Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

“ไชน่า ยูนิคอม เผยผู้ลงทะเบียนใช้งาน 3G พุ่งทะลุ 33 ล้านรายในเดือนต.ค.
ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน 2554 16:45:00 น.

ไชน่า ยูนิคอม ค่ายมือถือรายใหญ่อันดับ 2 ของจีน เปิดเผยในวันเสาร์ว่า ผู้ลงทะเบียนใช้งานเครือข่าย 3G ของบริษัทอยู่ที่ระดับ 33.15 ล้านราย ณ สิ้นเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้น 2.92 ล้านรายจากเดือนก่อนหน้า

บริษัทระบุในเอกสารที่ยื่นต่อตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ว่า นับเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันแล้วที่จำนวนผู้ใช้งาน 3G รายใหม่เพิ่มขึ้นเกิน 2 ล้านราย

ส่วนจำนวนผู้ลงทะเบียนใช้งานเครือข่าย 2G ของบริษัทอยู่ที่ระดับ 159 ล้านรายในเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้น 421,000 รายจากเดือนกันยายน

ขณะเดียวกันจำนวนผู้ใช้งานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตของบริษัทเพิ่มขึ้น 512,000 ราย แตะที่ 55.05 ล้านราย แต่จำนวนผู้ใช้งานโทรศัพท์พื้นฐานลดลงต่อเนื่อง 278,000 ราย สู่ระดับ 94.3 ล้านราย ณ สิ้นเดือนตุลาคม สำนักข่าวซินหัวรายงาน

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ปรียพรรณ มีสุข โทร.02-2535000 ต่อ 338 อีเมล์: [email protected]--

SAMTEL เผยน้ำท่วมกระทบวางโครงข่าย 3G ชะลอใน Q4/54, รายได้ทั้งปียังตามเป้า
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 8 พฤศจิกายน 2554 15:09:29 น.

นายประสิทธิ์ชัย วีระยุทธวิไล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บมจ.สามารถเทลคอม (SAMTEL) กล่าวกับ “อินโฟเควสท์" ว่า จากปัญหาน้ำท่วมส่งผลกระทบต่องานวางระบบสื่อสาร โดยเฉพาะงานวางโครงข่าย 3G ต้องชะลอตัวและล่าช้ากว่าแผน ส้งผลกระทบต่อรายได้ในไตรมาส 4/54 บ้าง

แต่ผลกระทบดังกล่าวจะไม่กระทบต่อรายได้รวมปี 54 ที่บริษัทคาดว่ารายได้จะโตได้ตามเป้าหมายที่คาดว่าจะเติบโต 100% จากปีก่อนที่มีรายได้ราว 5.7 พันล้านบาท โดยบริษัทยังเติบโตดีจากงานวางระบบในหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ

อนึ่ง SAMTEL ได้รับงานวางโครงข่าย 3G เข้ามาประมาณ 7.5 พันล้านบาทในปีนี้
นอกจากนี้ งานในปีนี้เป็นงานที่บริษัทเซ็นสํญญาแล้ว และทยอยดำเนินการและรับรู้รายได้แนวทางปีนี้ยังไม่เปลี่ยนแปลงยังมีงาน งานของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และงานของกระทรวงต่างๆ อาทิ กระทรวงกลาโหม

อย่างไรก็ตาม บริษัทกังวลว่าวิกฤตน้ำท่วมอาจส่งผลกระทบต่อผลประกอบการในปี 5 ได้เนื่องจากหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนอาจมีการชะลอหรือปรับลดงบลงทุนด้านไอทีโซลูชั่น ไปซึ่งเป็นเรื่องต้องติดตามและประเมินสถานการณ์อีกครั้งเพราะขณะนี้อยู่ระหว่างการรอประกาศผลประกอบการไตรมาส3/54

“ตอนนนี้รายได้จาก 3G ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมและความล่าช้าจากการดำเนินการ 3G แต่ถือว่าไม่มากนักห่วงปีหน้ามากกว่าว่างบประมาณด้านนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรเพราะเรื่องน้ำท่วมไม่เกิน 3 เดือนน้ำแห้งเราก็ติดตั้งได้ใหม่"นายประสิทธิ์ชัย กล่าว

กสท.คาดเปิดให้บริการมายมือถือ 3G ธ.ค.ใช้โครงข่ายผนึก TRUE สู้คู่แข่ง
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 22 พฤศจิกายน 2554 10:57:04 น.

นายจิรายุทธ รุ่งศรีทอง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.กสท โทรคมนาคม คาดว่า ในเดือนธ.ค.นี้ จะสามารถเปิดให้บริการ 3G HSPA ภายใต้แบรนด์"มาย(MY)"หลังเลื่อนมาจากเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา เนื่องจากปัญหาความพร้อมในการทำตลาดของ กสท. โดยเฉพาะแบบพรีเพด

ทั้งนี้ ตามแผนเดิม กสท. คาดว่าในปี 55 กสท.จะมีโครงข่าย 3G HSPA ให้กลุ่มบมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) จำนวน 15,000 - 18,000 สถานีฐาน รองรับลูกค้าใช้บริการทั้ง TRUE และมาย รวมกัน 10 ล้านราย เชื่อว่าจะสามารถแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) ได้

ส่วนการทำสัญญาโครงการโทรศัพท์มือถือ แบบ HSPA กับ TRUE นั้น ทำมาถูกทางแล้วเพื่อความอยู่รอดของ กสท.เพราะในอนาคตหรือภายในปี 56 กสท.จะไม่มีรายได้จากส่วนแบ่งสัญญาสัมปทานอีกแล้ว ปัจจุบัน กสท.มีรายได้จากส่วนแบ่งสัญญาสัมปทานสัดส่วน 65%ของรายได้รวม หรือประมาณปีละ 3 หมื่นล้านบาท ดังนั้น หากไม่มีการดำเนินการใดๆ จะส่งผลให้ขาดทุนปีละประมาณ 1-2 พันล้านบาท จาก ปี 54 มีกำไรสุทธิ 8 พันล้านบาท และ ปี 55-56 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 8-9 พันล้านบาท

"เชื่อว่าที่วางแผนไว้จะช่วยลดผลกระทบ ทั้งการทำธุรกิจใหม่ การปรับปรุงโครงสร้างภายใน คิดว่าได้เดินมาถูกทาง กสท.มีเวลาเหลือ 2 ปี...เราปรับธุรกิจเพื่อให้มีรายได้ที่ยั่งยืน การทำสัญญา(กับทรู)เป็นการขายแบบส่ง จะทำให้ไม่มี capacity เหลือ ลดความเสี่ยงในการทำงาน"นายจิรายุทธ กล่าว

วานนี้ คณะกรรมการ กสท. อนุมัติการลาออกของนายจิรายุทธ จากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ มีผลวันที่ 15 ธ.ค.54 อนึ่ง นายจิรายุทธ เริ่มงานที่ กสท.ในตำแหน่ง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายการเงินเมื่อปี 49 และในวันที่ 16 ก.ย. 52 ได้รับการแต่งตั้งเป็น กรรมการผู้จัดการใหญ่ โดยอยู่ในตำแหน่ง 2 ปี 2 เดือน

--อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร/ศศิธร โทร.02-2535000 ต่อ 345 อีเมล์: [email protected]--

สุดอึ้ง! ทีโอทีจ้างที่ปรึกษา ผลาญงบไม่รู้กี่ร้อยล้านซื้อกระดาษเช็ดก้น
เศรษฐกิจ - เศรษฐกิจทั่วไป
Saturday, 16 July 2011 18:42

ผู้สื่อข่าวรายงานจากบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ว่า นับตั้งแต่ทีโอที ได้เริ่มดำเนินการโครงการขยายการลงทุนสร้างโครงข่ายโทรศัพท์มือถือ 3 จี บนคลื่นความถี่ 1900 เมกะเฮิรตซ์ เมื่อปี 2552 จนถึงปัจจุบัน ทีโอทีได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาโครงการ 3 รายโดยได้ว่าจ้างบริษัท ซีแอนด์ซี อินเตอร์เนชั่นแนล เวนเจอร์จำกัด (ซีซีไอวี) เป็นที่ปรึกษาการร่างเงื่อนไขการประมูล 3 จี วงเงิน 20 ล้านบาท, จ้างบริษัท บอสตัน คอนซัลตี้ง กรุ๊ป จำกัด (บีซีจี) เป็นที่ปรึกษาทางการตลาด ศึกษากำหนดหลักเกณฑ์การให้เช่าใช้โครงข่าย (เอ็มวีเอ็นโอ) วงเงิน 20 ล้านบาท

ล่าสุด คณะกรรมการ (บอร์ด) ทีโอที ยังอนุมัติหลักการให้ว่าจ้างบริษัทซีซีไอวี เพื่อติดตามการก่อสร้างและติดตั้งอุปกรณ์โครงข่าย 3 จี ให้เป็นไปตามมาตรฐานวงเงิน 70 ล้านบาท และยังว่าจ้างบริษัท ไพร์ม สตรีท จำกัด บริษัทที่ปรึกษาจัดทำกรอบและหลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้ประกอบการเช่าใช้โครงข่าย (เอ็มวีเอ็นโอ) วงเงิน 20-30 ล้านบาท เพิ่มเติมจากเดิมได้ว่าจ้างบริษัทบีซีจี ให้ดำเนินการศึกษาเงื่อนไขการคัดเลือกเอ็มวีเอ็นโอไปแล้วแต่ผลการศึกษายังไม่เป็นที่พอใจ จึงได้ว่าจ้างที่ปรึกษาเพิ่มเติมอีก

นอกจากนี้ทีโอทียังเตรียมว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษากฎหมายแซนด์เลอร์และทองเอก จำกัด เพื่อศึกษาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการเอ็มวีเอ็นโอ ทั้งในส่วนของ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 และประกาศ กสทช.ทุกฉบับ อีกทั้งยังเตรียมจ้างที่ปรึกษาดูแลและบำรุงรักษาโครงข่ายของทีโอทีทั้งหมด ที่คาดว่าจะใช้งบว่าจ้างประมาณ 300 ล้านบาท แต่กลับไม่ได้ใช้รายงานผลการศึกษาที่ได้อย่างเต็มที่.

ทีโอที ดอง MVNO เอกสิทธิ์ ประเดิมทิ้งเก้าอี้บอร์ด
บอร์ดทีโอที โยนเรื่องเอ็มวีเอ็นโอให้ ไพร์ม สตรีท ศึกษาผลกระทบ ความเสี่ยง สรุปภายใน 30 วัน ก่อนทำทีโออาร์เลือกเอ็มวีเอ็นโอ ด้านเอกสิทธิ์ วันสม โบกมือลาเก้าอี้บอร์ดรายแรกหลังโดดร่ม 2 สัปดาห์ติด ขณะที่บอร์ดใช้งบ 6.7 ล้านบาท บินดูโรงงานโนเกีย-อัลคาเทล ที่ฟินแลนด์ ฝรั่งเศสวันนี้...

วันที่ 11 ก.ค. นายประพันธ์ บุณยเกียรติ กรรมการบริหาร หรือ บอร์ด บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) กล่าวภายหลังการประชุมบอร์ดว่า วันนี้ที่ประชุมบอร์ดพิจารณาเพียงวาระเดียว คือ หลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้เช่าใช้โครงข่ายทีโอที หรือ เอ็มวีเอ็นโอ เพื่อให้บริการ 3จี ทั้งผลประโยชน์ขั้นต่ำที่ต้องจ่ายให้ทีโอที การจ่ายค่าธรรมเนียมแรกเข้า และค่าปรับ หากไม่ดำเนินการตามสัญญา ซึ่งเรื่องเอ็มวีเอ็นโอเป็นเรื่องใหม่ และการให้บริการเอ็มวีเอ็นโอทีโอทีได้รับมติจากคณะรัฐมนตรี หรือ ครม.ให้ขายส่งเป็นหลัก ที่ผ่านมาทีโอทีได้ใช้เวลาพิจารณาพอสมควร และวันนี้ยังหาคำตอบไม่ได้ โดยทีโอทีอยู่กับเรื่องโทรศัพท์พื้นฐาน หรือ ฟิกซ์ไลน์ มานาน ซึ่งอีก 2 ปี เรื่องของสัญญาสัมปทานจะหมดแล้ว ดังนั้นจึงตกลงให้บริษัท ไพร์ม สตรีท ที่ปรึกษาไปศึกษาผลกระทบในทุกๆ ด้านภายใน 30 วัน จึงจะเข้าสู่กรอบการทำทีโออาร์เพื่อคัดเลือกเอ็มวีเอ็นโอ

บอร์ดทีโอที กล่าวต่อว่า ผลกระทบที่ให้ที่ปรึกษาไปศึกษา อาทิ ถ้าเข้ามาประมูลโครงข่ายแล้วไม่ทำจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ผลกระทบข้างเคียง ผลกระทบหลัก ความเสี่ยง ซึ่งกรรมการต้องดูให้รอบคอบ โดยที่ปรึกษาต้องไปศึกษาผลกระทบให้รอบด้าน เพราะในการแข่งขันมีผู้แข่งไม่กี่ราย ขณะที่ การให้ที่ปรึกษาไปศึกษาผลกระทบ อาจรื้อโครงสร้างการให้เอ็มวีเอ็นโอเช่าโครงข่ายจาก 40-20-20-10-10 ใหม่หมดก็ได้ เพราะเอ็มวีเอ็นโอเป็นเรื่อง และธุรกเป็นธุรกิจใหม่ ในขณะที่ธุรกิจต่างๆ ของทีโอทีอยู่ในขาลง

