หน้า 2 จากทั้งหมด 2
Re: หุ้น หลังเลือกตั้ง ?
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 04, 2011 9:19 pm
โดย multipleceilings
charnengi เขียน:ผมว่า NBC กับ STEC งานงอกแน่
ส่วนตัวที่จะมีแรงเก็งกำไรเข้ามาก็ SC THCOM WIN
ผมเดาเอานะ ดูจากสถิติเก่าๆ
งงเรื่อง กลุ่ม shin corp กับ win
กลุ่ม ชินวัตรไม่ได้เกี่ยว กลุ่ม วงศ์สวัสดิ์ก็ไปแล้ว
Re: หุ้น หลังเลือกตั้ง ?
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 04, 2011 9:28 pm
โดย charnengi
บอกแล้วว่าผมเดาจากสถิติเก่าๆ ไม่มีเหตุผลรองรับ
สายนี้ยังไงก็ตัดกันไม่ขาดหรอกครับ
Re: หุ้น หลังเลือกตั้ง ?
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 04, 2011 9:53 pm
โดย multipleceilings
charnengi เขียน:บอกแล้วว่าผมเดาจากสถิติเก่าๆ ไม่มีเหตุผลรองรับ
สายนี้ยังไงก็ตัดกันไม่ขาดหรอกครับ
ไม่ได้ว่าอะไรคุณนะครับ ผมทราบเช่นกัน วันนี้มันวิ่ง ผมเลยงง อิอิ
Re: หุ้น หลังเลือกตั้ง ?
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 04, 2011 10:04 pm
โดย charnengi
ครับ แต่อีกตัวที่ผมเคยมองไว้แต่ไม่กล้าซื้อคือ ITD ครับ
แต่ผมเลิกเล่นเก็งกำไรตามข่าว วัดดวง มานานพอดูละ
Re: หุ้น หลังเลือกตั้ง ?
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 04, 2011 11:03 pm
โดย Jazzman
ครับพี่ charnengi
ผมเห็นด้วยกับไอเดียของพี่คับ แต่ดูแล้วน่าจะปฎิบัติยากนะครับ พื้นฐานของประเทศเรา ไม่เหมือนสิงคโปร์ เอาตัวอย่างเช่น
- ความรุนแรงของกฏหมาย : ที่โน้นแค่สูบบุหรี่ แล้วทิ้งผงลงพื้นนี่ปรับอย่างน้อย 200- 500 เหรียญ หรือ 5000- 12000 บาทครับ
- ข่มขืนประหาญชีวิต
- คอร์รัปชั่น ก็ จำคุกตลอดชีวิต
-ชกต่อยวิ่งราว หรือขโมย นี่ผมไม่ทราบแต่น่าจะรุนแรงมาก
กลับมามองที่ประเทศเรา
การเปิดคาสิโนนั้น คำถามคือ ตอนนี้ ประเทศเราพร้อม แล้วหรือ ที่จะรับมือกับปัญหาสังคมที่จะตามมาในอนาคต ผมคิดว่ายังไม่พร้อมนะครับ
ผมก็ยอมรับนะครับ ว่านักศึกษาไทย บางคนก็เก่งจริงๆ แต่ โดยภาพรวมคุณภาพของนักศึกษาใหม่ไทย ต้องยอมรับนะครับ ว่าสู้ ที่อื่นไม่ได้จริง
ฉะนั้นการขึ้นค่าจ้างขึ้นต่ำนั้น ผมก็เห็นด้วยแต่ต้องพัฒนาคุณภาพควบคู่กันไปด้วย ซึ่งมันก็จะส่งผลต่อเราเอง และนายจ้างด้วย
สงสัยผมจะออกทะเลไปไกล อิน ไปหน่อยก็ขออภัยครับ
- การซื้อเครื่องจักรมาทำงาน แทนคน เครื่องบางตัวเล็กๆ ไม่ใช่หลักแสน เป็นหลัก ล้าน สิบล้าน สิ่งที่ผมพยายามจะสื่อเป็นมุมมองกว้างๆ ไม่เฉพาะบริษัทในตลาดหุ้นที่มีเงินเยอะแยะ แต่รวมถึง บจกทั่วไป ห้างหุ้นส่วนต่างๆ และ ธุรกิจ SME ที่มีอยู่แล้ว และ กำลังจะเกิดขึ้นใหม่ ที่อาจจะได้รับผลกระทบจาก การขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำแบบรวดเดียวคับ 300 บาท
ขออภัย จขกท. คับ เห็นว่าจะคุยเรื่องหุ้น ^^"
เช่น
Re: หุ้น หลังเลือกตั้ง ?
