Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

ความเข้าใจผิดข้อใหญ่ที่สุดก็คือ มีการเชื่อกันในวงกว้างว่า การหาเงินด้วยการเทรดหุ้น เป็นเรื่องง่าย
คนพากันคิดว่า พวกเค้าสามารถเลิกทำงานและมานั่งเทรดหุ้นอย่างเดียวได้
สุดท้ายแล้ว คนส่วนใหญ่จะต้องพบกับความผิดหวัง – Stuart Walton

ถ้าเราคิดว่าตัวเองเป็นมือใหม่เสมอ ผมว่าเราจะเก่งขึ้น
สมัยผมเป็นมือใหม่หัดลงทุนได้สัก3ปี

ผมน่าจะเก่งกว่าตอนนี้
ผมอยากเป็นมือใหม่ครับเพราะความกระหายอยากรู้ ความขยันเหนือกว่ามือเก่ามาก
แต่ถ้าเข้ามามือเปล่าหวังว่าตลาดหาเงินง่ายๆ

เหมือนเข้าสนามรบ มือเปล่า
ไปสู้กับคนถือดาบไปจนคนถือปืนเรเซอร์

Stay Hungry, Stay Foolish ครับ

ว่าแล้วก็ไปซื้อแอปเปิ้ลมากินซักลูกดีกว่า

วันก่อนผมไปนั่งร้านเกาเหลาหม้อไฟ เด็กนักศึกษาผู้หญิง ยังคุยเรื่องหุ้นเลยครับ
ไม่ใช่แค่วันเดียว เจอหลายครั้งละ

หนังสือหุ้นในร้านหนังสือ พิมพ์ออกมาหลายเจ้ามากมายหยั่งกะหนังสือธรรมมะ

คนรู้จักผมก็เริ่มสนใจหุ้น ทั้งที่แต่ก่อนเราแนะนำก็ไม่เห็นสนใจ
พอตลาดคึกคักก็เข้ามา คิดว่าเงินได้มาง่ายๆ ความรู้ไม่มี หุ้นบางตัว
ยังไม่รู้เลยว่าทำธุรกิจเกี่ยวกับอะไร เล่นแต่หุ้นปั่น หุ้นซิ่ง เล่นตามข่าว
เราอยากจะแนะนำ กลัวจะเจ็บ เค้าก็ไม่ค่อยจะฟัง

เอามาเล่าสู่กันฟัง ผมคิดว่าหลายๆท่านน่าจะเจอเหตุการณ์แบบผมแน่ๆ เลย

ถึงเวลา PANIC ขึ้นมาก็คง...

ถ้าเพื่อนๆคนไหนไปเตือนนักลงทุนมือใหม่มากๆ แล้วอึดอัดกับการที่เตือนแล้วก็ไม่ฟัง

อยากบอกว่าเดี๋ยวจะมีอีกช่วงนึงครับ ที่จะอึดอัดกว่านี้อีก

คือตอนนี้หุ้นติดดอยเรียบร้อยแล้ว คราวนี้อยากฟังแล้วด้วย ทีนี้แหละเพื่อนๆเตรียมตัวเป็นหมอหุ้น คอยแก้ คอยรักษาพอร์ตให้เค้าด้วยนะครับ

ถ้าไม่อยากเจอ ก็อย่าไปยุ่งกับเค้ามากตอนนี้ ไม่งั้นเตรียมเหนื่อยต่อครับ

มันเป็นเรื่องแปลกที่เวลาตลาดร้อนแรง คนที่เข้ามาใหม่กลับคิดว่ามันจะต้องขึ้นไปอีก สามารถทำกำไรได้ง่าย ทั้ง ๆ ที่มือใหม่ควรจะเข้ามาตอนที่ตลาดตกต่ำมีแต่ของถูก แต่มันก็เป็นไปแล้วจริง ๆ ..........

leky เขียน:มันเป็นเรื่องแปลกที่เวลาตลาดร้อนแรง คนที่เข้ามาใหม่กลับคิดว่ามันจะต้องขึ้นไปอีก สามารถทำกำไรได้ง่าย ทั้ง ๆ ที่มือใหม่ควรจะเข้ามาตอนที่ตลาดตกต่ำมีแต่ของถูก แต่มันก็เป็นไปแล้วจริง ๆ ..........