ส่วนกระแสข่าวที่ระบุว่า พรรคเพื่อไทย หรือ พท.ให้บอร์ดทีโอทีชะลอการเช่าโครงการเอ็มวีเอ็นโอ นั้น นายประพันธ์ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง เพราะการให้ที่ปรึกษากลับไปศึกษาใหม่ ทำเพื่อทีโอที ซึ่งหลังได้ผลการศึกษาภายใน 30 วันแล้ว จะเข้าสู่การวางกรอบการทำทีโออาร์ในการหาเอ็มวีเอ็นโอ โดยผลการศึกษาของบริษัท บอส ตัน คอนเซาท์ติ้ง กรุ๊ป หรือ บีซีจี ไม่ได้บอกว่าทีโอทีต้องทำอย่างไร นอกจากกำหนดตัวเลขมาให้ว่าสัดส่วนการ เช่าโครงข่ายคือ 40-20-20-10-10 แต่บอร์ดชุดใหม่จะดำเนินการต่อหรือไม่เป็นสิทธิ์ของบอร์ดใหม่

“เมื่อบอร์ดชุดนี้ทำผลการศึกษาแล้ว และบอร์ดใหม่ไม่เอาก็เป็นสิทธิ์ของบอร์ด แต่คิดว่าบอร์ดที่มีคงดูเรื่องผลประโยชน์ของทีโอทีเป็นหลัก โดยคาดการณ์ว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการเปิดให้บริการ ซึ่งกรอบเดิมคือเปิดให้บริการ พ.ย.นี้” บอร์ดทีโอที กล่าว

เอกสิทธิ์ วันสม
ทั้งนี้ ภายหลังแถลงข่าววันนี้ บอร์ดทีโอที และผู้ติดตามรวม 12 คน เดินทางไปต่างประเทศ เพื่อเยี่ยมชมโรงงานผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคม บริษัท โนเกีย-ซีเมนส์ เน็ตเวิร์ค จำกัด ที่ประเทศฟินแลนด์ และโรงงานบริษัท อัลคาเทล ลูเซ่น จำกัด ประเทศฝรั่งเศส ในระหว่างวันที่ 11-20 ก.ค.นี้ โดยใช้งบประมาณ 6.7 ล้านบาท พร้อมงบรับรอง 1 ล้านบาท

สำหรับประเด็นการดูงานนี้ นายประพันธ์ กล่าวว่า ส่วนตัวได้เดินทางไปดูงานด้วย ซึ่งเชื่อว่าการไปดูงานจะเกิดประโยชน์ และถึงมีบอร์ดใหม่เข้ามาบอร์ดเก่าก็คงไม่ได้ทิ้งทีโอทีไปไหนประโยชน์ที่ได้ จากการไปดูงานต่างประเทศก็ต้องเอามาบอกต่อ และได้ต่อว่าสื่อมวลชนบางฉบับที่ลงข่าวการดูงานไปในแง่ลบก่อนหน้านี้ด้วย

นอกจากนี้ประเด็นที่ทีโอทีทำสัญญาโรมมิ่งโครงข่าย 3จี กับโครงข่าย 2จีของบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส โดยให้เอไอเอสใช้งานในความจุ 6 หมื่น-1ล้าน เลขหมายในส่วนของดาต้า ส่วนทีโอทีขอใช้งานด้านเสียงบนโครงข่ายของเอไอเอสรวม 2 แสนเลขหมาย มีระยะเวลาสัญญา 1 ปี โดยได้เริ่มดำเนินงานตามสัญญาแล้วนั้น ซึ่งทำให้ความจุของโครงข่าย 3จีทีโอที ที่สามารถรองรับได้ 7.2 ล้านเลขหมาย ถูกใช้งานไปสูงสุด 1 ล้านเลขหมาย กรณีนี้นายประพันธ์ กล่าวว่า ได้รับทราบประเด็นนี้แล้ว และได้ให้ฝ่ายบริหารไปทำหนังสือชี้แจงมา

วันเดียวกัน นายเอกสิทธิ์ วันสม บอร์ดทีโอที ได้ยื่นหนังสือลาออกจากบอร์ดทีโอทีแล้ว มีผลวันนี้ หลังจากไม่ได้เข้าประชุม 2 ครั้ง โดยระบุสาเหตุว่าไม่สบาย ทำให้ขณะนี้ บอร์ดทีโอที เหลือ 9 คน ได้แก่ นายบุญมาก ศิริเนาวกุล ประธานบอร์ด กรรมการ ได้แก่ นายวิศาล วุฒิศักดิ์ศิลป์ นายสายัณห์ สตางค์มงคล นายปรนนท์ ฐิตะวรรโณ นายประพันธ์ บุณยเกียรติ พลอากาศโทจุลจรูญ แสงงำพาล นายพิษณุโรจน์ พลับรู้การ นายวิบูลย์ทัต สุทันธนกิตติ์ และนายประสิทธิ์ ศิริภากรณ์

ทีโอทีไม่หวั่นการเมืองพลิก โพล่ง!ห่วงรายได้สิ้นสุดสัมปทานปี 56

บอร์ดทีโอทีนัดประชุมสรุป เอ็มวีเอ็นโอ 3จี ใหม่วันที่ 7 ก.ค. ไม่ห่วงปรับแผนใหม่หากการเมืองเปลี่ยนขั้ว ระบุยึดทำงานโปร่งใส ตรวจสอบได้ ยอมรับห่วงโครงสร้างองค์กร หลังรายได้สัมปทานสิ้นสุดปี 2556...

นายประพันธ์ บุณยเกียรติ กรรมการและโฆษกคณะกรรมการบริหาร หรือ บอร์ด บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เปิดเผยภายหลังประชุมคณะกรรมการ 3จี ทีโอที วานนี้ ว่า หลังจากบอร์ดทีโอทีมีมติเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมาให้คัดเลือกผู้เช่าใช้โครงข่าย หรือ เอ็มวีเอ็นโอ จำนวนรายใหญ่ 3 ราย โดยแต่ละรายจะได้สิทธิในการรับความจุของโครงข่าย 3จีของทีโอทีไปขายปลีกต่างกัน โดยรายแรกจะได้สิทธิในสัดส่วน 40% ของโครงข่ายหรือราว 3 ล้านเลขหมาย อีก 2 รายได้สิทธิราว 20% หรือราว 1 ล้านเลขหมาย ตามกรอบผลการศึกษาของบริษัท บอสตัน คอนเซ้าท์ติ้ง กรุ๊ป หรือ บีซีจี ที่ระบุให้ทีโอทีมอบสิทธิให้รายใหญ่ 80% อีก 10% จะให้แก่รายย่อยนำไปขายปลีกตามลำดับที่ได้ยื่นข้อเสนอมา ซึ่งจะไม่กำหนดว่าจะให้สิทธิกี่ราย ที่เหลืออีก 10% ทีโอทีจะขายปลีกเอง คิดเป็น 7.2 แสนเลขหมาย

บอร์ดทีโอที กล่าวต่อว่า การพิจารณาเอ็มวีเอ็นโอวันนี้ ที่ประชุมวันนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปเพราะข้อมูลไม่สมบูรณ์ ดังนั้นจะนัดประชุมพิจารณาในเรื่องดังกล่าวอีกครั้งในวัน 7 ก.ค.นี้ โดยเรื่องเอ็มวีเอ็นโอเป็นมติคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. ที่ให้ทีโอทีทำ 3จีผ่านเอ็มวีเอ็นโอ ขณะเดียวกัน ได้รับแจ้งว่ามีผู้ได้รับใบอนุญาตทำเอ็มวีเอ็นโอเพิ่มอีก 2 ราย ทำให้ขณะนี้ มีผู้ได้รับใบอนุญาตทำเอ็มวีเอ็นโอจาก คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช.แล้ว 23 ราย

สำหรับ กรณีที่หากได้รัฐบาลใหม่แล้วจะต้องเปลี่ยนบอร์ดทีโอทีหรือไม่ และการพิจารณาเรื่องเอ็มวีเอ็นโอจะสะดุดหรือไม่ นายประพันธ์ กล่าวว่า การทำงานของบอร์ดก็ยังคงทำไปอย่างอิสระ เมื่อมีการแต่งตั้งรัฐบาลใหม่ตามมารยาทก็ต้องลาออกไป แต่ถ้ายังทำงานก็ต้องทำให้เสร็จ โดยบอร์ดอยากทำให้เสร็จในชุดนี้ ถ้าบอร์ดทีโอทีใหม่มาแล้วเปลี่ยนหลักเกณฑ์การให้เอ็มวีเอ็นโอก็ช่วยไม่ได้ อีกทั้ง ไม่ได้กังวลหากจะโดนรื้อแผนใหม่ เพราะยึดหลัก การทำงาน 4 ประการ ได้แก่ ชัดเจน โปร่งใส เป็นธรรม และอธิบายได้ นอกจากนี้ ยังยอมรับว่า เป็นห่วงโครงสร้างองค์กรหากสิ้นสุดสัมปทานในปี 2556

“บอร์ด ชุดนี้ทำงานด้วยความโปร่งใสเป็นธรรม หากมีบอร์ดชุดใหม่สามารถนำข้อมูลมาเปิดดูได้ ไม่กลัวว่าใครจะรื้อไม่รื้อการเพื่อดำเนินการใหม่ ซึ่งวันนี้ไม่ห่วงทีโอทีในเรื่องการเมือง แต่ห่วงโครงสร้างองค์กร เพราะสิ้นปี 2556 รายได้จากสัมปทานจะหายไปองค์กรจะปรับตัวทันหรือไม่” นายประพันธ์ กล่าว

"พันธ์เทพ จำรัสโรมรัน" รื้อแผน3จีทีโอทีปูพรมรายได้หมื่นล้าน

เล็งแจกซิม 3จีฟรี เป็นของขวัญก่อนปีใหม่ ก่อนเก็บเงินจริง ก.พ.55 โครงสร้างโดยยุบสายธุรกิจที่ซ้ำซ้อนมารวมกัน ให้สายการบังคับบัญชาไม่วุ่นวาย

การหวนกลับนั่งในทีโอทีของ "พันธ์เทพ จำรัสโรมรัน" ในตำแหน่ง "ประธานบอร์ด" คนใหม่ หลังได้รับแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากกระทรวงการคลังเมื่อวันที่ 2 พ.ย.ที่ผ่านมา อาจไม่ได้สร้างความประหลาดใจสักเท่าไรให้กับคนในอุตสาหกรรมนี้ เพราะรู้ดีว่าชื่อของเขาวนเวียนอยู่กับทีโอที และภาคการเมืองมาตลอดในช่วงที่ผ่านมา

เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เขาเคยได้รับตำแหน่ง ที่ปรึกษาประธานบอร์ดทีโอที ยุคที่ "หมอเลี๊ยบ" สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี" เป็นรมว.ไอซีที "กรุงเทพธุรกิจ" มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษเขา ถึงแนวทางการทำงานในทีโอที ที่มีพนักงานมากถึง 18,000 คน รวมถึงงานใหญ่ การให้บริการ 3จี ที่วันนี้เขาฟันธงแล้วว่า คงจะเปิดให้บริการแบบเชิงพาณิชย์ได้ ก.พ. ปี 55
ปรับแผนให้ลูกค้าทดลอง 3จี ฟรี

นายพันธ์เทพ จำรัสโรมรัน ประธานบอร์ด บมจ.ทีโอที กล่าวถึงประเด็นการให้บริการ 3จี ว่า รัฐบาลชุดที่แล้วบอร์ดเดิมของทีโอทีได้รับอนุมัติจากครม.ทำโครงการ 3จี 1900 เมกะเฮิรตซ์ มูลค่า 15,999 ล้านบาท ต้องขยายโครงข่าย 3จีให้ได้ 5,320 สถานีฐานทั่วประเทศ ซึ่งได้ให้สัญญากับประชาชนว่า จะเปิดให้บริการได้ภายใน 1 ปีหลังเซ็นสัญญา แต่ตอนที่ตัวเองมานั่งในตำแหน่งประธานบอร์ด ระยะเวลาทำงานเพื่อเปิด 3จีให้ทันตามคำสัญญา เหลือเพียง 5 เดือน

"ที่ผ่านมา ยอมรับว่าทีโอทีประสบปัญหาอย่างหนัก ทั้งอยู่ในช่วงสูญญากาศ การทำงานของคนทีโอทีเอง ภัยธรรมชาติ ส่งผลให้เราไม่สามารถติดตั้งโครงข่าย 3จีได้ทันตามแผนงาน เกิดความล่าช้า เลยต้องปรับแผนใหม่ทั้งหมด"

ทั้งนี้ ตามทีโออาร์ที่เขียนไว้กับผู้รับเหมา คือ ในเดือนพ.ย.ทีโอที ต้องตั้งสถานีฐานให้ได้ 3,000 แห่ง คลุม กทม.และปริมณฑล แต่จากสถานการณ์ที่ไม่เป็นใจ ทีโอทีจึงมีสถานีฐานเพียง 1,000 สถานีฐานเท่านั้น ซึ่งหากทีโอทียังดันทุรังเปิด 3จี ที่จะเป็นเส้นเลือดใหม่เป็นแหล่งรายได้ในอนาคต โดยไร้ประสิทธิภาพ ก็เท่ากับเป็นการทำร้ายองค์กรในทางอ้อม ดังนั้น ช่วงที่ยังไม่พร้อม ทีโอทีควรเลิกคิดเปิดบริการเชิงพาณิชย์ และหันมาทำตลาดเชิงทดลอง ให้ประชาชนได้ทดสอบสินค้าก่อนเปิดบริการอย่างเต็มรูปแบบในวันที่ 24 ก.พ.2555 (วันเกิดของทีโอที)

