ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่

โพสต์ที่ 31

โพสต์

kin เขียน:ผมว่ายังไงคงต้องดูอย่างอื่นประกอบด้วยอีกเยอะเลยนะ

บางธุรกิจ ROE มักจะสูงโดยธรรมชาติ เช่น ธุรกิจบริการ เนื่องจากผลผลิตส่วนใหญ่เกิดจากพนักงาน ใช้คนสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ ซึ่งตัวพนักงานไม่ถูกรวมอยู่ใน asset ทำให้ equity ของธุรกิจแบบนี้จะไม่สูง แต่จะสังเกตว่า p/b ของธุรกิจพวกนี้ก็จะสูงไปด้วย ทั้งที่ p/e ก็ยังปกติ

แต่บางธุรกิจที่เป็น asset play มักจะมี ROE ต่ำโดยธรรมชาติ เนื่องจากมีทรัพย์สินที่ไม่เกี่ยวกับการดำเนินงานแฝงอยู่ ทำให้ asset เยอะกว่าการใช้งาน จะสังเกตว่า p/b มักต่ำมาก ทั้งที่ p/e ก็ยังปกติ

สองธุรกิจนี้อาจมี p/e พอๆ กัน และได้ return ที่ไม่ต่างกันนัก และถามว่าตัวไหนแพงกว่า ก็ตอบได้ยาก ดังนั้นจึงต้องดูอย่างอื่นประกอบอีกมาก ถ้าดูแต่ ROE อาจทำให้เราพลาดธุรกิจประเภทหลัง และเสียโอกาสในการค้นหาหุ้นน่ะครับ
ช่วยขยายความหน่อยครับ
เพราะผมยึด ROE เป็นเรืองสำคัญ
ลงทุนเพื่อชีวิต
nuttagan
Verified User
โพสต์: 57
ผู้ติดตาม: 0

มือใหม่

โพสต์ที่ 32

โพสต์

ผมเคยเสียโอกาศการลงทุน ไป ครั้งนึง กับหุ้น ssc เมื่อวันที่ 31/12/2551 roe มันเท่ากับ 2.23 ผมเห็นว่ามันน้อยมากเลยไม่สนใจ ซึ่งตอนนั้นมันมีกำไร 0.53 บาท ต่อหุ้น ราคา 7.7 บาท แต่มาวันนี้ กำไรโตไป 3 เท่าเป็น 1.54 บาทต่อหุ้น ส่วนราคาไป 5 เท่า ภายในเวลา2 ปี เป็น 44.25 ส่วน roe ตอนนี้ยัง ตำ่กว่า 10 คือ 6.29
(ผมเป็นมือใหม่มาก กำลังศึกษาแนวทางของ VI)
ข้อมูลอ้างอิงตามลิงค์ข้างล่างนี้ ถ้ายังก็ช่วยวิเคราะห์หุ้นตัวนี้ด้วยนะครับ ว่าทำไม roe ตำ่มากแต่ให้ผลตอบแทนสูง  

http://www.set.or.th/set/companyhighlig ... country=TH
ภาพประจำตัวสมาชิก
pongo
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1075
ผู้ติดตาม: 0

ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่

โพสต์ที่ 33

โพสต์

ROE ไม่เคยเป็น ratio หลักที่ผมพิจารณาในการซื้อหุ้นเลย
ผมจะเจาะลงไปดู Net Profit Margin, Sale Growth, D/E พวกนี้มากกว่า
ROE ROA จะดูเป็น ratio รองๆ ลงไป
และทุกตัวต้องดูในเชิงเปรียบเทียบ ทั้งเปรียบเทียบกับตัวบริษัทเองในอดีต
และเปรียบเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรม
ภาพประจำตัวสมาชิก
SunShine@Night
Verified User
โพสต์: 2196
ผู้ติดตาม: 0

Re: roe กับ price

โพสต์ที่ 34

โพสต์

[quote="nuttagan"]หาผลตอบแทนการลงทุน ROE หาร price/BV ก็จะรู้ว่าหุ้น แพงไม่แพง

ตัวอย่าง hmpro กับ oishi ตัวใหนถูกกว่า สมมุติฐาน ที่กำไรโตคงที่ในอนาคต

hmpro

ROE = 26.8, P/BV =7.43

จะได้ผลตอบแทนต่อการลงทุน 26.8/7.43 = 3.6 เปอร์เซนต์ต่อปี

Oishi

ROE = 37.65, P/BV =5.59

จะได้ผลตอบแทนต่อการลงทุน 37.65/5.59 = 6.73 เปอร์เซนต์ต่อปี

แสดงว่า โออิชิให้ผลตอบแทนการลงทุนมากกว่า ดังนั้น ก็ซื้อโออิชิเลย


:D
VI ฝึกหัด สำนักปีเตอร์ ลินช์

หวังผลต่อแทนทบต้นมากกว่า 15% ต่อปี :)
ภาพประจำตัวสมาชิก
kin
Verified User
โพสต์: 668
ผู้ติดตาม: 0

ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่

โพสต์ที่ 35

โพสต์

[quote="CONTRA"]หุ้น Asset Play
ภาพประจำตัวสมาชิก
kin
Verified User
โพสต์: 668
ผู้ติดตาม: 0

ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่

โพสต์ที่ 36

โพสต์

thaloengsak เขียน:ช่วยขยายความหน่อยครับ
เพราะผมยึด ROE เป็นเรืองสำคัญ
บางธุรกิจ มี asset ส่วนที่ไม่ใช้งาน และไม่เกี่ยวกับตัวธุรกิจอยู่ เช่น

สมมติ A บริษัทไม่มีหนี้เลย asset=equity
- asset ที่ใช้ในการดำเนินกิจการ 1 ล้านบาท
- ที่ดินทิ้งไว้เฉยๆ ไม่เกี่ยวกับการดำเนินการ 1 ล้านบาท
- บริษัททำกำไรได้ 2 แสนบาท
- กรณีนี้ ROE = 2แสน/(1+1ล้าน) = 10%
- แต่ถ้าเราไปดูราคาหุ้นอาจเห็นว่า p/b = 0.5 กรณีนี้แสดงว่าตลาดไม่ได้ให้คุณค่ากับที่ดินตรงนั้นนะครับ
- ถ้าเราหัก asset ที่เป็นที่ดินออกไป p/b ใหม่ของเราจะกลายเป็น 1
- และ ROE ใหม่ของเราจะกลายเป็น 20% ทันที
กรณีนี้จะเห็นว่ากิจการดูดีขึ้นทันทีเลยใช่ไหมครับ   :D

ผมกำลังโยงให้เห็น ว่า ROE มีความสัมพันธ์กับ p/b อย่างไร และกำลังชี้ให้เห็นสาเหตุ ว่าทำไมบางกิจการ p/b ถึงต่ำนะครับ มันมีเหตุผลของมัน ซึ่งกรณีแบบนี้เราควรปรับแก้ ROE

แต่ไม่เสมอไปนะครับว่ากิจการที่ ROE ต่ำแล้ว p/b ต่ำ จะดีเสมอไป ถึงบอกว่ายังไง เราก็ควรเข้าไปดูกิจการอย่างละเอียดอยู่ดี ตัวเลขเหล่านี้เป็นเพียงตัวกรองหุ้นที่คิดว่าน่าสนใจ แล้วหยิบเอามาดูอีกที
ภาพประจำตัวสมาชิก
Croyoty
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3658
ผู้ติดตาม: 1

ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่

โพสต์ที่ 37

โพสต์

ROA คืออะไรครับ
ROE พอเข้าใจ

งง มันแตกต่างกันยังไงคับ      
ไม่ค่อยร้เกี่ยวกับงบคับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ayethebing
Verified User
โพสต์: 2125
ผู้ติดตาม: 0

ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่

โพสต์ที่ 38

โพสต์

ROE จะสูงหรือต่ำเกิดมาจากปัจจัยต่างๆ คือ
1.  ความสามารถของกิจการเองในการทำกำไร เรียกว่าฝีมือของผู้บริหาร
2.  ลักษณะธุรกิจและแนวโน้มของอุตสาหกรรม เวลาเทียบกันควรเทียบในอุตสาหกรรมที่ใกล้เคียงกัน เช่นเอา ROE ของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ไปเทียบ กับบริษัทที่ทำการผลิตก็คงเทียบกันยาก
3.  โครงสร้างเงินทุนของบริษัท แน่นอนบริษัทที่กู้เยอะก็มีสินทรัพย์เยอะตามไปด้วย และโอกาสในการสร้างรายได้จากสินทรัพย์ก็จะมีมากกว่า ดังนั้น ถ้าบริษัทเดียวกันกู้เยอะกับกู้น้อย กู้เยอะก็จะได้ ROE สูงกว่า  อย่างไรก็ตามการมีหนี้เยอะๆ ก็จะทำให้กำไรผันผวนมากกว่า บริษัทที่มีหนี้น้อยเพราะต้องจ่ายค่าดอกเบี้ย ดังนั้นบริษัทที่มีหนี้เยอะๆ จึงมี cost of equity สูงกว่า บริษัทที่หนี้น้อย

ปัญหาของการใช้ ROE ในการวิเคราะห์ความสามารถของกิจการ คือบริษัทมี ROE ที่ผันผวนซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยของโครงสร้างทางการเงิน ทำให้การวิเคราะห์ด้วย ROE ก็ทำได้ยากเพราะไม่ได้บอกถึงความสามารถที่แท้จริงของกิจการ

อีกตัวเลือกที่ช่วยแก้ไขปัฐหานี้คือการใช้ ROA (Return on Total Asset) การใช้ ROA เป็นการช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากโครงสร้างทางการเงินของบริษัทลง ทำให้สามารถเทียบกันได้ง่ายขึ้น

หวังว่าคงช่วยได้บ้างนะครับ
ขอนไม้อันนิ่งสงบ
nuttagan
Verified User
โพสต์: 57
ผู้ติดตาม: 0

งง

โพสต์ที่ 39

โพสต์

ไม่เข้าใจว่า ทำไมบริษัท ต้องเก็บทรัพย์สินที่ ไม่ทำกำไร ไว้เยอะ ทำให้ ROE ไม่ใช่ ROE ที่แท้จริง ทำให้เวลาคิดว่า บริษัทจะขยายธุรกิจ ทำให้หาทุนที่แท้จริงยาก
ภาพประจำตัวสมาชิก
picklife
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2567
ผู้ติดตาม: 0

ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่

โพสต์ที่ 40

โพสต์

unnop.t เขียน:
yoyo เขียน:เอามาให้ดูเล่นๆครับ หุ้น ppd ที่อเมริกา
roe ประมาณ 100% สม่ำเสมอ
กำไรสม่ำเสมอ หนี้ที่มีก็เป็นหนี้จากการดำเนินงานทั่วไป ไม่มีหนี้ที่มีดอกเบี้ย
บริษัทสร้างกระแสเงินสดได้ดีมาก จนปันผลออกมาเรื่อย ซื้อหุ้นคืนเรื่อยๆ จน equity ลดเอาๆ แต่ยังสร้างกำไรได้อย่างต่อเนื่อง
:shock:
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
ภาพประจำตัวสมาชิก
picklife
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2567
ผู้ติดตาม: 0

Re: roe กับ price

โพสต์ที่ 41

โพสต์

[quote="SunShine@Night"][quote="nuttagan"]หาผลตอบแทนการลงทุน ROE หาร price/BV ก็จะรู้ว่าหุ้น แพงไม่แพง

ตัวอย่าง hmpro กับ oishi ตัวใหนถูกกว่า สมมุติฐาน ที่กำไรโตคงที่ในอนาคต

hmpro

ROE = 26.8, P/BV =7.43

จะได้ผลตอบแทนต่อการลงทุน 26.8/7.43 = 3.6 เปอร์เซนต์ต่อปี

Oishi

ROE = 37.65, P/BV =5.59

จะได้ผลตอบแทนต่อการลงทุน 37.65/5.59 = 6.73 เปอร์เซนต์ต่อปี

แสดงว่า โออิชิให้ผลตอบแทนการลงทุนมากกว่า ดังนั้น ก็ซื้อโออิชิเลย


:D
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
ภาพประจำตัวสมาชิก
นพพร
Verified User
โพสต์: 1039
ผู้ติดตาม: 0

ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่

โพสต์ที่ 42

โพสต์

kin เขียน:
thaloengsak เขียน:- แต่ถ้าเราไปดูราคาหุ้นอาจเห็นว่า p/b = 0.5 กรณีนี้แสดงว่าตลาดไม่ได้ให้คุณค่ากับที่ดินตรงนั้นนะครับ
- ถ้าเราหัก asset ที่เป็นที่ดินออกไป p/b ใหม่ของเราจะกลายเป็น 1
- และ ROE ใหม่ของเราจะกลายเป็น 20% ทันที
ตรง p/b = 0.5 ตรงนี้มาจากไหนเหรอครับ หรือประมาณเอา และที่กลายเป็น 1 นี่คือสมมติหรืเปล่าครับ
ก้าวแรกที่เล็กๆ แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของชีวิต
ภาพประจำตัวสมาชิก
kin
Verified User
โพสต์: 668
ผู้ติดตาม: 0

ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่

โพสต์ที่ 43

โพสต์

นพพร เขียน:ตรง p/b = 0.5 ตรงนี้มาจากไหนเหรอครับ หรือประมาณเอา และที่กลายเป็น 1 นี่คือสมมติหรืเปล่าครับ
ผมสมมติเอาครับ ว่าถ้าหุ้นนี้ซื้อขายกันที่ p/b 0.5
คือ market cap = 1 ล้านบาท , book = 2 ล้านบาท --> p/b = 1/2 = 0.5
กรณีนี้ ROE = 2แสน/2ล้าน = 10%

แต่ถ้าไม่นับที่ดิน book ก็จะเหลือ 1 ล้านบาท
คือ market cap = 1 ล้านบาท , book' = 1 ล้านบาท --> p/b' = 1/1 = 1
กรณีนี้ ROE' = 2แสน/1ล้าน = 20%

แต่ทั้งนี้ จะไม่มีผลกับ  p/e ตามตัวอย่างที่ยกมา บริษัทกำไร 2 แสนบาท ดังนั้น p/e = 1ล้าน/2แสน = 5 ทั้งสองกรณีครับ

จะเห็นว่า ROE แบบไม่รวมที่ดิน จะสะท้อนศักยภาพการทำกำไรได้ถูกต้องกว่า

โทษทีครับ ที่ทำให้สับสน  :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
reiter
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2308
ผู้ติดตาม: 0

ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่

โพสต์ที่ 44

โพสต์

ผมเฉยๆกับ ROE นะ

ผมมองที่ ROA มากกว่า... ผมว่า ROA ทำให้เรามองเห็นภาพชัดเจนดี ว่าองค์กรที่เราร่วมเป็นเจ้าของนั้น lean หรือ อุ้ยอ้ายเพียงใด

ผมไม่ค่อยนัยยะหรอก ว่ากำไรเกิดจากเงินของผถห. หรือเงินที่กู้มา
Our favorite holding period is forever.

Blog การลงทุนของผม

http://reitertvi.wordpress.com
ภาพประจำตัวสมาชิก
reiter
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2308
ผู้ติดตาม: 0

ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่

โพสต์ที่ 45

โพสต์

reiter เขียน:ผมเฉยๆกับ ROE นะ

ผมมองที่ ROA มากกว่า... ผมว่า ROA ทำให้เรามองเห็นภาพชัดเจนดี ว่าองค์กรที่เราร่วมเป็นเจ้าของนั้น lean หรือ อุ้ยอ้ายเพียงใด

ผมว่ามันไม่ค่อยมีนัยยะหรอก ว่ากำไรเกิดจากเงินของผถห. หรือเงินที่กู้มา
แก้ไขข้อความครับ
Our favorite holding period is forever.

