนอรายงานฉบับพิเศษ Asia Pacific Then and Now ตลาดอสังหาฯ กรุงเทพฯ 20 ปี พัฒนาการสู่การเติบโตที่ยั่งยืน

ย้อนไปในปี 2532 ทัศนียภาพของกรุงเทพฯ ได้เปลี่ยนโฉมไปโดยสิ้นเชิงเมื่อเปรียบเทียบกับปัจจุบัน หลังจากผ่านทั้งช่วงขาขึ้นและขาลงในช่วงตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของกรุงเทพฯ มีพัฒนาการที่สมบูรณ์และการเติบโตที่ยั่งยืนมากขึ้น ตามรายงานฉบับพิเศษจากบริษัทผู้เชี่ยวชาญบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ โจนส์ แลง ลาซาลล์

รายงานฉบับพิเศษดังกล่าว มีชื่อว่า Asia Pacific Then and Now ซึ่งโจนส์ แลง ลาซาลล์ จัดทำขึ้นในโอกาสฉลองครบรอบ 20 ปีของการให้บริการสมาชิกด้านข้อมูลวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเอเชียแปซิฟิก โดยเป็นการนำเสนอข้อมูลความเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐศาสตร์ในภูมิภาคในช่วงสอง ทศวรรษที่ผ่านมา พร้อมบทวิเคราะห์พัฒนาการของตลาดอสังหาริมทรัพย์ใน 17 เมืองหลักของเอเชียแปซิฟิก

นางสุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการของโจนส์ แลง ลาซาลล์ ซึ่งเปิดสาขาในประเทศไทยนับตั้งแต่ปี 2533 กล่าวว่า ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา มีความเปลี่ยนแปลงต่างๆ เกิดขึ้นมากมายในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของกรุงเทพฯ ซึ่งบริษัทของเราได้เปิดดำเนินการในไทยมานานมากพอจนได้เห็นตลาดทั้งในช่วง ที่ทั้งดีที่สุดและเลวร้ายที่สุด

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในทุกที่ทั่วโลกมีวงจรการขึ้นลง ตลาดของกรุงเทพฯ ก็เช่นกัน โดยในขณะนี้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ของกรุงเทพฯ กำลังอยู่ในช่วงขาลง แต่ถือว่ายังอยู่ในสภาพที่ดี เมื่อเทียบกับช่วงตลาดขาลงหลังเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินของเอเชียในปี 2540 นอกจากนี้ บรรยากาศโดยทั่วไปในขณะนี้เริ่มปรับตัวดีขึ้น เชื่อว่าตลาดจะค่อยๆ ฟื้นตัวและเข้าสู่ช่วงขาขึ้นอีกครั้งต่อไป

รายงานฉบับดังกล่าวจากโจนส์ แลง ลาซาลล์ ระบุว่า ประเทศไทยในปี 2532 กำลังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนจากเศรษฐกิจเกษตรกรรมไปสู่เศรษฐกิจอุตสาหกรรม และเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตรวดเร็วที่สุดในขณะนั้น มีการหลั่งไหลเข้ามาของการลงทุนจากต่างประเทศ พร้อมๆ กับการมีบริษัทและธนาคารข้ามชาติจำนวนมากเข้ามาเปิดสาขาในกรุงเทพฯ ซึ่งทำให้ความต้องการใช้พื้นที่อาคารสำนักงานและที่พักอาศัยสำหรับชาวต่าง ชาติมีการขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ดี กรุงเทพฯ ในขณะนั้น อยู่ในสภาพการขาดแคลนอสังหาริมทรัพย์คุณภาพดี โดยมีพื้นที่อาคารสำนักงานเกรดเออยู่เพียงประมาณ127,000 ตารางเมตร ซึ่งในจำนวนนี้ มีพื้นที่ว่างอยู่เพียง 3% และมีคอนโดมิเนียมและอพาร์ตเม้นท์ระดับหรูจำนวนเพียงเล็กน้อย

