การใช้มาร์จิ้นแบบดันโด

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
ภาพประจำตัวสมาชิก
SunShine@Night
Verified User
โพสต์: 2196
ผู้ติดตาม: 0

การใช้มาร์จิ้นแบบดันโด

โพสต์ที่ 31

โพสต์

อ่านไปอ่านมา

เริ่มสนใจใช้ Margin บ้างแล้วครับ

ไม่ทราบว่ามี Broker ไหน เปิดให้ใช้ Margin บ้างครับ :)
VI ฝึกหัด สำนักปีเตอร์ ลินช์

หวังผลต่อแทนทบต้นมากกว่า 15% ต่อปี :)
ภาพประจำตัวสมาชิก
sai
Verified User
โพสต์: 4090
ผู้ติดตาม: 0

การใช้มาร์จิ้นแบบดันโด

โพสต์ที่ 32

โพสต์

ไม่เคยใช้มาร์จิ้นเหมือนกันครับ ลองแชร์ไอเดียดูนะครับ เท่าที่เข้าใจคือ โรจน์แนะนำให้ใช้มาร์จิ้นประมาณ 10-25 % ของพอร์ท และสมมติฐานคือในระยะยาวหุ้นโดยเฉลี่ยให้ผลตอบแทน 10 % (รวมเงินปันผล) และดอกเบี้ยมาร์จิ้นคิดกลางกลางที่ 6%  ลองคิดเล่นเล่นนะครับ ถ้าเป็นแบบที่เราตั้งสมมติฐานสมมติเป็นสองกรณีคือ
1. สมมติว่าเราใช้มาร์จิ้น 10% เราลงทุนหุ้น 100 บาท มีมาร์จิ้นอีกสัก 10บาท  รวมเป็น 110 %  จะได้ผลตอบแทน หุ้นของเราตอนสิ้นปี เป็น 110 บาท และ ส่วนเพิ่มจากมาร์จิ้นที่ได้เพิ่มอีก 1 บาทหักดอกเบี้ยมาร์จิ้น 0.6 เหลือ 0.4 รวมเป็นมูลค่าพอร์ทของเราสิ้นปีที่  110.4 บาท (ถ้าเราไม่ใช้มาร์จิ้นเลย พอร์ทของเราจะมีมูลค่าสุทธิที่ 110 บาท )
2. สมมติว่าเราใช้มาร์จิ้นที่ 25 % เราลงทุนในหุ้น 100 บาท ใช้มาร์จิ้นอีก 25 บาท รวมเป็น 125 % จะได้ผลตอบแทนหุ้นของเราตอนสิ้นปี เป็น 110 บาท และ ส่วนเพิ่มจากการใช้มาร์จิ้นอีก 2.5 บาท หักดอกเบี้ยมาร์จิ้น 1.5 บาท รวมเป็นมูลค่าพอร์ทของเราจะมีมูลค่าสุทธิเท่ากับ 111.5 บาท (ถ้าเราไม่ใช้มาร์จิ้นเลย พอร์ทของเราจะมีมูลค่าสูทธิที่ 110 บาท )
คราวนี้มาลองดูฝั่งความเสี่ยงบ้างครับ
1. หน้าตาพอร์ทของเราจะไม่เป็นอิสระหรือไม่ เพราะ การปล่อยมาร์จิ้น ไม่ได้ปล่อยหุ้นทุกตัวในตลาด โบรคเกอร์ส่วนมากจะปล่อยมาร์จิ้นในหุ้นกลุ่ม set 50 กลุ่มที่มีคนนิยม มีสภาพคล่องประมาณหนึ่ง ทำให้การเลือกหุ้นในการลงทุนของเรา อาจเปลี่ยนแปลงจากหลักการเดิมหรือเปล่า เพราะต้องเอาปัจจัยเรื่องหุ้นที่ปล่อยมาร์จิ้น และ ปล่อยเต็มหรือยังมาเป็นปัจจัยในการลงทุนเพิ่มเติม หรืออย่างกรณีเลวร้ายบางโบรคขอหุ้นที่คุณถือเอาดื้อดื้อ อ้างว่าไม่ปล่อยมาร์จิ้นตัวนี้แล้ว (ปี 2008 มีกรณีนี้เยอะครับ ) ทำให้เราต้องเลือกขายหุ้นที่ดีออกไปตอนขาลง
