Re: คนที่ถึงอิสระภาพทางการเงินแล้ว วันๆกระดิกเท้ารับปันผล ช
โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ค. 01, 2017 4:44 pm
เป้าหมายการลงทุน / ดร.นิเวศน์ เหมิรวรากร 9 เมษายน 2560
**********************
ถ้าคิดจะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอย่างเป็นเรื่องเป็นราว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เราควรจะมี “เป้าหมายในการลงทุน” อย่างชัดเจนเพื่อที่ว่าเราจะได้รู้ว่าเราสามารถทำได้ตามเป้าหมายไหม เพราะถ้าทำไม่ได้ในแง่ที่ว่าเราทำได้ต่ำกว่าเป้าหมายมากติดต่อกันนาน เราก็อาจจะต้องเลิกหรือเปลี่ยนวิธีการลงทุนใหม่ มิฉะนั้นแล้วเราก็จะเสียหายหนักโดย “ไม่รู้ตัว” เราอาจจะได้รับ “ความบันเทิง” และความตื่นเต้นสนุกสนานจากการเห็นหุ้นขึ้นลงและเม็ดเงินกำไรที่เกิดขึ้นรวดเร็วในบางครั้งและได้ “ลุ้น” อยู่ตลอดเวลา แต่ทั้งหมดนั้นต้องจ่ายด้วยราคาที่แพงมาก ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราสามารถทำได้ตามหรือดีกว่าเป้าหมายที่ถูกกำหนดไว้อย่างดีและสมเหตุสมผล อนาคตทางการเงินและชีวิตเราก็จะดีขึ้นมาก
เป้าหมายแรกที่ผมคิดว่าเป็นเป้าหมายใหญ่และสำคัญมากเพราะมันจะเป็นตัวกำหนดกลยุทธ์และเป้าหมายต่อ ๆ ไปก็คือเป้าหมายที่ว่าเรา “ลงทุนเพื่อการเกษียณ” หรือสำหรับบางคนที่อาจจะมีเงินมากพอที่จะใช้จ่ายไปได้ตลอดชีวิตอยู่แล้วก็คือ “ลงทุนเพื่อเป็นมรดก” ให้ลูกหลานหรือบริจาคให้คนอื่นเมื่อตนเองตายไปแล้ว นี่เป็นเป้าหมายที่จะคอยเตือนให้เราลงทุนอยู่ตลอดเวลาและไม่เอาผลตอบแทนจากการลงทุนมาใช้ฟุ่มเฟือยในยามที่เรายังสามารถหาเงินจากการทำงานได้อยู่ ดังนั้น ไม่ว่าเราจะได้กำไรหรือปันผลจากการลงทุนเท่าไร เราจะต้องเอาเงินนั้นกลับไปลงทุนต่อเพื่อให้มัน “ทบต้น” ไปเรื่อย ๆ ซึ่งจะทำให้พอร์ตเงินลงทุนของเราโตขึ้นในอัตราเร่งตลอดเวลาและกลายเป็น “สิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก” ที่จะทำให้เรารวยหรือมั่งคั่งอย่าง “ไม่อาจจะคาดคิดได้”
เป้าหมายข้อสองก็คือ เราจะต้องทำผลตอบแทนแบบทบต้นในระยะยาวซึ่งอาจจะเป็นสิบหรือหลายสิบปีในอัตราไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปี บางคนที่คิดว่าตนเองมีฝีมือในการลงทุนมากกว่าคนอื่นอาจจะตั้งเป้าหมายสูงกว่านั้น แต่การตั้งสูงขนาด 20% หรือมากกว่าในระยะยาวแล้ว ผมคิดว่าเป็นไปได้ยากมากยกเว้นแต่ว่าขนาดของพอร์ตลงทุนยังเล็กและตนเองสามารถที่จะเสี่ยงลงทุนแบบ “กล้าได้กล้าเสีย” และไม่ได้มีภาระทางการเงินอะไรที่จะต้องเดือดร้อนหนักถ้าเกิดความเสียหาย โดยทั่วไปผมเองคิดว่าการตั้งเป้าผลตอบแทนทบต้นต่อปีในระยะยาวนั้นอย่างสูงสุดไม่ควรจะเกิน 15% ต่อปีสำหรับคนที่ “เก่ง” ที่สุด และการวัดผลตอบแทนแบบที่จะมีความหมายจริง ๆ ก็คือเริ่มต้นเมื่อเขามีพอร์ตลงทุนไม่ต่ำกว่า 5-10 ล้านบาทขึ้นไปสำหรับ “คนกินเงินเดือน” ที่ไม่ได้มีเงินต้นทุนจากครอบครัวมาก่อน
