หน้า 2 จากทั้งหมด 2
Re: ถ้าวันนึงมีโอกาสได้เงินมา150-200ล้าน จะลงทุนให้100%เลยหร
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 27, 2011 8:16 am
โดย charnengi
คนเรา ความชอบและแรงบันดาลใจเป็นสิ่งสำคัญครับ สำหรับคนที่มีสินทรัพย์สุทธิเกิน 50 ล้านบาท คงเป็นอิสรภาพทางการเงินกันหมดแล้ว อาจทำให้ไม่มีความท้าทายในการใช้ชีวิต
หากคุณชอบด้านการลงทุนในหุ้นมาก ผมก็แนะนำให้ลงทุนในหุ้นต่อไป อาจกันส่วนนึงซื้อตราสารหนี้ซัก 30% ของพอร์ตไว้ในให้พ่อแม่ใช้จ่าย สบายๆ ท่านจะได้ไม่มาวิตกกังวลกับผลตอบแทนของคุณ มิเช่นนั้นเวลาหุ้นลงจะทำให้ท่านไม่สบายใจ และอาจทำให้คุณกดดันจนตัดสินใจผิดพลาด อีกอย่างเงินที่หามานี้พ่อแม่เป็นคนหาครับ เราต้องลงทุนอย่างระมัดระวัง
ที่เหลือ 70% คงประมาณร้อยล้าน สามารถแบ่งซื้อหุ้นตามความรู้ความเข้าใจ รวมถึงความกล้า ถ้าพอร์ตใหญ่ขนาดนี้คงไม่จำเป็นต้องเสี่ยงถือหุ้น ตัวหรือสองตัว เพื่อให้ผลตอบแทนสูงสุด เพราะอย่างที่รู้ๆกัน หุ้นมันมีความเสี่ยงที่นอกเหนือจากการประเมินของเราเสมอ
ลงทุนดีๆ อาจมีพอร์ตเป็นพันล้านก็ได้นะครับ
Re: ถ้าวันนึงมีโอกาสได้เงินมา150-200ล้าน จะลงทุนให้100%เลยหร
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 27, 2011 8:58 am
โดย newbievi
ผมถือCPF50% BEC 35% PATO 10% SYNEX 5% ครับ
Re: ถ้าวันนึงมีโอกาสได้เงินมา150-200ล้าน จะลงทุนให้100%เลยหร
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 27, 2011 11:29 am
โดย The Pizza
Sumotin เขียน:ผมว่าในช่วงแรกนะครับ อย่าพึ่งนำมาลงเยอะเพราะถึงคุณจะลงทุนอยู่ แต่ยังไม่เคยเจอวิกฤตนะครับ สำหรับคนที่เริ่มตั้งแต่ ปลายปี 2008 มาก็อาจจะไม่รู้ว่าความรู้สึกตอนวิกฤตเป็นอย่างไร อาจจะ panic ได้ครับ และจริงๆปี 2008 ก็เป็นความโชคดีเหมือนกันนะครับที่ตลาดกลับมาเร็วหลายๆคนเลยพื้นในปีต่อมาทันที แต่ถ้าตลาดเป็นเหมือนช่วงวิกฤตปี 40 อาจจะไม่โชคดีกันแบบนี้ครับ
ผมว่าลองหาประสบการณ์เพิ่มไปก่อนดีกว่าแล้วค่อยๆเพิ่มขนาด port เข้ามาครับ อาจจะ set เป็นปีเลยก็ได้ว่าปีหน้าจะเพิ่มเท่าไหร่ๆ เพราะผมบอกได้เลยว่าอ่านหนังสือเยอะแค่ไหน แต่ถ้าใจไม่นิ่งพอก็แย่ครับ
+1 ให้
เมื่อตอนเริ่มต้น
ผมเคยคิดจะลงเงินในหุ้น 100 ล้านเหมือนกัน(พอดีที่บ้านมีที่ดินในเมืองแปลงสวยๆพอสมควรมูลค่ารวมประมาณ 350 ล้าน)
ลองก่อน 4 ล้านแต่เจอ subprime --------- snc ทุน 10 บาทว่าถูกแล้วตอนนั้น(ลงมาจาก12.3 ราคาเพิ่มทุน)เหลือประมาณ 4 บาท พอร์ทเหลือ 1.5 ล้าน นอนไม่หลับครับ
ฝันร้ายซื้อเพิ่มก็ไม่กล้า พอหุ้นขึ้นมาก็รีบร้อนขายหมู