"ยอมรับว่า ตอนนี้เราขยายโครงข่ายได้ไม่ทันตามกำหนดเดิม การเปิด3จี เราจะเตรียมให้บริการเดือน ธ.ค.แต่เป็นการทดลอง มีการแจกซิมฟรีให้ลูกค้า ในลิมิตมูลค่าที่ตั้งไว้ เพราะเป็นการสร้างแบรนด์ และให้ลูกค้าฟีดแบ็คกลับมา ก่อนเก็บเงินและให้บริการครบวงจรกับสถานีฐานทั้ง 5,320 แห่งในเดือนก.พ.ปีหน้า"

เอ็มวีเอ็นโอต้องกำหนดรายได้ขั้นต่ำ


นายพันธ์เทพ กล่าวว่า มาตรฐาน 3จีของทีโอที ย่านความถี่ 1900 นี้ เป็นคลื่นสากลมีอุปกรณ์รองรับหลากหลาย ไม่มีการดัดแปลงคลื่น ความถี่เดิม ถือว่าได้เปรียบคู่แข่ง ทีโอทีควรสร้างโอกาสจากทรัพย์สินที่มีค่าเหล่านี้ดึงขึ้นมาใช้งานหารายได้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

"ทีโอทีต้องปฎิบัติตามพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่กำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุ โทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 ที่กำหนดให้ต้องส่งรายได้จากสัญญาสัมปทานเข้ารัฐโดยตรงในปี 2557 เป็นต้นไป ทีโอทีจึงต้องมุ่งธุรกิจ 3จี เพื่อให้เป็นรายได้หลักหล่อเลี้ยงองค์กร"

การทำตลาดของ 3จีทีโอทีจากนี้ ต้องเปิดกว้างให้เอกชนที่สนใจเข้ามาทำตลาด ในรูปแบบ "เอ็มวีเอ็นโอ" ได้ไม่จำกัด ทีโอทีควรเก็บความจุโครงข่าย (คาปาซิตี้) ไว้ทำตลาดเองไม่ควรเกิน 10-15% และเป็นผู้ให้บริการขายส่งเป็นหลัก ในส่วนของเอ็มวีเอ็นโอรายเดิม ทั้ง สามารถ ไอ-โมบาย, ล็อกซ์เลย์, 365 คอมมูนิเคชั่น เอ็มคอนเซ้าท์ และไออีซี ก็ได้สิทธิ์ทำตลาดต่อไปตามเอ็มโอยูที่ทำกับทีโอที สัญญากับเอ็มวีเอ็นโอที่กำลังร่างขึ้นใหม่ ต้องกำหนดอัตรารายได้ขั้นต่ำ ให้กับทีโอทีทุกราย

"3จี ถ้าจะให้บริการได้ดีเทียบเท่าเอกชน ต้องมีสถานีฐานอย่างต่ำ 18,000-20,000 แห่งทั่วประเทศ และหากทำได้ตามแผนตั้งแต่ในปี 2557 เป็นต้นไป ผลประกอบการของเราจะมีกำไรเฉลี่ยปีละหมื่นล้านบาท ไม่รวมรายได้จากสัมปทาน ซึ่งแน่นอนว่า บริการที่ทำเงินคือ 3จี"

ปรับโครงสร้างยุบรองฯเหลือ6คน


นายพันธ์เทพ กล่าวว่า ทีโอทีต้องกำหนดยุทธศาสตร์องค์กรให้เป็นภาพรวม เน้นทำในสิ่งที่ทีโอทีถนัด สามารถสร้างรายได้ต่อยอดได้ระยะยาว ไม่ใช่การลงสนามสู้กับคู่แข่งที่มีความเชี่ยวชาญ

"ทีโอทีจากนี้ ต้องชัดเจน รู้ว่าเราเก่งอะไร เชี่ยวชาญอะไร อย่าไปทำในสิ่งที่ทีโอทีไม่เก่ง ทีโอทีควรเป็นผู้ให้บริการโครงข่ายโทรคมที่ดีที่สุด ใหญ่ที่สุด ไม่ใช่เป็นแค่เทเลโฟน โอเปอเรเตอร์"
เขา ขยายความว่า ทีโอทีมีลักษณะเป็นเหมือน "Wednesday Child" ไม่ไปทางไหนทางสักทาง การบริหารงานช่วง 10 ปีที่ผ่านมาก็ ก้ำๆกึ่งๆ ในขาที่เป็นรัฐวิสาหกิจ เป็นหน่วยงานราชการ มีรัฐบาลเป็นเจ้าของ อีกขาก็เป็นบริษัทที่จดทะเบียนเป็นมหาชน อยู่ใต้กฎระเบียบ การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ (กลต.)

ดังนั้น หากพิจารณาส่วนแผนงานสายการบังคับบัญชาของทีโอที จะมีลักษณะขี่กันอยู่หลายลำดับ ส่งผลให้เกิด "คนล้นงาน" หากจะสั่งงานในสายธุรกิจโทรศัพท์มือถือ ยังไม่รู้ว่าจะสั่งตรงกับใคร เพราะทีโอทีมีทั้งสายงานธุรกิจ 3จี และสายงานโทรศัพท์ไร้สาย คำถาม คือ สายงาน 2 ธุรกิจนี้แตกต่างกันตรงไหน

"ทีโอทียังมีตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่มากถึง 12 คน มีผู้ช่วยรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ มากกว่า 20 ตำแหน่ง บอกตรงๆ ว่าไม่เห็นประโยชน์จากการมีตำแหน่งมากมาย เพราะผลลัพธ์ที่ออกมา คือ งานไม่เดิน ช่วงปรับโครงสร้างอีก 1-2 เดือนนี้ ตำแหน่งรองฯ น่าจะมีเพียง 6-7 คนเท่านั้น ยุบสายธุรกิจที่ซ้ำซ้อนมารวมกัน ทำให้สายการบังคับบัญชาไม่วุ่นวาย องค์กรจะได้กระชับขึ้น"


เล็งตั้งอคาเดมีผลิตคอนเท้นท์รับ 3จี

นายพันธ์เทพ ยังกล่าวด้วยว่า ทีโอที มีแผนที่จะสร้างอคาเดมี รวบรวมเด็กรุ่นใหม่ๆ ที่มีความรู้ความสามารถพัฒนาแอพพลิเคชั่นต่างๆ มาร่วมผลิตคอนเท้นท์ที่ใช้ในสมาร์ทโฟน หรือในอุปกรณ์ไร้สายบนโครงข่าย 3จี โดยใช้ทรัพยากรของทีโอทีที่มีอยู่ โดยแผนนี้อาจดำเนินการไปพร้อมๆ กับการหนุนให้เกิดเครือข่ายไวไฟ ให้ครอบคลุมพื้นที่ให้ได้มากสุด โดยเฉพาะตามสถานที่อย่าง วัด โรงเรียน สถานศึกษาต่างๆ

"การเปิดให้คนรุ่นใหม่ เข้ามาร่วมพัฒนาแอพพลิเคชั่น หรือคอนเท้นท์ เป็นโอกาสเชื่อมไปสู่ภาคเศรษฐกิจ เกิดการสร้างงาน เราอาจไม่มี สตีฟ จ็อบส์ เมืองไทย แต่ถ้าทีโอทีทำแบบนี้ ก็อาจมี จ็อบส์ เมืองไทยเกิดขึ้นได้ เพียงแต่ทีโอที ต้องนำสิ่งที่ตัวเองมี แต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์นำออกมาใช้ ทีโอทีต้องเป็นอินฟราสทรัคเจอร์ของชาติ ไม่ใช่เป็นแค่ของเอกชน" นายพันธ์เทพ กล่าว


ที่มา >> http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... นล้าน.html

กสทช.ลั่นเดินหน้าภารกิจก่อนประมูล 3Gกลางปี 55/DTAC ดันแก้ประกาศครอบงำฯ
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2554 15:34:08 น.


ประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ระบุว่า ภารกิจสำคัญเร่งด่วนของ กสทช.ในขณะนี้ คือการจัดทำแผนแม่บทบริหารคลื่นความถี่ ควบคู่ไปกับแผนแม่บทกิจการกระจายเสียง และแผนแม่บทโทรคมนาคม โดยขณะนี้แผนแม่บทบริหารคลื่นความถี่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการแล้ว และจะนำไปสู่การทำประชาพิจารณ์ขั้นต่อไป คาดว่าการทำประชาพิจารณ์ของแต่ละแผนจะแล้วเสร็จในช่วงเดือนมี.ค.55 และน่าจะเปิดประมูลใบอนุญาต 3G ในช่วงกลางปี 55

ในวันนี้ คณะกรรมการ กสทช.จัดการเสวนาเรื่อง"การกำหนดข้อห้ามการกระทำที่มีลักษณะเป็นการครอบงำกิจการโดยคนต่างด้าว พ.ศ.2554" ซึ่ง พล.อ.อ.ธเรศ ปุณศรี ประธานคณะกรรมการ กสทช.เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยความคิดเห็นกันระหว่างนักวิชาการ ผู้ประกอบ รวมถึงภาคประชาชน โดยกสทช.จะนำความคิดเห็นทั้งหมดไปทบทวนและแก้ไขในจุดที่ยังมีความบกพร่อง ซึ่งทางกสทช.จะเร่งสรุปให้เสร็จก่อนการเปิดประมูลใบอนุญาต 3G

ด้านนายดามพ์ สุคนธทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) เปิดเผยว่า บริษัทได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลางกรณีประกาศคณะกรรมการ กสทช.ฉบับดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่ามีข้อพร่องหลายจุด อาทิ 1.ขัดต่อรัฐธรรมนูญไทย 2.ขัดกับกฎหมายฉบับอื่นที่มีอยู่แล้ว 3.กังวลว่าจะมีปัญหาในทางปฏิบัติ ฯลฯ

ประกอบกับ ช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้รับการติดต่อสอบถามจากผู้ถือหุ้นมาโดยตลอดถึงผลกระทบของประกาศดังกล่าวที่จะมีต่อผู้ถือหุ้น ทางบริษัทจึงต้องการสร้างความชัดเจนในเรื่องนี้

"เราก็มีความเห็นใจ กสทช.เพราะประกาศออกมาก่อนที่จะได้คณะกรรมการ กสทช.ชุดนี้ถึง 1 เดือน เราก็ไม่เข้าใจและคิดว่าทาง กสทช.ก็คงไม่น่าจะเข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องรีบประกาศออกมาขนาดนี้ ก็อยากรู้ว่าเจตนาที่แท้จริงของการออกประกาศนี้คืออะไรกันแน่ แต่เราคิดว่าไม่น่าจะใช่เรื่องความมั่นคงของชาติแน่ๆ"นายดามพ์ กล่าว

นายดามพ์ กล่าวในการสัมมนาของ กสทช.ในวันนี้ว่า กสทช.ควรจะพิจารณาให้ดีว่าประกาศดังกล่าวมีเจตนาที่ดีจริงหรือไม่ เป็นประโยชน์ต่อความมั่นคงของประเทศตามที่ได้ระบุไว้หรือไม่ ช่วยส่งเสริมธุรกิจโทรคมนาคมและประชาชนได้มากน้อยเพียงใด โดยมองว่าสิ่งที่น่ากลัวของประกาศฉบับนี้คือเป็นเครื่องมือที่จะสร้างความหวาดระแวงระหว่างกัน สร้างความลังเลให้กับนักลงทุนทั้งในประเทศและนักลงทุนต่างประเทศ และไม่เป็นผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและประเทศชาติ

"ที่ผ่านมาหลายประเทศก็มีการออกกฎหมายเพื่อที่จะพยายามควบคุมธุรกิจโทรคมนาคม แต่ปัจจุบันก็ต่างพยายามที่จะลดเงื่อนไขลงเพื่อให้ธุรกิจมีความเสรีมากขึ้น....ก็อยากถามว่า 50 บริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์อยู่ใน SET 50 มีบริษัทไหนบ้างที่ไม่มีผู้ถือหุ้นเป็นต่างชาติ การออกประกาศนี้ต้องการจะส่งสัญญาณอะไรต่อนักลงทุนต่างชาติกันแน่"นายดามพ์ กล่าว


--อินโฟเควสท์ โดย อาชวินท์ สุกสี/ศศิธร โทร.02-2535000 ต่อ 345 อีเมล์: [email protected]--

อนุดิษฐ์สั่งTOTชี้แจงสาเหตุยื้อเปิดบริการ3Gลากยาวไปกลางปีหน้า
ข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์แนวหน้า -- จันทร์ที่ 5 ธันวาคม 2554 01:48:44 น.