เป้าผลตอบแทนทบต้นปีละ 10% นั้น หลายคนอาจจะคิดว่าง่ายเพราะเขาเชื่อนักวิชาการหรือกูรูที่บอกว่าผลตอบแทนเฉลี่ยระยะยาวของตลาดหุ้นคือ 10-12% ต่อปี แต่นั่นคืออดีตและเกิดขึ้นในประเทศ
หรือสังคมที่เศรษฐกิจเติบโตเร็วแบบมหัศจรรย์อย่างตลาดอเมริกาหรือไทยในช่วงหลายสิบปีก่อน ซึ่งสำหรับผมแล้วอนาคตอาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้น ดังนั้น ถ้าใครคิดจะซื้อกองทุนอิงดัชนีเพื่อจะได้ผลตอบแทนทบต้นปีละ 10% อาจจะต้องมั่นใจว่าตลาดหุ้นที่เราจะลงทุนนั้นจะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจมหัศจรรย์ในอนาคตอีกเป็นสิบ ๆ ปีข้างหน้าด้วย
เป้าหมายต่อมานั้นสำหรับคนที่ต้องการลงทุนเองไม่ซื้อหน่วยลงทุนที่ต้องเสียค่าบริหารตลอดเวลาซึ่งเป็นต้นทุนที่สูง ผมคิดว่าคือการตั้งเป้าว่าเราจะสามารถ “เอาชนะตลาด” ได้ไม่ต่ำกว่ากี่เปอร์เซ็นต์ต่อปีโดยเฉลี่ย สำหรับเป้าหมายนี้ วอเร็น บัฟเฟตต์ ในขณะที่เริ่มตั้งกองทุนเพื่อบริหารเงินให้คนอื่นนั้น ได้ตั้งเป้าว่าเขาจะทำผลตอบแทนมากกว่าดัชนีตลาดหุ้นถึงปีละ 10% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมาก อย่างไรก็ตาม สถิติหลายสิบปีที่ผ่านมานั้นได้พิสูจน์ว่าเขาทำได้ เขาได้ผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยประมาณ 20% ต่อปีเป็นเวลาถึง 50-60 ปี ซึ่งกลายเป็น “ตำนาน” ที่หาคนเทียบยาก แต่สำหรับนักลงทุนธรรมดาอย่างเราแล้ว ผมคิดว่าตั้งเป้าแค่ดีกว่าตลาดหุ้น 3-5% ต่อปีผมก็คิดว่าสุดยอดแล้ว แม้ว่า “เซียน” หลายคนจะบอกว่าเขาตั้งเป้าสูงกว่าตลาดปีละเป็น 10% และก็ทำได้มากกว่านั้นมาหลายปีแล้ว แต่นั่นคือเหตุการณ์ที่อาจจะไม่ต่อเนื่องยาวนานต่อไปก็ได้ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ตลาดหุ้นไทยก็อาจจะอยู่ในสภาวะที่ “ไม่ปกติ” และเต็มไปด้วยแรงเก็งกำไรสูงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
เป้าหมายเรื่องของ “เม็ดเงิน” หรือขนาดของพอร์ตเมื่อถึงวันเกษียณหรือตอนตายก็เป็นอีกเป้าหมายหนึ่งที่สำคัญ เราต้องการมีเงินเท่าไร? สำหรับคนที่ไม่มี “เงินต้นทุน” และต้องอาศัยการออมเงินจากรายได้จากการทำงานประจำหรืองานที่ต้องใช้แรงงานตนเองจะต้องคิดคำนวณหรือคาดการณ์ไว้ตั้งแต่เริ่มต้น ในปัจจุบันนี้มีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่คิดให้เราได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่เราจะต้องใส่ข้อมูลที่เป็นไปได้และสมเหตุสมผลเช่นเรื่องของจำนวนเงินต้นที่เราจะลงทุนและทยอยลงทุนเข้าไปเรื่อย ๆ ผลตอบแทนแบบทบต้นต่อปีที่เราจะทำได้ และระยะเวลาที่เราจะลงทุนจนถึงวันเกษียณหรือ “วันตาย” ที่เราคาดไว้ ข้อเตือนใจของผมสำหรับเป้าหมายนี้ก็คือ เราต้องพยายาม “อนุรักษ์นิยม” เข้าไว้ เพราะการตั้งเป้าผิดไปนิดเดียว เช่น เราตั้งผลตอบแทนทบต้นจาก 10% เป็น 12% ต่อปี ด้วย “พลังของการทบต้น” เป็นเวลาหลายสิบปี จะทำให้เม็ดเงินสุดท้ายนั้นต่างกันหลายเท่า
