หน้า 2 จากทั้งหมด 2

Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก

โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 17, 2015 4:36 pm
โดย mafiapotae
เพลินดีครับ กับประสบการณ์ของพี่ๆแต่ละคน ขอบคุณนะครับ ทุกวันนี้ก็อ่าหนังสืออยู่ตลอดนะครับ ถึงแม้ว่าบางครั้งผมต้องอ่านหนังสือสอบด้วย แต่ผมพยายามหาเวลามาหาความรู้กับการลงทุนอยู่สม่ำเสมอครับ อยากอ่านอีกนะครับ มีพี่ๆคนไหนผ่านมาก็แวะมาเล่าให้ผมฟังบ้างนะครับ

Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก

โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 17, 2015 6:05 pm
โดย Jeng
ประมาณปี 2546

ความประทับใจหุ้นตัวแรกๆ ที่ตั้งใจซื้อ 1 ในนั้นคือ bigc

ราคา 25 และค่อยๆลง

ซื้อ 19 ผลประกอบการณ์ ออกมาดีขึ้น
ซื้อ 16.5 ผลประกอบการณ์ ออกมาดีขึ้นอีก
ซื้อ 12.5 ผลประกอบการณ์ ออกมาดีขึ้น

casino กรุ๊ป เพิ่มทุนที่ 13.3 อืมเราซื้อถูกกว่า

รวมระยะเวลาซื้อ 9 เดือนกว่าๆ

ทุกครั้งที่ประกาศออกมาดีขึ้น หุ้นลง

bigc 800 ล้านหุ้น 12.5 ราคา 10,000 ล้าน

ข้อผิดพลาด ไม่ได้ถือ ขึ้นมา 18 ขายหมด

Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก

โพสต์แล้ว: พุธ มี.ค. 18, 2015 9:09 am
โดย noooon010
ผมเปิดบัญชีกับ บล.โดยไม่ทราบว่า มันคือบัญชีซื้อหุ้นครับ
พอผ่านไปๆก็มีคนโทรมาว่า เค้าดูแลบัญชีให้เรา
เราก็ งงๆ ธนาคารนี้มีผู้ดูแลเราแบบนี้ด้วย 555 :oops:

พอเริ่มศึกษาเรื่องการเงิน เค้าก็เปลี่ยนผู้ดูแลบัญชีคนใหม่
ผมแจ้งเค้าว่า อีก 1เดือน ผมจะมาลงทุนนะครับ ขอไปศึกษาก่อน
ตอนนั้นประมาณ มิย.2007 มั้งครับ

หลังจากเริ่มอ่าน ตีแตกสักพัก คราวนี้เอาตารางหุ้นใน นสพ.มาดู
ดูแต่ p/e p/bv
ตอนนั้นซื้อ twfp กับ loxley ไปโดยที่ยังไม่รู้ว่า loxley ทำหวยออนไลน์
นึกว่าทำสื่อสารอะไรสักอย่าง

อ่านต่อมาเรื่อยๆ
เลยค้นพบว่า makro นี่มันมี DCA แถม ratio ต่างๆน่าสนใจ ไม่มีคนมาแย่งลงทุน

หลังจากนั้นก็เรียนรู้มาเรื่อยๆก็เจอวิกฤติปี 2008 ครับ

ผมว่า เราสนุกที่ได้เรียนรู้การลงทุน เรียนรู้ที่จะรู้จักตนเอง
ปัจจุบันก็ยังรู้สึกสนุกมากๆอยู่ครับ

เล่าประมาณนี้ล่ะกันครับ

ปล.เดิม ไม่รู้ว่า top คืออะไร นึกว่า supermarket 555

Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มี.ค. 22, 2015 9:22 pm
โดย mafiapotae
ขอบคุณพี่ๆ สำหรับประสบการณ์เพื่อนำมาเป็นแรงบัลดาลใจของผมครับ

Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก

โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 30, 2015 5:41 am
โดย yakjabon
จุดเริ่มต้นคล้ายๆ จขกท. ครับ "ทำงานด้วย เรียนด้วย อายุก็เริ่มเยอะ เงินลงทุนค่อนข้างน้อย .. เห็นอนาคตและการเปลี่ยนแปลงของบริษัทเอกชนสมัยนี้แล้ว เป็นลูกจ้างอย่างเดียวไปจนตายคงไม่รอด (เวลาเขาลอยแพก็ตัวใครตัวมันนะ) ออกมาเริ่มธุรกิจแบบไม่มี background เครือญาติ วงตระกูลอะไรที่เกี่ยวกับธุรกิจเลยก็ไม่น่ารอดเหมือนกัน (ขาดประสบการณ์ ขาด network ขาดคนแนะนำที่ดี ลองมาแล้ว เจ๊ง)" .. ถ้าอ่าน Rich Dad Poor Dad ก็พอจะนึกได้ว่าทรัพย์สินที่ควรมีก็มีประมาณ 5-6 อย่าง (หุ้น, พันธบัตร, สิทธิบัตร, ..) สำรวจสไตล์และความชอบตัวเองแล้วก็คิดว่าหุ้นนี่ละ น่าจะเหมาะ

