หน้า 2 จากทั้งหมด 2

Re: สอบถามเรื่องเหตุผลที่ขายหุ้นครับ...-_-??)

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 31, 2013 5:39 pm
โดย Plant
picatos เขียน:1 มูลค่าที่ประเมินได้ไม่ได้มีค่าๆ เดียว
2 มูลค่าที่เอามาใช้คิด mos เป็นกรณี worst case ที่เอามาพิจารณาซื้อ
3 หลังจากซื้อในราคาที่มี mos ตามที่พอใจแล้ว upside ดป็นอีกเรื่องหนึ่งตามลักษณะของกิจการ
4 กิจการที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลง ช่วงกำลังเติบโต มูลค่าที่เป็นไปได้มีความหลากหลายสูงมาก upside จะแปรผันไปตามอนาคตต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ ทำให้กลยุทธ์ในการขายเน้นไปดูที่คุณภาพของกิจการ โดยไม่กำหนดจุดขายที่ชัดเจน
5 กิจการที่ stable หรือ mature แล้ว range ของราคาเป้าหมาย (upside) มีช่วงที่น้อยกว่าข้อ 4 ทำให้มูลค่กิจการไปขึ้นอยู่กับสภาวะตลาด และทางเลือกในการลงทุน
แปลว่าต้องดูช่วงของกิจการด้วยใช่ไหมครับว่าอยู่ในระดับไหนแล้ว ถ้าอยู่ในช่วงเติบโต เปลี่ยนแปลง ก็จะมีราคาที่แปรผันได้สูง แต่ถ้าอยู่ในช่วงของ
stable หรือ mature มั่นคงแล้ว ราคาก็จะไม่แปรผันสูงมากนัก โอกาสที่ราคาจะวิ่งขึ้นไปอีกมากๆจึงเป็นไปได้น้อยใช่ไหมครับ
ขอบคุณ คุณ "picatos" ครับ....^^)

Re: สอบถามเรื่องเหตุผลที่ขายหุ้นครับ...-_-??)

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 31, 2013 5:52 pm
โดย Plant
pat4310 เขียน:ไม่ขัดกันครับเพราะ ในการประเมินมูลค่าหุ้นก็จะเอาปัจจัยทางธุรกิจต่างๆ เข้ามาเป็นสมมติฐานของตัวแปรต่างๆ เช่นการเติบโตของยอดขาย อัตรากำไร ฯลฯ รวมถึงผลตอบแทนทีคาิดหวังด้วย ซึ่งมูลค่าหุ้นที่เราคำนวณเป็นตัวเลขก็จะสะท้อนราคาสูงสุดที่เราจะซื้อที่ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนเท่ากับผลตอบแทนที่คาดหวังพอดี ยิ่งซื้อหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าเท่าไรก็ยิ่งได้ผลตอบแทนจากการลงทุนมากกว่า ผลตอบแทนที่คาดหวังเท่านั้น
หมายความว่าถ้าผมประเมินหุ้นที่มีกำไรต่อหุ้น 1 บาทต่อปี แล้วใช้ PE 15 เท่าของกำไร(ผลตอบแทนได้ประมาณ 6%กว่าๆ)
ก็จะได้ว่าราคาสูงสุดที่เราจะซื้อเพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามที่เราต้องการคือ 15 บาท แต่ถ้าเราซื้อได้ต่ำกว่า 15 บาท
ผลตอบแทนก็จะยิ่งมากขึ้นใช่ไหมครับ อืม...มองเห็นภาพเลยครับ ขอบคุณมากๆครับ...^^)
pat4310 เขียน:ในทางกลับกันถ้าราคาหุ้นมันสูงกว่ามูลค่ามากๆ คนที่มาซื้อใหม่ ถ้าปัจจัยทางธุรกิจเหมือนเดิมเขาก็จะได้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่าผลตอบแทนที่คาดหวังก็จะไม่ซื้อ ซักราคาก็ลงมาที่มูลค่าที่แท้จริง ดังนั้นก็ขายไปซื้อกิจการที่ยังไม่สะท้อนดีฟ่า

เมื่อปัจจัยต่างๆในตัวธุรกิจได้เปลี่ยนแปลงไป ก็ทำให้มูลค่ากิจการเปลี่ยนไปด้วย จากหุ้นที่เราคิดว่าถูกจะกลายเป็นหุ้นแพงในทันที ก็ต้องโกยล่ะครับ
นั่นคือ ต้องย้อนกลับไปดูปัจจัยที่มีผลต่อธุรกิจว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่าใช่ไหมครับ ก่อนจะตัดสินใจขายหรือไม่ขาย
ขอบคุณ คุณ "pat4310" มากๆครับ...^^)

Re: สอบถามเรื่องเหตุผลที่ขายหุ้นครับ...-_-??)

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 31, 2013 5:57 pm
โดย Plant
chatchai เขียน:ความสามารถของผู้บริหารมีส่วนสำคัญมาก และประเมินไม่ได้ถูกต้องแท้จริง

กิจการที่มีผู้บริหารที่มีความสามารถ มีวิสัยทัศน์ ย่อมสามารถนำพาองค์กรเจริญเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง สามารถหาลู่ทางธุรกิจใหม่ๆได้เพิ่มเติม

ในขณะที่บางกิจการที่ดีๆ แต่ผู้บริหารอาจนำพาให้กิจการย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆก็ได้
คุณ "chatchai" กำลังจะบอกว่าถ้าเราจะดูปัจจัยในตัวบริษัท ก็ต้องดูความสามารถของผู้บริหารด้วยใช่ไหมครับ แต่เป็นอย่างที่คุณ
chatchai บอกหนะครับว่ามันประเมินได้ยากมาก แต่ตัวผมเองก็คิดแบบนี้เหมือนกับครับว่า ธุรกิจจะดีหรือไม่ดี จะยิ่งใหญ่หรือขนาดเล็ก
แต่การธุรกิจจะเดินไปในเส้นทางไหน จะหันหัวเรือไปทางใด ขึ้นอยู่กับตัวผู้บริหารเป็นตัวขับเคลื่อน ถ้าพาไปดีก็ดี ถ้าพาไปไม่ดี
ต่อให้บริษัทแข็งแกร่งแค่ไหนก็ล้มครืนลงได้เหมือนกันครับ

ขอบคุณ คุณ"chatchai" มากๆครับ...^^)

Re: สอบถามเรื่องเหตุผลที่ขายหุ้นครับ...-_-??)

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 31, 2013 8:25 pm
โดย navapon
picatos เขียน:1 มูลค่าที่ประเมินได้ไม่ได้มีค่าๆ เดียว
2 มูลค่าที่เอามาใช้คิด mos เป็นกรณี worst case ที่เอามาพิจารณาซื้อ
3 หลังจากซื้อในราคาที่มี mos ตามที่พอใจแล้ว upside ดป็นอีกเรื่องหนึ่งตามลักษณะของกิจการ
4 กิจการที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลง ช่วงกำลังเติบโต มูลค่าที่เป็นไปได้มีความหลากหลายสูงมาก upside จะแปรผันไปตามอนาคตต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ ทำให้กลยุทธ์ในการขายเน้นไปดูที่คุณภาพของกิจการ โดยไม่กำหนดจุดขายที่ชัดเจน
5 กิจการที่ stable หรือ mature แล้ว range ของราคาเป้าหมาย (upside) มีช่วงที่น้อยกว่าข้อ 4 ทำให้มูลค่กิจการไปขึ้นอยู่กับสภาวะตลาด และทางเลือกในการลงทุน
:bow: :bow: ขอบคุณครับ ผมชอบคำตอบของคุณpicatosที่สุดครับ

Re: สอบถามเรื่องเหตุผลที่ขายหุ้นครับ...-_-??)