เมื่อได้กำหนดเป้าหมายแล้ว สิ่งสำคัญต่อมาก็คือการกำหนดกลยุทธ์ในการลงทุนที่จะบรรลุเป้าหมายนั้น เริ่มจากการที่จะต้องประเมินตัวเองว่าเป็นอย่างไร เริ่มต้นที่ความสามารถและศักยภาพในการทำงานหรือทำเงินของตนเองว่าเป็นอย่างไรและจะต้องปรับตัวอย่างไรเพื่อที่จะทำให้สามารถเก็บออมเงินที่จะใช้ในการลงทุน บางคนโชคดีที่อาจจะมี “ต้นทุนเดิมจากครอบครัว” บางคนอาจจะเกิดมามีสมองดีและจบการศึกษาที่สามารถทำเงินได้มาก ซึ่งก็ทำให้มีโอกาสจะประสบความสำเร็จหรือบรรลุ
วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายได้ง่ายกว่าคนที่ด้อยกว่า อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ที่เหมาะสมและวินัยของการปฏิบัติตามแผนก็เป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน
สำหรับคนที่เลือกหุ้นลงทุนเอง ผมคิดว่าการลงทุนระยะยาวแนว Value Investment ที่อิงอยู่กับราคาหุ้นที่ถูกหรือไม่ก็แนว วอเร็น บัฟเฟตต์ ที่เน้นหุ้นซุปเปอร์สต็อกในราคายุติธรรม น่าจะเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมกว่าหุ้นที่เน้นการเติบโตแต่ราคาหุ้นแพง ส่วนการลงทุนหรือเล่นหุ้นแนว “เก็งกำไร” ไม่ว่าจะในรูปแบบไหนนั้น ในระยะยาวแล้วคงไม่สามารถพาเราไปสู่เป้าหมายที่ต้องการได้ เหตุผลอย่างหนึ่งก็คือการที่ต้องจ่ายค่าคอมมิสชั่นสูงมากและส่วนต่างราคาเสนอซื้อและเสนอขายที่สูงในทุกครั้งที่มีการซื้อหรือขาย
สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว ผมคิดว่าการที่จะเลือกหุ้นเองนั้นเป็นสิ่งที่อาจจะไม่เหมาะสมเนื่องจากความสามารถหรือเวลาที่จะใช้ในการวิเคราะห์ติดตามอาจจะไม่พอ ดังนั้น การลงทุนในกองทุนรวมอิงดัชนีที่มีต้นทุนในการบริหารต่ำน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีอย่างหนึ่ง จำไว้เสมอว่า ในตลาดที่พัฒนาแล้วและ/หรือในตลาดที่อยู่ในภาวะ “ปกติ” สถิติมันบอกว่ากองทุนอิงดัชนีต้นทุนต่ำคือ “เซียน” ที่สร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่านักลงทุนอื่นจำนวนมาก
สุดท้ายที่ผมคิดว่าน่าจะมีความสำคัญเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก็คือ เราต้องการอยู่ในตลาดที่ให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยสูง เพราะนั่นคือจุดที่เราจะหาหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงง่ายกว่าตลาดที่ย่ำแย่—ในระยะยาว ดังนั้น การเลือกว่าเราจะลงทุนที่ไหนก็มีความสำคัญโดยเฉพาะในโลกปัจจุบันที่เราสามารถเลือกที่จะลงทุนในประเทศต่าง ๆ ได้ทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าอย่างไรเราก็คงจะต้องลงทุนในตลาดหุ้นไทยด้วย เพราะนี่คือตลาดที่เราเข้าใจมากที่สุดและเงินที่เราจะใช้เป็นหลักก็เป็นเงินไทยด้วย