นายแดน ตันติสุนทร หัวหน้าฝ่ายวิจัย โจนส์ แลง ลาซาลล์ กล่าวว่า เมื่อ 20 ปีก่อน กรุงเทพฯ กำลังอยู่ในช่วงการขยายตัวของเมืองและพัฒนาให้เป็นเมืองที่มีความทันสมัยมาก ขึ้น ตลาดอสังหาริมทรัพย์กรุงเทพฯ ในขณะนั้นเพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา อาคารสำนักงาน คอนโดมิเนียมและอพาร์ตเม้นม์ที่มีมาตรฐานในระดับสากลมีอยู่อย่างจำกัด โครงการใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น สามารถปล่อยขายหรือเช่าได้หมดภายในเวลาที่รวดเร็ว ซึ่งนี่คือปัจจัยที่ทำให้มีขยายตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างรวดเร็วใน ทศวรรษต่อมา

ในส่วนของตลาดศูนย์การค้า ในปี 2532 ย่านศูนย์การค้าทันสมัยเพิ่งเริ่มเกิดขึ้นในแถบสยามสแควร์ และเวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์ (ภายหลังได้ถูกเข้าซื้อและเปลี่ยนเป็นเซ็นทรัล เวิลด์ พลาซาในปัจจุบัน) สินค้าแบรนด์ดังจากต่างประเทศที่มีอยู่มากมายในขณะนี้ มีให้เห็นเพียงไม่กี่แบรนด์ในศูนย์การค้าของกรุงเทพฯ ในขณะนั้น

ยุคทอง ยุคแรกของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ ได้สิ้นสุดลงในปี 2540 เมื่อตลาดเข้าสู่ภาวะปริมาณล้นตลาด ในขณะที่ความต้องการถดถอยอย่างหนัก หลังได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์การเงินของเอเชีย จนกระทั่งถึงปี 2544 ตลาดเริ่มกลับเข้าสู่ช่วงขาขึ้นอีกครั้ง ราคาและค่าเช่าขยับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องจนแตะระดับจุดสูงสุดอีกครั้งในปี 2550 นายแดนกล่าว

หลังผ่านพ้นวิกฤตการณ์ทางการเงินของเอเชียมากว่า 10 ปี ประเทศไทยมีประสบการณ์มากขึ้นในการรับมือกับวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจโลก โดยมีระบบการธุรกิจการเงินที่ดีขึ้น และธุรกิจประเภทต่างๆ มีการดำเนินการด้วยความระมัดระวังมากขึ้น ในขณะเดียวกัน ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของกรุงเทพฯ มีพัฒนาการที่สมบูรณ์ และมีการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพมากขึ้น

นับจากปี 2532 ตลาดอาคารสำนักงานเกรดเอในกรุงเทพฯ มีปริมาณพื้นที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น 11 เท่า เป็น 1.4 ล้านตารางเมตรในปัจจุบัน ส่วนอพาร์ตเม้นท์และคอนโดมิเนียมระดับหรู ขยายจำนวนเพิ่มขึ้น 32 เท่ามาอยู่ที่ 22,300 หน่วย สำหรับตลาดศูนย์การค้า กรุงเทพฯ ได้กลายเป็นสวรรค์ของการชอปปิ้งที่เป็นที่รู้จักในระดับโลก มีศูนย์การค้าทันสมัยใหม่เกิดขึ้นมากมาย และมีสินค้าแบรนด์ดังจากต่างประเทศแทบทุกแบรนด์วางจำหน่าย

แม้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของกรุงเทพฯ เริ่มเข้าสู่ช่วงขาลง หลังได้รับผลกระทบจากความผันผวนทางการเมืองและวิกฤติเศรษฐกิจโลก การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ๆ ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับความต้องการจากภาคธุรกิจและผู้คนใน โลกสมัยใหม่

การปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคและการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ๆ จะยังคงปรับเปลี่ยนโฉมหน้าของกรุงเทพฯ ต่อไป การสร้างส่วนขยายของระบบขนส่งมวลชน ได้แก่ เส้นทางรถไฟฟ้าบีทีเอส รถไฟฟ้าใต้ดิน รวมถึงโครงการแอร์พอร์ตลิ้งค์ ที่กำลังคืบหน้า ช่วยเปิดทำเลใหม่สำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น ดังจะเห็นได้จากโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่จำนวนมากที่เกิดขึ้นตามเส้นทาง ของโครงการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนต่างๆ เหล่านี้ นายแดนสรุป