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 31, 2013 9:36 pm
โดย picatos
Plant เขียน:
picatos เขียน:1 มูลค่าที่ประเมินได้ไม่ได้มีค่าๆ เดียว
2 มูลค่าที่เอามาใช้คิด mos เป็นกรณี worst case ที่เอามาพิจารณาซื้อ
3 หลังจากซื้อในราคาที่มี mos ตามที่พอใจแล้ว upside ดป็นอีกเรื่องหนึ่งตามลักษณะของกิจการ
4 กิจการที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลง ช่วงกำลังเติบโต มูลค่าที่เป็นไปได้มีความหลากหลายสูงมาก upside จะแปรผันไปตามอนาคตต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ ทำให้กลยุทธ์ในการขายเน้นไปดูที่คุณภาพของกิจการ โดยไม่กำหนดจุดขายที่ชัดเจน
5 กิจการที่ stable หรือ mature แล้ว range ของราคาเป้าหมาย (upside) มีช่วงที่น้อยกว่าข้อ 4 ทำให้มูลค่กิจการไปขึ้นอยู่กับสภาวะตลาด และทางเลือกในการลงทุน
แปลว่าต้องดูช่วงของกิจการด้วยใช่ไหมครับว่าอยู่ในระดับไหนแล้ว ถ้าอยู่ในช่วงเติบโต เปลี่ยนแปลง ก็จะมีราคาที่แปรผันได้สูง แต่ถ้าอยู่ในช่วงของ
stable หรือ mature มั่นคงแล้ว ราคาก็จะไม่แปรผันสูงมากนัก โอกาสที่ราคาจะวิ่งขึ้นไปอีกมากๆจึงเป็นไปได้น้อยใช่ไหมครับ
ขอบคุณ คุณ "picatos" ครับ....^^)
ประเด็นที่ผมต้องการสื่อที่สุด คือ มูลค่าที่ประเมินได้มันไม่ได้มีค่าๆ เดียว การที่คุณ Plant คิดว่ามันมีค่าๆ หนึ่งที่เป็น เลยทำให้เกิดความสำคัญผิดในการขายหุ้น...

ศาสตร์ VI เป็นศาสตร์ที่พูดถึงการซื้อหุ้น ให้ซื้อในราคาที่ แม้ว่าจะเป็น Worst Case แล้วก็ยังมีส่วนเผื่อความปลอดภัย (MoS) พูดในทางสถิติก็คือ มูลค่าที่เราประเมินได้ ที่ระดับความเชื่อมั่น 99.9% ว่ามูลค่าที่อาจเป็นไปได้มากกว่าค่านี้ แล้วเราซื้อต่ำมันในราคาที่ต่ำลงไปอีก

เช่น
ที่ราคา 10 บาท เรามีความความมั่นใจ 99.9% ที่มูลค่าที่แท้จริงจะมากกว่า 10 บาท
ที่ระดับราคา 20 บาท อาจจะอยู่ที่ระดับความมั่นใจ 90% ที่มูลค่าที่แท้จริงจะมากกว่า 20 บาท
ที่ราคา 30 บาท อาจจะอยู่ที่ระดับความมั่นใจ 70% ที่มูลค่าที่แท้จริงจะมากกว่า 30 บาท
เป็นต้น

แม้แต่ราคาที่ 100,000 บาท ก็ยังมีความน่าจะเป็นที่เป็นไปได้ แต่ความเป็นไปได้น้อย... เพราะ ฉะนั้น ในการขาย อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ครับ จึงต้องใช้ศาสตร์อื่นเป็นตัวช่วยในการขาย


เพราะ ว่าสิ่งต่างๆ ไม่เที่ยง มันเลยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นครับ ... อย่าง อิเล็กตรอน บางครั้งเป็นอนุภาค บางครั้งเป็นคลื่น ความน่าจะเป็นที่อิเล็กตรอนที่จะอยู่ที่จุดหนึ่งๆ ก็ไม่แน่ไม่นอน... ดังนั้นมูลค่ากิจการที่เป็นอะไรที่ Abstract กว่าอนุภาคอีกครับ มูลค่ามันแปรผันด้วยระดับความรุนแรงที่สูงกว่ามาก

ที่นี้มาตอบคำถาม...
แปลว่าต้องดูช่วงของกิจการด้วยใช่ไหมครับว่าอยู่ในระดับไหนแล้ว ถ้าอยู่ในช่วงเติบโต เปลี่ยนแปลง ก็จะมีราคาที่แปรผันได้สูง
- ใช่ครับ

แต่ถ้าอยู่ในช่วงของ stable หรือ mature มั่นคงแล้ว ราคาก็จะไม่แปรผันสูงมากนัก โอกาสที่ราคาจะวิ่งขึ้นไปอีกมากๆจึงเป็นไปได้น้อยใช่ไหมครับ
- ใช่ครับ ความเป็นไปได้มีน้อยกว่ากิจการที่อยู่ในช่วงเติบโต หรือ กำลังมีการเปลี่ยนแปลง

Re: สอบถามเรื่องเหตุผลที่ขายหุ้นครับ...-_-??)

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 31, 2013 9:58 pm
โดย dome@perth
เข้ามาอ่าน ครับ

Re: สอบถามเรื่องเหตุผลที่ขายหุ้นครับ...-_-??)

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 31, 2013 10:04 pm
โดย chatchai
สินทรัพย์บางประเภท มูลค่าก็ขึ้นอยู่กับใครเป็นเจ้าของ

อาคารพาณิชย์ริมถนนในตลาด ถ้าใครต้องการที่พักอาศัยคงให้มูลค่าน้อยกว่าคนที่ต้องการทำเลค้าขาย

Re: สอบถามเรื่องเหตุผลที่ขายหุ้นครับ...-_-??)

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 01, 2013 12:00 am
โดย AleAle
Plant เขียน: 2.ขายเมื่อปัจจัยต่างๆในตัวธุรกิจได้เปลี่ยนแปลงไป ไม่ต้องสนใจราคาที่วิ่งขึ้นมา
สำหรับข้อ2 ปกติแล้วเราจะขายก็ต่อเมื่อปัจจัยพื้นฐานต่างๆ ที่ว่านั้น มันเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ทำให้ธุรกิจนั้นๆ มันแย่ลง
กระทบกับ Value ของกิจการในทางลบ และมันก็ผิดจากเหตุผลที่เราใช้ในการตัดสินใจลงทุนในตอนแรกนะครับ

ดังนั้นในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงแล้วราคาวิ่งขึ้นนั้น (คาดว่าคนส่วนใหญ่มองว่าดี) อันนี้เราก็คงต้องเอาปัจจัยนั้นมาวิเคราะห์มูลค่าของเราใหม่อีกที ว่าสำหรับเราแล้วมันดีหรือไม่ดี มากน้อยแค่ไหนครับ

Re: สอบถามเรื่องเหตุผลที่ขายหุ้นครับ...-_-??)

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 01, 2013 10:03 am
โดย BeSmile
Plant เขียน:
BeSmile เขียน:mos ที่ผมเข้าใจคือ ถ้าราคาตลาด 5 บาท ถ้าผมซื้อได้ที่ 4 บาท มี mos ประมาณ 20%
ตรงจุดนี้ผมไม่เข้าใจครับ คุณ "BeSmile" คือถ้าราคาตลาดเสนอขายที่ 5 บาท
เราก็ต้องซื้อที่ 5 บาทไม่ใช่หรือครับ แล้วเราจะซื้อที่ 4 บาทได้ยังไงอะครับ...-_-??)

ราคาตลาด ขอแก้ไขเป็น ราคาที่เราประเมิน ณ ปัจจุบัน ครับ
เพราะฉะนั้น ราคาตลาด อาจสูงกว่าหรือ ต่ำกว่าราคาประเมินของเรา ณ ปัจจุบันได้ครับ
ถ้าสูงกว่า หรือ ใกล้เคียง ก็ควรรอ เพื่อซื้อครับ


BeSmile เขียน:ข้อ 1 ถ้าประเมิน 10 บาท ผมคงขายไปแถว 10-12 บาทแล้ว ให้คนที่ประเมิน 20 บาทมาซื้อไป
แล้วหลังจากขายไปแล้วเป็นยังไงบ้างครับ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของคุณ "BeSmile"
ราคาปรับลงมาที่เราประเมิน หรือว่ามันวิ่งขึ้นไปแล้วไม่กลับมาเลยอะครับ

หลังจากขายไปแล้ว ผมไม่เคยสนใจอีกครับ ก็รอจนกว่า มูลค่าจะกลับมาน่าสนใจ
BeSmile เขียน:ข้อ 2 ถ้าปัจจัยเปลี่ยน ทำให้มูลค่าบริษัทเปลี่ยนไป ต่ำกว่าราคาปัจจุบัน ก็คงขาย

ถ้าปัจจัยเปลี่ยนไปในทางที่ดีกว่าเดิม ก็ ประเมินเพื่อหามูลค่าใหม่
ถ้าปัจจัยเปลี่ยนไปทางด้านดี แล้วเราประเมินใหม่เรื่อยๆ มันก็จะกลายเป็นราคาที่เราคาดหวังใหม่เรื่อยๆเลยหรือเปล่าครับ เหมือนกับที่ผมเห็นโบรคต่างๆมักจะปรับราคาเป้าหมาย
เวลามีข่าวอะไรใหม่ๆใช่หรือไม่ครับ...-_-??)

ในคำถาม มีคำตอบครับ :D

ขอบคุณที่กรุณาตอบคำถามผมครับ....^^)

Re: สอบถามเรื่องเหตุผลที่ขายหุ้นครับ...-_-??)