ก่อนจะเริ่มลงทุน สำคัญกว่า "หุ้นตัวไหน" คือ "หลักการไหน" ที่ใช่สำหรับผม ผมไม่คิดว่ามันเป็นของเล่น ดังนั้นหลักการควรต้องมีเหตุมีผลมากพอที่จะทำให้ผมเชื่อ ก่อนที่จะเสี่ยงนำเงินที่หามาจากน้ำพักน้ำแรงของตนเองร่วม 20 ปี (รวมเวลาทำงานเล็กๆน้อยๆและเก็บเงินตั้งแต่เด็ก) เข้าไปเสี่ยง ตั้งแต่เรียนมหาลัย เพื่อนรอบตัว, อาจารย์, Set in the City หรือ บลจ. หรือ ผู้แนะนำการลงทุนกว่า 80% (คิดว่า) ในสมัยนั้น (หรืออาจสมัยนี้ด้วย) จะพูดถึงแต่กราฟ พยายามหาสมการลึกลับซ่อนเร้นในราคาหุ้น หรือสร้างความเชื่อลมๆแล้งๆว่าซื้อไปเหอะ นานๆเดี๋ยวมันก็ขึ้น ถามไปลึกๆว่า ทำไม ทำไม ทำไม ซัก 3 ชั้นขึ้นไปก็เริ่มตอบไม่ได้ เป็นอย่างนี้ร่วม 4-5 ปี (ก็ยังไม่เริ่มเพราะทุกคำตอบยังทำให้ผมรู้สึกว่ามันเหมือนการพนัน) จนมีโอกาสได้ไปเรียนป.โทที่คณะบริหารธุรกิจที่อ.ไพบูลย์เป็นหนึ่งในทีมงานผู้สอนร่วมถึงปรมาจารย์อีกหลายๆท่านในคณะทื่มีพระคุณให้ความรู้ความเข้าใจในหลักการคิดของธุรกิจ การอ่านงบการเงิน การจัดการองค์กร และไม่เบื่อที่จะตอบคำถามจนถึงแก่นที่เราเชื่อว่ามันเป็นหลักการที่มีความน่าจะเป็นสูงมากในการนำมาปฎิบัติ (ซึ่งก็คล้ายๆกับหลักการ VI ละครับ) จบมา หลายๆคนอาจโยนตำราทิ้ง แต่ผมเสียดาย เงินเรียนก็หามาได้จากการทำงานอันเหน็ดเหนื่อย เลยนำวิชาและหลักการที่เป็นหัวใจของคณะบริหารธุรกิจทุกวิชามาทำเป็น check list แล้วเริ่มจากบริษัทใน ตลท. ที่คิดว่าใกล้ตัวที่สุดกับตอนที่ทำงานเป็นลูกจ้าง
หรือที่เราคิดว่าเข้าใจธุรกิจนั้นได้มากที่สุด มาไล่วิเคราะห์ตาม checklist เลย เรียกว่าวิเคราะห์หุ้นตัวแรกนี่ เปิด text ไป วิเคราะห์ไปเหมือนทำ Thesis แต่ผมไม่เห็นคะแนนหรือใบเกรดจากอาจารย์อยู่ที่ปลายอุโมงค์ ผมเห็นแต่อนาคตบริษัทที่จะสดใสและทำเงินคืนมาได้อย่างยั่งยืน (หรือ ณ ช่วงเวลา cycle ของธุรกิจนั้นๆ) ซึ่งจะเป็นรางวัลจากการวิเคราะห์อย่างละเอียดที่ทำอยู่ ไม่มีอาจารย์มาตรวจ ไม่มีหัวหน้ามาจี้ ไม่มีพ่อแม่มาเข็น มีแต่เรา ความรู้ เงินเรา ความเสี่ยงเรา เวลาเรา ชีวิตของเรา (และครอบครัวที่เราดูแลอยู่ข้างหลัง)

ปัจจุบันลงทุนมาได้ 5-6 ปีแล้วครับ ผลประกอบการ (โดยผมทำบัญชีทั้ง 3 งบของพอร์ตการลงทุนเสมือนเป็นบริษัทๆหนึ่ง ในการประเมินผลงานทุกปีต่อปี) ก็เติบโตทุกปี ชนะตลาดเสมอ รายละเอียดก็คงไม่ต่างกับพี่ๆ VI ท่านอื่นๆ ขนาดพอร์ตรวมทั้งเงินที่ได้จากการลงทุนและเงินเก็บ (ยิ่งรู้ว่าลงทุนแล้วมันงอกเงยยิ่งมีแรงจูงใจในการเก็บเงินมากขึ้น) ก็โตขึ้นมาหลายเท่าอย่างที่ไม่เคยคิด (โดยเฉพาะตอนเป็นลูกจ้างอย่างเดียวคงรู้สึกว่าเงินตอนนี้มันฝันกลางวันชัดๆ) และก็คงจะหมั่นศึกษา, ทำงานหาเงินเพิ่ม และมาลงทุนไปเรื่อยๆครับ ด้วยใจเป็นอยู่ที่พอเพียง .. จบ :)

Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก

โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 04, 2015 10:43 am
โดย จอมยุทธอินทรี
ตอนเข้ามาใหม่ๆ เคยฟังพี่เว็บ (จำไม่ได้ว่าจากรายการอะไร)
บอกว่าแนะนำว่าให้อ่านหนังสืออย่างน้อย 15 เล่มก่อน ค่อยเข้ามาลงทุน
ตอนนั้นก็อ่านไปเกือบๆ 20 เล่ม
ทั้งตีแตก ทั้งของ Peter Lynch
แถมยังย้อนหลังดูรายการ Money Talk ใน Youtube จนครบหมด
ก็รู้สึกว่าตัวเองเจ๋งมาก
บังเอิญว่าเป็นช่วงหลัง sub-prime หุ้นก็ขึ้นมาตลอด
พอเจอช่วงปรับฐานแรงๆก็แพ้ตลาดครับ
โชคดีว่า ใช้เงินไม่เยอะ เลยไม่เจ็บตัวมาก
เพิ่งจะรู้สึกว่าพอลงทุนเป็น ก็ 2-3 ปี หลังจากเริ่มต้นครับ

