เพื่อนๆ พี่ๆ คิดว่าควรกระจายการลงทุนในหุ้นกี่ตัว จึงจะเหมาะ
-
- Verified User
- โพสต์: 87
- ผู้ติดตาม: 0
เพื่อนๆ พี่ๆ คิดว่าควรกระจายการลงทุนในหุ้นกี่ตัว จึงจะเหมาะ
โพสต์ที่ 32
ผมมี 30 ตัวครับ โรคจิตมาก และกำลัง จะเพิ่มต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่ส่วนใหญ่ ซื้อเพราะความเป็นโรคจิตครับ เห็นกิจการดีๆไม่ได้ ต้องขอมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของ หุ้นเดียวก็เอาครับ แต่ตัวที่ถือด้วยเหตุผล มีแค่ 4 ตัวครับ
- yodfah
- Verified User
- โพสต์: 124
- ผู้ติดตาม: 0
เพื่อนๆ พี่ๆ คิดว่าควรกระจายการลงทุนในหุ้นกี่ตัว จึงจะเหมาะ
โพสต์ที่ 33
ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ครับ
แต่ที่ผ่านมาไม่เคยเกิน 6 ตัวนะครับ
แต่ที่ผ่านมาไม่เคยเกิน 6 ตัวนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 71
- ผู้ติดตาม: 0
port
โพสต์ที่ 36
อ่านเจอบทความเก่าๆแล้วน่าสนใจครับ เข้าใจง่ายดี
กลยุทธ์การจัดพอร์ตอย่างเซียน
บทความโดย CHARTCHAI MADMAN
การจะลงทุนในหุ้นให้ประสบความสำเร็จนั้นนอกจากการวิเคราะห์เป็นรายตัวแล้ว การจัดพอร์ตให้มีความสมดุลก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะบ่งชี้ถึงผลตอบแทนโดยรวมว่าจะมากน้อยเพียงใด หรือหากเกิดความผันผวนขึ้น ความสมดุลของพอร์ตจะเป็นเกราะกำบังอีกประการหนึ่งให้นักลงทุนไม่เสียหายมาก
แนวความคิดเรื่องการจัดพอร์ตนั้นมีหลายแนวความคิดครับ แต่โดยหลักก็คือ
1)หลักการกระจาย คือการลงทุนกระจายไปหุ้นหลายๆตัว ในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม(หรือหลักการใส่ไข่ไว้ในหลายๆตะกร้า) เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ต ในขณะเดียวกันผลตอบแทนโดยรวมอาจจะต่ำกว่าการลงทุนแบบโฟกัส
2)โฟกัสคือการเน้นการลงทุนในหุ้นน้อยตัวนักลงทุนคัดสรรมาแล้ว การใช้กลยุทธ์นี้จะพบความผันผวนของพอร์ตได้มากกว่า ความเสี่ยงมากกว่า แต่ผลตอบแทนก็จะสูงตามไปด้วย
เคยมีการศึกษาเพื่อทดสอบเรื่องจำนวนหุ้นในพอร์ต ที่ศึกษาเรื่องระดับผลตอบแทนและความเสี่ยงของมหาวิทยาลัยชิคาโก (professors Lawrence Fisher และ James Lorie)โดยการจัดพอร์ตที่มีหุ้นตั้งแต่1ตัว ถึงพอร์ตที่มีหุ้น500 ตัวครับ ผลที่ออกมาก็คือ
***การเพิ่มจำนวนหุ้นในพอร์ตทำให้ความเสี่ยงลดลง แต่ประโยชน์นี้จะหมดลงอย่างรวดเร็ว หากจำนวนหุ้นในพอร์ตมากเกินกว่า16ตัว***
มีการศึกษาอีก paper หนึ่ง ( John Wiley & son) พบว่า
***นักลงทุนสามารถกระจายความเสียงได้85% ด้วยการมีหุ้นจำนวน15ตัว และ หากมีหุ้นในพอร์ตจำนวน30ตัวจะกระจายความเสี่ยงได้95%
สรุปโดยรวม การจัดพอร์ตทั้งสองแบบก็จะมีผลได้ผลเสียแตกต่างกันไป แล้วบรรดาเซียนในเรื่องการลงทุนละ แต่ละท่านมีกลยุทธ์ในการจัดพอร์ตอย่างไร