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 01, 2013 11:17 am
โดย PrasertsakK
Plant เขียน:คือผมสงสัยในตำราที่ได้เรียน ได้อ่านมาครับ ว่า vi จะประเมินราคาที่เหมาะสม แล้วซื้อที่ราคาต่ำ
กว่าที่ประเมินได้(มีmos) แต่เวลาขายผมกลับเจอ 2 แบบครับ คือ
1.ขายเมื่อราคาเต็มหรือเกินมูลค่าของหุ้นไปแล้ว ก็คือมากกว่าที่เราประเมินไว้ กับ
2.ขายเมื่อปัจจัยต่างๆในตัวธุรกิจได้เปลี่ยนแปลงไป ไม่ต้องสนใจราคาที่วิ่งขึ้นมา

ผมเลยสงสัยว่า 2 ทฤษฎีนี้มันขัดแย้งกันหนะครับ แล้วช่วงนี้หุ้นก็ขึ้นเกินมูลค่าดีจริงๆ
และมีหลายคนเริ่มลังเลว่าจะขายไม่ขายดี(รวมผมด้วย...^^) เลยอยากจะให้พี่ที่ผ่านร้อน
ผ่านหนาวในหนทางของvi มาแล้วได้พูดถึง 2 ทฤษฎีนี้ให้เด็กใหม่อย่างผมและอีกหลายๆ
ได้เข้าใจและนำไปศึกษาหาแนวทางของตนเองต่อๆไปครับ ขอความกรุณาด้วยครับ
ขอบคุณครับ...^^)
ผมคิดว่าทั้งสองวิธีมีปัญหาในบางส่วนครับ
อย่างข้อ 1 ปัญหาก็คือเราไม่มีทางรู้ว่าอารมณ์ของตลาดจะดีต่อเนื่องนานแค่ไหน อาจจะ 1 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี หรือหลายปี ถ้าเราขายไปเลย เราก็จะเสียโอกาสในการทำกำไรที่ควรจะได้ไปพอสมควรเลย แถมเราก็ไม่รู้ว่าที่เราประเมินว่า 10 บาทในตอนแรก คือราคาที่ถูกต้องหรือเปล่าก็ไม่รู้ นั้นคือ พอราคาขึ้นมา 20 บาท เราก็ไม่แน่ใจว่ามันเกินมูลค่าไปมากขนาดไหน ถ้าเราขาย ราคาอาจจะขึ้นต่อไปอีกยาวนาน หรือว่า อาจจะลงมาเหมือนที่เราคิดก็ได้ ซึ่งมันยากที่จะบอก แต่การขายเลยก็มีข้อดีอย่างหนึ่งครับคือ เราได้กำไรแน่ ๆ (ประมาณว่าสบายใจดี)

ส่วนของ 2 : ก็มีปัญหาว่า เมื่อเราขายเมื่อตัวธุรกิจเปลี่ยน เราขายไม่ทันเมื่อกิจการเปลี่ยนจริง ๆ นั้นคือ ถ้าเราจะใช้วิธีนี้ เราต้องมีความสามารถประเมินคุณภาพของกิจการให้เร็วกว่าคนอื่นได้สองสามก้าว (นั้นคือปัญหาครับ เพราะ เราอาจจะไม่มีความสามารถนี้)

จากประสพการณ์จริง ผมซื้อ MCS ทุนประมาณ 3 บาท ราคาขึ้นมา 10 บาท เพื่อนแนะนำว่าขายเพราะว่าดูมันเกินมูลค่ามากไปแล้ว(ซื้อมาด้วยกัน) แต่ผมคิดว่ากิจการไม่ได้เปลี่ยนอะไร แถมยังคิดว่ากิจการน่าจะมีอัตตรากำไรเพิ่มขึ้นจากมาตราฐานใหม่ที่จะได้รับ แถมทุนเราก็ถูกมาก ถือไปเรื่อยก็ไม่เสียหายอะไร วันดีคืนดี ราคาขยับลงมา เราก็รู้สึกว่าดีจัง ถ้าลงมาเยอะ ๆ จะซื้อเพิ่มไปอีก แต่พองบออก พื้นฐานที่เคยคิดว่าดี ก็มีคนมาบอกเรามากมายว่ามันห่วยอย่างนั้นอย่างนี้ ราคาก็ไหลลงมา แล้วผมก็เริ่มทำตัวไร้สติ T T ซื้อเพิ่มบาง ขายบาง งง ๆ กับตัวเองไปหมด

ปัจจุบันพยายามใช้วิธีการดูแบบองค์รวม คือ ดูว่าตัวที่เราถืออยู่กับตัวที่เราจะซื้อ(watching list)ตัวไหนดีกว่ากัน โดยให้คะแนนในมุมต่าง ๆ ทั้งเชิงคุณภาพแล้วปริมาณ ออกมาเป็นตัวเลข โดยตัวwatching list ต้องมีคะแนนสูงกว่าอย่างน้อย 10 % ถึงทำการสลับตัว
แต่ปัญหาของวิธีนี้ก็มีตรงที่ ในสภาวะแบบนี้ watching list ของผมมันมีคะแนนต่ำเตี้ย แถม หุ้นที่ถือคะแนนก็เริ่มต่ำลงต่ำลง แม้บางตัวจะเข้ากฎของตัวเอง ก็ทำใจซื้อไม่ได้ แถมผมเลยต้องตั้งกฎเพิ่มว่า ถ้าจะซื้อ จะมีคะแนนขั้นต่ำไปด้วย เลยทำให้ผมเริ่มไปใช้ข้อ 1 บาง เพื่อเพิ่มความสบายใจ

Re: สอบถามเรื่องเหตุผลที่ขายหุ้นครับ...-_-??)

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 01, 2013 12:17 pm
โดย Plant
picatos เขียน:ประเด็นที่ผมต้องการสื่อที่สุด คือ มูลค่าที่ประเมินได้มันไม่ได้มีค่าๆ เดียว การที่คุณ Plant คิดว่ามันมีค่าๆ หนึ่งที่เป็น เลยทำให้เกิดความสำคัญผิดในการขายหุ้น...

ศาสตร์ VI เป็นศาสตร์ที่พูดถึงการซื้อหุ้น ให้ซื้อในราคาที่ แม้ว่าจะเป็น Worst Case แล้วก็ยังมีส่วนเผื่อความปลอดภัย (MoS) พูดในทางสถิติก็คือ มูลค่าที่เราประเมินได้ ที่ระดับความเชื่อมั่น 99.9% ว่ามูลค่าที่อาจเป็นไปได้มากกว่าค่านี้ แล้วเราซื้อต่ำมันในราคาที่ต่ำลงไปอีก

เช่น
ที่ราคา 10 บาท เรามีความความมั่นใจ 99.9% ที่มูลค่าที่แท้จริงจะมากกว่า 10 บาท
ที่ระดับราคา 20 บาท อาจจะอยู่ที่ระดับความมั่นใจ 90% ที่มูลค่าที่แท้จริงจะมากกว่า 20 บาท
ที่ราคา 30 บาท อาจจะอยู่ที่ระดับความมั่นใจ 70% ที่มูลค่าที่แท้จริงจะมากกว่า 30 บาท
เป็นต้น

แม้แต่ราคาที่ 100,000 บาท ก็ยังมีความน่าจะเป็นที่เป็นไปได้ แต่ความเป็นไปได้น้อย... เพราะ ฉะนั้น ในการขาย อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ครับ จึงต้องใช้ศาสตร์อื่นเป็นตัวช่วยในการขาย


เพราะ ว่าสิ่งต่างๆ ไม่เที่ยง มันเลยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นครับ ... อย่าง อิเล็กตรอน บางครั้งเป็นอนุภาค บางครั้งเป็นคลื่น ความน่าจะเป็นที่อิเล็กตรอนที่จะอยู่ที่จุดหนึ่งๆ ก็ไม่แน่ไม่นอน... ดังนั้นมูลค่ากิจการที่เป็นอะไรที่ Abstract กว่าอนุภาคอีกครับ มูลค่ามันแปรผันด้วยระดับความรุนแรงที่สูงกว่ามาก

ที่นี้มาตอบคำถาม...
แปลว่าต้องดูช่วงของกิจการด้วยใช่ไหมครับว่าอยู่ในระดับไหนแล้ว ถ้าอยู่ในช่วงเติบโต เปลี่ยนแปลง ก็จะมีราคาที่แปรผันได้สูง
- ใช่ครับ

แต่ถ้าอยู่ในช่วงของ stable หรือ mature มั่นคงแล้ว ราคาก็จะไม่แปรผันสูงมากนัก โอกาสที่ราคาจะวิ่งขึ้นไปอีกมากๆจึงเป็นไปได้น้อยใช่ไหมครับ
- ใช่ครับ ความเป็นไปได้มีน้อยกว่ากิจการที่อยู่ในช่วงเติบโต หรือ กำลังมีการเปลี่ยนแปลง
แปลว่าสิ่งที่คุณ "picatos" ต้องการจะเน้นย้ำก็คือ ราคาที่เราประเมินมาได้แล้วมี Mos มันเป็นราคาที่เรายอมรับได้ที่จะซื้อใช่ไหมครับ แต่ราคาที่จะขายไม่ใช่ราคาที่เรา
ประเมินออกมาในครั้งแรก เพราะมูลค่าที่แท้จริงเป็นอะไรที่ไม่เที่ยง ไม่สามารถวัดออกมาเป็นค่าตายตัวได้ โอ้ว...เข้าใจลึกซึ้ง!!!เลยครับ ขอบพระคุณมากครับ...^^)

Re: สอบถามเรื่องเหตุผลที่ขายหุ้นครับ...-_-??)