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 04, 2011 11:16 pm
โดย Financeseed
Jazzman เขียน:ครับพี่ charnengi
ผมเห็นด้วยกับไอเดียของพี่คับ แต่ดูแล้วน่าจะปฎิบัติยากนะครับ พื้นฐานของประเทศเรา ไม่เหมือนสิงคโปร์ เอาตัวอย่างเช่น
- ความรุนแรงของกฏหมาย : ที่โน้นแค่สูบบุหรี่ แล้วทิ้งผงลงพื้นนี่ปรับอย่างน้อย 200- 500 เหรียญ หรือ 5000- 12000 บาทครับ
- ข่มขืนประหาญชีวิต
- คอร์รัปชั่น ก็ จำคุกตลอดชีวิต
-ชกต่อยวิ่งราว หรือขโมย นี่ผมไม่ทราบแต่น่าจะรุนแรงมาก
กลับมามองที่ประเทศเรา
การเปิดคาสิโนนั้น คำถามคือ ตอนนี้ ประเทศเราพร้อม แล้วหรือ ที่จะรับมือกับปัญหาสังคมที่จะตามมาในอนาคต ผมคิดว่ายังไม่พร้อมนะครับ
ผมก็ยอมรับนะครับ ว่านักศึกษาไทย บางคนก็เก่งจริงๆ แต่ โดยภาพรวมคุณภาพของนักศึกษาใหม่ไทย ต้องยอมรับนะครับ ว่าสู้ ที่อื่นไม่ได้จริง
ฉะนั้นการขึ้นค่าจ้างขึ้นต่ำนั้น ผมก็เห็นด้วยแต่ต้องพัฒนาคุณภาพควบคู่กันไปด้วย ซึ่งมันก็จะส่งผลต่อเราเอง และนายจ้างด้วย
สงสัยผมจะออกทะเลไปไกล อิน ไปหน่อยก็ขออภัยครับ
- การซื้อเครื่องจักรมาทำงาน แทนคน เครื่องบางตัวเล็กๆ ไม่ใช่หลักแสน เป็นหลัก ล้าน สิบล้าน สิ่งที่ผมพยายามจะสื่อเป็นมุมมองกว้างๆ ไม่เฉพาะบริษัทในตลาดหุ้นที่มีเงินเยอะแยะ แต่รวมถึง บจกทั่วไป ห้างหุ้นส่วนต่างๆ และ ธุรกิจ SME ที่มีอยู่แล้ว และ กำลังจะเกิดขึ้นใหม่ ที่อาจจะได้รับผลกระทบจาก การขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำแบบรวดเดียวคับ 300 บาท
ขออภัย จขกท. คับ เห็นว่าจะคุยเรื่องหุ้น ^^"
เช่น
คุยได้ทุกเรื่องครับ เปิดเสรีเลยครับ มีหลายๆมุมมอง จะได้เปิดหูเปิดตา มุมมองใหม่ๆบางทีต่อยอดเรื่องอื่นๆ ได้ดีเสมอ
จะว่าไปผมก็นักศึกษาจบไหม ยังไม่มีงานทำเลยครับ 555 ได้อย่างน้อย 15000 ก็ดีนะ อิอิ
Re: หุ้น หลังเลือกตั้ง ?
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 04, 2011 11:21 pm
โดย << New >>
ผมว่าประเด็นหลักมากๆที่มีผลคือเรื่องค่าแรงขั้นต่ำกับเรื่องการลดภาษีบริษัทครับ
เรื่องค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300นี่ บริษัทไหนที่มีแรงงานขั้นต่ำเยอะ ซวยแน่ๆครับ จู่ๆถ้าขึ้นพรวดเดียวเป็น 300 นี่
การลดภาษีเผลอๆอาจจะไม่ได้ช่วยอะไร เพราะไม่มีกำไรที่จะมาให้เสียภาษี
อย่างไรก็ตามบริษัทไหนที่อยู่รอดได้จะได้ประโยชน์จากการที่คู่แข่งล้มหายตายจากไป
เรื่องลดภาษีนี่ ช่วยให้บริษัท(ที่ไม่ค่อยมีค่าแรงขั้นต่ำ) ได้กำไรโดดมาเยอะเลยครับ
จากเดิมกำไร 100 เสีย 30 สุทธิเหลือ 70
ถ้าปรับเป็นเสีย 23% กำไรก็เหลือ 77
ลดภาษี 7% แต่กำไรเพิ่ม10% ....
พวกหุ้นที่ฐานกำไรใหญ่จนโตยากๆจะโตเพิ่มขึ้นตั้ง 10% ถ้ากำไรทำได้เท่าเดิม ผมว่าเยอะมากเลยนะครับ
นโยบายหลายๆอย่างที่ออกมาดูแล้วก็น่าจะมาช่วยดันให้เงินเฟ้อสูงขึ้น พวกที่กู้แบบดอกเบี้ยfix rate ออกหุ้นกู้ไว้เยอะๆก็จะเหมือนได้ประโยชน์ ลดหนี้ไปโดยปริยาย ใครไปซื้อพันธบัตรlong term ไว้ก็อาจจะเสียเปรียบหน่อย
Re: หุ้น หลังเลือกตั้ง ?
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 04, 2011 11:23 pm
โดย Financeseed
อยากดูทีมเศรษฐกิจ ชุดใหม่ ถ้าเอาตัวดีๆ มา หุ้นคงยังคึกคัก ได้อีกสักช่วงระยะหนึ่ง
Re: หุ้น หลังเลือกตั้ง ?
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 05, 2011 12:05 am
โดย cookclick
ประเทศไทยรวยขนาดจะสร้างโน้นนี้นั้น ตามที่ พ.ท. บอกได้จริงเหรอครับแค่คิดก็หน้ามืดแล้วว่าจะเป็นเงินเท่าไร แค่รถไฟรางคู่ กับ รถไฟฟ้า10 สายก็ ใช้เงินเป็น ล้านล้าน แล้ว
แต่ถ้าให้เป็นสัมปทานก็น่าคิดน้า จะมีเอกชนไหนกล้าทำไหมเนี่ย
Re: หุ้น หลังเลือกตั้ง ?
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 05, 2011 12:47 pm
โดย chukieat30
ผมว่า คนชนะควรรีบสร้างความมั่นใจนะครับ
ไหนๆๆก้ชนะแล้ว
สั่งงานเลย เด๋วนี้ งานที่หาเงินเข้าประเทศก่อน ไม่งั้นเป็นหนี้จม
ผมว่าจะได้ใจประชาชนอีกมาก ถ้าเลือกแล้ว สักเดือนสองเดือนถ้าไม่ดีขึ้น
ก้ระวังเค้าจะมาเลือกให้ออกนะครับ
ต้องเด็ดขาดครับเวลาเช่นนี้
Re: หุ้น หลังเลือกตั้ง ?
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 05, 2011 1:22 pm
โดย ccc111
ผมว่าถ้าเขาตั้งใจทำจริงๆ ค่อยๆทำไปทีละอย่างสองอย่าง
ตามความสำคัญ ไม่ต้องทำทีเดียวพร้อมกันทั้งหมด
ถึงบางเรื่องจะยากเย็นแสนเข็ญ แต่ก็มีโอกาสเป็นไปได้
ค่อยๆทำไปปรับไปตามความเหมาะสม
แต่ถ้าไม่ตั้งใจจะทำจริง แค่หาคะแนนเสียงเท่านั้น
ต่อให้เป็นเรื่องง่ายๆ ก็คงไม่มีความคืบหน้าอะไร
Re: หุ้น หลังเลือกตั้ง ?
