Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

ขุดต่อ

I am only interested in making an investment if I can get at least a 50% discount to what the business is likely to be worth a couple of years from now. {อับไซด์}


If the numbers indicate that, then I conduct a thorough analysis of the business to make sure I understand the key drivers. {ตัวแปลหลักคืออะไร?หรือตัวเร่งก็ได้}
With most businesses, two or three variables control 80% to 90% of the outcome. {ไม่เกิน 2-3 ตัวแปร}
I want to make sure that I understand the right variables with a good sense of how they are likely to play out

http://www.stocksavenue.com/2008/10/20/ ... sh-pabrai/

Q: Can you give us one example of a company that you were helped by to invest from this ‘unpaid analysts pool?’

A : We used to have an investment in a Brazilian aircraft manufacturer, Embraer. We actually bought Embraer just a few days after the 9/11 attack at a moment when people thought no one would ever want to get on an airplane. Embraer’s stock actually had gone from $40 to $10 just in a couple of weeks. Their stock price approximately equaled the cash the company had on the balance sheet, so we were actually getting the business for free. I did a drill down on Embraer, partially through a friend of mine who is a CEO of a publicly traded airline in Latin America . I had looked at Embraer from a very different perspective in the sense that that business is really a duopoly business. Only two companies split that market, Embraer and Bombardier. Between the two companies, Embraer has what I would call an unfair cost advantage because labor rates in Brazil are much lower than those in Canada . Thus, they are actually able to produce airplanes at a much cheaper price than Canadians can.

Embraer S.A. is a Brazilian aerospace conglomerate that produces commercial, military, executive and agricultural aircraft and provides aeronautical services.

Bombardier Inc is a Canadian multinational aerospace and transportation company

แปล
ตอน หลังจาก 9/11 ไม่กี่วัน
ราคาหุ้น ของ Embraer ผู้ผลิตเครื่องบิน(แบบหนึ่ง)ของบราซิล ซึ่งตลาดนี้ เป็น duopoly คือมีผู้ผลิตอยู่แค่ 2 จ้าว
อีกจ้าวชื่อ Bombardier ของ แคนาดา ตอนนั้นราคาหุ้นของ Embraer ตกจาก $40 มา $10 ประมาณว่าเท่ากับเงินสด
ในบัญชีของ บ. คุณ Mohnish เลือก บราซิล เพราะค่าแรงถูกกว่า ของ แคนาดา.

..
ต.ย. ฟังมากๆไว้ จะได้เข้าใจ สะสมค่อยไป.
..

Q: Do you look at macro trends?

A : I think you need to have what Munger would call “a latticework of mental models” and you also need to have wisdom in understanding the way the world works. It is a fairly simple but very critical fact. When I was looking at Stewart Enterprises, I looked at the thousand-year history of humans dealing with the deceased. With Embraer, I looked at the long history of the country.

I think of investing as being one of the broadest disciplines. Rather than visiting the business, it is probably better to spend more time understanding a variety of different subjects, though many of them may not seem to be connected with investing. Yet, the interplay is there. They work within that same macro environment or framework.
When Buffett looked at Coke, he looked at a hundred-year history of volume growth. When he looked at American Express, he looked at decades of the growth in a number of cards and charging per card and at the number of merchants. You have to have a clear view on the direction for a period of 10-20 years from now

ต่อ..วารีเอเบิ้ล VI
ตอน
1.คุณ Mohnish มองธุรกิจความตาย - เขามองประวัติ 1000ปี ที่มนุษย์ปฎิบัติต่อผู้ล่วงลับ
2. คุณ Mohnish มองธุรกิจ เครื่องบินบราซิล - เขามองประวัติยาวนานของประเทศนั้น
3. ตอน ลุงบัฟ มองธุรกิจ Coke - ลุงมอง ประวัติหนึ่งร้อยปีของการเติบโตของปริมาณการดื่ม
4. ตอน ลุงบัฟ มองธุรกิจ Amex - ลุงมองหลาย10ปีของ การเติบโตของจำนวนบัตรเครดิต กับการปริมาณการใช้ต่อใบ ต่อห้าง
คุณต้องมี ภาพชัดๆ 20-30ปี จากนี้
...
มีต่อเรื่อง โฆษณา coke กับ moody ไปอ่านต่อ
http://www.stocksavenue.com/2008/10/20/ ... sh-pabrai/