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 01, 2013 12:17 pm
โดย Plant
dome@perth เขียน:เข้ามาอ่าน ครับ
....^^)

Re: สอบถามเรื่องเหตุผลที่ขายหุ้นครับ...-_-??)

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 01, 2013 12:20 pm
โดย Plant
chatchai เขียน:สินทรัพย์บางประเภท มูลค่าก็ขึ้นอยู่กับใครเป็นเจ้าของ

อาคารพาณิชย์ริมถนนในตลาด ถ้าใครต้องการที่พักอาศัยคงให้มูลค่าน้อยกว่าคนที่ต้องการทำเลค้าขาย
อืม....เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากเลยนะครับ เรื่องของมูลค่านี่ ขอบคุณครับ...^^)

Re: สอบถามเรื่องเหตุผลที่ขายหุ้นครับ...-_-??)

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 01, 2013 12:21 pm
โดย Plant
AleAle เขียน:
Plant เขียน: 2.ขายเมื่อปัจจัยต่างๆในตัวธุรกิจได้เปลี่ยนแปลงไป ไม่ต้องสนใจราคาที่วิ่งขึ้นมา
สำหรับข้อ2 ปกติแล้วเราจะขายก็ต่อเมื่อปัจจัยพื้นฐานต่างๆ ที่ว่านั้น มันเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ทำให้ธุรกิจนั้นๆ มันแย่ลง
กระทบกับ Value ของกิจการในทางลบ และมันก็ผิดจากเหตุผลที่เราใช้ในการตัดสินใจลงทุนในตอนแรกนะครับ

ดังนั้นในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงแล้วราคาวิ่งขึ้นนั้น (คาดว่าคนส่วนใหญ่มองว่าดี) อันนี้เราก็คงต้องเอาปัจจัยนั้นมาวิเคราะห์มูลค่าของเราใหม่อีกที ว่าสำหรับเราแล้วมันดีหรือไม่ดี มากน้อยแค่ไหนครับ
เข้าใจมากขึ้นเลยครับ ขอบคุณมากครับ...^^)

Re: สอบถามเรื่องเหตุผลที่ขายหุ้นครับ...-_-??)

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 01, 2013 12:25 pm
โดย Plant
BeSmile เขียน:
Plant เขียน:
BeSmile เขียน:mos ที่ผมเข้าใจคือ ถ้าราคาตลาด 5 บาท ถ้าผมซื้อได้ที่ 4 บาท มี mos ประมาณ 20%
ตรงจุดนี้ผมไม่เข้าใจครับ คุณ "BeSmile" คือถ้าราคาตลาดเสนอขายที่ 5 บาท
เราก็ต้องซื้อที่ 5 บาทไม่ใช่หรือครับ แล้วเราจะซื้อที่ 4 บาทได้ยังไงอะครับ...-_-??)

ราคาตลาด ขอแก้ไขเป็น ราคาที่เราประเมิน ณ ปัจจุบัน ครับ
เพราะฉะนั้น ราคาตลาด อาจสูงกว่าหรือ ต่ำกว่าราคาประเมินของเรา ณ ปัจจุบันได้ครับ
ถ้าสูงกว่า หรือ ใกล้เคียง ก็ควรรอ เพื่อซื้อครับ


BeSmile เขียน:ข้อ 1 ถ้าประเมิน 10 บาท ผมคงขายไปแถว 10-12 บาทแล้ว ให้คนที่ประเมิน 20 บาทมาซื้อไป
แล้วหลังจากขายไปแล้วเป็นยังไงบ้างครับ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของคุณ "BeSmile"
ราคาปรับลงมาที่เราประเมิน หรือว่ามันวิ่งขึ้นไปแล้วไม่กลับมาเลยอะครับ

หลังจากขายไปแล้ว ผมไม่เคยสนใจอีกครับ ก็รอจนกว่า มูลค่าจะกลับมาน่าสนใจ
BeSmile เขียน:ข้อ 2 ถ้าปัจจัยเปลี่ยน ทำให้มูลค่าบริษัทเปลี่ยนไป ต่ำกว่าราคาปัจจุบัน ก็คงขาย

ถ้าปัจจัยเปลี่ยนไปในทางที่ดีกว่าเดิม ก็ ประเมินเพื่อหามูลค่าใหม่
ถ้าปัจจัยเปลี่ยนไปทางด้านดี แล้วเราประเมินใหม่เรื่อยๆ มันก็จะกลายเป็นราคาที่เราคาดหวังใหม่เรื่อยๆเลยหรือเปล่าครับ เหมือนกับที่ผมเห็นโบรคต่างๆมักจะปรับราคาเป้าหมาย
เวลามีข่าวอะไรใหม่ๆใช่หรือไม่ครับ...-_-??)

ในคำถาม มีคำตอบครับ :D

ขอบคุณที่กรุณาตอบคำถามผมครับ....^^)
ขอบคุณครับ...^^)

Re: สอบถามเรื่องเหตุผลที่ขายหุ้นครับ...-_-??)

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 01, 2013 12:47 pm
โดย Plant
PrasertsakK เขียน:ผมคิดว่าทั้งสองวิธีมีปัญหาในบางส่วนครับ
อย่างข้อ 1 ปัญหาก็คือเราไม่มีทางรู้ว่าอารมณ์ของตลาดจะดีต่อเนื่องนานแค่ไหน อาจจะ 1 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี หรือหลายปี ถ้าเราขายไปเลย เราก็จะเสียโอกาสในการทำกำไรที่ควรจะได้ไปพอสมควรเลย แถมเราก็ไม่รู้ว่าที่เราประเมินว่า 10 บาทในตอนแรก คือราคาที่ถูกต้องหรือเปล่าก็ไม่รู้ นั้นคือ พอราคาขึ้นมา 20 บาท เราก็ไม่แน่ใจว่ามันเกินมูลค่าไปมากขนาดไหน ถ้าเราขาย ราคาอาจจะขึ้นต่อไปอีกยาวนาน หรือว่า อาจจะลงมาเหมือนที่เราคิดก็ได้ ซึ่งมันยากที่จะบอก แต่การขายเลยก็มีข้อดีอย่างหนึ่งครับคือ เราได้กำไรแน่ ๆ (ประมาณว่าสบายใจดี)
ตรงจุดนี้ผมใช้วิธีคำนวนย้อนกลับครับ คือเวลาผมประเมินราคาหุ้นผมจะใช้ PE ที่ต้องการ เช่น ใช้ PE 15 แล้วได้ราคามา 10 บาท ก็ขื้อให้ถูกกว่า 10 บาท
แต่ถ้ามันขึ้นไปถึง 20 บาท ผมจะคำนวนย้อนกลับว่า ณ ราคานี้ ถ้ากำไรเท่าเดิม PE จะได้เท่าไร แล้วเรามองว่ามันสูงไปหรือเปล่า??
กับอีกแบบนึงคือ ยึด PE 15 เท่าเดิมแล้วคำนวนหากำไร/หุ้น ว่าบริษัทจะสามารถทำได้แบบที่คำนวนหรือเปล่าในอนาคตหนะครับ...^^)
PrasertsakK เขียน:ส่วนของ 2 : ก็มีปัญหาว่า เมื่อเราขายเมื่อตัวธุรกิจเปลี่ยน เราขายไม่ทันเมื่อกิจการเปลี่ยนจริง ๆ นั้นคือ ถ้าเราจะใช้วิธีนี้ เราต้องมีความสามารถประเมินคุณภาพของกิจการให้เร็วกว่าคนอื่นได้สองสามก้าว (นั้นคือปัญหาครับ เพราะ เราอาจจะไม่มีความสามารถนี้)
ตรงส่วนนี้ผมยังไม่เคยเจอครับ แต่จะพยายามศึกษาและเรียนรู้ต่อไปครับ...^^)
PrasertsakK เขียน:จากประสพการณ์จริง ผมซื้อ MCS ทุนประมาณ 3 บาท ราคาขึ้นมา 10 บาท เพื่อนแนะนำว่าขายเพราะว่าดูมันเกินมูลค่ามากไปแล้ว(ซื้อมาด้วยกัน) แต่ผมคิดว่ากิจการไม่ได้เปลี่ยนอะไร แถมยังคิดว่ากิจการน่าจะมีอัตตรากำไรเพิ่มขึ้นจากมาตราฐานใหม่ที่จะได้รับ แถมทุนเราก็ถูกมาก ถือไปเรื่อยก็ไม่เสียหายอะไร วันดีคืนดี ราคาขยับลงมา เราก็รู้สึกว่าดีจัง ถ้าลงมาเยอะ ๆ จะซื้อเพิ่มไปอีก แต่พองบออก พื้นฐานที่เคยคิดว่าดี ก็มีคนมาบอกเรามากมายว่ามันห่วยอย่างนั้นอย่างนี้ ราคาก็ไหลลงมา แล้วผมก็เริ่มทำตัวไร้สติ T T ซื้อเพิ่มบาง ขายบาง งง ๆ กับตัวเองไปหมด