2. ความกังวลใจในเรื่องของการ ถูก call หรือถูก force จริงอยู่ว่าเราใช้ไม่มากโอกาสโดนน้อยมาก (แต่ใช่ว่าไม่มีเลย )  สมมติอีกแล้วว่าเราซื้อหุ้น 100 บาทใช้มาร์จิ้น 25 บาท เป็น 125 บาท หุ้นตกลง 10 % หุ้นในพอร์ทเราจะมีมูลค่าสุทธิเหลือ 90 บาท แต่หุ้นที่เราซื้อด้วยมาร์จิ้นลดลงในจำนวนเท่าเท่ากันคือ 2.5 บาท มูลค่าพอร์ทสุทธิเราจะเหลือ  87.5 บาท ครับ กรณีที่สองเราซื้อหุ้น 100 บาท ใช้มาร์จิ้น 25 บาท เป็น 125 บาท หุ้นของเราตกลง 20% ทำให้ หุ้นเราเหลือมูลค่า 80 บาท แต่หุ้นที่เราซื้อด้วยมาร์จิ้นของเราดันลดลง 20% เหมือนกัน ทำให้พอร์ทของเราลดลง เพิ่มอีก 5 บาท  มูลค่าพอร์ทสุทธิเหลือเพียง 75 บาท  เอาให้แรงอีกนิด สมมติว่าหุ้นเกิดตกลง 30% หุ้นส่วนของเงินสดเราจะมีมูลค่าเหลือแค่ 70 บาทแต่หุ้นที่เราซื้อด้วยมาร์จิ้นลดลงเท่ากันคือ 30% จะทำให้มูลค่าพอร์ทลดลงเพิ่มอีก 7.5 บาท มูลค่าพอร์ทสุทธิเหลือแค่ 62.5 บาทเท่านั้น (โอ้วเริ่มใจเสีย ) นี่ยังไม่คิดเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายเพิ่มด้วยนะครับ ถ้าต้องจ่ายเพิ่มมูลค่าพอร์ทสุทธิก็จะลดลงอีก และ สภาพจิตใจตอบไม่ได้จริงจริงว่าเราจะรู้สึกยังไง เพราะแต่ละคนมีความอดทนต่อความกดดันไม่เท่ากัน(บางคนอาจจะตัดสินใจล้างพอร์ท หรือ ลดมาร์จิ้นตอนแถวนี้ก็ได้ เพื่อลดความกดดัน แล้วพอหุ้นขึ้นก็ยิ่งงงชีวิตเพิ่มครับ )
         ที่ post ข้างต้นเป็นแค่กรณีสมมตินะครับ จะเห็นว่ามองมุมที่ดีก็มีข้อดี มองต่างมุมก็เจอความเสียง  จริงจริง ตลาดหุ้นออกได้หลายหน้ามาก อาจไม่เลวร้ายแบบที่ผมคิดก็ได้ครับ แต่เวลาเรามองโอกาสอยากให้มองความเสี่ยงควบคู่ไปด้วยเท่านั้นเอง  เพราะถ้ายิ่งเรามองหลายมุมแค่ไหน ก็ปลอดภัยขึ้นเท่านั้นครับ  ผมเองสนับสนุนการใช้มาร์จิ้นนะครับ(ผมเพิ่งเปิดพอร์ทไว้เช่นกันครับ ) แต่ควรจะเป็นการใช้มาร์จิ้นในภาวะทีเราได้เปรียบ  (เหมือนอย่างช่วงที่ ดร. นิเวศน์ใช้ ) แล้วเราไม่มีเงินสดมีแต่หุ้นอยู่  และหุ้นในตลาดมี pe ต่ำกว่าปกติมากมาก และ ปันผล เกินกว่า 10 % ขึ้นไป อย่างนั้นจะค่อนข้างปลอดภัยกว่าครับ  แม่ผมเคยสอนว่า เจ้าหนี้ จะให้เรายืมเงินตอนทุกอย่างในชีวิตเรากำลังดูดี  แต่ชอบทวงคืนตอนเรากำลังเดือดร้อนเสมอครับ  
ปล. สำหรับท่านอื่นหากผมคิดต่างไม่โกรธกันนะครับ โรจน์ไม่เป็นไร เพราะปกติผมกะ newbie_12 รักกันมากครับ เสียดายที่ต่างฝ่ายต่างมีแฟนแล้วเท่านั้นเอง เหอเหอ
Small Details Make a Big Difference
ภาพประจำตัวสมาชิก
crazyrisk
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 4562
ผู้ติดตาม: 0