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 05, 2011 8:10 pm
โดย chukieat30
ถือเป็นงานช้างทีเดียวครับ
หาให้พอจ่าย
ทุกๆๆประเทศ หนี้สาธารณะเพิ่มไปไกล อย่างกรีซ สเปน
ทีมเศรษฐกิจต้อง กล้าที่จะ ออกแผนการลงทุนเพื่อให้ได้รายได้ที่แน่นอนมาครับ
เบี้ยผู้สูงอายุ 1000
ค่าแรง300
ปริญญาตรี 15000
เป็นงานที่ท้าทาย นายกหญิงมากๆๆครับ ว่า จะทำยังไงให้เงินงอกเป็นเงิน
ค่อยๆๆทำก้ได้ครับ
ขั้นแรกผมว่า หาเงินก่อนดีกว่าไหม คลังจะเข้มแข็ง ถ้าเรามีรายได้เข้ามา
ผมเสนอให้ รัฐบาลจัดตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาประเทศไทยหรือ
TGF โดยให้ผ่านเสนอไปยังครม เพื่อขออนุมัติการจัดตั้ง
เป้าหมายเพื่อการลงทุนในต่างประเทศหรือในประเทศ
โดยเฟ้นหา นักลงทุนมืออาชีพ หลายๆคน เข้ามาช่วยกันบริหารกองทุน
กำไรที่ได้จากกองทุน นำมาพัฒนาประเทศ
ไม่ควรที่จะปิดโอกาศคนนอก ควรนำ ผู้เชี่ยวชาญแต่ละสาขาการลงทุนมารวมกัน
ผมอยากเห็นประเทศไทย ก้าวทันสิงค์โปร
Re: หุ้น หลังเลือกตั้ง ?
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 05, 2011 8:22 pm
โดย harikung
ในฐานะที่บ้านทำอุตสาหกรรม(ที่คงโดนเต็มๆกับนโยบายค่าแรง)ผมอยากรู้มากว่า 300 บาทจะเกิดได้มั้ยและจะทำอย่างไรในรูปแบบไหน (จริงๆรวมไปถึงเงินเดือน15000ด้วย) และตอนนี้สภาอุตสาหกรรมก้อเริ่มออกตัวแล้วว่าพวกอุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อมคงรอดยาก(จริงๆส่วนตัวดูแค่ขนาดอย่างเดียวคงจะไม่ได้ ต้องดูประเภทของอุตสาหกรรมครับ) ส่วนในฐานะนักลงทุนคงต้องดูล่ะครับว่าsector หรือ ธุรกิจใดบ้างจะได้รับผลกระทบในกรณีที่นโยบายเกิดขึ้นจริง
Re: หุ้น หลังเลือกตั้ง ?
โพสต์แล้ว: พุธ ก.ค. 06, 2011 12:11 pm
โดย sarawut_p
กับการแข่งขันในประเทศไม่น่าจะมีผล เพราะผู้แข่งขันทุกรายต้องยอมรับกฏกติกาเดียวกันหมด
แต่ปัญหาคือเราจะไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนกับสินค้านำเช้าจากต่างชาติได้ใช่ไหมครับ
Re: หุ้น หลังเลือกตั้ง ?
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 08, 2011 12:43 pm
โดย Financeseed
รัฐปล่อยบาทแข็งกระทบชาวนา ส่งออก ท่องเที่ยว
ปัญหาการแข็งค่าของเงินบาทที่ยังคงแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนสิงหาคมแข็งค่าเพิ่มขึ้นถึง 6% โดยสัปดาห์ที่ผ่านมาเงินบาทได้แข็งค่าขึ้น 0.8% ในขณะที่ ธปท. ต้องหามาตรการออกมารองรับผลกระทบที่เกิดจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น แต่อาจจะช้าเกินไปหรือไม่
ด้านหอการค้าไทยคาดว่า ค่าเงินบาทอาจแตะระดับ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะส่งผลต่อภาคการส่งออกทั้งปีที่จะปรับลดลงเหลือแค่ 18.8-19% เท่านั้น จากที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าไว้ที่ 20%
ทีมเศรษฐกิจเพื่อไทยอัดรัฐปล่อยบาทแข็งกระทบชาวนา ส่งออก ท่องเที่ยว ซัดธปท.ขาดความเข้าใจแก้เงินเฟ้อ จี้ทบทวนขึ้นดอกเบี้ย หวั่นล้มละลาย การยกเลิกกองทุนรักษาอัตราแลกเปลี่ยน ทำชาวบ้านไร้ที่พึ่ง รัฐบาลบริหารแบบชาติด้อยพัฒนา เชื่อต้นปี 1 ดอลล่าร์ต่ำกว่า 30 บาท ปูดรัฐโกงประชาชนเอาราคาข้าวสารดั๊มราคาที่ชิคาโก
นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช คณะทำงานด้านเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทแข็ง ที่ปัจจุบันรัฐบาลปล่อยให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นมามากกว่าร้อยละ 8 ซึ่ง ถือว่าต่ำที่สุดในประเทศแถบอาเซียน และตอนนี้กำลังส่งผลกระทบต่อทุกส่วนของประเทศไทย และส่วนที่ได้ผลกระทบมากที่สุดก็คือ การส่งออกที่การส่งออกเป็นเงินดอลลาร์แต่ได้เงินบาทที่น้อยลง ทั้งนี้ยังทำให้ราคาสินค้าเกษตรลดน้อยลงทั้งหมด ซึ่งเกษตรกรจะโดนผลกระทบนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่ขายข้าวจำนวนเท่าเดิมแต่ได้รับเงินน้อยลงกว่าเกวียนละ 1,000 บาท นอกจากนี้ ในส่วนรายได้ของการท่องเที่ยวก็เป็นอีกหนึ่งองค์กรที่กำลังจะได้รับผลกระทบจากการบริหารงานของรัฐบาล
