Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

บิ๊กอสมทเย้ย มีหุ้นต้องเสี่ยง
ไล่ไปดูหนังสือชี้ชวน-พนง.นัดแต่งดำไว้ทุกข์

โพสต์ทูเดย์ โฆษกบอร์ด อสมท ลั่น ผู้ถือหุ้นรายย่อย ต้องทำใจราคาหุ้น อสมท ร่วงไม่หยุด ชี้การซื้อหุ้นคือความเสี่ยง

นายวิทยาธร ท่อแก้ว กรรมการและโฆษกคณะกรรมการ บริษัท อสมท (MCOT) เปิดแถลงข่าวด่วน เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน หลังจากราคาหุ้น อสมท ได้ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง มาปิดที่ 27.75 บาท ลดลง 1.50 บาท หรือ 5.13% มูลค่าซื้อขาย 349.25 ล้านบาท ซึ่งหากย้อนกลับไป 3 วัน หลังจากผู้บริหาร อสมท ออกมา ระบุว่า จะไม่เน้นสร้างกำไร ทำให้นักลงทุนเทขายตลอด 3 วัน มูลค่าตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) หุ้นหายไป 2 พันล้านบาท และหากย้อนกลับ 1 สัปดาห์ เมื่อมีข่าวว่า นายมิ่งขวัญไม่สามารถกลับมาดำรงตำแหน่งได้ มาร์เก็ตแคปหุ้นหายไป 2,576 ล้านบาท เหลือ 1.9 หมื่นล้านบาทเท่านั้น


ทั้งนี้ นายวิทยาธร กล่าวว่า ต้องการทำความเข้าใจกับสื่อมวลชน และผู้ถือหุ้นทุกประเภทว่า คณะกรรมการบริหาร (บอร์ด) อสมท มีแนวคิดที่จะเปิดกว้างในเรื่องของการปรับผังรายการให้มีสาระ และคุณธรรมมากขึ้น ไม่ต้องการให้รายการของ อสมท มีแต่รายการที่สร้างแต่รายได้ แต่ไม่มีคุณธรรม หรือล่อแหลมต่อสังคมเป็นหลัก


ผังรายการใหม่ จะเปิดกว้างให้กับธุรกิจสื่อต่างๆ ที่มีความสามารถเข้ามาผลิตรายการให้กับ อสมท เพื่อให้ อสมท เป็นสถานีโทรทัศน์ที่เป็นสังคมอุดมปัญญา ที่มีคุณธรรม และรับผิดชอบต่อทุกฝ่าย แต่รายการเหล่านั้นต้องสร้างรายได้ให้กับอสมท ด้วย นายวิทยาธร กล่าว


สำหรับกรณีที่ผู้ถือหุ้นรายย่อยเป็นห่วงเรื่องราคาหุ้นและเงินปันผลนั้น นายวิทยาธร กล่าวว่า อยากให้ผู้ถือหุ้น ไปอ่านหนังสือชี้ชวนในหน้าแรก ซึ่งเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า การลงทุนคือความเสี่ยง


อย่างไรก็ตาม การพิจารณาผังรายการใหม่นั้น กรรมการ และผู้บริหาร อสมท จะเป็นผู้กำหนดเกณฑ์มาตรฐานรายการอีกครั้ง โดยในการประชุมบอร์ด วันที่ 10 พฤศจิกายน จะมี การพิจารณาในเรื่องนี้อย่างละเอียด และขอยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีการพิจารณาปรับเปลี่ยนผังรายการใหม่ ตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด หลังการประชุมบอร์ด 10 พฤศจิกายนนี้ จะเชิญผู้จัดการกองทุน รวมถึงนักวิเคราะห์ และนักลงทุนมารับข้อมูลที่เกิดขึ้น


แหล่งข่าวจาก อสมท กล่าวว่า ขณะนี้ พนักงาน อสมท จะขอเปิดประชุมสหภาพฯ สมัยวิสามัญ ในวันที่ 6 พฤศจิกายน เป็นการด่วน เนื่องจากไม่ พอใจแนวนโยบายของนายพงษ์ศักดิ์ พยัฆวิเชียร ที่แสดงวิสัยทัศน์ ว่าต้องการปรับแนวคิดขององค์กรจากสังคมอุดมปัญญา เป็นสัมมาปัญญา ไม่คำนึงถึงผลกำไร ส่งผลกระทบต่อผู้ถือหุ้น และพนักงานอย่างมาก โดยในวันที่ 7 และวันที่ 8 พฤศจิกายนนี้ พนักงานได้นัดกันใส่ชุดดำเพื่อประท้วงนโยบายบอร์ดใหม่


นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการ รัฐวิสาหกิจ (สคร.) กล่าวว่า ผู้บริหาร อสมท มีหน้าที่ต้องดูแลนักลงทุน จะทำอะไรมากขนาดไหน ก็ต้องบอกให้นักลงทุนทราบอย่างเป็นทางการ

http://www.posttoday.com/breakingnews.p ... &id=129720

MCOTยันเน้นรายได้-กำไรคู่คุณภาพรายการเพื่อปชช.

