หน้า 2 จากทั้งหมด 3

เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 11, 2010 2:18 pm
โดย picklife
......ผมว่าคนเรามี2ประเภทนะครับ
1.คนที่มองข้อจำกัดก่อนแล้วตั้งเป้าหมาย
2.คนที่ตั้งเป้าหมายก่อนแล้วมองข้อจำกัด

ผมบอกไม่ได้ว่าคนแบบไหนจะประสบความสำเร็จกว่ากัน....เพราะคนทั้งสองกลุ่มนี้น่าจะประสบความสำเร็จพอๆกัน

คนประเภทที่1มักจะทำๆๆๆๆ ไม่คิดอะไรมาก ตั้งเป้าต่ำ พอไปถึงเป้าก็ปรับเป้าใหม่เรื่อยๆ

คนประเภทสองตั้งเป้าสุงๆก่อนแล้วค่อยลุย ถ้าเจออุปสรรคหรือข้อจำกัดก็แก้ไขไปทีละเรื่อง

โดยส่วนตัวผมเป็นคนประเภทที่สองครับ การที่จะทำอะไรเป้าหมายต้องชัดเจนมากๆ ถึงจะทำ และเป้าหมายต้องสูง แต่ก็ไม่สุงมากเกินกว่าที่คนเดินดินจะทำได้ ซึ่งผมว่า จขกท เขียนบทความนี้เพื่อจูงใจคนประเภทผมครับ ซึ่งตรงกับพื้นฐานความคิดที่ผมมีมากๆ ซึ่งเป้าหมายผมนั้นสุงกว่าตัวอย่างที่เจ้าของกระทู้เขียนยกตัวอย่างไว้อีกนะครับ....

ผมเข้าวงการการลงทุนมาแค่1ปียังไม่เคยเจอช่วงวิกฤติโหดๆ สำหรับสายตาพี่ผมคงยังเด็กละอ่อนจริงๆครับ

แต่1ปีนี้ผมก็ศึกษามาพอสมควร ผมไม่รู้ว่าจริงแท้เป็นเช่นไร....แต่ผมมีความคิดเห็นดังนี้ครับ
1. 20%ถือว่าไม่มากไปครับ กำลังพอเป็นเป้าหมายที่ดี ไม่มากไป ไม่น้อยไป คนสามัญชนน่าจะทำได้

2. ผลตอบของกูรูต่างๆที่อยู่ที่20-40%นั้นจริงอยู่ แต่อย่าลืมเรื่องขนาดพอร์ทด้วยนะครับ อย่าลืมว่าถ้าพอร์ทใหญ่ๆระดับนั้นเขาไม่สามารถซื้อแล้วเข้าๆออกๆตามสภาวะวิกฤติใหญ่ๆได้เลย เพราะมูลค่ามันมากเกินกว่าที่อยู่ๆจะขายล้างพอร์ทได้ หรือซื้อทีละหมดพอร์ทได้ เพราะราคาจะวิ่งกระจาย จนเกิดการแตกตื่นของนักลงทุนอย่างมาก ดังนั้นผมว่าสาเหตหลักที่นักลงทุนกูรูระดับโลกทำได้ระดับประมาณนี้เพราะเหตุผลดังกล่าวซึ่งเกี่ยวกับความคล่องตัวของพอร์ท แต่ว่าสำหรับรายย่อยอย่างเรา เราไม่มีข้อจำกัดทางด้านนี้ครับ ดังนั้นการทำกำไรได้20%กว่า ไม่ใช่เรื่องที่เป้นไปไม่ได้สำหรับสามัญชนนะครับ

3.จากคำกล่าวที่ว่าผลตอบแทนของตลาดอยู่ที่10% แล้วเราจะทำได้เท่านี้ ผมไม่แน่ใจว่านิยามคำว่าผลตอบแทนนี้มากไหน มากจากค่าSETหรือปล่าว
ซึ่งผมมองว่าค่าSETใช้เพียงอ้างอิงเท่านั้นเพราะค่าSETไม่รวมปันผล และค่าSETรวมทั้งบริษัทเน่าๆและดีๆแต่เราสามารถเลือกบ.ดีๆได้ไม่ยาก ยิ่งถ้าสิงสถิตอยู่ในTVIนี้แล้วยิ่งไม่ยากเท่าไหร่ครับ.....และอย่าลืมว่ามีบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้นทุกปีซึ่งสิ่งนี้จะมีผลกับค่าSETอย่างไรครับ? และยังมีบริษัทที่ล้มละลายไปมากมายเช่นกันซึ่งคิดว่าก็น่าจะมีผลกับSETครับ
   ดังนั้นหากจะดูว่าผลตอบแทนเท่าไหร่จริงๆ ผมคิดว่าไปดูที่ตัวหุ้นนั้นๆเลยน่าจะชัดเจนกว่าครับ เช่นตัวหลักๆ PTT ผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลังซัก10ปีเท่าไหร่? หรือตัวอื่นๆเช่น SCC STANLY SCB etc. น่าจะชัวร์กว่าการมองจากSETนะครับ หรือยังไงครับช่วงวิจารณ์ด้วยนะครับ

4.กรณีที่มีคนโพสว่าหากปีหนึ่งขาดทุนซัก50%จะทำอย่างไร....ผมมองว่าคำว่าผลตอบแทนเฉลี่ยหลายถึงเอาทุกๆปีมารวมกัน ถ้าสมมุติปี2008ขาดทุน50% แล้วปี2009ที่ได้กำไร100%ละครับเอาไปไว้ไหน ผมเข้านะครับว่ามองสองด้านและมองในแง่ร้ายไว้ก่อน ซึ่งโดยส่วนตัวผมเป็นคนมองแง่ร้ายเผื่อไว้เสมอครับ....แต่ผมอยากให้คิดว่าคนส่วนใหญ่สามารถทำได้จะดีกว่านะครับ เพราะถ้าเราเกิดมองต่ำๆ บางคนได้10% หรือไม่ขาดทุนก็อ้างคนส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนี้ ถ้าอ้างอย่างนี้เขาจะไม่พัฒนาตัวเองครับ ผมอยากให้มองว่าคนปกติคือกำไร10%ต่อปีครับ ถ้าทำได้10%ต่อปีจะได้ไม่เหลิงคิดว่าเรามีความรู้ดีแล้ว แต่จริงๆแล้ว10%ถือว่าระดับปกติครับคุณไม่ได้เก่งเลยครับ ควรจะศึกษาเพิ่มหาสาเหตุและพัฒนาให้อย่างน้อยมากกว่า15%ก็ยังดี ถ้าใครได้20%ถือว่าอยู่ตัวครับ เก่งครับ