ที่จริงไม่แปลกเลยครับ เป็นธรรมชาติ เป็นพฤติกรรมของมนุษย์ธรรมดาๆนี่แหละ

ช่วง โรตีบอย Krispy Kreme หรือกระทั่ง เฟอร์บี้ ก็เหมือนหุ้น IPO เปี๊ยบเลย

ร้านอาหารที่โปรโมทออกรายการทีวี ลูกค้าจะแน่นขึ้นทันตา ก็เหมือนหุ้นที่เชียร์ออกสื่อ

เวลาไปต่างจังหวัด ต่างประเทศ ที่ไม่คุ้นเคย คนเราก็จะเลือกทานอาหารจากร้านที่คนเยอะๆ ก็เหมือนเวลาเลือกซื้อหุ้นที่ไม่ได้ศึกษาเชิงลึก ก็มักจะเลือกจากหุ้นที่มีปริมาณซื้อขายหนาแน่น

มันต่างกันหรือเหมือนกันกันแน่ครับ

ที่ผ่านมาไม่นานก็ทองคำ ปีก่อนก็มีปรากฎการณ์แบบนี้

สำหรับผม ๆ จะไม่แนะนำใครให้ซื้อขายหุ้นเป็นอันขาดครับ ถ้าไม่ได้เกิดจากเค้าสนใจและมาถามผมเอง เพราะจากที่เคยเห็นมา ได้ไม่คุ้มเสียเอาซะเลย

ถ้าตลาดแย่เราแนะนำให้ซื้อแล้วมันตกต่อ ทำไปทำมาเราจะเครียดไปด้วย ถ้าโชคไม่ดีก็อาจจะถูกหาว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ขาดทุน เค้าอาจจะไม่พูดออกมาให้ได้ยิน แต่อาจจะคิดในใจ

ถ้าตลาดดีแล้วเรายั้ง ๆ เค้าไว้ แล้วตลาดขึ้นไปต่อ ก็อาจจะโดนกล่าวหาว่ามาขัดลาภเสียอีก

เรื่องเงินทองไม่เข้าใครออกใครครับ บางทีเราแนะนำด้วยความหวังดีอาจจะกลายเป็นผลร้ายกับเราครับ

น่านดิครับ
พอมือใหม่มาถามว่าหุ้นตัวนี้ควรซื้อไหม เราก็ตอบกลับว่าปีหน้ามีกำไรรองรับที่ราคาเท่าไร ซี่งจริงแล้วไม่มีเลย ตอบด้วยความเป็นห่วง หลังจากนั้นอีก 2 สัปดาห์ หุ้นขึ้นไปอีก 30% ก็ไม่เคยกลับมาถามเราอีกเลย

ชอบชาลี มังเกอร์ หุ้นส่วนสำคัญของบัฟเฟตต์ที่บอกว่าเขาสนใจที่สุดที่จะอยากรู้ว่าจะขาดทุนจากหุ้นตัวที่ซื้อไปอย่างไร มากกว่าจะกำไรได้อย่างไร

ทุกวันนี้พอร์ตก็เติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่ใช่พอร์ตที่เติบโตสูงสุด แต่ถ้าวันนี้ตลาดตกไป 1-2 ปี และพื้นฐานของบริษัทไม่เปลี่ยน ก็ยังคิดว่าพอร์ตจะเติบโตต่อเนื่องได้ครับ

leky เขียน: ถ้าตลาดดีแล้วเรายั้ง ๆ เค้าไว้ แล้วตลาดขึ้นไปต่อ ก็อาจจะโดนกล่าวหาว่ามาขัดลาภเสียอีก

