หน้า 142 จากทั้งหมด 160
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 04, 2010 11:38 pm
โดย SunShine@Night
สวัสดีปีใหม่ครับพี่
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 06, 2010 10:38 am
โดย theerasak24
สวัสดีครับพี่วิบูลย์ ขอให้ปีนี้ดีกว่าปีที่แล้วมากๆ นะครับ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 06, 2010 11:31 am
โดย VIB007
[quote="por_jai"]
วันก่อนเจอหมอแพะ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 06, 2010 11:34 am
โดย VIB007
[quote="TavanTa"]สวัสดีปีใหม่ 2010 ครับ พี่วิบูลย์
ขอให้อำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดลให้
พี่วิบูลย์และครอบครัวจงมีความสุข และมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง
ตลอดปีนี้และปีต่อๆ ไปนะครับ
(ส่วนรวยคงไม่ต้องน่ะครับ เพราะพี่คงมีอยู่แล้ว อิอิ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: เสาร์ ม.ค. 09, 2010 8:04 pm
โดย jintawi
เรียนถามคุณวิบูลย์ คุณฉัตรชัย และผู้รู้ท่านอื่นๆครับ
Free cash flow อย่างง่ายสามารถดูได้จาก Owner's Earning ซึ่งWarren Buffett ได้ให้นิยามไว้ว่า เท่ากัีบ (Net Profit + Depreciation/Amortisation - Capex)
สำหรับ บริษัท White Group, Owner's Earning ในช่วงสามปีหลัีงสามารถสรุปได้ดังนี้
ปี2001
Revenue = 614,165,871 Baht
Net Profit = 38,579,182 Baht (Margin = 6.28%)
D/A = 39,141,936 Baht
Capex = -4,304,334 Baht
OE = 73,416,784 Baht
ปี2002
Revenue = 625,928,387 Baht
Net Profit = 52,897,001 Baht (Margin = 8.45%)
D/A = 39,450,734 Baht
Capex = -4,090,435 Baht
OE = 88,257,300 Baht (Growth of OE = 20.21%)
ปี2003
Revenue = 647,134,100 Baht
Net Profit = 65,844,613 Baht (Margin = 10.17%)
D/A = 36,750,480Baht
Capex = - 4,807,938 Baht
OE = 97,787,155 Baht (Growth of OE = 10.80%)
Conservatively, ผมสมมติให้ Growth rate of OE = 5% (เป็นเพียงตัวเลขสมมติเพื่อใช้เป็นตัวอย่างในการหา Intrinsic Value) และ Discount Rate = 6% โดยให้ ปี2003 เป็นปีเริ่มต้น และจะทำการคาดการณ์ออกไปอีก 10 ปี ข้างหน้า
ํYear OE OE after Discount cumulative (per share)
2004 102,676,513 96,864,635 5.43
2005 107,810,338 95,950,817 10.80
2006 113,200,855 95,045,621 16.13
2007 118,860,898 94,148,964 21.40
2008 124,803,943 93,260,766 26.63
2009 131,044,140 92,380,948 31.80
2010 137,596,347 91,509,429 36.93
2011 144,476,164 90,646,133 42.01
2012 151,699,973 89,790,981 47.04
2013 159,284,971 88,943,896 52.02
จากตารางข้างต้น จะเห็นได้ว่า ผลรวมของ OE หลังจาก discount แล้ว เท่ากับ 52 บาท ค่าดังกล่าวอาจเรียกได้ว่าเป็น Intrinsic Value ของบริษัท หากเทียบกับราคาปิด ณ วันที่ 17 ก.ย. 2547 ที่ 29.25 บาท Margin of Safety = (52-29.25)/29.25 = 77%
หากพิจารณาจาก growth rate ที่เราสมมติืไว้ที่ 5% จะเ้ห็นว่า ค่าความคาดหวังที่มีต่อ WG จะค่อนข้่างน้อย อัตราความเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาหุ้นก็น่าจะน้อยลงไปด้วยเช่นกัน
ข้อควรระวัง ตัวเลขที่แสดงให้เห็นข้างต้นมิได้มีเจตนาที่จะชี้นำให้เกิดการซื้อหรือขาย หลักทรัพย์ดังกล่าว ผู้ลงทุนควรจะวิเคราะห์บริษัทให้ครบทุกแง่ทุกมุมก่อนที่จะตัดสินใจซื้อหรือ ขาย
จากตัวอย่างด้านบนที่คุณสุรชัย อธิบายมานั้น