5.บางคนอ้างว่า70:10:20 คือ เสีย:เสมอตัว:ได้ และกล่าวว่าคนส่วนใหญ่ดังนั้นเราไม่เสียก็ถือว่าเก่งแล้ว ผมว่าผิดครับ ผิดอย่างมากครับ จะเรียกได้ว่าเก่งต้องทำได้10%ขึ้นเท่านั้นครับ แล้วยิ่งคนในTVIนี้ยิ่งแล้วใหญ่ครับ ผมว่าคนในTVIส่วนใหญ่ได้ด้วยซ้ำครับ.....
ผมมองและประเมินว่าสามเหตุที่มีคนเสียเยอะ เพราะคนที่เสียเหล่านั้นเป็นคนหน้าใหม่ๆที่เข้ามาครับไม่ใช่คนปัจจุบัน สมมุติเข้ามา2คน 1คนได้ 1คนเสีย 1ปีผ่านไปคนได้ยังอยู่แต่คนเสียออกไป คนใหม่เข้ามา เสียอีก แล้วออกไปอีก จะเห็นว่าสาเหตุที่คนเสียมากกว่าคนได้เพราะคนเสียไม่ใช่คนหน้าเดิมๆ แต่เป็นใหม่ที่เข้ามาเสียแล้วอ้างว่าเป้นเพราะตลาด(ไม่มองตัวเอง)แล้วออกไปคนใหม่เข้ามาอีกเจอกรณีเดียวกันเป็นวงจร ดังนั้นผมว่าสาเหตุที่คนเสียเบอะกว่าคนได้นั้นไม่แปลกครับ.....ผมเชื่อว่าหากเลือกคนที่ลงทุนในหุ้นมาเกิน5ปี มาโหวตกัน ผมว่าคนเล่นได้เยอะกว่าแน่นอนครับ

6.และ20%ของพี่vichit นี้เป็นกำไรทบต้นแบบคิดต่อปีนะครับ ไม่ใช่คิดรายวันส่วนผลตอบแทนของกูรูทั้งหลายเป้นแบบรายวันครับ เช่นดร.นิเวศน์
ผลตอบแทนคิดแบบรวบปีก็40% แต่ถ้าคิดทบต้นรายวันก็เหลือแค่35%ครับ
ดังนั้น20%แบบคิดหวะปีท้ายปีแบบพี่vichitนี้เท่ากับ18.25%เท่านั้นครับ

7.อ่านคห.หนึ่งบอกว่ากระทู้ขายฝัน....ฝันคือคิดในสิ่งที่เป้นไปไม่ได้ครับ แต่ถ้าคิดในสิ่งที่เป็นไปได้และทำมัน ผมเรียกว่าเป้าหมายครับ ผมมองว่ากระทุ้นี้ดีมากๆเป้นการกระตุ้นให้หลายๆคนมีเป้าหมายและเดินไปตามหลักPDCAผมเชื่อว่าถึงแน่ๆครับ และที่สำคัญมีคนทำมาแล้วครับ เยอะด้วย แถมวนๆเวียนๆอยู๋แถวนี้หลายคนครับอิอิ ซึ่งคิดดูนะครับว่าง่ายกว่าการตั้งเป้าหมายกับสิ่งที่ยังไม่มีใครเคยทำได้อีกนะครับแครื่องบิน หลอดไฟ และอีกหลายๆอย่าง เป็นการตั้งเป้ากับความฝันที่ยังไม่เคยมีใครในโลกทำได้ เขายังทำได้เลยครับ แล้วนี่เพื่อนๆแค่ตั้งเป้ากับสิ่งที่ชาวTVIทำกันได้...โอยยเกิน20%นี่ผมว่าเป้นพันคนนะครับ 555+

พอก่อนดีกว่าเดี่ยวพี่ๆจะดุเอา อิอิ
อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ อยากแชร์ความรู้กับพี่ๆ อยากให้ช่วยวิจารณ์สั้งสอนความคิดผมด้วยนะครับ สังคมTVIจะได้มีศัยภาพมากขึ้น....

ปล1.ฝากคำคมไว้2อันครับ น่าจะเหมาะกับกระทู้นี้ครับ
"ฝันให้ไกล ไปให้ถึง แม้นครึ่งทางก็ยังดี"
"ตีลูกให้ถึงดวงจันทร์ แม้นพลาดก็อยู๋ท่ามกลางดวงดาว"

ปล2.ขอบคุณพี่vichitมากๆๆๆครับ ผมหาสูตรเงินในอนาคตแบบลงทุนเพิ่มเรื่อยอย่างนี้มานานเนื่องจากเรียนแล้วลืมครับ555+ ส่วนใหญ่ที่เจอก็เป็นตารางนะครับ แต่ของพี่เป็นสูตรเลย ของคุณมากๆๆๆครับ

ปล3.ขอสรุปสูตรนะครับ สำหรับคนมีเงินลงทุน1ก้อน และเพิ่มทุนด้วย
สูตร
F=P*(1+i)^i         กรณีลงทุนก้อนใหญ่ก้อนเดียว
AF=A*((1+i)^i)/i   กรณีลงทุนเพิ่มทุกเดือน
ตัวอย่าง
สมมุตอนนี้ผมมี 3แสน จะลงทุนเพิ่มเดือนละ1หมื่นบาท
ด้วยผลตอบแทน20% เป็นระยะเวลา 26ปี
(คิดแบบตัวปีท้ายปีละกันครับจะได้ไม่ซับซ้อน)
F10ปี=300000*(1+0.2)^(26)+10000*12*(1+0.2)^(26)/0.2
=103ล้าน

เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 11, 2010 2:42 pm
โดย Radio
ผมว่าคุณ Picklife มองในแง่ดีเกินไปซะแล้ว
ถ้าคุณอยู่ในตลาดนานๆ คุณจะรู้ว่า กำไร 20%ต่อปี
โดยเฉลี่ยมันยากมากๆ  
  ถ้าปี 08 ขาดทุน 50% พอปี 09 กำไร 100%
เท่ากับว่า 2 ปีนี้ ( ปี 08+ ปี 09) เฉลี่ยแล้วคุณเท่าทุน
(เท่ากับว่าเสียเวลาไปฟรีๆ 2 ปี)  ดังนั้นปี 10 และปีต่อๆ
ไปคุณต้องทำกำไรให้ได้มากกว่า 20%

เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 11, 2010 2:46 pm
โดย ส.สลึง
[quote="Radio"]ผมว่าคุณ Picklife มองในแง่ดีเกินไปซะแล้ว
ถ้าคุณอยู่ในตลาดนานๆ คุณจะรู้ว่า กำไร 20%ต่อปี
โดยเฉลี่ยมันยากมากๆ

เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 11, 2010 4:35 pm
โดย picklife
คุณ....ส.สลึง ครับ
พ่วงบาดแผลเต็มตัวด้วยนะครับ 555+


Radio say:
"ถ้าคุณอยู่ในตลาดนานๆ คุณจะรู้ว่า กำไร 20%ต่อปี โดยเฉลี่ยมันยากมากๆ"
         ยากมากๆ แสดงว่ายังเป็นได้ใช่ไหมครับ.....ประเด็นนี้แหละครับ คือประเด็นที่ผมอยากรู้มากๆครับ ว่ามันยากขนาดไหน??? อันนี้ไม่ได้กวนนะครับพี่ แต่ผมอยากรู้จริงๆครับ....อยากรู้ว่าคนที่ได้เกิน20%เขาทำอย่างไร? มีชีวิตอยู่อย่างไร? ศึกษาหนักขนาดไหน? และมองว่า20%มันยากขนาดไหน?