ตอนนี้เลยจำกัดวงเงินไว้ 10 ล้านก่อนครับ (แน่ใจแล้วว่าใจตัวเองไม่แข็งพอ ที่จะเห็นหุ้นติดลบมากขนาดนั้น และ cut loss ไม่เป็น ดวงห่วยมาก)
ไว้นิ่งกว่านี้ค่อยลุย
Re: ถ้าวันนึงมีโอกาสได้เงินมา150-200ล้าน จะลงทุนให้100%เลยหร
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 27, 2011 11:51 am
โดย pat4310
สัดส่วนเงินลงทุนในหุ้นควรสัมพันธ์กับความรู้ที่เรามีครับ กว่าที่จะรู้ว่าเราเซียนพอที่่จะเอาเงินทั้งหมดมาอยู่ในหุ้นหรือเปล่าก็ต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองอีกหลายปีครับ อีกอย่างเงินทุน 10 ล้านถ้าลงทุนดีๆมันก็กลายเป็น 100 ล้านได้นะจ๊ะ พอร์ทจะโตพร้อมความรู้ถึงวันนั้นจะรู้เองว่าควรเอาเงินทั้งหมดมาที่หุ้นหรือเปล่า
Re: ถ้าวันนึงมีโอกาสได้เงินมา150-200ล้าน จะลงทุนให้100%เลยหร
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 27, 2011 12:12 pm
โดย The Pizza
ลืมบอก คุณโชคดีมากนะครับ ที่พ่อแม่ให้เล่นหุ้น
ผมต้องเก็บไว้เป็นความลับครับ ที่บ้านมีทัศนคติ ติดลบ กับหุ้นครับ ห้ามผมเด็ดขาด
พ่อผมติดหุ้น โรงพยาบาลพญาไท(ที่โดนหมอที่ทางบ้านเคารพมาขอให้ช่วยซื้อ)
หลายตังอยู่ ห้ามซื้อห้ามขาย
Re: ถ้าวันนึงมีโอกาสได้เงินมา150-200ล้าน จะลงทุนให้100%เลยหร
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 27, 2011 1:14 pm
โดย appendix
คำตอบที่ถูกต้องของคำถามนี้สำหรับแต่ละคนคงจะไม่เหมือนกัน และอาจแตกต่างกันสุดขั้ว ขึ้นกับนิสัยใจคอ และพื้นฐานความคิดการใช้ชีวิต กันเลยทีเดียว คงต้องลองถามตัวเองว่า เราต้องการผลตอบแทนประมาณเท่าไรและมันจะอินไลน์กับสไตล์การใช้ชีวิตที่คาดหวังหรือไม่ รับความผันผวนของผลตอบแทนและเงินต้นได้แค่ไหน มีความสนใจและเวลาที่พร้อมจะทุ่มเทให้กับการดูแลประคับประคองการลงทุนนี้มากเพียงใด อาจจะมีเหตุการณ์ที่ต้องใช้เงินสดและจำต้องลดมูลค่าพอร์ทการลงทุนลงในอนาคตหรือเปล่า สำหรับเงินขนาดนี้ผมคิดว่าคุ้มค่าที่จะใช้เวลาซัก 4-5 วัน ที่จะแจกแจงออกมาอย่างละเอียด เขียนใส่ excel ตีตารางโปรเจคออกไปในอนาคต ผมว่าถ้าทำได้ครบแบบนี้ต้องได้คำตอบแน่นอนว่าจะทำอย่างไรกับเงินก้อนนี้ดี
Re: ถ้าวันนึงมีโอกาสได้เงินมา150-200ล้าน จะลงทุนให้100%เลยหร
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 27, 2011 1:21 pm
โดย canuseeme
ส่วน รวม พันธบัตน
ส่วนตัว ตามความสามารถและความเร้าใจ
Re: ถ้าวันนึงมีโอกาสได้เงินมา150-200ล้าน จะลงทุนให้100%เลยหร
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 27, 2011 1:24 pm
โดย samranchai
หุ้นที่ถือ 4 ตัว cpf bec pato synex แต่ละตัวก็สุดยอดเยี่ยมแล้วครับ ลงทุนในหุ้น
4 ตัวนี้เพิ่ม ที่เหลือฝากประจำ กินดอกดีกว่า อิ อิ..เพื่อลดความเสี่ยง