..
มีอีกบทความสุดคุณค่า ที่จะต้องกลับมาย่อย อีกหลายๆครั้ง
..
ว่าแต่ว่าลุงบัฟว่าง มากิน ขนมจีนหรือก๋วยเตี๋ยวแถวราม บ้างนะ
..
555

imerlot เขียน:ขุดต่อ

I am only interested in making an investment if I can get at least a 50% discount to what the business is likely to be worth a couple of years from now. {อับไซด์}


If the numbers indicate that, then I conduct a thorough analysis of the business to make sure I understand the key drivers. {ตัวแปลหลักคืออะไร?หรือตัวเร่งก็ได้}
With most businesses, two or three variables control 80% to 90% of the outcome. {ไม่เกิน 2-3 ตัวแปร}
I want to make sure that I understand the right variables with a good sense of how they are likely to play out

http://www.stocksavenue.com/2008/10/20/ ... sh-pabrai/

ขอบคุณมาก ๆ ครับ อ. Imerot
ผมมีข้อสงสัย 2 เรื่อง
1. การกำหนดตัวแปร หรือ driver หลัก ๆ 2-3 ตัวนั้น จะมีแนวทางกำหนดได้อย่างไร ตัวอย่างที่
ยกมาของตัวแปร เป็นเฉพาะการจำแนกตาม segmentation ตลาดเท่านั้น
2. ที่บอกว่าต้องเป็นตัวแปรที่เราควบคุม driver นั้นให้ได้ 80-90% คือเป็นการควบคุมผลลัพธ์ที่จะเกิด หรือควบคุมกระบวนการ input ที่จะไปสร้างผลลัพธ์นั้น แล้วรู้ได้อย่างไรในฐานะผู้ลงทุนว่าบริษัทควบคุมได้จริงครับ

ลองดู ข้างบน
วารีเอเบิ้ล VI
พอจะได้นะ
..
หรือ
Post subject: เก็บตก.นำเที่ยว ..ซีคิวริตี้ อานาไรซิส
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=54357
..
บทที่ 3
..
แล้วตามไปดู
ต.ย
กลุ่มแบงค์ ใน
Post subject: คำนวณราคาเหมาะสมของหุ้นกลุ่มธนาคาร
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=56218
...
ซึ่งผมยังตีไม่แตก
จึงมองแต่รายละเอียด ถึ่ยิบ
คุณ Mohnish เขาตีแตกแล้ว
เขาจับ จุดเล็กสำคัญสุดในภาพใหญ่
จับยังไง ต้องตามหาตัวอยางมาอ่น ต่อเพิ่ม

เช่น เราต้องลองถามว่า
ชาเขียว..
้ถ้าเป็น คุณ Mohnish มองอะไร?
คุณ ลุงบัฟมองอะไร ?
...ประวัติหนึ่งร้อยปีของการเติบโตของปริมาณการดื่ม แบบโค้กก็ยังไม่มี
ผมเองสั่งมาที 4 ลัง กินได้ 2-3 อาทิตย์ก็หมด กินมาเป็นปีแล้ว
หวยไม่เคยส่ง เพราะยี่ห้อที่กินไม่มี ชิงโชค
ขวดละ 20บาท ที่ห้าง25 ไม่บอกก็รู้ว่า ยี่ห้ออะไร แพงสุด
..
ตอนไปสิงค์โปร์ ใน Universal Studios ขายชาเขียวผลิตโดย coca cola ลองดู ขวดละ 3เหรียญ
กับใช้หวานเทียม เลยไม่ชอบ แบบ บ้านเรานี่ พฤติกรรทการดื่มชานี่ เพิ่งจะเริ่มเอง มั่ง
อะไร จะเป็น ตัวแปร
ปริมาณ การดื่มต่อคน ต่อวัน ?
....
แต่คนทั่งประเทศ เขากิน ไม่แบบผม เขากินเพราะอยากได้ ..รถไง
..
ตัวแปร จึงอาจจะผิดไป
..
อันนี้ มันยากๆๆๆ จริงๆ
..

