มีใครถือหุ้นตัวเดียวมากกว่า 70% ครับ

[chatchai]

ในช่วงไม่น้อยกว่า 10 ปีที่ผ่านมา จะมีช่วงระยะเวลาสั้นๆไม่เกินปีหนึ่งเท่านั้นที่ไม่มีหุ้นเกิน 70%

ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ประมาณ 7 ถึง 8 ปี ผมเคยถือ WG บริษัทเดียวทั้งพอร์ต ถือผ่านวิกฤต Sub Prime

ปัจจุบัน ผมก็มีเพียง 2 บริษัท โดยที่บริษัทหนึ่งสัดส่วนมากกว่า 90% ของพอร์ต ซึ่งถือมานานเกือบจะ 3 ปีแล้ว

เหตุผล คือ หาซื้อหุ้นของบริษัทที่น่าลงทุน ในราคาที่เหมาะสมไม่ได้

[ไพลิน]

อยากได้เหตุผล ?

ส่วนตัวคิดว่าพอร์ตเล็ก
น่าจะทำง่าย

สอง มั่นใจมากก็ถือมาก
แต่ถ้าตลาดยังไม่สนใจ
เราก็จะมีเวลาเก็บนาน
สัดส่วนที่ถือมันก็มากเอง

ประเด็นคือ มั่นใจ นะครับ
เข้าข่ายตีแตก

ตามความเห็นของผม
คือผลตอบแทนน่าสนใจ
ในขณะที่โอกาสแพ้มีน้อย

ซึ่งไม่ได้หมายความว่า
ซื้อแล้วราคาหุ้นต้องขึ้นนะครับ

ผมถือหุ้นตัวนึงอยู่ประมาณ 96% ของพอร์ต (ในพอร์ตมี 11 ตัว)
เหตุผลที่ถือก็ตามของพี่ ส.สลึง เลยครับ
บวกกับปัจจัย catalyst ต่างๆที่ตั้งไว้ตอนนั้นยังไม่เกิดขึ้นสักปัจจัยเลย ก็เลยทยอยเก็บประมาณ 2 สัปดาห์
ปัจจุบันก็ยังถืออยู่เหมือนเดิมครับ(ระยะการถือครอง 5 เดือน) เพราะปัจจัยcatalyst ต่างๆที่ตั้งไว้ยังไม่ถูกปลดล็อค ผมถือว่าเข้าถือเพราะเหตุผลอะไรก็จะออกเพราะเหตุผลนั้นครับ หรือหาตัวที่ดีกว่าเจอ
ps.แอบอิจฉาพี่ฉัตรชัย เพราะผมขายหมูไปตอน 6 บาท

[Holidayman]

ตอนแรกเริ่มจากการ "เล่นหุ้น" เล่นมาก่อนเหตุการ 911 ถือหุ้นหลายตัวมาก ชื้อตามข่าว ถือหุ้นหลายตัวมาก 8 ตัวขึ้นไปไม่มีหลักในการวิเคราะเลย
สรุปขาดทุนไปเละ 8หลักครับ

หลังจากได้มาพบ และเข้ามาอ่านThaiV เมื่อประมาณ 4ปีที่แล้ว
จึงได้เปลียนจากการ เล่นหุ้น มาเป็นการ " ลงทุน " ในกิจการที่เราเข้าใจ ดูอนาคตออก ทำให้ไม่ต้องลงทุนในหลาย บ. ตอนนั้นมีหุ้นอยู่เพียง 2 บ. เท่านั้น ลงใน บ. jas 80% ส่วนอีก 20%ลงในหุ้นปันผล

ส่วนปีที่แล้ว ถืออยู่ตัวเดียวทัง 100% ของเงินที่มี แต่ต้นปีนี้ขายไปหมดแล้วครับ เพราะคิดว่าขึ้นเร็วและแรง เกินเป้าหมายไปพอสมควร.