อสังหาฯ ตัวไหนมียอดขาย ต่อ มูลค่าตลาด สูงกว่า 2 เท่าบ้าง

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 27, 2009 2:03 pm
โดย อะไรดีละ
SYNTEC เป็นงานผู้รับเหมาก่อสร้าง  
ไม่ใช่ บ.พัฒนาอสังหาฯ นะครับ  มาร์จิ้นต่ำ  แตกต่างกันเยอะ  
กรณี บ.แบบนี้ต้องไปเทียบกับพวก _ITD, CK, STEC, SEAFCO
ทุกบ.จะมี NPM ที่ต่ำกว่า 5 เปอร์เซนต์
ขณะที่บ.พัฒนาอสังหาฯ จะมีค่านี้อยู่สูงเกือบ 20 เปอร์เซนต์ครับ

อสังหาฯ ตัวไหนมียอดขาย ต่อ มูลค่าตลาด สูงกว่า 2 เท่าบ้าง

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 27, 2009 2:09 pm
โดย อะไรดีละ
ผมแปลกใจที่คนจากโจน แลง ลาซาลล์  
ไม่พูดถึง  "การอพยพ" ของคนเกษียณอายุต่างชาติ
คือว่า  คนทำงานต่างชาตินะ..พอจะรู้ว่ามีอยู่ระดับหนึ่ง แต่ไม่เพิ่มขึ้นในช่วงนี้  

แต่อีกกลุ่มนะสิ...เลยวัยทำงานแล้ว  เกษียณแล้ว  ต้องการหาที่อยู่ซึ่งต้นทุนต่ำ แต่การแพทย์ดี  คมนาคมสะดวก  อาหารอร่อย  มีคุณภาพชีวิตที่ดี  

ประเทศไทยติดอันดับ 1 ใน 5  ของประเทศยอดนิยมในการเกษียณต่างประเทศของคนชราในประเทศพัฒนาแล้ว.... นี่คือจุดเด่นมากๆ ของอสังหาฯ เมืองไทยที่พวกเราเคยมองข้ามกันไปครับ  
:)

อสังหาฯ ตัวไหนมียอดขาย ต่อ มูลค่าตลาด สูงกว่า 2 เท่าบ้าง

โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 28, 2009 9:04 am
โดย 689
อ่านไปอ่านมา เลยสับสนระหว่าง ยอดขาย presale และ backlog และการบันทึกรับรู้รายได้ครับ ไม่ทราบว่าใครจะให้ความกระจ่างบ้างครับ? :?

อสังหาฯ ตัวไหนมียอดขาย ต่อ มูลค่าตลาด สูงกว่า 2 เท่าบ้าง

โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 28, 2009 4:47 pm
โดย อะไรดีละ
พรีเซล คือ ยอดขายของบ.อสังหาฯ ดูจากการจอง การทำสัญญาครับ
backlog คือ ยอดขายที่หลงเหลืออยู่ซึงจะรับรู้รายได้ในอนาคต
การรับรู้รายได้ คือ การลงบันทึกเป็นรายได้ตามงบกำไรขาดทุน...ครับ
:)

อสังหาฯ ตัวไหนมียอดขาย ต่อ มูลค่าตลาด สูงกว่า 2 เท่าบ้าง

โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 28, 2009 5:47 pm
โดย newbie_12
เวลาเราจะไปซื้อบ้านหรือคอนโด

1. ตั้งใจซื้อ ก็ทำสัญญาจอง (ไม่กี่หมื่นบาท) -> บันทึกเป็น Presale
2. ยิื่น Pre Approve ให้ Bank เช็คดูว่าจะยื่นกู้ได้เท่าไหร่ ถ้ากู้ไม่ผ่าน ก็อาจจะยึดเงินจอง -> ยอด Presale อาจจะต้องหักออก

