จุดแข็ง จุดอ่อน ของ Value Invetment

[Mp808]

I think the weakness about VI is the level of subjectivity involved in coming up with the value of a stock. Perhaps this is more the weakness of valuation in general. Of course, experience and knowledge of the business will improve the level of your analysis. Valuation involves making a pro forma statement which is where I think the main problem lies. There are a lot of assumptions to be made, which is extremely crucial to how much the fair value and/or the MOS will be. The first few years of the pro forma will be based on the past (which is funny because I see a lot of people criticizing technical analysis for the same reason). Then, the forecast to infinity is just a pure guess. Two years ago, who would have thought that AJ will ever get this high? Anyway, like any other style of investments, you have to do your homework and check on your progress.

Another weakness would be less flexibility with your money.

The strength of VI is the knowledge that you get from studying and researching. You will have your own perspective and won't be fooled by people who are trying to trick you. But you really have to know your stock; otherwise, you are fooling yourself.

[densin]

.....

+100 points

[nut776]

จุดอ่อน
1 การประเมินมูลค่าเหมาะสม การวัึดมูลค่าที่ควรจะเป็น
2 การรอให้ตลาดสะท้อนมูลค่า
3 การกำหนด จุดขาย เพราะไม่รู้ว่า ควรเกินมูลค่าเท่าไหร่ดี จึงจะได้กำไรสูงที่สุด


ไม่รู้เรียกว่า จุดอ่าน ของแนวทาง หรือ ความไก่อ่อน ของนักลงทุน
แต่ สิ่งที่ง่ายที่สุด ของ vi คือสิ่งที่เอามาทำในเชิงปฏิบัติ ยากสุด
หลักการ " หามูลค่าที่เหมาะสม ซื้อมันในระดับที่ต่ำกว่า"

ยากอะคับ

[poonpoon7]

จุดอ่อนที่สำคัญที่สุดเลยคือมันเป็นวืธีที่ไม่ตรงกับธรรมชาติของมนุษย์ โดยเฉพาะกับความโลภและความกลัว ทำให้คนส่วนใหญ่ลงทุนแนวนี้ไม่ได้ หรือได้ก็ไม่นาน

กด like ครับ

[OutOfMyMind]

จุดอ่อนที่ผมเห็นก็คือ VI นั้นไม่ใช่ว่าคนฉลาดจะเป็นได้ ต้องเป็นคนที่มีอุปนิสัย VI ต่างหากถึงจะเป็นได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วฝึกยากมาก เพราะมันเป็นลักษณะของคน หากเราอ่านแนวความคิดและวิธีการใช้ชีวิตของกูรู VI หลายท่านแล้วรู้สึกว่า เอ้อ เราก็มีส่วนคล้ายเค้านะ นั่นแหล่ะ ผมว่าเรามีอุปนิสัยของ VI อยู่บ้างและพร้อมที่จะศึกษาเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาตัวเองให้เป็น VI ที่ดี

และในทางกลับกัน

อันนี้ความเห็นส่วนตัวมาก ๆ จากผม

การลงทุนแบบ VI ซึ่งเกิดจากการมีแนวคิดแบบ VI และนำไปสู่การมีวิถีชีวิตแบบ VI จะทำให้คนที่เป็น VI จริงๆ จะ low profile มาก ๆ สมถะ มีความคิดที่เป็นอิสระจากกระแส ลงลึกที่รายละเอียด และโดยรวมๆ ผมว่าเป็นคนเชยและน่าเบื่อ จากมุมมองคงสังคมโดยทั่วไป

[Arpieaw]

