หน้า 2 จากทั้งหมด 2
Re: คิดว่าไง
โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 07, 2011 1:10 am
โดย hongvalue
blackninja เขียน:
2.ถ้าเกิดวิกฤติครั้งหน้าแล้วหาหุ้นที่ pbv ถูกที่สุดโดยไม่สนใจพื้นฐานแล้วไล่ซื้อจะเป็นไง
-ถ้าวิกฤตนั้นแย่ลงเรื่อยๆจนถึงขั้นบริษัทในตลาดหุ้นบ้านเราเจ๊งกันเยอะๆ หุ้นที่ pbv ถูกที่สุดอาจจะเจ็บตัวน้อยที่สุด แต่ถ้าผ่านวิกฤตมาได้แล้วตลาดปรับขึ้นหุ้นที่ pbv ถูกสุดอาจจะไม่ได้ขึ้นมากสุด
จริงครับ อย่างเช่น commodity บางตัวที่ไม่ได้ต่ำ bv เท่าหุ้นเรืออย่าง rcl แต่ขึ้นได้หลายเท่าแล้วแต่ rcl ยังแย่อยู่เลย
blackninja เขียน:
3.หุ้นที่ pbv ต่ำแบบไหนที่ฟื้นตัวได้ดีเมื่อ set กลับมาแต่แบบไหนที่ไม่ค่อยฟื้นเพราะอะไร
-จังหวะฟื้นตัวขึ้นนักลงทุนน่าจะให้น้ำหนักของ pbv จะน้อยลง แต่จะให้น้ำหนักกับโอกาสของธุรกิจในการทำกำไรได้เร็วๆ เช่น ฟื้นจากวิกฤตปี42โอกาสเป็นของพวก kk spl แต่ฟื้นจากวิกฤต52 กลับเป็นพวกอิเล็คทรอนิคส์
พวกหุ้นที่ออกจากห้อง icu ได้นี้จะเข้าข่ายโคตรเทพไปเลย พี่รู้สตอรี่ kk spl แสดงว่าเป็นมือเก่าในตลาดหุ้นเลยนะครับ kk ตอนที่รอดจากการโดนปิดได้ก็เทพมาก ผมสังเกตุว่าบริษัทที่มี d/e สูงเวลาเกิดวิกฤติราคาจะโดน discount สูงมาก เช่น sat เคยถูก discousnt เหลือ tailing pe ที่ 1.5
ถามว่าทำไมผมใช้ eps ในอดีตเพราะผมมองว่ากำลังซื้อที่อั้นเอาไว้ยังไงพอเศรษฐกิจกลับตัวยอดขายก็ต้องกลับมาแล้วถามต่อว่าแล้วรู้ได้อย่างไรว่าบริษัทจะไม่เจ๊งไปก่อนคำตอบก็คือดูจากยอดรถรายเดือน
ตอนนั้นยอดรถกลับมาแล้วดังนั้นด้วยพื้นเดิมที่มี roe สูงแต่ถูก discount เนื่องจาก pe กลับเป็นโอกาศซื้อเมื่อยอดรถกลับมา จริงๆเรื่อง sat ผมทำไว้เยอะกว่านี้แต่คงโพสภาพทั้งหมดไม่ไหวและส่วนนึงก็ได้พูดในงานสัมนาหุ้นสิบเด้งไปแล้ว
จะเห็นได้ว่าจริงๆแล้วหุ้นอย่าง ah นั้นมี pbv ที่ต่ำกว่า sat แต่เวลาตลาดฟื้นหุ้นอย่าง sat ก็ขึ้นได้ดีกว่าซึ่งก็ตรงกับที่บอกว่าจังหวะฟื้นตัว pbv จะมีผลน้อยลงและตลาดจะดูกำไรมากกว่า
ป.ล.ผมชอบการแลกเปลี่ยนความเห็นกันแบบนี้จริงๆแล้วการมาตั้งกระทู้แล้วเล่าอยู่คนเดียวเป็นเรื่องที่น่าเบื่อและไม่สนุกเลย การได้แชร์ความเห็นกันแบบนี้ต่างหากที่สนุกกว่าเยอะ
ที่สไลของผมหลังๆจะมีแถบเหลืองๆติดชื่อผมเอาไว้เพราะกันคน copy ไปแล้วไปอ้างว่าทำขึ้นมาเองเนื่องจากหลังๆมีปัญหาว่าบางเว็บนำรูปภาพของเว็บอื่นไปแล้วเอาชื่อเว็บของตัวเองไปแปะซะงั้น ก็เลยต้องกันเอาไว้หน่อยน่ะครับ
Re: คิดว่าไง
โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 07, 2011 2:30 am
โดย << New >>
โดยส่วนตัวแล้วจะดู PE เป็นหลักนะ แต่ PBก็ไว้ดูประกอบMOS ใช้ในแง่ของดู downsideซะมากกว่า
เช่นแบบ Bland Brock ดูปุ๊ปก็รู้ว่าราคาหุ้นถูก แต่ก็ไม่ได้แปลว่าหุ้นจะขึ้น
มาลองนึกๆดูแล้วที่เคยลงทุนใช้ PB เป็นหลัก ก็คือพวกที่Book มีValue เยอะกว่าที่ record ไว้ แล้วก็มีแนวโน้มที่จะปลดปล่อย asset นั้น อย่างในนี้มีคนพูดถึงบ้านร็อค ถ้ามีท่าทีว่าจะเอา bookมาใช้เมื่อไหร่เมื่อนั้นราคาหุ้นคงขึ้นอีกเยอะ
-ถามเรื่องหุ้น commodity, ถ้าเราคิดว่าcommodityของหุ้นที่เราซื้อจะมีราคาสูงขึ้น เราควรหาหุ้นที่ P/S ต่ำๆ เข้าใจว่าถ้า sale เท่าเดิมแต่ margin ดีขึ้นจากการที่ราคาcommoขึ้น earningจะขึ้นได้เร็วและจะไปทำให้ราคาหุ้นขึ้นได้เร็วกว่าพวกที่ P/S สูงๆ เข้าใจอย่างนี้ถูกต้องรึเปล่า
Re: คิดว่าไง
โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 07, 2011 1:47 pm
โดย สาวกเซเลบ
สาวกขอบคุณพี่ฮง และบรรดาพี่ ๆ ที่ร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลความเห็นในกระทู้นี้ด้วยคับ
เป็นประโยชน์กับสาวกและพี่ ๆ น้อง ๆ ในเวบมากมาย ชาบู ชาบู พี่ ๆ ทุกท่านด้วยคับ
กระทู้แบบนี้นับวันจะหายากขึ้นทู๊กที
=======================
ให้ฉันรอแล้วได้อะไร ให้ทนรอเขามากไปไหม
แล้วชีวิตฉันที่เหลือให้ทำไง
เธอเคยจะนึกถึงฉันบ้างไหม คนที่รอออออออ
Re: คิดว่าไง
โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 07, 2011 1:50 pm
โดย chukieat30
Re: คิดว่าไง
โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 07, 2011 2:30 pm
โดย hongvalue
<< New >> เขียน:
-ถามเรื่องหุ้น commodity, ถ้าเราคิดว่าcommodityของหุ้นที่เราซื้อจะมีราคาสูงขึ้น เราควรหาหุ้นที่ P/S ต่ำๆ เข้าใจว่าถ้า sale เท่าเดิมแต่ margin ดีขึ้นจากการที่ราคาcommoขึ้น earningจะขึ้นได้เร็วและจะไปทำให้ราคาหุ้นขึ้นได้เร็วกว่าพวกที่ P/S สูงๆ เข้าใจอย่างนี้ถูกต้องรึเปล่า
เวลาผมดูหุ้น commodity ผมไม่ได้ดูอัตราส่วน p/s เลยครับ
ถ้านิวจำได้ตอนไปเรียนกับผมเรื่องหุ้นสิบเด้งผมได้ยกตัวอย่างเอาไว้ว่าทำไม
psl ถึงขึ้นได้ 20 เท่าและเรามีวิธีประมาณการกำไรอย่างไร นิวลองดูเอกสารหน้า 5 ครับ
จะเห็นว่าถ้าค่าเช่าเรือของ psl ต่อวันต่อลำอยู่ที่ 5800 และค่าใช้จ่ายเดินเรือต่อวันต่อลำอยู่แถวๆ
