Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

ดูวัยเด็กของคนที่ประสบความสำเร็จเหล่านั้นสิครับ... ผมอยากเห็นสังคมของเด็กไทย รักอะไรก็ทำ ก็ลุยมันให้เต็มที่ เหมือนเศรษฐีเมกาที่แบบเปิดโรงรถทำเป็นชอร์ปตัวเองอะไรแบบนี้
คือไม่อยากให้พ่อแม่ปลูกฝังว่า เอะอะอะไรก็เรื่องเงินไว้ก่อน... ทั้งๆที่เด็กก็มีพรสวรรค์ในตัวของเค้า

เรียนสูง <> รวย <> ประสบความสำเร็จ

เรียนสูง จบสูง เป็นแค่ปัจจัยนึงเท่านั้นครับ
 - ผมก็จบแค่ปริญญาตรี ที่ทำงานเดิม เป็นผู้จัดการคนเดียวที่บริษัทเก่าที่จบปริญญาตรี คนอื่นโทหมด  แต่ผมไม่เห็นความแตกต่าง หลายอย่างทำได้ดีกว่าด้วย ( รวมถึงหัวหน้าก็ไม่ได้คิดว่า จบป.ตรี เป็นผู้จัดการไม่ได้)
 - ที่ทำงานปัจจุบัน เพิ่งเคยทำงานกับคนจบ ด๊อกเตอร์ ผมก็ไม่เห็นความแตกต่างเหมือนกัน  แม้ที่นี่จะให้ความสำคัญกับพื้นฐานการศึกษาที่จบมา แต่สุดท้ายก็ต้องดูว่า เราทำอะไรได้ดีแค่ไหน ไม่ได้ประเมินผลงานจากวุฒิที่จบครับ เพียงแต่ไม่ได้จบต่ำเกินไป เพราะจะมีผลต่อการเลือกเข้าทำงาน
 - คนที่เรียนเยอะ เรียนสูง ผมว่า หากมีความสุขกับการเรียน อยากที่จะรู้มากขึ้นก็เรียนเถอะครับ ผมยังอยากเรียนเลย แ่ต่ยังไม่ใช่เวลา เพราะต้องทำงานมาก และก็สามารถศึกษา เรียนรู้สิ่งที่อยากรู้ อยากเรียนได้เองส่วนหนึ่ง   :lol:
 - จบ วิศวะ  ตอนเรียนตก econ แต่สุดท้าย ก็ต้องมาหัดอ่านงบ ศึกษาแนวทางธุรกิจ  เรียนอะไรๆ อีกมากมาย เพื่อจะเป็น VI ให้ได้ แม้ตอนนี้ในพอร์ทจะ แดงดีสีไม่ตกก็ตาม  

nandeandw เขียน:

ผมคิดไม่เหมือนกับพี่Picklifeนิดหน่อยครับ ณ ตอนนี้ รู้สึกว่ามีหลายอย่างที่ผมยังต้องเรียนรู้อีกมาก เลยคิดว่าทุกๆปีจะจัดเงินลงทุน % สัดส่วนนึงของport ไว้เป็นค่าการศึกษา

@bangkok เขียน:ฉลาดแล้วรวย....เยอะแยะ
โง่แล้วรวย....เยอะแยะ
ฉลาดแล้วจน....เยอะแยะ
โง่แล้วจน....เยอะแยะ

   

เย้ทำ cool cool เป็นละหาตั้งนาน อิอิ

Voldtrest เขียน:

สอบชิงทุนเรียนต่อสิพี่

ko_hisashi เขียน:ผมงงครับใครๆก็ว่าถ้าจบสูงๆเป็น DR จะประสบความสำเร็จแต่เห็น

หลายต่อหลายคนไม่จบ ตรี เช่น Bill Gates กลับเป็นคนที่รวยที่สุด

ในโลก เจ้าสัวหลายๆคนในประเทศไทยเราก็จบแค่ ป.4

การศึกษาจะทำให้เราประสบความสำเร็จไหมครับ

แล้วทำไมคนที่เป็น DR ไม่ติด 100 คนรวยครับ

ผมว่าถ้าจะวัดการประสบความสำเร็จผ่านความรวย น่าจะใช้ค่าฐานนิยม หรือค่ามัธยฐาน ของรายได้คนจบ ดร. กับไม่จบ ดร. น่าจะสะท้อนความจริงได้ดีกว่าค่า max นะครับ... แต่ก็อย่างว่าแหละ ค่า median หรือ mode นี่มันหายากกว่า max

picklife เขียน:

ผมคิดไม่เหมือนกับพี่Picklifeนิดหน่อยครับ ณ ตอนนี้ รู้สึกว่ามีหลายอย่างที่ผมยังต้องเรียนรู้อีกมาก เลยคิดว่าทุกๆปีจะจัดเงินลงทุน % สัดส่วนนึงของport ไว้เป็นค่าการศึกษา

การศึกษา กับ ปริญญา ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกันเลย

ในชีวิตมีการศึกษามากมายบ้างก็มีประกาศนีย์บัตร บ้างก็ไม่มี

• การเรียนในสถาบันต่างๆ
• การอบรม
• การสัมนา
• การอ่าน
• การพูดคุยกับผู้คน
• การไปงานจิบเบียร์
• การกระทำ
• การทดลอง
• การก้าวข้ามอุปสรรค
• ชัยชนะ
• ความพ่ายแพ้
• การแบ่งปัน
• การหักหลัง
• การถูกรัก
• การถูกเกลียด
• การริเริ่ม
• การลอกเลียน
• การเรียนรู้ความผิดพลาดของผู้อื่น
• การเรียนรู้ความผิดพลาดของตนเอง

ผมว่าคนเราสามารถศึกษาได้จากทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ได้ยิน ได้ฟัง ได้สัมผัส ได้เสพ ได้ลอง
แต่ชีวิตของคนที่ผ่านอะไรมามาก ก็อาจจะไม่มีการศึกษา ถ้ามันผ่านมาแล้วก็ผ่านไปโดยไม่เกิดการเรียนรู้

คนเคยที่ล้มเหลว แล้วประสบความสำเร็จ เพราะเขาศึกษาเรียนรู้จากความผิดพลาด
คนที่ล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ไม่เคยเรียนรู้อะไร จึงไม่มีวันประสบความสำเร็จ

แม้ บิล เกตส์ อาจจะไม่ได้จบมหาลัย แต่ผมมั่นใจว่า บิลเกตส์ มีการศึกษา

สมัยก่อนตอนเป็นเด็ก ผมก็เคยตั้งคำถามแบบนี้ ว่าเราเรียนไปเพื่ออะไร

แล้วก็เอาอะไรมามากมาย มาอ้างแบบเจ้าของกระทู้ว่า แล้ววันหนึ่งผมก็รู้ว่า ผมคิดผิด การที่ผมไม่ได้ตั้งใจเรียนวันนั้น ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนแปลงไปมาก ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมคงตั้งใจเรียนอย่างที่สุด

ที่เจ้าของกระทู้ยกตัวอย่างมานั้น เป็นข้อยกเว้นเสียมากกว่า คนพวกนั้นเป็นคนที่มี vision

ผมได้รู็้จักอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านเติบโตมาจากต่างจังหวัด แล้วสอบชิงทุนได้ไปเรียนโท และ เอก ที่ Wharton business school ท่านให้ความสำคัญกับการศึกษามาก ท่านว่าการศึกษาเปลี่ยนแปลงคนได้ ลูกท่านทุกคนเรียนจบอเมริกาทุกคน และมีหน้าที่การงานดี

จากเด็กต่างจังหวัดสามารถส่งลูกเรียนเมืองนอกได้ทุกคน นี่คือชีวิตจริง

ผมไม่เถียงว่าคนไม่มีปริญญาหาเงินมากได้ แต่ว่าถ้าเรามีสิทธิเลือกเราเลือกการเป็นคนที่เรียนสูงแล้วหาเงินได้มากไม่ดีกว่าหรอ

คนสองคน ผม assume ว่ามีความรู้ความลงทุนเท่ากัน
1. ถ้าคุณเรียนดี งานที่ดีวิ่งเข้ามาหาคุณ คุณมีรายได้ดีแล้วนำไปลงทุนที่ดีกำไรมาก

2. คุณการศึกษาไม่ดี เงินเดือนน้อย เงินเก็บน้อย การที่คุณจะสามารถจะทำกำไรได้มากกว่าคนที่ 1 ได้อย่างไร จะเป็นไปได้อย่างไร

สรุป ถ้ามีโอกาสเรียนเรียนไปครับ ยิ่งเราเรียนได้ดีมาก โอกาสเราจะมากขึ้น

การเรียนในห้องเรียน ส่วนใหญ่เข้าสอนให้รู้จักความรู้ครับ
แต่ไม่ได้สอนวิธีหาความรู้ และไม่ได้สอนวิธีคิด