เจอมากับตัว เร็ว ๆ นี้ เลยครับ

---------------------------------------------------------------

ต่อไปนี้ ก็เลย ทำแบบนี้ ดีกว่า

leky เขียน: สำหรับผม ๆ จะไม่แนะนำใครให้ซื้อขายหุ้นเป็นอันขาดครับ ถ้าไม่ได้เกิดจากเค้าสนใจและมาถามผมเอง

ขอบคุณมากครับ

แนะนำบทความนี้ของ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เลยครับ

http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=55025

ช่วงนี้ก็คล้ายๆกับปรากฏการ "ดอกทิวลิป" ซึ่งผมเป็นห่วงมากกับมือใหม่ที่เข้ามาในตลาดหุ้นด้วยเหตุผลที่ว่าราคาหุ้นกำลังขึ้น

เธอเริ่มเเล้วล่ะครับ เมื่อครู่มาเริ่มปรึกษาเเล้วจากกำไรที่ได้มา 1800 ในสองวัน แต่ซื้อเพิ่มเข้าไปเยอะกว่าเดิมทำให้ทุนสูงตาม แล้วราคาหุ้นหักหัวลง จากเขียวกลายเป็นแดง
แต่อย่างน้อยเธอก็เริ่มรู้จัก BID OFFER และรู้ว่าราคาไหนจะได้ทันที และซื้อได้ทันทีครับ

อ่อนซ่อนศิลป์ เขียน:เธอเริ่มเเล้วล่ะครับ เมื่อครู่มาเริ่มปรึกษาเเล้วจากกำไรที่ได้มา 1800 ในสองวัน แต่ซื้อเพิ่มเข้าไปเยอะกว่าเดิมทำให้ทุนสูงตาม แล้วราคาหุ้นหักหัวลง จากเขียวกลายเป็นแดง
แต่อย่างน้อยเธอก็เริ่มรู้จัก BID OFFER และรู้ว่าราคาไหนจะได้ทันที และซื้อได้ทันทีครับ

ซื้อรูปแบบปิรามิดตัวกลับอันลือลั่น ที่จริงฮิตกันมาก่อนในวงการแชร์ลูกโซ่นะครับ

อ่อนซ่อนศิลป์ เขียน:เธอเริ่มเเล้วล่ะครับ เมื่อครู่มาเริ่มปรึกษาเเล้วจากกำไรที่ได้มา 1800 ในสองวัน แต่ซื้อเพิ่มเข้าไปเยอะกว่าเดิมทำให้ทุนสูงตาม แล้วราคาหุ้นหักหัวลง จากเขียวกลายเป็นแดง
แต่อย่างน้อยเธอก็เริ่มรู้จัก BID OFFER และรู้ว่าราคาไหนจะได้ทันที และซื้อได้ทันทีครับ

ผมว่าน่าเห็นใจนะ บางครั้งที่ผมได้ยินเรื่องพวกนี้ ถึงผมจะรู้สึกว่ามันเป็นเพราะความโลภ แต่ผมก็อดเห็นใจไม่ได้ทุกที บางทีเพื่อนคุณอาจจะไม่ขาดทุนก็ได้นะครับ ที่ผมรู้สึกเห็นใจเพราะบางที มันเป็นเพราะเค้าไม่รู้ครับ

สมัยก่อนตอนที่ผมยังนั่งเล่นที่ห้องค้า เคยเจอคุณป้าคนหนึ่ง แกคงไม่มีเพื่อนคุย แกกำลังนั่งดูจอแล้วหันมาบ่นกับผมว่า แต่ก่อนแกไม่เคยเล่นหุ้น แต่เพื่อนชวน ตอนเล่นอยู่กับบ้านก็ขาดทุน แต่พอยิ่งมานั่งในห้องค้ายิ่งขายทุนหนัก เพราะบางครั้งการซื้อขายถูกชักนำจากคนรอบข้าง ประมาณอารมณ์เข้าไปเก็งกำไร