รมว.ไอซีที ขอฟังเหตุผลจาก ผู้บริหาร "ทีโอที" ขอเลื่อนเปิดให้ บริการมือถือระบบ 3Gทั่วประเทศ ออกไปอีก 2-3 เดือน อ้างเหตุ น้ำท่วม ทำให้ผู้รับเหมาวางโครงข่าย อุปกรณ์ไม่ได้ เผยไม่อยากให้ล่าช้าออกไปอีก แต่หากเหตุผลฟังขึ้นก็คงต้องยอม

น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศ และการ สื่อสาร (ไอซีที) กล่าวว่า ทางกระทรวงยังไม่ได้รับรายงานใดๆ จากทาง บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) หรือ TOT ว่าอาจจะมี การเลื่อนเปิดให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3G ทั่วประเทศ ออกไปอีก 2-3 เดือน โดยจะขอดูเหตุผลก่อนว่า ความล่าช้า ในการวางโครงข่ายล่าช้ามาจากน้ำท่วมนั้น จังหวัดใดที่โดนน้ำท่วม และมีกี่จังหวัด มีผลกระทบมากน้อยเพียงใดต่อการขยายสถานีฐาน และอุปกรณ์ ในส่วนของ ไอซีที แล้วต้องการผลักดันให้เกิด 3G ทีโอที โดยเร็ว ไม่อยากให้ล่าช้าออกไปอีก แต่หากเหตุผลฟังขึ้นก็คงต้องยอมให้เลื่อนออกไปตามทีโอที แจ้งออกมา

"ก่อนหน้านี้บอร์ด ทีโอที ชุดใหม่เคยรับปากว่าจะเร่งดำเนินการเปิดบริการ 3G ทีโอที ทั่วประเทศ โดยเร็วที่สุด หรือตามกำหนดเดิมที่เคยตั้งเป้าไว้ แต่หากต้องเลื่อนการเปิดออกไปอีก ผมคงต้องเข้าไปดูข้อเท็จจริงว่าเกิดอะไรขึ้นก่อน" รมว.ไอซีที กล่าว

มีรายงานข่าวจากทีโอที แจ้งว่า สาเหตุที่ทำให้การเปิด 3G ทีโอที ล่าช้าออกไปนั้นเนื่องจากกิจการร่วมค้า เอสแอล คอนซอร์เตียม (บริษัทสามารถ คอร์ปอเรชั่น เป็นแกนนำ) ขอใหมีการเลื่อนการขยายสถานีฐาน หรือจากเดิม จะสามารถขยายได้ 4,700 สถานีฐาน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ซึ่งเป็นเฟสแรก ไปเป็นภายในเดือนพฤษภาคม 2555 โดยจะครอบคลุมทั่วประเทศ 5,320 สถานีฐานโดยรวมกับสถานี ฐานเดิม (ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล) ด้วย ซึ่งจะเกิด ความล่าช้าไป 2-3 เดือน โดยกลุ่มกิจการร่วมค้าเอสแอล คอนซอร์เตียม มีปัญหาในการเข้าพื้นที่

สำหรับแผนเปิดให้บริการ 3G ตามสัญญา และมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) นั้น มีกำหนดเปิดบริการ 3G ให้ได้ทั้งใน กทม. และ 18 จังหวัด ในเดือนพฤษภาคม 2555

ดัน 3จี เต็มตัว ควอลคอมม์ มั่นใจไปโลด [ โพสต์ทูเดย์, 7 ธ.ค. 54 ]

ควอลคอมม์ และ กสทช. เร่งผลักดัน 3จี เกิดในไทย เชื่อได้ประโยชน์มหาศาลพร้อมหารือ 3 ค่าย
มือถือท้องถิ่นผลิตมือถือราคาต่ำ

นายจอห์น สเตฟาแนค ประธานบริษัท ควอลคอมม์ เอเซียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก เปิดเผยว่า
การดำเนินการของควอลคอมม์ในประเทศไทยยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเข้าหารือกับคณะ
กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เพื่อผลักดัน
ให้เกิดการให้บริการ 3จี ในประเทศไทยโดยเร็วที่สุด ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับการพัฒนาและการลงทุนใน
ประเทศ

ปลายปี'55 เปิดประมูล 3 จี 2.1 กิกฯ [ โพสต์ทูเดย์, 8 ธ.ค. 54 ]

กทค.หวังปลายปี 2555 เปิดประมูลใบอนุญาต 3จี 2.1 กิกะเฮิรตซ์ หลังแผนแม่บทความถี่เสร็จ

นายสุทธิพร ทวีชัยการ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม
แห่งชาติ(กสทช.) ในฐานะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) เปิดเผยว่า ในปี 2555 จะมุ่งขับเคลื่อน
ภารกิจและกิจกรรมของ กสทช. ขณะที่ กทค. จะเน้นเรื่องการเปิดประมูลใบอนุญาต (ไลเซนส์) 3จี บน
คลื่นความถี่ 2.1 กิกะเฮิรตซ์ อย่างโปร่งใส โดยคาดว่าจะเห็นในช่วงปลายปี 2555 อย่างแน่นอน ซึ่งใน
ตอนนี้กำลังเตรียมการในการประมูลคลื่นดังกล่าวอยู่ โดยต้องให้แผนแม่บทโทรคมนาคมเสร็จก่อนเป็นอันดับ
แรก ซึ่งในการประชุมบอร์ดสัปดาห์หน้าจะนำแผนแม่บทดังกล่าวให้ที่ประชุมรับทราบ และเดือน ม.ค.2555
จะเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ หลังรับฟังความคิดเห็นแล้วจะนำไปปรับปรุงแก้ไขต่อไป

DTAC เปิดตัวแอร์การ์ดที่ความเร็วสูงสุด 42Mbps รองรับเทคโนโลยี 3G
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 6 ธันวาคม 2554 16:07:11 น.

บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) เปิดตัวแอร์การ์ดรุ่นใหม่พร้อมแพ็กเก็จการใช้งานฟรี เพื่อรองรับการใช้งาน dtac 3G เร็วที่สุดของเมืองไทย dtac aircard 3G speedy 42 Mbps รองรับการดาวน์โหลดข้อมูลได้สูงสุดถึง 42Mbps พร้อมนำเสนอแอร์การ์ด ที่มาพร้อมแพ็กเก็จการใช้งานฟรีที่ให้ความคุ้มค่าอีก 2 รุ่น dtac aircard 3G speedy 21Mbps และ dtac aircard 3G speedy 7.2Mbps ให้เป็นทางเลือกกับลูกค้า โดยจะเริ่มทยอยวางจำหน่ายเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมารที่สำนักงานบริการลูกค้า ดีแทคเซ็นเตอร์และร้านค้าอุปกรณ์ไอทีทั่วประเทศ

นอกจากนี้ ดีแทคแอร์การ์ดใหม่ล่าสุดทั้ง 3 รุ่น จัดโปรโมชั่นพิเศษ โดยในกล่องจะประกอบด้วย aircard ที่มาพร้อมซิมแบบรายเดือน หรือแบบเติมเงิน และแพ็กเกจแบบคิดตามการใช้งานจริงที่ให้ลูกค้าได้ใช้งาน dtac 3G ไม่จำกัดฟรี 1 เดือนแรก หรือหากลูกค้าเลือกแพ็กเก็จที่คิดตามชั่วโมง ก็จะมีชั่วโมงให้ใช้ฟรี 50 ชั่วโมงต่อเดือน เป็นเวลา 2 เดือน ในช่วงแรก โดยแอร์การ์ดแต่ละรุ่นมีจุดเด่นที่แตกต่างกันเหมาะสำหรับการใช้งานที่หลากหลายของลูกค้า

ทั้งนี้ dtac aircard 3G speedy 42 Mbps เป็นแอร์การ์ดที่มาพร้อมกับแพ็กเกจรายแรกของเมืองไทยที่สามารถรองรับการดาวน์โหลดข้อมูลสูงสุดถึง 42Mbps ซึ่งเป็นความเร็วสูงสุดในเมืองไทยขณะนี้ พร้อม Google Chrome ที่จะช่วยให้ลูกค้าเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเร็ว ง่ายและปลอดภัยยิ่งขึ้น

ส่วน dtac aircard 3G speedy 21 Mbps พิเศษด้วยฟังก์ชั่น Fast-Link ที่ช่วยทำให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้เร็วและง่ายมากยิ่งขึ้น ลูกค้าสามารถใช้งานได้สะดวกเพียงเสียบแอร์การ์ดเข้ากับคอมพิวเตอร์ ระบบจะเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตให้อัตโนมัติ ทำให้ลูกค้าสามารถเข้าเล่นเน็ตผ่านบราวซ์เซอร์ได้ทันที โดยไม่ต้องลงโปรแกรมหรือกดปุ่มใดๆ และ dtac aircard 3G speedy 7.2 Mbps แอร์การ์ดรุ่นยอดนิยม ใช้งานง่าย ราคาคุ้มค่าที่สุดในตลาด

"ทีโอที" เร่งโครงข่าย 3 จีเต็มสูบ ตั้งเป้า 2 ปีครอบคลุมทั่วประเทศ [ ไทยรัฐ, 15 ธ.ค. 54 ]

นายพันธ์เทพ จำรัสโรมรัน ประธานกรรมการบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้มีการ
หารือร่วมกันระหว่างบอร์ดและผู้บริหารเกี่ยวกับการลงทุนขยายโครงข่ายเพื่อให้บริการโทรศัพท์มือถือ 3 จี
ในเบื้องต้นมีความเห็นว่า ทีโอทีควรจะลงทุนขยายโครงข่ายให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อการให้บริการ 3 จี
มีประสิทธิภาพ อยู่ ณ ที่ใด ก็สามารถใช้โทรศัพท์มือถือ 3 จี ติดต่อสื่อสารได้ทั้งภาพและเสียง เพราะฉะนั้น
ทีโอทีจะต้องมีสถานีฐานไม่ต่ำกว่า 18,000-20,000 แห่งภายใน 2 ปีข้างหน้า

TOTเล็งลงทุนโครงข่ายเฟส3Gเฟสใหม่ ขยายเพิ่ม1.5หมื่นสถานีฐาน ตีปิ๊ปดึงเอกชนติดตั้งในปี'56
ข่าวอสังหาริมทรัพย์ หนังสือพิมพ์แนวหน้า -- พฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2554 14:59:29 น.

นายพันธ์เทพ จำรัสโรมรัน ประธานกรรมการ(บอร์ด) บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)หรือTOT เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนขยายจำนวนสถานีฐานโทรศัทพ์เคลื่อนที่ระบบ 3 จี ทั่วประเทศ และเป็นการลงทุนเฟสใหม่ ประมาณ 13,000-15,000 สถานีฐาน เมื่อรวมกับโครงข่ายเดิม ที่มีอยู่ประมาณ7,000 สถานี จะทำให้ ทีโอที มีโครงข่ายรวมทั้งสิ้น 20,000 สถานีฐาน คาดว่าเฟสใหม่จะเริ่มดำเนินการตามแผน 2 ปี โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2556-2557 ส่วนมูลค่าโครงการยังไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้

สำหรับความคืบหน้าในการติดตั้งโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3 จี ในเฟสแรก พื้นที่ 18 จังหวัด คาดว่าจะติดตั้งแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการทั่วประเทศตามเป้าหมายเดิมคือในเดือนพฤษภาคมปี2555 อย่างแน่นอน ส่วนการทำตลาด ทีโอที ตั้งเป้าสร้างฐานลูกค้าให้รู้จักแบรนด์ "ทีโอที 3 จี" และให้ลูกค้ามีประสบการณ์การใช้งานด้านข้อมูล (ดาต้า)ที่มีความเร็วในพื้นที่กรุงเทพฯ สูงสุด 42 เมกะบิต และในพื้นที่ภูมิภาคด้วยความเร็วสูงสุด 21 เมกะบิต ด้วยการแจกซิมฟรีนอกจากนี้จะดึงเอกชนร่วมให้บริการในลักษณะให้เอกชนเช่าใช้โครงข่าย (เอ็มวีเอ็นโอ) ด้วย

สำหรับพื้นที่ 18 จังหวัด ประกอบด้วย 1.กรุงเทพฯ และปริมณฑล 2. สมุทรปราการ 3.นนทบุรี 4. ปทุมธานี 5.ระยอง 6.ชลบุรี 7.สงขลา 8.สุราษฎร์ธานี 9.ภูเก็ต 10.นครราชสีมา 11.อุบลราชธานี 12.อุดรธานี 13.ขอนแก่น 14.หนองคาย 15.เชียงใหม่ 16.เชียงราย 17.พิษณุโลก และ18.ลำปาง

ในส่วนของการเปิดให้เอกชนทำการตลาดในลักษณะเช่าใช้โครงการ หรือในลักษณะเอ็มวีเอ็นโอนั้น คาดว่าภายในสิ้นเดือนธันวาคมนี้จะได้ข้อสรุป ในเบื้องต้นเงื่อนไขด้านคุณสมบัติของ เอ็มวีเอ็นโอ ไม่ได้จำกัด ว่าจะต้องเป็นรายเล็กหรือใหญ่ โดยมีอายุสัญญาตามระยะเวลาสัญญาสัมปทานที่ได้จาก คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. จำนวน 14 ปี

นายพันธ์เทพ ยังเปิดเผยมติที่ประชุมบอร์ดทีโอที เมื่อวันที่13ธันวาคมว่า ที่ประชุมมีมติอนุมัติในหลักการการใช้โครงข่ายร่วม (โคไซต์) ระหว่าง ทีโอที กับ 3 ผู้ให้บริการโทรศัทพ์เคลื่อนที่ 3 ราย ได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส บริษัท ทรูมูฟ จำกัด และ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) โดยจะใช้ เอไอเอส เป็นหลักในการใช้โครงข่ายร่วม

คอลัมน์: โฟกัสหุ้น: ปี 2555 กลุ่มสื่อสารมาแน่
ข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- เสาร์ที่ 17 ธันวาคม 2554 00:00:37 น.