Re: ถ้าวันนึงมีโอกาสได้เงินมา150-200ล้าน จะลงทุนให้100%เลยหร
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 27, 2011 2:03 pm
โดย harikung
ถ้าใจรักจิงๆ ก้อกันเงินส่วนนึงให้พ่อแม่ไว้ต่างหากเลยครับ ให้ท่านไปซื้อความสุขหลังเกษียณ และใช้ในชีวิตประจำวัน ส่วนที่เหลือ(คงคาดว่าไม่ต่ำกว่า 150ล้าน) ก้อทยอยลงทุนเอาครับ และถ้ามีเงินขนาดนั้นจิงควรจะกระจายความเสี่ยงไปในพันธบัตรหรือฝากแบ้งด้วย ถ้าเกิดวิกริดเศรษฐกิจจิง บะได้เอาส่วนนี้มาเปลี่ยนเปนโอกาสได้ครับ
Re: ถ้าวันนึงมีโอกาสได้เงินมา150-200ล้าน จะลงทุนให้100%เลยหร
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 27, 2011 4:50 pm
โดย Belffet
อาจไม่เกี่ยวกับกระทู้ แต่อยากถามเจ้าของกระทู้ กับคนอื่นๆที่มีความคิดว่าจะค่อยๆเลิกทำธุรกิจที่มีอยู่ในปัจจุบัน
อยากถามว่ามีแผนการจัดการอย่างไรกับทรัพยากรทางธุรกิจที่สั่งสมมา เช่น Connection ทางธุรกิจ, การเข้าถึงแหล่งผลิตที่มีต้นทุนต่ำกว่าราคาขายปลีกตามท้องตลาด หรือแม้แต่การเลิกจ้างพนักงานบริษัทที่ทำงานกับเรามานานแล้ว เป็นต้น
รู้สึกเสียดายบ้างหรือไม่ หรือรู้สึกถึงความรับผิดชอบบ้างหรือไม่ และมีวิธีอย่างไรในการจัดการความรู้สึกเหล่านั้นครับ
ขอบคุณล่วงหน้าครับ
Re: ถ้าวันนึงมีโอกาสได้เงินมา150-200ล้าน จะลงทุนให้100%เลยหร
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 27, 2011 6:14 pm
โดย leaderinshadow
ถ้าเป็นผม เบื้องต้นจะทำ 3 อย่างครับ
1. เดินไปคุยกับฝ่าย Private banking ของแบงค์ต่างๆครับ ลองหาแนวดู
จะใช้บริการหรือไม่ เราเลือกเอง
2. เรียนรู้เรื่องการบริหารความเสี่ยง การกระจายความเสี่ยง การจัดพอร์ตที่เหมาะสม อย่างจริงจัง
ขอให้มองหาความเสี่ยง ก่อนจะมองหากำไร
3. เพิ่มพูนความรู้ ประสบการณ์
หลังจากนั้น จึงมาค่อยมาตัดสินใจอีกที และขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้เชี่ยวชาญ
Re: ถ้าวันนึงมีโอกาสได้เงินมา150-200ล้าน จะลงทุนให้100%เลยหร
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 27, 2011 6:57 pm
โดย twentyfour
คำถามครับ
private investment มีค่าธรรมเนียมสูงไหมครับ
Re: ถ้าวันนึงมีโอกาสได้เงินมา150-200ล้าน จะลงทุนให้100%เลยหร
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 27, 2011 7:16 pm
โดย leaderinshadow
ไม่แน่ใจครับ
แต่ถ้าตั้ง Private fund เค้าก็คิดค่าธรรมเนียมตามมูลค่ากองทุน แต่ก็ไม่ได้สูงมาก หากเทียบกับกองทุนรวม
ส่วน product ต่างๆ ก็จะรวมค่าธรรมเนียมไว้แล้ว
ส่วนค่าคำปรึกษา ไม่แน่ใจครับ ต้องลองถามดู