จุดอ่อน
1. เข้าใจว่า เหมือนกับไม่ค่อยอนุญาตให้ คิดผิด เนื่องจาก ไม่มีแนวคิดให้ cut loss หรือ money management กว่าที่ งบ หรือ ข่าว เกี่ยวกับ กิจการนั้นๆ จะออกมา บางท ราคา ก็ลงไปก่อนแล้ว
ผมว่าการกระจายความเสี่ยงสามารถแก้ตรงจุดนี้ได้นะครับ เลือกหุ้นซัก 4-5 ตัวแล้วแต่เวลาที่มีให้ แต่ก็ไม่ควรมากจนเกินไป(ปู่บัฟ)
2. จากข้อที่ 1 อาจเลือกกิจการที่เราเข้าใจได้ง่ายขึ้น ทำให้ตัวเลือกหุ้นที่จะลงทุน มีจำนวน ลดลง
นี่เป็นข้อดีนะผมว่ามันคือการลงทุนแบบ focus และอะไรที่ไม่เข้าใจเราไม่ลงทุน(ปู่บัฟ)
3. ถ้า มีการเข้าถึงข้อมูล ของนักลงทุนระดับใหญ่ๆ หรือ คนที่มีเส้นสาย อำนาจ มีมากกว่า นักลงทุนรายระเอียด (inbalance information) การไม่รู้ถึง อำนาจซื้อนำจริง ขายนำจริง เหมือนคนที่ดูกราฟเก่งๆ ก็จะเสียเปรียบเรื่อง จังหวะ และ ราคาในการลงทุน
ผมมองว่าแก้โดยการดูบริษัทที่มีผลการดำเนินงานหลายๆปี เพื่อแก้เรื่องบัญชี นอกจากนี้ก็ดูธรรมาภิบาลของผู้บริหารด้วยเพื่อเสริมความมั่นใจ อะไรที่ลงทุนแล้วไม่สบายใจเราไม่ลงทุน(อาจารย์นิเวศน์)
ปล. ขอย้ำว่า โปรดอย่าทะเลาะ หรือ ดูถูก แนวทางที่ตัวเองไม่เห็นด้วย แต่ถกข้อดีข้อเสียกันอย่างสร้างสรรค์

ขอบคุณค้าบ

[Arpieaw]

จุดแข็ง คือ
- เป็นวิธีการที่ชนะชัวร์ กำไรเห็นๆ ตั้งแต่ตอนซื้อ

จุดอ่อน คือ
- ไม่ใช่วิธีที่ทำกำไรสูงสุด
- ไม่สามารถนำไปใช้ลงทุนกับธุรกิจที่เราไม่สามารถประเมินมูลค่าได้ ธุรกิจที่ไม่มี MOS
- กำไรชัวร์ แต่อัตราผลตอบแทนเท่าไหร่นี่ไม่รู้ อาจจะต้องยกหุ้นเป็นมรดกให้ลูกให้หลานก่อนที่ตลาดจะเห็นคุณค่า
ผมว่าตรงจุดนี้แก้ไขโดยการซื้อหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตเข้าไปด้วยครับ เช่น
grow= 20%
year 2550 2555 2560 2565 2570
eps 1 2 5 13 32
price 10 10 10 10 10
ผมมองว่าคงไม่มีใครที่จะให้ราคาที่ 10 บาทกับความสามารถในการทำกำไร 32 บาทต่อปีได้ตลอดไปครับ
- มูลค่าของกิจการที่ประเมินได้ มันช่างเต็มไปด้วยอคติ ยากที่จะประเมินมูลค่าแบบปราศจากอคติได้... ดังนั้นควรที่จะ conservative และมองโลกในแง่ร้ายเอาไว้ก่อน

[sipoonya]

เมื่อมีการรวมหลายๆ ห้องเข้าด้วยกัน ก็น่าจะมีการคัด-ขุด กระทู้ดีๆ
เอาไว้ให้มือใหม่ได้อ่านหรือมือเก่าได้ทบทวนก็ดีนะครับ

[anubist]

จุดอ่อนคือ"เวลา"ครับ คุณไม่สามารถทำการศึกษาบ.ให้เข้าใจได้ในไม่กี่นาที แต่เทคนิคอาจใช้เวลาแค่5นาทีในการตัดสินใจซื้อขายหุ้นตัวนั้นๆ กว่าจะเข้าใจโอกาสอาจหลุดมือไปแล้ว แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นจุดแข็งให้เราลงทุนในหุ้นไม่กี่ตัวที่เราเข้าใจทำให้ความเสี่ยงจากความไม่รู้ต่ำ