คุณ Mohnish
จึงชอบ ธุรกิจ ง่าย
แบบจัดงานศพ ตัวแปรน่าจะ คือ
1. พฤติกรรมที่มนุษย์ปฎิบัติต่อผู้ล่วงลับ ใน 100ปี เปลี่ยนแปลงมากแค่ไหน
เช่น 100ปี ก่อน จัดอย่างไร เดี่ยวนี้ จัด อย่างไร
จ้าวตลาดร้อยปีก่อน จะมี moat ที่ deep ขึ้น มี market share มากขึ้น หรือว่า
คนชอบแบบ วูบวาว เจ้าใหม่มาก็ใช้บริการเลย
กลายเป็นว่า ตัวแปร ไม่เกียวกับ สิถิติการตาย ซะงั้น

2. GEICO คงต้องมี พฤติกรรม บางอย่างที่ คนอเมริกันซื้อ ประกัน ซึ่ง ทำมานานๆแล้ว
และก็คงไม่เปลี่ยน ไม่ใช่ พอ "ไม่ชนมีคืน" ก็เปลี่ยนจ้าวเลย
ลุงบัฟมักพูดว่า ลูกค้าของ IBM stickiness ติด IBM แบบ ติดเอดต์เลย ไม่ไปไหนง่ายๆ
เห็นว่าไม่เกียวกับ สถิติการชนเลย
...

[youtube]YmmIbrKDYbw[/youtube]

ถ้าฟังไม่ถนัด
transcript
http://www.fool.com/investing/general/2 ... nd-ch.aspx

And the stock market went down almost 70% in those two years, and so he got margin calls out the yin-yang, and he sold his Berkshire stock to Warren. Warren actually said, I bought Rick's Berkshire stock at under $40 apiece, and so Rick was forced to sell shares at ... $40 apiece because he was levered.

And then Warren went a step further. He said that if you're even a slightly above-average investor who spends less than they earn, over a lifetime you cannot help but get rich if you are patient. And so the lesson. My question was, what happened to Rick? The lesson was, don't use leverage, right? And be patient.

he said if an investor just did three things, the end results would be vastly better than the rest. And he said one is carefully look at what the other great investors have done. So, in fact, Charlie was endorsing copying off the 13Fs, right? So he said look at what other great minds are doing.

And the second thing he said is, look at the cannibals. And what he meant by "look at the cannibals" is, look carefully at the businesses that are buying back huge amounts of their stock. Because they're eating themselves away, so he called them the cannibals.

And the third is, he said, carefully study spinoffs.

...
cannibal กับ spinnoff
นี่มีอธิบายเพิ่มที่
http://www.fool.com/investing/general/2 ... a-suc.aspx
..

รูปประกอบ ข้างบน
จึงมาคั่นสายตา กับชวนคิด
เท่านั้น ไม่ใช่ต.ย
ที่ถูกต้อง
...
ใครมี ต. ย.ที่ น่าจะใช่ ก็ช่วยเพิ่มหน่อยครับ
..

จะเห็นว่าตังแปรของ
คุณ Mohnish
ตอนเลือก เครื่องบิน ระหว่าง บราซิล กับ แคนาดา
แกเลือก
ตัวแปร คือ ค่าแรง
แน่นอน บราซิล ชนะ
...
แต่ สำหรับ ผมเวลา ขึ้นเครื่องบิน
อาจะมองที่
safety record มากกว่า ต้นทุนต่ำ


ซึ่งก็อาจมีคน อยู่มากมองแบบนี้
หรืออาจจะเป็นคนส่วนน้อย เพราะโลก มันเปลี่ยนไปพฤติกรรมเปลี่ยน
แต่แน่นอน
ระดับโลก เขามองลึกซึ้งกว่านั้น






การวิเคาระห์แบบ subjective นี้ มันจึง ต้องใช้จิตนาการมากกว่า ตัวเลข
แต่ตัวเลขก็ยังสำคัญ