แต่ผมว่า แค่โชว์ว่าเรามี 8-9 หลัก ยังไงแบงค์ก็ต้องจัดคนมาดูแลเราแล้วนะครับ
เพราะเราจะเป็นตัวเงินตัวทอง เอ้ยๆ ไม่ใช่
จะเป็นลูกค้า ที่ทำเงินให้แบงค์จากซื้อ product ต่างๆของเค้า ได้เยอะครับ
Re: ถ้าวันนึงมีโอกาสได้เงินมา150-200ล้าน จะลงทุนให้100%เลยหร
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 27, 2011 11:23 pm
โดย Ii'8N
อาจารย์ให้คำตอบคุณด้วยนะ ถือว่าโชคดี
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 71#p790671
little wing เขียน:โค้ด: เลือกทั้งหมด
โลกในมุมมองของ Value Investor 27 กุมภาพันธ์ 54
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
การ “ปฏิวัติของมวลชน” ที่กำลังเกิดขึ้นเป็นระลอกต่อเนื่องกันในตะวันออกกลางและอาฟริกาเหนือนั้น เป็นเรื่องใหม่ที่คนทั่วโลกต่างก็งวยงง นักวิเคราะห์จำนวนมากคิดว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้ฝ่ายประชาชนผู้ประท้วงทำการได้สำเร็จอยู่ที่การสื่อสารทางอินเตอร์เน็ตสมัยใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครือข่ายสังคมอย่างเฟซบุคที่ทำให้คนสามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยที่ฝ่ายรัฐผู้ครองอำนาจไม่สามารถขัดขวางได้ ผมเองยังไม่แน่ใจว่าอะไรคือปัจจัยสุดยอดจริง ๆ ที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์แบบนี้ อย่างไรก็ตาม ถ้าจะศึกษาประวัติศาสตร์การปฏิวัติประชาชนที่ประสบความสำเร็จในอดีต อย่างในรัสเซียหรือจีน ก็จะพบว่ามีปัจจัยหรือองค์ประกอบที่สำคัญสุดยอด 3 ประการอย่างที่เลนินหรือเหมาเจ๋อต๋งเรียกว่า “แก้ว 3 ประการ” ที่ถ้ามีแล้ว ความสำเร็จก็จะอยู่แค่เอื้อมนั่นคือ แก้วประการที่หนึ่ง มวลชน แก้วที่สอง พรรคการเมืองของมวลชน และแก้วที่สาม กองกำลังติดอาวุธ ขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง โอกาสประสบความสำเร็จก็ยาก
ในการลงทุนเองนั้น ผมคิดว่าความสำเร็จที่ใหญ่หลวง หรือการที่จะเป็น “ผู้ชนะ” ถ้าวัดจากการที่จะกลายเป็นนักลงทุนที่มีพอร์ตการลงทุนใหญ่เป็นร้อย พัน หรือแม้แต่หมื่นล้านบาทนั้น อยู่ที่การมี “แก้ว 3 ประการของการลงทุน” มากน้อยแค่ไหน แก้วที่หนึ่งก็คือ เม็ดเงินลงทุนเริ่มต้นและที่จะเพิ่มเติมจากแหล่งอื่น ๆ นอกเหนือจากการลงทุน แก้วประการที่สองก็คือ ความสามารถในการสร้างผลผลตอบแทนการลงทุนแบบทบต้นของนักลงทุน และแก้วประการที่สามก็คือ ระยะเวลาในการลงทุนที่ต่อเนื่องยาวนาน ถ้าใครมีแก้วทั้ง 3 ประการดังกล่าวและใช้มันอย่างเต็มที่แล้ว โอกาสที่จะ “ชนะ” หรือประสบความสำเร็จในการลงทุนเหนือกว่าคนอื่นก็มีสูง