ผมว่าคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต
ไม่ว่าด้านใด ร้อยทั้งร้อย ความคิดย่อมไม่ธรรมดา
เพราะอะไรครับ เพราะคนส่วนใหญ่มองคนกลุ่มนี้คิดจากกรอบเดิมๆ
ที่ห้องเรียนเคยครอบไว้

อย่าเข้าใจว่าผมไม่เห็นด้วยกับการเรียนหนังสือในห้องเรียนนะครับ
ผมว่าปัญหามันไม่ได้อยู่ในห้อง แต่ปัญหาเกิดจากตัวคน
ทั้งคนเรียน แล้วก็คนชี้แนะ เพราะการเรียนในระบบห้องเรียน
พยายามยัดความรู้เข้าไปใส่ในสมอง ทำให้คนที่เรียนไม่ได้เกิดปัญญาอย่างแท้จริง
พูดง่ายๆ คือคิดเองไม่เป็น

คนหลายคนที่ไม่มีโอกาสจะเข้าห้องเรียน
หรือไม่ได้รับโอกาสที่ดีในชั้นเรียนกว่าคนอื่น
แต่ก็สามารถสร้างโอกาสให้กับตัวเอง
คนกลุ่มนี้แหละ ที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต
ผมว่า.. มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับปริญญาสักใบเลย ...

สำหรับผมแล้วการศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

แต่ความหมายการศึกษาของผมไม่ได้หมายถึงการศึกษาภายในห้องเรียนเท่านั้นแต่หากหมายรวมถึงการศึกษาภายนอกห้องเรียนอีกด้วย

กลุ่มคนรวยที่ทาง จขกท. ยกมาข้างต้นนั้น ผมว่าพวกเขาเหล่านั้นก็ศึกษาหาความรู้ต่างๆไม่แพ้พวกดอกเตอร์หรอก แต่เพียงแค่ไม่ได้รับวุฒิปริญญาเป็นใบรับรองเท่านั้นเอง

ผมเห็นด้วยกับหลายๆความคิดเห็นที่บอกว่า ถ้าหาค่าเฉลี่ยรายได้คนที่จบดอกเตอร์กับคนที่ไม่ได้จบดอกเตอร์ ผมคิดว่าคนที่จบดอกเตอร์คงจะมีรายได้ที่มากกว่า

แต่ก็อีกนั้นแหละ บางทีเหล่าดอกเตอร์ก็ไม่ได้คิดว่าจะเอาวุฒิปริญญาสูงๆมาแลกกับค่าแรงสูงๆ พวกเขาเรียนเพื่อที่จะรู้ ไม่ได้เรียนเพื่อที่จะรวย

[quote="WEB"]ผมว่า การประสบความสำเร็จกับการร่ำรวย มันไม่ใช่เรื่องเดียวกันซะทีเดียวนะครับ

แรงบัลดาลใจต่างกัน  ความชอบต่างกัน  ดร.บางท่านเขาชอบทำในสิ่งที่เขาชอบ ค้นคว้าวิจัยเงินก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากจะได้มากที่สุดในชีวิต

คนที่คิดว่าเงินคือที่สุดของชีวิต เป็นเพราะเจอทุนนิยมครอบงำ อยากได้ความสุขก็ใช้เงินเข้าแลก ทั้งๆที่ เพื่อนแท้ ก็ไม่สามารถใช้เงินแลกมาได้

การศึกษา กับ วุฒิการศึกษา มันไม่ใช่อย่างเดียวกันนี่ครับ  :D

ส.สลึง เขียน:การเรียนในห้องเรียน ส่วนใหญ่เข้าสอนให้รู้จักความรู้ครับ
แต่ไม่ได้สอนวิธีหาความรู้ และไม่ได้สอนวิธีคิด

ผมว่าคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต
ไม่ว่าด้านใด ร้อยทั้งร้อย ความคิดย่อมไม่ธรรมดา
เพราะอะไรครับ เพราะคนส่วนใหญ่มองคนกลุ่มนี้คิดจากกรอบเดิมๆ
ที่ห้องเรียนเคยครอบไว้

อย่าเข้าใจว่าผมไม่เห็นด้วยกับการเรียนหนังสือในห้องเรียนนะครับ
ผมว่าปัญหามันไม่ได้อยู่ในห้อง แต่ปัญหาเกิดจากตัวคน
ทั้งคนเรียน แล้วก็คนชี้แนะ เพราะการเรียนในระบบห้องเรียน
พยายามยัดความรู้เข้าไปใส่ในสมอง ทำให้คนที่เรียนไม่ได้เกิดปัญญาอย่างแท้จริง
พูดง่ายๆ คือคิดเองไม่เป็น

คนหลายคนที่ไม่มีโอกาสจะเข้าห้องเรียน
หรือไม่ได้รับโอกาสที่ดีในชั้นเรียนกว่าคนอื่น
แต่ก็สามารถสร้างโอกาสให้กับตัวเอง
คนกลุ่มนี้แหละ ที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต
ผมว่า.. มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับปริญญาสักใบเลย ...

อันนี้ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง

ว่ากันว่า
คนที่มีรายได้สูงที่สุดต่อวันในนิวยอร์ค ในหนึ่งวัน เขาจะใช้เวลาว่างไปกับการอ่านหนังสือวันละ 2 ชั่วโมง

ส่วนคนที่มีรายได้ต่ำที่สุดในนิวยอร์ค ในหนึ่งวัน เขาแทบไม่ได้อ่านอะไรเลย แม้แต่ป้ายโฆษณา

บิล เกตส์ ใช้เวลาว่างที่มีทั้งหมดหมกตัวอยู่แต่ในห้องกับคอมพิวเตอร์ของเขา จนคนอื่นหาว่าเพี้ยน ในขณะที่เพื่อนคนอื่นๆ กิน เที่ยว ใช้ชีวิตตามประสาวัยรุ่น

วอร์เรน บัฟเฟตต์ ก็คงใช้ทุกๆเวลาไปกับการคิด คำนวณ เรื่องการลงทุน ในห้องทำงานเล็กๆของเขา

*ผมเคยสงสัยนะ สมัยก่อนไม่มีอินเตอร์เน็ตแท้ๆ เขายังทำได้ขนาดนี้ หรือจริงๆแล้วจุดอ่อนของนักลงทุนสมัยใหม่ก็คือข้อมูลข่าวสาร และอินเตอร์เน็ตนี่เอง
เพราะผมว่าการที่เราสามารถเห็นตัวเลขขึ้นๆลงๆ ได้รับข่าวๆสารตลอดเวลา บางทีมันทำให้เราวิตกจริตได้เหมือนกัน
ดร.นิเวศน์ถึงได้พูดบ่อยๆว่า "คุณก็แค่เลือกหุ้นที่ดีมา แล้วก็ถือว่ามันไปยาวๆ"

พี่ๆหลายคนที่เก่งๆในนี้ก็คงใช้เวลาว่างไปกับการหาความรู้เรื่องการลงทุนเหมือนกัน

ที่สำคัญผมเชื่อว่า 90% ของคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เค้าใช้เวลาว่าง หรือทุกๆเวลาทำในสิ่งที่เค้ารักแน่นอน

ส่วนผมเงินไม่ค่อยมี แต่ผมหลงรักที่นี่หมดหัวใจเลย อิอิ..

ความสำเร็จ ที่ว่า มันมีหลายแบบครับ

ความสำเร็จด้านการศึกษา การใช้ชีวิต การเงิน เพื่อน การทำงาน ฯลฯ
แต่ละอย่าง มันมีความหมายในตัวของมันเอง

ขึ้นอยู่กับว่าใครจะให้ความสำคัญกับอะไรมากกว่า

ผมรู้จักอาจารย์เก่งๆ เป็นดร. ที่ขี่รถมอร์เตอร์ไซต์เก่าๆมาสอนนักศึกษา
ทั้งที่ความรู้ความสามารถของท่าน สามารถนำไปทำเงินได้มหาศาล
แต่พอใจกับการได้สอนนักศึกษาทุกวัน และมีความสุขกับชีวิต

แบบนี้ผมคิดว่าอาจารย์ผมไม่ล้มเหลวหรอกครับ

หากมองความสำเร็จเป็นเรื่องใหญ่

ก็ต้องนิยามของ ความสำเร็จที่ต้องการให้ชัด

พยายามเดินจนถึงเป้าหมาย  ยังไม่เรียกว่า ความสำเร็จ

ต้องพอใจในสิ่งที่ได้รับด้วย จึงเรียกว่า สำเร็จ

      http://.oly'8,muj.=hLiymTkoesohkxyPPk
      8o,u=njvglup'g-upovtwidHgxHo;ii8mv'
      8oTii,fkg-upovtwiwxdHgs,nvow,jwfhg-upo.com