ผมไม่เข้าใจตัวอย่างด้านล่างนี้ในส่วนของ (per share) ว่าหาอย่างไรครับ ผมหา OE กับ OE after Discount cumulative ได้แล้วครับ จากสูตรวิธีหาด้านบนครับ แต่ติดตรงตัวเลขด้านหลังหายังไงครับ
2004 5.43
2005 10.80
2006 16.13
2007 21.40
2008 26.63
2009 31.80
2010 36.93
2011 42.01
2012 47.04
2013 52.02
ช่วยอธิบายวิธีการหาให้ผมทีครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 10, 2010 5:17 pm
โดย TPH
ไม่รู้ว่าจะช้าไปหรือเปล่า ยังไงก็ขอสวัสดีปีใหม่ครับพี่วิบูลย์ ขอให้อำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิและคุณพระศรีรัตนตรัยจงดลบรรดาลให้พี่และครอบครัวมีความสุขมาก ๆ สุขภาพแข็งแรง คิดอะไรก็ขอให้สมความปรารถนา บุญรักษา ไม่เจ็บไม่จนครับ
และก็ขอขอบคุณสำหรับความรู้ที่คอยแบ่งปัน :)
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 20, 2010 1:42 pm
โดย jintawi
รายละเอียดที่คุณฉัตรชัย อธิบายให้ครับ เผื่อท่านอื่นอ่านแล้ว ติดข้อสงสัยเหมือนผมครับ
jintawi wrote:
ผม ไม่เข้าใจตัวอย่างด้านล่างนี้ในส่วนของ (per share) ว่าหาอย่างไรครับ ผมหา OE กับ OE after Discount cumulative ได้แล้วครับ จากสูตรวิธีหาด้านบนครับ แต่ติดตรงตัวเลขด้านหลังหายังไงครับ
2004 5.43
2005 10.80
2006 16.13
2007 21.40
2008 26.63
2009 31.80
2010 36.93
2011 42.01
2012 47.04
2013 52.02
ปี 2004 ก็คือ OE after Discount 96,864,635 หารด้วยจำนวนหุ้น 17,850,000 เราก็จะได้ 5.43 บาทต่อหุ้น
ปี 2005 ยอด OE after Discount 95,950,817 หารด้วยจำนวนหุ้น เราจะได้ 5.37 บาทต่อหุ้น เมื่อรวมกับของปี 04 จะได้ยอดรวม 10.80 บาทต่อหุ้น
ลองเปรียบเทียบกับตัวเลขจริงดูนะครับ
ปี 09 OE ตามสมมุติฐานจะได้ 131,044,140 บาท
แต่จากงบจริงแค่ 9 เดือน
กำไรสุทธิ 139,793,627 บาท
ค่าเสื่อมราคา 30,125,071 บาท
ค่าใช้จ่ายตัดจ่าย 166,044 บาท
ค่าเสื่อมราคา 1,664,300 บาท
OE จะได้ตั้ง 168,420,442 บาท สูงกว่าสมมุติฐานเยอะมากเลย ใกล้เคียงกับยอดปี 2014 เชียว
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 24, 2010 2:33 pm
โดย momoproject
ก่อนอื่นผมก็ขอขอบคุณพี่ ๆ ที่เข้ามาโพสให้วามรู้ เกี่ยวกับเรื่องหุ้น กำลังตามอ่านอยู่ครับ ตั้งแต่หน้าแรก
พอดีผมทำสารนิพพนธ์เกี่ยวกะหุ้นอยู่ เลือกทำ ซีพีเอฟ แต่พอวิเราะห์ไปวิเคราะห์มาชักไม่ชอบซะแล้ว เหอะ ๆ ...
ผมไปอ่านเจอทฤษฎีนึงครับที่เขาแย้งกับ EMH ที่อาจารย์บัฟเฟต์ไม่เชื่อถือ เลยโพสกันให้อ่านครับ ผมว่ามันตรงกับวิธีของ วีไอ เหมือนกัน
ในปี 1979 Daniel Kahneman นักจิตวิทยาเสนอแนะแนวคิดในเรื่องเศรษฐศาสตร์ พฤติกรรมมนุษย์(ต่อมาเป็นผู้นำคนหนึ่งของกลุ่มพฤติกรรม)
โดยเสนอทฤษฎีสำคัญที่เรียกว่า Prospect Theory ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยในความมีเหตุมีผลของพฤติกรรมมนุษย์
ตัวอย่างหนึ่งของทฤษฎีนี้ก็คือ มนุษย์เจ็บปวดจากการสูญเสียมากกว่าการได้รับความสุขจากเงินจำนวนเดียวกัน ซึ่งเมื่อประยุกต์กับตลาดหุ้นแล้วก็หมายความว่ามนุษย์จะมีพฤติกรรมที่ไม่สม่ำเสมอ ไม่คงเส้นคงวา ในเรื่องการรับความเสี่ยง เช่นจะอนุรักษนิยมเมื่อขายหุ้นดีเพื่อให้ได้กำไรไว้ก่อน แต่เมื่อจะหลีกหนีการขาดทุนก็จะกอดหุ้นที่ขาดทุนไว้ไม่ยอมขาย
โดยหวังว่าเมื่อราคาสูงขึ้นแล้วจึงค่อยขายพฤติกรรมเช่นนี้หมายความว่าเวลาตลาดปั่นป่วนจะรีบพากันขายหุ้นเพราะกลัวขาดทุน แต่เมื่อตลาดหุ้นดีขึ้นก็ยังไม่เข้าไปซื้อในระดับเดียวกับที่ขาย เพราะยังกลัวขาดทุน พฤติกรรมที่ไม่มีเหตุผลเช่นนี้ทำให้ตลาดหุ้นปั่นป่วนกว่าที่เป็นจริง