การใช้มาร์จิ้นแบบดันโด

โพสต์ที่ 33

โพสต์

sai เขียน:โรจน์ไม่เป็นไร เพราะปกติผมกะ newbie_12 รักกันมากครับ เสียดายที่ต่างฝ่ายต่างมีแฟนแล้วเท่านั้นเอง เหอเหอ
ดันโด  ดันโด่ ....    โอ มายก๊อดด

:lol:
"Champions aren't made in gyms. Champions are made from something they have deep inside them: A desire, a dream, a vision.
ภาพประจำตัวสมาชิก
dome@perth
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4741
ผู้ติดตาม: 1

การใช้มาร์จิ้นแบบดันโด

โพสต์ที่ 34

โพสต์

newbie_12 เขียน: ผมคิดว่าการจัด port โดยอิงดัชนีจะเหมาะสมครับ เพราะปกติ การจัด port โดยให้ผลตอบแทนอิงดัชนีนั้น จะให้ผลตอบแทนราว 10% ต่อปี แต่ดอกเบี้ยที่กู้นั้น ก็อยู่ราว 4-8% แล้วแต่โบรก

จะเห็นได้ว่า แค่จัด port ให้ผลตอบแทนอิงกับดัชนี ผลตอบแทนก็ชนะดอกเบี้ยอย่างน้อย 2% แล้ว

ทีนี้ หลักของดันโด คือ

"ออกหัวผมได้เงิน ออกก้อยผมเสียเงินนิดหน่อย"

ในกรณีนี้ผมคิดว่าในกรณีที่ออกหัวก็คือผลตอบแทนของ port เรา เป็นไปตามดัชนีดังในอดีต คือประมาณ 10% ต่อปี ในระยะยาว

ส่วนกรณีออกก้อย คือเสียเงินแค่ดอกเบี้ยเท่านั้นเองครับ
ผมคิดว่าผลการใช้มาร์จิ้น มันมี หลายหน้า มากกว่า หัว หรือ ก้อย ครับ

ถ้าออกมาเป็น หัว ก็ได้ 2%
ถ้าออกมาเป็น หัว หัว ได้มากกว่า 2%
ถ้าออกมาเป็น หัว หัว หัว อาจได้หลาย 10%

ทางกลับกัน

ถ้าออกมาเป็น ก้อย ก็เสีย ดอกเบี้ยขึ้นต่ำ 4-8%
ถ้าออกมาเป็น ก้อย ก้อย ก็เสีย ดอกเบี้ยขึ้นต่ำ 4-8% + ค่าเสียโอกาสเงิน Call
ถ้าออกมาเป็น ก้อย ก้อย ก้อย ก็เสีย ดอกเบี้ยขึ้นต่ำ 4-8% + ค่าเสียโอกาสเงิน Call + โดนบังคับขายขาดทุน(เงินต้นหาย)

ปล. เป็นแค่ความคิดเห็นอีกมุมมอง ของคนที่ยังไม่เคยใช้มาร์จิน
ได้แต่คัน :lol:
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง
"
ภาพประจำตัวสมาชิก
newbie_12
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2912
ผู้ติดตาม: 1

การใช้มาร์จิ้นแบบดันโด

โพสต์ที่ 35

โพสต์

ปล. สำหรับท่านอื่นหากผมคิดต่างไม่โกรธกันนะครับ โรจน์ไม่เป็นไร เพราะปกติผมกะ newbie_12 รักกันมากครับ เสียดายที่ต่างฝ่ายต่างมีแฟนแล้วเท่านั้นเอง เหอเหอ
ผมโสดเวลาที่ไม่อยู่กับแฟนครับ