ผมจะลองสรุปดูครับ
Key word สำคัญคือ
1. ง่าย หมายถึงง่ายแก่ทำความเข้าใจธุรกิจ จึงสามารถกำหนดตัวแปรความสำเร็จที่สำคัญ 2-3 ตัวที่ควบคุมได้ไม่ยากเกินไป เป็นที่เข้าใจของกลุ่มคนที่ตีมูลค่าหุ้นได้
2. Moat คือต้องพิสูจน์ได้ว่าตัวแปรที่สำคัญดังกล่าวต้องเป็น moat ที่สำคัญในธุรกิจนั้นอย่างแท้จริง หากเจ้าตลาดที่มีความได้เปรียบการแข่งขันในระยะยาวอย่างแท้จริงแล้ว ตัวแปรดังกล่าวธุรกิจเจ้าตลาดนั้นต้องสามารถทำให้เกิดขึ้นเป็นระยะเวลาที่นานพอ ถ้าเป็น ไมเคิล อี พอร์ตเตอร์ ได้จัดกลุ่มตัวแปรใหญ่ 3 เรื่ิองคือ cost leadership หรือ การสร้างความแตกต่างของสินค้าและบริการ หรือ focus จุดเน้นบางเรื่องสำคัญ เช่นตลาดที่เป็น niche เทคโนโลยีที่เลียนแบบได้ยาก เป็นต้น
3. สถิติ ตือผลงานย้อนหลังที่ยาวพอที่พิสูจน์ให้เห็นได้ว่า พฤติกรรมการบริโภคสินค้าไม่เปลี่ยนแปลงง่าย ๆ ซึ่งการบริโภคดังกล่าวต้องมีสถิติที่ยาวนานพอในช่วงวัฏจักรของผลิตภัณฑ์นั้นด้วย อาจจะ 30แี 50ปี หรือ 100ปี เพื่อให้แน่ใจว่าการคาดการณ์ในอนาคตระยะยาวนานพอต่อไปหลังจากนั้นยัง valid ตามสมมุติฐานนั้นอยู่ ไม่เปลี่ยนแปลงได้โดยง่าย ทำให้สามารถทนถือระยะยาวได้ต่อเนื่ิองเพราะสามารถคาดการณ์ผลงานในอนาคตระยะยาวได้ค่อนข้างแน่นอน แม่นยำ มีความเสี่ยงต่อความล้มเหลวต่ำมากในระยะยาวเช่นกัน เพราะมี franchise value ของ brand ที่แข็งแกร่งจนยากที่คู่แข่งขันจะเข้ามาแข่งขันด้วย เพราะไม่คุ้มที่จะทำ ต้นทุนสูงมากหากจะทำแข่งด้วยในเชิงเปรียบเทียบกับเจ้าตลาดเดิม การพัฒนาของคู่แข่งขันตามไม่ทันเพราะใช้เวลานานมากกว่าจะไล่ทัน เป็นต้น