Blog การลงทุนของผม

http://reitertvi.wordpress.com
nuttagan
Verified User
โพสต์: 57
ผู้ติดตาม: 0

ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่

โพสต์ที่ 46

โพสต์

kin เขียน:
นพพร เขียน:ตรง p/b = 0.5 ตรงนี้มาจากไหนเหรอครับ หรือประมาณเอา และที่กลายเป็น 1 นี่คือสมมติหรืเปล่าครับ
ผมสมมติเอาครับ ว่าถ้าหุ้นนี้ซื้อขายกันที่ p/b 0.5
คือ market cap = 1 ล้านบาท , book = 2 ล้านบาท --> p/b = 1/2 = 0.5
กรณีนี้ ROE = 2แสน/2ล้าน = 10%

แต่ถ้าไม่นับที่ดิน book ก็จะเหลือ 1 ล้านบาท
คือ market cap = 1 ล้านบาท , book' = 1 ล้านบาท --> p/b' = 1/1 = 1
กรณีนี้ ROE' = 2แสน/1ล้าน = 20%

แต่ทั้งนี้ จะไม่มีผลกับ
nuttagan
Verified User
โพสต์: 57
ผู้ติดตาม: 0

ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่

โพสต์ที่ 47

โพสต์

reiter เขียน:
reiter เขียน:ผมเฉยๆกับ ROE นะ

ผมมองที่ ROA มากกว่า... ผมว่า ROA ทำให้เรามองเห็นภาพชัดเจนดี ว่าองค์กรที่เราร่วมเป็นเจ้าของนั้น lean หรือ อุ้ยอ้ายเพียงใด

ผมว่ามันไม่ค่อยมีนัยยะหรอก ว่ากำไรเกิดจากเงินของผถห. หรือเงินที่กู้มา
แก้ไขข้อความครับ
ผมว่ามันมี นัยยะ ในการวิเคราะห์ทั้งสองตัวนะ และ สัมพันธ์กัน

ROE น่าจะบอกความสามารถในการสร้างผลตอบแทนกับเงินที่บริษัทลงทุนไป

ROA น่าจะบอกว่าเงินที่ได้ตอบแทนมา ที่จริงแล้ว กู้เงินมาในปริมาณเยอะแค่ใหน ถ้าไม่มีการกู้ยืมมา ROE จะเท่ากับ ROA และถ้ากู้ยืมมาน้อย ROE จะใกล้กับ ROA แต่ถ้ามีการกู้ยืมมามาก ROE กับ ROA ก็จะแตกต่ากันมาก ซึ่ง ผลตอบแทนที่ได้มานั้นก็ต้องไปจ่ายหนี้ และ ดอก ซึ่งก็จะทำให้กำไรในอนาคตที่ได้มาลดลง
nuttagan
Verified User
โพสต์: 57
ผู้ติดตาม: 0

ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่

โพสต์ที่ 48

โพสต์

nuttagan เขียน:
reiter เขียน:
reiter เขียน:ผมเฉยๆกับ ROE นะ

ผมมองที่ ROA มากกว่า... ผมว่า ROA ทำให้เรามองเห็นภาพชัดเจนดี ว่าองค์กรที่เราร่วมเป็นเจ้าของนั้น lean หรือ อุ้ยอ้ายเพียงใด

ผมว่ามันไม่ค่อยมีนัยยะหรอก ว่ากำไรเกิดจากเงินของผถห. หรือเงินที่กู้มา
แก้ไขข้อความครับ
ผมว่ามันมี นัยยะ ในการวิเคราะห์ทั้งสองตัวนะ และ สัมพันธ์กัน

ROE น่าจะบอกความสามารถในการสร้างผลตอบแทนกับเงินที่บริษัทลงทุนไป

ROA น่าจะบอกว่าเงินที่ได้ตอบแทนมา ที่จริงแล้ว กู้เงินมาในปริมาณเยอะแค่ใหน ถ้าไม่มีการกู้ยืมมา ROE จะเท่ากับ ROA และถ้ากู้ยืมมาน้อย ROE จะใกล้กับ ROA แต่ถ้ามีการกู้ยืมมามาก ROE กับ ROA ก็จะแตกต่ากันมาก ซึ่ง ผลตอบแทนที่ได้มานั้นก็ต้องไปจ่ายหนี้ และ ดอก ซึ่งก็จะทำให้กำไรในอนาคตที่ได้มาลดลง
สุดท้าย ภายใต้สมมุติฐานที่ กำไรแปรผัน กับ ราคา มันก็จะส่งผล ราคาหุ้น เปลี่ยนแปลงไปด้วย
ภาพประจำตัวสมาชิก
reiter
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2308
ผู้ติดตาม: 0

ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่

โพสต์ที่ 49

โพสต์

nuttagan เขียน:
reiter เขียน:
reiter เขียน:ผมเฉยๆกับ ROE นะ

ผมมองที่ ROA มากกว่า... ผมว่า ROA ทำให้เรามองเห็นภาพชัดเจนดี ว่าองค์กรที่เราร่วมเป็นเจ้าของนั้น lean หรือ อุ้ยอ้ายเพียงใด

ผมว่ามันไม่ค่อยมีนัยยะหรอก ว่ากำไรเกิดจากเงินของผถห. หรือเงินที่กู้มา
แก้ไขข้อความครับ
ผมว่ามันมี นัยยะ ในการวิเคราะห์ทั้งสองตัวนะ และ สัมพันธ์กัน

ROE น่าจะบอกความสามารถในการสร้างผลตอบแทนกับเงินที่บริษัทลงทุนไป

ROA น่าจะบอกว่าเงินที่ได้ตอบแทนมา ที่จริงแล้ว กู้เงินมาในปริมาณเยอะแค่ใหน ถ้าไม่มีการกู้ยืมมา ROE จะเท่ากับ ROA และถ้ากู้ยืมมาน้อย ROE จะใกล้กับ ROA แต่ถ้ามีการกู้ยืมมามาก ROE กับ ROA ก็จะแตกต่ากันมาก ซึ่ง ผลตอบแทนที่ได้มานั้นก็ต้องไปจ่ายหนี้ และ ดอก ซึ่งก็จะทำให้กำไรในอนาคตที่ได้มาลดลง
แล้วแต่ใครจะใช้ไม่ใช้ครับ

สำหรับผม ROE ไม่ค่อยช่วยในการมองหา DCA จากงบการเงิน.... ROA ตอบคำถามผมได้ดีกว่า

ในแง่ของความแข็งแรงของ balanced sheet ผมก็ไปมอง D/E มองคุณภาพหนี้ และภาระดอกเบี้ยในอนาคต ดูกระแสเงินสดที่ไหลเข้าไหลออก

ภาพจากตรงนั้นชัดกว่าการมอง ROE เทียบ ROA ครับ  :8)  :8)
Our favorite holding period is forever.

Blog การลงทุนของผม

http://reitertvi.wordpress.com
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่

โพสต์ที่ 50

โพสต์

ปักหมุดๆครับ
สุดยอดทั้งนั้น
ใครมาอ่านกระทู้นี้ได้ประโยชน์แน่ๆครับ
:D
ลงทุนเพื่อชีวิต
CONTRA
Verified User
โพสต์: 91
ผู้ติดตาม: 0

ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่

โพสต์ที่ 51

โพสต์

ขอผมแชร์มุมมองสักเล็กน้อยนะครับ ผิดถูกประการใด ช่วยแนะนำด้วย
        Asset (สินทรัพย์)  = ส่วนของหนี้ + ส่วนของทุน
       เพราะฉะนั้น ถ้าบริษัทไหนไม่มีส่วนของหนี้เลย
         ROA  =  ROE     ดังนั้นในมุมมองของผม บริษัทที่ปราศจากหนี้ที่ต้องจ่ายดอกเบี้ย (Debt Free) เราควรจะดู ROE มากกว่า ROA (เพราะว่าส่วนของเจ้าหนี้และค่าใช้จ่ายค้างจ่ายไม่ได้สื่อถึงความสามารถในการทำกำไร)
       ทีนี้ลองมายกตัวอย่างในส่วนของ ROE
        สมมติว่านาย A มีเงิน 100 หน่วย และนาย B มีเงิน 100 หน่วยเท่ากัน
        แต่จัดสรรเงินลงทุนแตกต่างกัน
       นาย A แบ่งเงินออกเป็นสามส่วน   ส่วนที่ 1 ลงทุน 50 หน่วย
ส่วนที่ 2 ฝากธนาคาร 20 หน่วย     ส่วนที่ 3 ซื้อที่ดิน 30 หน่วย
       นาย B แบ่งเงินลงทุนเป็น   สองส่วน ส่วนที่ 1 ลงทุน 80 หน่วย
ส่วนที่ 2 ฝากธนาคาร 20 หน่วย
       เวลาผ่านไป 1 ปี การลงทุนของ นาย A และ นาย B ให้ผลตอบแทนเท่ากันคือ 30% ส่วนฝากธนาคารให้ผลตอบแทน 2% และที่ดินราคาไม่เปลี่ยนแปลง ผลคือ สิ้นปีที่ 1 นาย A มีเงินทั้งหมดเป็น  115.4 หน่วย
                  สิ้นปีที่ 1 นาย B มีเงินทั้งหมดเป็น  124.4 หน่วย
       เวลาผ่านไป 3 ปี ถ้าผลตอบแทนจากการลงทุนยังเหมือนเดิม
                  สิ้นปีที่ 4  นาย A มีเงินทั้งหมดเป็น  194.45 หน่วย
                  สิ้นปีที่ 4  นาย B มีเงินทั้งหมดเป็น   250.14 หน่วย
       ถ้าท่านต้องเลือกร่วมลงทุนกับ นาย A หรือ นาย B ผมว่าท่านต้องเลือกนาย B แน่นอน นี่คือตัวอย่างของ ROE นาย A มีผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 18%
ในขณะที่นาย B มีผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 26%
       ก็เปรียบเสมือนว่า นาย B (บริษัท B มี ROE ปีละ 26% และไม่จ่ายเงินปันผลเลยโดยนำไปลงทุนตลอด)
       ซึ่งจากตัวอย่างที่ยกมาถ้าเราหาบริษัทที่มี ROE ในระดับสูงโดยเฉลี่ยหลายปีย้อนหลังและมีแนวโน้มจะเป็นเช่นนั้นไปในอนาคต (ผลประกอบการในอดีตไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันอนาคต) ROE ก็เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการตัดสินใจซื้อหุ้นได้ดีพอสมควร
       ผิดถูกประการในรบกวนผู้รู้ท่านอื่นแนะนำด้วยครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
picklife
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2567
ผู้ติดตาม: 0

ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่

โพสต์ที่ 52

โพสต์

reiter เขียน:
nuttagan เขียน:
reiter เขียน:
reiter เขียน:ผมเฉยๆกับ ROE นะ

ผมมองที่ ROA มากกว่า... ผมว่า ROA ทำให้เรามองเห็นภาพชัดเจนดี ว่าองค์กรที่เราร่วมเป็นเจ้าของนั้น lean หรือ อุ้ยอ้ายเพียงใด

ผมว่ามันไม่ค่อยมีนัยยะหรอก ว่ากำไรเกิดจากเงินของผถห. หรือเงินที่กู้มา
แก้ไขข้อความครับ
ผมว่ามันมี นัยยะ ในการวิเคราะห์ทั้งสองตัวนะ และ สัมพันธ์กัน

ROE น่าจะบอกความสามารถในการสร้างผลตอบแทนกับเงินที่บริษัทลงทุนไป


ROA น่าจะบอกว่าเงินที่ได้ตอบแทนมา ที่จริงแล้ว กู้เงินมาในปริมาณเยอะแค่ใหน ถ้าไม่มีการกู้ยืมมา ROE จะเท่ากับ ROA และถ้ากู้ยืมมาน้อย ROE จะใกล้กับ ROA แต่ถ้ามีการกู้ยืมมามาก ROE กับ ROA ก็จะแตกต่ากันมาก ซึ่ง ผลตอบแทนที่ได้มานั้นก็ต้องไปจ่ายหนี้ และ ดอก ซึ่งก็จะทำให้กำไรในอนาคตที่ได้มาลดลง
แล้วแต่ใครจะใช้ไม่ใช้ครับ

สำหรับผม ROE ไม่ค่อยช่วยในการมองหา DCA จากงบการเงิน.... ROA ตอบคำถามผมได้ดีกว่า

ในแง่ของความแข็งแรงของ balanced sheet ผมก็ไปมอง D/E มองคุณภาพหนี้ และภาระดอกเบี้ยในอนาคต ดูกระแสเงินสดที่ไหลเข้าไหลออก

ภาพจากตรงนั้นชัดกว่าการมอง ROE เทียบ ROA ครับ
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
ภาพประจำตัวสมาชิก
reiter
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2308
ผู้ติดตาม: 0

ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่

โพสต์ที่ 53

โพสต์

ROE เป็นการมองบริษัทด้วยสายตาของนักลงทุน ส่วน ROA เป็รการมองผ่านแว่นของผบห.


ใช้อะไรเป็นหลัก ภาพที่ได้ก็จะมีกรอบการรับรู้ที่แตกต่างกัน   :8)  :8)
Our favorite holding period is forever.

Blog การลงทุนของผม

http://reitertvi.wordpress.com
เด็กใหม่ไฟแรง
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 1575
ผู้ติดตาม: 0

ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่

โพสต์ที่ 54

โพสต์

เท่าที่ผมพอจะรู้นะครับ
ทุกวันนี้ หากจะวัด financial performance กันละก็
ต้องดู
(เรียงจากสำคัญไปหาสำคัญที่สุด)
1. ROA
2. ROE
3. RONA หรือ ROIC
4. EVA
ส่วนหากจะดูเรื่องมูลค่าบริษัท มูลค่าหุ้น ทิศทางราคาหุ้น
นอกเหนือจากตัวข้างบนแล้ว ก็ควรดู
P/E    PE/G  P/B   EV/EBITDA
.......................
บอกเล่าเท่าที่รู้นะครับ
ผิดถูกไม่ว่ากันนะครับ
ดู clip รายการ money talk ย้อนหลังได้ที่
http://www.facebook.com/MoneyTalkTV
หมีขาว
Verified User
โพสต์: 354
ผู้ติดตาม: 0

ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่

โพสต์ที่ 55

โพสต์

ขอเสริมอีกหนึ่งไอเดียในการใช้ ROE นะครับ นำมาจากบทความของพี่สุมาอี้นะครับ เป็นการประยุกต์นำ ROE เพื่อใช้ดูการเติบโตของบริษัทที่เราคาดหวังได้ครับ มีประโยชน์มากครับ
Friday, 13 July 2007
0015: A Healthy Growth
« 0014: ตรวจสุขภาพหุ้นด้วย ROE | Main | 0016: ข้อเสียของความวิตกกังวล »
ในระยะสั้น กิจการอาจมีกำไรเพิ่มขึ้นได้โดยไม่ต้องลงทุน ตัวอย่างเช่น อยู่ดีๆ ความต้องการของตลาดก็เพิ่มขึ้นแบบกระทันหัน ถ้าบริษัทบังเอิญมีกำลังการผลิตส่วนเกินเหลืออยู่มาก บริษัทก็สามารถขายสินค้ามากขึ้นได้ทันทีไม่ต้องมีการลงทุนเพิ่มเพื่อขยายกำลังการผลิตก่อน