   อยากสร้างทำเนียบประวัติรวมของคนที่ทำกำไรเกิน20%จังเลยครับ....อยากรู้ว่าการจะไปถึงจุดนั้นจะต้องอ่านหนังสือเยอะขนาดไหน ดูหน้าจอมากขนาดไหน หรือเรียนอะไรมา หรือไม่ได้ขึ้นอยู๋กับความรู้แต่เป็นทัศนคติ เรื่องความรู้ผมว่าถ้าแค่รู้แล้วไปถึงได้ มันก็ง่ายเกินไปแล้วครับ ไม่งั้นคนจบสายการเงินก็รวยกันหมดแล้ว....หรือคนที่จบสายบัญชีก็น่าจะรวยกันหมดแล้ว....
แสดงว่ามันจะต้องมีอะไรมากกว่านั้นครับ....ดังนั้นพี่ๆช่วยแนะหน่อยซิครับว่าสิ่งนั้นคืออะไรครับ???? พี่Radioและพี่ๆท่านอื่นช่วยกันแนะหน่อยซิครับ....

เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 11, 2010 5:07 pm
โดย Joga Bonito
ตามไปดูในเว็บ เห็นเขาโพสต์ reply มาแบบนี้ครับ :D  :D
marilyn409
Oct 3 2007, 09:40 AM
กุมีทุน แต่ความรู้ไม่ถึง เมิงเล่นแทนกุได้มั้ยละ 555+

เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 11, 2010 5:30 pm
โดย newbie_12
ต้องเจอวิกฤติหนักๆซักรอบ น่าจะเข้าใจโลกมากขึ้น

ปี 2551 ที่ตลาดตกหนัก มันยังดีนะครับ ที่ปี 2552 มันดีดกลับขึ้นมาเร็ว ถ้าเจอตลาดหมีต่อเนื่องยาวนาน แบบคราวก่อนๆ

มันเศร้ากว่าปี 2551 มากมายครับ

เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 11, 2010 5:37 pm
โดย ซากคน
จะไปให้ถึง  เป้าหมายทางการเงินส่วนตัว ที่วางไว้
ไม่มีใครบอกให้ไปได้วิธีเดียวนี่ครับ

วิธีนี้ไม่พอ  ก็เสริมวิธีอื่นเข้าไป
ตั้งเป้าหมายให้สูงเข้าไว้
จิตจะได้เดิน  สมองจะได้ทำงาน

ไม่มาสงสัยก่อนตายว่า  สุดๆแล้วนี่  ตรูวิ่งได้ไกลแค่ไหนกัน

เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 11, 2010 5:53 pm
โดย picklife
แถวบ้านเรียกว่า ไม่เห้นโลงศพไม่หรั่งน้ำตาครับ 555+
ถ้าผมหรั้งน้ำตาเมื่อไหร่จะมาซบพี่ชาวTVIละกันนะครับ 555+

เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 11, 2010 6:02 pm
โดย ส.สลึง
picklife เขียน:คุณ....ส.สลึง ครับ
พ่วงบาดแผลเต็มตัวด้วยนะครับ 555+
ไม่หรอกครับ ปี 51 ปีเดียว พอร์ตผมหดไปประมาณ 50%
แต่ความจริง ตั้งแต่ลงทุนมา
พอร์ตของผมหดจนจมทุนไปนิดหน่อย :wink: ...

ต้องขอบคุณประสบการณ์ที่ได้มาในครั้งนี้ครับ
นับว่าคุ้มค่ามาก
มากกว่าผลตอบแทนที่ได้รับ :)

เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 11, 2010 6:39 pm
โดย picatos
picklife เขียน:...
ผมเข้าวงการการลงทุนมาแค่1ปียังไม่เคยเจอช่วงวิกฤติโหดๆ สำหรับสายตาพี่ผมคงยังเด็กละอ่อนจริงๆครับ
...
ลงทุนมาแค่ 1 ปี แต่ความคิดคมมากๆ... ถ้าคุณ picklife เป็นสาว เอ๊ย คนประเภท 2 จริง ผมขอแนะนำให้คุณ picklife ไปฝึกวิชากับคุณ winkung กระบวนท่า

:wall:  :wall:  :wall:

ตั้งเป้าให้สูง แล้วกระแทกมันเข้าไป อุปสรรคมีไว้กระแทก...  :cool:

(แต่ก็อย่าอัดมาร์จิ้นโดน force sell ซะจนหนี้สินล้นพ้นตัวซะก่อนล่ะ)

ผมว่าคนคมๆ อย่างคุณ picklife นี่ฝึกวิชาสักระยะ ถ้าไม่ท้อ หรือฝ่อไปซะก่อน นี่อาจจะกลายร่างเป็นเทพได้เลย... ยังไงเอาใจช่วยครับ

เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 11, 2010 7:08 pm
โดย หมักเตา
เอี๊ยดดดดดด...... เอาตัวเข้ามารายงาน  :D

มีใครเคยไปทำ MLM มั๊ยครับ คติพจน์เค้าคือ ดูว่าใครเป็นผู้ที่ทำสำเร็จ ให้เค้ามาสอนว่าทำยังไง แล้วก็ทำตามนั้น

ถามว่าให้ผมเปิดบริษัท โดยบริหารตามแนวทางของ CEO เก่งๆ โอกาสสำเร็จก็คงมีสูงกว่าไปงูๆ ปลาๆ จัดระบบเอง
ปัญหาคือมันเหนื่อยและเครียด ผมเลยเลือกเป็นแค่ผู้ถือหุ้นของบริษัทดีๆ ให้ CEO เก่งๆ เป็นคนบริหารดีกว่า

ทีนี้จะเลือกหุ้นยังไงไม่ให้เหนื่อยและเครียด ก็สูตรเดิม คือให้คนที่ทำสำเร็จเป็นผู้เลือกหุ้นให้และบริหารพอร์ทให้ดีกว่า เอ๊ยยย... ไม่ช่ายยย...
ให้ไปดูว่าใครเป็นผู้สำเร็จแล้วก็เลียน เอ้อ... เรียนรู้จากเขา ผมว่าผลตอบแทนดีๆ ต่อปีในระยะยาวน่าจะมีโอกาสเป็นไปได้เหมือนกันครับ

เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 11, 2010 7:45 pm
โดย Linzhi
คุณ picklife โพสต์มีประเด็นน่าสนใจดีครับ

ผลตอบแทน 10, 15, 20% ที่ต่างกันในระยะยาวก็ส่งผลมหาศาล

เอาแค่ 10 กับ 11 ก็ต่างกันแล้วครับ

ผลตอบแทน 10% 30 ปี ต่อ 1 ล้าน = 17.45 ล้าน
ผลตอบแทน 11% 30 ปี ต่อ 1 ล้าน = 22.89 ล้าน
ผลตอบแทน 12% 30 ปี ต่อ 1 ล้าน = 29.96 ล้าน
ผลตอบแทน 13% 30 ปี ต่อ 1 ล้าน = 39.12 ล้าน
ผลตอบแทน 14% 30 ปี ต่อ 1 ล้าน = 50.95 ล้าน

ระยะสั้นมันจะต่างกันมาก แต่เฉลี่ยไปหลาย ๆ ปี มันก็เขยิบเข้าสู่ค่าเฉลี่ยเอง

สำหรับ 10% พอรึเปล่า ถ้าได้ต่อเนื่อง ผมว่าโอเคนะ ถ้าคุณลงทุนหุ้น bluechip พอร์ตใหญ่ และมีจำนวนหุ้นกระจายตัว