กลยุทธ์การจัดพอร์ตของ ดร.นิเวศน์ เซียนหุ้นมูลค่าอันดับหนึ่งของเมืองไทย
ดร.นิเวศน์กล่าวไว้ในหนังสือตีแตก กลยุทธ์การเล่นหุ้นในภาวะวิกฤติ ท่านบอกไว้ว่า ในพอร์ตของท่านมีหุ้นกว่า10ตัว น้ำหนักการลงทุนไม่เท่ากันในแต่ละตัว การให้น้ำหนักจะขึ้นอยู่กับความน่าสนใจของแต่ละตัว หากท่านเห็นว่าตัวไหนให้ผลตอบแทนดีและมั่นใจก็จะให้น้ำหนักตัวนั้นมากหน่อย น่าสนใจแต่ไม่มั่นใจก็จะให้น้ำหนักน้อยหน่อย ท่านจะปรับพอร์ตเสมอเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ส่วนใหญ่แล้วจะลงทุนในหุ้นเต็มวงเงินเสมอ
กลยุทธ์การจัดพอร์ตแบบบัฟเฟตต์ เศรษฐีหุ้นอันดับหนึ่งของโลกการลงทุน
ส่วนบัฟเฟตต์ซึ่งชำนาญในเรื่องการใช้กลยุทธ์สวนกระแสแบบคัดสรรคือเลือกลงทุนน้อยตัวแต่ลงหนักเมื่อเจอหุ้นที่ยอดเยี่ยม ท่านเชื่อว่าการกระจายความเสี่ยงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลกับนักลงทุนที่ขาดความรู้และความเข้าใจเท่านั้น การกระจายความเสี่ยงจะมีประโยชน์ในกรณีที่จะช่วยป้องกันความเสียหายที่เกิดจากการไม่รู้ หรือได้รับข้อมูลที่ใช้ตัดสินใจไม่ครบสมบูรณ์ บัฟเฟต์แนะนำว่านักลงทุนควรมีหุ้นเพียง5-10ตัวเท่านั้น บัฟเฟตต์เมื่อซื้อจะเน้นการถือหุ้นระยะยาว ถือไปเรื่อยๆตราบใดที่พื้นฐานของหุ้นยังไม่แย่ลง
กลยุทธ์การจัดพอร์ตแบบปีเตอร์ ลินช์
ลินช์กล่าวว่าประเด็นสำคัญของผลตอบแทนไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนหุ้นในพอร์ต แต่มันขึ้นอยู่กับการตรวจสอบอย่างดีมากน้อยแค่ไหนของนักลงทุน มันเป็นเรื่องที่ดีที่จะเป็นเจ้าของหุ้นให้มากที่สุดหากคุณไปเจอสถานการณ์
1)สถานการณ์ที่ได้เปรียบ และ
2)ได้ค้นพบหุ้นที่มีเป้าหมายชัดเจนและน่าตื่นเต้น
นั่นหมายความว่าหากนักลงทุนมีความเชี่ยวชาญในหุ้นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือหุ้นตัวใดตัวหนึ่งเป็นพิเศษจริงๆก็ไม่จำเป็นต้องกระจาย
แต่ก็บอกว่าการถือหุ้นเพียงตัวเดียวเป็นเรื่องเสี่ยงมากเช่นกันหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น ตามความเห็นของ ลินช์ พอร์ตขนาดเล็กควรจะมีหุ้น 3-10 ตัว น่าจะได้ประโยชน์ในแง่มุมต่างๆดังนี้
1)หากลงทุนในหุ้นโตเร็ว โอกาสจะเจอหุ้น10เด้งมีมากกว่า
2)ยิ่งมีหุ้นมาก นักลงทุนก็จะความคล่องตัวที่จะสับเปลี่ยนเงินลงทุนระหว่างมัน
สำหรับพอร์ตของลินช์จะมีลักษณะคร่าวๆดังนี้
-หุ้นโตเร็ว มีน้ำหนักประมาณ30-40 %
-หุ้นแข็งแกร่ง มีน้ำหนัก 10-20%
-หุ้นวัฏจักร มีน้ำหนัก10-20 %
-หุ้นที่กำลังฟื้นตัวอีกมีน้ำหนัก10-20%
กลยุทธ์การจัดพอร์ตหุ้นของปรมาจารย์ เกรแฮม