3. Pre Approve ผ่าน ทำสัญญาจะซื้อจะขาย -> Backlog

4. บ้านเสร็จ ลูกค้าตรวจรับเรียบร้อยก็โอนกรรมสิทธิ -> รับรู้รายได้

อสังหาฯ ตัวไหนมียอดขาย ต่อ มูลค่าตลาด สูงกว่า 2 เท่าบ้าง

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 02, 2009 8:01 am
โดย SoLid_frOg
ว่ากันตามเหตุผลทาง ศก.แล้ว  ไทยติดอันดับท็อป 3 ในการเกษียณต่างประเทศ  มีเหตุผลอย่างมากๆ ที่จะย้ายกันมาเป็นล้านคน
ข้อมูลนี้คือวิเคราะห์เองหรือว่านำมาจากไหนครับ  มี reference ไหมครับ  :D

อสังหาฯ ตัวไหนมียอดขาย ต่อ มูลค่าตลาด สูงกว่า 2 เท่าบ้าง

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 02, 2009 12:35 pm
โดย อะไรดีละ
yahoo.finance  ครับ  เป็นข้อมูลจากคนอเมริกัน...
ไทย...ติดอันดับ 1 ใน 3
สำหรับ คนเกษียณญี่ปุ่น ก็มีสอบถามมาเหมือนกัน
ไทย... ติดอันดับ 2  โดยอันดับ 1 คือมาเลเซีย และ อันดับ 3 ที่เราแซงขึ้นมาได้คือ ออสเตรเลีย (คงเพราะค่าเงินแข็งเกิน)  
จบข่าวครับ

อสังหาฯ ตัวไหนมียอดขาย ต่อ มูลค่าตลาด สูงกว่า 2 เท่าบ้าง

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 02, 2009 12:53 pm
โดย Linzhi
[quote="อะไรดีละ"]yahoo.finance

อสังหาฯ ตัวไหนมียอดขาย ต่อ มูลค่าตลาด สูงกว่า 2 เท่าบ้าง

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 02, 2009 1:00 pm
โดย อะไรดีละ
ผมเห็นว่า รัฐบาลควรผ่อนปรนเงื่อนไขลง

วีซ่าแบบนี้  เงินบำนาญ 2 พันเหรียญ สรอ.ต่อเดือน...ยากอยู่นะ  
หากมีผู้ติดตามด้วย  ต้องมีเงินบำนาญถึง 4 พันเหรียญต่อเดือน  ซึ่งมันสูงเกินกว่าระดับของชนชั้นกลาง  แม้จะในปท.พัฒนาแล้วก็เถอะ  

ผมคิดว่า ไทยเราควรลดเงินตรงนี้ลงมาเหลือแค่ 1 พันเหรียญต่อเดือน และ ผู้ติดตาม 500 เหรียญ สรอ.ต่อเดือนครับ  
แบบนี้เราจะกวาดตลาดชนชั้นกลาง ในปท.พัฒนาแล้วมาได้จำนวนมากครับ
:wink:

อสังหาฯ ตัวไหนมียอดขาย ต่อ มูลค่าตลาด สูงกว่า 2 เท่าบ้าง

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 02, 2009 1:07 pm
โดย อะไรดีละ
ขอโทษนะครับ..ผมจำผิด คนเกษียณญี่ปุ่นให้ไทยอยู่อันดับ 3 ครับ
ขึ้นจากอันดับ 5 รองจาก มาเลเซีย และ ออสเตรเลีย  
ตามข่าวข้างล่าง....

ยักษ์อาเซียนชิง ทัวร์เกษียณ มาเลย์ชูอสังหาฯเด่นเข่นอีลิตไทย  


โดย ประชาชาติธุรกิจ วัน จันทร์ ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2551 04:01 น.