ถ้าเป็นหุ้นเล็ก หรือเสี่ยง ก็ควรจะได้มากกว่านี้ สำหรับตลาดหุ้นเกิดใหม่อย่างตลาดหุ้นไทย

ที่สำคัญคือต้องรู้ความเสี่ยงคร่าว ๆ ของตัวเอง เช่น จำนวนหุ้นที่ถือ และคุณภาพหุ้นที่ถือ

ถ้าจำนวนน้อย ควรจะคาดหวังผลตอบแทนสูง เพราะเสี่ยงมาก
คุณภาพหุ้น หุ้นมีขนาดเล็ก ก็ควรจะคาดหวังผลตอบแทนสูงเช่นกัน

เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 11, 2010 8:35 pm
โดย แงซาย
Nothing  is  impossible

เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 11, 2010 9:53 pm
โดย [v]
[quote="killyz"][quote="[v]"][quote="killyz"][quote="[v]"]ผมถามว่า ตอนหุ้นลงหนักๆ ที่ปันผลมากกว่า 20-30 % มีใครได้ซื้อเก็บไว้รึปล่าว ถ้ามีก็คนนั้นหล่ะ ที่จะกำเงินล้าน

เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้

โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 12, 2010 8:56 am
โดย picklife
คุณ ส.สลึง บอกว่าได้ประสบการณ์ซึ่งถือว่าคุ้มมากๆ ถ้าหลายๆคนคิดอย่างนี้ตลาดหุ้นบ้านเราน่าจะเจริญรุ่งเรื่อง(กว่านี้)นะครับ555+
สรุปได้ว่าการเล่นหุ้นมีแต่ได้กับได้...แต่ขึ้นอยู่กับว่าจะได้ตังหรือได้ประสบการณ์....แต่หากไม่ท้อและถอยไปซักก่อนก็น่าจะได้ทั้งสองอย่างใช่ไหมครับ 555+

คุณpicatosครับ คุณwinkung คือใครครับ? เหอะๆ อยู่ในTVIหรอครับ? เป็นคนแบบไหนครับ? อยากรู้จังครับ อิอิ
ดาบที่คมไปมักจะบางนะครับแฮ๊ะๆ ขอบคุณครับที่ให้กำลังใจ....ผมแน่วแน่จริงๆกับด้านนี้ จะตั้งใจมากๆ และจะไม่หนีไปไหนเด็ดขาด เพราะผมว่าที่นี่แหละคือสุดยอดแหล่งรวมโอกาส....มีคุณค่าและมีความหมายมากๆ แม้นวันหนึ่งผมอาจจะเจ็บตัวจากที่นี่ก็ไม่เคยคิดถอย เพราะหากผมเจ็บตัวแสดงว่าผมทำตัวเอง ไม่ได้หมายความว่าตลาดด้วยคุณค่าลงไปเลย....

คุณ หมักเตา ผมครับผม ผมทำครับ555+ ทำมา3-4เดือน เรื่อยๆไม่ได้ซีเรียสอะไร ไปดูโอกาส ไปดูเรื่องราว จะได้เก็บไว้เป็นประสบการณ์ชีวิตครับ อิอิ
แต่อย่างที่คุณหมักเตา บอกว่าเลียบแบบคนเก่งๆก็สำเร็จอันนั้นใช้ได้สำหรับMLMครับ แต่สำหรับตลาดหุ้นผมว่าต้องใช้เยอะกว่านั้น เพราะว่าปัจจัยในตลาดหุ้นนั้นมีมากมายเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นผลประกอบการบริษัท ช่วงรอบธุรกิจ เศรษฐกิจไทย,เอเซีย,โลก และแม้นกระทั้งอารมณ์ ผมเชื่อว่ากูรูสามารถถ่ายทอดความรู้ที่มีได้ไม่เกิน50%ของที่กูรูผุ้นั้นมีครับเพราะมันยังมีความรู้ที่มองไม่เห็นอีกเยอะ และใน50%นั้นเราสามารถรับมาได้เท่าไหร่? สมมุติรับมาได้80%ของ50%ของกูรู  ก็เท่ากับว่าคุณได้ความรู้มาแค่40%ของกูรู ยังไม่พอมีความรู้แล้ว แต่ความรู้ที่คนคนนั้นสามารถนำมาใช้ประโยชน์ไจริงมีเท่าไหร่? ผมว่าเผลอๆอาจจะแค่ครึ่งเดียวครับ...นั่นก็เท่ากับว่าคุณมีความรู้เพียง20%ของกูรู ซึ่งโดยส่วนตัวผมว่าไม่พอครับ ดังนั้นผมขอแนะน้องๆ(พี่ๆคงไม่ต้องเพราะพี่ๆในนี้เทพๆทั้งนั้นครับอิอิ)  
.....ว่าแค่อ่านหรือดูดความรู้และความคิดของกูรูมายังไม่พอ คุณจะต้องประเมินและวิเคราะห์ความรู้ที่มีใหม่ทั้งหมดทั้งหมดและคิดต่อยอดเป็นความรู้ในรูปแบบของคุณเอง คุณได้มา20%แต่อีก80%ต้องคิดเอง สิ่งหนึ่งที่แนะนำง่ายนะครับว่า คุณอ่าน1คุณต้องคิด2 ต้องคิดให้มากกว่าที่อ่านครับ....เพราะถ้าอ่านมากกว่าคิดเมื่อไหร่คุณก็จะกลายเป้นกลุ่มลัทธินิยม เช่นกูรูท่านโน้นบอกอย่างนี้เราต้องทำนะ  กูรูท่านนี้บอกอย่างนี้แต่คุณทำต่างไปคุณกำลังผิดนะ ผมว่าการเล่นหุ้นไม่ต่างกับการใช้ชีวิตไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว อาจจะใช้กับคนนี้แต่อาจใช้ไม่ได้สำหรับเราครับ.....(จบดีกว่าเดี๋ยวเปลืองพื้นที่ ที่พี่ๆเทพจะสอนน้องๆอิอิ)


อ่านจากคุณLinzhi ทำให้ผมนึกมาได้ประเด็นหนึ่งครับ...นั่นคือเรื่องความเสี่ยงที่ไม่เท่ากัน  ทำให้ผมคิดได้ว่าสมมุติกูรูระดับโลกทำได้20% แต่พี่เทพTVIทำได้40-50% ก็ไม่ได้หมายถึงเหล่าเทพTVIจะเก่งกว่า เพราะกูรูระดับโลกได้20%นี้อาจจะถือหุ้นที่ความเสี่ยงต่ำมากๆเอาแบบช้าแต่ชัวร์  แต่เทพTVI40-50%นี้อาจจะมีความเสี่ยงมากกว่า ซึ่งหากค่าความเสี่ยงนี้สามารดวัดได้เป็นตัวเลข แล้วนำกำไร-ความเสี่ยง มาเทียบกันอาจจะพบว่าค่าของกูรูระดับโลกนั้นสูงกว่ามากๆก็ได้ แต่น่าเสียดายที่ค่าความเสี่ยงนี้ไม่มีใครมองเห็นและไม่มีใครเอามาบอกกันเช่น ปีนี้พี่บัฟกำไร30%โดยมีดีกรีความเสี่ยง10%  พี่TVIกำไร40%โดยมีดีกรีความเสี่ยง30% แต่โดยมากเราก็จะรู้กันแค่ว่าพี่บัพ+30% พี่TVI+40%  ดังนั้นพี่TVIเก่งกว่าครับ555+ เมื่อก่อนผมก็เป็นคนหนึ่งที่คิดอย่างนี้จริงๆครับ แม้นพี่บัฟจะลงทุนมายาวนานมากๆ เมื่อเทียบTVIก็ตามแต่หากพี่TVIเคยลงทุนมาก่อนปี2540ก็น่าจะวัดผลได้แล้วเพราะผ่านศึกมาเยอะแล้วเห็นเส้นแนวโน้มการเติบโตที่คงที่และชัดเจนเกิน10ปีไม่ต้องรอให้พอสูจน์เท่าๆพี่บัๆก็ได้.....แต่แท้จริงใครจะรู้ว่าแม้นพี่บัฟจะ+20%แต่ความเสี่ยงอาจเทียบเท่าพันธบัตร(เทพจริงๆ555+)