แกหันมาถามผมว่าหุ้น "มดเอ็กซ์" เป็นไง ตอนนั้นเท่าที่ผมจำได้ผมมองไปที่จอ หุ้นตัวนี้มันกำลังแดง ผมนึกในใจว่า "คุณป้าครับอย่ายุ่งเลย" แต่ผมก็ไม่ได้ตอบอะไรไปมากเพราะก็ไม่ได้รู้จักหุ้นตัวนี้มากนัก สุดท้ายแกก็พูดมาว่า "ป้าเพิ่งรับเข้าไป นี่มันไหลลงอีกแล้ว"

แต่ก่อนไม่มีการเทรดทางอินเตอร์เน็ต ในห้องค้าจะเห็นรูปแบบนักลงทุนหลาย ๆ แบบมารวมกัน พวกเล่นเทคนิค พวกขี้โม้ พวกหลีมาร์ พวกชอบยุเพื่อนให้ซื้อตาม พวกซื้อขายเงียบ ๆ การเก็งกำไรที่เราชอบพูดถึงกัน ถ้าไม่เคยไปนั่งที่ห้องค้าจะไม่มีทางเห็นภาพว่ามันเป็นอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหุ้นในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งขึ้นมายกแผง "นักเกร็งกำไร" บางคนที่นั่งดูอยู่ที่หน้ากระดาน ก็พร้อมจะมองหาหุ้นตัวที่ไม่ขึ้นแล้วตะโกนข้ามไปบอกมาร์คู่ใจให้เคาะขวา แบบคนในห้องค้าได้ยินกันถ้วนหน้า ยามหุ้นแดงแบบรุนแรง "นักเกร็งกำไร" บางคนก็พร้อมที่จะตะโกนไปบอกมาร์ให้ล้างพอร์ต

แต่ก่อนเวลามีคนมาถามผมเรื่องการเริ่มเล่นหุ้น ผมก็ชอบแนะนำว่านอกจากหาความรู้แล้ว ถ้ามีเวลาให้ไปนั่งเล่นห้องค้าเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในภาคสนามดู จะได้รู้ว่านักลงทุนในตลาดแต่ละกลุ่มเป็นยังไง เน้นห้องค้าที่คนเยอะ ๆ ถ้าเป็นย่านเยาวราชอะไรทำนองนั้นได้ยิ่งดี จะได้เข้าใจว่าคนที่เค้าเก็งกำไรเค้ามีวีถึชีวิตยังไง พวกแห่ตามเค้าเป็นยังไง ทำไมเวลาหุ้นลงคนถึง panic แบบสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ผมเองยอมรับว่าการเข้าไปนั่งเล่นในห้องค้าในสมัยนั้นจะว่าไปมันก็ทำให้ผมเข้าใจเรื่องบางอย่าง เป็นประสบการณ์ที่ไม่มีในตำรา ใครก็สอนไม่ได้

WaayVI เขียน:ใครก็เคยเป็นมือใหม่ทั้งนั้น

คงประมาณเดียวกับว่า นโยบายรถคันแรกทำรถติด

ทั้งๆที่ ทุกคนก็ขับรถเหมือนกัน ออกทีหลังดันผิด คนที่ขับอยู่ทุกวันไม่เห็นไปใช้รถสาธารณะมาเป็นสิบปี แต่ดันหาว่าคนออกรถคนอื่นทำให้ติด

รถแต่ละคันเท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าขับอย่างไร ถนนมีแค่ไหน มาก่อนไม่ใช่ว่าเป็นเจ้าของถนน จะถูกยกเว้นไม่ถูกนับเป็นเหตุให้รถติด มันดูตลก

ฉันใด คนลงทุนทุกคนก็คือนักลงทุน ตลาดมีเท่านี้ เข้าช้าเร็วคือนักลงทุนเหมือนกัน เข้ามาแล้วทำไม? ประเทศไทยมีคนลงทุนในตลาดนับเป็นอัตราส่วนก็ยังถือว่าไม่มาก เทียบกับประชากร