ลองมาดู “แก้ว” ทีละลูก สมมุติว่าคน ๆ หนึ่ง [color=#0000FF]มีเงินค่อนข้างมากจากการทำธุรกิจ เขาตัดสินใจเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเนื่องจากมองว่าธุรกิจที่ทำอยู่กำลังตกต่ำลงและเขาอาจจะต้องเลิกธุรกิจในไม่ช้า แต่เขามีเงินสดที่เก็บสะสมไว้สามารถนำมาลงทุนได้ถึง 100 ล้านบาท นี่คือเขามีแก้วลูกแรก[/color] โชคไม่ดี เขาไม่มีความรู้ในการลงทุนเพียงพอ ดังนั้น สิ่งที่เขาหวังได้จากการลงทุนก็คือ การซื้อกองทุนรวมหุ้นซึ่งคาดหวังผลตอบแทนในระยะยาวได้แค่ประมาณ 8% ต่อปีแบบทบต้น นั่นคือ เขาไม่มีแก้วลูกที่สอง เช่นเดียวกัน เขาอายุ 50 ปีแล้ว ถ้าคิดว่าเขาจะลงทุนจนกระทั่งอายุแค่ 60 ปีก็จะเลิกเพื่อเกษียณและถอนเงินไปใช้ ดังนั้น ระยะเวลาการลงทุนของเขาก็มีเพียง 10 ปี ดังนั้น แก้วลูกที่สามเขาก็ไม่มี ผลก็คือ ในวันแรกที่เขาเริ่มลงทุน เขาก็อาจจะเป็นนักลงทุน “รายใหญ่” ทันที แต่เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปีที่เขาเลิก พอร์ตของเขาโตขึ้นเป็น 215 ล้าน แต่ในวันนั้นและที่อาจจะบันทึกในความทรงจำต่อไปในอนาคต เขาก็อาจจะเป็นแค่คนที่มีเงินพอสมควรเท่านั้นในแวดวงนักลงทุนที่มุ่งมั่นทั้งหลาย
สมมุติว่าแทนที่จะลงทุนในกองทุนรวม เขาได้ศึกษาและมีความรู้ในการลงทุนเป็นเยี่ยมและมีเทคนิคที่ดีมากในการลงทุน เรียกว่าเป็น “เซียน” ประกอบกับช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่หุ้นบูมมาก ดังนั้น เขาสามารถลงทุนจนได้ผลตอบแทนแบบทบต้นถึงปีละ 40% โดยเฉลี่ยในระยะเวลา 10 ปี ผลก็คือ เงิน 100 ล้านบาทกลายเป็น 2,892 ล้านบาท พอร์ตการลงทุนระดับนี้น่าจะทำให้เขาถือเป็นระดับนักลงทุนรายใหญ่ที่เป็นที่กล่าวขวัญและจดจำกันในแวดวงนักลงทุนกันพอสมควรทีเดียว อย่างไรก็ตาม เงินในระดับนี้ ถ้าพูดในวันนี้ก็คงต้องบอกว่ามากทีเดียว แต่ถ้าไปพูดกันในอีก 10 ปีข้างหน้าหรือในอนาคตที่ยาวไกลออกไปก็ยังไม่น่าจะถือเป็น “ตำนาน” ที่คนรุ่นหลังจะต้องจดจำหรือบันทึกไว้ เพราะในอนาคตก็จะมีนักลงทุนที่มีพอร์ตใหญ่โตมากขึ้นเรื่อย ๆ และมากกว่า 3,000 ล้านบาท และนั่นก็น่าจะเป็นคนที่มี “แก้วทั้ง 3 ประการของการลงทุน”
สมมุติต่อไปว่าแทนที่เขาจะมีอายุ 50 ปี [color=#0000FF]เขากลับเป็นลูกของเจ้าของธุรกิจที่ได้เริ่มศึกษาการลงทุนตั้งแต่ยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัย เขาเคยลงทุนด้วยเงินเพียง 1-2 ล้านที่ขอมาจากพ่อและประสบความสำเร็จในการลงทุนสูงมาก[/color] หลังจากนั้น ทางบ้านก็มั่นใจและในที่สุดให้เงินเขามาลงทุนถึง 100 ล้านบาท[color=#0000FF]เมื่อเขาอายุเพียง 25 ปี [/color]ความสามารถของเขานั้น เพียงพอที่จะทำให้เขาสร้างผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยระยะยาวได้สุดยอดขนาด “น้อง ๆ บัฟเฟตต์” ที่ 20% ต่อปี และเขามีเวลาลงทุนยาวมากถึง 35 ปี ติดต่อกัน ผลก็คือ ในวันที่เขาอายุ 60 ปี พอร์ตของเขาจะโตขึ้นเป็น 59,066 ล้านบาท เขากลายเป็น “ตำนานนักลงทุนไทย” คนหนึ่งที่มีพอร์ต “มหึมา” ที่ทุกคนรู้จักและสื่อมวลชนกล่าวขวัญถึงเช่นเดียวกับนักลงทุนอีกหลายคนที่อาจจะมี “แก้ว 3 ประการ” เช่นเดียวกัน