ตอนนี้อ่านรวมๆน่าจะเกิน 100 เล่มแล้ว
พอมองย้อนกลับไป 15-20 เล่มนี่ไม่พอจริงๆ

Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก

โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 04, 2015 11:09 am
โดย ดำ
yakjabon เขียน:จุดเริ่มต้นคล้ายๆ จขกท. ครับ "ทำงานด้วย เรียนด้วย อายุก็เริ่มเยอะ เงินลงทุนค่อนข้างน้อย .. เห็นอนาคตและการเปลี่ยนแปลงของบริษัทเอกชนสมัยนี้แล้ว เป็นลูกจ้างอย่างเดียวไปจนตายคงไม่รอด (เวลาเขาลอยแพก็ตัวใครตัวมันนะ) ออกมาเริ่มธุรกิจแบบไม่มี background เครือญาติ วงตระกูลอะไรที่เกี่ยวกับธุรกิจเลยก็ไม่น่ารอดเหมือนกัน (ขาดประสบการณ์ ขาด network ขาดคนแนะนำที่ดี ลองมาแล้ว เจ๊ง)" .. ถ้าอ่าน Rich Dad Poor Dad ก็พอจะนึกได้ว่าทรัพย์สินที่ควรมีก็มีประมาณ 5-6 อย่าง (หุ้น, พันธบัตร, สิทธิบัตร, ..) สำรวจสไตล์และความชอบตัวเองแล้วก็คิดว่าหุ้นนี่ละ น่าจะเหมาะ

ก่อนจะเริ่มลงทุน สำคัญกว่า "หุ้นตัวไหน" คือ "หลักการไหน" ที่ใช่สำหรับผม ผมไม่คิดว่ามันเป็นของเล่น ดังนั้นหลักการควรต้องมีเหตุมีผลมากพอที่จะทำให้ผมเชื่อ ก่อนที่จะเสี่ยงนำเงินที่หามาจากน้ำพักน้ำแรงของตนเองร่วม 20 ปี (รวมเวลาทำงานเล็กๆน้อยๆและเก็บเงินตั้งแต่เด็ก) เข้าไปเสี่ยง ตั้งแต่เรียนมหาลัย เพื่อนรอบตัว, อาจารย์, Set in the City หรือ บลจ. หรือ ผู้แนะนำการลงทุนกว่า 80% (คิดว่า) ในสมัยนั้น (หรืออาจสมัยนี้ด้วย) จะพูดถึงแต่กราฟ พยายามหาสมการลึกลับซ่อนเร้นในราคาหุ้น หรือสร้างความเชื่อลมๆแล้งๆว่าซื้อไปเหอะ นานๆเดี๋ยวมันก็ขึ้น ถามไปลึกๆว่า ทำไม ทำไม ทำไม ซัก 3 ชั้นขึ้นไปก็เริ่มตอบไม่ได้ เป็นอย่างนี้ร่วม 4-5 ปี (ก็ยังไม่เริ่มเพราะทุกคำตอบยังทำให้ผมรู้สึกว่ามันเหมือนการพนัน) จนมีโอกาสได้ไปเรียนป.โทที่คณะบริหารธุรกิจที่อ.ไพบูลย์เป็นหนึ่งในทีมงานผู้สอนร่วมถึงปรมาจารย์อีกหลายๆท่านในคณะทื่มีพระคุณให้ความรู้ความเข้าใจในหลักการคิดของธุรกิจ การอ่านงบการเงิน การจัดการองค์กร และไม่เบื่อที่จะตอบคำถามจนถึงแก่นที่เราเชื่อว่ามันเป็นหลักการที่มีความน่าจะเป็นสูงมากในการนำมาปฎิบัติ (ซึ่งก็คล้ายๆกับหลักการ VI ละครับ) จบมา หลายๆคนอาจโยนตำราทิ้ง แต่ผมเสียดาย เงินเรียนก็หามาได้จากการทำงานอันเหน็ดเหนื่อย เลยนำวิชาและหลักการที่เป็นหัวใจของคณะบริหารธุรกิจทุกวิชามาทำเป็น check list แล้วเริ่มจากบริษัทใน ตลท. ที่คิดว่าใกล้ตัวที่สุดกับตอนที่ทำงานเป็นลูกจ้าง
หรือที่เราคิดว่าเข้าใจธุรกิจนั้นได้มากที่สุด มาไล่วิเคราะห์ตาม checklist เลย เรียกว่าวิเคราะห์หุ้นตัวแรกนี่ เปิด text ไป วิเคราะห์ไปเหมือนทำ Thesis แต่ผมไม่เห็นคะแนนหรือใบเกรดจากอาจารย์อยู่ที่ปลายอุโมงค์ ผมเห็นแต่อนาคตบริษัทที่จะสดใสและทำเงินคืนมาได้อย่างยั่งยืน (หรือ ณ ช่วงเวลา cycle ของธุรกิจนั้นๆ) ซึ่งจะเป็นรางวัลจากการวิเคราะห์อย่างละเอียดที่ทำอยู่ ไม่มีอาจารย์มาตรวจ ไม่มีหัวหน้ามาจี้ ไม่มีพ่อแม่มาเข็น มีแต่เรา ความรู้ เงินเรา ความเสี่ยงเรา เวลาเรา ชีวิตของเรา (และครอบครัวที่เราดูแลอยู่ข้างหลัง)

ปัจจุบันลงทุนมาได้ 5-6 ปีแล้วครับ ผลประกอบการ (โดยผมทำบัญชีทั้ง 3 งบของพอร์ตการลงทุนเสมือนเป็นบริษัทๆหนึ่ง ในการประเมินผลงานทุกปีต่อปี) ก็เติบโตทุกปี ชนะตลาดเสมอ รายละเอียดก็คงไม่ต่างกับพี่ๆ VI ท่านอื่นๆ ขนาดพอร์ตรวมทั้งเงินที่ได้จากการลงทุนและเงินเก็บ (ยิ่งรู้ว่าลงทุนแล้วมันงอกเงยยิ่งมีแรงจูงใจในการเก็บเงินมากขึ้น) ก็โตขึ้นมาหลายเท่าอย่างที่ไม่เคยคิด (โดยเฉพาะตอนเป็นลูกจ้างอย่างเดียวคงรู้สึกว่าเงินตอนนี้มันฝันกลางวันชัดๆ) และก็คงจะหมั่นศึกษา, ทำงานหาเงินเพิ่ม และมาลงทุนไปเรื่อยๆครับ ด้วยใจเป็นอยู่ที่พอเพียง .. จบ :)
ทัศนคติในการลงทุนเยี่ยมจริงๆ ครับ
พอจะเล่ารายละเอียดของหลักการในการคัดเลือกหุ้นที่สนใจลงทุนมั้ยครับ

Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก

โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 04, 2015 1:14 pm
โดย yakjabon
ดำ เขียน: ทัศนคติในการลงทุนเยี่ยมจริงๆ ครับ
พอจะเล่ารายละเอียดของหลักการในการคัดเลือกหุ้นที่สนใจลงทุนมั้ยครับ
ยินดีครับ การคัดเลือกหุ้นของผมปัจจุบันคงแบ่งเป็น 2 ขั้นตอนหลักๆ คือ กรองหุ้น แล้ว วิเคราะห์หุ้น

1) กรองหุ้น .. เนื่องจากหุ้นในตลาดมีเยอะมาก การพลิกหินทุกก้อนย่อมมีโอกาสเจอขุมทรัพย์มากกว่าเป็นเรื่องที่จริงครับ แต่ทุกคนมีต้นทุนเวลาไม่เท่ากัน สำหรับคนที่มีเวลาไม่มากพอที่จะพลิกหินทุกก้อน การเลือกว่าพลิกหินก้อนไหนก่อนดีจะมีโอกาสชนะมากกว่าตามกฎ 80/20 (http://en.wikipedia.org/wiki/Pareto_principle) และใช้เวลาคุ้มค่าที่สุด จึงเป็นส่วนสำคัญ ผมแบ่งเป็นประเภทย่อยได้ตามนี้ครับ:

1.1) กรองหุ้นผ่านการใช้ชีวิตประจำวัน (ไม่จำเป็นต้องมีเวลาว่างเป็นพิเศษ ทำตัวตามธรรมชาติ) .. อาทิเช่น

1.1.1) อ่านหนังสือพิมพ์ตอนเช้าๆ ... เวลาเดินทางไปทำงานขณะอยู่บนรถไฟฟ้าหรือรถประจำทาง (ถ้าใครเคยอ่าน Common Stocks and Uncommon Profits ของ Philip A. Fisher กับชีวประวัติของเขา ในวันธรรมดาผมก็ใช้ชีวิตคล้ายๆอย่างนั้น) เพื่อหาข่าวสารที่อาจมีผลกระทบกับอุตฯของบริษัทที่เราถืออยู่และอุตฯอื่นๆที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจที่อาจมีผลต่อกิจการโดยรวม ผมจะอ่านเฉพาะ fact ที่เกิดขึ้นจริงแล้วหรือมีการเซ็นต์สัญญาแล้วหรือมีการลงทุนอย่างเป็นรูปธรรมแล้วของผู้บริหารเท่านั้น ผมจะอ่านข้ามข่าวเก็ง ข่าวลือ ใครจะคาดอย่างนั้น เซียนว่าอย่างนี้ เพราะมันจะทำให้การวิเคราะห์มี bias เพิ่มขึ้น (และไม่มีประโยชน์เพราะผลเกิดขึ้นจากการกระทำ และผู้มีอำนาจกระทำ คือ ผู้บริหารในบริษัทเท่านั้น ไม่ใช่เซียน) ถ้ามีอุตฯไหนที่เข้าตาก็จะจำไว้เพื่อนำมากรองหุ้นแบบนั่งกรองกันเลยจริงๆ (ข้อ 1.2.1) เพื่อ scope down ให้เหลือแค่ 1-2 บริษัทสำหรับวิเคราะห์ (ข้อ 2) ในภายหลังเมื่อมีเวลา

1.1.2) พลิกทุกอย่างที่กินที่ใช้ ... โดยเฉพาะที่ชอบ ผมชอบลองกิน ลองใช้อะไรใหม่ๆ และผมจะพลิกดูชื่อผู้ผลิตและบริษัทจัดจำหน่ายทุกครั้ง รวมถึงบริการของสถานที่ต่างๆที่เราไปใช้บริการ แล้วพยายามโยงความสัมพันธ์กับฐานข้อมูลธุรกิจในไทยที่เราเคยมีในหัวเดิม แล้วคิดว่ามีโอกาสรุ่งมั้ย ถ้ามีก็จำไว้เพื่อนำไปวิเคราะห์ (ข้อ 2) ในภายหลังเมื่อมีเวลา

1.1.3) คนอื่นเขาว่าดี ... ในที่นี้ไม่ใช่หุ้น แต่เวลาคนรอบตัวทั้ง พ่อแม่, พี่น้อง, แฟน, เพื่อน, หัวหน้า, ลูกน้อง, คนรู้จัก, คนเดินสวนกันแล้วเขาคุยกับเพื่อนข้างๆ หรือกระทั่งกระทู้ใน facebook line twitter พันทิพ พันแท้ พันอะไรต่างๆ ฯลฯ บอกว่าผลิตภัณฑ์ไหนออกใหม่มาดี ร้านอาหารเปิดใหม่อร่อยฝุดๆต้องลอง ก็เร่งเข้าสอบถามอากู๋ Google หาข้อมูลผู้ผลิตและบริษัทจัดจำหน่าย แล้วพยายามโยงความสัมพันธ์กับฐานข้อมูลธุรกิจในไทยที่เราเคยมีในหัวเดิม แล้วคิดว่ามีโอกาสรุ่งมั้ย ถ้ามีก็จำไว้เพื่อนำไปวิเคราะห์ (ข้อ 2) ในภายหลังเมื่อมีเวลา

1.1.4) ข้อมูล Insider จากงานที่ทำ ... บางคนใช้วิธีนี้ แต่ผมขอไม่ใช้ด้วยความเชื่อส่วนตัวว่า เราไม่ชอบให้คนอื่นโกง เราก็อย่าโกงเสียเอง ผมเลยไม่ลงทุนในอุตฯที่เราทำงานในหมวกของลูกจ้างที่อาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนโดยตรงครับ

1.1.5) คุยกับเพื่อนคอเดียวกัน ... ถ้าเป็นเพื่อน VI ด้วยกันที่เรารู้ว่าเขามีสไตล์การมองธุรกิจคล้ายๆเรา บางครั้งก็ได้บริษัทที่เราคิดว่าน่าสนใจเพื่อนำไปวิเคราะห์ (ข้อ 2) ในภายหลังเมื่อมีเวลา (อย่าเชื่อ เพียงเพราะคนอื่นเชื่อ ต้องเชื่อเพราะเราประจักษ์แล้วด้วยตัวเอง)

1.2) กรองหุ้นแบบนั่งกรองกันเลยจริงๆ (อันนี้ต้องมีเวลาว่าง มี laptop 1 เครื่อง มีอินเตอร์เน็ตต่อได้ แล้วลุยกัน) .. อาทิเช่น

1.2.1) กรองงบการเงินด้วยอัตราส่วนต่างๆ ... อันนี้น่าจะมีคนเขียนรายละเอียดไว้เยอะอยู่แล้วครับ ลองหาหนังสืออ่านได้ แล้วแต่ใครศรัทธาอัตราส่วนไหนบ้างนำมาใช้ทุกตัวแล้วแต่อุตฯที่เหมาะสมด้วย เช่น P/E, P/BV, D/E, CL/CA, % growth yoy, Dividend yield, Dividend payout ratio, Market capital, Market share, ROE, ROA, GPM, NPM, PEG, PEGR, ... (โอว เยอะ!) หรือจะสร้างอัตราส่วนของตัวเองเพื่อใช้ในการคัดกรองก็ได้ครับ แล้วแต่ศรัทธา โดย common sense เราจะทราบอยู่แล้วว่าตัวเลขไหนคือ ดี ตัวเลขไหนคือ โยนทิ้งเถอะ แล้วเรียงบริษัททั้งตลาดเลยจากตัวเลขดีสุดของอัตราส่วนที่เราเลือกมาใช้ แล้วโหลดงบสามเทพ (I/S, B/S, CF/S) มา scan (ดูคร่าวๆนะครับ ยังไม่ดูละเอียด) จนได้ short list ที่เราคิดว่า scan แล้วดูพอมีอนาคตมาเพื่อนำไปวิเคราะห์ต่อ (ข้อ 2) ในภายหลังเมื่อมีเวลา (จากประสบการณ์ถ้านั่งร้านกาแฟตั้งแต่ห้างเปิดยันมื้อเย็นก็น่าจะscan ได้สัก 200+ ตัว แต่ short list มาได้ไม่เกิน 5 ตัว ขึ้นอยู่กับว่าตอนนั้นเราใช้อัตราส่วนไหนเป็นเกณฑ์)

1.2.2) Demographic analysis ... เป็นการวิเคราะห์เชิงทำเลที่ตั้ง โดยผมใช้หลัก Diamond Model ของ Michael E. Porter ตามที่เคยเรียนวิชา Microeconomics มาวิเคราะห์ (http://en.wikipedia.org/wiki/Diamond_model) ก็ต้องกำหนดก่อนว่าเราจะมองภาพใหญ่แค่ไหน เช่น ตลาดเอเชีย, ตลาดอาเซียน, ตลาดไทย, หรือเฉพาะภาคเหนือ-กลาง-ใต้-ออก-ตก ซึ่งจะช่วยให้เรา scope down อุตฯที่เราควรจะสนใจได้ ก่อนจะนำไปกรองละเอียด (ข้อ 1.2.1) เพื่อ scope down ให้เหลือแค่ 1-2 บริษัทสำหรับวิเคราะห์ (ข้อ 2) ในภายหลังเมื่อมีเวลา

1.2.3) ฟังสัมมนา ... ตามนั้นครับ บางทีวิทยากรก็อาจพูดถึง Mega Trend หรือบริษัทมาแรง หรือหุ้นเด็ดที่เราอาจสนใจและนำไปวิเคราะห์ (ข้อ 2) ในภายหลังเมื่อมีเวลา แต่ส่วนตัวผมเชื่อว่า (แค่เชื่อแบบไม่มีหลักการ) ข้อมูลที่ได้จากการสัมมนาใหญ่ๆโดยเฉพาะตลาดร้อนๆช่วงนี้ มักเป็นข้อมูลของตลาดวายแล้ว เลยบางทีทำตรงกันข้าม คือ บริษัทที่ถูกเอ่ยถึงในงานสัมมนาแทนที่จะนำไปวิเคราะห์ต่อ กลับหลีกเลี่ยงที่จะสนใจเพราะคงมีโบรกเกอร์อีกเป็นร้อยที่มีเวลายิ่งกว่า full-time และนักลงทุนรายย่อยอีกเป็นพันกำลังจ้องตัวนั้นอยู่

(อันนี้ คือ วิธีกรองหุ้นเท่าที่นึกได้ตอนนี้ครับ)

2) วิเคราะห์หุ้น .. คร่าวๆที่ผมวิเคราะห์ คือ งบสามเทพย้อนหลังอย่างน้อย 10 ปีและอย่างละเอียดรายไตรมาสย้อนหลังอย่างน้อย 3 ปี, อัตราส่วนทางการเงินเพื่อการดำเนินธุรกิจ, เป้าหมายและทัศนคติของบริษัท, Five Force (+1), 4P (+1), ผู้บริหาร, โครงสร้างผู้ถือหุ้นและโครงสร้างทุน, Organization chart, SWOT, SPEELTD, กลยุทธ์ของบริษัท (แบ่งปัน Offensive, Defensive, Win without War), Diamond Model, Scuttlebutt (เกี่ยวกับธุรกิจ เช่น Customer, Supplier, Competitor, ลองใช้เอง), Scuttlebutt (นักลงทุน VI ด้วยกัน), สรุปข้อดี-ข้อเสียบริษัทใน 2 นาที (ตามสูตร One Up on Wall street โดย Peter Lynch คือ ถ้าคุณคิดแล้วว่าคุณเข้าใจจริง ไหนลองสรุปให้เพื่อนข้างๆที่ไม่รู้จักบริษัทนี้เลยภายใน 2 นาทีสิ) และสุดท้าย คือ วิเคราะห์ ราคา Price spread เทียบกับผลตอบแทนและ MOS ในใจ