ปัจจุบันพยายามใช้วิธีการดูแบบองค์รวม คือ ดูว่าตัวที่เราถืออยู่กับตัวที่เราจะซื้อ(watching list)ตัวไหนดีกว่ากัน โดยให้คะแนนในมุมต่าง ๆ ทั้งเชิงคุณภาพแล้วปริมาณ ออกมาเป็นตัวเลข โดยตัวwatching list ต้องมีคะแนนสูงกว่าอย่างน้อย 10 % ถึงทำการสลับตัว
แต่ปัญหาของวิธีนี้ก็มีตรงที่ ในสภาวะแบบนี้ watching list ของผมมันมีคะแนนต่ำเตี้ย แถม หุ้นที่ถือคะแนนก็เริ่มต่ำลงต่ำลง แม้บางตัวจะเข้ากฎของตัวเอง ก็ทำใจซื้อไม่ได้ แถมผมเลยต้องตั้งกฎเพิ่มว่า ถ้าจะซื้อ จะมีคะแนนขั้นต่ำไปด้วย เลยทำให้ผมเริ่มไปใช้ข้อ 1 บาง เพื่อเพิ่มความสบายใจ
ผมก็เริ่มงงๆกับความเห็นของคุณ "Prasertsakk" แล้วเหมือนกันครับ(ป่อย!!) 555+
แต่พอจับประเด็นได้ว่าการที่เราจะซื้อเพิ่มเพราะราคามันลงต่ำกว่าที่ประเมิน ต้องมั่นใจก่อนว่าสิ่งที่เราคิดว่าดีมันดีต่อธุรกิจจริงๆ ไม่ใช่เรามองว่าดีอยู่คนเดียวแต่คนอื่น
เขามองว่าไม่ดีและมีผลต่อธุรกิจในทางที่ไม่ดีด้วย ตัว MCS ผมไม่เคยวิเคราะห์ครับเลยไม่รู้เป็นยังไง...^^)

ปกติเวลาผมลงทุน ผมจะใช้แนวทางของ ปีเตอร์ลินซ์ครับ โดยแบ่งหุ้นที่เราจะลงทุนออกมาว่าอยากลงทุนในหุ้นเติบโต หุ้นแข็งแกร่ง หุ้นโตช้า
หุ้นวัฐจักร หุ้นทรัพย์สินมาก หุ้น Turnaround อย่างละกี่%ของเงินลงทุนทั้งหมดหนะครับ ดังนั้นมันจึงมี Limit ในการซื้อหุ้นแต่ละตัวแต่ละกลุ่มตาม
จำนวนเงินทุนครับ และเวลาจะเปลี่ยนการถือหุ้นก็จะมีหลักของมันที่เราตั้งไว้แล้วครับ ขอแชร์ไอเดียการลงทุนบ้างนะครับ ขอบคุณครับ...^^)

ปล. แต่ผมก็ลงทุนอยู่แค่ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มเติบโต กับกลุ่มแข็งแกร่งเท่านั้นแหละครับ กลุ่มอื่นๆผมไม่สันทัด...^^)

Re: สอบถามเรื่องเหตุผลที่ขายหุ้นครับ...-_-??)

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 01, 2013 1:47 pm
โดย เบี้ยว
เข้ามาอ่านและได้ความรู้เพิ่มเติมมากเลยครับ :)
โดยส่วนตัวมุมมองเรื่องมูลค่าและการขายหุ้น คุยกันได้ตลอดแบบไม่มีข้อสรุปเลยครับ เพราะ มูลค่าค่อนข้างเป็นนามธรรมและต่างคนต่างประเมิน ไม่น่าจะเหมือนกันยกเว้นลอกกัน :oops: ส่วนวิธีการขายก็แล้วแต่อีก บางคนเห็นกำไรตั้งแต่ตอนซื้อ มีจุดขายในใจแล้วก่อนเคาะขวา ก็ว่ากันไป ส่วนบางคนทำงานหนักมากตอนเลือกหุ้น เพราะหวังจะเข้าไปมีส่วนร่วมของกิจการที่จะเติบโตได้หลายๆปี ก็ไม่ขายง่ายๆจนกว่ากิจการจะพลิกไปในทางที่เลวร้ายถาวร ไม่ใช่ชั่วคราว อย่างอาจารย์นิเวศน์ก็เคยว่าไว้ในงาน set in the city ปลายปีที่แล้ว อ.ก็บอกว่า ถือมันมาระยะหนึ่งได้กำไร 3-4 เท่าใจก็อยากขาย แต่มันขายไม่ได้ (ไม่รู้เพราะอะไร จารย์ไม่ได้พูด) เอาไปเอามาทนถือมันก็ขึ้นมา 6-7 เท่าไปเรื่อยๆ จากที่ฟังหลายๆท่านก็พอจะเห็นว่า การเลือกหุ้น วิธีการลงทุน ของแต่ละคนมันต่างกัน จึงทำให้มีจุดขาย จุดซื้อ และการประเมินมูลค่าที่ต่างกัน แต่ทุกคนก็สามารถประสบความสำเร็จได้เหมือนกัน บนวิธีที่แตกต่าง ขอให้มีความเข้าใจและเชี่ยวชาญในวิธีการนั้นจริงๆ คหสต น่ะครับ

Re: สอบถามเรื่องเหตุผลที่ขายหุ้นครับ...-_-??)

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 01, 2013 11:23 pm
โดย Plant
เบี้ยว เขียน:เข้ามาอ่านและได้ความรู้เพิ่มเติมมากเลยครับ :)
โดยส่วนตัวมุมมองเรื่องมูลค่าและการขายหุ้น คุยกันได้ตลอดแบบไม่มีข้อสรุปเลยครับ เพราะ มูลค่าค่อนข้างเป็นนามธรรมและต่างคนต่างประเมิน ไม่น่าจะเหมือนกันยกเว้นลอกกัน :oops: ส่วนวิธีการขายก็แล้วแต่อีก บางคนเห็นกำไรตั้งแต่ตอนซื้อ มีจุดขายในใจแล้วก่อนเคาะขวา ก็ว่ากันไป ส่วนบางคนทำงานหนักมากตอนเลือกหุ้น เพราะหวังจะเข้าไปมีส่วนร่วมของกิจการที่จะเติบโตได้หลายๆปี ก็ไม่ขายง่ายๆจนกว่ากิจการจะพลิกไปในทางที่เลวร้ายถาวร ไม่ใช่ชั่วคราว อย่างอาจารย์นิเวศน์ก็เคยว่าไว้ในงาน set in the city ปลายปีที่แล้ว อ.ก็บอกว่า ถือมันมาระยะหนึ่งได้กำไร 3-4 เท่าใจก็อยากขาย แต่มันขายไม่ได้ (ไม่รู้เพราะอะไร จารย์ไม่ได้พูด) เอาไปเอามาทนถือมันก็ขึ้นมา 6-7 เท่าไปเรื่อยๆ จากที่ฟังหลายๆท่านก็พอจะเห็นว่า การเลือกหุ้น วิธีการลงทุน ของแต่ละคนมันต่างกัน จึงทำให้มีจุดขาย จุดซื้อ และการประเมินมูลค่าที่ต่างกัน แต่ทุกคนก็สามารถประสบความสำเร็จได้เหมือนกัน บนวิธีที่แตกต่าง ขอให้มีความเข้าใจและเชี่ยวชาญในวิธีการนั้นจริงๆ คหสต น่ะครับ
....^^)

ขอบคุณครับ...^^)

Re: สอบถามเรื่องเหตุผลที่ขายหุ้นครับ...-_-??)