ตลาดเติบโต คนมาลงทุนแทนการออม มันเป็น Mega trend ในสถานการณ์ เงินลดค่าลงอย่างรวดเร็วอยู่แล้วโดยธรรมชาติ ส่วนใครจะไม่รู้เรื่อง หรือลงมั่วๆ อันนี้แล้วแต่คน ระยะทางจะพิสูจน์ มีเกิดมีตาย คนเข้าตลาดมันเรื่องปกติ

ถ้าจะมองว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติ นั่นแหละ การมองแบบนั้นต่างหาก คือความไม่ปกติ

อยากให้คิดหลายๆด้านครับ ที่คนบ่นว่ารถออกใหม่ทำให้ติดหมายถึงเค้าไม่อยากให้รัฐบาลช่วยครับ ใครมีเงินอยากซื้อก็ซื้อเอาเอง แฟร์ๆ โดยที่เอาเงินภาษีไปช่วยอย่างอื่นที่มีประโยชน์ร่วมกันในระยะยาวดีกว่า ไม่ใช่เอานโยบายออกมาเพื่อคะแนนเสียง คือมันเหมือนเอาเงินออกมาช่วยคนแค่กลุ่มเดียว คนบางคนเค้าไม่มีเงินดาวน์รถใหม่แทนที่จะช่วยในเรื่องอื่นพวกเค้ากลับไม่ได้อะไรเลยจากนโยบายอันนี้ซ้ำร้ายรถที่ติดหนักมากกว่าเดิมทำให้พวกเค้าต้องลำบากมากขึ้น

หนึ่งในมือใหม่ที่เข้าตลาดเยอะๆช่วงนี้มีแม่ยายผมคนหนึ่งครับ
ท่านอายุเกือบ60แล้วครับ พอดีแกมาช่วยผมและแฟนเลี้ยงลูก
ในช่วงเวลาว่างแกมักจะเอาหนังสือการลงทุนแนววีไอที่ผมซื้อไว้ เอามานั่งอ่านตลอดในช่วง1-2ปีที่ผ่านมา
แถมช่วงที่เราเปิดรายการทีวีเกี่ยวกับการลงทุน แกก็มักจะมานั่งดูกับพวกเราด้วยความสนใจไม่แพ้พวกเราเลยครับ

จนกระทั่งเมื่อปลายปีที่แล้ว แกถามผมกับแฟนขึ้นมาว่าการลงทุนต้องใช้เงินเยอะไม๊
(ผมว่าตามที่แกศึกษามา แกคงมีคำตอบอยู่ในใจแล้วล่ะครับ)
ผมบอกว่า1-2หมื่นก็เริ่มได้ครับ จากนั้นอีก2-3วันต่อมา แกก็เอาเงินมา1หมื่นเพื่อมาร่วมลงทุนกับเราครับ
ตอนนี้แกก็ยังตั้งใจอ่านหนังสืออยู่ตลอดแล้วก็เปรยกับแฟนผมว่า เสียดายที่แกรู้จักและเข้าใจตลาดหุ้นช้าไป
ไม่งั้นแกคงจะเอาเงินมาออมและลงทุนในตลาดหุ้นไปตั้งนานแล้ว
ผมก็บอกว่าไม่เป็นไรครับ เริ่มต้นตอนนี้ดีกว่าไม่ได้เริ่ม ถ้าเรามีทัศนคติที่ถูกต้องกับการลงทุน
ยังไงการเอาเงินมาลงทุนในตลาดหุ้นก็ดีกว่าการเอาเงินไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือยแน่นอนครับ

ผมเป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนคนรอบตัวให้มาลงทุนในตลาดหุ้นมาตลอดครับ
(ตอนนี้ชวนเข้ามาได้4-5คนแล้วครับ) ผมว่าถึงแม้คนส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับตลาดหุ้น
แต่ถ้าเค้าได้เข้ามาสัมผัสและมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับตลาด ยังไงชีวิตบั้นปลายเค้าต้องไม่ลำบากแน่นอนครับ

(แฮ่...เล่าสู่กันฟังเล่นๆครับ )

หน้าเก่าๆ ตอนนี้ เมื่อในอดีตก็เคยเป็นหน้าใหม่
ตราบใดที่มนุษย์ ยังมีการเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ
หน้าใหม่ๆ ก็เกิด ขึ้นได้ทุกวัน ไม่เห็นจะแปลก

เริ่มแล้วครับ กระทู้ตามบอร์ดต่างๆ เริ่มมีการสอนดร.นิเวศน์เรื่องการซื้อหุ้นกันแล้ว

saichon เขียน:หนึ่งในมือใหม่ที่เข้าตลาดเยอะๆช่วงนี้มีแม่ยายผมคนหนึ่งครับ
ท่านอายุเกือบ60แล้วครับ พอดีแกมาช่วยผมและแฟนเลี้ยงลูก
ในช่วงเวลาว่างแกมักจะเอาหนังสือการลงทุนแนววีไอที่ผมซื้อไว้ เอามานั่งอ่านตลอดในช่วง1-2ปีที่ผ่านมา
แถมช่วงที่เราเปิดรายการทีวีเกี่ยวกับการลงทุน แกก็มักจะมานั่งดูกับพวกเราด้วยความสนใจไม่แพ้พวกเราเลยครับ

จนกระทั่งเมื่อปลายปีที่แล้ว แกถามผมกับแฟนขึ้นมาว่าการลงทุนต้องใช้เงินเยอะไม๊
(ผมว่าตามที่แกศึกษามา แกคงมีคำตอบอยู่ในใจแล้วล่ะครับ)
ผมบอกว่า1-2หมื่นก็เริ่มได้ครับ จากนั้นอีก2-3วันต่อมา แกก็เอาเงินมา1หมื่นเพื่อมาร่วมลงทุนกับเราครับ
ตอนนี้แกก็ยังตั้งใจอ่านหนังสืออยู่ตลอดแล้วก็เปรยกับแฟนผมว่า เสียดายที่แกรู้จักและเข้าใจตลาดหุ้นช้าไป
ไม่งั้นแกคงจะเอาเงินมาออมและลงทุนในตลาดหุ้นไปตั้งนานแล้ว
ผมก็บอกว่าไม่เป็นไรครับ เริ่มต้นตอนนี้ดีกว่าไม่ได้เริ่ม ถ้าเรามีทัศนคติที่ถูกต้องกับการลงทุน
ยังไงการเอาเงินมาลงทุนในตลาดหุ้นก็ดีกว่าการเอาเงินไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือยแน่นอนครับ

ผมเป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนคนรอบตัวให้มาลงทุนในตลาดหุ้นมาตลอดครับ
(ตอนนี้ชวนเข้ามาได้4-5คนแล้วครับ) ผมว่าถึงแม้คนส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับตลาดหุ้น
แต่ถ้าเค้าได้เข้ามาสัมผัสและมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับตลาด ยังไงชีวิตบั้นปลายเค้าต้องไม่ลำบากแน่นอนครับ

(แฮ่...เล่าสู่กันฟังเล่นๆครับ )

ดีครับ เข้ามาอย่างถูกวิธี

แต่ช่วงนี้ผมไม่ชวนใครแล้วครับนอกจากจะมา ถามเอง ถ้าเป็นเมื่อ 2 -3 ปีก่อนผมชวนแทบจะทุกคนที่รู้จักเลยครับ
และก็จะแนะนำให้ไปอ่านหนังสือ และดู opp day แค่นี้แหละครับ ถ้าใครไปศึกษาต่อก็จะคุย ถ้าใครไม่ทำก็ไม่คุย
เพราะต้องยอมรับนะครับว่าคนเราไม่เหมือนกันและ ตลาดหุ้นก็ยังมีความเสี่ยงอยู่มาก

ดีครับ ทั้งหนังสือ ทั้งคน มีเยอะๆ
ทุกอย่างเป็นไปตามกรรมอยู่แล้ว

ผมว่าคนเข้ามาใหม่ๆ ก็เป็นแบบนี้แหละ จะมีซักกี่คนที่อ่าน Intelligent Investor จบ แล้วถึงไปเปิดพอร์ต
เดี๋ยวก็มีการพัฒนาขึ้นมาเอง ส่วนที่ไม่พัฒนาก็จะหายไป