ปัจจุบันภาคส่งออกได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นแล้ว โดยอุตสหกรรมส่งออกน้ำตาลไทย รายได้จะหายไปไม่น้อยกว่า 13,000-14,000 ล้านบาท และยังส่งผลให้ราคาอ้อยขั้นต้นฤดูกาลผลิตปี"54/55 ที่เดิมเคยคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 1,000 บาท/ตัน อาจจะเหลือไม่ถึง 900 บาท
กระทบต่อราคาข้าวขาว ที่เคยคาดกันไว้ว่าจะสูงถึงตันละ 12,000 บาท แต่เวลานี้อยู่ที่ตันละ 7,000-8,000 บาทเท่านั้น
กระทบต่ออุตสาหกรรมกุ้งบาท เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทำให้ราคาส่งออกกุ้งทุก 1 กิโลกรัมรายได้จะหายไป 6 บาท
กระทบผู้ส่งออกเอสเอ็มอี ทำให้รายได้หดตัวลง ส่งผลให้ผิดนัดชำระหนี้ได้ เพราะทุก ๆ การแข็งค่าขึ้น 1 บาท จะทำให้รายได้รวมของภาคส่งออกหายไปราว 5 หมื่นล้านบาท
นายสุชาติกล่าวต่อว่า ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วก็เป็นผลมาจากเงินร้อนที่ต่างชาติเอาเงิน มาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ และพันธบัตร นักลงทุนจึงนิยมไปเอาเงินดอลลาร์มาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งแบงก์ชาติขาดความเข้าใจในการแก้ปัญหาเงินเฟ้อ การขึ้นดอกเบี้ยเพื่อลดปัญหาเงินเฟ้อ จะทำได้เฉพาะระบบเศรษฐกิจแบบปิดและเป็นระดับที่ใหญ่ แต่ของประเทศไทยไม่ได้เป็นเช่นนั้น ตนจึงอยากจะขอให้กลับไปทบทวนเรื่องนี้ใหม่ เพราะการกระทำเช่นนี้ไม่ได้เป็นการลดเงินเฟ้อ แต่เป็นการเพิ่มเงินเฟ้อมากกว่า และเมื่อปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็จะต้องประสบภาวะล้มละลายได้
“รัฐบาลจะอ้างว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของหน่วยการประจำอย่างแบงก์ชาติไม่ได้ เพราะในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเช่นนี้ทำให้หลายๆ ส่วนได้รับผลกระทบทุกด้าน เราเคยมีกองทุนรักษาอัตราแลกเปลี่ยน ที่ถูกล้มเลิกไปในสมัยรัฐบาลปฏิวัติอย่าง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ทำให้คนไทยไม่รู้ว่าจะไปพึ่งพาใคร ซึ่งตนก็ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด การแก้ไขปัญหาแบบง่ายๆ ตามหลักเศรษฐศาสตร์ ทำไมรัฐบาลจึงทำไม่ได้ และภายใน 3 เดือน หากยังปล่อยให้กลไลอัตราแลกเปลี่ยนยังอยู่ในความโลภของกลุ่มผู้ลงทุนต่างชาติ อาจจะทำให้ตลาดหลักทรัพย์มีภาพรวมที่ดี แต่หน่วยอื่นๆ กลับต้องย่ำแย่ลง ซึ่งพวกเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับวงการตลาดหลักทรัพย์” นายสุชาติกล่าว
ส่วนการที่รัฐบาลออกมาพูดว่าเศรษฐกิจไตรมาสที่ 4 จะมีการเจริญเติบโตถึง 7 เปอร์เซ็นต์ นั้น นายสุชาติกล่าวว่า ตนเชื่อว่าเศรษฐกิจของไทยจะเติบโตแบบติดลบ เพราะผู้หลักผู้ใหญ่ของประเทศไทยมีการบริหารงานแบบประเทศด้อยพัฒนา และขุนนางทั้งหมดที่ไม่ชอบพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว พอตนออกมาพูดเรื่องนี้ทางขุนนางทั้งหลายก็จะให้หน่วยงานของตัวเองมากำหนด ชีวิตของคนไทยในสังคม นอกจากนี้ตนยังมองว่าประมาณต้นปีราคาเงินบาทน่าจะต่ำกว่า 30 บาทต่อหนึ่งดอลลาร์ และเมื่อถึงเวลานั้นจะก่อให้เกิดปัญหามากมาย ซึ่งหากตนมีหน้าที่บริหารประเทศอยู่ในขณะนี้ ตนจะกำหนดราคาค่าเงินบาทให้อยู่ที่ 35 บาทต่อหนึ่งดอลลาร์ และตนเชื่อว่าแบงก์ชาติจะไม่ขาดทุนอย่างแน่นอน
นายสุชาติยังกล่าวอีกว่า กรณีมีการนำราคาข้าวสารไปที่ตลาดชิคาโกเพื่อให้ราคาต่ำลงมา เพราะรัฐบาลได้นำไปซื้อราคาข้าวล่วงหน้า และเพื่อก่อให้เกิดกำไรจึงต้องกดราคาลงมา ทำให้ราคาข้าวสารตกลงมาทั้งหมด ซึ่งเปรียบเสมือนกับการโกงประชาชน
นอกจากนี้นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ต้องการให้ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เร่งเข้ามาดูแลเสถียรภาพของค่าเงินบาทและเสถียรภาพของราคาสินค้า แต่ยังเชื่อค่าเงินบาทไม่หลุด 30 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปแตะที่ระดับ 1,000 จุดภายในปีนี้
- ร้อยละ 58.6 ให้ดูแลเสถียรภาพของค่าเงินบาทและเสถียรภาพของราคาสินค้า
- ร้อยละ 22.7 ให้ดูแลธนาคารพาณิชย์ให้เกื้อกูลต่อเศรษฐกิจและคนในประเทศ
- ร้อยละ 9.4 ให้ดูแลการเข้าถึงโอกาสทางการเงิน โดยเฉพาะคนระดับรากหญ้าและ SMEs
http://www.ptp.or.th/news/news.aspx?sec ... ws_id=1535
Re: หุ้น หลังเลือกตั้ง ?