:lol:  :lol:  :lol:  :lol:  :lol:  :lol:  :lol:
.
.
อดีตอันรุ่งโรจน์ ไม่ได้การันตีอนาคตจะรุ่งเรือง

----------------------------
ภาพประจำตัวสมาชิก
Juninho
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1054
ผู้ติดตาม: 1

การใช้มาร์จิ้นแบบดันโด

โพสต์ที่ 36

โพสต์

newbie_12 เขียน:
ผมโสดเวลาที่ไม่อยู่กับแฟนครับ

:lol:
You Can Get It If You Really Want
But you must try, try and try
ภาพประจำตัวสมาชิก
nanoVI
Verified User
โพสต์: 487
ผู้ติดตาม: 0

การใช้มาร์จิ้นแบบดันโด

โพสต์ที่ 37

โพสต์

Monday, 29 June 2009
:D  :D ใช้มาร์จินลงทุน :D  :D

               ในการลงทุนทำธุรกิจโดยทั่วไปนั้น   เราต้องมีเงินส่วนตัวหรือเงินจากหุ้นส่วนมาร่วมกันลงทุน   นอกจากเงินที่เป็น  ส่วนของเจ้าของ แล้ว   ธุรกิจส่วนใหญ่ก็ยังมักจะ  กู้เงิน  หรือยืมเงินคนอื่นมาใช้ในการลงทุนด้วย   ในเรื่องของธุรกิจแล้ว  เงินที่กู้มามักจะมีมากกว่าเงินในส่วนของเจ้าของเองด้วยซ้ำ  ดังนั้น   เงินกู้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวด  ถ้าขาดเงินกู้  โครงการหรือธุรกิจก็เดินไม่ได้  หรือไม่อย่างนั้น  เราก็ต้องลดขนาดของธุรกิจลง   การลดขนาดของธุรกิจลงก็ทำให้กำไรลดน้อยลง   ผลตอบแทนการลงทุนของเราก็น้อยลง  การลงทุนก็อาจจะไม่คุ้มค่า  สรุปอย่างง่ายก็คือ  เรากู้เงินมาใช้ก็เพื่อที่จะเพิ่มผลตอบแทนการลงทุนของเรา

               แต่การกู้เงินมาใช้นั้นมีความเสี่ยง   เพราะเงินกู้นั้นต้องมีกำหนดเวลาใช้คืนและต้องมีดอกเบี้ยที่จะต้องจ่าย   บางทีทุกเดือน   ถ้าบริหารกระแสเงินสดไม่ดี  และ/หรือ ธุรกิจเกิดประสบปัญหาขาดทุน  เราอาจจะถูกฟ้องล้มละลาย  เงินส่วนของเราก็สูญไปด้วย    หรือในกรณีที่ไม่เลวร้ายเกินไปนัก   เราอาจจะไม่ถึงกับล้มละลาย   แต่ธุรกิจทำกำไรได้น้อยในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงกว่า   แบบนี้แทนที่เราจะได้กำไรบ้างถ้าเราไม่ได้กู้เงิน   เราก็อาจจะไม่มีกำไรเลยหรือขาดทุนได้   ดังนั้น  การที่เราจะกู้เงินหรือไม่จึงอยู่ที่การชั่งน้ำหนักว่า   ระหว่างผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้เพิ่มขึ้น   กับความเสี่ยงที่ว่าเราอาจจะล้มละลายหรือผลตอบแทนน้อยลงหรือขาดทุน   เราจะเลือกอย่างไหน?