เกรแฮมนั้นเน้นการกระจายความเสี่ยงไปในหุ้นหลายๆตัวโดยเฉพาะหุ้นที่มีลักษณะ net nets stock (หุ้นที่มีราคาต่ำกว่า1/3ของมูลค่าทรัพย์สินหมุนเวียนสุทธิ)ในปี1929 พอร์ตของเกรแฮมมีหุ้นอยู่ถึง75ตัว บางช่วงพอร์ตมีหุ้นมากกว่า100ตัว เน้นว่าให้กระจายไปให้มากเพียงพอที่จะกระจายความเสี่ยง แต่ต้องไม่กระจายไปในความเสี่ยงที่มากเกินไป
กลยุทธ์การจัดพอร์ตของ ฟิลลิป เอ ฟิชเชอร์ เซียนหุ้นโตเร็วในสไตล์นักสืบ
ฟิชเชอร์แนะนำว่าอย่าเน้นกระจายความเสี่ยงโดยการกระจายการถือหุ้นมากเกินไป อย่าใส่ไข่ในหลายตะกร้ามากเกินไป และอย่าใส่ไข่ในตะกร้าใบเดียวจนไข่ล้นตะกร้าและไม่ได้ดูแลไข่อย่างดีเพียงพอ ต้องคำนึงถึงหุ้นตัวที่ถืออยู่ด้วยเพราะบางบริษัทเป็นลักษณะโฮลดิ้งและบริษัทเองก็มีการกระจายความเสี่ยงไปในหลายๆธุรกิจแล้ว การกระจายความเสี่ยงต้องดูความทับซ้อนหรือแข่งขันกันของธุรกิจที่จะซื้อหุ้นด้วย (ความเห็นของผม เขาคงหมายความว่าเช่นหากถือหุ้น ปตท.แล้วก็ไม่ควรกระจายความเสี่ยงโดยการถือหุ้นปิโตรเคมีอีก หรือกรณี ซื้อทั้ง หุ้นของ scc และ sccc ซึ่งแข่งขันกัน เป็นต้น) ฟิชเช่อร์แนะนำให้แยกแยะกลุ่มบริษัทและการกระจายความเสี่ยงดังนี้
บริษัทกลุ่ม A ซึ่งเป็นหุ้นที่โตเร็วและเป็นบริษัทใหญ่ที่มีความแข็งแกร่งสูง กระจายแบบตัวละ20 % ไป5บริษัทที่มีความแตกต่างของสินค้า ก็ดูสมเหตุสมผล
บริษัทกลุ่ม B ซึ่งเป็นบริษัทมีลักษณะหุ้นบริษัทใหม่โตเร็วและความเสี่ยงสูง ให้ลงตัวละ8-10 % กระจายไปในบริษัทที่มีความแตกต่างกัน
บริษัทกลุ่มC ซึ่งเป็นบริษัทขนาดเล็กๆ ซึ่งโอกาสอาจได้กำไรมหาศาลและขาดทุนสูญเสียเงินทั้งหมด ควรกระจายความเสี่ยง ไม่เกินตัวละ5% และเงินที่ใช้ลงทุนต้องเป็นเงินเย็นที่สามรถขาดทุนได้ทั้งหมดโดยไม่เดือดร้อน
นี่ก็เป็นบทเรียนที่รวบรวมมาโพสท์ไว้เผื่อจะมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยสำหรับนังลงทุนชาววีไอ
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=26032
กลยุทธ์การจัดพอร์ตอย่างเซียน
บทความโดย CHARTCHAI MADMAN
การจะลงทุนในหุ้นให้ประสบความสำเร็จนั้นนอกจากการวิเคราะห์เป็นรายตัวแล้ว การจัดพอร์ตให้มีความสมดุลก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะบ่งชี้ถึงผลตอบแทนโดยรวมว่าจะมากน้อยเพียงใด หรือหากเกิดความผันผวนขึ้น ความสมดุลของพอร์ตจะเป็นเกราะกำบังอีกประการหนึ่งให้นักลงทุนไม่เสียหายมาก
แนวความคิดเรื่องการจัดพอร์ตนั้นมีหลายแนวความคิดครับ แต่โดยหลักก็คือ
1)หลักการกระจาย คือการลงทุนกระจายไปหุ้นหลายๆตัว ในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม(หรือหลักการใส่ไข่ไว้ในหลายๆตะกร้า) เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ต ในขณะเดียวกันผลตอบแทนโดยรวมอาจจะต่ำกว่าการลงทุนแบบโฟกัส