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 08, 2011 12:47 pm
โดย Financeseed
แก้บาทแข็ง
ปัญหาเงินบาทที่ แข็งค่านับเป็นนิมิตหมายที่ดี ที่ทุกภาคส่วนของสังคมได้ออกมาให้ความคิดเห็นในเรื่องนี้อย่างแพร่ หลาย โดยเฉพาะบุคคลต่างๆที่รับผิดชอบรวมถึงนักวิชาการที่ได้รับการยอมรับ นอกจากนี้ยังเป็นการแสดงวิสัยทัศน์ของผู้นำที่จะแก้ไขกับปัญหานี้ โดยในภาวะค่าเงินที่แข็งนี้มีทั้งผู้ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ แต่ในฐานะผู้รับผิดชอบกับอนาคตของประเทศ รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยจะต้องชั่งน้ำหนักและตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเพื่อเห็นแก่ประโยชน์สูงสุดของประเทศในระยะยาว การที่นายกฯและรมต.คลังได้ปล่อยเรื่องนี้มาตลอดโดยยืนยันว่าไม่มีผลกระทบ เป็นการแสดงการขาดวีธีคิดที่ชัดเจน การที่หลงอยู่กับตัวเลขการเจริญเติบโต และการปรับขึ้นของดัชนีตลาดหลักทรัพย์จากการเข้ามาเก็งกำไรของเงินทุนต่างประเทศ อาจจะทำให้รัฐบาลมองภาพเศรษฐกิจได้ไม่ชัดเจนนัก และยิ่งถ้าหากคนในรัฐบาลมีผลประโยชน์กับดัชนีหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นและเงินทุนต่างประเทศที่กำลังไหลเข้ามา โดยไม่ได้มองผลระยะยาวของประเทศ สุดท้ายประเทศไทยก็อาจจะกลายไปเป็นเหมือนปี 2540 ซึ่ง หากจำกันได้ ในช่วงก่อนหน้านั้นดัชนีหลักทรัพย์ขึ้นไปถึง 1,700 จุด ก่อนที่จะถล่มลงมาอย่างไม่เป็นท่า และความมั่งคั่งของประเทศที่สะสมกันมานานต้องถูกกองทุนต่างประเทศ ดูดหายไปอย่างรวดเร็ว แถมยังมีเรื่องการนำซากของประเทศในขณะนั้นไปขายให้กับต่างชาติในราคาถูก ที่ยังคงมีเรื่องค้างคาอยู่ จึงไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยและอย่าตกเป็นเหยื่อให้กับวิธีการดูดความมั่งคั่งของกองทุนต่างประเทศ ในส่วนของผู้เขียนนั้น อยากขอแสดงจุดยืนในความคิดเห็นที่ได้ให้ไว้ในรายการ คุยนอกทำเนียบ เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน กับ อาจารย์ วีระ ธีรภัทร ที่ผู้เขียนคิดว่าน่าจะเป็นผู้ดำเนินรายการที่มีความรู้ทางเศรษฐกิจที่ดีที่สุดคนหนึ่ง โดยเห็นว่า ปัญหานี้ผู้เขียนได้เห็นปัญหามาเป็นเวลานาน โดยที่ปีที่แล้วได้เขียนบทความเรื่อง “ การปรับตัวของไทยกับการเปลี่ยนแปลงของโลก” ที่ผู้อ่านสามารถ Google เข้าไปอ่านได้ โดยสรุปคือความผันผวนทางเศรษฐกิจต่างๆ รวมถึง ค่าเงินบาทที่แข็งอย่างมากในปัจจุบันนี้ เป็นผลกระทบมาจากการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจที่เคลื่อนตัว จากประเทศตะวันตกมายังประเทศตะวันออกที่เริ่มจะชัดขึ้นเรื่อยๆ และได้ก่อให้เกิดความผันผวนในระบบการเงินโลก โดยเงินหยวนมีแนวโน้มที่จะมีบทบาทมากขึ้น เพื่อทดแทนเงินสกุลดอลล่าร์ ซึ่งจะเป็นปัญหาที่จะเกิดอย่างต่อเนื่อง เป็นระยะเวลานาน ไม่ใช่เป็นปัญหาระยะสั้นๆเหมือนที่รัฐบาลและนักวิชาการหลายคนให้ความคิดเห็น โดยประเทศไทยจะต้องมีแผนงานระยะสั้นและระยะยาวเพื่อรองรับเรื่องนี้ แผนงานระยะสั้นคือการเข้าไปจัดการให้ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพโดยทำให้ประเทศแข่งขันได้ ในขณะที่ในระยะยาวต้องเร่งปรับปรุงประสิทธิภาพการแข่งขันของประเทศตามที่ได้เสนอไว้ในอาทิตย์ที่แล้ว
โดยในระยะสั้น นี้ ผู้เขียนขอย้ำในความคิดเห็นเดิมคือ การที่ต้องลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานลงให้อยู่ใกล้เคียงกับประเทศที่นำเงินใหล เข้ามาเพื่อหยุดการใหลเข้า เรื่องนี้น่าจะเป็นหลักเศรษฐศาสตร์เบื้องต้นที่น่าจะคิดได้ นอกจากนี้การลดดอกบี้ยยังช่วยลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการส่งออกที่ ได้รับผลกระทบในเรื่องดังกล่าว โดยผู้เขียนได้เสนออัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 1% ซึ่งไปตรงกับอาจารย์วีระพงษ์ ที่ได้ออกมาอัดรัฐบาลเมื่อไม่กี่วันนี้ จริงอยู่ว่าอัตราดอกเบี้ยอาจจะไม่ใช่ปัจจัยเดียวแต่ผู้เขียนก็เชื่อว่าเป็น ปัจจัยหลักของการใหลเข้าของเงินทุน ในปัจจัยอื่นๆก็สามารถหามาตรการอื่นเข้ามาจัดการเช่น การเก็บภาษี เป็นต้น ส่วนเรื่องอัตราเงินเฟ้อก็น่าจะเป็นปัญหารองและไม่น่าจะเป็นปัญหามาก และรัฐบาลก็จะสามารถออกพันธบัตรในอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมมาให้ผู้ออมเงิน เฉพาะกลุ่มที่ต้องอาศัยดอกเบี้ยเงินออมในการดำรงชีพ
แนวความคิดในการ กำหนดค่าเงินบาทคงที่ในช่วงราคาหนึ่งก็เป็นวิธีคิดที่น่าจะนำมาพิจารณา ในภาวะความผันผวนเช่นนี้ จึงอยากให้ข้อคิดแก่ท่านผู้ว่าฯ คนใหม่ที่ออกมาเปรียบเทียบภาวะปัจจุบัน ที่เป็นเหมือนช้างสารชนกันว่า ทำไมเราต้องไปเป็นหญ้าแพรกด้วย ทำไมเราไม่เป็นหนูที่ออกไปยืนดูข้างนอกจนเรื่องจบจึงกลับเข้ามาจะไม่ดีกว่าหรือ การที่ประธานแบงค์ชาติออกมาบอกว่าการกำหนดค่าเงินเป็นเรื่องที่ล้าสมัยแล้ว ท่านคงลืมมองประเทศจีนที่ยังคงกำหนดค่าเงินคงที่อยู่และก็ทำได้ดี ซึ่งทำให้คิดว่าการกำหนดค่าเงินบาทตามค่าเงิน หยวนก็เป็นอีกแนวทางที่น่าพิจารณา ไหนๆจีนก็จะต้องเป็นประเทศพี่เบิ้มในแถบนี้ บางทีในประเทศนี้เราอาจจะต้องคิดนอกกรอบกันบ้าง และปัญหาที่เกิดกับประเทศไทยในปี 2540 และประเทศอื่นๆทั่วโลกคือปัญหาค่าเงินที่มีค่าสูงเกินมูลค่าจริง ในประวัติศาสตร์ยังไม่เคยเห็นประเทศใด ต้องเสียหายจากการที่มีค่าเงินต่ำกว่ามูลค่าจริง มีแต่จะเจริญขึ้นเช่น ประเทศญี่ปุ่นและประเทศไต้หวันในอดีตหรือประเทศจีนในปัจจุบัน ถ้าหากประเทศที่มี่มูลค่าเงินต่ำกว่าความเป็นจริงแล้วเสียหาย ป่านนี้ประเทศจีนคงจะโดนถล่มเละไปแล้ว ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าจะต้องกำหนดค่าเงินคงที่ตลอดไป เมื่อไหร่ภาวะผันผวนเปลี่ยนก็สามารถที่จะเปลี่ยนนโยบายได้