ฝากท่านเซอร์จอห์นไว้หน่อยครับกระทู้นี้แล้วผมจะมาแจมด้วย

https://www.franklintempleton.com/forms ... oad/TL-R16

ขอบคุณ คุณ Imerlot. และคุัยธรมากครับ

chaitorn เขียน:ผมจะลองสรุปดูครับ
Key word สำคัญคือ
1. ง่าย หมายถึงง่ายแก่ทำความเข้าใจธุรกิจ จึงสามารถกำหนดตัวแปรความสำเร็จที่สำคัญ 2-3 ตัวที่ควบคุมได้ไม่ยากเกินไป เป็นที่เข้าใจของกลุ่มคนที่ตีมูลค่าหุ้นได้
2. Moat คือต้องพิสูจน์ได้ว่าตัวแปรที่สำคัญดังกล่าวต้องเป็น moat ที่สำคัญในธุรกิจนั้นอย่างแท้จริง หากเจ้าตลาดที่มีความได้เปรียบการแข่งขันในระยะยาวอย่างแท้จริงแล้ว ตัวแปรดังกล่าวธุรกิจเจ้าตลาดนั้นต้องสามารถทำให้เกิดขึ้นเป็นระยะเวลาที่นานพอ ถ้าเป็น ไมเคิล อี พอร์ตเตอร์ ได้จัดกลุ่มตัวแปรใหญ่ 3 เรื่ิองคือ cost leadership หรือ การสร้างความแตกต่างของสินค้าและบริการ หรือ focus จุดเน้นบางเรื่องสำคัญ เช่นตลาดที่เป็น niche เทคโนโลยีที่เลียนแบบได้ยาก เป็นต้น
3. สถิติ ตือผลงานย้อนหลังที่ยาวพอที่พิสูจน์ให้เห็นได้ว่า พฤติกรรมการบริโภคสินค้าไม่เปลี่ยนแปลงง่าย ๆ ซึ่งการบริโภคดังกล่าวต้องมีสถิติที่ยาวนานพอในช่วงวัฏจักรของผลิตภัณฑ์นั้นด้วย อาจจะ 30แี 50ปี หรือ 100ปี เพื่อให้แน่ใจว่าการคาดการณ์ในอนาคตระยะยาวนานพอต่อไปหลังจากนั้นยัง valid ตามสมมุติฐานนั้นอยู่ ไม่เปลี่ยนแปลงได้โดยง่าย ทำให้สามารถทนถือระยะยาวได้ต่อเนื่ิองเพราะสามารถคาดการณ์ผลงานในอนาคตระยะยาวได้ค่อนข้างแน่นอน แม่นยำ มีความเสี่ยงต่อความล้มเหลวต่ำมากในระยะยาวเช่นกัน เพราะมี franchise value ของ brand ที่แข็งแกร่งจนยากที่คู่แข่งขันจะเข้ามาแข่งขันด้วย เพราะไม่คุ้มที่จะทำ ต้นทุนสูงมากหากจะทำแข่งด้วยในเชิงเปรียบเทียบกับเจ้าตลาดเดิม การพัฒนาของคู่แข่งขันตามไม่ทันเพราะใช้เวลานานมากกว่าจะไล่ทัน เป็นต้น

สรุปได้ดีครับ..
10/10

1. simple n satble= (few controlable variables vs mutiple uncontrol variable)
2. wider n deeper Moat as time goes by
3. ได้ค่อนข้างแน่นอน แม่นยำ = stablility

satble
แก้ stable

เซอร์จอห์น ที่
คุณ Nevercry.boy แจมไว้
ข้อ 11
เรียนรู้จากข้อผิดพลาด
(ของคุณและของคนอื่น)
เวลาหุ้นราคามันลง จาก $40 ไป $10
แบบเครื่องบิน บราซิล ต.ย. ก่อนหน้า
มันยาก ที่จะคอยมันกลับมา
ในระหว่างที่รอ
เรามักจะกลัว ว่า เป็น valuetrap อีกแล้ว
สมมติว่าซื้อที่ $10 พอราคามันลงต่อเป็น $8
เราก็มักคิดว่า
บ. มันแย่ราคามันเลยลง
มัน เส้นบางมากๆ ระหว่างที่ ถูก กับ ไม่ถูก
เส้นบางมาก ระหว่า value กับ ตลาดมักสะท้อนข้อเท็จจริงแล้ว
กับ
พวก momentum ซื้อขาขึ้นอย่างเดียว มันไม่เสียว แบบนี้
...
แต่ถ้า มันถูกขึ้นมา อย่างตอน
แดงเผาราชประสงค์
ผมบอกแฟนซื้อ ไปเลย 20บาท
แปะเดียว ไปแล้ว 4 เด้ง..
แต่ตอนนั้น หนาวแล้วหนาวอีกๆๆ
.....
Buffett: Temperament is more important than IQ. You need reasonable intelligence, but you absolutely have to have the right temperament. Otherwise, something will snap you.
....

ส่วนเรื่อง
cost leadership
มันเป้น variable ที่ยาก
เช่น ถ้าเรา เป้นห้างเสื้อผ้าดัง มีการผลิตในเขมร
ไม่นานต้นทุนมันก็ต้องขึ้น ก็ต้องย้าย จาก เขมร
สมมติไป บังคลาเทศ อัดกัน จนตึกถล่ม
ไม่นาน อาจจะต้อง ย้ายไป อาฟริกา
แต่สุดท้าย เงินเฟ้อ ต้นทุนมันต้องสูงขึ้นเรื่อย
เคยเขียน เรื่อง
เงินเฟ้อ ยาวมากใน
Post subject: ผมกำลังง เรื่อง GDP
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=51955
..
ทุกฯ 20-30ปี 1980-2010 ราคา bigmac ขึ้นไป 4 เท่าตัว
ค่าแรงขั้นต่ำ จาก $3 ไป $9-15 เหรียญ

แปรว่า
Post subject: "price maker" or "price taker"
http://203.150.20.122/~thaivi/board/vie ... =1&t=51622
ความสามารถในการขึ้นราคาโดยยอดขายยังโตอยู่ ทุกๆปี สำคัญมาก

อย่างห้างนี้ขึ้นราคาทุกปี
โฆษณาทีวี ก่อน digiTV ขึ้นทุกปี
อาหารขึ้นทุกปี
...
แจมไว้..