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.พ. 02, 2013 2:09 pm
โดย PrasertsakK
Plant เขียน:
PrasertsakK เขียน:ผมคิดว่าทั้งสองวิธีมีปัญหาในบางส่วนครับ
อย่างข้อ 1 ปัญหาก็คือเราไม่มีทางรู้ว่าอารมณ์ของตลาดจะดีต่อเนื่องนานแค่ไหน อาจจะ 1 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี หรือหลายปี ถ้าเราขายไปเลย เราก็จะเสียโอกาสในการทำกำไรที่ควรจะได้ไปพอสมควรเลย แถมเราก็ไม่รู้ว่าที่เราประเมินว่า 10 บาทในตอนแรก คือราคาที่ถูกต้องหรือเปล่าก็ไม่รู้ นั้นคือ พอราคาขึ้นมา 20 บาท เราก็ไม่แน่ใจว่ามันเกินมูลค่าไปมากขนาดไหน ถ้าเราขาย ราคาอาจจะขึ้นต่อไปอีกยาวนาน หรือว่า อาจจะลงมาเหมือนที่เราคิดก็ได้ ซึ่งมันยากที่จะบอก แต่การขายเลยก็มีข้อดีอย่างหนึ่งครับคือ เราได้กำไรแน่ ๆ (ประมาณว่าสบายใจดี)
ตรงจุดนี้ผมใช้วิธีคำนวนย้อนกลับครับ คือเวลาผมประเมินราคาหุ้นผมจะใช้ PE ที่ต้องการ เช่น ใช้ PE 15 แล้วได้ราคามา 10 บาท ก็ขื้อให้ถูกกว่า 10 บาท
แต่ถ้ามันขึ้นไปถึง 20 บาท ผมจะคำนวนย้อนกลับว่า ณ ราคานี้ ถ้ากำไรเท่าเดิม PE จะได้เท่าไร แล้วเรามองว่ามันสูงไปหรือเปล่า??
กับอีกแบบนึงคือ ยึด PE 15 เท่าเดิมแล้วคำนวนหากำไร/หุ้น ว่าบริษัทจะสามารถทำได้แบบที่คำนวนหรือเปล่าในอนาคตหนะครับ...^^)
การประเมินโดยใช้ PE นี้ผมว่ามันดูเหมือนง่าย จริง ๆ ไม่ง่ายเลยครับ เช่น เราบอกว่าหุ้นตัวนี้ PE เหมาะสมควรจะ 15 แต่ปัญหาคือ PE 15 นี้มันมาได้อย่างไง บางคนดูภาพรวมอุตสหกรรมบาง บางคนเปรียบเทียบกับการเติบโตบาง เช่น บริษัทเติบโต 15% PE 15 ถือว่าไม่แพง แล้วการที่มันไม่แพง เรามีเกรณ์อย่างไงในการตัดสิน แล้วเกรณ์ที่เราตัดสินมันถูกต้องมากแค่ไหน อันนี้มันบอกยากจริง ๆ สำหรับอาจารย์หลาย ๆ ท่าน จะเห็นว่าเขาจะใช้ PE ในการประเมิน แต่ผมคิดว่ามันมีขบวนการที่ซับซ้อนกว่านั้น จะเห็นว่าแม้จะมีหุ้น PE ไม่แพงมาก มีคนบอกว่าอัตตราเติบโตค่อนข้างสูง แต่อาจารย์หลายท่าน ก็ไม่เห็นจะซื้อหุ้นตัวนั้นเลย ซึ่งผมคิดว่า การประเมินโดยใช้ PE ยังเป็นศิลปะขั้นสูงที่ผมยังไม่ถึงครับ

Plant เขียน:
PrasertsakK เขียน:จากประสพการณ์จริง ผมซื้อ MCS ทุนประมาณ 3 บาท ราคาขึ้นมา 10 บาท เพื่อนแนะนำว่าขายเพราะว่าดูมันเกินมูลค่ามากไปแล้ว(ซื้อมาด้วยกัน) แต่ผมคิดว่ากิจการไม่ได้เปลี่ยนอะไร แถมยังคิดว่ากิจการน่าจะมีอัตตรากำไรเพิ่มขึ้นจากมาตราฐานใหม่ที่จะได้รับ แถมทุนเราก็ถูกมาก ถือไปเรื่อยก็ไม่เสียหายอะไร วันดีคืนดี ราคาขยับลงมา เราก็รู้สึกว่าดีจัง ถ้าลงมาเยอะ ๆ จะซื้อเพิ่มไปอีก แต่พองบออก พื้นฐานที่เคยคิดว่าดี ก็มีคนมาบอกเรามากมายว่ามันห่วยอย่างนั้นอย่างนี้ ราคาก็ไหลลงมา แล้วผมก็เริ่มทำตัวไร้สติ T T ซื้อเพิ่มบาง ขายบาง งง ๆ กับตัวเองไปหมด

ปัจจุบันพยายามใช้วิธีการดูแบบองค์รวม คือ ดูว่าตัวที่เราถืออยู่กับตัวที่เราจะซื้อ(watching list)ตัวไหนดีกว่ากัน โดยให้คะแนนในมุมต่าง ๆ ทั้งเชิงคุณภาพแล้วปริมาณ ออกมาเป็นตัวเลข โดยตัวwatching list ต้องมีคะแนนสูงกว่าอย่างน้อย 10 % ถึงทำการสลับตัว
แต่ปัญหาของวิธีนี้ก็มีตรงที่ ในสภาวะแบบนี้ watching list ของผมมันมีคะแนนต่ำเตี้ย แถม หุ้นที่ถือคะแนนก็เริ่มต่ำลงต่ำลง แม้บางตัวจะเข้ากฎของตัวเอง ก็ทำใจซื้อไม่ได้ แถมผมเลยต้องตั้งกฎเพิ่มว่า ถ้าจะซื้อ จะมีคะแนนขั้นต่ำไปด้วย เลยทำให้ผมเริ่มไปใช้ข้อ 1 บาง เพื่อเพิ่มความสบายใจ
ผมก็เริ่มงงๆกับความเห็นของคุณ "Prasertsakk" แล้วเหมือนกันครับ(ป่อย!!) 555+
แต่พอจับประเด็นได้ว่าการที่เราจะซื้อเพิ่มเพราะราคามันลงต่ำกว่าที่ประเมิน ต้องมั่นใจก่อนว่าสิ่งที่เราคิดว่าดีมันดีต่อธุรกิจจริงๆ ไม่ใช่เรามองว่าดีอยู่คนเดียวแต่คนอื่น
เขามองว่าไม่ดีและมีผลต่อธุรกิจในทางที่ไม่ดีด้วย ตัว MCS ผมไม่เคยวิเคราะห์ครับเลยไม่รู้เป็นยังไง...^^)

ปกติเวลาผมลงทุน ผมจะใช้แนวทางของ ปีเตอร์ลินซ์ครับ โดยแบ่งหุ้นที่เราจะลงทุนออกมาว่าอยากลงทุนในหุ้นเติบโต หุ้นแข็งแกร่ง หุ้นโตช้า
หุ้นวัฐจักร หุ้นทรัพย์สินมาก หุ้น Turnaround อย่างละกี่%ของเงินลงทุนทั้งหมดหนะครับ ดังนั้นมันจึงมี Limit ในการซื้อหุ้นแต่ละตัวแต่ละกลุ่มตาม
จำนวนเงินทุนครับ และเวลาจะเปลี่ยนการถือหุ้นก็จะมีหลักของมันที่เราตั้งไว้แล้วครับ ขอแชร์ไอเดียการลงทุนบ้างนะครับ ขอบคุณครับ...^^)