Behavioral Finance กล่าวไว้ว่า คนเรามิได้มีเหตุมีผลเหมือนดังที่ทฤษฎีทางการเงินและเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายอ้างถึง ทั้งนี้ ทฤษฎีส่วนใหญ่จะตั้งอยู่บนความเชื่อที่ว่าปัจเจกชนจะปฏิบัติตนในแบบที่มีเหตุผล และในกระบวนการของการลงทุนนั้นจะทำโดยใช้ข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่ ณ เวลานั้นๆมาประกอบการตัดสินใจ แต่จากการศึกษาที่เกิดจากข้อกังขาในสมมุติฐานดังกล่าว ได้ค้นพบคำอธิบายหลายต่อหลายเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย ซึ่งพอสรุปได้ ดังนี้
Regret theory ว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับการโต้ตอบทางอารมณ์ของคนเราหลังจากที่รับรู้ว่าตนเองได้พิจารณาผิดพลาดไป
เมื่อต้องทำการขายหุ้น ทั้งนี้ นักลงทุนมักจะถูกกระทบทางด้านอารมณ์จากราคาต้นทุนของหุ้นที่ตนเองซื้อมา ดังนั้นพวกเขาจึงหลีกเลี่ยงที่จะขายหุ้นตัวที่ขาดทุนเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียใจว่าตนเองได้ลงทุนผิด ดังนั้น คำถามที่นักลงทุนควรที่จะถามตัวเองเมื่อจะตัดสินใจขายหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ก็คือ ถ้าเราขายหุ้นตัวนั้นๆออกไปแล้ว เราจะลงทุนในหุ้นตัวนี้ ณ ราคาปัจจุบันอีกหรือไม่ ซึ่งถ้าคำตอบที่ได้คือ ไม่ นั่นหมายถึงเวลาที่ควรจะต้องขาย มิเช่นนั้นผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นก็คือความเสียใจที่เกิดจากการซื้อหุ้นผิดตัวและต้องเสียใจซ้ำอีกครั้งจากการที่ไม่ได้ขายหุ้นตัวนั้นออกไป
Herd instinct ให้คำอธิบายว่าทำไมคนเราจึงมักชอบที่จะเลียนแบบผู้อื่น เหตุผลก็คือ นักลงทุนมักจะกลัวว่าผู้อื่นจะรู้มากกว่า หรือมีข้อมูลข่าวสารมากกว่าตนเอง ผลที่ตามมาก็คือ พวกเขาจะถูกกระตุ้นให้ทำในสิ่งที่คนอื่นๆกำลังทำ นั่นก็คือ นักลงทุนบางท่านจึงซื้อแต่หุ้นที่คนอื่นๆกำลังซื้ออยู่ โดยให้เหตุผลในการตัดสินใจของตนเองว่า ใครๆเขาก็ทำกัน และที่น่าแปลกก็คือหลายคนจะรู้สึกกระอักกระอ่วนใจน้อยกว่า หากขาดทุนจากการลงทุนในหุ้นที่คนส่วนใหญ่มีอยู่ เมื่อเทียบกับการขาดทุนจากหุ้นที่ไม่เป็นที่รู้จักหรือไม่เป็นที่นิยม
Loss-aversion theory แสดงให้เห็นว่านักลงทุน ให้น้ำหนักระหว่างกำไรกับขาดทุนไม่เท่ากัน เช่น ถ้าให้เลือกระหว่างการได้เงินจำนวน 50 บาทที่แน่นอนกับการเสี่ยงทายเหรียญที่มีโอกาสที่จะได้รับเงิน 100 บาทหรือไม่ได้รับอะไรเลย คนส่วนใหญ่มักจะเลือกรับเงิน 50 บาท ในทางกลับกัน ถ้าให้เลือกระหว่างการเสียเงิน 50 บาทแน่ๆ กับการเสี่ยงทายเหรียญที่อาจต้องเสียเงิน 100 บาทหรือไม่เสียอะไรเลย การเสี่ยงทายเหรียญอาจจะเป็นทางเลือกที่ถูกเลือกมากกว่า สรุปได้ว่า คนเรามักจะมองว่าความเป็นไปได้ที่จะถอนทุนคืนมีความสำคัญกว่าความเป็นไปได้ที่จะได้รับกำไรที่มากขึ้น ด้วยเหตุนี้ จึงยอมที่จะเสี่ยงมากขึ้นเพื่อลดการขาดทุนมากกว่าที่จะยอมเสี่ยงเพื่อให้ได้รับผลกำไรมากขึ้น โดยนักลงทุนมักจะเต็มใจที่จะถือหุ้นที่ขาดทุนเอาไว้ด้วยความหวังที่ว่าราคาของหุ้นนั้นๆจะเด้งกลับ
ถึงแม้ว่า การชี้ให้เห็นถึงความไม่เป็นเหตุเป็นผลของนักลงทุนที่เกิดจากผลกระทบจากอารมณ์และความรู้สึกของตัวนักลงทุนเองของ Behavioral Finance จะมิได้เสนอแนวทางในการแสวงหาผลประโยชน์จากความไม่มีประสิทธิภาพของตลาด แต่ทฤษฎีนี้อาจจะช่วยท่านนักลงทุนในการฝึกฝนตนเองเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่อาจทำให้ไม่ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่เหมาะสมหรือประสบกับการขาดทุนอย่างไม่สมควร ก็เป็นได้