จริงแล้วในการลงทุนใน บ.เดียว มันมีความเสี่ยงพอสมควร หากเราวิเคาะพลาด ก็จะเสียหายหนัก
แต่ในทางกลับกัน ถ้าถูกต้อง ผลตอบแทนก็จะได้ทั้ง 100%
บ. แต่ละ บ.ที่เราลงซื้อหุ้นลงทุนเราต้องเอาใจใส่ เราต้องตามข่าว ตามดูธุระกิจ ความเปลียนแปลง ประมาณการรายได้ ฯลฯ

และมันเป็นการหนักเกินไปที่ผมจะต้องติดตามหลาย บ. ที่เราเข้าไปลงทุน ประกอบกันผมยังต้องทำงานส่วนตัว มีรายได้ประจำ มีเงินปันผลทุกปี จึงพร้อมที่จะเสี่ยงได้ครับ (พอร์ตไม่ใหญ่โตมากครับ)

ท้ายนี้ต้องขอขอบคุณเป็นอย่างมากมาย ทั้งผู้ก่อตั้ง ละเพื่อนเพื่อนใน ThaiV อีกครั้ง ที่ทำให้ผมเปลี่ยนจาก "นักเล่นหุ้น มาเป็น นักลงทุน" ที่ประสพความสำเร็จในการลงทุน.

[nut776]

ผมครับ ถือตัวเดียวครับ ซีเอ็ด เป็นความชอบส่วนตัวครับ

-------------------------------------
รวยด้วยรัก
http://www.thorfun.com/story/view/URtOR67rWaF3ABtA

ชอบ SE-ED เหมือนกันครับ ไม่รู้ทำไม ส่วนตัวมีความรู้สึกว่าคนเข้าร้านเยอะตลอดเวลา ส่วน Trend ของ E-Book ใจผมยังมองว่าการอ่านหนังสือด้วยวิธีการสัมผัสจากกระดาษจริงๆ ยังไม่น่าจะหมดไปจากโลกง่ายๆ แต่ผมก็ยังไม่เคยซื้อหุ้น SE-ED เลยครับ งงตัวเองเหมือนกัน

มันไม่หมดไป แต่trend มันจะบีบให้ หดหรือไม่โตอะคับ
นึกถึงคน genx geny ที่จะครองโลกต่อไป
เค้าคุ้นเคยกับ internet และ device
สิ่งต่างก็สร้างมา เพื่อตอบสนอง life styleแบบนั้น
ถึงผมจะชอบกระดาษ แต่
ผมรู้ตัวเลยคับ ว่า ต้องถูกบีบให้ปรับตัว
ในไม่ช้านี้ ยิ่ง tablet
penetration มากขึ้นเท่าไหร่
ผมว่า ebook จะมาเร็วขึ้นเท่านั้น
ผมก็ชอบse ed นะแต่ไม่มีสักหุ้น 555

[ส.สลึง]

มาเล่าต่อ

เมื่อตอนหลังขึ้นปีใหม่ เกือบจะจัดหนัก beauty
เหตุผลเพราะ pbv ต่อกว่าค้าปลีกด้วยกัน
ประมาณ 40% และผมคิด fw pe ได้ดูน่าสนใจ

แต่เก็บไปไม่เท่าไหร่ นายตลาดลากราคาขึ้นมา
เลยต้องพับโครงการจัดหนัก
เปลี่ยนเป็นโครงการจัดเบาแทน
แต่ซื้อไปประมาณ 50% ของพอร์ต

จะว่าไปแล้ว เพราะผมพอร์ตเล็กด้วยน่ะครับ

se-ed ก็เคยถือนะครับ ชอบ ผบ. มาก
ร้านก็เข้าไปใช้บริการบ่อย
แต่เพราะกลัว e-book นี่แหละ
แม้แต่ธุรกิจฝึกอบรม ก็กลัวครับ
อนาคตคนคงเรียนออนไลน์กันเยอะขึ้น
ผมยังหัดเล่นดนตรีจาก youtube เลย
โง่ตั้งนาน เมื่อก่อนเล่นไม่ค่อยจะเป็นเพลง