เขียนไปเขียนมาเริ่มยาวครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ให้เพื่อนๆนักลงทุนคนอื่นๆไม่มากก็น้อยมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์และช่วยกันปรัปรุงคุณภาพการวิเคราะห์ของแต่ละคนกันนะครับ ไว้ถ้าสนใจ มีเวลา จะมาเขียนต่อรายละเอียดของการวิเคราะห์หุ้น (ข้อ 2) ครับ หรือถ้าสนใจถามรายละเอียดเพิ่มเติมของการกรองหุ้น (ข้อ 1) ก็ถามได้ครับ :B

หมายเหตุ: รวมทฤษฎีทางวิชาการที่ผมนำมาวิเคราะห์หุ้นโดยสามารถเข้า wiki (http://en.wikipedia.org/) แล้ว search keyword ตามด้านล่าง (ความรู้ฟรี) ดังนี้ครับ
- Theory of planned behavior
- Strategic planning
- Value theory
- Porter five forces analysis
- Marketing mix
- Capital structure
- Enterprise value
- Cost of capital
- Weighted average cost of capital
- Shareholder
- Shareholder value
- Organizational chart
- Organizational structure
- SWOT analysis
- PEST analysis
- Strategic management
- Game theory
- Strategic thinking
- Diamond model
- Market research
- Mystery shopping
- Competitive advantage
- Gambler's fallacy
- Herd mentality
- Stock selection criterion

Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก

โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 04, 2015 3:56 pm
โดย ดำ
อ่านกระบวนการวิเคราะห์หุ้นของคุณ yakjabon แล้ว รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นเด็กอมมือไปเลย ทั้งครบถ้วน ทั้งละเอียด

ขอบคุณครับที่แชร์ความรู้ให้

Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ เม.ย. 05, 2015 10:43 am
โดย dome@perth
yakjabon เขียน:
ดำ เขียน: ทัศนคติในการลงทุนเยี่ยมจริงๆ ครับ
พอจะเล่ารายละเอียดของหลักการในการคัดเลือกหุ้นที่สนใจลงทุนมั้ยครับ
ยินดีครับ การคัดเลือกหุ้นของผมปัจจุบันคงแบ่งเป็น 2 ขั้นตอนหลักๆ คือ กรองหุ้น แล้ว วิเคราะห์หุ้น

1) กรองหุ้น .. เนื่องจากหุ้นในตลาดมีเยอะมาก การพลิกหินทุกก้อนย่อมมีโอกาสเจอขุมทรัพย์มากกว่าเป็นเรื่องที่จริงครับ แต่ทุกคนมีต้นทุนเวลาไม่เท่ากัน สำหรับคนที่มีเวลาไม่มากพอที่จะพลิกหินทุกก้อน การเลือกว่าพลิกหินก้อนไหนก่อนดีจะมีโอกาสชนะมากกว่าตามกฎ 80/20 (http://en.wikipedia.org/wiki/Pareto_principle) และใช้เวลาคุ้มค่าที่สุด จึงเป็นส่วนสำคัญ ผมแบ่งเป็นประเภทย่อยได้ตามนี้ครับ:

1.1) กรองหุ้นผ่านการใช้ชีวิตประจำวัน (ไม่จำเป็นต้องมีเวลาว่างเป็นพิเศษ ทำตัวตามธรรมชาติ) .. อาทิเช่น

1.1.1) อ่านหนังสือพิมพ์ตอนเช้าๆ ... เวลาเดินทางไปทำงานขณะอยู่บนรถไฟฟ้าหรือรถประจำทาง (ถ้าใครเคยอ่าน Common Stocks and Uncommon Profits ของ Philip A. Fisher กับชีวประวัติของเขา ในวันธรรมดาผมก็ใช้ชีวิตคล้ายๆอย่างนั้น) เพื่อหาข่าวสารที่อาจมีผลกระทบกับอุตฯของบริษัทที่เราถืออยู่และอุตฯอื่นๆที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจที่อาจมีผลต่อกิจการโดยรวม ผมจะอ่านเฉพาะ fact ที่เกิดขึ้นจริงแล้วหรือมีการเซ็นต์สัญญาแล้วหรือมีการลงทุนอย่างเป็นรูปธรรมแล้วของผู้บริหารเท่านั้น ผมจะอ่านข้ามข่าวเก็ง ข่าวลือ ใครจะคาดอย่างนั้น เซียนว่าอย่างนี้ เพราะมันจะทำให้การวิเคราะห์มี bias เพิ่มขึ้น (และไม่มีประโยชน์เพราะผลเกิดขึ้นจากการกระทำ และผู้มีอำนาจกระทำ คือ ผู้บริหารในบริษัทเท่านั้น ไม่ใช่เซียน) ถ้ามีอุตฯไหนที่เข้าตาก็จะจำไว้เพื่อนำมากรองหุ้นแบบนั่งกรองกันเลยจริงๆ (ข้อ 1.2.1) เพื่อ scope down ให้เหลือแค่ 1-2 บริษัทสำหรับวิเคราะห์ (ข้อ 2) ในภายหลังเมื่อมีเวลา

1.1.2) พลิกทุกอย่างที่กินที่ใช้ ... โดยเฉพาะที่ชอบ ผมชอบลองกิน ลองใช้อะไรใหม่ๆ และผมจะพลิกดูชื่อผู้ผลิตและบริษัทจัดจำหน่ายทุกครั้ง รวมถึงบริการของสถานที่ต่างๆที่เราไปใช้บริการ แล้วพยายามโยงความสัมพันธ์กับฐานข้อมูลธุรกิจในไทยที่เราเคยมีในหัวเดิม แล้วคิดว่ามีโอกาสรุ่งมั้ย ถ้ามีก็จำไว้เพื่อนำไปวิเคราะห์ (ข้อ 2) ในภายหลังเมื่อมีเวลา