จะว่าไปพอผมเรียนไปเรียนมาชักอยากเรียนพวกจิตวิทยาแล้วล่ะครับ
ทำให้เข้าใจมนุษย์และพลวัตรต่าง ๆ ของสังคมได้เยอะเลย ^-^
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 24, 2010 4:31 pm
โดย momoproject
ขอคำแนะนำหน่อยครับ
อย่างที่บอกครับ ผมทำสารนิพนธ์เรื่องปัจจัยพื้นฐานซีพีอยู่ พอดีผมมาอ่านเจอวิธีการในการเล่นหุ้นในแนวนี้
ซึ่งมันเป็นการหักล้างใน EMH ซึ่งเป็นทฤษฏีที่ทำให้พวกกองทุนซื้อหุ้นตามดัชนี
ของตลาด เพราะเขาถือว่าตลาดมีประสิทธิภาพ ขายตามดัชนีตลาด รวมไปถีงการใช้พวกค่า เบต้าที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน
อย่างที่วอเรนต์บอก คือ การวิเคราะห์ด้วยข้อมูลที่ซับซ้อนแต่ไม่ถูกต้องเท่าที่ควร
ผมกะว่าจะเอาวิธีการของพี่ ๆ รวมถึงเกรแฮม และบัฟเฟต์มาใช้ การใช้อัตตราส่วนลดให้ต่ำ ๆ Growth Rate จากการเฉลี่ยหลาย ๆปี ในการวิเคราะห์หุ้น
แต่ก่อนอื่นผมจำเป็นที่จะต้องหาทฤษฏีมาหักล้าง
( ความจริง ที่วิธีบัฟเฟต์เมันก็หักแล้วเนอะ แต่ต้องหาอะไรมายันเขาให้มันมีน้ำหนัก )
พี่ ๆ VI มีใครแนะนำหรือรู้จักทฤษฏีไหนที่คนเขายอมรับกันไหมครับจะได้เอามายัน
อันข้างบนที่ผมยกมา อ่านไป อ่านมา มันหนักไปทางจิตวิทยา มากกว่า
อีกอย่างถ้ามีใครมีข้อมูลที่น่าสนใจของซีพีเอฟ ที่มีผลในระยะยาว อยากได้ด้านดี ส่งมาบ้างก็ได้ครับ จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง ที่ผมคิดว่าดีคือ
การใช้ outsorcing ลดค่าเสื่อม
การเป็นบริษัทผูกขาดในไทย
โพรดักซ์ ดิเฟอร์เรนชิเอชั่น ( เกี๊ยวกุ้ง ) เกี้ยวกุ้งขายดีมากที่สิงคโปร์
แล้วก็แบรนด์ติดตลาด
มีร้านส่งขายทั้งในไทย ในเทศ (P- place )
มีกฏ ระเบียบในการทำการค้าแต่ละประเทศมากมาย
ด้านแย่รู้สึกว่าพอวิเคราะห์ SWOT แล้วเจอแต่ภัยคุกคามทั้งนั้น
งบก็ยิบย่อย บริษัทลูกงี้ยุบยับไปหมด
การทำเกตรอุตสาหกรรมก็ต้องลุ้น สภาวะแวดล้อม
cost กุ้งสู้เวียดนามไม่ค่อยได้
ค่าใช้จ่ายสูงกำไรน้อย ( อันนี้ผมว่าสำคัญมากจนทำให้ผมอยากเปลี่ยนเรื่อง )
ถ้ามองในแง่ของการเป็นวีไอระยะยาว ผมว่าไม่ค่อยโอ แต่ก็ยังไม่ได้แกะงบการเงินดูจริงจัง ดูแค่คร่าว ๆ กำลังจะลองแกะดูวันสองวันนี้ล่ะครับ
ปล. ผมอ่านไปสี่ห้าวันถึงหน้า 33 เองแต่อยากรู้ตอนจบ ก่อน 5555
สรุปว่าพี่ ๆ ได้เขียนหนังสืออกมาขายจากการที่มาถกกันในนี้ยังครับ จได้อุดหนุน ^-^
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 04, 2010 4:43 pm
โดย VIB007
ฮง
ตอนนี้กระทู้นี้อ่าน 99,7399 ครั้งแล้ว
อีกไม่ถึงสามพันครั้ง เอ็งก็จะได้โชค
หายไปนาน อย่าลืมมาลุ้นด้วย
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 04, 2010 4:44 pm
โดย VIB007
[quote="TPH"]ไม่รู้ว่าจะช้าไปหรือเปล่า ยังไงก็ขอสวัสดีปีใหม่ครับพี่วิบูลย์ ขอให้อำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิและคุณพระศรีรัตนตรัยจงดลบรรดาลให้พี่และครอบครัวมีความสุขมาก ๆ สุขภาพแข็งแรง คิดอะไรก็ขอให้สมความปรารถนา บุญรักษา ไม่เจ็บไม่จนครับ
และก็ขอขอบคุณสำหรับความรู้ที่คอยแบ่งปัน
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 04, 2010 6:27 pm
โดย hongvalue
VIB007 เขียน:ฮง
ตอนนี้กระทู้นี้อ่าน 99,7399 ครั้งแล้ว
อีกไม่ถึงสามพันครั้ง เอ็งก็จะได้โชค
หายไปนาน อย่าลืมมาลุ้นด้วย