การปรับโครง สร้างของประเทศโดยการเพิ่มการบริโภคภายในประเทศ เพื่อลดการพี่งพาการส่งออกก็นับเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องเร่ง ดำเนินการ การเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนส่วนใหญ่จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ดังนั้น รัฐบาลอนาคตจะต้องมีแผนงานในการที่จะทำให้ เกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน ตลอดจนนักศึกษาที่จบการศึกษาต้องมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น
วันนี้มีการ สัมมนาค่าเงินบาทที่โรงแรมสุโขทัยเวลา 13:00 – 16:00 น ขอเชิญผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบเข้ารับฟัง
http://www.ptp.or.th/news/m-hot.aspx?news_id=1660
Re: หุ้น หลังเลือกตั้ง ?
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 08, 2011 12:48 pm
โดย Financeseed
ปล่อย"บาทแข็ง"สกัดราคาสินค้า"ยิ่งลักษณ์"ระบุเน้นนโยบายกระตุ้นจีดีพีเติบโต
"ยิ่งลักษณ์"ปล่อยเงินบาทแข็ง ช่วยดูแลราคาสินค้าและอัตราเงินเฟ้อ ชี้นโยบายเศรษฐกิจเน้นอัตราการเติบโตของจีดีพี เชื่อปรับค่าจ้างช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายหนุนเศรษฐกิจโต เอกชนเตือนมีผลกระทบภาคการส่งออก
หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล เอเชีย วันที่ 7 กรกฎาคม ที่ผ่านมา รายงานโดยอ้าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อหมายเลข 1 พรรคเพื่อไทย และว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศว่า ไทยจะเดินหน้าปล่อยเงินบาท แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะช่วยสกัดการปรับเพิ่มราคาสินค้านำเข้ารายการหลักๆ และรัฐบาลจะพยายามลดต้นทุนสินค้าจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน เช่น น้ำมันประกอบอาหาร หรือน้ำตาล เพื่อดูแลอัตราเงินเฟ้อ อีกทั้งกำลังวางแผนยกเว้นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งจะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลปรับลดลง
"พรรคเพื่อไทยเน้นความสำคัญของอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี ซึ่งการปรับขึ้นค่าจ้างจะช่วยเพิ่มอัตราการอุปโภคบริโภค อันจะกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจต่อไป โดยช่วงปีแรกอาจมีผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อเล็กน้อย" น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวและว่า หากรัฐบาลดูแลความต้องการพื้นฐานของประชาชนได้ ก็จะเริ่มจัดการกับความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศต่อไป
แหล่งข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การจะนำนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนโดยปล่อยให้เงินบาท แข็งค่าขึ้นเพื่อดูแลเงินเฟ้อนั้น คงเป็นเรื่องที่ผู้บริหารระดับสูงและคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ต้องพิจารณาร่วมกัน ซึ่งนโยบายดังกล่าวยังไม่รู้ว่าจะนำมาใช้จริงหรือไม่ แต่ในส่วนของค่าเงินบาท นั้นตอบรับกับข่าวดังกล่าวไปแล้ว
ด้านนายพรายพล คุ้มทรัพย์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าวว่า เห็นด้วยกับการใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนมาดูแลเงินเฟ้อ ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันต่อการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยลงด้วย อย่างไรก็ตาม การปล่อยค่าเงินบาท ให้แข็งค่า ต้องพิจารณาถึงระดับที่เหมาะสมด้วย เพราะอาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการภาคส่งออกที่เป็นรายได้หลักของประเทศ แต่ก็เชื่อว่าผู้ประกอบการกลุ่มส่งออกน่าจะปรับตัวได้
นายพรเทพ ชูพันธ์ ผู้จัดการวิเคราะห์เศรษฐกิจ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (อีไอซี) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นว่า การปล่อยให้เงินบาท แข็งค่าขึ้นย่อมส่งผลดีต่อแรงกดดันด้านเงินเฟ้ออยู่แล้ว เพียงแต่ถ้ารัฐบาลจะดำเนินนโยบายดังกล่าวจริงก็ควรใช้วิธีการแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นด้านการส่งออกหรือภาคการท่องเที่ยวได้มีเวลาในการปรับตัว
“ปกติเงินบาท แข็งย่อมดีต่อเงินเฟ้ออยู่แล้ว เพราะทำให้สินค้าน้ำเข้าโดยเฉพาะน้ำมันราคาถูกลง แต่ขณะเดียวกันมันจะมีผลข้างเคียงเกิดขึ้น คือ ภาคการส่งออกกับท่องเที่ยวในประเทศอาจต้องเหนื่อยขึ้น” นายพรเทพกล่าว
http://www.komchadluek.net/detail/20110 ... B8%95.html
Re: หุ้น หลังเลือกตั้ง ?