**********************
ถ้าคิดจะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอย่างเป็นเรื่องเป็นราว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เราควรจะมี “เป้าหมายในการลงทุน” อย่างชัดเจนเพื่อที่ว่าเราจะได้รู้ว่าเราสามารถทำได้ตามเป้าหมายไหม เพราะถ้าทำไม่ได้ในแง่ที่ว่าเราทำได้ต่ำกว่าเป้าหมายมากติดต่อกันนาน เราก็อาจจะต้องเลิกหรือเปลี่ยนวิธีการลงทุนใหม่ มิฉะนั้นแล้วเราก็จะเสียหายหนักโดย “ไม่รู้ตัว” เราอาจจะได้รับ “ความบันเทิง” และความตื่นเต้นสนุกสนานจากการเห็นหุ้นขึ้นลงและเม็ดเงินกำไรที่เกิดขึ้นรวดเร็วในบางครั้งและได้ “ลุ้น” อยู่ตลอดเวลา แต่ทั้งหมดนั้นต้องจ่ายด้วยราคาที่แพงมาก ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราสามารถทำได้ตามหรือดีกว่าเป้าหมายที่ถูกกำหนดไว้อย่างดีและสมเหตุสมผล อนาคตทางการเงินและชีวิตเราก็จะดีขึ้นมาก
เป้าหมายแรกที่ผมคิดว่าเป็นเป้าหมายใหญ่และสำคัญมากเพราะมันจะเป็นตัวกำหนดกลยุทธ์และเป้าหมายต่อ ๆ ไปก็คือเป้าหมายที่ว่าเรา “ลงทุนเพื่อการเกษียณ” หรือสำหรับบางคนที่อาจจะมีเงินมากพอที่จะใช้จ่ายไปได้ตลอดชีวิตอยู่แล้วก็คือ “ลงทุนเพื่อเป็นมรดก” ให้ลูกหลานหรือบริจาคให้คนอื่นเมื่อตนเองตายไปแล้ว นี่เป็นเป้าหมายที่จะคอยเตือนให้เราลงทุนอยู่ตลอดเวลาและไม่เอาผลตอบแทนจากการลงทุนมาใช้ฟุ่มเฟือยในยามที่เรายังสามารถหาเงินจากการทำงานได้อยู่ ดังนั้น ไม่ว่าเราจะได้กำไรหรือปันผลจากการลงทุนเท่าไร เราจะต้องเอาเงินนั้นกลับไปลงทุนต่อเพื่อให้มัน “ทบต้น” ไปเรื่อย ๆ ซึ่งจะทำให้พอร์ตเงินลงทุนของเราโตขึ้นในอัตราเร่งตลอดเวลาและกลายเป็น “สิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก” ที่จะทำให้เรารวยหรือมั่งคั่งอย่าง “ไม่อาจจะคาดคิดได้”
เป้าหมายข้อสองก็คือ เราจะต้องทำผลตอบแทนแบบทบต้นในระยะยาวซึ่งอาจจะเป็นสิบหรือหลายสิบปีในอัตราไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปี บางคนที่คิดว่าตนเองมีฝีมือในการลงทุนมากกว่าคนอื่นอาจจะตั้งเป้าหมายสูงกว่านั้น แต่การตั้งสูงขนาด 20% หรือมากกว่าในระยะยาวแล้ว ผมคิดว่าเป็นไปได้ยากมากยกเว้นแต่ว่าขนาดของพอร์ตลงทุนยังเล็กและตนเองสามารถที่จะเสี่ยงลงทุนแบบ “กล้าได้กล้าเสีย” และไม่ได้มีภาระทางการเงินอะไรที่จะต้องเดือดร้อนหนักถ้าเกิดความเสียหาย โดยทั่วไปผมเองคิดว่าการตั้งเป้าผลตอบแทนทบต้นต่อปีในระยะยาวนั้นอย่างสูงสุดไม่ควรจะเกิน 15% ต่อปีสำหรับคนที่ “เก่ง” ที่สุด และการวัดผลตอบแทนแบบที่จะมีความหมายจริง ๆ ก็คือเริ่มต้นเมื่อเขามีพอร์ตลงทุนไม่ต่ำกว่า 5-10 ล้านบาทขึ้นไปสำหรับ “คนกินเงินเดือน” ที่ไม่ได้มีเงินต้นทุนจากครอบครัวมาก่อน
เป้าผลตอบแทนทบต้นปีละ 10% นั้น หลายคนอาจจะคิดว่าง่ายเพราะเขาเชื่อนักวิชาการหรือกูรูที่บอกว่าผลตอบแทนเฉลี่ยระยะยาวของตลาดหุ้นคือ 10-12% ต่อปี แต่นั่นคืออดีตและเกิดขึ้นในประเทศ
หรือสังคมที่เศรษฐกิจเติบโตเร็วแบบมหัศจรรย์อย่างตลาดอเมริกาหรือไทยในช่วงหลายสิบปีก่อน ซึ่งสำหรับผมแล้วอนาคตอาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้น ดังนั้น ถ้าใครคิดจะซื้อกองทุนอิงดัชนีเพื่อจะได้ผลตอบแทนทบต้นปีละ 10% อาจจะต้องมั่นใจว่าตลาดหุ้นที่เราจะลงทุนนั้นจะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจมหัศจรรย์ในอนาคตอีกเป็นสิบ ๆ ปีข้างหน้าด้วย
เป้าหมายต่อมานั้นสำหรับคนที่ต้องการลงทุนเองไม่ซื้อหน่วยลงทุนที่ต้องเสียค่าบริหารตลอดเวลาซึ่งเป็นต้นทุนที่สูง ผมคิดว่าคือการตั้งเป้าว่าเราจะสามารถ “เอาชนะตลาด” ได้ไม่ต่ำกว่ากี่เปอร์เซ็นต์ต่อปีโดยเฉลี่ย สำหรับเป้าหมายนี้ วอเร็น บัฟเฟตต์ ในขณะที่เริ่มตั้งกองทุนเพื่อบริหารเงินให้คนอื่นนั้น ได้ตั้งเป้าว่าเขาจะทำผลตอบแทนมากกว่าดัชนีตลาดหุ้นถึงปีละ 10% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมาก อย่างไรก็ตาม สถิติหลายสิบปีที่ผ่านมานั้นได้พิสูจน์ว่าเขาทำได้ เขาได้ผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยประมาณ 20% ต่อปีเป็นเวลาถึง 50-60 ปี ซึ่งกลายเป็น “ตำนาน” ที่หาคนเทียบยาก แต่สำหรับนักลงทุนธรรมดาอย่างเราแล้ว ผมคิดว่าตั้งเป้าแค่ดีกว่าตลาดหุ้น 3-5% ต่อปีผมก็คิดว่าสุดยอดแล้ว แม้ว่า “เซียน” หลายคนจะบอกว่าเขาตั้งเป้าสูงกว่าตลาดปีละเป็น 10% และก็ทำได้มากกว่านั้นมาหลายปีแล้ว แต่นั่นคือเหตุการณ์ที่อาจจะไม่ต่อเนื่องยาวนานต่อไปก็ได้ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ตลาดหุ้นไทยก็อาจจะอยู่ในสภาวะที่ “ไม่ปกติ” และเต็มไปด้วยแรงเก็งกำไรสูงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
เป้าหมายเรื่องของ “เม็ดเงิน” หรือขนาดของพอร์ตเมื่อถึงวันเกษียณหรือตอนตายก็เป็นอีกเป้าหมายหนึ่งที่สำคัญ เราต้องการมีเงินเท่าไร? สำหรับคนที่ไม่มี “เงินต้นทุน” และต้องอาศัยการออมเงินจากรายได้จากการทำงานประจำหรืองานที่ต้องใช้แรงงานตนเองจะต้องคิดคำนวณหรือคาดการณ์ไว้ตั้งแต่เริ่มต้น ในปัจจุบันนี้มีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่คิดให้เราได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่เราจะต้องใส่ข้อมูลที่เป็นไปได้และสมเหตุสมผลเช่นเรื่องของจำนวนเงินต้นที่เราจะลงทุนและทยอยลงทุนเข้าไปเรื่อย ๆ ผลตอบแทนแบบทบต้นต่อปีที่เราจะทำได้ และระยะเวลาที่เราจะลงทุนจนถึงวันเกษียณหรือ “วันตาย” ที่เราคาดไว้ ข้อเตือนใจของผมสำหรับเป้าหมายนี้ก็คือ เราต้องพยายาม “อนุรักษ์นิยม” เข้าไว้ เพราะการตั้งเป้าผิดไปนิดเดียว เช่น เราตั้งผลตอบแทนทบต้นจาก 10% เป็น 12% ต่อปี ด้วย “พลังของการทบต้น” เป็นเวลาหลายสิบปี จะทำให้เม็ดเงินสุดท้ายนั้นต่างกันหลายเท่า