2500 บริษัทจะมีกำไรระดับ 400 ล้าน แต่พอค่าเช่าเรือขึ้นมากำไรก็ขึ้นมาแบบทวีคูณ ผมสนใจเรื่องว่า spread เท่าไหร่เป็นระดับคุ้มทุนและระดับไหนของส่วนต่างที่จะทำให้กำไรวิ่งแบบบ้าเลือดและราคาหุ้นก็จะวิ่งแบบ parabolic ครับ
สรุปคือผมสนใจระดับที่จะทำให้กำไร break even ได้ครับ ส่วน p/s อาจจะมีนักเล่นหุ้นคอมโมคนอื่นดูก็ได้แต่ผมไม่ได้ดูครับ
Re: คิดว่าไง
โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 08, 2011 2:29 pm
โดย << New >>
ขอบคุณครับฮง โดยที่ผมเคยใช้ P/S คือดูพวกที่ margin ต่ำๆแล้วบริษัทมีการปรับปรุงอะไรบางอย่างทำให้ marginสูงขึ้นซึ่งบางครั้งก็ไปทำให้กำไรเพิ่มขึ้นแบบกระโดด แต่ก็ยังไม่เคยเอามาใช้กับหุ้นcommo ที่จริงถ้าทำวิธีแบบฮงน่าจะได้ประมาณการกำไรที่ชัดกว่าอยู่แล้ว
Re: คิดว่าไง
โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 08, 2011 5:25 pm
โดย multipleceilings
ทำ venn diagram ดูครับ แบ่ง common characteristics / unique characteristics จะเห็นว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่ต่างกัน สมองเรา process ข้อมูลที่เรามีทั้งหมด ทำให้เกิด believe ว่าอะไร work อะไรไม่ work ครับ คนสามสี่คนคนซื้อหุ้นตัวเดียวกัน ได้กำไรเหมือนๆกัน บนคนละเหตุผลก็เยอะแยะ
ดู pbv ล้วนๆอาจจะใช้ได้ก็ได้ มันขึ้นอยู่กับวิธี validate ของเรา ...สำคัญที่สุดครับ ถ้า validation framework เราผิด ทุกอย่างออกมา make sense โดนสมองหลอกนะครับ
แล้วจะรู้ได้ว่า validation framework เราถูก ??? มองปลายทางวิธีเดียวที่จะ validate ได้ คือการใช้วิธีเดิมทำซ้ำแล้วเห็นผลซ้ำบนจำนวนครั้งที่มากพอ ไม่มีมากกว่านั้นครับ นักวิเคราะห์มากมายจึงทำ back test แต่ผลที่ได้จาก back test นั้นมีแนวโน้มที่จะ conflict กับ hindsight ของมนุยษ์อย่างมาก ในเชิงปฏิบัติ การทำและทดสอบผลที่เกิดในอนาคตจะแม่นยำและของจริงสุดครับ สูตรสำเร็จคงไม่มี มีแต่ framework ที่จะบอกเราว่าควรทำยังไงกับตัวแปรอะไร
Re: คิดว่าไง
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 09, 2011 1:53 am
โดย hongvalue
multipleceilings เขียน:ทำ venn diagram ดูครับ แบ่ง common characteristics / unique characteristics จะเห็นว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่ต่างกัน สมองเรา process ข้อมูลที่เรามีทั้งหมด ทำให้เกิด believe ว่าอะไร work อะไรไม่ work ครับ คนสามสี่คนคนซื้อหุ้นตัวเดียวกัน ได้กำไรเหมือนๆกัน บนคนละเหตุผลก็เยอะแยะ