อีกเรื่องคือ"การเข้าใจผิด" เข้าใจว่าเรารู้พื้นฐานบ.นั้นๆดีแล้ว แต่อาจมีบางสิ่งที่ถูกละเลยไป เช่นการทำประกันความเสี่ยงค่าเงิน/ราคาน้ำมันซึ่งบางบ.อาจต้องทำไว้ประจำจนต้องนับเป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยรายได้ แต่อีกบ.อาจเป็นปัจจัยชั่วคราว

สุดท้าย"การประเมินมูลค่า" มูลค่าพื้นฐาน/มูลค่าที่เราประเมินได้อาจไม่เท่ากับราคาที่Mr.Marketให้ และวิธีการประเมินมูลค่าก็มีหลากหลาย ผลที่ได้มักจะไม่เท่ากัน นี่แหละครับความยากที่เราจะรู้ว่ามูลค่าที่แท้จริงมันเท่าไหร่กันแน่ ในกรณีนี้ผมใช้เทคนิคช่วยเมื่อ"ราคามันเกินมูลค่าที่เราประเมิน"ไปแล้ว(let profit run) แต่ถ้าราคายังอยู่ในช่วงที่เราประเมินก็กลับไปวิเคราะห์ใหม่ครับหรือใช้money managementมาช่วยเพราะช่วงระหว่างรอนั้นเราอาจมีตัวอื่นที่น่าสนใจกว่าก็ได้

[xavi]

เริ่มเล่นแนวทาง VI ได้สักระยะครับ

ข้อดีมากส่วนตัวคือทำให้เราไม่ถูกกดดันจาก "นายตลาด" เพราะถ้าเราไม่ได้ซื้อโดยการวิเคราะห์พื้นฐานโดยละเอียด หากมีปัจจัยภายนอกที่ทำให้ราคาหุ้นลงมากกว่าปกติ สิ่งที่เราไม่กล้าทำแน่ๆคือ "ซื้อหุ้น" เพราะคนส่วนใหญ่คงเลือกที่จะ "Cut Loss" หรือ "ถือไว้เฉยๆ" ก่อน แต่หากเป็น VI จะมองว่านั่นคือโอกาสที่จะทำให้เกิด MOS และกล้าที่จะเข้าไปรับ เพราะเรามีความเชื่อมั่นว่าท้ายสุดเมื่อกิจการดี ราคาหุ้นจะสะท้อนผลกำไรนั้นเอง

ข้อดีถัดมาคือทำให้คนที่ไม่ชอบ "ความเสี่ยง" นั้นมีโอกาสในการเข้าลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ผมและคนรู้จักหลายคน ไม่ได้สนใจในตลาดหุ้น เพราะรู้สึกเหมือนกับว่าเป็นการเก็งกำไร (จริงๆแล้วคิดว่าเป็นการพนันเลยด้วยครับ ) คิดว่าเราไม่มีทางเอาชนะเจ้ามือได้แน่ๆ เพราะเราไม่มี Connection กับใคร ไม่รู้ข่าววงใน ไม่มีเงินทุนขนาดใหญ่ แต่พอได้มาศึกษาแนวทาง VI ก็พบว่าถ้าเราเลือกหุ้นถูกตัว เป็นสิ่งที่เราเข้าใจได้ดี ท้ายสุดผลตอบแทนก็ต้องดี ลดความเสี่ยงจากการเล่นหุ้นแบบเก็งกำไรได้มาก ผมก็กล้าลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น ท้ายสุดผมก็เชื่อว่าหากมีนักลงทุนเข้ามาในตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ ตามหลัก Demand Supply ภาพรวมของ Set ก็ต้องปรับขึ้นไปด้วยอีกแน่นอน