              สำหรับ  นักธุรกิจ แล้ว   ส่วนใหญ่มักจะเลือกการกู้เงิน   เพราะการลงทุนทำธุรกิจมักจะต้องใช้เม็ดเงินลงทุนสูง  บางทีเกินกำลังเงินส่วนตัวที่มีอยู่   นอกจากนั้น  นักธุรกิจมักมองว่าผลตอบแทนที่จะได้จากธุรกิจนั้นสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย  ดังนั้น  การกู้เงินจะทำให้ได้กำไรเพิ่มขึ้น   ส่วนความเสี่ยงที่จะล้มละลาย   เขามักจะให้ความใส่ใจน้อยกว่า  เขาคงคิดว่าเขาเข้าใจและรู้จักธุรกิจดีพอ  เหนือสิ่งอื่นใด  เขาเป็นคน  คุมธุรกิจ  นั้นเอง    แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ   เขาอาจจะคิดว่า  ถ้าเลวร้ายมากและธุรกิจต้องล้มละลาย  เขาก็แค่เสียเงินส่วนตัวที่ลงทุนไปเท่านั้นและก็อาจจะเป็นเงินที่ไม่มาก   และหลังจากล้มละลายเพียง 3-4 ปีเขาก็  หลุด  จากการล้มละลายและกลับมาลองใหม่ได้อีก   แต่ถ้าเขาโชคดี  ธุรกิจประสบความสำเร็จงดงาม  กำไรของเขาจะมหาศาลและมากกว่าการไม่กู้เงินหลายเท่า   ดังนั้น  สำหรับนักธุรกิจบางคนแล้ว  เขาต้องการกู้เงินมาลงทุนให้มากที่สุด  เขารู้ว่านี่เป็น เกม  ที่เขาได้เปรียบ   คือ  ถ้าเขาชนะ  เขาได้  10  ถ้าแพ้  อย่างมากเขาก็เสีย  1  คนที่รับความเสี่ยงมากจริง ๆ  ก็คือคนให้กู้  ซึ่งก็คือสถาบันการเงินที่เชื่อเขา

               การลงทุนในหุ้นสำหรับผมก็คือ  การลงทุนคล้ายกับการทำธุรกิจเหมือนกัน   สิ่งที่แตกต่างจริง ๆ  สำหรับผมก็คือ  ผมสามารถค่อย ๆ  ทยอยลงทุนทีละน้อยไปเรื่อย ๆ  เมื่อมีเงินเพิ่มเติมขึ้นมาจากแหล่งไหนก็ตาม   อีกความแตกต่างหนึ่งก็คือ   การกู้เงินมาใช้ซื้อหุ้นลงทุนนั้น  สถาบันการเงินอื่นมักไม่ให้กู้   จะมีก็แต่โบรกเกอร์ที่เราเป็นลูกค้าอยู่ที่จะให้กู้ที่เรียกกันว่าการซื้อหุ้นด้วย  มาร์จิน   แต่โบรกเกอร์นั้นก็ให้กู้แบบมีข้อจำกัด  นั่นคือ  เราไม่สามารถกู้ได้เกินหนึ่งเท่าของเงินส่วนตัวที่เราเอามาลงทุน   และที่สำคัญอีกข้อหนึ่งก็คือ  เราจะกู้ได้เฉพาะเพื่อที่จะลงทุนซื้อหุ้นที่มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง   เราไม่สามารถจะซื้อหุ้นของกิจการที่ดีแต่หุ้นไม่มีสภาพคล่องพอได้

               ด้วยข้อจำกัดในการกู้ดังกล่าว   ประกอบกับการที่ผมค่อนข้างที่จะเน้นความปลอดภัยในการลงทุนเป็นพิเศษเนื่องจากเราไม่อยู่ในฐานะที่เสี่ยงต่อความสูญเสียที่รุนแรงได้   ผมจึงเลือกที่จะลงทุนโดยไม่กู้เลยตั้งแต่แรกที่ผมเริ่มลงทุนในหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ของเงินส่วนตัวของผมเมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว   ผมรู้สึกว่า  ผมไม่จำเป็นที่จะต้อง  เร่ง  ผลตอบแทนการลงทุนไปมากกว่านั้น   ว่าที่จริง   การลงทุนในหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ของเงินเก็บทั้งหมดนั้น   ถ้ามันให้ผลตอบแทนที่พอสมควรเช่นปีละ 10%  เงินมันก็โตเร็วมากอยู่แล้ว  พูดโดยสรุปก็คือ  การลงทุนโดยการกู้หรือที่เรียกว่าซื้อขายหุ้นด้วยมาร์จิน   ไม่เคยอยู่ในความคิดผมเลยมากกว่าสิบปีนับตั้งแต่ประมาณปี  2538 หรือ 2539

               ประมาณเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายน  2551 หรือปลายปีที่แล้ว  วิกฤติเศรษฐกิจก็ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นตกลงมาอย่างรวดเร็ว  ภายในเวลาเดือนเดียวดัชนีตกลงมาเข้าใจว่าเกือบ 30%  หุ้นจำนวนมากมีราคาตกต่ำลงอย่างไม่น่าเชื่อ   หลายบริษัททำกิจการที่ผมมั่นใจว่าจะต้องอยู่ต่อไปในประเทศไทยและจะกลับมาทำกำไรได้เท่าเดิมและมากกว่าเมื่อวิกฤติผ่านพ้นไป   แต่ราคาหุ้นของบริษัทนั้นตกต่ำเกินความเป็นจริง   โอกาสในการลงทุนเกิดขึ้นแต่ผมกลับไม่มีเงินสดเลยเพราะผมถือหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว  ผมไม่อยากขายหุ้นตัวอื่นที่อยู่ในพอร์ตเพราะหุ้นเหล่านั้นก็มีราคาต่ำเกินไปเหมือนกัน    ดังนั้น  ผมจึงตัดสินใจ  กู้  โดยการเปิดพอร์ตการซื้อขายหุ้นด้วยมาร์จินเป็นครั้งแรก  

              การกู้เงินซื้อหุ้นของผมนั้น  ผมคิดไว้ว่า  ข้อหนึ่ง  มันไม่ควรมากกว่า 10-20% ของมูลค่าพอร์ต  ข้อสอง  หุ้นที่ซื้อจะต้องเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องที่ดีที่เราสามารถขายทิ้งได้อย่างรวดเร็วถ้าจำเป็นแต่ที่สำคัญเท่า ๆ  กันก็คือ  ข้อสาม  หุ้นจะต้องมีราคาต่ำมากและกำไรของบริษัทไม่ได้อยู่ในภาวะสูงผิดปกติ  ตรงกันข้าม  มันควรที่จะมีกำไรลดลงไปมากแต่ทุกอย่างกำลังดีขึ้นในเวลาไม่นานนัก และสุดท้าย  เราต้องมี  Exit Strategy  หรือ  ทางออกจากหนี้  ซึ่ง  สำหรับผมก็คือ  การนำเงินปันผลที่จะได้มาจากพอร์ตโดยรวมมาลดหนี้   การทยอยขายหุ้นที่ซื้อมาเมื่อมันมีราคาเพิ่มขึ้น  และถ้าจำเป็น  อาจต้องขายหุ้นตัวอื่นเพื่อมาล้างหนี้

               ผมโชคดีที่การตัดสินใจถูกต้อง  เพราะหลังจากนั้น  ราคาหุ้นที่ซื้อมาปรับตัวขึ้นมาก  และแม้ว่าหนี้ก็ยังคงอยู่แต่พอร์ตก็มีมูลค่าเพิ่มขึ้นมาก   ความเสี่ยงจากการกู้ไม่สูงนัก  อย่างไรก็ตาม  ผมตระหนักอยู่เสมอว่า  หนี้นั้นเป็นสิ่งที่อันตราย  เราต้องมองป้าย  ทางออก  อยู่เสมอ   และถ้าไม่มั่นใจจริง  ๆ  ก็  อย่าลอง  จะดีกว่า

Posted by nivate at 4:08 PM in โลกในมุมมองของ Value Investor  :D  :D

ที่มา  http://portal.settrade.com/blog/nivate/2009/06/29/570
ภาพประจำตัวสมาชิก
nanoVI
Verified User
โพสต์: 487
ผู้ติดตาม: 0

การใช้มาร์จิ้นแบบดันโด

โพสต์ที่ 38

โพสต์

:D  :D
สำหรับนักธุรกิจบางคนแล้ว  เขาต้องการกู้เงินมาลงทุนให้มากที่สุด  เขารู้ว่านี่เป็น เกม  ที่เขาได้เปรียบ   คือ..  