แปลว่าสมมติว่า
ใน20ปี
พอร์ตเราโตจาก
10ล้าน เป็นซัก
2000ล้าน
จริงแล้ว ต้องหาร 4
เพราะ อำนาจซื้อ 2000ล้านที่ปลายปีที20
ซื้อได้ 1/4 ของ 10ล้านแรก
กลายเป็น ว่า ถ้าเราอยากได้ 2พันกำลังซื้อจริง
พอร์ตต้องโต
2000x4=8000ล้าน
...
ตรงนี้ คนลงทุนยาวววว มักไม่ได้คำนวนไว้
...

รันเวย์ที่ยาว

คำ ๆ นี้สำคัญครับ อ.Imerlot

ไหนก็แปะ video class ของ โคลัมเบีย บี สกูลแล้ว
เอา อินเวสเตอร์ นิวส์เลตเตอร์ ของที่เดียวกัน
ที่ มี บทสัมภาษณ์ Mohnish Pabrai (มอนิช แพบไบร)
มาไว้ด้วยกัน เก่าหน่อย ปี2008
แต่ เนื้อหายังแน่นปึ้กๆ
http://www8.gsb.columbia.edu/sites/valu ... 202008.pdf

ต.ย.

“As a v a l u e
investor, you don’t
want to enter every
s m o k e - f i l l e d
theater. What you
want to do is
carefully analyze
these smoke-filled
theaters to try to
find one where the
smoke is not real, or
the fire alarm is not
real, it went off for
no reason, and then
buy those tickets at
hugely discounted
prices, then sit back
and watch the rest
of the movie.”

ต้องมีจิตใจแข่งแกร่ง พอควร
..

Geico
wider moat
ทำ link ไว้หน่อย
Post subject: เมื่อพูดถึง Geico
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=57109

..

กลับมาวิเคาราะห์
เรื่อง วารีเอเบิ้ล ตัวแปร simple few controlable variables

source:
http://www.insurancejournal.com/news/na ... 314530.htm


1. จะเห็นว่า direct incurred LOSS RATIO %ของอุตสาหกรรมindustry 3Q อยู่ที่ 62.47-65.71
แต่ของ Geico สูงกว่า คือ 63.70-71.02 ความสามารถที่ว่า Geico มีฐานลูกค้าที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า
เช่นเป็นกลุ่มลูกค้า government employee นั้นจึงไม่ชัด หรืออาจจะไม่จริง

2. yoy Premium change% แต่ Geico โตได้ 9.65-11.14 สูงสุดของทั้งกลุ่ม
ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.01-4.6 เรียกว่า โตชัดเจน สูงกว่า peer 2 เท่า
{บ. ยอดเยี่ยมในอุตสาหกรรมยอดแย่}

3. จาก1-2 สรุปว่า โต ไม่ได้มาจาก LOSS RATIO แต่มาจาก บ.ต้นทุนส่วนที่ไม่ใช่ LOSS RATIO ประมาณ 30-40% ได้ดีกว่า
โดยสามารถจัดสรร เป็น งบโฆณษณา ถึง 6.5% {Geico’s ad budget represented 6.5 percent of the premiums it wrote in 2011}ในขณะที่ อุตสาหกรรมใช้งบแค่ 2.4%{For the whole industry, in fact, the average is just 2.4 percent.} ใช้งบ3เท่าคู่แข่ง
ถ้าไม่เทียบกับ Progress ซึ่ง model คล้ายกัน กับ Geico. บ.อื่นๆเวลาได้รับ Premium มา 100 อาจจะต้องจ่ายไป10-15% ค่าคอมให้เอเยนต์ ทำให้ต้นทุนสูงกว่า Geico ผู้บราหารเน้นในขาดตัดต้นทุนส่วยภายใน บ. เพราะ controlable varible ส่วน LOSS RATIO uncontrolable จากยอดขายที่โตต่อเนื่อง market share เพิ่มต่อเนื่อง สรุปได้ว่า model นี้ ยังประสบความสำเร็จอยู่จนกว่า คู่แข่งจะปรับโมเดลตาม เท่าที่มีตอนนี้คือ Progress