หนังสือก็ออกมาเยอะๆ ก็ดี หลายมุมมอง มากบ้างน้อยบ้าง ไม่เป็นไร ไม่ดีก็ชั่งกิโล

คนที่มีประสบการณ์ก็แนะนำตามที่ควร ไม่ใช่คุย ประสบการณ์ที่พลาดก็น่าจะมีกันทุกคน

เพื่อนๆรอบตัวก็เริ่มเข้ามาเยอะขึ้น จากที่มีเราเป็นแกะดำตัวเดียว
แต่พยายามทำตัวโง่ๆไว้ก่อนครับ เวลาเค้าคุยกันก็ไม่ต้องไปร่วมด้วย ของแบบนี้แนะแล้วเค้าดี เสมอตัว แต่ถ้าไม่ดี นี่โดนนินทาแน่ๆ

ไม่มีใครฟังใครหรอก เก่งๆกันทุกคน. แต่ผมว่าคนที่ฟังมากๆจะสำเร็จมากที่สุด

จอม เขียน:เริ่มแล้วครับ กระทู้ตามบอร์ดต่างๆ เริ่มมีการสอนดร.นิเวศน์เรื่องการซื้อหุ้นกันแล้ว

ขำจริงๆกับคนที่จะไปสอน ปรมาจารย์อย่าง ดร นิเวศน์ เรื่องซื้อหุ้น
ช่างไม่เจียม Body จริงๆ

เป็นเรื่องปรกติเมื่อตลาดกระทิงจะมีคนใหม่ๆ เข้ามา แต่สิ่งที่น่ากลัว คือคนคิดว่าเงินจะมาอย่างง่ายๆ ทัศนคติมาเพื่อเก็งกำไรฉาบฉวย บรรยากาศเหมือนตอนประมานปี 38-39 จริงๆ งานเลี้ยงเลิกใครมาที่หลังก็ล้างจาน

Radio เขียน:

จอม เขียน:เริ่มแล้วครับ กระทู้ตามบอร์ดต่างๆ เริ่มมีการสอนดร.นิเวศน์เรื่องการซื้อหุ้นกันแล้ว

ขำจริงๆกับคนที่จะไปสอน ปรมาจารย์อย่าง ดร นิเวศน์ เรื่องซื้อหุ้น
ช่างไม่เจียม Body จริงๆ

เรื่องธรรมดานะครับ ลินช์ก็เคยเล่าว่าโดนสอนมาแล้วเหมือนกัน

จอม เขียน:เริ่มแล้วครับ กระทู้ตามบอร์ดต่างๆ เริ่มมีการสอนดร.นิเวศน์เรื่องการซื้อหุ้นกันแล้ว

จำได้ว่าในบอร์ดดังแห่งหนึ่ง ตอนมีคนเอาบทความเกี่ยวกับงานเลี้ยงไปลง มีคนคอมเม้นท์ว่า ถ้าคิดอย่างนี้ก็เป็นแค่เม่าตัวใหญ่

ดำ เขียน:อย่ามัวแต่ไปห่วงหน้าใหม่นะครับ เวลางานเลี้ยงเลิกขึ้นมาจริงๆ ใช่ว่าหน้าเก่าจะรอดทุกคนนะครับ

ชอบมากมายครับ ประโยคนี้
ตอนนี้กำลังเต้นกันอย่างเมามันส์ ถ้ามีใครซักคนมาถอดปลั๊กออก ไม่รู้ว่าจะมีสภาพเป็นยังไง
ทำให้คิดถึงเมื่อตอนที่ยังเที่ยวผับอยู่ ผมมักจะกลับก่อนตี2 คือก่อนที่ร้านจะหยุดเพลงและเปิดไฟ อาจจะเป็นเพราะว่าเอารถออกมาจากที่จอดรถง่ายกว่า หรือแม้กระทั่งสามารถเรียกแท๊กซี่กลับได้ง่ายกว่า คนที่เคยเที่ยวและไม่ได้เอารถไปเองคงจะรู้ว่าเรียกแท๊กซี่ตอนร้านเลิกมันทรมานมาก และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ผมไม่อยากเห็นสภาพผู้คนตอนเปิดไฟ