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 08, 2011 12:55 pm
โดย Financeseed
นโยบาย บาทแข็งได้คุ้มเสียเปล่าก็ไม่รู้นะครับ
เพราะ gdp เราพึ่งการส่งออกตั้ง 70%
ชาวบ้านจะมาประท้วงเปล่านะ เพราะ พอเงินบาท แข็งมากเกินไป ต่างชาติก็อาจซื้อสินค้าของเพื่อนบ้านแทน เพราะสินค้าก็เหมือนๆกัน เช่น ซื้อข้าวที่ เวียดนาม ยางพาราที่ มาเล
นโยบาย บาทแข็ง ต่างชาติ ก็น่าจะลงทุนในตลาดหุ้นเยอะขึ้น
Re: หุ้น หลังเลือกตั้ง ?
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 08, 2011 1:18 pm
โดย chukieat30
financeseed เขียน:นโยบาย บาทแข็งได้คุ้มเสียเปล่าก็ไม่รู้นะครับ
เพราะ gdp เราพึ่งการส่งออกตั้ง 70%
ชาวบ้านจะมาประท้วงเปล่านะ เพราะ พอเงินบาท แข็งมากเกินไป ต่างชาติก็อาจซื้อสินค้าของเพื่อนบ้านแทน เพราะสินค้าก็เหมือนๆกัน เช่น ซื้อข้าวที่ เวียดนาม ยางพาราที่ มาเล
นโยบาย บาทแข็ง ต่างชาติ ก็น่าจะลงทุนในตลาดหุ้นเยอะขึ้น
setอาจจะไป1700 อีกรอบครับ
แต่ส่งออกเล็กก้ตาย เกมนี้จัดขึ้น โดยหวังขุดรากถอนโคนคนที่ไม่ีมีปัญญาเฮดค่าเงิน
ซึ่งก้เป็นการถอนรากหญ้าให้รายใหญ่ได้ เค้กทั้งหมด
ดังนั้น อีกหน่อยก้จะเห็น SME และ บ.ที่ไม่ได้จด ล้มหายตายจากไป
ซึ่งเป็น Theory เดียวกับตอนกวาดล้างโชวห่วย แถมถ้าบริษัทคู่แข่งอ่อนแอ
ก้อาจจะ มีการเทคโอเวอร์ ด้วย
การขึ้นค่าแรง ภาคอิเล็กไม่กระทบ แต่คนที่โดนคือ การเม้นท์+ท่องเที่ยว ที่รับไปเต็ม
การปล่อยบาทแข็ง ทำให้นำเข้าวัตถุดิบได้ถูกลง แต่ส่งออกที่ไม่มี Nat Hedge ก้ต้องลำบาก
น้ำมันก้จะราคาถูกลง
แต่ประเทศก้ต้องอยู่ในภาวะจำยอมคาดเข็มขัด
แต่บางทีเมื่อปัญหากัมพูชาจบ เราอาจแบ่งน้ำมัน คนละครึ่งกับกัมพูชา
Re: หุ้น หลังเลือกตั้ง ?
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 08, 2011 1:27 pm
โดย chukieat30
การเข้ามาของเทมาเสกรอบนี้
อาจจะแลกกับการที่ ไทยไม่ขุดคลองขอดกระ และเป็นการเข้ามาเพื่อแสวงประโยชน์
ในตลาดทุน และเป็นการกันไม่ให้ดัชนีร่วงแรง และภาวะเงินฝืดเฉียบพลัน
เราคงได้เห็นแบบ ปี38 กันอีกรอบก้คราวนี้แหล่ะครับ
Re: หุ้น หลังเลือกตั้ง ?
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 08, 2011 1:36 pm
โดย chukieat30
ปูจ๋า 1 เค้าทำถูกแล้ว ที่ให้ค่าเงินแข็ง เพราะส่งออกใหญ่ๆๆ เฮดไว้หมด
ถ้าน้ำมันถูก
ต้นทุนการผลิตก้จะถูก ต้นทุนขนส่งจะถูก
ราคาสินค้าก้จะถูก
แต่ ราคาข้าวเอง ก้จะถูกไปด้วย ผมเกรงว่าชาวนาอาจจะก่อม๊อฟได้
รวมถึงราคาพืชผลทาการเกษตร หลายๆๆ อย่างก้จะกลับมาถูกแบบตอนนั้น
อีกหน่อย คนขับสิบล้อ ขี่วิน แบกหาม ก้จะมาเล่นหุ้นกันหมด
เมื่อทุนนอกไหลมาดันเซทไปไกล เล่นยังไงก้ได้เงิน เกิด Reflexibility แก่คนรากหญ้า
ว่าเล่นหุ้นมันง่าย จะเกิดการแห่ซื้อ คนที่ได้เงินก้จะกินใช้กันแบบ ฟุ่มเฟือย
ความฟุ้มเฟ้อ แบบยุค พณ ท่าน ชาติชาย อยู่ไม่ไกลแล้ว
พอหลังความฟุ้มเฟ้อ ก้เลือกตั้งอีกรอบ พอดี
ถ้า ปชป กลับมา คราวนี้ ถ้าฟองมันแตก ก้คงรับเคราะห์ไปเหมือนตอน พลอ ชวลิต
เกมนี้ ช่างน่ากลัว
Re: หุ้น หลังเลือกตั้ง ?