ดู pbv ล้วนๆอาจจะใช้ได้ก็ได้ มันขึ้นอยู่กับวิธี validate ของเรา ...สำคัญที่สุดครับ ถ้า validation framework เราผิด ทุกอย่างออกมา make sense โดนสมองหลอกนะครับ
แล้วจะรู้ได้ว่า validation framework เราถูก ??? มองปลายทางวิธีเดียวที่จะ validate ได้ คือการใช้วิธีเดิมทำซ้ำแล้วเห็นผลซ้ำบนจำนวนครั้งที่มากพอ ไม่มีมากกว่านั้นครับ นักวิเคราะห์มากมายจึงทำ back test แต่ผลที่ได้จาก back test นั้นมีแนวโน้มที่จะ conflict กับ hindsight ของมนุยษ์อย่างมาก ในเชิงปฏิบัติ การทำและทดสอบผลที่เกิดในอนาคตจะแม่นยำและของจริงสุดครับ สูตรสำเร็จคงไม่มี มีแต่ framework ที่จะบอกเราว่าควรทำยังไงกับตัวแปรอะไร
เยี่ยมเลยครับเป็นความเห็นที่ดี
ผมเองได้ไปเจอกับสุดยอดนักเทรดเดอร์มา ส่วนตัวคิดว่าคนนี้เป็นสุดๆของนักเทรดจริงๆ
เขาบอกผมว่าจริงๆแล้วความเชื่อที่คนใช้ในการเทรดหุ้นเช่นบอกว่าเมื่อ xx ตัดแล้วให้ซื้อ
อะไรแบบนั้นเรื่องจริงไม่ได้เป็นแบบนั้นแต่ว่าบางครั้งเขาหยิบหุ้นมาแค่ตัวเดียวแล้วก็ใส่สัญญาณเข้าไปว่าจะเอาจุดซื้อจุดขายแบบไหนแล้วก็ทำย้อนหลังแค่ไม่นานแล้วมาอ้างว่าเมื่อ xx ตัดขึ้นก็เป็นสัญญาณซื้อที่ดี ซึ่งในความเห็นของเขาแล้วจริงๆมันต้องทำอย่างน้อยเป็น 10 ปีแล้วต้องใช้ monte Carlo เพื่อทำการซุ้มเป็นพันครั้งอย่างน้อยควรจะไม่ต่ำกว่า 2000 ครั้งแล้วดูผลลัพธ์ที่ได้ออกมาว่าระบบนั้นเป็นอย่างไร มี maximum drawdown สูงแค่ไหน pay-off ratio เท่าไหร่ win lose ratio เท่าไหร่ แล้วผลตอบแทนแต่ละปี stable แค่ไหน
นี้คือเทรดเดอร์ของจริงที่ผมได้เจอ แต่เทรดเดอร์มั่วๆก็อาจจะเป็นคนที่เชื่อตามๆกันมาว่า xx ตัดขึ้นแล้วให้ซื้อซึ่งพอลองเข้า monte carlo แล้วผลลัพธ์ออกมาห่วยมากแทบจะไม่ชนะตลาดแต่คนกลับเอาแค่การเทรดเพียงหนึ่งถึงสองครั้งมาบอกว่าถ้า xx ตัดขึ้นให้ซื้อ
โดยส่วนตัวผมคิดว่าการเล่นหุ้นเชิงพื้นฐานไม่เหมือนการเทรดหุ้น ถ้าเราเขียนระบบการเล่นว่าเมื่อหุ้นทะลุแนวต้านให้ซื้อแล้วเมื่อหลุดเส้น 10 วันให้ขายเราก็สามารถใช้โปรแกรมเช่น trade sum ในการ run monte carlo ดูว่าผลลัพธ์เป็นยังไง แต่การเล่นหุ้นเชิงพื้นฐานต้องคาดการณ์อนาคตงบการเงินที่ออกมาว่าดีแล้วมีความสำคัญน้อยกว่าอนาคตบริษัทจะดีต่อไหมหรือดียิ่งขึ้นไหม และงบที่ออกมามีคุณภาพมากน้อยแค่ไหน ผมคิดว่านักเล่นหุ้นเชิงพื้นฐานสามารถมี bias ได้ง่ายมาก ทั้งในทางดีและทางร้าย การมองโลกในแง่ดีเกินไป การไม่ยอมรับความจริงอะไรต่างๆ ผมเองใช้พื้นฐานมากกว่าเทคนิค ผมก็ต้องมั่นตรวจสอบตลอดเวลาว่าผม bias อะไรหรือไม่