ถ้าเขาชนะ  เขาได้  10  ถ้าแพ้  อย่างมากเขาก็เสีย  1  คนที่รับความเสี่ยงมากจริง ๆ  ก็คือคนให้กู้  ซึ่งก็คือสถาบันการเงินที่เชื่อเขา

การลงทุนในหุ้นสำหรับผมก็คือ  การลงทุนคล้ายกับการทำธุรกิจเหมือนกัน
ภาพประจำตัวสมาชิก
yoyo
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4833
ผู้ติดตาม: 1

การใช้มาร์จิ้นแบบดันโด

โพสต์ที่ 39

โพสต์

dome@perth เขียน:ผมคิดว่าผลการใช้มาร์จิ้น มันมี หลายหน้า มากกว่า หัว หรือ ก้อย ครับ

ถ้าออกมาเป็น หัว ก็ได้ 2%
ถ้าออกมาเป็น หัว หัว ได้มากกว่า 2%
ถ้าออกมาเป็น หัว หัว หัว อาจได้หลาย 10%

ทางกลับกัน

ถ้าออกมาเป็น ก้อย ก็เสีย ดอกเบี้ยขึ้นต่ำ 4-8%
ถ้าออกมาเป็น ก้อย ก้อย ก็เสีย ดอกเบี้ยขึ้นต่ำ 4-8% + ค่าเสียโอกาสเงิน Call
ถ้าออกมาเป็น ก้อย ก้อย ก้อย ก็เสีย ดอกเบี้ยขึ้นต่ำ 4-8% + ค่าเสียโอกาสเงิน Call + โดนบังคับขายขาดทุน(เงินต้นหาย)

ปล. เป็นแค่ความคิดเห็นอีกมุมมอง ของคนที่ยังไม่เคยใช้มาร์จิน
ได้แต่คัน :lol:
เคยเจอ ก้อยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มั๊ยครับ...
ผมยังไม่เคยเจอในตลาดหุ้น
แต่ในบ่อน ผมเคยเจอก้อยติดกัน 15 ตา กำไรที่ทำมาหายไปครึ่งนึงแน่ะ  :lol:
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
ภาพประจำตัวสมาชิก
peacedev
Verified User
โพสต์: 668
ผู้ติดตาม: 0

การใช้มาร์จิ้นแบบดันโด

โพสต์ที่ 40

โพสต์

yoyo เขียน:
เคยเจอ ก้อยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มั๊ยครับ...
ผมยังไม่เคยเจอในตลาดหุ้น
แต่ในบ่อน ผมเคยเจอก้อยติดกัน 15 ตา กำไรที่ทำมาหายไปครึ่งนึงแน่ะ
sunrise
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2273
ผู้ติดตาม: 0

การใช้มาร์จิ้นแบบดันโด

โพสต์ที่ 41

โพสต์

มาดูกันว่ารอบนี้เป็นก้อยๆๆๆๆๆหรือเปล่า

อยากนึงนะที่ผมว่าสำคัญมากที่สุด  :D

คือการรักษาเงินต้น


ตังมากที่เหลือจะใช้แล้วไม่จำเป็นที่จะต้องใช้มาร์จิ้นแน่นอนครับ
แต่คำว่ามากที่เหลือจะใช้ขึ้นอยู่กับแต่ละคน

บางคนวันละ 200 (เช่นพี่พอใจ)
บางคนวันละเป็นหมืน

มาร์จิ้นเป็นดาบสองคมที่ทำให้คนตายได้
มีผุ้รู้สอนว่า low possiblity but it's castastrophy!
การลงทุนคือความเสี่ยง
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
WEB
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 1139
ผู้ติดตาม: 0