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 08, 2011 1:39 pm
โดย chukieat30
ปี54 ถ้าเดินแผนนี้ จะเกิดฝืดก่อน
ปี55-56 เริ่มเฟ้อ
ปลาย56-ต้น57 เฟ้อหนัก
เราคงได้เห็นเค้าเทรดกัน พีอี 20-30เท่าอีกรอบ
ในปี 2556-2557
Re: หุ้น หลังเลือกตั้ง ?
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 08, 2011 1:50 pm
โดย chukieat30
รัฐบาลนี้ หัวคิดไม่ธรรมดาจริงๆๆ
ทีนี้ก้ ได้เวลาประกาศ นโยบายหาเงินแล้ว
ว่าจะหาจากไหน
ผมเดาว่า คุณ ทักษิณ จะขุดของใต้ดินมาไว้บนดิน
และเก็บภาษี พวกนี้+ยึดทรัพย์ ยาเสพติดและพวกนักการเมืองที่โกง
และเพิ่มเพดานการเก็บภาษีที่ดิน+มรดก
เพิ่มภาษีบุหรี่ และเบียร์
แค่นี้ก้มีเงินพอมาอุดหนุน ราคาสินค้าเกษตร+ค่าแรงแล้ว
ทำได้แน่ ถ้าได้อยู่ครบวาระ นะครับ
Re: หุ้น หลังเลือกตั้ง ?
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 08, 2011 3:34 pm
โดย harikung
นโยบาย300บาทคงจะไม่มีผลอะไรกับผมแล้วล่ะครับ เพราะครอบครัวตัดสินใจแล้วว่าจะปิดกิจการก่อนสิ้นปี ก่อนที่จะไม่เหลืออะไรเลย ยังมีอะไรดีๆให้ดูอีกเยอะครับ ถ้าเค้าจะทำจริงทุกนโยบาย
Re: หุ้น หลังเลือกตั้ง ?
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 08, 2011 4:02 pm
โดย chukieat30
Re: หุ้น หลังเลือกตั้ง ?
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 08, 2011 5:31 pm
โดย Financeseed
สบน.ชี้ไทยมีปัญหาในระบบเศรษฐกิจ
วันที่ 08/07/2554 16:21 (ผ่านมา 53 นาที)
สบน.ชี้ไทยมีปัญหาในระบบเศรษฐกิจ เริ่มเห็นสัญญาณผิดปกติ จี้ทบทวนนโยบายดูแลเฟ้อ
วันนี้ (8 ก.ค.) นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ดอกเบี้ยระยะสั้นในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กำลังเริ่มเห็นสัญญาณทางเทคนิคที่ผิดปกติของกลไกตลาด เนื่องจากมีการย้ายการลงทุนจากระยะยาวมาลงทุนระยะสั้นมากขึ้น ทำให้มูลค่าการลงทุนระยะสั้นเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องออกพันธบัตรมาดูดซับสภาพคล่องออกไปและมีต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นด้วยขณะเดียวกันยังทำให้เส้นอัตราผลตอบแทน (ยิลด์ เคลิฟ)ในตลาดตราสารหนี้ เป็นเส้นตรง หรือกำลังกลับหัวคือระยะสั้นจะสูงกว่าระยะยาว ซึ่งจะเกิดขึ้นกับประเทศที่เศรษฐกิจมีปัญหาเท่านั้น
นายจักรกฤศฏิ์กล่าวต่อว่า ที่สำคัญดอกเบี้ยระยะสั้นที่เพิ่มขึ้น ยังทำให้ช่องว่างระว่างคนรวยกับคนจนห่างขึ้นไปอีก เพราะดอกเบี้ยระยะสั้นที่เพิ่มขึ้นเร็ว คนที่ได้ประโยชน์คือสถาบันการเงิน แต่คนเสียผลประโยชน์คือประชาชนผู้เช่าบ้าน ผ่อนรถ รวมถึงการใช้จ่ายประจำวันที่ต้นทุนในการดำรงชีพจะเพิ่มตามไปด้วยและได้รับผลกระทบมากกว่า เพราะต้นทุนระยะยาวเป็นของคนรวย ขณะที่ต้นทุนระยะสั้นเป็นของคนจน ทำให้อำนาจซื้อลดลงจากรายจ่ายเพิ่มขึ้นขณะที่รายได้ลดลง ดังนั้นรัฐบาลต้องมาหาคำตอบให้ชัดเจน รวมถึง ธปท.ต้องอธิบายให้ชัดด้วยว่า มีผลกระทบต่อประชาชนอย่างไรบ้าง เงินเฟ้อไม่ใช่เรื่องที่มีข้อเสียเพียงอย่างเดียว ข้อดีก็มีบ้าง จึงต้องมาทำความเข้าใจให้ชัดเจน
นายจักรกฤศฏิ์ กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ประเทศที่เศรษฐกิจปกติ เส้นยิลด์เคลิฟนี้ จะชันขึ้นจากซ้ายไปขวา คือการลงทุนระยะสั้นจะต่ำกว่าระยะยาว แต่หากเริ่มจะเป็นเส้นตรงหรือชันจากซ้ายมือลงมาทางขวา คงเป็นเรื่องที่ผิดปกติแล้ว เพราะคิดง่ายว่า ตราสารหนี้ระยะสั้นควรจะถูก ขณะที่ระยะยาวควรจะแพงกว่า แต่กลับกลายเป็นว่า ขณะนี้ตราสารหนี้ระยะสั้นแพงกว่าระยะยาว สะท้อนว่าไทยมีปัญหาในระบบเศรษฐกิจ สถาบันการเงินและการลงทุน จากดอกเบี้ยระยะสั้นที่เพิ่มขึ้นจนแซงหน้าระยะยาว ทำให้คนไม่ลงทุนระยะยาวแต่หันมาลงทุนระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า.
http://thairecent.com/Business/2011/899052/
คนเริ่มโยกเงินออกมารับผลตอบแทนที่สูงขึ้น สภาพคล่องสูงขึ้น บางส่วนก็คงเข้าตลาดหุ้น แน่นอน