ปล. แต่ผมก็ลงทุนอยู่แค่ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มเติบโต กับกลุ่มแข็งแกร่งเท่านั้นแหละครับ กลุ่มอื่นๆผมไม่สันทัด...^^)
ขอโทษจริง ๆ ครับที่ผมเขียนไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไร (พูดก็ไม่ค่อยรู้เรื่องครับ 55+ (และกำลังหัดให้ดีขึ้นอยู่ครับ)) ประเด็นที่คุณ Plant จับได้ถูกต้องแล้วครับ ถ้าเราลงทุนนานขนาดหนึ่ง เราจะพบเห็นเหตุการณ์หนึ่งคือ ราคาหุ้นที่เราซื้อ(เพราะคิดว่ามันถูก มันดี) มันวิ่งสวนทางกับอารมณ์ตลาด ปัญหาก็คือ เราจะทำอย่างไงดี ซึ่งทางเลือกก็คงมีไม่มาก คือ 1.ถือไว้เพราะเห็นว่าเราคิดถูกอยู่แล้ว แต่ก็เสียว ๆ เลยไม่ทำอะไร 2.ซื้อเพิ่ม เพราะว่า ไม่ว่ามองอย่างไงเหตุผลที่เราซื้อก็ถูก ขนาด 10 บาทยังซื้อ แล้ว ราคาลงมา 7 บาท มีเหตุผลอะไรที่เราจะไม่ซื้อ 3.ขายสะ เพราะว่า พื้นฐานอาจจะเปลี่ยนแล้ว และตลาดรู้ก่อนเรา

สำหรับ MCS ในตอนนั้น ผมมีความรู้สึกแบบที่ 1 ผสมกับแบบที่ 2 (คือง่าย ๆ ว่าคิดว่าตัวเองคิดถูก PE ก็ 10กว่าเอง อัตตาการเติบโตก็ 10 กว่า ปั่นผลก็เยอะ ทุนเราก็ถูก ตลาดมันคิดผิดแน่ ๆ ) แต่พอผลประกอบการออกมาไม่ดีเหมือนที่คาด เหตุผลที่ดีทั้งหลายมันก็หายไป อะไรประมาณนี้ละครับ บทเรียนนี้ทำให้ผมคิืดว่า เราจะประมาทฝีมือนายตลาดไม่ได้เลย และต้องทบทวนเหตุผลของเรามากขึ้น เมื่อนายตลาดคิดต่างกับเราครับ

Re: สอบถามเรื่องเหตุผลที่ขายหุ้นครับ...-_-??)

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.พ. 02, 2013 5:44 pm
โดย maymekung
อย่าลืมดูให้แน่ชัดคับว่า สิ่งที่คิดว่าขึ้นมาจนเกินมูลค่า คือราคาหุ้นที่เราถือจริงๆ ไม่ใช่เป็นเพราะเราเห็นว่า ตลาดแพง จึงเกิด bias ว่าหุ้นเราแพงไปด้วย

Re: สอบถามเรื่องเหตุผลที่ขายหุ้นครับ...-_-??)

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.พ. 02, 2013 6:40 pm
โดย Plant
PrasertsakK เขียน:การประเมินโดยใช้ PE นี้ผมว่ามันดูเหมือนง่าย จริง ๆ ไม่ง่ายเลยครับ เช่น เราบอกว่าหุ้นตัวนี้ PE เหมาะสมควรจะ 15 แต่ปัญหาคือ PE 15 นี้มันมาได้อย่างไง บางคนดูภาพรวมอุตสหกรรมบาง บางคนเปรียบเทียบกับการเติบโตบาง เช่น บริษัทเติบโต 15% PE 15 ถือว่าไม่แพง แล้วการที่มันไม่แพง เรามีเกรณ์อย่างไงในการตัดสิน แล้วเกรณ์ที่เราตัดสินมันถูกต้องมากแค่ไหน อันนี้มันบอกยากจริง ๆ สำหรับอาจารย์หลาย ๆ ท่าน จะเห็นว่าเขาจะใช้ PE ในการประเมิน แต่ผมคิดว่ามันมีขบวนการที่ซับซ้อนกว่านั้น จะเห็นว่าแม้จะมีหุ้น PE ไม่แพงมาก มีคนบอกว่าอัตตราเติบโตค่อนข้างสูง แต่อาจารย์หลายท่าน ก็ไม่เห็นจะซื้อหุ้นตัวนั้นเลย ซึ่งผมคิดว่า การประเมินโดยใช้ PE ยังเป็นศิลปะขั้นสูงที่ผมยังไม่ถึงครับ
สำหรับผมตัว PE เกิดจากแบบนี้ครับ ถ้าผมใช้ PE 15 หมายความว่า ผมจะลงทุนโดย
ได้เงินลงทุนคืนมาภายใน 15 ปี หรือผลตอบแทนปีละ 6.67% ซึ่งผมจะใช้เทียบกับว่า
ถ้าเราเอาเงินไปฝากธนาคารไว้เฉยๆจะได้ 3% ต่อปี (ฝากประจำ 1 ปี) โดยไม่เสี่ยงอะไรเลย
(จริงๆต้องบอกว่าเสี่ยงต่ำกว่าลงทุนในหุ้น) ได้ 3% แต่ถ้าลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงก็ต้องขอ
เพิ่มขึ้น ตามโจทย์คือ PE 15 แปลว่าขอเพิ่มขึ้นตอบแทนความเสี่ยงจากการลงทุนอีก 3%
จึงได้ผลตอบแทนที่ต้องการ 6% หรือ PE 15 ครับ...^^)

แล้วผมก็จะใช้ PE 15 เป็นเกณฑ์ในการลงทุนในแต่ละหุ้น ว่า ถ้าใช้ PE 15 กับราคาปัจจุบัน
เข้าสูตร PE = ราคา/กำไร ย้ายข้างแปลงสมการเป็น กำไร=ราคา/PE ก็จะได้ว่าบริษัท
นั้นต้องทำกำไรได้เท่าไรเป็นจำนวนเท่าๆกันตลอด 15 ปี ถึงจะคุ้มกับราคาที่เราจะจ่ายไป
ณ ตอนนี้ครับ ถ้าสูงเกินไปก็ไม่ซื้อ ถ้าน้อยก็ซื้อครับ(ไม่รู้คนอื่นคิดเหมือนผมหรือเปล่านะครับ...-_-)......^^)
PrasertsakK เขียน:ขอโทษจริง ๆ ครับที่ผมเขียนไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไร (พูดก็ไม่ค่อยรู้เรื่องครับ 55+ (และกำลังหัดให้ดีขึ้นอยู่ครับ)) ประเด็นที่คุณ Plant จับได้ถูกต้องแล้วครับ ถ้าเราลงทุนนานขนาดหนึ่ง เราจะพบเห็นเหตุการณ์หนึ่งคือ ราคาหุ้นที่เราซื้อ(เพราะคิดว่ามันถูก มันดี) มันวิ่งสวนทางกับอารมณ์ตลาด ปัญหาก็คือ เราจะทำอย่างไงดี ซึ่งทางเลือกก็คงมีไม่มาก คือ 1.ถือไว้เพราะเห็นว่าเราคิดถูกอยู่แล้ว แต่ก็เสียว ๆ เลยไม่ทำอะไร 2.ซื้อเพิ่ม เพราะว่า ไม่ว่ามองอย่างไงเหตุผลที่เราซื้อก็ถูก ขนาด 10 บาทยังซื้อ แล้ว ราคาลงมา 7 บาท มีเหตุผลอะไรที่เราจะไม่ซื้อ 3.ขายสะ เพราะว่า พื้นฐานอาจจะเปลี่ยนแล้ว และตลาดรู้ก่อนเรา

สำหรับ MCS ในตอนนั้น ผมมีความรู้สึกแบบที่ 1 ผสมกับแบบที่ 2 (คือง่าย ๆ ว่าคิดว่าตัวเองคิดถูก PE ก็ 10กว่าเอง อัตตาการเติบโตก็ 10 กว่า ปั่นผลก็เยอะ ทุนเราก็ถูก ตลาดมันคิดผิดแน่ ๆ ) แต่พอผลประกอบการออกมาไม่ดีเหมือนที่คาด เหตุผลที่ดีทั้งหลายมันก็หายไป อะไรประมาณนี้ละครับ บทเรียนนี้ทำให้ผมคิืดว่า เราจะประมาทฝีมือนายตลาดไม่ได้เลย และต้องทบทวนเหตุผลของเรามากขึ้น เมื่อนายตลาดคิดต่างกับเราครับ
ตามประสบการณ์ของผม ผมเคยทำแต่แบบที่ 1 ครับ ยังไม่เคยซื้อเพิ่มหรือขาย แต่ที่เคย
ขายเพราะวิเคราะห์ผิดไป แล้วรู้ตัวก่อนจึงรีบขายครับ ยังไงก็จะลองศึกษาวิธีที่ 2
ดูครับ...^^)

ปล. คุณ "PrasertsakK" ก็เขียนเข้าใจไม่ยากนักหรอกครับ...^^)

Re: สอบถามเรื่องเหตุผลที่ขายหุ้นครับ...-_-??)