โอ้ เพิ่งเห็นว่าใกล้ถึงล้านครั้งแล้ว
พอดีพี่ไปทักในบล็อกเลยตามมาอ่าน
ขอบคุณมากครับที่แวะไปทักทายรุ่นน้อง
กระทู้ดีๆอย่างนี้คนก็ต้องอ่านเยอะเป็นธรรมดาสิครับ
ไหนๆก็ใกล้ถึงล้านครั้งแล้ว
ผมขอฝอยเรื่องฟันโฟลในนี้ตบท้ายให้ก็แล้วกันนะครับ หลังจากอู่มานานมากแล้ว (
)
ขอเป็นคุยแบบเล่าสู่กันฟังเฉยๆ ไม่เอาเนื้อหาจริงๆจังๆมากแล้วกันนะครับ
ผมเคยมาโพสที่นี้ประมาณเกือบ 1 ปีที่แล้วตอนเซท 410-415 จุดว่า
dxy หลุดแนวรับและผมก็ซื้อหุ้นและถ้า dxy ลงไปเรื่อยๆผมก็จะไม่ขายหุ้น
วิธีง่ายๆแค่นี้แหละที่ทำให้ได้หุ้น 415 จุด
ทีนี้สมมุติเราเอาเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันมาบอกเทรนของดอลล่าเราจะเห็นว่า
มันหลุดเส้น 200 วันอย่างมีนัยยะครั้งแรกคือเดือนมีนาคมซึ่งเกิดเหตุการณ์
qe และหลังจากนั้นถึงจะขึ้นไปได้บ้างแต่ก็เป็นเหตุการณ์ชั่วคราว
แต่ล่าสุด dxy ได้ขึ้นทะลุเส้น 200 วันอย่างมีนัยยะผมจึงไม่คิดว่าเซทจะ
perform ได้ดีถ้า dxy เป็นแบบนี้(ผมอาจจะผิดมันเป็นแค่ความเห็นและความน่าจะเป็นของผม)ก็ไม่มีไรมากเราลองไปดูก็ได้ว่าในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา
เซทมี negative correlation กับ dxy กี่%
มาเล่าให้ฟังว่าตอนนี้ดูอะไรอยู่และมองแนวโน้มยังไงครับ
จริงๆแล้วผมได้คุยกับหมอ mprandy ในงานมีทติ้งที่ผ่านมาโดยอาจารย์หมอได้บอกว่าการที่ dxy แข็งขึ้นเพราะคนกลัวความเสี่ยงเลยไปซื้อดอลเพิ่ม
อะไรทำนองนี้
ฟันโฟลฉบับเต็มขอไปเล่าให้พี่ฟังตอนกินโต๊ะจีนแล้วกันนะ
ตอบแทนค่าข้าวแล้วเห็นบอกให้พาเพื่อนไปด้วยใช่ไหม
ถ้าเพือ่นไม่ว่างจะพากิ๊กไปแทนนะ สวยด้วยขอบอก
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 04, 2010 10:32 pm
โดย sermsakv
ขาใหม่ครับ
รบกวนถามเรื่อง Fund Flow ที่ดูจากทิศทาง Dollar กับราคาหุ้น
Dollar เป็นตัว Lead หุ้น หรือมันไปด้วยกันครับ (Coincident)
เพราะถ้ามัน Lead หุ้นนะจะเป็นตัวชี้นำได้
แต่ถ้ามันไปด้วยกันก็ไม่น่าจะมีประโยชน์ คือดูหุ้นไปเลยดีกว่า
ปล.ผมไม่ใช้นักดูกราฟครับ แต่อยากได้มุมมอง
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 04, 2010 10:41 pm
โดย eskimo
ขอแซวหน่อย ถ้ากิ๊กคุณฮงคือ สาวที่ไปงาน meeting ที่ผ่านมา ผมยกนิ้วให้ครับ ชั้นหนึ่ง :oops:
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 04, 2010 11:53 pm
โดย hongvalue
[quote="eskimo"]ขอแซวหน่อย ถ้ากิ๊กคุณฮงคือ สาวที่ไปงาน meeting ที่ผ่านมา ผมยกนิ้วให้ครับ ชั้นหนึ่ง
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 05, 2010 12:52 am
โดย hongvalue
พี่วิบูลย์ ผมไปเขียนในบล็อกว่าให้ตามมาอ่านที่นี้เพราะมีเล่าเรื่อง dxy
เห็นเปล่า ช่วยโฆษณาจนหยดสุดท้ายเลยนะ
:lol: :lol: อิอิ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 05, 2010 9:04 am
โดย VIB007
hongvalue เขียน:
ฟันโฟลฉบับเต็มขอไปเล่าให้พี่ฟังตอนกินโต๊ะจีนแล้วกันนะ
ตอบแทนค่าข้าวแล้วเห็นบอกให้พาเพื่อนไปด้วยใช่ไหม
ถ้าเพือ่นไม่ว่างจะพากิ๊กไปแทนนะ สวยด้วยขอบอก
พี่วิบูลย์ ผมไปเขียนในบล็อกว่าให้ตามมาอ่านที่นี้เพราะมีเล่าเรื่อง dxy
เห็นเปล่า ช่วยโฆษณาจนหยดสุดท้ายเลยนะ
ขอบคุณมากจะรอฟัง
ส่วนเพื่อนที่จะพามานั้น ไม่ต้องพามาแล้ว
พากิ๊กมาเลยแล้วกัน :lol: :lol:
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 07, 2010 10:56 am
โดย romee
1.พี่วิบูลย์ ปกติพี่คาดหวังกำไรกี่ % ในแต่ละปีเหรอครับ อยากรู้เหตุผลด้วยอ่ะครับ