นายวิทยาธร ท่อแก้ว กรรมการและโฆษกคณะกรรมการบมจ.อสมท (MCOT) กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทในวันที่ 10 พ.ย.นี้จะมีการหารือเกี่ยวกับการสรรหากรรมการผู้อำนวยการใหญ่คนใหม่ และ การกำหนดนโยบายการปรับปรุงผังรายการใหม่ของโมเดิร์นไนน์ทีวี

บริษัทยังยืนยันที่จะเน้นการสร้างรายได้และกำไร ขณะเดียวกันจะไม่ทิ้งหลักการที่สร้างคุณภาพรายการเพื่อประชาชน และยังให้ความสำคัญกับผู้ถือหุ้นรายย่อยในตลาดหลักทรัพย์ โดยผังรายการใหม่จะประกอบด้วยมีคุณภาพ เนื้อหา ทำรายได้จากการขายโฆษณาไม่ด้อยกว่าผังรายการเดิม


"เรายังยึดนโยบายเดิมในการเป็นสังคมอุดมปัญญา แต่ปรับปรุงรูปแบบรายการให้มีคุณภาพและสาระอย่างแท้จริงกับประชาชน โดยผมจะเตรียมเสนอในที่ประชุมบอร์ดว่าจะให้ผุ้ผลิตรายการทุกรายที่เข้าร่วมผังรายการใหม่ยื่น TOR เพราะเห็นว่าเป็นวิธีการสร้างความเท่าเทียม โปร่งใสและตรวจสอบได้"นายวิทยาธร กล่าว


ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทจะสรุปผังรายการใหม่ในอีก 1-2 เดือน เพื่อให้ผู้ผลิตรายการมีเวลาเตรียมตัวนำเสนอรายการในม.ค.50 โดยเห็นว่าควรจะมีการประกาศ TOR เพื่อให้เกิดความโปร่งใสเป็นธรรมในการคัดเลือกผู้ผลิตรายการ เชื่อว่าหากประกาศผังรายการใหม่ออกมาก็จะทำให้ราคาหุ้นปรับขึ้นได้


"คนที่ขายหุ้นไปแล้วอาจจะเสียใจทีหลังก็ได้ เพราะหากเห็นผังรายการใหม่ เชื่อว่าจะโดนใจและตรงตามความคาดหวังของประชาชน และจะทำให้หุ้นขึ้น" โฆษกคณะกรรมการ MCOT กล่าว

เป็นการกระทำที่ค่อนข้างจะรับไม่ได้ทีเดียวสำหรับการออกมาเคลื่อนไหวของบรรดาคนใน บมจ.อสมท.เฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของเหล่าสหภาพแรงงานฯ ต่อการเปลี่ยนแปลงในส่วนของบอร์ดผู้บริหาร และนโยบายที่เป็นอยู่ที่มาจากทางภาครัฐบาลโดยนายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ ในฐานะของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
     
       การเคลื่อนไหวที่ว่าคือการแสดงความไม่เห็นด้วยและการพยายามจะบอกกับสาธารณชนว่าการเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้จะทำให้รายการดีๆ ที่มีอยู่ทางช่องโมเดิร์นไนน์ ทีวีจะหายไป, การเปลี่ยนแปลงที่ว่าจะทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุน, การเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้จะทำให้การพัฒนาองค์กรที่เป็นอยู่อย่างต่อเนื่องต้องสะดุด
     
       ที่สำคัญก็คือการเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้ อสมท.นั้นกลับไปเข้าไปสู่ความเป็นดินแดนสนธยาอีกครั้ง...
     