แต่การเพิ่มกำไรในระยะยาวนั้นจำเป็นจะต้องมีการลงทุนด้วยเสมอ เช่น ต้องลงทุนเพิ่มสินค้าคงคลังมากขึ้นเพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่มากขึ้น ต้องซื้อเครื่องจักรเพิ่มขึ้นเพื่อขยายกำลังการผลิต หรือต้องจ้างพนักงานขายเพิ่มขึ้นเพื่อขยายตลาด เป็นต้น การลงทุนกับการเติบโตในระยะยาวจึงเป็นของคู่กัน

บริษัทมีแหล่งเงินทุนสำหรับขยายกิจการที่สำคัญอยู่ 3 แหล่ง คือ เงินกู้ เงินเพิ่มทุน และกำไรสะสม แต่โดยมากแล้ว บริษัทมักเลือกเอากำไรสะสมมาลงทุนต่อเป็นอันดับแรกเพราะเป็นวิธีที่ทำได้ง่ายที่สุด การเพิ่มทุนนั้นยุ่งยากมากที่สุดเพราะต้องขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นซึ่งส่วนใหญ่แล้วผู้ถือหุ้นไม่ชอบการเพิ่มทุนเพราะจะทำให้กำไรต่อหุ้นลดลง (อย่างน้อยก็ในระยะสั้น)

แต่การนำกำไรสะสมกลับเข้าไปลงทุนในกิจการมากๆ ย่อมหมายถึงเงินปันผลที่น้อยลงด้วย เพราะเงินปันผลมาจากกำไร ถ้าบริษัทเก็บกำไรไว้ลงทุนต่อมากๆ ก็จะปันผลให้ผู้ถือหุ้นได้น้อย อย่างไรก็ตาม ถ้ากำไรสะสมนั้นถูกไปใช้ลงทุนในโครงการที่ให้ผลตอบแทนที่ดีก็จะนำมาซึ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นได้ในอนาคต ซึ่งจะทำให้เงินปันผลในอนาคตเพิ่มขึ้นตามไปด้วย การเก็บกำไรไว้ลงทุนต่อแทนที่จะจ่ายเงินปันผลออกมาจึงเป็นเหมือนการอดเปรี้ยวไว้กินหวาน หุ้นเติบโตมักจ่ายเงินปันผลน้อยเมื่อเทียบกับกำไร เพราะต้องเอาเงินไปขยายกิจการมาก ส่วนหุ้นปันผลมักจ่ายเงินปันผลมากเมื่อเทียบกับกำไร แต่ในขณะเดียวกัน การเติบโตของกำไรในระยะยาวก็จะน้อยตามไปด้วย นักลงทุนบางท่านคิดว่าหุ้นยิ่งปันผลมากเท่าไรก็ยิ่งดี ความคิดนี้ไม่ค่อยจะถูกต้องเท่าไรนัก เพราะถ้าปันผลออกมามากๆ บริษัทก็จะไม่มีเงินทุนไว้สำหรับเติบโตหรือมิฉะนั้นบริษัทก็ต้องหาเงินมาลงทุนด้วยการกู้เงินมากขึ้นหรือไม่ก็เพิ่มทุนซึ่งอาจเป็นทางเลือกที่แย่กว่าก็ได้

อย่างไรก็ตามมีวิธีที่จะตรวจสอบด้วยว่าการนำกำไรสะสมของบริษัทไปลงทุนเพิ่มนั้นทำได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ ตามสูตรดังนี้

g = RR x ROE

โดยที่                               g หมายถึง อัตราการเติบโตของกำไร

                                   RR หมายถึง สัดส่วนกำไรสะสมต่อกำไรทั้งหมด

                                  ROE หมายถึง อัตราส่วนผลตอบแทนผู้ถือหุ้น



ตัวอย่างเช่น บริษัทที่มีนโยบายจ่ายปันผล 40% ของกำไรสุทธิ แสดงว่าเก็บกำไรไว้ในบริษัท 60% ของกำไรสุทธิหรือ RR = 60% ถ้าบริษัทมี ROE 20% บริษัทควรทำให้กำไรเติบโตได้ในอัตรา 60%x20% หรือ 12% ต่อปีในระยะยาว (โดยไม่ต้องกู้เงินเพิ่มหรือเพิ่มทุน) เป็นต้น

นักลงทุนที่ชอบบริษัทที่จ่ายเงินปันผลต่อกำไรสูงๆ เช่น 80% แสดงว่าเก็บกำไรไว้ในบริษัท 20% ถ้าบริษัทนั้นมี ROE 10% บริษัทก็ควรโตให้ได้อย่างน้อย 2% ต่อปีในระยะยาว แต่ถ้าบริษัทโตได้น้อยกว่านั้นหรือไม่โตเลย แม้จะปันผลออกมามากก็ไม่ถือว่าเป็นบริษัทที่ดี