4. free float growth
แน่นอน Premium รับโต 9.65-11.14% ทำให้กองทุน free float โตในระดับเดียวกัน
รายได้จากเงินลงทุนย่อมโตไปด้วย และจะมีใครเชี่ยวชาญสุดในโลกในการลงทุนขนาดยักษ์และยาว เม่าลุงบัฟกับลุงชาร์ลี ตอนนี้

ขนาดยักษ์และยาว เม่าลุงบัฟกับลุงชาร์ลี
แก่
เท่า

บราหารเน้นในขาดตัดต้นทุนส่วยภายใน

แ้ก้
บริหารเน้นในการตัดต้นทุนส่วยภายใน

คนนี้ทำสรุปไว้คล้ายกัน
more reading at
http://www.gurufocus.com/news/144627/gr ... -investing

The key cost and metric for evaluating GEICO can now be described as its advertising efficiency. Exactly the same is true for its arch rival Progressive. The moat has receded and the cost of defending its moat has increased as well.

ต.ย.

ลองมาดูสัดส่วนของงบ ของ ALL
อันดับ 2-3 กัน
ว่า
1. loss-ratio กี่%
2. investment income กี่%
3. underwriting commision จ่าย กี่%

1. 2.

source:
http://www.marketwatch.com/investing/st ... financials

ปี 2013 ALL

a.
1. รายได้รวม 34.19B เอาเป็นฐาน 100%
2. ซึ่ง มาจาก ค่า Prepium Earned 29.97B หรือ 87.65%
3. ซึ่ง มาจาก Total Investment Income=3.4B หรือ 9.94%


b.
4. เอา ค่า Prepium Earned 29.97B ตั้งเป็น ฐาน 100%
5. เอา Losses, Claims & Reserves 21.11B หารตัวฐานในข้อ4=70.43% LOSS RATIO{โดยประมาณเพราะอันนี้รวม reservesไว้ด้วย}


c.
6. เอา ค่า Prepium Earned 29.97B ตั้งเป็น ฐาน 100%
7. เอา Underwriting & Commissions 4B หารตัวฐานในข้อ6=13.34%
แปลว่าจ่าค่าคอมมิชั่นให้เอเย่นต์ ประมาณ 13.34%

d.
8. รายได้รวม 34.19B เอาเป็นฐาน 100%
9. Selling, General & Admin. Expenses & Other 8.4B หารตัวฐานในข้อ8 จะได้ 24.56%
ซึ่งในนี้ได้ รวม 4B ค่าคอมมิชั่นไว้แล้ว

..

imerlot เขียน:เซอร์จอห์น ที่
คุณ Nevercry.boy แจมไว้
ข้อ 11
เรียนรู้จากข้อผิดพลาด
(ของคุณและของคนอื่น)
เวลาหุ้นราคามันลง จาก $40 ไป $10
แบบเครื่องบิน บราซิล ต.ย. ก่อนหน้า
มันยาก ที่จะคอยมันกลับมา
ในระหว่างที่รอ
เรามักจะกลัว ว่า เป็น valuetrap อีกแล้ว
สมมติว่าซื้อที่ $10 พอราคามันลงต่อเป็น $8
เราก็มักคิดว่า
บ. มันแย่ราคามันเลยลง
มัน เส้นบางมากๆ ระหว่างที่ ถูก กับ ไม่ถูก
เส้นบางมาก ระหว่า value กับ ตลาดมักสะท้อนข้อเท็จจริงแล้ว
กับ
พวก momentum ซื้อขาขึ้นอย่างเดียว มันไม่เสียว แบบนี้
...
แต่ถ้า มันถูกขึ้นมา อย่างตอน
แดงเผาราชประสงค์
ผมบอกแฟนซื้อ ไปเลย 20บาท
แปะเดียว ไปแล้ว 4 เด้ง..
แต่ตอนนั้น หนาวแล้วหนาวอีกๆๆ
.....
Buffett: Temperament is more important than IQ. You need reasonable intelligence, but you absolutely have to have the right temperament. Otherwise, something will snap you.
....