กลุ่มหุ้นที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะโดดเด่นอย่างมากในปี 2555 นอกจากกลุ่มวัสดุก่อสร้างและกลุ่มที่เกี่ยวกับการบริโภคในประเทศแล้ว หุ้นในกลุ่มสื่อสารยังถือว่าน่าสนใจอยู่มาก เนื่องจากนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าการประมูล 3G ที่จะเกิดขึ้น จะช่วยหนุนหุ้นในกลุ่มสื่อสารให้สดใสได้

ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส (ASP) คาดว่า แผนแม่บทโทรคมนาคมจะเสร็จสมบูรณ์ช่วงเดือน มี.ค.เม.ย.2555 ทั้งนี้ ในระหว่างรอให้แผนแม่บทฯ เห็นชอบนั้น น่าจะมีการนำแผนการประมูลคลื่น 3G เดิม ที่รักษาการคณะกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. จัดทำไว้มาปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้การดำเนินงานเป็นธรรมและโปร่งใส


ทั้งนี้ แผนการประมูลใบอนุญาต 3G บนย่านความถี่ 2.1 GHz ที่ กสทช. คาดไว้ ยังอยู่ในความหมายของฝ่ายวิจัย คือช้ากว่าที่ฝ่ายวิจัยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้เพียงไตรมาสเดียว ยังถือเป็นประเด็นบวกต่อกลุ่มผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ส่งผลให้ฝ่ายวิจัยคงน้ำหนักกลุ่มมากกว่าตลาด

โดยเลือก บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) เป็น Top Pick อันดับแรก เพราะมีแนวโน้มผลประกอบการเติบโตต่อเนื่องถึงปีหน้า ตามการใช้งานบริการ Non-Voice ที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นลำดับ และคาดจะเป็นหนึ่งในผู้ชนะการประมูลใบอนุญาตใหม่ 3G ขณะที่คู่แข่งอย่าง บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) และ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) ซึ่งมีต้นทุนส่วนแบ่งรายได้ที่แบ่งให้ กสท โทรคมนาคม เพิ่มขึ้นจาก 25% เป็น 30% ของรายได้ ตั้งแต่ 16 ก.ย.2554 เป็นต้นไป เป็นปัจจัยลบกดดันผลประกอบการปี 2555

สำหรับหุ้น Top Pick รองลงมา คือ บมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น (INTUCH) เนื่องจากได้รับประโยชน์จากการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน ADVANC ถึง 42.5% และคาดจะจ่ายเงินปันผลพิเศษราว 2 บาทต่อหุ้น หลังมีกำไรจากการขายหุ้น ADVANC ราว 2% ให้กลุ่ม Singtel ภายในสิ้นปีนี้

ด้านฝ่ายวิจัย บล.ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) ประเมินว่า ตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ยังโตต่อเนื่อง โดยคาดว่าจำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รวมสิ้นปี 2554 ที่คาดว่าอยู่ที่ระดับ 74 ล้านราย โดยส่วนใหญ่ ประมาณ 90% เป็นผู้ใช้บริการประเภทบัตรเติมเงิน ที่เหลือเป็นประเภทรายเดือน และ ADVANC ยังครองส่วนแบ่งการตลาดมากสุดที่ 44.5% ตามมาด้วย DTAC 31.0% และ TRUEMOVE 24.5% แต่หากคิดส่วนแบ่งการตลาดใน ด้านรายได้ ADVANC จะมีสัดส่วนประมาณ 54% DTAC 33% และ TRUEMOVE 13% จากรายได้ต่อเลขหมายเฉลี่ยของ ADVANC ที่มากสุด ขณะที่ของ TRUE ต่ำสุด

ทั้งนี้ รายได้จากบริการด้าน Non-voice อยู่ในแนวโน้มเพิ่มต่อไป โดยคาดปี 2554 โตระดับ 20-30% และปี 2555 โตต่อในระดับ 10-15% จากกระแสสังคมออนไลน์และการใช้งานอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น ทั้งนี้สัดส่วนรายได้จาก Non-Voice service เพิ่มเรื่อยๆ จากสิ้นปี 2555 ที่ประมาณ 15-18% ปัจจุบันเพิ่มเป็นระดับ 17-23% ช่วยเสริมรายได้จากบริการด้านเสียง ที่มีแนวโน้มโตไม่มาก และรายได้ค่าบริการรวม (ไม่รวม IC) ของผู้ประกอบการ โดยคาดว่าทั้งปี 2555 โตระดับ 5-6% จากปีก่อนที่โต 8-9%

อย่างไรก็ตาม ผู้ให้บริการหลักยังคงเป็นเอกชน 3 ราย คือ ADVANC DTAC และ TRUEMOVE แม้ตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2554 มีการเปิดให้บริหาร 3G บนคลื่นเดิม แต่การแข่งขันด้านราคายังไม่รุนแรงนัก ผู้ให้บริการยังคงมุ่งเน้นด้านคุณภาพของบริการและปรับรูปแบบการทำโปรโมชั่นเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดของตนเองเป็นหลัก

ด่วน...โรงงาน iPad 2 ระเบิดส่งผลคนงานบาดเจ็บ 61 ราย, คาดกระทบปริมาณสินค้า iPad 2 ทั่วโลก!
บทความโดย: ekk TechXcite
ที่มา: reuter



iPad 2 อัพเดทข่าวล่าสุดกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อโรงงานผลิต iPad 2 ในประเทศจีนเกิดเหตุระเบิดขึ้นที่นครเซี่ยงไฮ้ในประเทศจีน ส่งผลให้มีคนงานได้รับบาดเจ็บจากเหตุระเบิดดังกล่าวถึง 61 ราย รวมถึงเครื่องจักรในการผลิต iPad 2 ที่ได้รับความเสียหายไปพอสมควรด้วย

ทั้งนี้สำนักข่าว Reuters รายงานว่าโรงงานแห่งนี้เป็นของบริษัท Ri-Teng Computer Accessory Co. ที่รับหน้าที่เป็นโรงงานผลิตกรอบโลหะตัวเครื่อง iPad 2 ให้กับบริษัท Pegatron ผู้ผลิต iPad 2 ให้กับ Apple อีกทอดหนึ่งซึ่งยังคงอยู่ในระหว่างการเคลียร์พื้นที่และคำนวณความเสียหาย

งานนี้คาดว่ากว่าจะกลับมาเดินเครื่องผลิตบอดี้ iPad 2 ได้อีกครั้งคงต้องใช้เวลากันพอสมควรทีเดียวซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลกระทบกับปริมาณ iPad 2 ที่จะมีวางจำหน่ายในท้องตลาดนับจากนี้ไปอยู่ไม่น้อยเลยละ

อย่างไรก็ตามล่าสุดทางด้านของ Apple ได้ส่งสาส์นแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้นดังกล่าวแล้วและยืนยันว่าจะส่งทีมงานเข้ามาตรวจสอบสาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้ต่อไป ซึ่งเหตุการณ์ทำนองนี้ไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นกับ Apple แต่อย่างใดเพราะเมื่อปีที่แล้วโรงงาน Foxconn เอง (ที่ก็รับหน้าที่ประกอบ iPad 2 ด้วยเช่นเดียวกัน) ก็เคยเกิดเหตุระเบิดไม่คาดฝันซึ่งสร้างความเสียหายมากกว่าครั้งนี้อยู่เยอะทีเดียวเพราะมีผู้เสียชีวิตไปถึง 3 รายเลยทีเดียว

กสทฯ เตรียมเปิด "มาย 3 จี" 10 ม.ค.นี้ ปีแรกลูกค้า 6 แสนราย-ของบ 12 หมื่นล้านเพิ่มสถานี [ ข่าวหุ้น, 27 ธ.ค. 54 ]

ลุ้นกสทฯ เปิด 3 จี ภายใต้ชื่อ "มาย" เปิดอย่างเป็นทางการ 10 ม.ค. 55 นี้ หลังเลื่อนมาเกือบ
5 เดือน อ้างติดน้ำท่วม ตั้งเป้าสร้างลูกค้า 6 แสนรายได้ภายในสิ้นปี 2555 จากยอดลูกค้าปัจจุบันแค่ 2
พันราย เล็งเสนอของบ "อนุดิษฐ์" เพื่อเพิ่มสถานีฐาน1.2 หมื่นล้านบาท หลังจากถูกโยนกลับมาทบทวนแผน
ใหม่

ทรูมูฟ เอช ปลื้มความสำเร็จ ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม Wireless Broadband Alliance ครั้งที่ 20
ข่าวเทคโนโลยี ThaiPR.net -- จันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2554 10:45:19 น.

ทรูมูฟ เอช ปลื้มความสำเร็จ ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมWireless Broadband Alliance ครั้งที่ 20ผู้นำบริการ WiFi ทั่วโลกเข้าร่วมงานกันพร้อมหน้า

ทรูมูฟ เอช ผู้นำบริการ 3G ตัวจริง บนเครือข่ายไร้สายใหม่ 3G+ที่แรงกว่า เร็วกว่า และครอบคลุมพื้นที่มากที่สุด ผงาดร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม Wireless Broadband Alliance (WBA) ครั้งที่ 20 ในฐานะผู้ให้บริการเพียงรายเดียวในประเทศไทย ที่เป็นสมาชิก WBA และยังเป็นหนึ่งในคณะผู้บริหารของสมาพันธ์อีกด้วย โดยการประชุม WBA ครั้งที่ 20 มีกำหนดจัดที่กรุงเทพฯ ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา แต่จากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ ทำให้ต้องย้ายไปจัดที่สิงคโปร์ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม มีผู้ให้บริการ WiFi ชั้นนำทั่วโลกเข้าร่วมการประชุมอย่างเนืองแน่น

นายสุพจน์ มหพันธ์ ผู้จัดการทั่วไป กลุ่มธุรกิจบริการระหว่างประเทศ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ทรูมูฟ เอช รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพร่วมจัดการประชุม WBA ครั้งที่ 20 รวมทั้งเป็นผู้ดำเนินรายการในการสัมมนาเรื่อง “การทำโรมมิ่ง WiFi เป็นประโยชน์หรือโทษต่อผู้ให้บริการการสื่อสารเคลื่อนที่” ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ร่วมงานอย่างมาก โดยกลุ่มทรู ในฐานะเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้ง WBA และมีส่วนร่วมวางมาตรฐานบริการ WiFi ระดับโลกมาโดยตลอด ยังคงมุ่งมั่นที่จะมีส่วนช่วยขับเคลื่อน และสร้างความก้าวหน้า ให้กับอุตสาหกรรม WiFi ตลอดจนบริการการสื่อสารเคลื่อนที่ทั่วโลก”

การประชุม WBA จัดขึ้นเป็นประจำปีละ 2 ครั้ง เป็นการประชุมที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ที่เปิดโอกาสให้สมาชิกสมาพันธ์ WBA และผู้ประกอบธุรกิจในอุตสาหกรรมนี้จากทั่วโลก ได้พบปะพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับเทรนด์โลก ตัวอย่างที่ดีในวงการ เทคโนโลยีและพันธมิตรใหม่ๆ เพื่อสร้างประโยชน์และความก้าวหน้าแก่อุตสาหกรรม WiFi ทั้งด้านบริการ การเชื่อมต่ออย่างราบรื่น การโรมมิ่ง WiFi และการออฟโหลดข้อมูลต่างๆ

ทั้งนี้ WBA เกิดจากความร่วมมือของผู้ให้บริการชั้นนำในอุตสาหกรรมการสื่อสารไร้สาย ที่มุ่งเน้นมอบ ประสบการณ์การใช้งาน WiFi ยุคอนาคต และตั้งเป้าให้บริการ WiFi ฮอตสปอตสาธารณะ เพิ่มขึ้นจาก 1.3 ล้านจุดในปี 2554 ไปสู่ 5.8 ล้านจุดในปี 2558 หรือเพิ่มขึ้นถึง 350% ในยุคที่มีการเติบเป็นอย่างมากนี้ ไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ได้รับเลือกให้ทดลองประสบการณ์การใช้งาน WiFi ยุคอนาคต หรือ Next Generation Hotspot (NGH 2.0) ผ่านบริการของกลุ่มทรู ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้บุกเบิกนวัตกรรม WiFi ร่วมกับผู้นำอุตสาหกรรมในประเทศอื่นๆ

ล่าสุด ทรูมูฟ เอช เป็นผู้ให้บริการ WiFi ในประเทศไทยเพียงรายเดียวที่เปิดโรมมิ่ง WiFi ระหว่างประเทศ ร่วมกับผู้ให้บริการ WiFi รายอื่นๆ ที่เป็นสมาชิกของ WBA ส่งผลให้ลูกค้าสามารถเชื่อมต่อ WiFi ได้กว่า 100,000 จุดทั้งในและต่างประเทศ

ทีโอที-เอไอเอสใช้สถานีฐานร่วม [ ไทยรัฐ, 28 ธ.ค. 54 ]

ายอานนท์ ทับเที่ยง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภายใน
สัปดาห์นี้ ทีโอทีจะร่วมลงนามในสัญญากับบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) เอไอเอส
เพื่อใช้ทรัพย์สินร่วมกันระหว่างทีโอทีกับเอไอเอส โดยเฉพาะการใช้สถานีฐานร่วม (โคไซค์) เพื่อเปิดให้
บริการโทรศัพท์มือถือระบบ 3จี ในย่านความถี่ 1900 เมกะเฮิรตซ์ ซึ่งขณะนี้นายประสิทธิ์ ศิริภากรณ์
กรรมการทีโอที กำลังตรวจสอบความเรียบร้อยและดูรายละเอียดของสัญญาที่จะเซ็นร่วมกับเอไอเอส
เพื่อไม่ให้ทีโอทีเสียเปรียบเอกชน

==================================================

ทีโอทีลั่นสัปดาห์นี้เซ็นโคไซต์ร่วม AIS รองรับฐานลูกค้า 7.2 ล้านราย ลั่น MVNO ปิดดีลพ.ค.ปีหน้า [ ข่าวหุ้น, 28 ธ.ค. 54 ]