2)โฟกัสคือการเน้นการลงทุนในหุ้นน้อยตัวนักลงทุนคัดสรรมาแล้ว การใช้กลยุทธ์นี้จะพบความผันผวนของพอร์ตได้มากกว่า ความเสี่ยงมากกว่า แต่ผลตอบแทนก็จะสูงตามไปด้วย
เคยมีการศึกษาเพื่อทดสอบเรื่องจำนวนหุ้นในพอร์ต ที่ศึกษาเรื่องระดับผลตอบแทนและความเสี่ยงของมหาวิทยาลัยชิคาโก (professors Lawrence Fisher และ James Lorie)โดยการจัดพอร์ตที่มีหุ้นตั้งแต่1ตัว ถึงพอร์ตที่มีหุ้น500 ตัวครับ ผลที่ออกมาก็คือ
***การเพิ่มจำนวนหุ้นในพอร์ตทำให้ความเสี่ยงลดลง แต่ประโยชน์นี้จะหมดลงอย่างรวดเร็ว หากจำนวนหุ้นในพอร์ตมากเกินกว่า16ตัว***
มีการศึกษาอีก paper หนึ่ง ( John Wiley & son) พบว่า
***นักลงทุนสามารถกระจายความเสียงได้85% ด้วยการมีหุ้นจำนวน15ตัว และ หากมีหุ้นในพอร์ตจำนวน30ตัวจะกระจายความเสี่ยงได้95%
สรุปโดยรวม การจัดพอร์ตทั้งสองแบบก็จะมีผลได้ผลเสียแตกต่างกันไป แล้วบรรดาเซียนในเรื่องการลงทุนละ แต่ละท่านมีกลยุทธ์ในการจัดพอร์ตอย่างไร
กลยุทธ์การจัดพอร์ตของ ดร.นิเวศน์ เซียนหุ้นมูลค่าอันดับหนึ่งของเมืองไทย
ดร.นิเวศน์กล่าวไว้ในหนังสือตีแตก กลยุทธ์การเล่นหุ้นในภาวะวิกฤติ ท่านบอกไว้ว่า ในพอร์ตของท่านมีหุ้นกว่า10ตัว น้ำหนักการลงทุนไม่เท่ากันในแต่ละตัว การให้น้ำหนักจะขึ้นอยู่กับความน่าสนใจของแต่ละตัว หากท่านเห็นว่าตัวไหนให้ผลตอบแทนดีและมั่นใจก็จะให้น้ำหนักตัวนั้นมากหน่อย น่าสนใจแต่ไม่มั่นใจก็จะให้น้ำหนักน้อยหน่อย ท่านจะปรับพอร์ตเสมอเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ส่วนใหญ่แล้วจะลงทุนในหุ้นเต็มวงเงินเสมอ
กลยุทธ์การจัดพอร์ตแบบบัฟเฟตต์ เศรษฐีหุ้นอันดับหนึ่งของโลกการลงทุน
ส่วนบัฟเฟตต์ซึ่งชำนาญในเรื่องการใช้กลยุทธ์สวนกระแสแบบคัดสรรคือเลือกลงทุนน้อยตัวแต่ลงหนักเมื่อเจอหุ้นที่ยอดเยี่ยม ท่านเชื่อว่าการกระจายความเสี่ยงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลกับนักลงทุนที่ขาดความรู้และความเข้าใจเท่านั้น การกระจายความเสี่ยงจะมีประโยชน์ในกรณีที่จะช่วยป้องกันความเสียหายที่เกิดจากการไม่รู้ หรือได้รับข้อมูลที่ใช้ตัดสินใจไม่ครบสมบูรณ์ บัฟเฟต์แนะนำว่านักลงทุนควรมีหุ้นเพียง5-10ตัวเท่านั้น บัฟเฟตต์เมื่อซื้อจะเน้นการถือหุ้นระยะยาว ถือไปเรื่อยๆตราบใดที่พื้นฐานของหุ้นยังไม่แย่ลง
กลยุทธ์การจัดพอร์ตแบบปีเตอร์ ลินช์
ลินช์กล่าวว่าประเด็นสำคัญของผลตอบแทนไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนหุ้นในพอร์ต แต่มันขึ้นอยู่กับการตรวจสอบอย่างดีมากน้อยแค่ไหนของนักลงทุน มันเป็นเรื่องที่ดีที่จะเป็นเจ้าของหุ้นให้มากที่สุดหากคุณไปเจอสถานการณ์