ปล1.อันนี้มองในมุมมองความเสี่ยงนะครับ แต่อย่าลืมปัจจัยในเรื่องขนาดพอร์ทด้วยนะครับ อิอิ

ปล2.แต่แม้นพี่ๆTVIอาจจะเก่งน้อยกว่าพี่บัฟ แต่ผมก็ชอบความเก่งแบบพี่ๆมากกว่าครับ....ทำไปได้...40-50% เทพจริงๆๆๆ สอนผมบ้างน๊าT^T

เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้

โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 12, 2010 9:29 am
โดย killyz
[v] เขียน:

หรือถ้าเทียบกับปันผลย้อนหลังก็ยังให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจอยู่ดี
ปัญหาคือ ถ้าคุณคิดว่ามันรอดคุณก็จะซื้อแต่ถ้าไม่เชื่อว่ามันจะทำได้คุณก็ไม่ซื้อ

กลุ่มอสังหาริมทรัพย์หลายตัวทำกำไรมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งๆที่อยู่ในช่วงอเมริกาโดนเล่นงาน แล้วก็มีการกระทบไปทั่วโลก พอดีว่าผมเชื่อว่ามันจะรอดผมก็ซื้อ อย่ามองข้ามพวกบริษัทสร้างบ้าน ที่รอดตายจากวิกฤติปี 40 นะครับ
ผมหมายความว่า ระวังการมองปันผลเป็นหลักเพราะจะติดกับดักหุ้นวัฏจักรได้
เพราะเคยสนใจปันผลและ p/e ที่ต่ำจากกลุ่มปิโตรเคมีและกลุ่มเรือ
โดยดูปันผลในอดีตหารู้ไม่มันเป็นกับดัก สิ่งที่ผมจะสื่อมีเท่านี้ครับ

สิ่งที่สำคัญในการวิเคราะห์คือความรู้ในบริษัทและอุตสาหกรรมที่คุณจะลงทุน
ถ้ามองปันผลและค่า ratio ไว้ก่อน ก็ได้ครับ
หวังว่าท่านไม่เจอขาลงพอดี   :twisted:

เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้

โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 12, 2010 11:04 am
โดย Radio
ยังไงก็ตามผมก้ยังคิดว่าผู้ที่ทำได้ 20% ทบต้นในระยะ
เวลายาวนานเป็น 10-20ปีขึ้นไปต้องมีฝีมือเป็นเซียน
แน่นอน   ยกตัอย่างคือ
   ปี 08 มีเงิน 100 บาท กำไร 20% ดังนั้นต้นปี 09
จะมีเงิน 120 บาท
   ปี 09 ปลายปีจะมีเงิน= (120X120)/100=144 บาท
   แต่ถ้าปี08 ขาดทุน 10% ดังนั้นต้นปี 09 จะมีเงิน
90 บาทดังนั้นจะทำให้ได้ 144 บาทจะต้องทำกำไรถึง
( 144-90)X100/90=60% เลยทีเดียว  ไม่ต้องพูดถึง
เลยถ้าขาดทุนมากกว่า 10% เพราะต้องเหนื่อยหนักทีเดียว และถ้าเศรษฐกิจตกหลายปียิ่งแย่ใหญ่
  แต่วีธีแก้ไขคือ
1 ต้องมีหุ้นที่ราคาตกน้อยกว่าตลาด หรือไม่ตกเลย
  (ซึ่งหายากมาก)
2  ต้องหาเงินใหม่มาซื้อหุ้นเพิ่ม
3  มีความสามารถ เปลี่ยนจากหุ้นตัวหนึ่งไปเป็นอีก
   ตัวหนึ่ง โดยที่คิดว่าเมื่อเศรษฐกิจฟื้นหุ้นตัวใหม่
   จะเป็นจรวดวิ่งจู๊ด  (วิธีนี้ทำได้ยากอีเช่นกัน)

เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้

โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 12, 2010 1:38 pm
โดย picklife
กรณี1กำไร
ต้นปี 2008 ลงทุน 100 บาท  (SET100)
ต้นปี 2009 =100*1.2=120บาท  (SET110)
ต้นปี 2010 =120*1.2=144บาท  (SET121)

กรณี2ขาดทุน
ต้นปี 2008 ลงทุน 100 บาท  (SET100)
ต้นปี 2009 =100*.9=90บาท  (SET90)
ต้นปี 2010 =90*1.6=144บาท  (SET121)

ดูแล้วหากพลาดในปี2009 10%  จะต้องเอาคืน60% ดูแล้วน่าตกใจมากๆครับ
แต่......
1.อย่าลืมนะครับ-10% กับ+60% ตัวหารคนละฐานกัน
สมมุติSET100 มาเป็น 50 คือ -50%
แต่ถ้าจะเอาคืน ต้อง+100%
อ่าวแล้วทำไมเสียนิดเดียว แต่เอาคืนต้องมากกว่าละครับ???
ซึ่งมันเป็นภาพลวงตาทาง%ครับ เพราะการทำไร100%คือการแค่SETกลับไปจุดเดิมเท่านั้น.....ไม่ได้ใหญ่โตอะไร

2.ปี2009ที่SET=90 อย่าลืมนะครับถ้าผมตัวอย่างกรณีว่าSETเติบโต10%คงที่  แสดงว่าการที่SET=90 ราคามันต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงอยู่=110-90=20%นะครับ......
ดังนั้น
การทำกำไร60%ในปี2009 จากกรณีที่1(ยากมากๆๆๆ)
กับ
การทำกำไร60%ในปี2009 จากกรณีที่2(เป็นไปได้)
มันคนละเรื่องกันเลยนะครับ....

เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้

โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 12, 2010 3:04 pm
โดย Radio
ในชีวิตจริงเราสนใจว่า Port เราจะโตปีละ 20% ทบต้น
เราไม่ได้สนใจว่า SET จะบวกหรือจะลบ
  จาก Port ของผมในความเป็นจริง หุ้นหลายๆตัวที่ราคา
ลดลงไปแล้ว จนกระทั่งบัดนี้ยังไม่กลับมาเท่าราคาเดิม
เลย (แม้ว่าหลายตัวใน Port จะกลับมามากกว่าราคาเดิม
แล้วก็ตาม) ผมต้องเพิ่มเงินใหม่เข้าไปจำนวนพอสมควร
เพื่อซื้อหุ้นที่คิดว่ามีอนาคต  ถึงแม้ตอนนี้ Port จะโตกว่า
ต้นปี 08 แล้วก็ตาม  แต่ก็ยังไม่ได้ 20% ทบต้นเลย
  แหะๆ ก็เลยรู้ว่าการได้ 20% ทบต้นมันยากมากๆ
และเราก็ไม่ใช่เซียน

เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้

โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 12, 2010 3:16 pm
โดย picklife
เพิ่มเติมข้อคิดเห็นพิเศษนะครับ อยากให้พี่ๆช่วยกันวิจารณ์ด้วยนะครับ

สมมุติผมมองในเรื่องการเก็งกำไร ผมแบ่งเงินไป10%
เจอในกรณี-50%กับ+100% ซึ่งเปรียบเสมือน SET800กับSET400
โอกาสร่วงจาก800เป็น400เพราะคนตกใจสุดๆ
กลับโอกาสที่SETจะวิ่งกลับขึ้นไปขาก400เป็น800 น่าจะพอๆกัน
ถือว่าเป็นการแกว่งตัวรอบใหญ่ของSETเพราะSETไม่ได้วิ่งเลยแค่อยู่จุดเดิม

ผมนำเงิน10%นี้ไปเข้าผิดช่วง จาก10บาทเป็น5บาท ขาดทุน5บาท
ผมนำเงิน10%นี้ไปเข้าถูกช่วง จาก10บาทเป็น20บาท กำไร10บาท
กลายเป้นมีโอกาสขาดทุน5บาท แต่โอกาสกำไร10บาท
ตัวเลขนี้มันบ่งบอกอะไรเราครับช่วยกันวิจารณ์หน่อยนะครับ

แต่สำหรับผมว่ามันบ่งบอกว่า "สุดยอดวิกฤติคือสุดยอดโอกาส"
ปลายปี2008 สมมุติผมมี100 จะเหลือ50ทันที
ปลายปี2009 ผมถือต่อ50 จะใกล้เคียงกับ100ทันที
แต่หลายคนจะบอกว่างั้น2ปีนี้คุณก็หายไป20*2=40%ซิ.......
จริงครับ มันหายไป20% เพราะไม่งั้นก็ 100*1.2*1.2=144 ควรจะเป็นเท่านี้
แต่กลับมีแค่100 ดังนั้นการทำได้20%ยากสุดๆๆๆๆๆ

ถูกครับไม่ได้เถียงเลยครับ เหรียญมีสองด้านเสมอ แต่กรณีคือกรณีที่เลวร้ายครับ เลวร้ายคุณไม่ได้กำไร แต่ที่เลวร้ายนี้เพราะคุณพลาดครับ พลาดโอกาสที่ยิ่งใหญ่ไป......ผมว่าคุ้มมากๆนะครับอยากให้เจอวิกฤติบ่อยด้วยซ้ำ เพราะวิกฤติมักสร้างสุดยอดโอกาสให้คุณเช่นเดียวกัน ได้สุดยอดโอกาสมาแลกกับไม่ได้กำไร2ปี ผมว่าโครตจะคุ้มครับ....

เพราะถ้าสมมุติคุณสามารถคว้าโอกาสนั้นมาได้
ปลายปี2008 สมมุติผมมี100 คว้าโอกาสได้รอดพ้นจากวิกฤติ
ปลายปี2009 ผมถือต่อ100 จะใกล้เคียงกับ200ทันที
ซึ่ง200นี้ถ้าลงทุน20%ปกติต้องใช้เวลา100*1.2^4=207 นั่นก็คือ4ปี

ดังนั้นเมื่อมี1วิกฤติเข้ามาจะมีโอกาสเข้ามาหาคุณเสมอ ว่าจะถอยหลังไป2ปี หรือจะเดินหน้าขึ้น2ปี และผมเชื่อว่าวิกฤติต้องเข้ามาบ่อยๆชัวร์ แต่หากว่าคุณจะคว้าโอกาสไม่ได้ทุกๆครั้งที่เจอวิกฤติเลยหรือ??? อย่างน้อยผมพอตัวไม่เก่งก็ขอคว้าได้ครั้งไม่ได้ครั้งคละๆกันไปก็ยังดีครับ.....

และอีกเรื่องที่สำคัญคือการปรับ%เงินลงทุนในพอร์ท  ดังที่ผมยกตัวไปข้างต้นว่าผมแบ่ง10%(ผมจะเรียกว่า10เฉยๆละกันเดี๋ยวจะงงอิอิ)ไปวัดดวงว่าจะ-50%หรือ+100% ถ้า+100%ผมนิ่งเพราะได้กำไรมา10 ครั้งแต่ไปก็ลงอีก10ถ้า-50%แสดงว่าตอนนั้นราคาต่อกว่าความเป็นจริงแล้ว เห็นโอกาสจาก10เหลือ5แทนที่ผมจะทิ้งไว้ที่5ผมซัดเข้าไปอีก20 พอกลับมาจะเดิม+100% เท่ากับผมได้มา50 เท่ากับกำไร40 พอรอบต่อมาก็กลับไป10เช่นเดิม.....
อันนี้เป็นการใช้ประโยชน์จากหลักสถิติ ดังนั้นผมไม่แปลกใจว่าทำไมคนเก่งๆบางคนถึงล้มละลายเพราะหุ้น....เพราะเขาทำตรงกันข้าม
กลุ่มที่1 ลง10เสีย-50% ขาดทุน5ตกใจหนีไปเลยทิ้งโอกาสงามๆ(รับไม่ได้เพราะเขาคิดว่าเขาเก่ง แต่เจองี๊แสดงว่าตลาดห่วย)
กลุ่มที่2 ลง10กำไร100% กำไร10รวมเป็น20 ดีใจจังมั่นใจมากๆ ลงซัดเพิ่มอีก20 รวมเป้น40 ผลคือ-50% จาก40เหลือ20 แต่ลงทุนไป30 ก็ขาดทุน
ทั้งที่เกมนี้+-เท่าๆกัน แต่เขาไม่เพียงไม่คว้าโอกาส แต่กลับเอาโอกาสมาทิ่มแทงตัวเอง