แก้วแต่ละลูกนั้น ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถไข่วคว้าได้ด้วยตนเอง เงินเริ่มต้นนั้น ถ้าไม่ได้มีพ่อแม่ร่ำรวย โอกาสที่จะมีแก้วลูกนี้ก็ยาก จริงอยู่คนบางคนอาจจะหาเงินได้มากจากการทำงานหรือทำธุรกิจอื่น แต่เขาก็มักจะต้องใช้เวลาค่อนข้างมากกว่าจะได้เงินเดือนสูงมาก ๆ หรือธุรกิจจะมีเงินสดมาให้ลงทุนได้มาก ดังนั้น แก้วลูกนี้ส่วนใหญ่แล้วก็มาจาก “โชค” ที่ “เกิดมารวย” แก้วลูกที่สองคือฝีมือในการลงทุนนั้น เป็นแก้วที่สามารถสร้างขึ้นได้หรือคว้ามาได้ด้วยการศึกษาพยายามและการมีทัศนะคติในการลงทุนที่ถูกต้อง ผมเองรู้สึกว่าคนจำนวนมากมีศักยภาพที่จะเป็นนักลงทุนที่มีความสามารถสูงได้ ปัญหาก็คือเรื่องของอารมณ์และจิตใจที่จะต้องมุ่งมั่นและมีศรัทธาต่อการลงทุนที่ได้รับการพิสูจน์แล้วซึ่งเป็นเรื่องยากเมื่อต้องอยู่กับภาวะความผันผวนของตลาดหุ้นที่มักทำให้ความคิดไข้วเขวไป
สุดท้ายก็คือ ระยะเวลาในการลงทุนที่เป็น “แก้วลูกที่สาม” นี่คือแก้วที่เราอาจจะทำอะไรกับมันไม่ได้มากนัก ถ้าเราอายุ 50 ปีแล้ว โอกาสที่เราจะมีแก้วลูกนี้ก็น้อยมาก จริงอยู่ ในอนาคตคนอาจจะมีสุขภาพดีและอายุยาวขึ้นเป็น 100 ปี แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น คนอื่นที่เริ่มลงทุนตั้งแต่อายุ 25 ปี ก็จะมีระยะเวลาลงทุนยาวกว่าคุณ 25 ปีอยู่ดี อย่างไรก็ตาม การรักษาสุขภาพให้ดีก็อาจจะช่วยให้ระยะเวลาการลงทุนยาวขึ้นและเพิ่มคุณค่าแก้วลูกนี้ได้ แต่ประเด็นสำคัญจริง ๆ ในเรื่องของแก้วลูกนี้ก็คือ คนจำนวนมากที่มีแก้วลูกนี้อยู่ นั่นคือ เขามีอายุน้อยและถ้าเริ่มลงทุนตั้งแต่เริ่มมีรายได้หรือมีเงินเลย เขาก็มีแก้วลูกที่สามโดยอัตโนมัติ น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้คิดอย่างนั้น เขามักคิดว่า การลงทุนเป็นเรื่องของคนที่มีครอบครัวและต้องสร้างฐานะ ดังนั้น เขาจึงไม่ได้คิดลงทุนจนกระทั่งแก้วที่มีค่า “หลุดลอย” ไป