ข้อดีที่ผมชอบมากๆอีกอย่างคือ แนวคิดของ VI นั้นทำให้เรา "ประหยัดและมั่นคง" มากขึ้น เพราะเมื่อเราเอาแนวคิด MOS มาใช้ ก็ทำให้เราไม่ฟุ้งเฟ้อ เพราะจะถูกคิดให้ซื้อของดีในราคาถูกตลอดครับ (เรียกงกหรือเปล่าเนี่ย) และก็ทำให้คิดอ่านวางแผนครอบครัวแบบรอบคอบไม่เสี่ยง ทำให้สบายใจได้ในระยะยาวครับ

ส่วนข้อเสียนี่ผมว่าก็มีเหมือนกันครับ

"เวลา" เป็นเรื่องใหญ่มากครับ เพราะกว่าเราจะเก่งในบริษัทนั้นๆ ถ้าเป็นลูกจ้างก็ต้องไต่เต้ากันเป็นสิบๆปี กว่าจะได้เป็นผู้บริหารระดับสูง การที่เราจะศึกษาบริษัทใดบริษัทนึงให้เข้าใจถ่องแท้ ผมคิดว่ามันต้องอาศัยเวลาที่นานมากๆ แค่การอ่านรายงานประจำปี 56-1 อย่างเดียวไม่พอแน่ๆ ผมว่าอย่างไรเราก็ต้องมีโอกาสได้สัมผัสผู้บริหาร สินค้า ตัวแทนจำหน่าย คู่แข่ง ของบริษัทที่เราสนใจจริงๆด้วย ซึ่งหุ้นหลายๆตัวที่ผมซื้อเองผมก็ยังไม่มีเวลาขนาดนั้น ก็เลยไม่กล้าซื้อเยอะครับ ทำให้ตกรถไปก็หลายที

ผมเชื่อว่าท้ายที่สุดมันก็เป็นเรื่องของ "ดวง" ด้วยครับ ว่าเราจะค่อยๆ Scan หุ้นที่เราจะเลือกศึกษาอย่างไร ใน "เวลาของชีวิต" ที่จำกัด ไม่สามารถศึกษาหุ้นได้ทุกๆตัว (ยกเว้นคนที่มอง Megatrend ได้เก่งจริงๆก็คงมีโอกาส "ตีแตก" เหมือน ดร. ได้มากกว่า)

ถัดมาก็เรื่องการสร้าง "กระแสเงินสด" โดยเฉพาะกับคน Port เล็กๆครับ เพราะหลักการของ VI นี่เราจะไม่ซื้อขายถ้าพื้นฐานไม่เปลี่ยน บางครั้งราคาหุ้นเราขึ้นเอาขึ้นเอา แต่ "เงินสดจริงๆ" นี่ไม่รู้อยู่ไหนครับ ถ้าจะรอเงินปันผลอย่างเดียวให้อยู่ได้ ก็ต้องเป็น Port ระดับ 20-40 MB สำหรับครอบครัวสัก 3-4 คนอยู่ไม่ขัดสน ผมก็เลยมองว่าการเล่นหุ้นเป็นอาชีพอาจจะยังไม่เหมาะกับคนเป็น VI ที่ Port เล็กๆ ระดับไม่เกิน 10 MB เพราะจะทำให้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันไม่สะดวก ก็ควรจะมีงานประจำทำไปด้วย เพื่อสร้างกระแสเงินสดจากทางอื่นๆได้ด้วย

แต่รวมๆผมก็ยังมีความเชื่อว่าแนวทาง VI มีโอกาสที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นได้ครับ

[multipleceilings]

จุดอ่อนอยู่ที่คนใช้

วิธีการหรือหลักการไม่มีจุดอ่อน

[kraikria]

จุดอ่อนที่สำคัญที่สุดเลยคือมันเป็นวืธีที่ไม่ตรงกับธรรมชาติของมนุษย์ โดยเฉพาะกับความโลภและความกลัว ทำให้คนส่วนใหญ่ลงทุนแนวนี้ไม่ได้ หรือได้ก็ไม่นาน