วิเคราะห์

ขณะนี้ 3 ประเทศ คือ ไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ วางกลยุทธ์เจาะกำลังซื้อ นักเดินทางวัยเกษียณชาวต่างชาติซึ่งมีอัตราการเติบโตสูงขึ้นทุกปี ลูกค้ากลุ่มใหญ่ในปัจจุบันและอนาคตคือญี่ปุ่น ทำให้รัฐบาลมาเลเซียนำร่องเป็นประเทศแรกตั้งแต่ปี 2545 ได้ผลิตโปรแกรมส่งเสริมการท่องเที่ยว Malaysia My Second Home (MM2H) เจาะกลุ่มชาวต่างประเทศเกษียณอายุเข้าไปพักผ่อนระยะยาว สร้างแรงจูงใจกำลังซื้อด้วยการแจก สิทธิประโยชน์หลากหลาย โดยมีไฮไลต์ให้ซื้อและเป็นเจ้าของบ้านพักมูลค่า 2.5 ล้านบาทขึ้นไป

ส่งผลให้แนวโน้มปี 2551 เศรษฐีจากประเทศแถบตะวันออกกลางนิยมเลือกลังกาวีเป็นเกาะ เป้าหมายการลงทุนซื้อบ้านพักหลังที่ 2 เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ไทยจัดตั้ง บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด (ทีพีซี) ใช้บัตรท่องเที่ยว อีลิตการ์ดเป็นช่องทางขยายตลาดและรายได้ ส่วนฟิลิปปินส์ทำโปรแกรมลดค่าวีซ่า

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานผลสำรวจตลาด นักท่องเที่ยวตลอด 5 ปีที่ผ่านมา มีกลุ่มเกษียณอายุไปเยือนมาเลเซียตามโปรแกรมส่งเสริมการท่องเที่ยว MM2H กว่า 11,000 คน จากการที่รัฐบาลมาเลเซียปรับเงื่อนไขอำนวยความสะดวกเต็มที่ ทั้งการอนุมัติวีซ่าแบบเข้าประเทศหลายครั้ง (multiple entry) และอนุมัติให้บางคนถือวีซ่าได้สูงสุด 10 ปี ด้วยเงื่อนไขสถานภาพทางการเงินและสุขภาพของลูกค้าแต่ละคน แถมให้สิทธิพิเศษยกเว้นภาษีเงินบำนาญ อนุญาตนำเข้าแรงงานได้

นักท่องเที่ยวเกษียณอายุต่างชาติให้ความสำคัญกับการได้รับสิทธิถือครองอสังหาริมทรัพย์มากเป็นอันดับต้นๆ หลังจากรัฐบาลมาเลเซียอนุญาตซื้อบ้านพักได้ในราคาตามที่ตั้งของแต่ละโครงการมูลค่าขั้นต่ำ 2.5 ล้านบาท/หลัง (2.5 แสนริงกิต) เช่น รัฐสโลวักราคา 3.5 ล้านบาท/หลัง (3.5 แสนริงกิต) ขึ้นไป พื้นที่ ในรัฐอื่นราคาต่ำสุด 2.5 ล้านบาท/หลัง

ขณะที่ไทยในอดีตรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ปี 2545 มีนโยบายริเริ่มเปิดธุรกิจรองรับลูกค้าเกษียณและทั่วไปผ่าน 2 บริษัท คือ บริษัท ไทยจัดการลองสเตย์ จำกัด ให้เงินลงทุน 100 ล้านบาท บุกขายตลาดนักท่องเที่ยวพักระยะยาว แต่ขณะนี้ขายหุ้นทอดตลาดให้เอกชนไปเรียบร้อย และ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด (ทีพีซี) เจ้าของบัตร ท่องเที่ยวอีลิตการ์ดลงทุน 1,000 ล้านบาท ทำธุรกิจในลักษณะใกล้เคียงกับโครงการ MM2H มาเลเซีย เน้นขายสมาชิกหลายระดับอายุชูการแจกสิทธิประโยชน์แก่ลูกค้ากลุ่มเศรษฐีนักธุรกิจ ทั่วโลกเข้ามาใช้จ่าย ระยะเริ่มต้น จะให้สิทธิครอบครองอสังหาริมทรัพย์ 90 ปี แลกกับเงื่อนไขการนำเงินเข้ามาลงทุนโครงการ ในไทยแต่ถูกแรงต้านรุนแรง