ทีโอทีเผยภายในสัปดาห์นี้สามารถเซ็นสัญญาเพื่อร่วมโคไซต์กับ ADVANC จำนวน 800 สถานีฐาน
ก่อนเดินหน้าเซ็นสัญญากับผู้ให้บริการมือถือ อื่น อีกอย่างต่อเนื่อง หวังครอบคลุมทั่วประเทศ 5,320 สถานี
รองรับลูกค้า 7.2 ล้านราย ให้ทันเดือน พ.ย. 55 นี้ ระบุ การทำเอ็มวีเอ็นโอต้องปิดดีลและสามารถเปิด
ให้บริการได้เดือน พ.ค. 55 นี้เช่นกัน

ทีโอทีใช้เสา 3G ร่วมค่ายมือถือ มั่นใจเปิดบริการทันกำหนด 18 พ.ค.55

ทีโอที เตรียมจดปากกาเซ็นสัญญาโคไซต์เอไอเอส เฟสแรก 800 สถานีฐานก่อนร่วมมือทรูมูฟอีก 1,600 แห่ง 'อานนท์' มั่นใจ ด้วยแผนในสถานีฐานร่วมกับค่ายมือถือ จะทำให้ 3G ทีโอที เปิดบริการทันกำหนด 18 พ.ค. 2555 ด้วยสถานีฐานทั้งหมด 5,320 แห่ง

นายอานนท์ ทับเที่ยง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอที กล่าวว่า ก่อนสิ้นปีนี้ทีโอทีจะเซ็นสัญญาการใช้ทรัพย์สินร่วมกันของทีโอที กับบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) ในการใช้โครงข่ายสถานีฐานร่วม (โคไซต์) โดยในตอนนี้รอเพียงให้นายประสิทธิ์ ศิริภากรณ์ กรรมการบอร์ดทีโอที ซึ่งเป็นตัวแทนจากอัยการสูงสุด ตรวจสอบ และดูรายละเอียดของสัญญาที่จะเซ็นเพื่อไม่ให้เสียเปรียบเอกชน สำหรับการโคไซต์ในครั้งนี้เพื่อเปิดให้บริการโทรศัพท์มือถือระบบ 3Gในย่านความถี่ 1900 MHz โดยในเฟสแรกจะโคไซต์ 800 สถานีฐาน ซึ่งทีโอทีดูตามความเหมาะสมของพื้นที่และตำแหน่งของสถานีฐาน

'สาเหตุที่เราเลือกทำสัญญาโคไซต์กับเอไอเอสก่อนเป็นรายแรก เพราะเอไอเอสเป็นผู้ประกอบการที่มีโครงข่ายในระบบ 2G ครอบคลุมมากที่สุดกว่า 13,000 แห่ง อีกทั้งเอไอเอสยังเป็นผู้รับสัญญาสัมปทานของทีโอที'

ทั้งนี้ทีโอทีจะใช้การโคไซต์มากกว่า 40% นอกจากที่ทีโอทีสร้างขึ้นใหม่กว่า 3 พันแห่ง โดยเป็นการโคไซต์กับเอไอเอส 800 แห่ง บริษัท ทรูมูฟ มากกว่า 1,600 แห่งซึ่งคาดว่าจะสรุปและเซ็นสัญญาได้ภายในต้นเดือนม.ค.2555 และโคไซต์กับบริษัท กสท โทรคมนาคม 800 แห่ง รวมเป็นวงเงินเช่าโคไซต์ทั้งหมดประมาณ 1 พันล้านบาท

ขณะเดียวกันทีโอทีคาดว่าจะเปิดให้บริการ 3G ทั่งประเทศตามแผนที่วางไว้คือในวันที่ 18 พ.ค. 2555 ด้วยจำนวนสถานีฐานให้บริการทั้งหมด 5,320 แห่งโดยปัจจุบันมีการขยายโครงข่ายได้แล้ว 2,000 สถานีฐาน

สำหรับค่าเช่าโคไซต์นั้น บอร์ดทีโอทีอนุมัติในหลักการที่ค่าเช่าเดือนละ 2 หมื่นบาท โดยที่ทีโอทีจะได้รับค่าตอบแทนคืน 25% ซึ่งทีโอทีจะจ่ายค่าเช่าให้เอไอเอสเพียง 3 ปี 10 เดือนหรือจนถึงเดือนต.ค.ปี 2558 ซึ่งเอไอเอสจะสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน หลังจากนั้นกรรมสิทธิ์และสินทรัพย์ โครงข่ายก็จะตกเป็นของทีโอทีใช้งานได้ฟรี

***บริการโทรคมงาน BOI Fair 2012

นอกจากนี้ทีโอทียังเป็นผู้ให้บริการระบบโทรคมนาคมเพียงรายเดียว ในงาน BOI Fair 2012 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5 - 20 ม.ค. 2555 ที่อิมแพค เมืองทองธานี ให้แก่บริษัทที่เข้าร่วมจัดนิทรรศการในโซนกลางแจ้งทั้งหมด ภายใต้แนวคิด Telecom for the green living จึงจะใช้โอกาสนี้แสดงศักยภาพทางการสื่อสารครบวงจร อาทิ บริการ 3.9G เต็มรูปแบบด้วยความเร็ว 42 Mbps บริการ 3G CCTV บริการ Net Call บริการ IPTV ซึ่งในงานจะมีการแจกฟรีซิม TOT3G ให้กับผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมในบูธทีโอทีด้วย

ทั้งนี้ทีโอทีได้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้วยการลากสายไฟเบอร์ออฟติกเพิ่มในบริเวณโซนกลางแจ้งรอบทะเลสาบ อีก 10 ล้านบาท นอกเหนือจากโครงสร้างเดิมที่วางไว้ในบริเวณอาคารชาแลนเจอร์ อิมแพค เมืองทองธานี สำหรับงานในครั้งนี้มีลูกค้าองค์กรที่ร่วมออกบูธในงานทำสัญญาใช้บริการของทีโอทีแล้ว 20 ราย โดยเป็นการใช้บริการวงจรเช่าเฉพาะกลุ่ม VPN, ADSL ด้วยความเร็ว 10 Mbps และพร้อมเพิ่มความเร็วตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งทีโอทีคาดว่าจะมีรายได้จากการให้บริการโทรคมภายในงานประมาณ 7 แสนบาท

สำนักงบฯอนุมัติงบ1,623ล.จัดซื้อแท็บเล็ตให้ นร.ป.1 ทั่ว ปท.กว่า 4 แสนคน
ข่าวทั่วไป หนังสือพิมพ์แนวหน้า -- พฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2554 01:47:24 น.

น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ปลัดศธ.) เปิดเผยว่า สำนักงบประมาณได้อนุมัติตามที่ ศธ. เสนอของบประมาณในการจัดซื้อคอมพิวเตอร์แบบพกพา หรือ แท็บเล็ต ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 (ป.1) จำนวน 1,623 ล้านบาท สำหรับนักเรียนทั้งหมด 477,561 คน คิดเป็น 62% ของนักเรียนชั้นป.1 สังกัด ศธ. แบ่งเป็น สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จำนวน 347,000 คน คิดเป็น 58% ของนักเรียนทั้งหมดในสังกัด สพฐ.โดยใช้งบประมาณ 1,182 ล้านบาท สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จำนวน 125,000 คน ใช้งบฯ 428 ล้านบาท คิดเป็น 74% ของนักเรียนสังกัด สช.ทั้งหมด และนักเรียนชั้น ป.1 ในโรงเรียนสาธิต สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) จำนวน 3,791 คน ใช้งบประมาณ 12 ล้านบาท ซึ่งสามารถแจกแท็บเล็ตให้นักเรียนสาธิตได้ 100% ทั้งนี้ สำหรับราคาต่อเครื่องอยู่ที่เครื่องละ 3,100 บาท และค่าบรรจุองค์ความรู้เนื้อหาลงในแท็บเล็ตอีก 300 บาท ใน

ปลัดศธ.กล่าวต่อว่า ในภาพรวมจะไม่อนุญาตให้นร.ชั้นป.1 นำเครื่องแท็บเล็ตกลับบ้าน เพราะเกรงจะมีปัญหาเรื่องการดูแลรักษา ดังนั้น จะให้ยืมเรียนและครูเป็นผู้ดูแล ขณะเดียวกัน ในส่วนของครู ก็เจรจากับทางบริษัทที่มานำเสนอแท็บเล็ตว่าควรจะแถมเครื่องเพื่อใช้ในส่วนของครูผู้สอน ซึ่งส่วนใหญ่ระบุว่าหากมีการสั่งซื้อแท็บเล็ตในจำนวนมากก็จะจัดสรรเครื่องแท็บเล็ตและเปิดอบรมการใช้ให้กับครูด้วย คาดว่าจะได้ตัวเครื่องก่อนวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2555 เพื่อให้ทันก่อนเปิดภาคเรียน

ปลัด ศธ. กล่าวว่า ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรี ได้ลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการบริการนโยบาย 1 คอมพิวเตอร์แท็บเล็ต ต่อ 1 นักเรียน โดยมี พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และนาวาอากาศเอก อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เป็นรองประธานกรรมการ ซึ่งมีหน้าที่กำหนดยุทธศาสตร์ระดับชาติ สำหรับนโยบายคอมพิวเตอร์แท็บเล็ต เพื่อใช้ในโรงเรียนรวมถึงพัฒนาหลักสูตร และรูปแบบอิเลกทรอนิกส์ที่จำเป็นในการสนับสนุนและบริการเครือข่ายไร้สาย การใช้งานคอมพิวเตอร์แท็บเล็ต และการดำเนินงานงบประมาณและประสานร่วมกับส่วนราชการหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยการตั้งคณะกรรมการฯ ชุดนี้ขึ้นมาน่าจะหมายถึงนโยบายการแจกแท็บเล็ตไม่ได้หมายถึงเฉพาะชั้นประถมศึกษา (ป.) ปีที่ 1 เท่านั้น แต่หมายถึงการเดินหน้าแจกแท็บเล็ตในช่วงชั้นอื่น ๆ ด้วย

ทั้งนี้ ภายใต้คณะกรรมการฯ จะให้มีคณะอนุกรรมการเพื่อดูแลด้านต่าง ๆ อีก 4 คณะได้แก่ 1.คณะอนุกรรมการด้านวิชาการ มีนายโอฬาร ชัยประวัติ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เป็นประธาน 2.คณะอนุกรรมการด้านการสรรหาคอมพิวเตอร์แท็บเล็ต มีนายสุเมธ แย้มนุ่น อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (เลขาธิการ กกอ.) เป็นประธาน 3.คณะอนุกรรมการด้านการประสานสื่อสร้างสรรค์ และโครงข่าย มี นายสุเมธ เป็นประธานเช่นกัน และ4.คณะอนุกรรมการด้านความเหมาะสมและความปลอดภัยในการเข้าถึงข้อมูล มีปลัด ศธ. เป็นประธาน

จัดระเบียบไอทีภาครัฐ [ ไทยรัฐ, 6 ม.ค. 55 ]

น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เปิดเผยว่า
จากการสำรวจค่าใช้จ่ายภาครัฐในตลาดคอมพิวเตอร์ด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ พบว่ามีสัดส่วนถึง 81%
จากมูลค่าการใช้จ่ายด้านไอทีของภาครัฐทั้งหมดเกือบ 50,000 ล้านบาทต่อปี ขณะเดียวกัน ปัญหาเรื่องการ
จัดซื้อจัดจ้างที่ผ่านมาทำให้ภาครัฐใช้เทคโนโลยีเก่าแต่ราคาแพง ขณะที่ประชาชนต้องการให้ภาครัฐนำระบบ
อิเล็กทรอนิกส์มาใช้ เพื่อจะได้ให้บริการที่ดีขึ้น ดังนั้น จึงได้ตั้งเทคโนโลยีระบบคลาวด์คอมพิวติ้งของภาครัฐ
(Government Cloud Service) เพื่อจะได้ประหยัดงบลงทุนด้านไอซีทีของประเทศ โดยสำนักงาน
รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สรอ. จะเป็นผู้รับผิดชอบ ใช้เงินศึกษา 50 ล้านบาท และ
คาดว่าระบบดังกล่าวจะช่วยประหยัดงบลงทุนด้านไอซีทีของประเทศได้ 30%

กสท โทรคมนาคม จัดงานแถลงข่าวการเปิดตัวโครงข่ายบริการ 3G ในแบรนด์ใหม่ “my”
ข่าวเทคโนโลยี ThaiPR.net -- ศุกร์ที่ 6 มกราคม 2555 10:41:11 น.

กรุงเทพฯ--6 ม.ค.--แอร์รี่ส์ คอมมิวนิเคชั่น
บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CATขอเรียนเชิญท่านสื่อมวลชนร่วมงานแถลงข่าวการเปิดตัวโครงข่ายบริการ 3G ในแบรนด์ใหม่ “my”พบกับ 2 ดาราคนดังคิมเบอร์ลี่ แอน เวลโทมัส,โป๊บ ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ ที่จะมาร่วมแชร์ประสบการณ์ตรงจากการใช้เทคโนโลยีไร้สายและการเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่

ในวันอังคารที่ 10 มกราคม 2555 เวลา 13.30 — 15.00 น.
ณ Fashion Hall ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน

กสทฝันปีหน้าลูกค้า 3G "My" 6 แสนราย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 27 ธันวาคม 2554 07:51 น.