[winview]

ถ้าคิดว่ากระจายความเสี่ยงในหุ้นหลายๆตัว ผมว่าไปหากองทุนน่าจะดีกว่านะ แต่ถ้าอยากจะท้าทายความสามารถตัวเองก็ลองดู

[saichon]

แฮ่...ผมเป็นอีกคนที่ถือตัวเดียว(99เปอร์เซ็นต์ของพอร์ต)มา2ปีกว่าแล้วครับ

ก่อนหน้านั้นถือ3ตัวครับ เหตุที่ตัดสินใจถือตัวเดียวคือเรื่องมูลค่ากิจการ
ที่เราประเมินได้ว่าตัวที่เราถือราคายัง undervalue กว่าตัวอื่นมากพอสมควร,
เป็นกิจการที่เราพอเข้าใจ, ประเมินแล้วความเสี่ยงต่ำ และธุรกิจน่าจะโตไปได้อีกหลายปี

ที่สำคัญคือถ้าผมประเมินถูกต้อง ผมคิดว่าหุ้นตัวนี้จะสามารถเปลี่ยนชีวิตผมได้
แต่หากเราคิดผิด ผมคิดว่าผมขาดทุนก็ไม่เป็นไร
เพราะก่อนหน้านั้นผมกำไรจากตัวหุ้นตัวอื่นมาพอสมควรแล้ว
เมื่อตัดสินใจได้แล้วก็ลองถามความเห็นคุณหมอท่านหนึ่งเกี่ยวกับประเด็นการถือหุ้นตัวเดียว
คุณหมอท่านนั้นบอกว่า "มันเป็นการเพิ่มทั้งความเสี่ยงและความเสียว แต่ความเสี่ยงลดลงได้ด้วยความรู้
และแกก็ทำแบบนั้นบ่อยๆ"
ผมก็เอาซิครับ เหลือแค่ความเสียว เราชอบอยู่แล้ว ฮ่า..

แต่ผมจะทำแบบนี้ครั้งเดียวนี่แหละครับ เพราะตอนนี้ผมไม่มีความจำเป็นต้องเสี่ยงแบบนี้แล้ว
ยังไงก็ต้องปลอดภัยไว้ก่อนเพราะมีเรื่องครอบครัวมาเกี่ยวข้องด้วย
แล้วก็ผมว่าแม้เราจะประเมินมาดียังไงโอกาสที่เราจะพลาดก็มี ฉะนั้นโอกาสหน้าผมคงจะถือซัก3ตัวเป็นอย่างต่ำ
แต่ตอนนี้ขอตัวเดียวอีกซัก2-3ปีครับ

(ปล.ถ้าผมพลาดพี่จขกท.ฝังศพผมให้ด้วยน๊ะครับ เดี๋ยวเพื่อนๆจะเหม็น )

[RAM]

ตอนแรกถือตัวเดียว เกือบ 100 %
ไปๆมาๆ ถือ 4-5 ตัว
ตัวนี้ก็ดีตัวนั้นก็ดี ก็เลยถือไป 4-5 ตัว เลยครับ
ตอนถือตัวเดียวเหมือนนอนไม่หลับคิดมาก
มา 4-5 ตัว นอนหลับสบายครับ

[koh]

ผมครับ ถือตัวเดียวครับ ซีเอ็ด เป็นความชอบส่วนตัวครับ

-------------------------------------
รวยด้วยรัก
http://www.thorfun.com/story/view/URtOR67rWaF3ABtA