1.1.3) คนอื่นเขาว่าดี ... ในที่นี้ไม่ใช่หุ้น แต่เวลาคนรอบตัวทั้ง พ่อแม่, พี่น้อง, แฟน, เพื่อน, หัวหน้า, ลูกน้อง, คนรู้จัก, คนเดินสวนกันแล้วเขาคุยกับเพื่อนข้างๆ หรือกระทั่งกระทู้ใน facebook line twitter พันทิพ พันแท้ พันอะไรต่างๆ ฯลฯ บอกว่าผลิตภัณฑ์ไหนออกใหม่มาดี ร้านอาหารเปิดใหม่อร่อยฝุดๆต้องลอง ก็เร่งเข้าสอบถามอากู๋ Google หาข้อมูลผู้ผลิตและบริษัทจัดจำหน่าย แล้วพยายามโยงความสัมพันธ์กับฐานข้อมูลธุรกิจในไทยที่เราเคยมีในหัวเดิม แล้วคิดว่ามีโอกาสรุ่งมั้ย ถ้ามีก็จำไว้เพื่อนำไปวิเคราะห์ (ข้อ 2) ในภายหลังเมื่อมีเวลา

1.1.4) ข้อมูล Insider จากงานที่ทำ ... บางคนใช้วิธีนี้ แต่ผมขอไม่ใช้ด้วยความเชื่อส่วนตัวว่า เราไม่ชอบให้คนอื่นโกง เราก็อย่าโกงเสียเอง ผมเลยไม่ลงทุนในอุตฯที่เราทำงานในหมวกของลูกจ้างที่อาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนโดยตรงครับ

1.1.5) คุยกับเพื่อนคอเดียวกัน ... ถ้าเป็นเพื่อน VI ด้วยกันที่เรารู้ว่าเขามีสไตล์การมองธุรกิจคล้ายๆเรา บางครั้งก็ได้บริษัทที่เราคิดว่าน่าสนใจเพื่อนำไปวิเคราะห์ (ข้อ 2) ในภายหลังเมื่อมีเวลา (อย่าเชื่อ เพียงเพราะคนอื่นเชื่อ ต้องเชื่อเพราะเราประจักษ์แล้วด้วยตัวเอง)

1.2) กรองหุ้นแบบนั่งกรองกันเลยจริงๆ (อันนี้ต้องมีเวลาว่าง มี laptop 1 เครื่อง มีอินเตอร์เน็ตต่อได้ แล้วลุยกัน) .. อาทิเช่น

1.2.1) กรองงบการเงินด้วยอัตราส่วนต่างๆ ... อันนี้น่าจะมีคนเขียนรายละเอียดไว้เยอะอยู่แล้วครับ ลองหาหนังสืออ่านได้ แล้วแต่ใครศรัทธาอัตราส่วนไหนบ้างนำมาใช้ทุกตัวแล้วแต่อุตฯที่เหมาะสมด้วย เช่น P/E, P/BV, D/E, CL/CA, % growth yoy, Dividend yield, Dividend payout ratio, Market capital, Market share, ROE, ROA, GPM, NPM, PEG, PEGR, ... (โอว เยอะ!) หรือจะสร้างอัตราส่วนของตัวเองเพื่อใช้ในการคัดกรองก็ได้ครับ แล้วแต่ศรัทธา โดย common sense เราจะทราบอยู่แล้วว่าตัวเลขไหนคือ ดี ตัวเลขไหนคือ โยนทิ้งเถอะ แล้วเรียงบริษัททั้งตลาดเลยจากตัวเลขดีสุดของอัตราส่วนที่เราเลือกมาใช้ แล้วโหลดงบสามเทพ (I/S, B/S, CF/S) มา scan (ดูคร่าวๆนะครับ ยังไม่ดูละเอียด) จนได้ short list ที่เราคิดว่า scan แล้วดูพอมีอนาคตมาเพื่อนำไปวิเคราะห์ต่อ (ข้อ 2) ในภายหลังเมื่อมีเวลา (จากประสบการณ์ถ้านั่งร้านกาแฟตั้งแต่ห้างเปิดยันมื้อเย็นก็น่าจะscan ได้สัก 200+ ตัว แต่ short list มาได้ไม่เกิน 5 ตัว ขึ้นอยู่กับว่าตอนนั้นเราใช้อัตราส่วนไหนเป็นเกณฑ์)

1.2.2) Demographic analysis ... เป็นการวิเคราะห์เชิงทำเลที่ตั้ง โดยผมใช้หลัก Diamond Model ของ Michael E. Porter ตามที่เคยเรียนวิชา Microeconomics มาวิเคราะห์ (http://en.wikipedia.org/wiki/Diamond_model) ก็ต้องกำหนดก่อนว่าเราจะมองภาพใหญ่แค่ไหน เช่น ตลาดเอเชีย, ตลาดอาเซียน, ตลาดไทย, หรือเฉพาะภาคเหนือ-กลาง-ใต้-ออก-ตก ซึ่งจะช่วยให้เรา scope down อุตฯที่เราควรจะสนใจได้ ก่อนจะนำไปกรองละเอียด (ข้อ 1.2.1) เพื่อ scope down ให้เหลือแค่ 1-2 บริษัทสำหรับวิเคราะห์ (ข้อ 2) ในภายหลังเมื่อมีเวลา