การใช้มาร์จิ้นแบบดันโด

โพสต์ที่ 42

โพสต์

ตอนผมเรียนอยู่เภสัช จุฬาฯ คณะผมอยู่ติดสยามสแควร์
ผมเลยเดินที่สยามสแควร์แทบทุกวัน  ตอนนั้น ด้วยความ
คึกคะนองตามแบบฉบับวัยรุ่นหน้าตาดีทั่วๆไป  เวลาผมข้ามถนน
ในสยามฯ ผมจะข้ามแบบกระชั้นชิด ซึ่งทำให้ผมข้ามไปอีกฝั่งได้เร็ว
กว่าเพื่อนในกลุ่มแทบทุกครั้ง  มองแง่นึง  ผมสามารถข้ามถนนได้เร็วกว่าคนอื่น
แต่ผมก็รู้ตัวว่า ถ้าผมทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ วันนึง ผมต้องพลาดโดนรถชนแน่
เหตุการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยในช่วงเวลาสั้นๆ  ถ้าเรายืดระยะเวลาให้ยาวออกไป
โอกาสการเกิดขึ้นของเหตุการณ์นั้นๆจะสูงขึ้นอย่างมาก
ทุ่มเททุกสิ่งให้แก่ความฝันซึ่งมีแต่คุณเท่านั้นที่มองเห็น

http://WarrenBuffettFan.blogspot.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
sai
Verified User
โพสต์: 4090
ผู้ติดตาม: 0

การใช้มาร์จิ้นแบบดันโด

โพสต์ที่ 43

โพสต์

[quote="WEB"]ตอนผมเรียนอยู่เภสัช จุฬาฯ คณะผมอยู่ติดสยามสแควร์
ผมเลยเดินที่สยามสแควร์แทบทุกวัน
Small Details Make a Big Difference
ภาพประจำตัวสมาชิก
MANEKI
Verified User
โพสต์: 1005
ผู้ติดตาม: 0

การใช้มาร์จิ้นแบบดันโด

โพสต์ที่ 44

โพสต์

[quote="sai"][quote="WEB"]ตอนผมเรียนอยู่เภสัช จุฬาฯ คณะผมอยู่ติดสยามสแควร์
ผมเลยเดินที่สยามสแควร์แทบทุกวัน
DON"T EVER GIVE UP YOUR DREAM.....
ภาพประจำตัวสมาชิก
BeSmile
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1178
ผู้ติดตาม: 0

การใช้มาร์จิ้นแบบดันโด

โพสต์ที่ 45

โพสต์

[quote="MANEKI"][quote="sai"][quote="WEB"]ตอนผมเรียนอยู่เภสัช จุฬาฯ คณะผมอยู่ติดสยามสแควร์
ผมเลยเดินที่สยามสแควร์แทบทุกวัน
มีสติ - อย่าประมาทในการใช้ชีวิต
ภาพประจำตัวสมาชิก
picklife
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2567
ผู้ติดตาม: 0

การใช้มาร์จิ้นแบบดันโด

โพสต์ที่ 46

โพสต์

yoyo เขียน:
เคยเจอ ก้อยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มั๊ยครับ...
ผมยังไม่เคยเจอในตลาดหุ้น
แต่ในบ่อน ผมเคยเจอก้อยติดกัน 15 ตา กำไรที่ทำมาหายไปครึ่งนึงแน่ะ
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
ภาพประจำตัวสมาชิก
peacedev
Verified User
โพสต์: 668
ผู้ติดตาม: 0

การใช้มาร์จิ้นแบบดันโด

โพสต์ที่ 47

โพสต์

picklife เขียน:
เคยเจอ ก้อยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มั๊ยครับ...
ผมยังไม่เคยเจอในตลาดหุ้น
แต่ในบ่อน ผมเคยเจอก้อยติดกัน 15 ตา กำไรที่ทำมาหายไปครึ่งนึงแน่ะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Linzhi
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 1522
ผู้ติดตาม: 1

การใช้มาร์จิ้นแบบดันโด

โพสต์ที่ 48

โพสต์

การเล่นมาร์จิ้น เหมือนการกู้เงินไปซื้อธุรกิจที่กำลังกู้เงินทำธุรกิจอยู่
และราคาธุรกิจที่เราซื้อราคามีความผันผวนมากในระยะสั้น ซึ่งเราควบคุมไม่ได้

ไม่เคยลองใช้ ไม่รู้ความรู้สึกเหมือนกัน

ถามคนที่ใช้อยู่ว่า ดอกเบี้ยและวงเงินมาร์จิ้น ขึ้นอยู่กับอะไรบ้างครับ ?
ที่ไหนถูกที่สุดครับ
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.