1)สถานการณ์ที่ได้เปรียบ และ
2)ได้ค้นพบหุ้นที่มีเป้าหมายชัดเจนและน่าตื่นเต้น
นั่นหมายความว่าหากนักลงทุนมีความเชี่ยวชาญในหุ้นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือหุ้นตัวใดตัวหนึ่งเป็นพิเศษจริงๆก็ไม่จำเป็นต้องกระจาย
แต่ก็บอกว่าการถือหุ้นเพียงตัวเดียวเป็นเรื่องเสี่ยงมากเช่นกันหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น ตามความเห็นของ ลินช์ พอร์ตขนาดเล็กควรจะมีหุ้น 3-10 ตัว น่าจะได้ประโยชน์ในแง่มุมต่างๆดังนี้
1)หากลงทุนในหุ้นโตเร็ว โอกาสจะเจอหุ้น10เด้งมีมากกว่า
2)ยิ่งมีหุ้นมาก นักลงทุนก็จะความคล่องตัวที่จะสับเปลี่ยนเงินลงทุนระหว่างมัน
สำหรับพอร์ตของลินช์จะมีลักษณะคร่าวๆดังนี้
-หุ้นโตเร็ว มีน้ำหนักประมาณ30-40 %
-หุ้นแข็งแกร่ง มีน้ำหนัก 10-20%
-หุ้นวัฏจักร มีน้ำหนัก10-20 %
-หุ้นที่กำลังฟื้นตัวอีกมีน้ำหนัก10-20%
กลยุทธ์การจัดพอร์ตหุ้นของปรมาจารย์ เกรแฮม
เกรแฮมนั้นเน้นการกระจายความเสี่ยงไปในหุ้นหลายๆตัวโดยเฉพาะหุ้นที่มีลักษณะ net nets stock (หุ้นที่มีราคาต่ำกว่า1/3ของมูลค่าทรัพย์สินหมุนเวียนสุทธิ)ในปี1929 พอร์ตของเกรแฮมมีหุ้นอยู่ถึง75ตัว บางช่วงพอร์ตมีหุ้นมากกว่า100ตัว เน้นว่าให้กระจายไปให้มากเพียงพอที่จะกระจายความเสี่ยง แต่ต้องไม่กระจายไปในความเสี่ยงที่มากเกินไป
กลยุทธ์การจัดพอร์ตของ ฟิลลิป เอ ฟิชเชอร์ เซียนหุ้นโตเร็วในสไตล์นักสืบ
ฟิชเชอร์แนะนำว่าอย่าเน้นกระจายความเสี่ยงโดยการกระจายการถือหุ้นมากเกินไป อย่าใส่ไข่ในหลายตะกร้ามากเกินไป และอย่าใส่ไข่ในตะกร้าใบเดียวจนไข่ล้นตะกร้าและไม่ได้ดูแลไข่อย่างดีเพียงพอ ต้องคำนึงถึงหุ้นตัวที่ถืออยู่ด้วยเพราะบางบริษัทเป็นลักษณะโฮลดิ้งและบริษัทเองก็มีการกระจายความเสี่ยงไปในหลายๆธุรกิจแล้ว การกระจายความเสี่ยงต้องดูความทับซ้อนหรือแข่งขันกันของธุรกิจที่จะซื้อหุ้นด้วย (ความเห็นของผม เขาคงหมายความว่าเช่นหากถือหุ้น ปตท.แล้วก็ไม่ควรกระจายความเสี่ยงโดยการถือหุ้นปิโตรเคมีอีก หรือกรณี ซื้อทั้ง หุ้นของ scc และ sccc ซึ่งแข่งขันกัน เป็นต้น) ฟิชเช่อร์แนะนำให้แยกแยะกลุ่มบริษัทและการกระจายความเสี่ยงดังนี้
บริษัทกลุ่ม A ซึ่งเป็นหุ้นที่โตเร็วและเป็นบริษัทใหญ่ที่มีความแข็งแกร่งสูง กระจายแบบตัวละ20 % ไป5บริษัทที่มีความแตกต่างของสินค้า ก็ดูสมเหตุสมผล
บริษัทกลุ่ม B ซึ่งเป็นบริษัทมีลักษณะหุ้นบริษัทใหม่โตเร็วและความเสี่ยงสูง ให้ลงตัวละ8-10 % กระจายไปในบริษัทที่มีความแตกต่างกัน
บริษัทกลุ่มC ซึ่งเป็นบริษัทขนาดเล็กๆ ซึ่งโอกาสอาจได้กำไรมหาศาลและขาดทุนสูญเสียเงินทั้งหมด ควรกระจายความเสี่ยง ไม่เกินตัวละ5% และเงินที่ใช้ลงทุนต้องเป็นเงินเย็นที่สามรถขาดทุนได้ทั้งหมดโดยไม่เดือดร้อน