ชอบ SE-ED เหมือนกันครับ ไม่รู้ทำไม ส่วนตัวมีความรู้สึกว่าคนเข้าร้านเยอะตลอดเวลา ส่วน Trend ของ E-Book ใจผมยังมองว่าการอ่านหนังสือด้วยวิธีการสัมผัสจากกระดาษจริงๆ ยังไม่น่าจะหมดไปจากโลกง่ายๆ แต่ผมก็ยังไม่เคยซื้อหุ้น SE-ED เลยครับ งงตัวเองเหมือนกัน

แนะนำให้ลอง kindle ดูครับ อาจจะเปลี่ยนใจได้
ผมคุ้นๆว่าเคยอ่านว่ายอดขายหนังสือแบบ ebook ใน amazon นี่แซงหนังสือเล่มไปแล้วครับ
ทุกวันนี้ถ้ามีหนังสือแปลออกมาเป็นภาษาไทย เทียบกับ ebook เป็นภาษาอังกฤษ ผมเลือกที่จะซื้อ ebook แม้ว่าผมอ่านภาษาอังกฤษได้แย่กว่าไทยพอสมควร

มันสะดวกกว่ากันแบบเห็นได้ชัดเลยครับ ไม่ต้องเปลืองที่เก็บ ไม่ต้องกลัวโดนปลวกกิน ไม่ต้องกลัวเก่า สามารถพกหนังสือติดตัวได้เป็นพันเล่ม (รวมกับที่อยู่ใน cloud อีกไม่จำกัด)
แต่ต้องอ่านบน ebook reader เท่านั้นนะครับ มันสบายตาไม่ต่างจากหนังสือเล่มเลย

ปัจจุบันนี้ผมแทบไม่ได้ซื้อหนังสือแปลมาอ่านแล้วครับ ตั้งแต่ซื้อkindleมา สะดวกกว่ากันเยอะครับ ทั้งเบา ทั้งจุ ทั้งมีดิกชันนารี่ในตัว จากคนที่ขี้เกียจอ่านภาษาอังกฤษ กลายเป็นติดใจ แล้วยังหาหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนในแนวทางที่เราชอบได้โดยการsearch โดยไม่ติดเงื่อนไขว่าเป็นเล่มที่ถูกแปลมาแล้วด้วย พบว่าในโลกของหนังสือลงทุน มีอีกหลายๆเล่มมากที่ดีแต่ไม่มีคนแปลครับ

[อินทรีย์ทองแดง]

ทำไมถึงสนใจการถือหุ้นน้อยตัวหรือตัวเดียวล่ะครับ
ทำไมไม่สนใจการถือหุ้นหลายตัว เพราะอีกแง่มุมหนึ่ง
มันคือการที่เราได้เป็นเจ้าของธุรกิจที่หลากหลาย

ในอดีตและปัจจุบัน ผมแอบอิจฉาเจ้าสัวเจริญ เจ้าสัวมีธุรกิจหลากหลาย
แถมแตกเหล่าแตกกอไปเรื่อยๆ โตแล้วแตก แตกแล้วโต
เหมือนยุคหนึ่งของนายห้างเทียม

ผมเองทำธุรกิจๆหนึ่งอยู่ ก็เจริญเติบโตตามสมควร ในขณะเดียวกันก็ศึกษาหาประสบการณ์
ธุรกิจอื่นๆที่น่าสนใจ หวังว่าในสักวันจะได้เป็นเจ้าของในหลายๆกิจการ
ขอยกตัวอย่าง ผักไฮโดร นี่ก็น่าสนใจ มันเหมือนเราเสกมันขึ้นมาได้
ราคาพืชผักมักผันผวนตามsupplyของพืชนั้นๆ ถ้าเราควบคุมมันได้
ให้ออกผลผลิตตามต้องการ เราก็ทำกำไรได้ อันนี้ผมพูดคร่าวๆนะครับ
รายละเอียดความยากง่ายมันมีในตัวมันอยู่