กสท เตรียมเปิด 3G แบรนด์ MY 10 ม.ค.2555 หวังลูกค้าสิ้นปีหน้าได้ 6 แสนราย แต่ต้องได้ลงทุน 1.2 หมื่นล้านขยายเครือข่ายได้ 13,500 สถานีฐาน

นายวิโรจน์ โตเจริญวาณิช รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม กล่าวว่า ปัจจุบันลูกค้ากสท ที่ใช้บริการ 3G HSPA ภายใต้แบรนด์ 'มาย (MY)' มีเพียง 2,000 รายเท่านั้นจากเดิมที่เคยตั้งเป้าลูกค้าในปีแรก 100,000 ราย แต่ในปีหน้าตั้งเป้าจะมีลูกค้าเพิ่มขึ้นถึง 600,000 รายซึ่งรวมลูกค้าในระบบ CDMA เดิมที่ย้ายระบบมาใช้ด้วย

ทั้งนี้ ในวันที่ 10 ม.ค.2555 กสทจะเปิดบริการโทรศัพท์มือถือ 3G ทั่วประเทศอย่างเป็นทางการ ด้วยจำนวนสถานีฐานปัจจุบันประมาณ 3,000 แห่ง แบ่งเป็นในกทม.และปริมณฑล 1,700 แห่ง และในอีก 30 จังหวัดราว 1,300 แห่งครอบคลุมพื้นที่ 50% ของประชากร โดยความเร็วในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอยู่ที่ 42 เมกะบิต/วินาที

โดยกสทมีแผนที่จะขยายสถานีฐานจนครบ 13,500 แห่ง ครอบคลุม 90% ของจำนวนประชากร ด้วยวงเงินลงทุนเดิมที่กสทเคยขออนุมัติจากบอร์ดชุดที่ผ่านมา 12,000 ล้านบาท แต่เมื่อมีการปรับแผน ย่นระยะเวลาการขยายสถานีฐาน และเปลี่ยนบอร์ดใหม่ ก็ต้องมีการทำแผนการลงทุน และแผนการทำตลาดใหม่ แต่เงินลงทุนคาดว่าจะเท่าเดิม ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการเสนอแผนกับบอร์ดและกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร (ไอซีที) ส่วนงบประมาณที่ใช้ในการทำประชาสัมพันธ์แบรนด์ 'My' จะใช้ไม่เกิน 50 ล้านบาทในช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ.2555

'จุดขายของ 3G กสทจะเน้นที่ความเร็ว มีบริการเสริม พร้อมบันเดิลกับสินค้าอื่นของกสท ที่มีอยู่อาทิ แอปพลิเคชันที่หลากหลาย และบริการหลังการขาย'

กสท ยังขอเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่จากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ไว้ที่ 5.5 ล้านเลขหมาย แต่กสทช.ให้มาเพียง 3.5 ล้านเลขหมาย

นอกจากนี้ที่ประชุมบอร์ดกสทในวันที่ 26 ธ.ค. ยังได้อนุมัติงบลงทุนประจำปี 2555-2559 มูลค่า 20,000 ล้านบาท ตามแผนระยะยาว 5 ปี ซึ่งเป็นการลงทุนโครงการสำคัญต่อเนื่อง อาทิ โครงการขยายประสิทธิภาพโครงข่าย (ไอพี คอล) นอกจากนี้ กสท ยังลงทุนระบบเคเบิลใต้น้ำเอเซีย แปซิฟิก เกตเวย์ (APG) มีจุดขึ้นบก อ.หาดใหญ่ เส้นทาง ไปสิงคโปร์ ฮ่องกง จีน ญี่ปุ่น โดยในส่วนของกสทจะลงทุนโครงการ APG ประมาณ 10 ล้านเหรียญสหรัฐ ร่วมกับผู้ประกอบการต่างชาติ 10 ราย เริ่มต้นก่อสร้างในเดือนมิ.ย.ปี 2555 เพื่อเพิ่มเส้นทางให้กับอินเทอร์เน็ตเกตเวย์ ขยายคาปาซิตี้ และแบนด์วิธ และเป็นโครงข่ายสำรองระหว่างกันและกัน ทำให้โครงข่ายเคเบิ้ลใต้น้ำกสทมีความเสถียรมากขึ้น

ส่วนประเด็นการสรรหากรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่ แทน นายจิรายุทธ รุ่งศรีทอง ที่ลาออกไปอยู่ในช่วงประกาศรับสมัครตั้งแต่วันที่ 21 ธ.ค.2554 - 9 ม.ค.2555

คณะอนุกรรมการบูรณาการฯ โทรคมนาคม เดินเครื่องประชุมนัดแรกปรับปรุงมติบอร์ด กรณี International Roaming [ ข่าวหุ้น, 10 มกราคม 2012 ]

ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านกฏหมาย ในฐานะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) และประธานคณะอนุกรรมการบูรณาการและปรับปรุงกฏหมาย และระเบียบด้านโทรคมนาคม เปิดเผยว่า จากการที่บอร์ด กสทช. ได้เล็งเห็นความสำคัญเกี่ยวกับการออกระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศหรือคำสั่ง ตลอดจนการบังคับใช้กฏกติกาต่างๆ ตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 ให้เกิดความเป็นธรรม มีความรอบคอบ ครบถ้วนสมบูรณ์ และเกิดประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่อย่างแท้จริง ดังนั้น กสทช. จึงได้มีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการบูรณาการและปรับปรุงกฎหมายและระเบียบด้านโทรคมนาคม โดยมอบหมายให้ ตน เป็นประธานคณะอนุกรรมการฯชุดดังกล่าว เพื่อขับเคลื่อนการบูรณาการกฏ กติกา ระเบียบ หรือประกาศ ในส่วนที่เกี่ยวข้องให้ออกมาเป็นรูปธรรมนั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 มกราคมที่ผ่านมา ได้มีการประชุมคณะอนุกรรมการบูรณาการและปรับปรุงกฏหมายและระเบียบด้านโทรคมนาคม ครั้งที่ 1/2555 และได้มีการรวบรวม กฏ กติกา ระเบียบ ประกาศ ของกทช.และกสทช. ซึ่งมีทั้งหมด 173 ฉบับ โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลักๆ ก็คือ กฏ กติกา ที่ออกตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2543 และ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 จำนวน 25 ฉบับ ออกตาม พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 จำนวน 115 ฉบับ และ กฏ กติกาต่างๆที่ออกตาม พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม พ.ศ.2498 จำนวน 33 ฉบับ โดยในเบื้องต้นพบว่า กฏ กติกา บางส่วน มีข้อกำหนดที่มีความซ้ำซ้อน ล้าสมัย และบางฉบับก็มีข้อกำหนดที่ยังไม่ครบถ้วน สมบูรณ์ จึงจำเป็นต้องพิจารณาแก้ไขปรับปรุง

สำหรับกรอบทำงานของคณะอนุกรรมการฯชุดนี้ จะเน้นการปรับปรุงและพัฒนากฏ กติกาเกี่ยวกับภารกิจด้านโทรคมนาคม โดยไม่รวม กฎ ระเบียบเกี่ยวกับเรื่องการบริหารของสำนักงาน กสทช. ทั้งนี้หากเป็นกรณีที่ กสทช. ได้มอบหมายให้สำนักงาน กสทช. รับไปดำเนินการ หรือกรณีมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อดำเนินการเป็นการเฉพาะแล้ว ก็ให้สำนักงาน กสทช. และคณะอนุกรรมการฯ ชุดนั้น ๆ พิจารณาดำเนินการเป็นการเฉพาะกรณีๆไป เช่น กรณีการกำหนดแบบสัญญาให้บริการโทรคมนาคมตามประกาศ กทช. เรื่อง มาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 เพื่อใช้เป็นมาตรฐานกลาง สำหรับใช้กับผู้ประกอบการทุกราย กรณีการพิจารณาเกี่ยวกับการโอนใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่และการให้ผู้อื่นร่วมใช้คลื่นความถี่ในกิจการโทรคมนาคม ตามประกาศ กทช. ว่าด้วยการโอนใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ และการให้ผู้อื่นร่วมใช้คลื่นความถี่ในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2550 และประกาศ กทช. เรื่อง การประกอบกิจการโทรคมนาคมประเภทการขายส่งบริการและบริการขายต่อบริการ พ.ศ. 2549 ซึ่งมีปัญหาพิจารณาว่าอาจขัดหรือแย้งกับมาตรา 46 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 เป็นต้น

ดร.สุทธิพลฯ เปิดเผยว่า ในการประชุมครั้งนี้ ที่ประชุมได้ข้อสรุปตรงกันในการแก้ปัญหาที่เกิดจากการบังคับใช้ กฎ ระเบียบหรือประกาศที่เกี่ยวกับกิจการโทรคมนาคม 2 เรื่อง คือ เรื่องแรกกรณี มติของ กทช. ปฏิบัติหน้าที่ กสทช. เกี่ยวกับการกำหนดเงื่อนเวลาโดยให้ผู้ให้บริการต้องแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการใช้บริการให้ผู้ใช้บริการทราบ ”ภายใน 3 วัน” ซึ่งแตกต่างจากข้อ 22 ของ ประกาศ กทช.เรื่องมาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 ที่กำหนดให้ต้องแจ้งไม่เกิน 60 วัน นับจากวันที่ผู้ใช้บริการมีคำขอ และมติที่มีการกำหนดให้ผู้ให้บริการต้องคืนเงินส่วนต่างของค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการที่เรียกเก็บเกินให้แก่ผู้ใช้บริการ “ภายใน 7 วัน” ซึ่งแตกต่างจากข้อ 23 ของประกาศ กทช. ที่กำหนดให้ต้องคืนภายใน 30 วัน อันก่อให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ

เรื่องที่ 2 กรณีที่กทช. มีมติในการบังคับใช้ประกาศ กทช. เรื่องการขอความเห็นชอบสัญญา อันเกี่ยวเนื่องกับการประกอบกิจการโทรคมนาคม ที่ทำกับรัฐบาลต่างประเทศ องค์การระหว่างประเทศ หรือบุคคลที่อยู่ในต่างประเทศ พ.ศ. 2549 โดยกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาต กรณีทำสัญญา International Roaming แก้ไขข้อกำหนดในสัญญาเกี่ยวกับการตกลงให้นำกฎหมายต่างประเทศมาใช้บังคับตามสัญญา มาเป็นการกำหนดให้นำกฎหมายว่าด้วย การประกอบกิจการโทรคมนาคมไทย ใช้บังคับเท่านั้น

ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาประเด็นปัญหาข้อกฎหมายและข้อขัดข้องทางปฏิบัติที่เกิดขึ้นแล้ว เห็นว่ามติกทช.ดังกล่าว ไม่สอดคล้องกับประกาศ และทางปฎิบัติ ทั้งยังไม่สอดคล้องกับหลักเสรีภาพในการเลือกใช้กฎหมาย จึงเห็นสมควรให้มีการทบทวน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและลดปัญหาในทางปฎิบัติ ทั้งนี้ได้มอบให้สำนักกฎหมายประมวลปัญหาและเหตุผล พร้อมแนวทางการปรับปรุงเพื่อเสนอให้ที่ประชุม กทค.พิจารณาต่อไป

ดร.สุทธิพล กล่าวด้วยว่า คณะอนุกรรมการฯชุดนี้มีระยะเวลาในการทำงานเพียงแค่ 2 ปี ดังนั้นต้องทำงานแข่งกับเวลาที่มีอยู่ ที่ประชุมจึงได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการฯ แบ่งภารกิจการดำเนินงานออกเป็น 10 กลุ่มภารกิจ กล่าวคือ 1. ภารกิจที่เกี่ยวกับการปรับปรุง กฏ กติกา ด้านใบอนุญาต 2. ภารกิจด้านค่าธรรมเนียมใบอนุญาตและค่าบริการ TUSOA 3. ภารกิจ ด้านการใช้และเชื่อมต่อโครงข่าย 4. ภารกิจด้าน USO 5.ภารกิจด้านแผนเลขหมายและการจัดสรรเลขหมายโทรคมนาคม 6. ภารกิจด้านมาตรฐานทางเทคนิคของโครงข่ายโทรคมนาคมและอุปกรณ์ QoS 7. ภารกิจ ด้านแผนความถี่และการจัดสรรคลื่นความถี่ 8.ภารกิจด้านสิทธิของผู้ใช้บริการและสัญญาให้บริการโทรคมนาคมบทกำหนดโทษ 9. ภารกิจด้านตลาดโทรคมนาคม สิทธิของผู้รับใบอนุญาต และ10.ภารกิจด้านกำกับดูแล โดยแต่ละกลุ่มภารกิจจะมีผู้บริหารระดับสูงของสำนักงาน กสทช.เป็นผู้รับผิดชอบหลักและมีอนุกรรมการที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเป็นที่ปรึกษา

ทั้งนี้เพื่อให้การทำงานของคณะอนุกรรมการฯชุดนี้มีความต่อเนื่อง จึงกำหนดให้มีการประชุมเดือนละ 2ครั้ง และจะมีการประชุมในวันที่ 23 มกราคม 2555 ในครั้งต่อไป

10 ม.ค. 54

วันนี้ รายการ moneytalk ทาง tnn2 ตอนสี่ทุ่ม จะเสนอการสัมภาษณ์ ดร.นที ศุกลรัตน์ กสทช ซึ่งเป็นประธานด้านการประจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ 2 วันต่อกันครับ วันนี้และพรุ่งนี้ (พุธ)ครับ

กสทฯ ไฟเขียว AIS ทดสอบ 4G "อนุดิษฐ์" ยุลูกค้า DTAC ย้ายค่ายหนีสัญญาณล่ม [ ข่าวหุ้น, 11 ม.ค. 54 ]

"อนุดิษฐ์" หนุนลูกค้า DTAC ย้ายค่าย เตรียมเรียกโอเปอเรเตอร์ชี้แจงสัปดาห์นี้ "กสทช." ไฟเขียว
ADVANC ทดสอบ 4จี แล้ว ล่าสุด กสทฯ จุดพลุ "My 3 จี" ตั้งเป้าสิ้นปีโกยลูกค้า 6 แสนราย มีโครงข่าย
1.4 หมื่นสถานีฐานครอบคลุม 90% ของประชากร

คอลัมน์: กระดานข่าว: GRAMMY เปลี่ยนชื่อบริษัทย่อย-เพิ่มธุรกิจ
ข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- พุธที่ 11 มกราคม 2555 00:00:12 น.