1.2.3) ฟังสัมมนา ... ตามนั้นครับ บางทีวิทยากรก็อาจพูดถึง Mega Trend หรือบริษัทมาแรง หรือหุ้นเด็ดที่เราอาจสนใจและนำไปวิเคราะห์ (ข้อ 2) ในภายหลังเมื่อมีเวลา แต่ส่วนตัวผมเชื่อว่า (แค่เชื่อแบบไม่มีหลักการ) ข้อมูลที่ได้จากการสัมมนาใหญ่ๆโดยเฉพาะตลาดร้อนๆช่วงนี้ มักเป็นข้อมูลของตลาดวายแล้ว เลยบางทีทำตรงกันข้าม คือ บริษัทที่ถูกเอ่ยถึงในงานสัมมนาแทนที่จะนำไปวิเคราะห์ต่อ กลับหลีกเลี่ยงที่จะสนใจเพราะคงมีโบรกเกอร์อีกเป็นร้อยที่มีเวลายิ่งกว่า full-time และนักลงทุนรายย่อยอีกเป็นพันกำลังจ้องตัวนั้นอยู่

(อันนี้ คือ วิธีกรองหุ้นเท่าที่นึกได้ตอนนี้ครับ)

2) วิเคราะห์หุ้น .. คร่าวๆที่ผมวิเคราะห์ คือ งบสามเทพย้อนหลังอย่างน้อย 10 ปีและอย่างละเอียดรายไตรมาสย้อนหลังอย่างน้อย 3 ปี, อัตราส่วนทางการเงินเพื่อการดำเนินธุรกิจ, เป้าหมายและทัศนคติของบริษัท, Five Force (+1), 4P (+1), ผู้บริหาร, โครงสร้างผู้ถือหุ้นและโครงสร้างทุน, Organization chart, SWOT, SPEELTD, กลยุทธ์ของบริษัท (แบ่งปัน Offensive, Defensive, Win without War), Diamond Model, Scuttlebutt (เกี่ยวกับธุรกิจ เช่น Customer, Supplier, Competitor, ลองใช้เอง), Scuttlebutt (นักลงทุน VI ด้วยกัน), สรุปข้อดี-ข้อเสียบริษัทใน 2 นาที (ตามสูตร One Up on Wall street โดย Peter Lynch คือ ถ้าคุณคิดแล้วว่าคุณเข้าใจจริง ไหนลองสรุปให้เพื่อนข้างๆที่ไม่รู้จักบริษัทนี้เลยภายใน 2 นาทีสิ) และสุดท้าย คือ วิเคราะห์ ราคา Price spread เทียบกับผลตอบแทนและ MOS ในใจ

เขียนไปเขียนมาเริ่มยาวครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ให้เพื่อนๆนักลงทุนคนอื่นๆไม่มากก็น้อยมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์และช่วยกันปรัปรุงคุณภาพการวิเคราะห์ของแต่ละคนกันนะครับ ไว้ถ้าสนใจ มีเวลา จะมาเขียนต่อรายละเอียดของการวิเคราะห์หุ้น (ข้อ 2) ครับ หรือถ้าสนใจถามรายละเอียดเพิ่มเติมของการกรองหุ้น (ข้อ 1) ก็ถามได้ครับ :B

หมายเหตุ: รวมทฤษฎีทางวิชาการที่ผมนำมาวิเคราะห์หุ้นโดยสามารถเข้า wiki (http://en.wikipedia.org/) แล้ว search keyword ตามด้านล่าง (ความรู้ฟรี) ดังนี้ครับ
- Theory of planned behavior
- Strategic planning
- Value theory
- Porter five forces analysis
- Marketing mix
- Capital structure
- Enterprise value
- Cost of capital
- Weighted average cost of capital
- Shareholder
- Shareholder value
- Organizational chart
- Organizational structure
- SWOT analysis
- PEST analysis
- Strategic management
- Game theory
- Strategic thinking
- Diamond model
- Market research
- Mystery shopping
- Competitive advantage
- Gambler's fallacy
- Herd mentality
- Stock selection criterion
Wow! Thank you

Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 06, 2015 2:17 pm
โดย chowbe76
SawScofield เขียน: 3. ไอ่นี่ valuation แม่นมากนะออกมากี่บาทๆเลย !!! -> แน่นอนว่าพอเราเริ่มลงทุนก็จะมีกลุ่มเพื่อนๆลงทุนตามๆกันครับก็จะเริ่มรู้ว่าคนนู้นก็เล่นหุ้นคนนี้ก็มีหุ้น แชร์กันใครซื้ออะไรถืออะไรมีตัวไหน จนวันนึงเพื่อนในกลุ่มที่สนิทกันก็เล่าให้ฟังว่า รู้จักไอ่ K รึยังเพื่อนไอ่ B เค้าบอกว่าไอ่นี่ valuation แม่นมากๆนะออกมาเป็นเป้ากี่บาทๆเลย อู้หูววว แม่เจ้าเว้ย นี่ไงล่ะทางที่เราหา อะหรอๆ แล้วมันทำยังไงๆ ... มันอ่านมาจากหนังสือ 2 เล่มว่ะ "Security Analysis" ของเบนจามิน แกรแฮม กับ "One up on wall street" ของ ปีเตอร์ ลินช์ว่ะ

ด้วยความที่ "One up on wall street" เป็นเล่มที่มีแปลไทย (ภาษาอังกฤษตอนนั้นอ่อนแอกว่าตอนนี้มากครับ) เลยมีหนังสือการลงทุนเล่มแรกกับเค้าและฝากตัวเป็นศิษย์ลุงหัวขาวที่ชื่อ Peter Lynch ผ่านตัวหนังสือครับ :) และหลังจากนั้นก็เริ่มสะสมหนังสือการลงทุนทรงคุณค่าอีกหลายต่อหลายเล่มเช่นทุกท่าน และเริ่มรู้จัก ThaiVI ถัดจากนั้นไม่นานครับ จากนั้นจึงค่อยสั่งสมวิธีประเมินมูลค่ามาเรื่อยๆครับ ^^
ศิษย์สำนักเดียวกัน ขอคารวะศิษย์พี่หนึ่งจอกครับ

Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 06, 2015 4:35 pm
โดย เบี้ยว
สุดยอดมากเลยครับคุณ yakjabon ทั้งวิธีการกรองหุ้นและวิเคราะห์หุ้น