หรือการค้าปลีกในแนวmodern trade ผมยังเห็นว่าเราสามารถจับการค้าปลีกแนวนี้
ยัดใส่ลงไปกิจการในอีกหลายๆประเภทได้ เนื่องงจากผปก.ในธุรกิจนั้นๆ ยังไม่มีใครทำ
หรืออาจจะมีคนลองแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ก็ว่ากันไป

ย้อนกลับมาที่ตัวหุ้น ทุกวันนี้ผมเป็นเจ้าของหุ้นหลักๆอยู่3-4ตัวในพอร์ต
ก็รูสึกเสียใจครับ เสียใจที่มีเงินน้อยเหลือเกิน บริษัทดีๆที่มีอนาคตยาวไกลรออยู่
มีอยู่ในตลาดอยู่ไม่น้อย ผมอยากเป็นเจ้าของมากกว่านี้
หุ้นที่มีอยู่ก็อยากได้เพิ่มเสียเหลือเกิน
ผมว่ามันน่าตื่นเต้นนะครับ กับการได้เป็นเจ้าของบริษัทที่เติบโตปีแล้วปีเล่า
เฝ้ามองบริษัทเติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ผมเสียใจ(อีกแล้ว)ครับ ที่เล่นหุ้นช้าเกินไป เมื่อสิบกว่าปีก่อน เราสามารถซื้อ
รพ.กรุงเทพทั้งบริษัทโดยใช้เงินแค่ราวๆ3000ล้าน ตอนนี้เท่าไหร่ก็...นะ

ครับ ยังไงผมก็ขออนุญาตมองต่างมุมนะครับ

[anubist]

ทำไมถึงสนใจการถือหุ้นน้อยตัวหรือตัวเดียวล่ะครับ
ทำไมไม่สนใจการถือหุ้นหลายตัว เพราะอีกแง่มุมหนึ่ง
มันคือการที่เราได้เป็นเจ้าของธุรกิจที่หลากหลาย

เพราะเราอยากมีผลตอบแทนที่เหนือตลาดไงครับ
การมีผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยมนอกจากต้องถือธุรกิจที่ดีแล้ว
ยังต้องถือเป็นจำนวนที่มากพอจะส่งผลต่อมูลค่าพอร์ตอย่างมีนัยสำคัญด้วย

เช่นกรณีของผม ผมต้องนับหนึ่งใหม่เพราะอยากย้ายมากรุงเทพ เมืองที่เต็มไปด้วยโอกาส
ถ้าผมอยากมีบ้านพร้อมทรัพย์สินที่เพียงพอสำหรับsafety zone
ลำพังแค่ผลตอบแทนจากการลงทุนของเงินเดือนหมื่นนิดๆคงเป็นได้แค่ฝัน
หรือหากรวมการเติบโตเงินเดือนในอนาคตด้วยก็ยังยากลำบาก
เพราะผมยังต้องสร้างครอบครัว ยังต้องส่งเสียบุตรในอนาคต ยังต้องดูแลพ่อแม่ บลาๆ
มีคชจ.มากมายที่จะคอยลดทอนเงินเก็บที่คาดหวัง
พอร์ตการลงทุนคงไม่โตเท่าที่ควร แม้ว่าหุ้นใน3ใน10ของพอร์ตจะให้ผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยม
เพราะมันไม่มีนัยสำคัญต่อพอร์ต
แต่หากถือหุ้น4-5ตัว และ1-2ตัวให้ผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยม พอร์ตคงโตกว่าแบบแรกเยอะครับ

[unnop.t]

โดยส่วนตัวไม่เคยถือเกิน 70% เพราะยอมรับว่ากลัวความเสี่ยงที่เรามองไม่เห็น อย่างที่ฝรั่งบอก you don't know what you don't know เราไม่รู้ว่าเราไม่รู้อะไร

