2.เลือกหุ้นที่มีความสามารถในการทำกำไรและมีความถูกในแง่ของสินทรัพย์จะเป็นทั้งโล่และดาบที่ดีให้กับเรา เช่น หุ้น ps เป็นหุ้นที่เข้าตลาดในช่วงปลายปี 2005 ซึ่งเป็นบริษัทที่สามารถทำยอดจองได้เติบโตสูงมากต่อเนื่องแทบจะ all time high รายไตรมาสก่อนที่จะเจอภาวะ subprime แต่ในภาวะ subprime บริษัทกลับลงมาจนต่ำกว่าราคาสมัย ipo ในจุดนี้ถ้าไม่เกิดวิกฤติเราคงจะไม่ได้ซื้อหุ้น ps ที่มีการเติบโตมี roe สูงกว่า 20% ต่อเนื่องในราคาต่ำขนาดนั้นแต่ประเด็นก็คือภาวะวิกฤติจะทำให้เราไม่แน่ใจว่าบริษัทจะมีกำไรถดถอยไปจนเหลือเท่าไหร่กันแน่ ดังนั้นเราจึงอาจจะหาเบาะป้องกัน downside risk เพิ่มจากธรรมดาทั่วไปอีกก็คือ การใช้อัตราส่วนอย่าง nav ,liquidation value เป็นต้น ในกรณีของ ps เราทราบแล้วว่าบริษัทมีความสามารถในการทำกำไรสูงแต่เรายังสามารถดูมูลค่าเลิกกิจการของ ps ได้จากการนำเอา current asset –total liability แล้วเอาตัวเลขที่ว่าเทียบกับ market cap ซึ่งถือว่าเป็นการวัดคร่าวๆว่าสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทสูงขนาดไหน โดยนับเฉพาะสินทรัพย์ที่หมุนเร็วมาลบกับหนี้สินทั้งหมดเลย แนวคิดลักษณะนี้น่าจะเรียกได้ว่าเป็นหุ้นก้นบุหรี่ในนิยามของ graham ในตอนนั้นถ้าเรานำงบในช่วง q3-2008 ของ ps มาคำนวณมูลค่าเลิกกิจการจะได้ตัวเลขที่สูงเทียบเท่ากับ market cap ของหุ้นตอนที่เจอขายลงมาหนักๆแถวๆ(เรื่องหุ้นที่ขึ้นเกือบ 10 เท่าจากกลุ่ม property จะมีรายละเอียดในภาค 2 ของหุ้นสิบเด้ง)3 บาทเศษ ผมว่าถ้าเราไม่แน่ใจว่าวิกฤติจะฟื้นตัวเมื่อไหร่การหาหุ้นโตเร็วและมีความสามารถทางการทำกำไรสูงๆโดยวัดจาก presale growth(อสังหาริมทรัพย์ใช้ presale แทน sale)และ roe สูง และยังมีสภาพคล่องสูงเมื่อเทียบกับหนี้สินแล้วเรียกว่าต่อให้เลิกกิจการไปเลยผู้ถือหุ้นก็ไม่ขาดทุน ต่อให้วิกฤติไม่ฟื้นตัวเร็วเราคงเจ็บตัวน้อย ความเห็นของผมคือในวิกฤติครั้งหน้าเราควรเลือกหุ้นที่ความสามารถในการทำกำไรสูงและเป็นก้นบุหรี่ไปด้วยเพราะมันน่าจะช่วยเพิ่ม risk / reward ในการลงทุนหุ้นกับเราได้มากกว่าหุ้นที่ทำกำไรสูงแต่ราคาลงเพียงอย่างเดียว
3.หาหุ้นที่บริษัทมีรายการ one time loss หนักๆและตลาดเหมือนจะให้น้ำหนักกับ one time loss ราวกับว่าเป็นการขาดทุนจากการดำเนินงาน เช่นในกรณีที่หุ้นโรงกลั่นหลายตัวมี stock loss มากมายจากการที่ราคาน้ำมันลงเร็วมาก หรือ thai ที่ไปทำสัญญาซื้อราคาน้ำมันเอาไว้สูงๆก่อนน้ำมันลงแรง tvo ที่มีการขาดทุน stock ถั่วเหลือง kce ที่มีการ hedge ทองแดงผิดพลาด scsmg ที่มีรายการขาดทุนจากการลงทุนในหุ้นมโหฬารบานตะไท และอื่นๆอีกมากมายเหลือที่จะกล่าวได้หมด การเล่นหุ้นแนวนี้อาจจะไม่ได้ให้ผลตอบแทนสูงสุดเมื่อเกิดการฟื้นตัวเพราะหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดเมื่อวิกฤติกลับตัวคือหุ้นที่ยอดขายและกำไรทำนิวไฮได้เร็วกว่าหุ้นตัวอื่นๆ เช่น cpf เป็นต้น เพียงแต่เราไม่สามารถรู้ได้ว่าวิกฤติจะนานแค่ไหนถ้าเราเลือกหุ้นที่ถูก bomd down ลงมาจาก one time loss มากที่สุดนั้นหมายความว่าไตรมาสต่อๆไปทั้ง qoq และ yoy คงจะยากที่จะเลวร้ายมากกว่าไตรมาสที่มี one time loss มากๆ ถ้าราคาหุ้นลงมาแรงมากแล้วและไตรมาสต่อๆไปมีแต่จะดีขึ้น และบริษัทที่เราเลือกเป็นผู้นำใน อุตสาหกรรมนั้น นั้นจะเป็นการลงทุนที่ downside ต่ำมากๆเช่นกัน ในกรณีนี้ถ้าเราเห็นว่าอุตสาหกรรมไหนฟื้นตัวเราค่อยขายหุ้นพวกนี้ออกไปซื้อพวกที่เห็นการฟื้นตัวแล้วก็ได้ (ตัวอย่างในข้อ 4)หุ้นพวกนี้ถือเป็นหุ้นที่ risk ค่อนข้างน้อย ทำให้ risk /reward ของนักลงทุนถือว่าสูง
"In life and business, there are two cardinal sins ... The first is to act precipitously without thought, and the second is to not act at all.” – Carl Icahn