สรุป
เท่าที่ผมดูจากพอร์ทระดับกูรูทั้งหลาย ถ้าดูราคาหุ้นไม่น่าจะกำไร30-40%ได้ เพราะราคาหุ้นเพิ่มขึ้นมาจากเดิมไม่มากเท่าไหร่ แต่กลับมีเงินปริษณาก้อนหนึ่งเพิ่มขึ้นมาซื้อหุ้นได้.......เงินก้อนนี้ผมว่าไม่ได้มาจากการลงทุนเพิ่มครับ แต่มาจากการคว้าโอกาสได้ หรือที่ดร.เรียกว่าตีแตก ซึ่งถ้าไม่มีการตีแตกแล้วนั้นการทำกำไร20%นั้นอาจจะยากจริงๆครับ แต่การตีแตกผมแบ่งเป็น2กรณี
1.การตีแตกหุ้น อันนี้ต้องใช้ฝีมือจริงๆครับ อย่างที่ท่าน ดร.ซัดกับCPALL ซึ่งผมการรันตรีว่าสามัญชนปกติจะตีแตกอย่างนี้ได้ยากครับ ยากมากๆ แม้นแต่ตัวดร.เองยังทำได้ไม่กี่ตัว และทำไม่ได้ทุกปี  แต่ถ้าตีร้าวๆก็น่าจะพอทำได้นะครับกำไร20-30%ก็ยังดี
2.การตีแตกสภาพตลาด สิ่งนี้ผมว่าคนสามัญชนสามารถทำได้นะครับไม่เกินตัวมากจนเกินไป.....และรายได้ส่วนใหญ่ของกูรูก็มาจากการตีแตกตลาดนี่แหละครับ ยกตัวอย่างนะครับ
ขณะที่SETวิ่งไป1400ผมถามจริงๆว่าคุณคิดว่ามันแพงไหม????ถ้าแพงแล้วทำไมไม่ขายยย
แล้วขณะที่SETวิ่งมาที่200คุณว่ามันถูกไหม?ถ้าถูกแล้วทำไมไม่ซื้อ
แล้วในขณะที่SET800กว่าๆ+ศก.ทำท่าจะร่วง ที่ปลายปี2008 เข้าใจครับว่าไม่มีใครคิดว่าว่าร่วงต่ออีก แต่อย่างน้อยที่สุดทำไมไม่ลดพอร์ท?????
แล้วในขณะที่SET400คุณคิดว่ามันถูกไหมครับ.....แล้วทำไม่ไม่ซื้อหมดหน้าตัก....ได้ยินว่ากูรูหลายท่านซัดมาร์มากมายในช่วงนี้.....

ที่พูดมาหลายคนอาจจะบอกว่าแหมม...ตอนนี้ผ่านมาแล้วก็พูดได้....ก็จริงครับแฮ๊ๆ เป็นผมผมก็คงหัวทิ่มหัวตำเหมือนกัน....แต่ผมก็เชื่อว่าหากเรามีฐานความรู้ที่ดี(ยิ่งคนในTVIยิ่งมีสุง) อย่างน้อยก็ซัดกันมันส์พอตัวเลยนะครับ ก็น่าจะมีอะไรติดไม้ติดมือมาบ้าง ซึ่งผมว่าคงไม่ถึงขนาดเมาหมัดไม่ได้อะไรมาเลย หรือถ้าไม่ได้อะไรมาเลยอย่างน้อยก็ไม่เสียนิครับ แถมได้สุดยอดประสบการณ์ด้วย ดังนั้นรอบหน้าเราน่าจะคว้ามันได้ครับ


ซึ่งโดยส่วนตัวผมก็ยังเชื่อว่า
1.ขาดทุนอันนี้ต้องไปเข้าป่าแล้วหาตัวตนตัวเองให้เจอให้ได้ว่าเพราะอะไร
2.10% ไม่เก่ง ไม่อ่อน
3.20% ถือว่าเก่งใช้ได้เลย(แต่ยังไม่เก่งมากๆ และยังไม่เทพ)
4.30% ถือว่าเก่งมากๆ
5.40% ถือว่าเทพครับ
ปล.สำหรับพอร์ทไม่เกิน100ล้านนะครับ
เพราะ จขกท ตั้งไว้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนเดินดินก้าวไปสู่ร้อยล้าน
ไม่ใช่คนร้อยล้านไปพันล้านนะครับ หุ๊ๆ เพราะระดับพันล้านนี่30%นี่ก็โครตเทพแล้วครับ555+


โหยยยยตายแล้วเขียนเพลินๆไม่นึกว่าจะเยอะอย่างนี้T^T เปลีองหน้าให้พวกพี่เทพถ่ายทอดความรู้หมด ขอโทษคร๊าบบบน้ำเยอะไปหน่อยT^T

เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้

โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 12, 2010 3:42 pm
โดย McDull
ขอแจมด้วยคนนะครับ เห็นคุยเรื่องกี่เปอร์เซ็นต์ แล้วยากไม่ยาก  :D

Anthony Robbins เล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง(ผ่านทางตัวหนังสือ)ครับ  เคยมีความเชื่อว่า มนุษย์ไม่สามารถวิ่งระยะทาง 400 เมตร ได้ภายในเวลาต่ำกว่าหนึ่งนาที ในอดีตเป็นเวลาหลายสิบปี ไม่เคยมีใครทำได้เลย อยู่มาวันหนึ่งกระทาชายนายหนึ่งเกิดทำได้สำเร็จ ปีถัดมาจากนั้นก็มีนักกีฬาหลายสิบคนพร้อมใจกันฝ่ากำแพงนั้นได้ตามไปด้วย

ลองนึกถึงสถิติโลกต่างๆ ในวงการกีฬานะครับ ประเภทที่เราเคยฮู่ฮ่าฮู่ฮ่าเมื่อหลายปีก่อนว่าสุดยอด แล้วก็ให้นึกถึงสองชื่อนี้ Usain Bolt และ Michael Phelps
เรื่องใกล้ตัวเข้ามาหน่อย จำนวนคนที่กลายเป็น millionare หน้าใหม่ ที่นับวันจะมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และในช่วงอายุที่เด็กลงเรื่อยๆ

สถิติของปรมาจารย์ Buffett หลายสิบปีแรก เกิดในช่วงที่โลกยังไม่มีอินเตอร์เน็ท การเข้าถึงข้อมูลยังมีจำกัด ก็ไม่รู้ว่านี่เป็นข้อได้เปรียบหรือข้อเสียเปรียบสำหรับเค้า
แต่ผมว่าในช่วงสิบปีจากนี้ไป สถิติหลายอันอาจจะถูกทำลายลงอย่างราบคาบ เรามีการเข้าถึงข้อมูลที่รวดเร็วขึ้นมาก และมีกลยุทธ์ทางการเงินแปลกๆ ใหม่ๆ ออกมาอีกเยอะ

พูดก็พูดเถอะ ผมว่าเผลอๆ ปรมาจารย์ Buffett เองนั่นแหละที่จะทำลายสถิติเก่าของตัวเอง มาพนันกันมั๊ยครับ  :wink:

เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้

โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 12, 2010 3:45 pm
โดย Radio
ถูกต้องแล้วคุณ Picklife ช่วงวิกฤตก็คือโอกาส ถึงตอนนั้น
หุ้นดีหรือไม่ดีลงหมดทุกตัว  ถ้าเรามีเงินก็ซื้อเพิ่มเลย
อย่าหนีออกไป  แต่ข้อสำคัญคือตอนนั้นเงินจะจมอยู่ใน
หุ้นเกือบหมด (ชาว VI มักจะถือหุ้นเต็มPort) เราจะหา
เงินจากที่ใดละ (บางคนใช้ Margin)
  สำหรับผมโชคดีที่นโยบายลงทุนในหุ้นแค่ 20%
ของเงินลงทุนทั้งหมด จึงพอหาเงินจากส่วนอื่นมาลงทุน
เพิ่มได้ (หลังจากต้องตอบกระทู้ของแม่เสือที่บ้านจน
อ่อนใจกว่าจะได้รับการอนุมัติงบเพิ่ม )

เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้

โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 12, 2010 8:18 pm
โดย SoLid_frOg
แต่ละบอร์ดมีธรรมชาติของกลุ่มจริง ๆ

ข้อความเดียวกันโพสท์ที่ pantip กับที่นี่ ได้ผลตอบรับคนละเรื่องเลยครับ

ที่โน่นมีคนบอกว่า เดือนละ 14000 เดี๋ยวมี 100 ล้าน เมาเบียร์เปล่า ฮาาา  :lol:

เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้

โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 12, 2010 9:21 pm
โดย แงซาย
[quote="Radio"]ถูกต้องแล้วคุณ Picklife ช่วงวิกฤตก็คือโอกาส ถึงตอนนั้น
หุ้นดีหรือไม่ดีลงหมดทุกตัว

เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้

โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 12, 2010 9:23 pm
โดย por_jai
Radio เขียน: (หลังจากต้องตอบกระทู้ของแม่เสือที่บ้านจน
อ่อนใจกว่าจะได้รับการอนุมัติงบเพิ่ม )
:8) เฮียครับอย่าลืมสุภาษิตของน้องsaiนะครับ
     "ซื้อเมื่ออ่อนตัว ขายเมื่ออ่อนใจ"

เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้

โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 12, 2010 9:48 pm
โดย McDull
[quote="McDull"]Anthony Robbins เล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง(ผ่านทางตัวหนังสือ)ครับ

เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้

โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 12, 2010 9:54 pm
โดย McDull
พี่ท่านไหนจะช่วยแปลก็จะเป็นพระคุณครับ
ศัพท์หลายตัวผมก็แปลไม่ออก ผมเลยได้แค่จับใจความหลักๆ  :oops:

เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 13, 2010 8:06 am
โดย picklife
ผมเคยฟังมาเรื่องหนึ่งครับคล้ายๆกันแต่จำรายละเอียดไม่ได้จำได้แต่โครงเรื่องนะครับ

เมื่อหลายสิบปีก่อนมีการจัดแข่งวิ่ง100m.ขึ้น
คนก็วิ่งแข่งกัน 20วิ 15วิ 12วิ และมีการทำลายสถิติจนมาถึงที่10วินาที
ก็ไม่มีใครสามารถทำลายได้อีกทิ้งระยะเวลาหลายปี
จนมีการทำวิจัยขึ้นโดยดร.กูรูทั้งหลาย จนวงการแพทย์ออกมาประกาศว่า
ด้วยสรีระมนุษย์ เราไม่สามารถวิ่งเร้วกว่า10วินาทีได้.....
นับแต่นั้นมาเป็นสิบปีก็ไม่เคยมีใครทำลายสถิติได้เลย
เพราะนักวิ่งทุกคนคิดว่า10วิคือขีดจำกับของความเป้นมนุษย์

จนสุดท้ายนักวิ่งจากประเทศยากจนที่ไม่มีทางเลือกมากนักคนหนึ่ง
กลับดันวิ่งได้เร็วกว่า10วิ แล้วตลกร้ายก็คือ รู้ไหมครัยว่าเกิดอะไรขึ้น
ในปีถัดๆมาก็มีคนทำลายได้เรื่อยๆ จนกลายเป็นเรื่องปกติที่นักวิ่ง100m
จะสามารถวิ่งเร็วกว่า10วิได้555+

555+สาเหตุเพราะนักวิ่งเพิ่งถึงบางอ้อว่าอ๋อขีดจำกัดเราไม่ได้อยู่ที่10วินะ
เหอะๆ หลงโง่มาตั้งนาน.....

ตร่าวๆนะครับใครมีฉบับเต็มโปรดแสดงตัวนะครับ อิอิ

เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 13, 2010 9:56 am
โดย GERRARD007
ผมคิดว่าเราควรที่จะทำงานไปด้วย...และก็ลงทุนไปด้วยน่าจะดีกว่า

เพราะเราไม่ใช่ DAY TRADE ที่จะนั่งเฝ้าหน้าจอทั้งวัน...

เราต้องหาทุนมาลงทุนเรื่อยๆจะดีกว่า...

ถ้าหากเรามานั่งหน้าจอทุกวัน...มันจะทำให้เราไขว้เขว...เห็นหุ้นตัวนั้นขึ้น..ตัวนี้ขึ้น..งอดใจม่ไหว...กลายเป็นเล่นเก็งกำไรไปซะงั้น

ข้อคิดเห็นเพิ่มเติม...

http://www.kewell007.blogspot.com/

เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 13, 2010 12:27 pm
โดย [v]
จากความเหลื่อมล้ำของโลกและระบบการเงิน
เพราะคนเราไม่ได้เทรดหุ้นด้วยศีล 5 กันทุกคน และในสมองของเราก็จะมีซีกหนึ่งที่ควบคุมส่วนอารมณ์ ส่วนอีกซีกนึงตัดสินด้วยเหตุผล  ตรงนี้จะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ

เช่นช่วงเวลาที่หุ้นดีเกินไป  และ แย่เกินไป  เมื่อเทียบกับพื้นฐาน จนเกิดเป็นช่องว่างชัดเจน อย่างช่วงวิกฤติทีเกิดขึ้น หุ้นตกอย่างชัดเจน

ถ้าเราแยกได้ออกว่าอะไรคือ ชัดเจน แล้วให้น้ำหนักได้ถูกต้องถูกจังหว่ะ ผมว่าเราน่าจะทำอะไรได้มากขึ้น

เช่น ในพอร์ตถ้าเป็นนักลงทุนระยะยาว ก็ควรจะมี เงินลงทุนในหุ้น 50% เงินลงทุนในTFEX ,SBL 30%  เงินสด 20%

แต่เราควรใช้ เงินลงทุนในTFEX ,SBL 30% เมื่อเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน เพราะเป็นอุปกรณ์เดียวที่ทำกำไรได้ตอนขาลง ที่ต้องชัดเจนเพื่อลดความเสี่ยง แต่คนที่จะใช้พวกนี้ได้ต้องดูพื้นฐานเศรษฐกิจกับกราฟเทคนิคเป็น

แต่คนที่ถือหุ้นอยู่เต็มพอร์ตตลอดเวลา แล้วหุ้นมันตก แต่ก็ไม่คิดที่จะขาย ผมก็คิดว่า เขาควรเอาหุ้นเขาไปปล่อยให้คนอื่นเช่า เรียกง่ายๆก็คือให้คนอื่นไปทำ SBL แล้วเอากินดอกเบี้ย

หรือหากเราไม่ถนัด TFEX ,SBL จริงๆก็ ให้ฝากเงินให้มืออาชีพกองทุนระดับโลกที่ ถนัดการลงทุนใน สภาวะเศรษฐกิจ ดีเกินไป เมื่อเรามองเห็นว่ามันดีเวอร์จนเกินไป หรือ หุ้นเริ่มตกจากวิกฤติทางเศรษฐกิจช่วงต้น


ตราบใดที่เรามีเงินสดเราก็จะมีโอกาสเสมอ จึงต้องมีเงินสดติดพอร์ตไว้ 20%

เป็นไอเดียนึงนะครับ  มันอาจจะไม่ Value Invester แท้ๆนะครับ

อย่างต่อไปจะเปิดเขตการค้าเสรี ผมก็กำลังพยายามศึกษาว่า ผมสามารถทำ SBL หรือ TFEX ในประเทศที่เสี่ยงต่อสภาวะฟองสบู่แตกได้รึไม่ เช่น เวียดนาม เป็นต้น โดยเข้าทำในจังหว่ะระยะเริ่มต้นของวิกฤติ
:twisted: