Re: ปลดล็อคผลตอบแทนให้สูงขึ้นด้วยการก้าวข้ามกับดักบนเส้นทาง
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 19, 2017 10:54 pm
ขอบคุณ ที่แชร์ครับ
เว็บบอร์ดการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้น วีไอ แนวทางลงทุน คลังความรู้หุ้นวีไอ แหล่งรวมนักลงทุนหุ้นวีไอที่ใหญ่ที่สุด พร้อมรับสมาชิก VIP มีหมวดลงทุน ร้อยคนร้อยหุ้น คอมเม้นและข้อมูลดีๆ จากนักลงทุนเน้นคุณค่าผู้มีประสบการณ์ ข้อมูล Oppday ของหุ้นวีไอ
https://v3.thaivi.org/
จากบทความ เราจะเห็นว่า พี่โจไม่ยึดติดในหุ้น ไม่รักหุ้น พี่โจปรับพอร์ตอยู่เสมอๆ ศึกษาหุ้นทุกตัวในตลาด ซึ่งนักลงทุนทั่วไปส่วนใหญ่ศึกษากันแค่ไม่กี่ตัว พอเจอหุ้นที่ชอบก็จะหยุดหาหุ้นใหม่ๆต่อ รักหุ้นหัวปักหัวปรำ พี่โจลงทุนเหมือนทำธุรกิจ คือต้องเข้าใจกิจการที่จะลงทุนให้ถ่องแท้ คำนวณกำไรในอนาคต คำนวณมูลค่าที่แท้จริงในอนาคตให้ได้ และนี่คือวิธีคิดที่จะทำให้ได้ผลตอบแทนที่สูงต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อพอร์ตใหญ่มากขึ้น ก็จำเป็นต้องกระจายจำนวนหุ้นมากขึ้น หรือจำเป็นต้องเลือกลงทุนในหุ้นใหญ่ๆแทน และการจะสร้างผลตอบแทนสูงมากเหมือนเดิมย่อมเป็นไปได้ยาก20/1/17 แนวคิดในการลงทุนของคุณ โจ ลูกอีสาน
หลายวันก่อนในรายการ Money Talk ตอนหนึ่ง อาจารย์ไพบูลย์ ผู้จัดรายการ หลุดปากออกมากว่าคุณอนุรักษ์ บุญแสวง หรือโจลูกอีสาน อดีตนายกสมาคม Thai VI ขณะนี้พอร์ตแตะระดับพันล้านแล้ว คุณโจและ ดร.นิเวศน์ เป็นนักลงทุนแนวเน้นคุณค่าที่ผมชื่นชอบที่สุด จึงอยากนำแนวคิดเขามานำเสนอครับ
ประวัติของคุณโจสั้นๆ เขาเป็นเด็กพังงา ที่บ้านมีฐานะยากจน ด้วยการส่งเสริมของญาติๆทำให้ได้มาเรียนมอปลายที่กรุงเทพ เขาสนใจลงทุนในหุ้นตั้งแต่อยู่มอ 4 เพราะได้รับแรงบันดาลใจจากคุณอา เจ้าตัวจริงๆอยากเรียนเศรษฐศาสตร์ แต่ดันสอบเอนติดวิทยาศาสตร์อาหาร สมัยเรียนปริญญาตรีเกรดก็ไม่ดีเพราะไม่ตั้งใจ ที่ตั้งใจมากกว่าคือนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจอยู่ในห้องสมุด หลังจากเรียนจบ เขาไปเรียนปริญญาตรีอีกใบด้านบริหารธุรกิจ(หรือการเงิน)ที่รามคำแหง เพราะอยากวิเคราะห์งบการเงินเป็น ทำงานไปเรียนไป แล้วคุณโจก็เริ่มชีวิตนักลงทุนเมื่อปี 2541 ใช้เงินเก็บของตัวเองรวมกับเงินแม่และเงินเพื่อน โดยลงทุนในหุ้นไฟแนนซ์ ผลก็คือเขาสูญเสียเงินต้นไป 60%
เขาเลียแผลอยู่ 2-3 ปี โดยติดตามแฟนที่ได้รับทุนไปเรียนปริญญาเอกที่สหรัฐ ส่วนเขาไปล้างจานตามร้านอาหาร เงินเก็บจำนวน 8 แสนบาทของเขาและภรรยา กลายเป็นเงินทุนที่ให้เขากลับมาลงทุนใหม่อีกครั้งในแนวทางเน้นคุณค่า
ตลอด 15 ปี บนเส้นแนวทาง VI พอร์ตของคุณโจขยายตัวเฉลี่ยปีละ 60% เป็นตัวเลขที่ไม่น่าจะมีใครทำได้อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าใช้แค่เงินตัวเอง ลองคิดเล่นๆดู คุณโจได้กำไรมาแล้วมากกว่า 1,000 เท่า ถ้าไม่เอาออกไปเป็นค่าใช้จ่ายบ้าง ก็คงเยอะกว่านี้อีก - -“
เขาผิดหวังที่ซื้อรถเร็ว เพราะทำให้ความมั่งคั่งสุทธิหายไปเยอะ ถึงจะเป็นเงินต้นไม่กี่แสนบาท แต่มูลค่าในอนาคตที่หายไปนั้นสูงมาก ความผิดพลาดนี้คงจะคุ้นๆกันดีสำหรับหลายๆคน
คุณโจชอบพูดถึงเรื่อง ‘วงจรของความรุ่งเรือง’ เริ่มต้นจากการขยันศึกษาหาความรู้ ใช้วิธีการลงทุนที่ถูกต้อง เมื่อได้กำไรก็เกิดความมั่นใจ ศึกษาเพิ่มเติม ลงทุนต่อ ได้กำไรเพิ่มขึ้นไปอีก มั่นใจขึ้นไปอีก ศึกษาอีก ลงทุนอีก ไปเรื่อยๆ ถ้าใครทำได้ รวยวนๆไปแน่ (ส่วน ‘วงจรแห่งความย่อยยับ’ นี่เริ่มต้นด้วย ไม่ศึกษา ลงทุนอย่างผิดๆ ขาดทุน ใครทำได้ก็จนวนๆไปชัวร์เหมือนกัน )
เขาประกาศเป็นประจำทุกงานที่ไปพูดว่า VI เป็นแนวทางที่มีเหตุผลที่สุดแล้ว และกำไรของบริษัทคือ ‘เจ้ามือตัวจริง’ บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ราคาหุ้นไม่ขึ้นนั้นไม่มี ถ้าใครเจอเขาท้าให้มาบอกด้วย
หาหุ้นยังไง ? คุณโจบอกว่า เขา ‘พลิกหินดูทุกก้อน’ ศึกษาทุกตัว จึงรู้จักหุ้นเป็นจำนวนมาก บางคนจึงเรียกเขาว่า เป็น Peter Lynch แห่งเมืองไทย สมัยหนึ่งหลังจากไปส่งลูกที่โรงเรียน เขาจะต้องกลับมาอ่านข่าวจากเว็บตลาดหลักทรัพย์ ที่บริษัทต่างๆรายงานเข้ามาทุกเช้า ในปัจจุบันเขาถือหุ้นอยู่ประมาณ 100 ตัว ทั้งไทยและเวียดนาม แต่ก็คงมีตัวหลักๆไม่กี่ตัว คุณโจเป็น VI ที่ถือหุ้นไม่นาน ถ้าซื้อแล้วผ่านไปหนึ่งปีไม่ขึ้นเขาก็ขาย ถ้าขึ้นตามเป้าหมายก็ขาย ดังนั้นเขาต้องคิดหุ้นใหม่ตลอดเวลา แต่หลังๆก็เริ่มถือยาวบ้างเพราะพอร์ตใหญ่
หัวใจของ VI ในมุมมองคุณโจลูกอีกสาน 1. มองหุ้นเป็นธุรกิจ 2. คำนวณมูลค่าที่แท้จริงให้ได้ 3. ซื้อเมื่อมีส่วนเผื่อความปลอดภัย (Margin of Safety) เช่น 30% 4. เป็นอิสระจากอารมณ์ตลาด และใช้มันให้เป็นประโยชน์ ส่วนเหตุผลในการขายหุ้นคือ 1. เจอหุ้นที่ดีกว่า 2. พื้นฐานเปลี่ยน 3. ราคาสูงเกินมูลค่าที่แท้จริง
เขายังมีความเห็นว่า VI และเทคนิคมีความขัดแย้งกัน ไม่ควรเอามาใช้ด้วยกัน
คุณโจชอบหุ้นขนาดกลางและเล็กเพราะมีโอกาสโตมากกว่า และโอกาสที่หุ้นขนาดใหญ่จะมีราคาต่ำกว่ามูลค่ามีไม่มากนัก เนื่องจากมีนักวิเคราะห์นักลงทุนรายใหญ่และสถาบันทั้งไทยและเทศติดตามอยู่อย่างใกล้ชิด เกี่ยวกับเรื่องสภาพคล่องของหุ้นเขามองว่าไม่สำคัญ นอกจากนี้เขายังไม่ชอบหุ้นกระแส เช่น พลังงานทดแทน
“เป็นนักลงทุนต้องมีความเป็นอิสระสูง ผมจึงชอบอยู่ต่างจังหวัด และแทบไม่ได้คุยกับนักลงทุนรายอื่น เพราะไม่ต้องการให้มามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ” คุณโจเคยเคยพูดแบบนี้ ซึ่งก็คล้ายๆ Warren Buffett ที่ปักหลักอยู่ที่ Omaha ไม่ยอมไปอยู่ใกล้ๆ Wallstreet
คุณโจเคยบอกว่า ได้ลองคิดเล่นๆ หากมีเงินซักหมื่นล้าน จะประกาศบริจาคให้สังคม และให้นายกรัฐมนตรีเป็นคนมารับไป ^ ^
ผมไม่เคยวาง stop ความเสียหายจากการลดลงของราคาหุ้นครับ ถ้าหุ้นยิ่งลง แต่ปัจจัยพื้นฐานต่างๆยังเหมือนเดิม ก็ยิ่งต้องซื้อเพิ่มครับ แนวทาง VI และ เทคนิกต่างกันโดยสิ้นเชิงALOHAYONG เขียน:ขอบคุณ พี่ skyforever ที่แบ่งปันประสบการณ. มีประโยชนมากๆครับ
เรียนถามเพิ่ม. พี่มีวางกลยุทธ stop ความเสียหายไหม ในกรณีเจอเหตุการณ์ พิเศษ เช่นเดือนตุลา ปี 16. เช่น ถ้าพอร์ตลดลง ถึงระดับนี้ ให้ ขายลดความเสี่ยงก่อนแล้วค่อยกลับมาซื้อไหม.หรือ ไม่ทำอะไรเลย เพราะมั่นใจในหุ้นที่เลือกมาแล้ว. ขอบคุณครับ
anubist เขียน:ผมขอแชร์เพิ่มในแง่ความเสี่ยงสักหน่อยนะครับ
แน่นอนว่าการลงทุนลักษณะนี้มีความเสี่ยงสูงมากในแง่ concentration risk
นั่นหมายถึงเรามีโอกาสให้ผิดพลาดได้น้อย
การเลือกหุ้นจึงต้องเน้นมากๆ ต้องเป็นหุ้นที่"downsideต่ำ" upsideสูง
เราต้องรู้จักหุ้นตัวนี้ดีมากในระดับเดียวกับผบห.
นอกจากรู้เรื่องความเสี่ยงของหุ้น/พอร์ตดีแล้ว
ต้องรู้เรื่องความเสี่ยงของ"กลยุทธการลงทุน"ลักษณะนี้
รวมถึงต้องเข้าใจความโลภ/ความกลัว หรือ"จริต"ของตัวเองด้วย
เพราะการไม่เข้าใจความโลภ/ความกลัว หรือจริตของตัวเอง มักทำให้เราไข้วเข้ว นอกลู่นอกทาง ลงทุนแล้วไม่สบายใจ ผลก็มักออกมาไม่ดีนัก
ในอีกแง่หนึ่งคือcycle of competenceของเรายังไม่มากพอที่ทำให้เรามั่นใจว่าเราเข้าใจหุ้นตัวนั้นๆดีพอ
ใช่เลย ขอบคุณพี่ romee ครับ ผมก็เป็นห่วงประเด็นนี้อยู่มากทีเดียว กลัวบางคนจะหลงประเด็นกันromee เขียน:สิ่งที่ จขกท. พยายามเน้น...
คือขยันให้มาก, มันมีหุ้นที่ยัง under value และให้ผลตอบแทนที่ดีมากๆอยู่นะ, ไม่ว่าตลาดจะเป็นยังไง ก็ยังมีหุ้นที่ดีๆอยู่เสมอ
สิ่งที่เม่าไทย ใจเกินร้อย...อ่าน แล้วเอาไปทำตาม
"เฮ้ย เขาจัดเต็มตัวเดียว ไม่เกิน3ตัวเองว่ะ", "มีลงwarrantด้วย"
นั่นละฮะ ทั่นผู้ชม
แล้วถ้าผิดหวังละครับ คาดหวังผลตอบแทนซัก 20-40% แต่ทำได้ -30% มันได้ทั้ง ความอับอาย ความเครียด และ ความเศร้า คุณทนได้มั้ย พูดแค่นี้มันสั้นเกินไป การที่คุณจะคาดหวังผลตอบแทนแบบนี้ คุณต้องพิจารณาว่าคุณมีสิ่งต่อไปนี้ด้วยหรือไม่ (cr. พี่หลิน)Skyforever เขียน: ↑พุธ ม.ค. 18, 2017 10:39 amกับดักความคิดที่ 1: "อย่าโลภ อย่าคาดหวังสูง การลงทุนแบบ VI คาดหวังผลตอบแทนอย่างมากแค่ 15-20% ต่อปีก็เก่งแล้ว ขนาดคนเก่งๆระดับโลกอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ ยังทำได้แค่ 19.7% จากปี 1965 ถึงปี 2012 เท่านั้นเอง"
ความจริงคือ: สมัยก่อนผมก็มีความคิดอนุรักษ์นิยมเช่นนี้ แต่เมื่อไม่กี่ปีมานี้ในระหว่างประชุมผู้ถือหุ้นของ Berkshire Hathaway วอร์เรน บัฟเฟตต์ บอกว่า เขารู้จักเป็นการส่วนตัวกับคน 6 คนที่สามารถสร้างผลตอบแทนการลงทุนได้ 50% ต่อปี ด้วยเงินลงทุนที่ไม่มากนัก และถ้าย้อนไปในปี 1999 เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า เขารับประกันว่าเขาสามารถทำผลตอบแทนได้ถึง 50% ต่อปีแน่นอนหากเขามีเงินทุนเพียง 1 ล้านเหรียญเท่านั้น ตามคำพูดนี้
“If I was running $1 million today, or $10 million for that matter, I’d be fully invested. Anyone who says that size does not hurt investment performance is selling. The highest rates of return I’ve ever achieved were in the 1950s. I killed the Dow. You ought to see the numbers. But I was investing peanuts then. It’s a huge structural advantage not to have a lot of money. I think I could make you 50% a year on $1 million. No, I know I could. I guarantee that.”
แน่นอนเพราะในสมัยที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ยังมีพอร์ตไม่ใหญ่นัก ประมาณ 1 ล้านเหรียญ ในตอนที่ยังไม่ได้ตั้งบริษัทขึ้นมา ประมาณทศวรรษที่ 1950 เขาทำผลงานได้สูงถึง 60% ต่อปี ดังนั้นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องเปลี่ยนคือเปลี่ยนความคิด อย่าคิดหรือทำอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ ในปัจจุบันนี้ แต่จงคิดเหมือน วอร์เรน บัฟเฟตต์ ในช่วงก่อนปี 2000 หรือถ้ามามองในไทย หลายปีก่อนเคยได้ยิน พี่โจ อนุรักษ์ บุญแสวง ให้สัมภาษณ์ว่าสามารถทำผลตอบแทนได้มากกว่า 50% ต่อเนื่องกันนานเกือบสิบปี แสดงว่าการคาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนแนว VI ให้ได้มากกว่า 50% ต่อปีในขณะที่พอร์ตของเรายังไม่ใหญ่ขนาดหลายร้อยล้าน หลายพันล้าน ย่อมเป็นเรื่องที่ควรทำ และเป็นไปได้
อ้างอิง
http://basehitinvesting.com/how-buffett ... -per-year/
http://www.thebuffett.com/performance.html#.WH2gQ1N96Uk
http://www.businessinsider.com/warren-b ... kshire-hat…