เห็นด้วยเลยครับ...เสริมอีกนิดนึง ผมคิดว่าที่มนุษย์มีความโลภหรือกลัวในตลาดหุ้นเป็นเพราะ การไปดูราคาหุ้น นั่นเอง...ถ้าหากเราลงทุนกิจการที่อยู่นอกตลาด เราอาจจะวิเคราะห์การซื้อขายกิจการโดยการคิดมูลค่ากิจการจริงๆ และตัดเอาอารมณ์โลภหรือกลัวออกไปได้บ้าง (แต่ยังไงก็คงไม่หมดตราบใดที่เราเป็นมนุษย์)

[nuttagan]

จุดอ่อน
1) รวยช้าในช่วงเริ่มต้น ถ้าเทียบกับเก็งกำไรอสังหาบางชนิดอาจทำกำไร 10 เท่าในเวลาไม่ถึงปี (ซื้อมาขายไปเรื่อยเรื่อย) หรือ ทำธุรกิจบางอย่างถ้ามีไอเดียดีดี (มีอีกหลายวิธีที่ทำเงิน 10ล้านถึงร้อยล้าน เพียงใช้ต้นทุนไม่ถึงสนบาท ในเวลาไม่ถึง 5 ปี)
2) เงินที่ต้องลงทุนต้องเป็นเงินเย็นและถ้าเงินไม่มากพอก็ยังไม่สามารถเลี้ยงชีพด้วยเงินปันผลได้ (อิสระภาพหน้าจะ 7 หลักปลายปลาย )
3) จังหวะที่ดีในการลงทุนมีไม่บ่อยนัก ถ้ามีก็คงทำผลตอบแทนสู้ตอนดัชนีลงไป 300 จุดไม่ได้

จุดแข็ง
1) ถ้ามีเงินเยอะพอสามารถให้เงินทำงานได้โดยเราไม่ต้องทำอะไรเลย
2) ความเสี่ยงตำถ้าเลือกกิจการที่ดี

[nuttagan]

ถ้ามีเงินหลักแสนอยากรวยเร็ว ใช้เวลาไม่ถึง 10 ปี ทำธุรกิจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการลงทุนแบบ VI

[yoko]

ผมคิดว่าสำหรับผมไม่มีจุดอ่อนครับเพราะผมชอบวิ่งมาราธอน

[ohiotour]

ส่วนตัวคิดว่า แต่ละแนวทางก็มีข้อเด่นและข้อด้อย แนวทาง vi เป็นแนวทางที่ค่อนข้างฝืนธรรมชาติความเป็นมนุษย์ แต่ความเสี่ยงน้อย ส่วนเทคนิคคอล เป็นแนวที่ไม่ฝืนความเป็นมนุษย์แต่ความเสี่ยงสูง

แนวทาง vi เป็นแนวทางที่จะเหมาะกับคนที่มีนิสัย และการดำเนินชีวิตที่ สมถะ รอบคอบ ประหยัด และละเอียด เป็นคนมีเหตุผล รักสงบ ใช้จ่ายมีเหตุผล ไม่โอ้อวด อดออม
แนวทาง เทคนิคอล เป็นแนวทางที่เหมาะกับคนที่มีนิสัย ชอบความท้าทาย ใจร้อน ชอบเอาชนะ หัวสมัยใหม่ ชอบเทคโนโลยี่ ชอบท่องเที่ยว ใจใหญ่ กล้าได้กล้าเสีย มุทะลุ

แนวทาง vi น่าจะเหมาะกับผู้ที่มีอาชีพ นักบัญชีการเงิน หมอ วิศวะ ครู
แนวทาง เทคนิคคอลน่าจะเหมาะกับผู้ที่มีอาชีพ ค้าขาย ทนาย สถาปนิก เซลแมน นักการตลาด

แนวทาง vi น่าจะเหมาะกับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป หรือมีครอบครัวแล้วและมีลูกแล้ว
แนวทาง เทคนิคคอลน่าจะเหมาะกับผู้ที่มีอายุ ต่ำกว่า 35 ปีหรือยังโสดหรือเพิ่งแต่งงานยังไม่มีลูก