2.ปกติพอร์ตของพี่ ถือหุ้น ประมาณกี่ตัวเหรอครับ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 07, 2010 8:56 pm
โดย nun08
มาร่วมแจมด้วยครับ มือใหม่หัดถามพี่วิบูลย์ครับ
-อยากทราบว่า ปกติ demand supply ของพวก
purified terephthalic acid (PTA)
Polyethylene terephthalate (PET)
Polyester
ในโลกตอนนี้หลักๆๆใหญ่มาจากแหล่งใน บ้างครับ และ อยากทราบมุมมองปัจจุบันที่พี่มองเกี่ยวกับผลิตภัณท์ ที่กล่าวมา
ขอบคุณครับ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 08, 2010 11:48 am
โดย VIB007
ถึงวันนี้อ่านกัน 999,520 ครั้งแล้ว
เหลืออีกเพียง 480 ครั้งจะครบ 1 ล้านครั้ง
เป็นเป้าหมายที่วางไว้
ต้องขอโทษทีหลังๆผมเข้ามาตอบไม่มากนัก
งานเยอะทั้งงานราษฏร์งานหลวงเลยไม่ค่อยมีเวลามากนัก
จะว่าไปกระทู้นี้พยายามหา"ทายาทอสูร"มารับช่วงต่อ
แต่ยังไม่มีใครมาทำอย่างเป็นจริงเป็นจัง
เจ้าฮงก็ไปเปิดเวปของตัวเองไปแล้ว
และบอกว่าตัวเองไม่ใช่วีไอ
เลยขอบาย
ส่วนคนอื่นๆก็มีกระทู้มีบล๊อคของตนเองไปเกือบหมดแล้ว
ผมว่าตอนนี้ก็น่าจะถึงเวลาที่จะต้องให้"น้องๆรุ่นใหม่"มา"ทำงาน"ตรงนี้แทน
ถ้าใครอาสาก็ช่วยตอบคำภามที่ถามในกระทู้นี้แทนผมได้เลย
ข้อแม้เดียวในกระทู้นี้คือ"ห้ามเชียร์หุ้น"
เพื่อนๆพี่ๆน้องๆช่วยกันด้วยนะเพื่อเวปคุณภาพของเรา
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 08, 2010 4:06 pm
โดย hongvalue
VIB007 เขียน:
เจ้าฮงก็ไปเปิดเวปของตัวเองไปแล้ว
และบอกว่าตัวเองไม่ใช่วีไอ
เลยขอบาย
ส่วนคนอื่นๆก็มีกระทู้มีบล๊อคของตนเองไปเกือบหมดแล้ว
แหมๆ ออกตัวก่อนว่าผมเองก็มีความเป็นวีไอเพียงแต่เป็นวีไอผสมมากกว่า
เพียงแต่ผมไม่ได้ใช้วีไออย่างเดียวในการลงทุนเท่านนั้นเอง
สมมุติว่าฟันโฟลเข้า ภาพใหญ่ก็คือหุ้นน่าจะขึ้นแต่ตัวไหนน่าจะขึ้นเยอะสุดล่ะ
ก็คือตัวที่ถูกกว่ามูลค่าเยอะ ,growth เยอะ,มีสตอรี่ อะไรต่างๆซึ่งก็ต้องใช้ศาสตร์ของวีไอ
เพียงแต่การที่ผมบอกว่าผมไม่ใช่วีไอเป็นเพราะวีไอส่วนใหญ่อาจจะถือหุ้นยาวและไม่สนใจเรื่องเล่นรอบหรือว่าสนใจภาวะตลาดแต่ผมเป็นคนที่ดูมูลค่าหุ้นควบคู่ไปกับกระแสเงินและภาวะตลาดน่ะ
ขอเปลี่ยนจากไม่ใช่วีไอเป็นใฃ้วีไอเป็นส่วนนึงของการลงทุนแล้วกัน
อิอิ เดี่ยวพี่ๆน้องๆจะว่าอยู่ผิดเว็บไปหน่อย :P
VIB007 เขียน:
ผมว่าตอนนี้ก็น่าจะถึงเวลาที่จะต้องให้"น้องๆรุ่นใหม่"มา"ทำงาน"ตรงนี้แทน
ถ้าใครอาสาก็ช่วยตอบคำภามที่ถามในกระทู้นี้แทนผมได้เลย
ข้อแม้เดียวในกระทู้นี้คือ"ห้ามเชียร์หุ้น"
เพื่อนๆพี่ๆน้องๆช่วยกันด้วยนะเพื่อเวปคุณภาพของเรา
พี่วิบูลย์นี้ดีนะครับ มาลองคิดดูแล้วกระทู้นี้พี่ก็เป็นคนตอบเสียส่วนใหญ่
ไม่ได้ความรู้อะไรจากคนอื่นมากนัก แต่พอไม่มีเวลายังอยากให้มีคนมาช่วย
กันให้ความรู้ต่อไปและป้องกันการหาประโยชน์โดยการห้ามเชียร์หุ้น
ถือว่าทำเพื่อเว็บและคนที่เป็นมือใหม่อย่างแท้จริงครับ
ขอคารวะ
น่าเสียดายที่ผมไม่ใช่วีไอพันธ์แท้ไม่งั้นจะมาช่วยสานต่อแล้ว
เอาเป็นว่าผมขอช่วยเป็นกำลังใจให้คนที่จะมาสานต่อเพื่อสังคมอีกแรงแล้วกันครับ :D
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.พ. 09, 2010 10:40 am
โดย VIB007
ชมกันเองนะ ฮง
แต่เอาเถอะ วีไอพันธ์แท้พันธ์ไม่แท้ก็อยู่ร่วมกันได้
อย่าแบ่งแยก
เราก็นักลงทุนเหมือนกัน
เพื่อนพี่หลายคนก็เป็นนักเก็งกำไรยังคุยกันได้บ่อยๆ
วีไอปลอมก็มีเยอะแยะ
อย่าไปสนใจเปลือกนอก
แก่นสำคัญกว่า
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.พ. 09, 2010 10:58 am