       ถือเป็นการต้อนรับที่น่าหนักใจแทนรักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อย่างนายพงษ์ศักดิ์ พยัฆวิเชียร
     
       เหตุที่ต้องใช้คำว่ารับไม่ได้ก็เพราะพนักงาน อสมท. เหล่านี้ทำเสมือนราวกับว่า แท้จริงแล้วการออกมาดิ้นเร่าๆ อย่างกับไส้เดือนถูกน้ำร้อนลวกในครั้งนี้ก็เพราะความเป็นห่วงตัวเลขบนกระดานหุ้น, เพราะความเกรงกลัวว่าผลประโยชน์และความสุขสบายของตนเองที่เคยได้รับมาเมื่อครั้งมีคนชื่อ "มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ" นั่งเก้าอี้ผู้อำนวยการ อสมท.นั้นจะหายไป
     
       มองไปถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใน บมจ.อสมท. ที่มาจากทางรัฐบาลในเชิงปฏิรูปนโยบายด้วยความปรารถนาต้องการไม่ให้องค์กรแห่งนี้เป็นองค์กรที่มุ่งหาผลกำไร หากแต่เป็นองค์กรสื่อที่เน้นการให้การศึกษา หรือแม้กระทั่งสิ่งที่เห็นค่อนข้างจะเป็นรูปธรรมในเรื่องของผังรายการที่จะมีการปรับลดเวลาการออกอากาศรายการ "คุยคุ้ยข่าว" ของ "สรยุทธ สุทัศนะจินดา" ซึ่งที่ผ่านมาเรตติ้งตกลงไปเรื่อยๆ (จนถูกลดเวลา) เพื่อแบ่งเวลาไปให้กับบรรดาสื่อมวลชนรุ่นใหญ่ อาทิ สมเกียรติ อ่อนวิมล, สุทธิชัย หยุ่น, เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง, เสรี วงษ์มณฑา หรือแม้กระทั่ง สนธิ ลิ้มทองกุล เองเข้ามาทำรายการที่มีสาระ มีประโยชน์ ตามข่าวที่ออกมา ขณะที่ทางบอร์ดใหม่เองต่างก็ยืนยันแล้วว่ารายการที่มีสาระที่เคยมีก็จะมีอยู่ต่อไป ต่างๆ เหล่านี้น่ะหรือคือการทำร้าย ทำลาย อสมท.อย่างที่คนสหภาพ อสมท.พยายามกล่าวอ้าง
     
       ตรงกันข้ามกลับเป็นการช่วยพัฒนาและดึง อสมท. ออกมาจากแดนสนธยาเสียมากกว่า
     
      ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนเหล่านี้เอาข่าวลักษณะนี้มาจากไหน? และมีใครเคยได้ยินจากปากของรักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่หรือยังว่าจะมีการปลดเอารายการดีๆ มีสาระ อาทิ "กบนอกกะลา" ของ "บ.ทีวีบูรพา" ที่มีคนพูดถึงกันเป็นอย่างมากออกไป
     
       ค่อนข้างจะน่าสมเพชทีเดียวกับการที่ใครหลายคนยังมีความคิดและออกมาบอกว่า ที่ผ่านมาเพราะการบริหารงานของบอร์ดชุดที่แล้วซึ่งนำโดยนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ นั่นเองทำให้ ณ ที่แห่งนี้เป็นการทำงานที่เต็มไปด้วยศักยภาพ ทำให้ที่แห่งนี้พ้นจากแดนสนธยาและ ทำให้ อสมท.มุ่งสู่การพัฒนาจนเป็นที่รู้จักมีผลกำไร มีมูลค่าหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้น
     
       ทั้งที่ความเป็นจริงทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงการบริหารด้วยการสร้างภาพและการโฆษณาชวนเชื่อทั้งสิ้น
     
       ลองย้อนกลับไปพิจารณาดูก็ได้ว่า กำไรจากผลประกอบการส่วนใหญ่ของ อสมท.นั้นแท้ที่จริงแล้วมาจากอะไรกันแน่ ใช่จากการให้สัมปทานคลื่นวิทยุ - โทรทัศน์ รวมถึงส่วนแบ่งจากการขายโฆษณา(รายการที่ชาวบ้านเขาทำ) ใช่หรือไม่?
     
       หรือยังคิดว่ามาจากรายการที่อสมท.เอาเวลามาทำเองอย่างคลื่น "ซี้ด เรดิโอ" กระนั้นหรือ?
     