บมจ.จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (GRAMMY) แจ้งว่า บริษัท มิวสิค ก๊อบปี้ไรท์ คอลเลคชั่น จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 100% ได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ดิจิตอล เจน จำกัด และได้เพิ่มวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจ MVNO หรือผู้ให้บริการเสมือนเพื่อนให้ได้รับสิทธิ์เป็นผู้ให้บริการร่วมในระบบเครือข่าย 3G

กสทช.เร่งหาช่องทางกฏหมายลงโทษ จี้โอเปอเรเตอร์เร่งปรับปรุงโครงข่าย ชี้หากจะอัพเกรดระบบต้องแจ้งก่อน


กสทช. เร่งหาช่องกฎหมายลงโทษค่ายมือถือ หลังยอมรับสัญญาณมือถือประสิทธิภาพต่ำลงเพราะไม่ยอมลงทุนเน็ตเวิร์ก รอประมูล 3จี 2.1 กิกะเฮิรตซ์อย่างเดียว เดินหน้าส่งหนังสือเตือนผู้ให้บริการทุกราย อัพเกรดระบบต้องแจ้งกสทช.ก่อน ขณะที่ผลสอบเน็ตเวิร์คดีแทคภาคใต้ล่มชี้ชัดชุมสายใช้งานปกติ สั่งดีแทคชี้แจงรายละเอียดอีกรอบ ด้าน "เทเลนอร์" รับเน็ตเวิร์คล่มปัญหาใหญ่ เร่งดีแทคแก้ปัญหาโดยเร็ว

พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ รองประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาต (กสทช.) ในฐานะประธานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) เปิดเผยว่า จากการหารือกับผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือเบื้องต้น ทุกรายยอมรับว่า ประสิทธิภาพสัญญาณโทรศัพท์มือถือด้อยคุณภาพลง
วางบทลงโทษ "เพิกถอนใบอนุญาต"

เนื่องจาก ช่วงที่ผ่านมา ไม่มีการลงทุนปรับปรุงโครงข่ายโทรคม เพราะรอเข้าร่วมประมูลใบอนุญาตประกอบกิจการโทรศัพท์มือถือ 3จี บนคลื่นความถี่ 2.1 เมกะเฮิรตซ์ ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนร่างแผนแม่บทกิจการโทรคมนาคม แผนแม่บทคลื่นความถี่ โดยคาดว่าในไตรมาส 3 ปี 2555 จะเปิดประมูล 3จี ได้

ทั้งนี้ ประเด็นสัญญาณมือถือของบมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) ล่มใช้งานไม่ได้ถึง 3 ครั้ง ถือเป็นปัญหาสำคัญที่ กสทช.ต้องเร่งแก้ โดยไตรมาสแรกปี 2555 ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือทุกรายต้องปรับปรุงโครงข่ายโทรคมนาคมให้มีประสิทธิภาพ เพราะกสทช.จะทดสอบสัญญาณโทรศัพท์มือถืออย่างเข้มข้น หากไม่เป็นไปตามมาตรฐาน กสทช.จะมีบทลงโทษ เริ่มตั้งแต่แจ้งตักเตือน ปรับ และขั้นร้ายแรงคือเพิกถอนใบอนุญาต

“กสทช.ไม่ต้องการถูกเรียกว่าเป็นเสือกระดาษ ฉะนั้นก็ต้องเร่งหาช่องทางตามกฎหมาย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาสัญญาโทรศัพท์ขัดข้องซ้ำซาก เพราะผู้บริโภคเดือดร้อน”

นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการกสทช. กล่าวว่า ในส่วนของสำนักงานกสทช.อยู่ระหว่างการปรับปรุงแก้ไขประกาศมาตรฐานคุณภาพการให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ.2549 ให้รัดกุม สามารถลงโทษผู้รับใบอนุญาตโทรศัพท์มือถือที่ไม่ปรับปรุงประสิทธิภาพคุณภาพการให้บริการได้ เพราะปัจจุบันทำได้เพียงการแจ้งหนังสืออย่างเป็นทางการให้ปรับปรุงและรายงานให้กสทช.รับทราบเท่านั้น

โดยในสัปดาห์นี้ จะทำหนังสือแจ้งเตือนไปยังผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือทุกราย ได้แก่ บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) บริษัท ทรูมูฟ จำกัด บมจ.ทีโอที บมจ.กสท โทรคมนาคม ว่า หากจะปรับปรุงการให้บริการ เช่น โอนย้ายฐานลูกค้า การอัพเกรดโครงข่าย ที่อาจกระทบต่อลูกค้าต้องแจ้งให้ กสทช.รับทราบ รวมถึงเตรียมแผนดำเนินงานและแจ้งให้ลูกค้ารับทราบด้วย

ผลสอบกสทช.ยันเอ็มเอสซีปกติ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บันทึกข้อความของเจ้าหน้าที่คณะกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เรื่อง ผลการตรวจสอบชุมสายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของดีแทค จ.สุราษฎร์ธานี เลขที่ ทช 2242/2555 วันที่ 8 ม.ค.2555 ตามคำสั่งของสำนักงานกสทช.ได้สั่งการให้กสทช.เขต 12 นครศรีธรรมราช ตรวจสอบชุมสายโทรศัพท์เคลื่อนที่ (โมบาย สวิตท์ชิ่ง เซ็นเตอร์ หรือ เอ็มเอสซี) เพื่อหาข้อเท็จจริง กรณีที่เน็ตเวิร์คดีแทคไม่สามารถใช้งานได้ในพื้นที่ 7 จังหวัด ภาคใต้ตอนบน ได้แก่ จ.ชุมพร ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช

นายสมคิด นาคะพิสุทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานกสทช.เขต 12 (นครศรีธรรมราช) ได้แจ้งมายังเลขาธิการกสทช.ว่า เขาพร้อมด้วยนายชาญณรงค์ แพรกปาน นายอภิเชษฐ์ ห่อหุ้ม และนายบัญชา พุทธศุภะ พนักงานกสทช.ได้เดินทางไปตรวจสอบชุมสายเอ็มเอสซีของดีแทค ที่จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยมีนายสมโชค เต็งรัง ตำแหน่ง แมนเนจเจอร์ เซอร์วิส แอนด์ คิวเอ เซาท์ ดีแทค เป็นผู้นำตรวจ

ผลปรากฎว่า ชุมสายเอ็มเอสซีของดีแทคใช้อุปกรณ์ของ โนเกีย ดีเอ็กซ์ 2000 และ โนเกีย เอ็มเอสเอส ซึ่งอุปกรณ์ทำงานได้ตามปกติ และนายสมโชคได้ให้ข้อมูลเพิ่มว่า ชุมสายโทรศัพท์ที่จ.สุราษฎ์รฯ จะรับผิดชอบเฉพาะส่วนที่เป็นอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ของชุมสายเท่านั้น ส่วนระบบควบคุมซอฟต์แวร์ดีแทคส่วนกลาง เป็นผู้รับผิดชอบดูแลทั้งหมด

ด้านนายฐากร กล่าวว่า ผลตรวจสอบของ กสทช.มีข้อมูลชัดเจนว่า ระบบเอ็มเอสซีของดีแทคในพื้นที่ดังกล่าวไม่ได้รับความเสียหายตามที่ดีแทคกล่าวอ้างในเบื้องต้น แต่กสทช.ยังไม่ฟันธงว่า ดีแทคเป็นผู้แจ้งข้อมูลเท็จ เพราะจะให้โอกาสดีแทคทำหนังสือรายงานอย่างเป็นทางการต่อปัญหาที่เกิดขึ้นวันที่ 5 ม.ค.กลับมาเป็นลายลักษณ์อักษรอีกครั้ง ในส่วนของสำนักงานกสทช.จะนำรายงานดังกล่าว เข้าที่ประชุมบอร์ดกสทช.ในวันนี้ (11 ม.ค.)

เทเลนอร์รับเครื่อข่ายล่มเรื่องใหญ่

นายเกลน แมนดาลี ผู้อำนวยการสื่อสารองค์กร เทเลนอร์เอเชีย กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเครือข่ายของดีแทค เกิดจากความพยายามที่จะอัพเกรดระบบเพื่อให้บริการ 3จี แก่ลูกค้า และดีแทคจำเป็นที่จะต้องดำเนินการแก้ใขเนื่องจากเป็นปัญหาเรื่องของการปฏิบัติการ

"เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ แต่เทเลนอร์ยังคงมีความเชื่อมั่นในผู้บริหารดีแทค และมั่นใจว่าดีแทคกำลังดำเนินการทุกอย่างเพื่อลดผลกระทบหรือที่เกิดขึ้นกับลูกค้า" นายแมนดาลี กล่าว

แหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัทเทเลนอร์ ระบุว่า ปัญหาเครือข่ายล่มของดีแทคในไทยครั้งนี้ ถือเป็นปัญหาใหญ่ และเป็นประเทศแรกที่เจอปัญหาดังกล่าว โดยประเทศอื่นที่เทเลนอร์เข้าไปลงทุนไม่เคยเจอปัญหาในลักษณะนี้

ขณะเดียวกัน มีรายงานข่าวว่า นายซิกเว่ เบรกเก้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เทเลนอร์ เอเชีย และซีอีโอ ยูนินอร์ อินเดีย จะเดินทางมาประเทศไทยในสัปดาห์หน้านี้ด้วย

ลุ้น SS Galaxy tab ง่ายๆ
กับการทำแบบสอบถามออนไลน์ ที่ http://mala.thruhere.net/survey/index.php?sid=68526

ซัมซุงเพริศขึ้นแท่นแชมป์มือถือ ลุ้นประมูล 3 จีดันยอดระเบิด [ ไทยรัฐ, 13 ม.ค. 55 ]

นายวิชัย พรพระตั้ง ผู้อำนวยการธุรกิจโทรคมนาคม บริษัทไทยซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์
จำกัด กล่าวว่า ปี 2554 เป็นปีแรกที่ซัมซุงสามารถครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ในตลาดมือถือ
ไทยได้โดยเด็ดขาด ทั้งในด้านยอดขายและมูลค่า โดยทำอัตราเติบโตได้ 102% อันเป็นผลสืบ
เนื่องมาจากการเปิดตัวสินค้าครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายและส่วนใหญ่เป็นที่โดนใจของผู้บริโภค
การขยายเครือข่ายของผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ รวมทั้งการเดินหน้าให้บริการ 3 จี ซึ่งช่วย
กระตุ้นตลาดในช่วงครึ่งปีหลังได้เป็นอย่างมาก "ปีที่ผ่านมายอดขายมือถือใหม่ในประเทศอยู่ที่
ประมาณ 12-14 ล้านเครื่องเติบโตราว 10% ส่วนปีนี้เรายังคาดว่าตลาดรวมน่าจะเติบโตได้ตัว
เลข 2 หลักเช่นเดิม แต่จะมากหรือน้อยต้องดูเป็นรายไตรมาส โดยมีปัจจัยสำคัญอยู่ที่การเปิด
ประมูลใบอนุญาต 3 จี ทำได้เมื่อใด ตลาดจะเติบโตได้อีกโดยเฉพาะยอดขายสมาร์ทโฟน ซึ่ง
ปัจจุบันมีสัดส่วนประมาณ 20-30% ของยอดขายมือถือทั้งหมด"

อินเดียเตือน'แก๊ดเจ็ต'ทำเด็กอดนอน
โพสต์เมื่อ: 11:18 วันที่ 6 ม.ค. 2555

หอการค้าและสภาอุตสาหกรรมของประเทศอินเดียเตือนว่า อุปกรณ์แก๊ดเจ็ตทันสมัยในยุคนี้กำลังขโมยเวลานอนไปจากเด็กๆ โดยพบว่า เด็กอายุ 10-18 ปี มีแนวโน้มนอนดึกมากขึ้นเรื่อยๆ

การสำรวจครอบคลุมทั้งการดูทีวีดึก การเล่นวิดีโอเกม การใช้คอม พิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถือสมาร์ตโฟน ทำใน 10 เมืองใหญ่ของอินเดีย อาทิ กรุงเดลี เมืองโกลกาตา เชนไน บังกาลอร์ มุมไบ ไฮเดอราบัด ลักเนาฯ พบว่า เด็กร้อยละ 80 นอนไม่ถึง 8 ชั่วโมง โดยปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดปรากฏการณ์นี้มาจากการเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างง่ายดาย ขาดการพิจารณาดูแลจากผู้ปกครอง โดยร้อยละ 86 บอกว่า มีมือถือ เครื่องเสียง คอมพิวเตอร์หรือทีวีในห้องนอน

อุปกรณ์อย่างมือถือและเว็บไซต์โซเชี่ยลเน็ตเวิร์ก ทำให้วัยรุ่นติดต่อสื่อสารกับเพื่อนได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเด็กส่วนใหญ่ใช้เวลากับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เฉลี่ย 6-7 ชั่วโมงต่อวัน โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบในแง่ลบ เช่น การแปลกแยกทางสังคม โรคนอนไม่หลับ ซึมเศร้าวิตกกังวล ขาดสมาธิและโรคอ้วน ซึ่งการสำรวจชี้ว่า นักเรียนร้อยละ 88 ตื่นไปเรียนสาย


ขอขอบคุณข้อมูลจาก ข่าวสด