โดย VIB007
romee เขียน:1.พี่วิบูลย์ ปกติพี่คาดหวังกำไรกี่ % ในแต่ละปีเหรอครับ อยากรู้เหตุผลด้วยอ่ะครับ
2.ปกติพอร์ตของพี่ ถือหุ้น ประมาณกี่ตัวเหรอครับ
นานๆจะมีคนถามเรื่องส่วนตัวสักที
ผมว่าถ้าเราทำได้เกินปีละ 20% ทบต้นก็ถือว่า"หรู"มากแล้ว
สิ่งสำคัญคือการรักษาความมั่งคั่งเอาไว้มากกว่า
อย่างทีบัฟเฟตบอกที่ว่า
"กฏข้อที่หนึ่งคืออย่าขาดทุน
กฏข้อที่สองให้ดูกฏข้อที่หนึ่ง"
เหตุผลง่ายๆ
ถ้าเราทำผลตอบแทนได้ปีละ 24%
ภายใน 3 ปีเงินจะเติบโตเท่าหนึ่ง
ใน 10 ปีเงินจะเพิ่มเป็น 10 เท่า
ใน 20 ปี จะกลายเป็น 100 เท่า
ใน 30 ปีจะเป็น 1,000 เท่า
ถ้าเริ่มลงทุนตอนอายุ 30 ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นหนึ่งล้านบาท
ภายในอายุ 60 ปีจะมีเงินพันล้าน
โดยไม่ต้องวิ่งเข้าวิ่งออกตลาดหุ้นให้เมื่อยตุ้ม
หรือถ้าทำได้ปีละ 15% ทบต้น
ภายใน 5 ปีเงินจะเพิ่มเท่าตัว
ใน 15 ปีจะกลายเป็น 10 เท่า
ใน 30 ปีจะเป็น 100 เท่า
ถ้าเริ่มลงทุนตอนอายุ 30 ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นหนึ่งล้านบาท
ภายในอายุ 60 ปีจะมีเงินร้อยล้านอยู่ดี....พอไหมครับ
นี่ยังไม่ได้นับเงินที่ใส่เข้ามาระหว่างทางเลยนะ
ถามว่าจะหาเงิน 1 ล้านก่อนอายุสามสิบได้อย่างไร
ผมว่าถ้าตั้งใจจริงไม่ยาก
สำคัญที่"ความตั้งใจ"
คนทำงานกินเงินเดือนผ่อนรถคันหนึ่งก็เดือนละหมื่นกว่าบาทแล้ว
ผ่อนไปสี่ห้าปีหมดไปเป็นแสนเป็นล้าน
มูลค่ารถตกลงเงินหายไปกว่าครึ่ง
ถ้ายอมนั่งรถสาธารณะ
ไม่ซื้อรถยนต์
เอาเงินที่จะซื้อรถมาเก็บตั้งแต่เริ่มทำงานจบใหม่ๆอายุ 22 ปี
เก็บเดือนละ 10,000 บาท....ทำกันได้ไหม
ปีละ 120,000 บาท
เก็บไป 8 ปีจนอายุ 30 จะได้เงิน 1 ล้านบาทพอดี
ยังไม่นับรวมรายได้ที่เพิ่มขึ้นตามอายุงานนะ
เคล็ดลับคือเงินเดือนที่เพิ่มเอามาเก็บเพิ่ม
ใช้เงินเท่ากับที่ได้เดิม
คนส่วนใหญ่รายได้มาก รายจ่ายก็มากตาม
เงินเลยไม่พอใช้กัน ไม่ว่าจะเงินเดือนเท่าไหร่ก็ไม่พอ
อย่าติดกับดักอันนี้
ใครว่าเงินล้านหายาก
เพราะไม่ได้ตั้งใจหามากกว่า
คนส่วนใหญ่เก็บเงินได้สักหมื่นหรือแสน
ก็"อยากได้"มือถือใหม่ รถยนต์ใหม่ กิ๊กใหม่ :lol: ๆลๆ
ทำให้เก็บเงินถึงเป้าหมายไม่ได้สักที
คนไม่รวย อย่าโทษฟ้าดิน ดวงดาวหรือโชคชะตา
ต้องโทษกิเลสของตัวเราเอง
อายุมากก็เริ่มได้...อย่ามีข้ออ้าง
ส่วนข้อสอง ถือหุ้นกี่ตัว
ปกติสามตัว
........จบข่าว
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.พ. 09, 2010 11:55 am
โดย hongvalue
1,000,000 ครั้งแล้วโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ขอปิดซิงคนแรกในฐานะที่ครบ 1 ล้านครั้งนะครับ
:lol:
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.พ. 09, 2010 11:57 am
โดย nanchan
VIB007 เขียน:
ข้อแม้เดียวในกระทู้นี้คือ"ห้ามเชียร์หุ้น"
ห้ามเชียร์หุ้นเหรอ ตอนแรกเห็นหัวข้อกระทู้ "ตะแกรงร่อนหุ้น"
นึกว่าเป็นกระทู้ให้มาหาหุ้นร่อนหุ้นเชียร์หุ้นซะอีก อิอิ
มาร่วมโพสต์ตอนครบล้านครับ หุหุ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.พ. 09, 2010 12:28 pm
โดย romee
ขอบคุณมากครับพี่วิบูลย์กับคำตอบดีๆ
ผมเองก็เริ่มจากเงินเก็บของตัวเองแหละครับ...หลักพัน ตอนนี้ก็เอาเงินเดือนตัวเองเพิ่ม เข้าไปเรื่อยๆ
หวังว่าอีก3ปีต่อจากนี้ จะมีเงินล้านกับเขาบ้างแล้ว ด้วยเงินเดือนและเงินเก็บ นี้แหละครับ
ปล. มาฉลองล้านแล้วจ้า ด้วยคน
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.พ. 09, 2010 2:35 pm
โดย VIB007