       เคยจำได้ไหมว่า แต่ก่อน ณ ที่นี้เคยมีนักสื่อสารมวลชนตัวจริง เสียงจริงที่ได้รับการยอมรับ อย่างนาย "แสงชัย สุนทรวัฒน์" เข้ามาบริหารงาน ซึ่ง อสมท.ในตอนที่ยังเป็นช่อง 9 ไม่ได้เป็นช่องสีม่วง โมเดิร์นไนน์ฯ ตามรสนิยมของอดีต ผอ.อสมท.มิ่งขวัญ อย่างทุกวันนี้ก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นช่องแห่งข่าวสาร และมีรายการที่ส่งเสริมปัญญาอย่างแท้จริงมาแล้ว แล้วเกิดอะไรขึ้น? คนใน อสมท.เองมีศักยภาพตอบรับกับนโยบายต่างๆ ที่ออกมาได้มากน้อยเพียงไร? แล้วช่วงเวลาที่ว่ามันหายไปเพราะอะไร?
     
       แทนที่จะไปโทษคนอื่น คนใน อสมท.เองนั่นแหละที่น่าจะตระหนักบ้างว่า "มันสมอง" และ "ระดับสติปัญญา" ในการทำงานของตนเองนั้นมีแค่ไหน? หรือใครกันแน่ที่ทำให้ อสมท.เองกลายเป็นดินแดนที่เรียกกันว่า "สนธยา"?
     
       ถามหน่อยว่า ปัจจุบันนอกจากการทำงานรับเงินเดือนและดูตัวเลขราคาหุ้นที่ตนเองถืออยู่ไปวันๆ แล้วคนใน อสมท.เองทำผลงานอะไรให้เป็นที่น่าพูดถึงให้สมกับฐานะของการเป็นสื่อสารมวลชน หรืออย่างน้อยก็ให้สมกับเหตุผลที่อยากจะพัฒนาขีดความสามารถและคุณภาพของการบริการที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเมื่อครั้งที่ต้องการจะแปรรูปให้อยู่ในฐานะของบริษัทมหาชนบ้าง
     
       มีสักครั้งกันที่คนใน อสมท.เองจะแสดงความสามารถของตนเองออกมาให้เห็น หลายต่อหลายรายการที่ขึ้นชื่อว่ามีคุณภาพล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือจากคนนอกที่เข้ามาแทบจะทั้งสิ้น เอากันง่ายๆ ได้ชื่อว่าเป็นสำนักข่าวไทยแท้ๆ แต่กับแค่รายการข่าวภาคค่ำที่ทำออกมา ถ้ามันดีจริง ถ้ามันเจ๋งจริง มีอะไรที่เด็ดๆ กว่าช่องอื่นๆ แล้วทำไมจะต้องเอาคนอย่าง "สรยุทธ" กับ "กนก" มานั่งเล่าข่าวไอ้ที่รายการนำเสนอออกไปแล้วให้มันซ้ำมันซากทำไม? หรือถ้าบอกว่ามีคนที่ต้องการติดตามรายการ "คุยคุ้ยข่าว" ของทั้งสองมากกว่าข่าวภาคค่ำแล้ว ถ้าอย่างนั้นจะมีรายการข่าวภาคค่ำเอาไว้ทำซากสากกะเบือทำไมให้เปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ
     
       อีกเรื่องหนึ่งที่รับไม่ได้จริงๆ กับการออกมาเคลื่อนไหวของบรรดาสหภาพ อสมท.ในครั้งนี้เพื่อแสดงการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นก็คือการที่คนเหล่านี้ทำตัวราวกับเสมือนว่าตนเองเป็นเจ้าของบริษัทแห่งนี้
     
       แกล้งทำเป็นลืม หรือลืมไปแล้วจริงๆ ว่า หลายสิ่งหลายอย่างของ อสมท. ที่เป็นต้นทุนตั้งแต่แรกเริ่มก่อนมีการแปรรูป ไม่ว่าจะเป็นตัวตึก เครื่องไม้เครื่องมือ เงินเดือน รวมทั้งสวัสดิการและสิทธิพิเศษต่างๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่มาจากรัฐบาลฯ ซึ่งแน่นอนว่าก็มาจากเงินภาษีของประชาชนแทบทั้งสิ้น สิ่งที่พนักงาน อสมท.ทำก็คือการเข้ามาตัวเปล่าแล้วทำตัวเป็นเสมือนเสือที่นอนรอรับประทานผลกำไรโดยไม่ต้องลงทุน(ลงแรง)อะไรเลย
     