เมื่อได้กำหนดเป้าหมายแล้ว สิ่งสำคัญต่อมาก็คือการกำหนดกลยุทธ์ในการลงทุนที่จะบรรลุเป้าหมายนั้น เริ่มจากการที่จะต้องประเมินตัวเองว่าเป็นอย่างไร เริ่มต้นที่ความสามารถและศักยภาพในการทำงานหรือทำเงินของตนเองว่าเป็นอย่างไรและจะต้องปรับตัวอย่างไรเพื่อที่จะทำให้สามารถเก็บออมเงินที่จะใช้ในการลงทุน บางคนโชคดีที่อาจจะมี “ต้นทุนเดิมจากครอบครัว” บางคนอาจจะเกิดมามีสมองดีและจบการศึกษาที่สามารถทำเงินได้มาก ซึ่งก็ทำให้มีโอกาสจะประสบความสำเร็จหรือบรรลุ
วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายได้ง่ายกว่าคนที่ด้อยกว่า อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ที่เหมาะสมและวินัยของการปฏิบัติตามแผนก็เป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน
สำหรับคนที่เลือกหุ้นลงทุนเอง ผมคิดว่าการลงทุนระยะยาวแนว Value Investment ที่อิงอยู่กับราคาหุ้นที่ถูกหรือไม่ก็แนว วอเร็น บัฟเฟตต์ ที่เน้นหุ้นซุปเปอร์สต็อกในราคายุติธรรม น่าจะเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมกว่าหุ้นที่เน้นการเติบโตแต่ราคาหุ้นแพง ส่วนการลงทุนหรือเล่นหุ้นแนว “เก็งกำไร” ไม่ว่าจะในรูปแบบไหนนั้น ในระยะยาวแล้วคงไม่สามารถพาเราไปสู่เป้าหมายที่ต้องการได้ เหตุผลอย่างหนึ่งก็คือการที่ต้องจ่ายค่าคอมมิสชั่นสูงมากและส่วนต่างราคาเสนอซื้อและเสนอขายที่สูงในทุกครั้งที่มีการซื้อหรือขาย
สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว ผมคิดว่าการที่จะเลือกหุ้นเองนั้นเป็นสิ่งที่อาจจะไม่เหมาะสมเนื่องจากความสามารถหรือเวลาที่จะใช้ในการวิเคราะห์ติดตามอาจจะไม่พอ ดังนั้น การลงทุนในกองทุนรวมอิงดัชนีที่มีต้นทุนในการบริหารต่ำน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีอย่างหนึ่ง จำไว้เสมอว่า ในตลาดที่พัฒนาแล้วและ/หรือในตลาดที่อยู่ในภาวะ “ปกติ” สถิติมันบอกว่ากองทุนอิงดัชนีต้นทุนต่ำคือ “เซียน” ที่สร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่านักลงทุนอื่นจำนวนมาก
สุดท้ายที่ผมคิดว่าน่าจะมีความสำคัญเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก็คือ เราต้องการอยู่ในตลาดที่ให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยสูง เพราะนั่นคือจุดที่เราจะหาหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงง่ายกว่าตลาดที่ย่ำแย่—ในระยะยาว ดังนั้น การเลือกว่าเราจะลงทุนที่ไหนก็มีความสำคัญโดยเฉพาะในโลกปัจจุบันที่เราสามารถเลือกที่จะลงทุนในประเทศต่าง ๆ ได้ทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าอย่างไรเราก็คงจะต้องลงทุนในตลาดหุ้นไทยด้วย เพราะนี่คือตลาดที่เราเข้าใจมากที่สุดและเงินที่เราจะใช้เป็นหลักก็เป็นเงินไทยด้วย