ข้อสรุปทั้งหมดก็คือ แก้ว 3 ประการของการลงทุนนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะไข่วคว้ามาได้หมด มีบางลูกคว้าได้ บางลูกต้องอาศัยดวง ความ “สว่าง” ของลูกแก้วเองก็ไม่เท่ากัน คนที่เริ่มต้นด้วยเงิน 100 ล้านบาทต้องถือว่ามีลูกแก้วแล้ว แต่บางคนอาจจะเริ่มด้วยเงิน 500 ล้านบาทซึ่งเป็นแก้วที่ “สว่างจ้า” กว่า 100 ล้านบาท ผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยระยะยาวที่ทำได้ถึง 15% ต่อปีผมก็ถือว่ามีแก้วแล้ว แต่คนที่ทำได้ 20% ต่อปีก็มีแก้วที่สว่างกว่ามาก ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร หน้าที่ของเราในฐานะของนักลงทุน ถ้ามีลูกแก้ว เราต้องใช้มันให้เกิดประโยชน์เต็มที่ ถ้าไม่มีเราก็ต้องพยายามเพิ่มคุณภาพของแก้วลูกนั้นถ้าทำได้ และเมื่อทำเต็มกำลังแล้ว สิ่งที่เราจะต้องทำก็คือ “ปล่อยวาง” อย่าไปคิดถึงผลลัพธ์สุดท้ายว่า เราจะรวยเท่าไรหรือจะทำได้จริงไหม การลงทุนเป็นเรื่องระยะยาวและเป็นเรื่องของชีวิต เป้าหมายจริง ๆ ของเราก็คือ มีความสุขในทุกเวลาที่เดินไป
ลองมาดู “แก้ว” ทีละลูก สมมุติว่าคน ๆ หนึ่ง มีเงินค่อนข้างมากจากการทำธุรกิจ เขาตัดสินใจเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเนื่องจากมองว่าธุรกิจที่ทำอยู่กำลังตกต่ำลงและเขาอาจจะต้องเลิกธุรกิจในไม่ช้า แต่เขามีเงินสดที่เก็บสะสมไว้สามารถนำมาลงทุนได้ถึง 100 ล้านบาท นี่คือเขามีแก้วลูกแรก โชคไม่ดี เขาไม่มีความรู้ในการลงทุนเพียงพอ ดังนั้น สิ่งที่เขาหวังได้จากการลงทุนก็คือ การซื้อกองทุนรวมหุ้นซึ่งคาดหวังผลตอบแทนในระยะยาวได้แค่ประมาณ 8% ต่อปีแบบทบต้น นั่นคือ เขาไม่มีแก้วลูกที่สอง เช่นเดียวกัน เขาอายุ 50 ปีแล้ว ถ้าคิดว่าเขาจะลงทุนจนกระทั่งอายุแค่ 60 ปีก็จะเลิกเพื่อเกษียณและถอนเงินไปใช้ ดังนั้น ระยะเวลาการลงทุนของเขาก็มีเพียง 10 ปี ดังนั้น แก้วลูกที่สามเขาก็ไม่มี ผลก็คือ ในวันแรกที่เขาเริ่มลงทุน เขาก็อาจจะเป็นนักลงทุน “รายใหญ่” ทันที แต่เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปีที่เขาเลิก พอร์ตของเขาโตขึ้นเป็น 215 ล้าน แต่ในวันนั้นและที่อาจจะบันทึกในความทรงจำต่อไปในอนาคต เขาก็อาจจะเป็นแค่คนที่มีเงินพอสมควรเท่านั้นในแวดวงนักลงทุนที่มุ่งมั่นทั้งหลาย
สมมุติว่าแทนที่จะลงทุนในกองทุนรวม เขาได้ศึกษาและมีความรู้ในการลงทุนเป็นเยี่ยมและมีเทคนิคที่ดีมากในการลงทุน เรียกว่าเป็น “เซียน” ประกอบกับช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่หุ้นบูมมาก ดังนั้น เขาสามารถลงทุนจนได้ผลตอบแทนแบบทบต้นถึงปีละ 40% โดยเฉลี่ยในระยะเวลา 10 ปี ผลก็คือ เงิน 100 ล้านบาทกลายเป็น 2,892 ล้านบาท พอร์ตการลงทุนระดับนี้น่าจะทำให้เขาถือเป็นระดับนักลงทุนรายใหญ่ที่เป็นที่กล่าวขวัญและจดจำกันในแวดวงนักลงทุนกันพอสมควรทีเดียว อย่างไรก็ตาม เงินในระดับนี้ ถ้าพูดในวันนี้ก็คงต้องบอกว่ามากทีเดียว แต่ถ้าไปพูดกันในอีก 10 ปีข้างหน้าหรือในอนาคตที่ยาวไกลออกไปก็ยังไม่น่าจะถือเป็น “ตำนาน” ที่คนรุ่นหลังจะต้องจดจำหรือบันทึกไว้ เพราะในอนาคตก็จะมีนักลงทุนที่มีพอร์ตใหญ่โตมากขึ้นเรื่อย ๆ และมากกว่า 3,000 ล้านบาท และนั่นก็น่าจะเป็นคนที่มี “แก้วทั้ง 3 ประการของการลงทุน”