ข้อสังเกตอย่างหนึ่งของสูตรนี้ก็คือว่า สมมติว่าบริษัทไม่จ่ายปันผลเลยหรือ RR=100% จะพบว่า g = ROE ดังนั้น ทุกบริษัทจึงโตได้มากที่สุด (โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาเงินทุนจากภายนอก) ได้แค่ไม่เกิน ROE ของบริษัทเองเท่านั้น เฉพาะฉะนั้น ถ้าเราได้ยินผู้บริหาร "โม้" ว่าจะโตเฉลี่ยให้ได้ 25% ต่อปีในห้าปี แต่ถ้าเราดูแล้วบริษัทมี ROE แค่ 10% และมีหนี้สูงอยู่แล้วก็ให้สงสัยไว้ก่อนว่าบริษัทคงต้องมีการเพิ่มทุนเกิดขึ้นในไม่ช้า เพราะเป็นไปไม่ได้ที่บริษัทจะโตในระยะยาวได้มากกว่า ROE ของตัวเอง

ในทำนองเดียวกัน บริษัทที่มี ROE ต่ำมาก เช่น 5% บริษัทพวกนี้กำลัง "ป่วย" เพราะถ้ากำไรจะโตก็ต้องมีการเพิ่มทุนด้วยหรือถ้าไม่อยากเพิ่มทุนก็ต้องไม่โต ใครคิดจะลงทุนในบริษัทพวกนี้ก็ต้องเตรียมเงินสดสำรองไว้สำหรับเพิ่มทุนด้วยนะครับ
หมีขาว
Verified User
โพสต์: 354
ผู้ติดตาม: 0

ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่

โพสต์ที่ 56

โพสต์

ขอขยายความเพิ่มเติมนะครับ จากบทความข้างบน

ROE --> growth
growth --> forward EPS
forward EPS x PE --> Target Price

ดังนั้น ROE เลยสัมพันธ์กับ PRICE หวังว่าจะตอบโจทย์จขกท. นะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
picklife
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2567
ผู้ติดตาม: 0

ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่

โพสต์ที่ 57

โพสต์

ว่าแล้วก็ลองมาทำโจทย์กันดีกว่าครับ :D

1.สมมุติให้บริษัทA B C D มีปัจจัยพื้นฐานเหมือนๆกัน และอยู่ในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน คุณจะเลือกลงทุนในบริษัทใดครับ?
A ROA>=5, ROE=60
B ROA=10, ROE=50
C ROA=20, ROE=40
D ROA=30, ROE=30

ปล.เป็นโจทย์ที่ไม่มีคำตอบใดดีที่สุดหรือถูกที่สุดนะครับ แต่ลองเลือกแล้วให้เหตุผลเพื่อที่จะได้แชร์มุมมองกันนะครับ :D
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
ภาพประจำตัวสมาชิก
picklife
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2567
ผู้ติดตาม: 0

ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่

โพสต์ที่ 58

โพสต์

ขอตอบก่อนนะครับตามมารยาท :o

1.สมมุติให้บริษัทA B C D มีปัจจัยพื้นฐานเหมือนๆกัน และอยู่ในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน คุณจะเลือกลงทุนในบริษัทใดครับ?
A ROA>=5, ROE=60
B ROA=10, ROE=50
C ROA=20, ROE=40
D ROA=30, ROE=30

ตอบ
ผมเลือกทันทีคงเป็นบ.Aครับเล่นระยะไตรมาส
แต่จะจับตาดูบริษัทDหากมีปัจจัยใดที่ส่งผลให้ROEเพิ่มขึ้นจะรีบเข้าทันทีครับ
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
ภาพประจำตัวสมาชิก
pongo
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1075
ผู้ติดตาม: 0

ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่

โพสต์ที่ 59

โพสต์

picklife เขียน:ขอตอบก่อนนะครับตามมารยาท :o

1.สมมุติให้บริษัทA B C D มีปัจจัยพื้นฐานเหมือนๆกัน และอยู่ในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน คุณจะเลือกลงทุนในบริษัทใดครับ?
A ROA>=5, ROE=60
B ROA=10, ROE=50
C ROA=20, ROE=40
D ROA=30, ROE=30

ตอบ
ผมเลือกทันทีคงเป็นบ.Aครับเล่นระยะไตรมาส
แต่จะจับตาดูบริษัทDหากมีปัจจัยใดที่ส่งผลให้ROEเพิ่มขึ้นจะรีบเข้าทันทีครับ
ถ้าเป็นช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นละครับ คุณ picklife จะเลือกบริษัทไหน
CONTRA
Verified User
โพสต์: 91
ผู้ติดตาม: 0

ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่

โพสต์ที่ 60

โพสต์

แสดงว่าบริษัท D เป็น debt free และบริษัท A มีหนี้มากที่สุด ดังนั้น ถ้าดอกเบี้ยขาขึ้นบริษัท A จะกระทบมากที่สุด และถ้ามีเหตุการณ์พลิกผันกำไรไม่ตามเป้าบริษัท A ผลประกอบการจะขาดทุนได้ง่าย ๆ
         เพราะฉะนั้น ถ้าบริษัท D รักษาระดับ ROE ได้อย่างสม่ำเสมอในระดับ 30% บริษัทจะน่าลงทุนอย่างมาก โดยถือลงทุนระยะยาว หลังได้ ทั้ง Div. yield และ Capital Gain