ทีพีซีจึงต้องเปลี่ยนแผนหารายได้หันไปเน้น ขายค่าธรรมเนียมสมาชิกบัตรแทน และเปลี่ยนสิทธิประโยชน์เหลือเพียงบริการต่างๆ เช่น อำนวยความสะดวกการเข้าเมือง ณ สนามบินนานาชาติ ที่พัก กอล์ฟ สปา เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ตั้งแต่ 1 มกราคม 2551 เป็นต้นไป ได้ปรับค่าธรรมเนียมเพิ่มเป็น 1.5 ล้านบาท/สมาชิก จากเดิม 1 ล้านบาท เป็น 1.5 ล้านบาท ขยายฐานให้ครบ 800 สมาชิก จากปี 2550 ทำไว้ 400 สมาชิก

โดยมีบริษัทตัวแทนของประเทศ (country partner : CP) ทำหน้าที่ขายบัตรอีลิตการ์ด ขณะนี้เริ่มขยายบริการเป็นที่ปรึกษานักลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์จากต่างประเทศกับสมาชิกกลุ่มเป้าหมายสิงคโปร์ มาเลเซีย ญี่ปุ่น และ ไต้หวัน

ล่าสุดฟิลิปปินส์สนใจเปิดตลาดนี้เช่นกันเมื่อ ปี 2550 เริ่มลดค่าธรรมเนียมวีซ่าผู้เกษียณตั้งเป้าปี 2558 จะดึงดูดนักท่องเที่ยวสูงอายุจาก ต่างประเทศ 1 ล้านคน จุดขายเน้นข้อได้เปรียบด้านค่าครองชีพ การใช้จ่ายถูกกว่าโตเกียวถึง 1 ใน 3 เท่า เช่น การผ่าตัดเปลี่ยนกระดูกสะโพกหากรักษาที่ญี่ปุ่นต้องจ่ายถึง 5.6 แสนบาท/ครั้ง (17,000 เหรียญสหรัฐ)

ขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณการชิงลูกค้าเกษียณอายุตลาดญี่ปุ่นเปลี่ยนค่านิยมจากออสเตรเลียมายังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขึ้นตามที่มูลนิธิลองสเตย์ญี่ปุ่น (Long Stay Foundation of Japan) แสดงผลสำรวจประจำ ปี 2550 มาเลเซียครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ประมาณ 14.9% มากกว่าออสเตรเลียตกไปอยู่อันดับ 2 เหลือ 14% ส่วนไทยเลื่อนชั้นมาอยู่อันดับ 3 (เดิมอยู่อันดับ 5) ชิงส่วนแบ่งมาได้ 11.2%
ข้อมูลการสำรวจระบุชาวญี่ปุ่นวัยเกษียณระบุระยะเวลาการพักอาศัย 41.9% พร้อมจะพัก 1-3 เดือน/ครั้ง และอีก 41.8% ต้องการพักเกิน 3 เดือนขึ้นไป ซึ่งแสดงถึงแนวโน้มหลังเกษียณ ชาวญี่ปุ่นจำนวนเพิ่มขึ้นนิยมไปอยู่ต่างประเทศ 1 ปี จากแรงจูงใจ 3 เรื่อง ได้แก่ 1) บางประเทศส่งเสริมการให้วีซ่าระยะยาว เช่น ไทย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ 2) ค่าครองชีพต่ำจึงสามารถยืดวันพักได้ 3) ได้สร้างประสบการณ์แปลกใหม่ทั้งแบบ slow life หรือ country life

สถิติการใช้จ่ายเงินแบ่งเป็นระหว่าง 31,000-47,000 บาท (1-1.5 แสนเยน) มีมากที่สุด 44.1% ระหว่าง 47,000-62,000 บาท (1.5-2 แสนเยน) 31.4% และกลุ่มใช้เงินต่ำสุด 15,500-31,000 บาท 5 หมื่น-1 แสนเยน) มี 18.4% กลุ่มไฮเอนด์ใช้เงินเกิน 62,000 บาท ขึ้นไป มี 6.1%