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.พ. 02, 2013 6:43 pm
โดย Plant
maymekung เขียน:อย่าลืมดูให้แน่ชัดคับว่า สิ่งที่คิดว่าขึ้นมาจนเกินมูลค่า คือราคาหุ้นที่เราถือจริงๆ ไม่ใช่เป็นเพราะเราเห็นว่า ตลาดแพง จึงเกิด bias ว่าหุ้นเราแพงไปด้วย
ขอบคุณ คุณ "maymekung" ที่ย้ำเตือนครับ...^^)

Re: สอบถามเรื่องเหตุผลที่ขายหุ้นครับ...-_-??)

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 03, 2013 2:46 pm
โดย PrasertsakK
Plant เขียน: สำหรับผมตัว PE เกิดจากแบบนี้ครับ ถ้าผมใช้ PE 15 หมายความว่า ผมจะลงทุนโดย
ได้เงินลงทุนคืนมาภายใน 15 ปี หรือผลตอบแทนปีละ 6.67% ซึ่งผมจะใช้เทียบกับว่า
ถ้าเราเอาเงินไปฝากธนาคารไว้เฉยๆจะได้ 3% ต่อปี (ฝากประจำ 1 ปี) โดยไม่เสี่ยงอะไรเลย
(จริงๆต้องบอกว่าเสี่ยงต่ำกว่าลงทุนในหุ้น) ได้ 3% แต่ถ้าลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงก็ต้องขอ
เพิ่มขึ้น ตามโจทย์คือ PE 15 แปลว่าขอเพิ่มขึ้นตอบแทนความเสี่ยงจากการลงทุนอีก 3%
จึงได้ผลตอบแทนที่ต้องการ 6% หรือ PE 15 ครับ...^^)

แล้วผมก็จะใช้ PE 15 เป็นเกณฑ์ในการลงทุนในแต่ละหุ้น ว่า ถ้าใช้ PE 15 กับราคาปัจจุบัน
เข้าสูตร PE = ราคา/กำไร ย้ายข้างแปลงสมการเป็น กำไร=ราคา/PE ก็จะได้ว่าบริษัท
นั้นต้องทำกำไรได้เท่าไรเป็นจำนวนเท่าๆกันตลอด 15 ปี ถึงจะคุ้มกับราคาที่เราจะจ่ายไป
ณ ตอนนี้ครับ ถ้าสูงเกินไปก็ไม่ซื้อ ถ้าน้อยก็ซื้อครับ(ไม่รู้คนอื่นคิดเหมือนผมหรือเปล่านะครับ...-_-)......^^)
ผมอยากให้ระวังการประเมินแบบนี้นิดหน่อยครับ เพราะว่า การประเมินแบบนี้อยู่ในสมมุติฐานที่ว่ากำไรไม่ได้แย่ลงเลยในอีก15 ปีข้างหน้า(หรือว่ากำไรดีขึ้น) แต่ถ้าเกิดปีใดปีหนึ่งเกิดพลิกกำไรลดลง อาจจะทำให้การลงทุนเสียหายได้ ยังไงก็อย่าลืมหาปัจจัยเชิงคุณภาพมาสนับสนุนสมมุติฐานด้วยนะครับ

อีกอย่าง ในช่วงตลาดหมีช่วง 2008-2009 หุ้นเติบโต 15-20% PE 10 เท่า ปั่นผล 5% ยังมีหลาย ๆ คน บอกว่าหุ้นตัวนี้แพงเลยครับ การตั้งว่า PE 15 เป็นเหตุผลของการลงทุนที่คุ้มค่านั้น อย่าลืมกลับมาถามตัวเองด้วยนะครับว่า 15 นี้มันมาจากไหน ทำไมต้องเป็น 15 ด้วยละครับ

^ ^

Re: สอบถามเรื่องเหตุผลที่ขายหุ้นครับ...-_-??)

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 17, 2013 8:32 pm
โดย Plant
PrasertsakK เขียน:
Plant เขียน: สำหรับผมตัว PE เกิดจากแบบนี้ครับ ถ้าผมใช้ PE 15 หมายความว่า ผมจะลงทุนโดย
ได้เงินลงทุนคืนมาภายใน 15 ปี หรือผลตอบแทนปีละ 6.67% ซึ่งผมจะใช้เทียบกับว่า
ถ้าเราเอาเงินไปฝากธนาคารไว้เฉยๆจะได้ 3% ต่อปี (ฝากประจำ 1 ปี) โดยไม่เสี่ยงอะไรเลย
(จริงๆต้องบอกว่าเสี่ยงต่ำกว่าลงทุนในหุ้น) ได้ 3% แต่ถ้าลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงก็ต้องขอ
เพิ่มขึ้น ตามโจทย์คือ PE 15 แปลว่าขอเพิ่มขึ้นตอบแทนความเสี่ยงจากการลงทุนอีก 3%
จึงได้ผลตอบแทนที่ต้องการ 6% หรือ PE 15 ครับ...^^)

แล้วผมก็จะใช้ PE 15 เป็นเกณฑ์ในการลงทุนในแต่ละหุ้น ว่า ถ้าใช้ PE 15 กับราคาปัจจุบัน
เข้าสูตร PE = ราคา/กำไร ย้ายข้างแปลงสมการเป็น กำไร=ราคา/PE ก็จะได้ว่าบริษัท
นั้นต้องทำกำไรได้เท่าไรเป็นจำนวนเท่าๆกันตลอด 15 ปี ถึงจะคุ้มกับราคาที่เราจะจ่ายไป
ณ ตอนนี้ครับ ถ้าสูงเกินไปก็ไม่ซื้อ ถ้าน้อยก็ซื้อครับ(ไม่รู้คนอื่นคิดเหมือนผมหรือเปล่านะครับ...-_-)......^^)
ผมอยากให้ระวังการประเมินแบบนี้นิดหน่อยครับ เพราะว่า การประเมินแบบนี้อยู่ในสมมุติฐานที่ว่ากำไรไม่ได้แย่ลงเลยในอีก15 ปีข้างหน้า(หรือว่ากำไรดีขึ้น) แต่ถ้าเกิดปีใดปีหนึ่งเกิดพลิกกำไรลดลง อาจจะทำให้การลงทุนเสียหายได้ ยังไงก็อย่าลืมหาปัจจัยเชิงคุณภาพมาสนับสนุนสมมุติฐานด้วยนะครับ

อีกอย่าง ในช่วงตลาดหมีช่วง 2008-2009 หุ้นเติบโต 15-20% PE 10 เท่า ปั่นผล 5% ยังมีหลาย ๆ คน บอกว่าหุ้นตัวนี้แพงเลยครับ การตั้งว่า PE 15 เป็นเหตุผลของการลงทุนที่คุ้มค่านั้น อย่าลืมกลับมาถามตัวเองด้วยนะครับว่า 15 นี้มันมาจากไหน ทำไมต้องเป็น 15 ด้วยละครับ

^ ^
ขอบคุณที่เตือนผมครับคุณ "PrasertsakK" และขอโทษที่มาตอบช้าครับ ผมไม่ได้เข้ามาอ่านกระทู้
ตัวเองเลย...^^)
ครับมันมีความเสี่ยงเรื่องของกำไรไม่ได้เท่ากันตลอด 15 ปีจริงๆครับ แต่ในความเป็นจริงแล้วผมวิเคราะห์
ธุรกิจในด้านต่างๆก่อนที่จะมาประเมินราคาครับ แล้วก็การประเมินกำไรที่ผมบอกว่าจะต้องเท่ากันไปตลอด
15 ปี นั้นผมใช้ค่าเฉลี่ยของกำไรย้อนหลัง 5 ปีครับ และผมดูกำไรรายไตรมาสย้อนหลังอีก 3 ปีด้วยครับ
ผมถึงใช้วิธีนี้ครับ(ที่ไม่ย้อนหลังรายไตรมาส 5 ปีเพราะขี้เกียจทำต่อครับ แย่จริงๆเลยเรา!!!)

และที่ถามว่า 15 มาจากไหนก็จากที่ผมอธิบายครับ ว่าถ้าเราเอาเงินไปฝากธนาคารเฉยๆจะได้ 3% ต่อปี
แต่เรานำมาลงทุนมความเสี่ยงจึงบวกผลตอบแทนที่ต้องการเพิ่ม 2เท่า คือ 6% นำ 100/6 จะได้ 16.67
ก็คือ pe ประมาน 15 จะได้ผลตอบแทน 100/15 = 6.67% ต่อปีหนะครับ...^^)

ปล. จริงๆแล้วผมต้องการแค่ 5% ต่อปีครับ นั่นคือ 100/5 pe ที่ผมใช้จริงๆคือ 20 ครับ...^^)