นี่ก็เป็นบทเรียนที่รวบรวมมาโพสท์ไว้เผื่อจะมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยสำหรับนังลงทุนชาววีไอ
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=26032
- VI Wannabe
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1014
- ผู้ติดตาม: 0
เพื่อนๆ พี่ๆ คิดว่าควรกระจายการลงทุนในหุ้นกี่ตัว จึงจะเหมาะ
โพสต์ที่ 37
ขอบคุณครับคุณ stupidvi
"Attempt to be fearful when others are greedy and to be greedy only when others are fearful"
"It's far better to buy a wonderful company at a fair price than a fair company at a wonderful price"
"It's far better to buy a wonderful company at a fair price than a fair company at a wonderful price"
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10548
- ผู้ติดตาม: 1
เพื่อนๆ พี่ๆ คิดว่าควรกระจายการลงทุนในหุ้นกี่ตัว จึงจะเหมาะ
โพสต์ที่ 38
+1mprandy เขียน:จำนวนหุ้นที่ถือ ไม่เกี่ยวอะไรกับความเหมาะสมในการลงทุน
แต่ละคนมีสไตล์การลงทุนแตกต่างกัน ทำไมต้องจำกัดว่าถือเกินกี่ตัว หรือน้อยกว่ากี่ตัว จึงจะดี
ถือน้อยตัว แสดงว่าผู้นั้นมั่นใจในการลงทุนของตน และมั่นใจในหุ้นที่ถือมาก
ถือมากตัว แสดงว่าต้องการกระจายความเสี่ยง และเน้นความปลอดภัยของตน
แต่ไม่ว่าจะถือกี่ตัว .. สิ่งสำคัญของนักลงทุนคือ หุ้นที่คุณถืออยู่ทุกตัว มันดี หรือไม่ดียังไง ต่างหาก
ลองถามคำถามนี้กับตัวเอง แทนถามเรื่องจำนวนหุ้นที่ถือบ้างหรือยัง
- laohanant
- Verified User
- โพสต์: 372
- ผู้ติดตาม: 0
เพื่อนๆ พี่ๆ คิดว่าควรกระจายการลงทุนในหุ้นกี่ตัว จึงจะเหมาะ
โพสต์ที่ 39
ผมว่า VI พันธุ์แท้ ถือหุ้นไม่มากตัวหรอกครับ
พวกเค้ามีสัญชาติญาณความเป็นผู้ประกอบการ พร้อมกับทำการบ้านมาเป็นอย่างดี พวกเค้าก็จะค้นพบหุ้นชั้นดี ที่ margin of saftey มากๆ
บางครั้งก็อาจพบหุ้นชั้นดีเหมือนกันแต่ margin of saftey ต่ำกว่า เค้าก็ไม่ค่อยอยากจะกระจายพอร์ทออกไปหรอกครับ
ผมว่าปัจจัยเรื่่อง margin of saftey เป็นตัวแปรสำคัญที่จะตอบได้ว่าช่วงเวลานั้นๆ ควรจะถือหุ้นกี่ตัวสำหรับ VI พันธุ์แท้
พวกเค้ามีสัญชาติญาณความเป็นผู้ประกอบการ พร้อมกับทำการบ้านมาเป็นอย่างดี พวกเค้าก็จะค้นพบหุ้นชั้นดี ที่ margin of saftey มากๆ
บางครั้งก็อาจพบหุ้นชั้นดีเหมือนกันแต่ margin of saftey ต่ำกว่า เค้าก็ไม่ค่อยอยากจะกระจายพอร์ทออกไปหรอกครับ
ผมว่าปัจจัยเรื่่อง margin of saftey เป็นตัวแปรสำคัญที่จะตอบได้ว่าช่วงเวลานั้นๆ ควรจะถือหุ้นกี่ตัวสำหรับ VI พันธุ์แท้
Detect and Act on the market 's error.