การอยู่จนถึงตอนจบ ไม่เห็นจะมีอะไรดีเลย แต่จะรู้ได้ยังไงละว่าใกล้จบแล้ว
บางทีการเลิกก่อนอาจะพลาดอะไรดี ๆ ก็ได้

ประเด็นผมว่าอยู่ที่ใครจะคาดการณ์เวลาออกจากงานเลี้ยง ในช่วงที่สนุกที่สุดได้ และเดินออกจากงานเลี้ยงนั้น(ผมว่ายากมากมายเพราะเราก็ย่อมมีความโลภในตัวกันทุกคนมากน้อยตามแต่ละบุคคล) ดัชนี1200แล้วเอ้ยขึ้นมากแล้วว อาวไป1500แล้วๆๆเอาไงดี1550แล้วออกดีมะ ออกบางส่วนก่อน ..เฮ้ยไป1800ขายหมูอีกเฮ้ย..เซ็งจิต (หวังว่ามันคงถึงนะอิอิ)
เพราะผมก็ยังไ่ม่คิดออกจากงานนี้

ผมว่า คำว่าช่วงนี้มือใหม่เยอะจัง ผมก็เห็นมันมีเพิ่มขึ้นทุกปี
ปีที่แล้วหรือปีก่อน ผมก็ว่ามือใหม่เข้ามาเยอะขึ้น
ผมก็ยังเป็นกังวลอยู่เลยว่า ตามตำราเขาว่าตลาดคงจะเริ่มเป็นขาลงแล้ว
แต่ก็ยังเห็นมันขึ้นมาเรื่อยๆจนถึงตอนนี้

หรือแม้แต่ตอนช่วงหลังซัพไพร์มใหม่ๆ ตอนที่หุ้นเริ่มวิ่งขึ้นมา
ตอนนั้นผมเพิ่งไปงานจิบเบียร์ครั้งแรก
เห็นมีเซียนท่านหนึ่งบอกว่า
"ผมเห็นหน้าใหม่ๆอย่างพวกคุณมางานแบบนี้ แสดงว่าได้เวลาขายแล้ว"
ตอนนั้นผมยังแอบหมั่นไส้เลยว่า เราก็ศึกษามาเหมือนกันนะ ไม่ใช่แมงเม่า
(แต่หารู้ไม่ว่าตัวเองก็แมงเม่าดีๆนี่เอง 555)
ถ้าตอนนั้นหุ้นมันล่วงลงไปอย่างที่เขาว่า
ผมว่าคงมีคนออกมายกย่องว่า ใช่เลยเป็นอย่างที่พี่เขาบอกเลย
หรือไม่ก็เป็นไปตามตำราว่าจริงๆ เพราะคนแห่เข้ามา ก็ถึงเวลาที่ต้องขาย ฯลฯ

หรือเมื่อปีที่แล้ว ถ้าหุ้นมันล่วงลงไปหนักๆ
ก็คงมีคนมาบอกว่า เห็นไหม เป็นไปตามตำราจริงๆ (มีคนแห่เข้ามาในตลาดเยอะขึ้น)

ผมไม่ได้กำลังจะบอกว่าหุ้นมันจะขึ้นไปได้อีก และก็ไม่ได้ว่ามือใหม่ยังมีน้อยอยู่
และผมเองก็เริ่มรู้สึกถึงความหนาวของดอยอยู่เหมือนกัน 555
แต่ประเด็นของผมก็คือ แค่จำนวนมือใหม่ที่เยอะขึ้นอย่างเดียวคงไม่ใช่อินดิเคเตอร์ที่ดีแน่

แต่เอ หรือว่าวันจันทร์นี้งานเลี้ยงจะเลิกแล้ว