แนวทาง vi เหมาะกับตลาดหุ้นที่มีขนาดใหญ่และมีประสิทธิภาพ
แนวทาง เทคนิคคอลเหมาะกับตลาดที่ยังเล็กและยังไม่ค่อนมีประสิทธิภาพ

แนวทาง vi น่าจะเหมาะกับช่วงเศรษฐกิจ ปกติไม่ผันผวน การเมืองสงบ
แนวทาง เทคนิคคอล น่าจะเหมาะกับช่วง เศรษฐกิจ มีความผันผวน การเมืองไม่ค่อยมีเสถียร์ภาพ

แนวทาง vi น่าจะเหมาะกับธุรกิจที่ คาดการยอดรายได้และกำไรได้ง่าย และมีความได้เปรียบในอุตสาหกรรมเดียวกัน มีความแน่นอนและมั่นคงในการดำเนินกิจการ มีผู้บริหารที่มีธรรมภิบาลสูง
แนวทาง เทคนิคคอล น่าจะเหมาะกับธุรกิจที่ คาดการณ์ผลประกอบการไม่ค่อยได้ เช่น พวกที่ต้องประมูลงาน หรือกลุ่มโภคภัณฑ์ กิจการที่ต้องอาศัยการสร้างข่าวหรือให้ข่าวของผู้บริหาร

ผมคิดเองนะว่า ทั้งสองแนวทางก็มีความเหมาะสม และก็มีนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จจากทั้งสองแนวทาง เพียงแต่่คนส่วนใหญ่ในตลาด ขาดทุนจากการลงทุน มีคนเพียงส่วนน้อยที่ชนะตลาดได้ ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะลงทุนในแนวทางเทคนิคหรือในช่วงต้นของการลงทุน และก็มีคนเพียงส่วนน้อยที่ลงทุนในแนวทาง vi เทียบกับนักลงทุนทั้งตลาด ซึ่งในความเป็นจริง คนที่เป็นเพียงส่วนน้อยที่สามารถชนะตลาดได้ในจำนวนนั้นก็มีคนที่เล่นแนวเทคนิคด้วย และก็ไม่แน่ใจด้วยว่าในคนกลุ่มนี้จะเป็นการลงทุนแนวไหนที่มีสัดส่วนมากกว่ากัน เช่นเดียวกันกับคนที่ยังเป็นคนส่วนใหญ่ที่ยังขาดทุน ก็ไม่รู้ว่าสัดส่วนของแนวไหนมากกว่ากัน

ผมจึงเห็นว่าการหาว่าวิธีไหนแนวทางไหนที่จะดีหรือ มีจุดอ่อนจุดแข็งตรงไหน มันไม่น่าจะสำคัญหรือเท่ากับการที่จะค้นหาว่าตัวเราเอง เป็นคนที่มีอุปนิสัย การดำเนินชีวิต และจริต ของตัวเองที่เหมาะกับการลงทุนในแนวทางไหนที่เราจะลงทุนแล้ว เราไม่เสียความเป็นตัวของตัวเองไม่ต้องเปลี่ยนวิถีชีวิต และมีความสุข ผมเชื่อว่าคนทุกคนก็อยากทำงานหรืออยู่กับสิ่งที่ตัวเองรักและชอบ เช่นกันกับการเลือกการลงทุนควรจะเน้นที่ การลงทุนต้องลงทุนแล้วตัวเราเองต้องมีความสุขด้วย น่ะครับ. ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับอาจจะไม่ถูกต้องน่ะครับ

[wwwman]

เป็นกระทู้ที่ดีครับ ได้อ่านหลายความเห็น ของผู้มีประสบการณ์ ส่วนตัวผม ยังบอกไม่ได้นะว่าจุดแข็ง จุดอ่อน ของ Value Investment คืออะไร สักวันนึง ผมจะมาตอบกระทู้นี้ เมื่อผมมีประสบการณ์มากพอคับ ขอปักหมุดไว้ก่อนจะได้เข้ามาอ่านอีกครั้งและได้ทราบความคิดเห็นจากคนอื่นๆคับ...

[Noinar]

ขอบคุณครับ