hongvalue เขียน:1,000,000 ครั้งแล้วโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ขอปิดซิงคนแรกในฐานะที่ครบ 1 ล้านครั้งนะครับ
:lol:
มาตั้งแต่ก่อนไก่โห่เลยนะ..เจ้าฮง
อยากไปที่ไหนพีเอ็มมาบอกด่วน
อ่านกัน 1,000,000 ครั้งวันนี้
นับจากวันแรกที่เริ่มกระทู้โดยคุณ Thanwa
เมื่อวันที่ Fri Aug 29, 2003
จนถึงวันนี้ Tue Feb 9, 2010
ก็ 6 ปี 5 เดือนกับอีก 11 วัน
ตอนนี้คุณ Thanwa ได้เป็น CEO IBM Thailand ไปแล้ว
กระทู้นี้ก็ยังอยู่ที่นี่เหมือนเดิม
เวปนี้ก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก
ขอให้พี่ๆน้องๆช่วยกันทะนุบำรุงเวปของเราให้ยั่งยืนตลอดไป
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.พ. 09, 2010 2:36 pm
โดย VIB007
nanchan เขียน:
ห้ามเชียร์หุ้นเหรอ ตอนแรกเห็นหัวข้อกระทู้ "ตะแกรงร่อนหุ้น"
นึกว่าเป็นกระทู้ให้มาหาหุ้นร่อนหุ้นเชียร์หุ้นซะอีก อิอิ
มาร่วมโพสต์ตอนครบล้านครับ หุหุ
:8) :8)
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.พ. 09, 2010 2:36 pm
โดย VIB007
romee เขียน:ขอบคุณมากครับพี่วิบูลย์กับคำตอบดีๆ
ผมเองก็เริ่มจากเงินเก็บของตัวเองแหละครับ...หลักพัน ตอนนี้ก็เอาเงินเดือนตัวเองเพิ่ม เข้าไปเรื่อยๆ
หวังว่าอีก3ปีต่อจากนี้ จะมีเงินล้านกับเขาบ้างแล้ว ด้วยเงินเดือนและเงินเก็บ นี้แหละครับ
ปล. มาฉลองล้านแล้วจ้า ด้วยคน
ขอให้โชคดีในการลงทุนครับ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.พ. 09, 2010 2:44 pm
โดย winkung
VIB007 เขียน:
นานๆจะมีคนถามเรื่องส่วนตัวสักที
ผมว่าถ้าเราทำได้เกินปีละ 20% ทบต้นก็ถือว่า"หรู"มากแล้ว
สิ่งสำคัญคือการรักษาความมั่งคั่งเอาไว้มากกว่า
อย่างทีบัฟเฟตบอกที่ว่า
"กฏข้อที่หนึ่งคืออย่าขาดทุน
กฏข้อที่สองให้ดูกฏข้อที่หนึ่ง"
เหตุผลง่ายๆ
ถ้าเราทำผลตอบแทนได้ปีละ 24%
ภายใน 3 ปีเงินจะเติบโตเท่าหนึ่ง
ใน 10 ปีเงินจะเพิ่มเป็น 10 เท่า
ใน 20 ปี จะกลายเป็น 100 เท่า
ใน 30 ปีจะเป็น 1,000 เท่า
ถ้าเริ่มลงทุนตอนอายุ 30 ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นหนึ่งล้านบาท
ภายในอายุ 60 ปีจะมีเงินพันล้าน
โดยไม่ต้องวิ่งเข้าวิ่งออกตลาดหุ้นให้เมื่อยตุ้ม
หรือถ้าทำได้ปีละ 15% ทบต้น
ภายใน 5 ปีเงินจะเพิ่มเท่าตัว
ใน 15 ปีจะกลายเป็น 10 เท่า
ใน 30 ปีจะเป็น 100 เท่า
ถ้าเริ่มลงทุนตอนอายุ 30 ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นหนึ่งล้านบาท
ภายในอายุ 60 ปีจะมีเงินร้อยล้านอยู่ดี....พอไหมครับ
นี่ยังไม่ได้นับเงินที่ใส่เข้ามาระหว่างทางเลยนะ
ถามว่าจะหาเงิน 1 ล้านก่อนอายุสามสิบได้อย่างไร
ผมว่าถ้าตั้งใจจริงไม่ยาก
สำคัญที่"ความตั้งใจ"
คนทำงานกินเงินเดือนผ่อนรถคันหนึ่งก็เดือนละหมื่นกว่าบาทแล้ว
ผ่อนไปสี่ห้าปีหมดไปเป็นแสนเป็นล้าน
มูลค่ารถตกลงเงินหายไปกว่าครึ่ง
ถ้ายอมนั่งรถสาธารณะ
ไม่ซื้อรถยนต์
เอาเงินที่จะซื้อรถมาเก็บตั้งแต่เริ่มทำงานจบใหม่ๆอายุ 22 ปี
เก็บเดือนละ 10,000 บาท....ทำกันได้ไหม
ปีละ 120,000 บาท
เก็บไป 8 ปีจนอายุ 30 จะได้เงิน 1 ล้านบาทพอดี
ยังไม่นับรวมรายได้ที่เพิ่มขึ้นตามอายุงานนะ
เคล็ดลับคือเงินเดือนที่เพิ่มเอามาเก็บเพิ่ม
ใช้เงินเท่ากับที่ได้เดิม
คนส่วนใหญ่รายได้มาก รายจ่ายก็มากตาม
เงินเลยไม่พอใช้กัน ไม่ว่าจะเงินเดือนเท่าไหร่ก็ไม่พอ
อย่าติดกับดักอันนี้
ใครว่าเงินล้านหายาก
เพราะไม่ได้ตั้งใจหามากกว่า
คนส่วนใหญ่เก็บเงินได้สักหมื่นหรือแสน
ก็"อยากได้"มือถือใหม่ รถยนต์ใหม่ กิ๊กใหม่