ผมจะถือหุ้นตัวใดตัวหนึ่งเป็นสัดส่วนตามระดับความมั่นใจ และระดับความรู้ของเราเอง ผมคิดว่าถ้าใครจะถือหุ้นตัวเดียว 100% ควรจะมีบันไดหนีไฟเตรียมพร้อมรับเหตุการณ์ เราไม่รู้หรอกว่าเมื่อไหร่เราจะได้ใช้มัน

[kraikria]

มีถือเกิน 70% เหมือนกัน แต่ตอนซื้อมันประมาณ 40-50% เท่านั้น แล้วโตจนเกิน 70% ของ port

ถามว่าทำไมถึงกล้าทำ? จริงๆแล้วไม่ใช่คนมั่นใจอะไรง่ายๆครับ แต่ค่อยๆซื้อจากน้อยๆไม่กี่ % ก่อน จนกระทั่งเราติดตามมากขึ้น มีข้อมูลมากขึ้น รู้ว่าแทบไม่เสี่ยง เราก็ค่อยๆซื้อเพิ่มมากขึ้นเองโดยอัตโนมัติ

ในระหว่างที่ถือ ก็แทบจะหาข้อมูลตลอดเวลาว่าเรามีโอกาสคิดผิดไหม? ซึ่งข้อมูลใหม่ๆกลับแสดงให้เห็นอีกว่าเราคิดถูก คือสามารถประมาณการผลประกอบการได้ค่อนข้างแน่นอน (ผิดไม่เกิน 10%)

แต่ถ้าข้อมูลต่างๆบอกว่าเราอาจจะผิดก็ต้อง พิจารณาว่าจะลดสัดส่วนลงเท่าไหร่ ตามความมั่นใจที่มีครับ

[superboy]

คาราวะ ความเด็ดเดี่ยวครับ

ใจมั่น หนักแน่นแท้

[tnttnt]

ผมครับ ถือตัวเดียวครับ ซีเอ็ด เป็นความชอบส่วนตัวครับ

-------------------------------------
รวยด้วยรัก
http://www.thorfun.com/story/view/URtOR67rWaF3ABtA

me too.

[dome@perth]

เคยถือ 70-80% ตัวหนึง แต่ในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ถึงปี ถือว่าตีแตก
หลังจากหุ้นขึ้นแรงได้โอกาส กระจายความเสี่ยง
หลังจากนั้น ก็ไม่เคยถือตัวไหนเกิน 40% ครับ

[dejavu20]

ตอนนี้ถือตัวเดียว 100% เหมือนกันครับ
เหตุผลที่ถือตัวเดียวก็เพราะว่า
1.เงินทุน ณ ตอนที่ลงทุนยังไม่สูงมาก
2.ตัวนี้มีคาดการณ์ mos สูงที่สุด และธุรกิจมีโอกาสเติบโตเด่นชัด
3.ยอมรับความเสี่ยง เพื่อแลกกับให้พอร์ตโตได้ (ถ้าคาดการณ์ถูก)

แต่ในอนาคต ผมคงกระจายความเสี่ยงไปหุ้นหลายๆตัว
เพราะเงินลงทุนเริ่มมีจำนวนมากขึ้น และเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงครับ

[sutinc]

ผมถือตัวเดียว มา 5-6 ปีแล้ว ปัจจุบันก็ยังถืออยู่ ผมคิดว่าอุตสาหกรรมมันยังโตไปได้อีกนานหลายปี และตั้งแต่ซื้อมาก็เฝ้าติดตามข่าว งบการเงิน งบกระแสเงินสด ประชุมผู้ถือหุ้น จนเห็นพัฒนาการของบริษัทเรื่อย ๆ ก็เลยมั่นใจถือต่อไปเรื่อย ๆ ตราบที่มันยังโตต่อไป ผมจำได้ว่าเคยอ่านหนังสือ ชารลี มังเจอร์ กล่าวไว้ว่่า ถ้าเราเจอบริษัทที่ดีแล้วเราก็ซื้อ แล้วเราก็นั่งทับมันไว้ก็เท่านั้น ประมาณนี้นะครับ