การเข้าซื้อหุ้นที่พื้นฐานดี ผมเห็นบัฟเฟทเข้าซื้อใน 2 ลักษณะ คือ

1. เข้าซื้อเมื่อหุ้นดังกล่าวมีข้อเสียเกิดขึ้นระยะสั้น [คือช่วงเวลาที่เกิดผลกระทบที่สั้นมากเทียบกับการเติบโตในช่วงการเติบโตระยะยาวของบริษัทนั้น ความหมายระยะสั้นอาจต่างจากคนทั่วไป] แต่ระยะยาวคาดว่าจะฟื้นกลับมาได้ เช่น อเมริกันเอ๊กซเพรส
2. เข้าซื้อในราคาที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับพื้นฐานที่แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน เพราะยิ่งซื้อช้าเท่าใด ราคาก็จะยิ่งแพงขึ้นไปอีก เช่น วอลมาร์ค เป็นต้น

ทั้ง 2 วิธีที่เข้าซื้อก็เกิดความหวั่นไหวทั้งคู่ในระยะสั้นเหมือนกัน

วิธี 1 เข้าซื้อราคาต่ำมาก แต่หากยังไม่ฟื้น ราคาก็ยังตกต่อไปเรื่อย ๆ ยิ่งซื้อยิ่งถูกลงไปอีก
วิธี 2 เข้าซื้อในราคาสูงขึ้น new high ไปเรื่อย ๆ พร้อมกับการเติบโตในอนาคตที่่คาดว่าจะเติบโตสูงสม่ำเสมอ แต่หากมีบางไตรมาส หรือบางปีที่เริ่มแย่ ก็อาจติดดอยราคาได้ง่ายเหมือนกัน

ตรงนี้มีเคล็ดลับอย่างไร ที่เราจะได้ศึกษาบทเรียนความผิดพลาดในการเข้าซื้อหรือไม่ครับ เพราะที่เราเห็นบางทีเราศึกษาจาก case สำเร็จแล้วเป็นไปตามคาดหวังแล้ว แต่มันก็มีโอกาสผิดพลาดได้ เราจะเริ่มรู้สึกว่าผิดพลาดจากเรื่องอะไรได้บ้างครับ

ขอถามทั้งสองท่านครับ (ท่านอื่นด้วยครับ) สุดยอดหุ้นที่สร้าง บัฟเฟตต์ เป็นตำนาน คืออะไร

ผมคิดว่า เอเม็กซ์ กับ ไจโก้

chaitorn เขียน: วิธี 1 เข้าซื้อราคาต่ำมาก แต่หากยังไม่ฟื้น ราคาก็ยังตกต่อไปเรื่อย ๆ ยิ่งซื้อยิ่งถูกลงไปอีก
วิธี 2 เข้าซื้อในราคาสูงขึ้น new high ไปเรื่อย ๆ พร้อมกับการเติบโตในอนาคตที่่คาดว่าจะเติบโตสูงสม่ำเสมอ แต่หากมีบางไตรมาส หรือบางปีที่เริ่มแย่ ก็อาจติดดอยราคาได้ง่ายเหมือนกัน

ตรงนี้มีเคล็ดลับอย่างไร ที่เราจะได้ศึกษาบทเรียนความผิดพลาดในการเข้าซื้อหรือไม่ครับ เพราะที่เราเห็นบางทีเราศึกษาจาก case สำเร็จแล้วเป็นไปตามคาดหวังแล้ว แต่มันก็มีโอกาสผิดพลาดได้ เราจะเริ่มรู้สึกว่าผิดพลาดจากเรื่องอะไรได้บ้างครับ

วิธีที่ 1 บัฟเฟตต์โดนมาแล้วกับ Gen Re เคสนี้ยาวถึง 5 ปีกว่า แถมจัดหนักด้วย แต่แกก็ไม่คัทนะ แปลกอยู่ คุณชัยธรมีเสริม กรณี เจนลีมั๊ยครับ?

ดู ๆ ไป วิธีที่ 2 จะดีกว่า แต่ก็อาจดอยได้ในบางปี แต่ก็มาทำนิวไฮใหม่ เช่น โคคา โคล่า