จับตา ไทย-มาเลเซีย-ฟิลิปปินส์ ประเทศใดจะครองตลาดวัยเกษียณได้มากกว่ากัน

อสังหาฯ ตัวไหนมียอดขาย ต่อ มูลค่าตลาด สูงกว่า 2 เท่าบ้าง

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 02, 2009 1:12 pm
โดย อะไรดีละ
ปิ๊งดูดเงินฝรั่งเกษียณกู้ชาติ 14-16 มี.ค.52



ปิ๊งดูดเงินฝรั่งเกษียณกู้ชาติ  อุตฯ วางแผนดึงเงินเข้าไทยกว่าปีละแสนล้านลงเอสเอ็มอี
Source - บ้านเมือง (Th)
Monday, March 16, 2009  09:45
32819 XTHAI XECON V%PAPERL P%BMND
         กรุงเทพ--16 มี.ค.--บ้านเมือง
ปิ๊งดูดเงินฝรั่งเกษียณกู้ชาติ  อุตฯ วางแผนดึงเงินเข้าไทยกว่าปีละแสนล้านลงเอสเอ็มอี
          กระทรวงอุตฯ ปิ๊งไอเดีย หวังดึงเงินชาวต่างชาติที่เกษียณอายุเข้าไทยช่วยเอสเอ็มอีภาคบริการ ชงเรื่องกระทรวงการต่างประเทศขยายอายุวีซ่า ให้ครั้งละสูงสุด 1 ปี หวังดูดเม็ดเงินเข้าไทยปีละ1 แสนล้าน  ด้าน ส.อ.ท. ห่วงวิกฤติแรงงานยังเกิดต่อเนื่อง หวังรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน
นายดำริ สุโขธนัง ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า มอบหมายให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำโซนนิ่งการท่องเที่ยว พัฒนาธุรกิจเอสเอ็มอีภาคบริการ และปรับปรุงบรรยากาศที่พักเพื่อดึงกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เกษียณอายุ เนื่องจากแต่ละปีมีผู้เกษียณอายุจากต่างชาติเข้ามาเที่ยวในไทย 1-1.2 แสนคนต่อปี ขณะที่บางประเทศได้รับเงินบำนาญแก่ผู้เกษียณสูงถึงเดือนละ 8 หมื่นบาท ส่งผลให้มีการนำเงินเข้าไทยเฉลี่ยปีละ 1 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นโอกาสในการเพิ่มยอดขายธุรกิจเอสเอ็มอีช่วงที่เศรษฐกิจโลกและการส่งออกไทยชะลอตัว  
         ขณะที่ต้องการให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาการต่อวีซ่านักท่องเที่ยวจากเดิมที่อนุญาตให้อยู่เมืองไทยครั้งละ 3 เดือน เป็น 6 เดือน 1 ปี เพราะหากมีโซนนิ่งที่มีบรรยากาศเหมือนกับประเทศในยุโรป อเมริกา และเอเชียแล้ว เชื่อว่าผู้เกษียณอายุจะพักในไทยระยะเวลานานขึ้น ซึ่งผลที่ตามมาจะมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยและการสร้างงานตามมา ซึ่งผู้เกษียณอายุต่างชาติจำนวนมากสนใจอยากพักในเมืองไทย หากมีการจัดทำระบบการดึงดูดที่ดีเชื่อว่าจะมีการใช้จ่ายเงินในไทยมากขึ้น ที่สำคัญเอสเอ็มอีไทยก็จะมีรายได้และเกิดการจ้างงานต่อไปได้ ซึ่งการสร้างพื้นที่ให้มีบรรยากาศเหมือนกับต่างประเทศประกอบกับการมีบริการที่ดีก็จะสร้างความประทับใจแก่ต่างชาติให้อยู่ในไทยได้นาน