       แม้จะบอกได้อย่างไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า การออกมาเคลื่อนไหวของคนใน อสมท.เอง รวมทั้งบุคคลอื่นๆ ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลซึ่งเข้ามาปรับเปลี่ยนนโยบายและเจตนารมย์ของ บมจ.อสมท.เสียใหม่จะเกี่ยวข้องกับความพยายามผลักดันให้คนที่ชื่อ "มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ" ลูกจ้างดีเด่นใน "ระบอบทักษิณ" ได้ดิ้นกลับเข้ามานั่งเก้าอี้ ผอ. อีกครั้งหรือไม่ แต่กับพฤติกรรมที่แสดงถึงความเห็นแก่ได้ พฤติกรรมของพนักงานที่ให้ความสนใจกับตัวเลขราคาค่าหุ้นบนกระดานเป็นสำคัญโดยไม่คำนึงถึงระดับสติปัญญาของประชาชนส่วนใหญ่ว่าจะหดหายหรือจะเพิ่มพูนขึ้นมา รวมไปถึงการไม่แยแสสักนิดถึงผลประโยชน์ต่างๆ ที่ประเทศชาติจะได้รับเช่นนี้
     
       บอกได้คำเดียวว่าทุเรศ!!

chatchai เขียน: http://www.manager.co.th/Entertainment/ ... 0000137661

ด้านนายณรงค์ โชควัฒนา สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และคณะกรรมการบอร์ดอสมท ให้สัมภาษณ์รายการ News Hour สถานีโทรทัศน์ ASTV ว่า การจะให้บอร์ด อสมท ลาออก คนที่พิจารณาคือผู้ถือหุ้นใน อสมท ซึ่งคือกระทรวงการคลังเท่านั้น ไม่ใช่ให้คนกลุ่มหนึ่งจำนวนร้อยกว่าคนมาขับไล่ ซึ่งการนำเสนอข่าวตอนนี้ก็เป็นการเสนอข่าวเพียงด้านเดียว ส่วนการทำงานนั้นยืนยันบอร์ดทุกคนจะไม่ยอมให้ใครแม้แต่นักการเมืองมาแทรกแซงได้

ผมไม่เห็นด้วยตั้งแต่แรกแล้วที่ให้ อสมท เข้ามาเป็นบริษัทมหาชนกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เพราะในตลาดหลักทรัพย์มีแต่การคิดเพียงแค่การทำกำไรเพียงอย่างเดียว ไม่ได้คิดถึงประโยชน์ของส่วนรวม ไม่เน้นเรื่องสื่อเสรี ซึ่ง อสมท แม้จะไม่ได้อยู่ในตลาดก็สามารถทำงานได้อยู่แล้ว กรรมการ อสมท ระบุ

ประโยชน์ของส่วนรวม  ประชาชนคงเป็นผู้บอกว่า  MCOT มีประโยชน์ต่อส่วนรวมหรือไม่  รายการหลายรายการให้ความรู้ประชาชนหรือไม่  คงไม่ใช่กลุ่มแกนนำบางกลุ่มที่จะมาตัดสิน  หรือต้องให้พวกกลุ่มเหล่านั้นกลับมาจัดรายการจึงจะเรียกว่ามีประโยชน์ต่อส่วนรวม

Oatarm เขียน: สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อยไตรมาสที่3(F45-3)
                          บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)

                                                         สอบทาน
                                สิ้นสุดวันที่  30 กันยายน      (หน่วย : พันบาท)
                                    ไตรมาสที่ 3          งวด 9 เดือน
             ปี                    2549        2548        2549        2548

  กำไร (ขาดทุน) สุทธิ              389,520    254,170    1,100,223    799,674
  กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท)    0.57          0.37         1.60     1.16

 ประเภทรายงานของผู้สอบบัญชีในงบการเงิน
      ไม่มีเงื่อนไขและไม่มีข้อสังเกต


 หมายเหตุ : 1. โปรดดูรายละเอียดงบการเงิน รายงานของผู้สอบบัญชี และหมายเหตุ
               ประกอบงบการเงินจากระบบบริการข้อมูลตลาดหลักทรัพย์

 "ข้าพเจ้าขอรับรองว่าข้อมูลที่รายงานข้างต้นนี้ถูกต้องทุกประการ พร้อมกันนี้บริษัทได้จัดส่งงบ
  การเงินฉบับเต็มผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ของตลาดหลักทรัพย์และส่งต้นฉบับให้กับสำนักงาน
  ก.ล.ต.เรียบร้อยแล้ว"

                              ลงลายมือชื่อ _______________________
                                        ( นายธนะชัย วงศ์ทองศรี )
                              ตำแหน่ง รก.ผช.กก.ผอ.ใหญ่สำนักกฎหมายฯ
                                         ผู้มีอำนาจรายงานสารสนเทศ