สมมุติต่อไปว่าแทนที่เขาจะมีอายุ 50 ปี เขากลับเป็นลูกของเจ้าของธุรกิจที่ได้เริ่มศึกษาการลงทุนตั้งแต่ยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัย เขาเคยลงทุนด้วยเงินเพียง 1-2 ล้านที่ขอมาจากพ่อและประสบความสำเร็จในการลงทุนสูงมาก หลังจากนั้น ทางบ้านก็มั่นใจและในที่สุดให้เงินเขามาลงทุนถึง 100 ล้านบาทเมื่อเขาอายุเพียง 25 ปี ความสามารถของเขานั้น เพียงพอที่จะทำให้เขาสร้างผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยระยะยาวได้สุดยอดขนาด “น้อง ๆ บัฟเฟตต์” ที่ 20% ต่อปี และเขามีเวลาลงทุนยาวมากถึง 35 ปี ติดต่อกัน ผลก็คือ ในวันที่เขาอายุ 60 ปี พอร์ตของเขาจะโตขึ้นเป็น 59,066 ล้านบาท เขากลายเป็น “ตำนานนักลงทุนไทย” คนหนึ่งที่มีพอร์ต “มหึมา” ที่ทุกคนรู้จักและสื่อมวลชนกล่าวขวัญถึงเช่นเดียวกับนักลงทุนอีกหลายคนที่อาจจะมี “แก้ว 3 ประการ” เช่นเดียวกัน
Re: ถ้าวันนึงมีโอกาสได้เงินมา150-200ล้าน จะลงทุนให้100%เลยหร
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 28, 2011 8:29 am
โดย newbievi
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆของอาจารย์ครับ ว่าแต่เป็นเรื่องบังเอิญหรือจงใจน้ออ : )
Re: ถ้าวันนึงมีโอกาสได้เงินมา150-200ล้าน จะลงทุนให้100%เลยหร
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 28, 2011 9:10 am
โดย vutchara_s
เป็นผมก็จะหา หุ้นบริษัทที่ไม่ใหญ่นักและพอจะโตได้ ที่เรามีความรู้หรือความชอบธุรกิจนั้นอยู่บ้าง มีปันผลให้สม่ำเสมอ เข้าไปถือหุ้นเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่เลยครับ เป็นผู้บริหารร่วม
ด้วยเลยก็ดีคับ ปันผลทำให้เรามีรายได้อยู่ได้ และการเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ทำให้เรา
ต้องหาข้อมูลกับบริษัทนั้นหนัก คิดซะว่าเป็นการทำงานในบริษัทที่เราถืออยู่ไปเลย สบายใจด้วย ลืมต้นทุน กินดอกเบื้ยพอ สบายใจด้วย
Re: ถ้าวันนึงมีโอกาสได้เงินมา150-200ล้าน จะลงทุนให้100%เลยหร
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 28, 2011 1:35 pm
โดย OnlyRead
คุณ newbievi อย่างน้อย ก็มีไป 1 ลูกแก้วแล้วครับ
Re: ถ้าวันนึงมีโอกาสได้เงินมา150-200ล้าน จะลงทุนให้100%เลยหร
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 28, 2011 3:05 pm
โดย MO101
ผมว่าต้องคุยกับครอบครัวก่อนเป็นอันดับแรกว่ารับความเสียงได้แค่ไหน
ถ้ารับได้ถึงขั้นลงทุนในตลาดค่อยคิดอีกทีว่าจะลงแบบ focus หรือกระจายความเสื่ยง