-
- Verified User
- โพสต์: 139
- ผู้ติดตาม: 0
เพื่อนๆ พี่ๆ คิดว่าควรกระจายการลงทุนในหุ้นกี่ตัว จึงจะเหมาะ
โพสต์ที่ 40
เริ่มศึกษาและลงทุนมาตั้งแต่ 20 เป๊ะๆ ช่วงนั้นเงินยังไม่เยอะ แต่ดันขยันจัดพอร์ต
ตัวไหนดูว่าดี เห็นว่าใช่ก็ซื้อไปหมด สรุปหลายตัวเกินไปตัวที่ทำกำไรมากๆ ก็ไม่ได้ช่วยดันพอร์ตเท่าไหร่
ใครบอกตัวไหนว่าดี พอเริ่มสนใจก็ซื้อๆเก็บๆ ตัวไหนดู pe / eps ว่าน่าสนก็เก็บอีก เล็กๆน้อยๆ แทบจะไม่ส่งผลต่อพอร์ตรวม
มาตั้งแต่ต้นปีนี้ .. หัดวิเคราะห์มากขึ้น ได้รับความคิดเห็นของคนอื่นมา ก็เลือกที่เข้าใจและมั่นใจมากที่สุด
เน้นน้อยตัวที่สุด และถ้าหากอ่านข้อมูลแล้วไม่เข้าใจก็ไม่เข้าซื้อ .. ลดความผิดพลาดและความโลภไปได้เยอะครับ
ปีนี้ตั้งแต่ต้นปีเลยถือ ครั้งละหนึ่งตัวเท่านั้น .. พอร์ตเล็กๆ สภาพคล่องแทบจะไม่มีผลเลย แต่หากเราเข้าถูกจังหวะในหุ้นพื้นฐานดี อนาคตเติบโตหรือ turn around ผลกำไรจะออกมาดีมากครับ
ตัวไหนดูว่าดี เห็นว่าใช่ก็ซื้อไปหมด สรุปหลายตัวเกินไปตัวที่ทำกำไรมากๆ ก็ไม่ได้ช่วยดันพอร์ตเท่าไหร่
ใครบอกตัวไหนว่าดี พอเริ่มสนใจก็ซื้อๆเก็บๆ ตัวไหนดู pe / eps ว่าน่าสนก็เก็บอีก เล็กๆน้อยๆ แทบจะไม่ส่งผลต่อพอร์ตรวม
มาตั้งแต่ต้นปีนี้ .. หัดวิเคราะห์มากขึ้น ได้รับความคิดเห็นของคนอื่นมา ก็เลือกที่เข้าใจและมั่นใจมากที่สุด
เน้นน้อยตัวที่สุด และถ้าหากอ่านข้อมูลแล้วไม่เข้าใจก็ไม่เข้าซื้อ .. ลดความผิดพลาดและความโลภไปได้เยอะครับ
ปีนี้ตั้งแต่ต้นปีเลยถือ ครั้งละหนึ่งตัวเท่านั้น .. พอร์ตเล็กๆ สภาพคล่องแทบจะไม่มีผลเลย แต่หากเราเข้าถูกจังหวะในหุ้นพื้นฐานดี อนาคตเติบโตหรือ turn around ผลกำไรจะออกมาดีมากครับ
ไม่ได้คิดว่ามันคือความล้มเหลว เพียงแต่เราค้นพบหนทางที่ทำแล้วไม่ประสบความสำเร็จเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง .. แก้ไขซะ!!
- zuikeaizhu
- Verified User
- โพสต์: 20
- ผู้ติดตาม: 0
เพื่อนๆ พี่ๆ คิดว่าควรกระจายการลงทุนในหุ้นกี่ตัว จึงจะเหมาะ
โพสต์ที่ 44
+2Paul VI เขียน:+1mprandy เขียน:จำนวนหุ้นที่ถือ ไม่เกี่ยวอะไรกับความเหมาะสมในการลงทุน
แต่ละคนมีสไตล์การลงทุนแตกต่างกัน ทำไมต้องจำกัดว่าถือเกินกี่ตัว หรือน้อยกว่ากี่ตัว จึงจะดี
ถือน้อยตัว แสดงว่าผู้นั้นมั่นใจในการลงทุนของตน และมั่นใจในหุ้นที่ถือมาก
ถือมากตัว แสดงว่าต้องการกระจายความเสี่ยง และเน้นความปลอดภัยของตน
แต่ไม่ว่าจะถือกี่ตัว .. สิ่งสำคัญของนักลงทุนคือ หุ้นที่คุณถืออยู่ทุกตัว มันดี หรือไม่ดียังไง ต่างหาก
ลองถามคำถามนี้กับตัวเอง แทนถามเรื่องจำนวนหุ้นที่ถือบ้างหรือยัง
- Paul Octopus
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 803
- ผู้ติดตาม: 0
เพื่อนๆ พี่ๆ คิดว่าควรกระจายการลงทุนในหุ้นกี่ตัว จึงจะเหมาะ
โพสต์ที่ 45
ผมเน้นที่กลุ่มอุตสาหกรรม มากกว่าจำนวนชนิดของหุ้นครับ
ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เราคิดว่ามัน OK ในช่วงเวลาที่เรากำหนด เราอาจถือหลายตัวก็ได้เพื่อกระจายความเสี่ยง อันเกิดจากการรับรู้ข้อมูลที่มีจำกัด โดยเฉพาะคุณภาพของผู้บริหารของแต่ละกิจการ
เช่นถ้าเราคิดว่ากลุ่มยานยนต์จะเติบโตได้ดีต่อจากนี้อีก 5 ปี เราสามารถถือหุ้นได้ 2-3 กิจการ (แต่ให้น้ำหนักมากน้อยไม่เท่ากันขึ้นกับการวิเคราะห์อย่างละเอียดของเรา)
ส่วนตัวผมถือกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็น Mega-trends ในอีก 5-20 ปี อยู่ 3-4 กลุ่มอุตสาหกรรมครับ
ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เราคิดว่ามัน OK ในช่วงเวลาที่เรากำหนด เราอาจถือหลายตัวก็ได้เพื่อกระจายความเสี่ยง อันเกิดจากการรับรู้ข้อมูลที่มีจำกัด โดยเฉพาะคุณภาพของผู้บริหารของแต่ละกิจการ
เช่นถ้าเราคิดว่ากลุ่มยานยนต์จะเติบโตได้ดีต่อจากนี้อีก 5 ปี เราสามารถถือหุ้นได้ 2-3 กิจการ (แต่ให้น้ำหนักมากน้อยไม่เท่ากันขึ้นกับการวิเคราะห์อย่างละเอียดของเรา)
ส่วนตัวผมถือกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็น Mega-trends ในอีก 5-20 ปี อยู่ 3-4 กลุ่มอุตสาหกรรมครับ
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4641
- ผู้ติดตาม: 0
เพื่อนๆ พี่ๆ คิดว่าควรกระจายการลงทุนในหุ้นกี่ตัว จึงจะเหมาะ
โพสต์ที่ 46
ตามจริงอยากตอบว่า 3 ตัวครับ แต่ไม่มีให้เลือก
ผมพยายามลดลงให้เหลือน้อยกว่านั้น เลยเลือก 1-2 ตัว
ตามจริงอยากตอบว่า
ถือหุ้น 2 ตัว และ 1 ในสามที่เหลือ เป็นเงินสดครับ
วิเคราะห์ดีให้ตายยังไง เผื่อเหลือเผื่อขาดไว้ก็ดี ถ้าหุ้นวิ่งแรง 2 ใน 3 ของเงินก็เหลือแหล่
ถ้าพลาดยังมีไม้สุดท้าย
ผมพยายามลดลงให้เหลือน้อยกว่านั้น เลยเลือก 1-2 ตัว
ตามจริงอยากตอบว่า
ถือหุ้น 2 ตัว และ 1 ในสามที่เหลือ เป็นเงินสดครับ
วิเคราะห์ดีให้ตายยังไง เผื่อเหลือเผื่อขาดไว้ก็ดี ถ้าหุ้นวิ่งแรง 2 ใน 3 ของเงินก็เหลือแหล่
ถ้าพลาดยังมีไม้สุดท้าย
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 1468
- ผู้ติดตาม: 0
เพื่อนๆ พี่ๆ คิดว่าควรกระจายการลงทุนในหุ้นกี่ตัว จึงจะเหมาะ
โพสต์ที่ 47
เห็นด้วยทุกประการครับSkyforever เขียน:Blueblood เขียน:จนถึงทุกวันนี้ผมก็ยังเชื่อว่าถ้าเรามีหุ้นที่วิเคราะห์มาดีที่สุด รู้ความเสี่ยงทั้งหลายดีแล้ว เราสามารถถือตัวเดียวได้ครับ แต่เพิ่มอีกเงื่อนไขนึงซึ่งเมื่อก่อนผมไม่ได้ให้ความสำคัญมากคือสภาพคล่องต้องเพียงพอโดยส่วนตัวผมมองว่าควรที่จะขายให้หมดได้ภายในวันเดียวโดยที่ราคาหุ้นไม่ลดลงมาก เช่น เกิน 5% ครับ ถ้าสภาพคล่องไม่เพียงพอจึงจะเริ่มกระจายพอร์ตไปตัวที่สองที่ดีที่สุดถัดมา ถ้ากระจายไปตัวที่สองแล้วยังมีเงินเหลือจากปัญหาสภาพคล่องของหุ้นตัวนี้อีกก็ค่อยกระจายไปตัวที่สามอย่างนี้ไปเรื่อยๆครับ
ป.ล. แต่ถ้าช่วงเวลาใดหาหุ้นที่ดีที่สุดตัวเดียวไม่ได้แต่เจอหลายๆตัวความเสี่ยงและผลตอบแทนพอๆกัน ก็กระจายได้ครับ
..สักวันจะเก่งเหมือนพี่บ้าง..