         นายธเนตร นรภูมิพิภัชน์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กล่าวว่า หากภาคธุรกิจดึงดูดความประทับใจแก่ผู้เกษียณอายุต่างชาติที่ดีเชื่อว่าจะมีต่างชาติเข้ามาเที่ยวในไทยเพิ่มปีละ 10% แต่ภาครัฐควรจะพิจารณาอายุวีซ่าได้ถึง 1 ปีต่อครั้งด้วย หากไม่ดำเนินการที่ดีเชื่อว่าประเทศเพื่อนบ้านจะให้สิทธิประโยชน์ที่ดีเพื่อจูงใจต่างชาติแข่งกับไทยแน่นอน ทั้งนี้เม็ดเงินที่ผู้เกษียณต่างชาตินำเข้าไทยปีละ 1 แสนล้านบาท หากเอสเอ็มอีภาคบริการมีกลยุทธ์จูงใจที่ดีเชื่อว่าจะเป็นรายได้ชดเชยการส่งออกที่ปรับตัวลดลงอย่างหนัก
         นายปราโมทย์ วิทยาสุข อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า เอสเอ็มอีไทยต้องให้ความสนใจตลาดอาเซียนมากขึ้นเนื่องจากยังสามารถเพิ่มสัดส่วนยอดขายได้มากขึ้น โดยที่ผ่านมามีสัดส่วน 23% ของการส่งออกทั้งหมด ส่วนการส่งออกไปตลาดสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น ที่ยอดส่งออกประสบปัญหา โดยปัจจุบันมีสัดส่วน 33-34% เบื้องต้นหากลดลงเพียง 6-7% เชื่อว่าไม่กระทบต่อเอสเอ็มอีมากนัก โดยปัญหาของเอสเอ็มอีไทยส่วนใหญ่อยู่ที่ความสามารถวางแผนกลยุทธ์การขายมีไม่มาก ส่งผลให้สินค้าเกินความต้องการของตลาดเพราะมุ่งเน้นตลาดหลัก หรือเน้นสินค้าคล้ายกัน  ก่อนหน้านี้ สสว. มีแผนในเงิน 287 ล้านบาท ช่วยเหลือผู้ประกอบการเก่าที่เสี่ยงต่อการปิดกิจการให้อยู่รอด และสร้างรายใหม่รวมกัน 5,963 ราย สำหรับผู้ประกอบการรายเดิม สสว. จะส่งทีมนักวินิจฉัยกิจการเข้าไปดูแลกิจการในกรณีที่มีแนวโน้มเลิกกิจการ เพื่อหาแผนการช่วยเหลือแก้ปัญหาให้อยู่รอด เบื้องต้นคาดว่าปี 52 จะมีเอสเอ็มอี 2.42 ล้านรายเพิ่มจากปีก่อน 0.53% หรือ 1.23 หมื่นราย
          นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า  จากตัวเลขสถิติของกรมสวัสดิการคุ้มครองแรงงานคาดว่าในช่วงไตรมาส 1 ของปีนี้จะมีแรงงานที่อาจถูกเลิกจ้าง 69,031 คน และมีลูกจ้างที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากการลดค่าจ้างและค่าล่วงเวลาอีกประมาณ 227,067 คน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และสิ่งทอ ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขของหลายๆ หน่วยงานที่เป็นห่วงว่าตัวเลขการว่างงานปีนี้จะสูงถึง 1.2-1.3 ล้านคน ขณะนี้ภาคเอกชนมีความเป็นห่วงการว่างงานในช่วงปลายไตรมาส 2 หรือประมาณเดือน มิ.ย.นี้ยอดจะพุ่งสูงขึ้น เพราะยอดสต๊อกสินค้าเก่าหมดแล้ว และห่วงว่าหากสถานการณ์ยังยืดเยื้อออกไปถึงไตรมาส 3 ภายใต้การคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของประเทศจะติดลบ 2-3% ตัวเลขการว่างงานอาจจะสูงถึงระดับ 1.2-1.3 ล้านคน ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงจะต้องใช้เวลา 3-4 ปี กว่าจะฟื้นตัวทางด้านแรงงาน โดยเห็นว่าภาครัฐน่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้แรงและเร็วกว่านี้มาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ--จบ--

นี่ก็อีกข่าวครับ....เกี่ยวกับเทรนด์นี้
:lol: